วันเสาร์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

0502403 การแนะแนวและการให้คำปรึกษาในโรงเรียน กลุ่ม 4 (ดร.รังสรรค์ โฉมยา)

งานรายบุคคล ให้นิสิตเขียนบทความเกี่ยวกับอาชีพ คนละ 1 อาชีพ โดยประกอบด้วยหัวข้อ ดังต่อไปนี้1.ชื่ออาชีพ 2.ลักษณะของอาชีพ (การทำงาน) 3.ลักษณะของบุคคลที่เหมาะกับอาชีพ (ความต้องการด้านบุคลากร) 4.ระดับรายได้ และความก้าวหน้า รวมไปถึงสวัสดิการที่เกี่ยวกับอาชีพ 5.วิธีการเข้าสู่อาชีพ (การศึกษา, สาขาที่เกี่ยวข้อง, วิชา, วุฒิการศึกษา) 6.มหาวิทยาลัยหรือสถานศึกษาที่เปิดสอน 7.ความต้องการของตลาดแรงงาน และ 8.ตัวอย่างบุคคลที่อยู่ในอาชีพดังกล่าว (เรื่องราวโดยย่อ)ให้เขียนลงใน Blog นี้เท่านั้นกำหนดส่งไม่เกินวันที่ 20 สิงหาคม 2551 อาชีพที่นิสิตค้นมาไม่ควรซ้ำกันโดยเช็คจาก Blogger นี้

93 ความคิดเห็น:

นายศรายุทธ เสนาวัง กล่าวว่า...

นายศรายุทธ เสนาวัง รหัส 48010510120 สาขาวิทยาศาสตร์ทั่วไป ชั้นปีที่4 คณะศึกษาศาสตร์
บทความเรื่องอาชีพวิศวกรปิโตรเลียม (Petroleum Engineering)
1.ชื่ออาชีพ
อาชีพวิศวกรปิโตรเลียม (Petroleum Engineering)
2.ลักษณะของอาชีพ (การทำงาน)
วิศวกรปิโตรเลียมเป็นผู้ที่มีหน้าที่ในการสำรวจหาและ/หรือออกแบบวิธีการที่จะผลิตน้ำมันดิบหรือก๊าซธรรมชาติจากแหล่งปิโตรเลียมที่สำรวจพบ นั่นคือหากมีการสำรวจพบชั้นหินกักเก็บปิโตรเลียมที่มีศักยภาพเพียงพอที่จะผลิตได้ ก็จะเป็นหน้าที่ของวิศวกรที่จะพิจารณาและพัฒนาหาวิธีการผลิตที่มีประสิทธิภาพสูงสุดเพื่อให้สามารถผลิตปิโตรเลียมได้ในปริมาณที่ให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าที่สุดต่อเงินลงทุนมหาศาลที่ลงทุนไป
เนื่องจากในความเป็นจริงน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติที่ถูกกักเก็บอยู่ในชั้นหินกักเก็บปิโตรเลียม มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่จะสามารถผลิตได้โดยแรงดันตามธรรมชาติ ดังนั้นเพื่อให้สามารถนำปิโตรเลียมที่มีสะสมอยู่ใต้พื้นดินขึ้นมาใช้ประโยชน์ได้มากที่สุด วิศวกรปิโตรเลียมจึงต้องพัฒนาและใช้วิธีการที่หลากหลายเพื่อเพิ่มปริมาณการผลิต ซึ่งวิธีการหลากหลายดังกล่าวที่มีการพัฒนามาใช้แล้วโดยวิศวกรปิโตรเลียม ได้แก่ การสูบอัดน้ำ/สารเคมี/ไอน้ำเข้าไปในชั้นหินกักเก็บปิโตรเลียมใต้พื้นดินเพื่อเพิ่มแรงดันในชั้นหินให้น้ำมันไหลออกมา นอกจากนี้การขุดเจาะตามแนวนอน หรือการสร้างรอยแตกในชั้นหินเพื่อให้เกิดการเชื่อมโยงในชั้นหินกักเก็บปิโตรเลียมเป็นบริเวณกว้างยิ่งขึ้น เพื่อให้การใช้ประโยชน์หลุมผลิตเป็นไปอย่างคุ้มค่าที่สุด ก็เป็นวิธีการหนึ่งที่พัฒนาและออกแบบโดยวิศวกรปิโตรเลียมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต
อย่างไรก็ดี แม้ว่าวิศวกรปิโตรเลียมจะใช้วิธีการที่ดีที่สุดที่มีอยู่ในปัจจุบันแต่ก็ยังสามารถผลิตน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติจากชั้นหินกักเก็บปิโตรเลียมได้เพียงส่วนหนึ่งของปริมาณปิโตรเลียมที่สะสมอยู่ทั้งหมดเท่านั้น ดังนั้นวิศวกรปิโตรเลียมจึงยังต้องพัฒนาวิธีการใหม่ ๆ เพื่อเพิ่มสัดส่วนการผลิตนี้ให้มากยิ่งขึ้น
สามารถแบ่งย่อยได้ตามความเชี่ยวชาญพิเศษออกเป็น 3 สายอาชีพคือ
1. วิศวกรแหล่งกักเก็บ (Reservoir Engineer)
วิศวกรแหล่งกักเก็บจะเป็นผู้ที่พิจารณาว่าในแหล่งกักเก็บปิโตรเลียมแต่ละแหล่งนั้นมีปิโตรเลียมที่จะสามารถนำขึ้นมาจากหลุมเพื่อใช้ประโยชน์ได้ในปริมาณเท่าใดและวิธีการใดที่น่าจะเป็นประโยชน์สูงสุดที่จะสามารถนำก๊าซธรรมชาติและน้ำมันดิบขึ้นมาจากแหล่งกักเก็บปิโตรเลียมใต้พื้นดินได้มากที่สุด ทั้งนี้โดยการพิจารณาจากการกระจายตัวความดันและของเหลวตลอดบริเวณแหล่งกักเก็บ เพื่อการนี้วิศวกรแหล่งกักเก็บอาจจะต้องพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์เพื่อการคำนวณทางคณิตศาสตร์ที่สลับซับซ้อนเพื่อหารูปแบบ (สมการ) การไหลของของเหลวและค่าความดันภายในปิโตรเลียมที่สะสมตัวอยู่ ดังนั้นวิศวกรแหล่งกักเก็บจะเป็นผู้ที่รับผิดชอบในการให้ค่าประมาณการของปริมาณน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติที่จะสามารถนำขึ้นมาได้จากแหล่งกักเก็บปิโตรเลียมแต่ละแหล่ง ซึ่งการประมาณการที่ดีนับว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งต่อสถานภาพทางการเงินของบริษัท เนื่องจากความสามารถในการพัฒนานำปิโตรเลียมจากหลุมขึ้นมาใช้ประโยชน์ในอนาคตเป็นสิ่งที่นักการเงินการธนาคารให้ความสำคัญอย่างยิ่งในการพิจารณาในการให้เงินกู้แก่บริษัทหรือการประเมินค่าของบริษัทในอนาคต
2. วิศวกรขุดเจาะ (Drilling Engineer)
ภารกิจของวิศวกรการเจาะคือการออกแบบและจัดทำกระบวนการดำเนินงานเพื่อให้การเจาะหลุมสำรวจหรือผลิตปิโตรเลียมเป็นไปโดยประหยัดคุ้มค่าที่สุด หลุมที่เจาะไปจะเป็นเครื่องที่ยืนยันว่าสถานที่ซึ่งนักธรณีวิทยาและนักธรณีฟิสิกส์เลือกโดยอาศัยพื้นฐานทางวิชาการว่าน่าจะมีปิโตรเลียมสะสมตัวอยู่นั้นมีปิโตรเลียมสะสมตัวอยู่จริงหรือไม่ วิศวกรการเจาะจะทำงานอย่างใกล้ชิดกับบริษัทที่ทำการเจาะ, ผู้ร่วมดำเนินการในงานด้านอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยวิศวกรการเจาะจะต้องเข้าใจกระบวนการเจาะที่สลับซับซ้อน ซึ่งรวมทั้งการจัดการทางด้านคนและเทคโนโลยี เนื่องจากการเจาะหลุมสำรวจนั้นบ่อยครั้งที่จะต้องใช้ค่าใช้จ่ายสูงถึงหลายร้อยล้านบาท ดังนั้นวิศวกรการเจาะจะต้องรับผิดชอบในการกำหนดวิธีการและควบคุมการทำงานให้สามารถลดค่าใช้จ่ายให้ต่ำที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ โดยที่ยังสามารถจัดหาข้อมูลทั้งหมดที่จำเป็นต่อการวิเคราะห์และประเมินแหล่งกักเก็บปิโตรเลียมได้ โดยไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพและความปลอดภัยของผู้ทำงานและผู้ที่อยู่อาศัยในบริเวณใกล้เคียง รวมถึงป้องกันผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อสิ่งแวดล้อมด้วย
3. วิศวกรการผลิต (Production Engineer)
เมื่อการเจาะหลุมเสร็จสิ้นก็จะเป็นหน้าที่ของวิศวกรการผลิตที่จะต้องเข้ามาดำเนินการต่อไป หน้าที่ของวิศวกรการผลิตคือการจัดการให้หลุมที่เจาะไว้แต่ละหลุมสามารถทำการผลิตได้อย่างเต็มประสิทธิภาพที่สุด รวมถึงการติดตามและวิเคราะห์ความสามารถในการผลิตของแต่ละหลุมด้วย นั่นคือวิศวกรการผลิตจะเป็นผู้รับผิดชอบในการวางวิธีการในการที่จะนำปิโตรเลียมขึ้นมาจากหลุม โดยวิศวกรการผลิตจะเป็นผู้พิจารณาหาแนวทางที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดมาใช้ในการพัฒนาแหล่ง ทั้งนี้โดยยังต้องพิจารณาถึงความหนืดของน้ำมันดิบ, อัตราส่วนก๊าซธรรมชาติต่อน้ำมันดิบ, ความลึกและชนิดของปิโตรเลียมที่สะสมตัวอยู่ รวมถึงความคุ้มค่าในการลงทุนในโครงการดังกล่าว นอกจากนี้วิศวกรการผลิตยังมีหน้าที่พิจารณาหาระบบอุปกรณ์ที่จะนำมาใช้ในการแยกน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ และน้ำออกจากกันเมื่อนำขึ้นมาจากหลุมที่เจาะไว้แล้ว และเมื่อถึงระยะเวลาที่ความสามารถในการผลิตปิโตรเลียมของหลุมหนึ่ง ๆ ลดลงแล้ว วิศวกรการผลิตยังต้องเป็นผู้ที่จะต้องสำรวจหาเทคโนโลยีอื่น ๆ เพิ่มเติมที่จะนำมาช่วยในการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตของหลุมนั้น ๆ ซึ่งในการดำเนินการดังกล่าวนั้นวิศวกรการผลิตจะต้องทำงานอย่างใกล้ชิดกับวิศวกรแหล่งกักเก็บและสายงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาหาวิธีการที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการพิจารณาดำเนินการในแต่ละแหล่ง
3.ลักษณะของบุคคลที่เหมาะกับอาชีพ (ความต้องการด้านบุคลากร)
1.ควรเป็นผู้ที่มีใจรักงานช่าง มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ชอบประดิษฐ์คิดค้น
2.ควรมีพื้นฐานความรู้ที่ดีในสายวิทย์-คณิต โดยเฉพาะวิชาฟิสิกส์และการคำนวณ ซึ่งถือเป็นหัวใจหลักของการเรียนในคณะนี้ ส่วนอังกฤษก็ควรเข้าใจบ้างเพราะตำราที่ใช้ค้นคว้าส่วนใหญ่เป็นตำราภาษาอังกฤษ
3.มีความสามารถในการถ่ายทอดความคิดออกมาได้อย่างชัดเจนและเป็นรูปธรรม รวมทั้งมีความสามารถในการออกแบบ มีความละเอียดรอบคอบ ทำงานประณีต ควรมีลักษณะของความเป็นผู้นำ มีเหตุผลและเชื่อมั่นในตนเอง
4.ระดับรายได้ และความก้าวหน้า รวมไปถึงสวัสดิการที่เกี่ยวกับอาชีพ
อุตสาหกรรมปิโตรเลียมนับเป็นวงการหนึ่งที่ให้ผลตอบแทนในระดับสูงแก่ผู้ทำงาน ไม่ว่าจะเป็นการทำงานในภูมิภาคใดในโลก นอกจากนี้ลักษณะของตลาดแรงงานที่ไร้ขอบเขตยังนับเป็นความพิเศษอีกอย่างหนึ่งของวงการนี้ ซึ่งที่ผ่านมาพบว่าผู้ที่ทำงานในอุตสาหกรรมปิโตรเลียมของประเทศหนึ่ง ๆ จะประกอบด้วยบุคลากรที่มาจากหลากหลายประเทศ โดยไม่จำกัดเพียงพลเมืองของประเทศนั้น ๆ เท่านั้น และจากการรายงานผลการสำรวจระดับและอัตราเพิ่มของรายได้ของบุคลากรที่ทำงานในอุตสาหกรรมปิโตรเลียมของสมาคมวิศวกรปิโตรเลียม หรือ SPE (Society of Petroleum Engineer) ในปี 2545 ที่ผ่านมา ยังพบว่าในหลาย ๆ ประเทศ/ภูมิภาค บุคลากรต่างถิ่นได้รับผลตอบแทนในระดับที่สูงกว่าบุคลากรที่เป็นประชากรของประเทศนั้น ๆ เสียอีก ดังนั้นอาชีพในวงการปิโตรเลียมจึงน่าจะเป็นทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจแก่ผู้ที่มีความสามารถ ทั้งในแง่ของผลตอบแทนการทำงานที่ดีและความมั่นคงในอาชีพการทำงาน เนื่องจากปิโตรเลียมจะยังคงบทบาทในการเป็นทรัพยากรที่โลกต้องการอย่างไม่มีที่สิ้นสุด สมดังสมญานามที่ได้รับมาแต่อดีตที่เปรียบปิโตรเลียม (โดยเฉพาะน้ำมันดิบ) เสมือน "Black Gold" ซึ่งคำกล่าวนี้จะยังคงเป็นจริงอยู่แม้ในปัจจุบันหรือในอนาคต

โอกาสความก้าวหน้าในอาชีพนี้
ความก้าวหน้าในอาชีพนี้มีแน่นอน เพราะสามารถพัฒนาตนเองในแนวทางที่ตนเองพอใจได้ ซึ่งต่างจากบางอาชีพที่บุคคลก้าวหน้าได้เพราะคุณสมบัติเฉพาะในอาชีพนั้นเท่านั้น ที่สำคัญคือการพัฒนาทางด้านอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีของประเทศที่ทำให้วิชาชีพนี้ถูกพัฒนาออกไปอย่าวงไม่มีขีดจำกัด นอกจากความก้าวหน้าในสายงานจะสูงแล้ว รายได้ที่ได้รับก็สูงด้วยเนื่องจากเป็นอาชีพที่ช่วยสร้างความเจริญต่อเศรษฐกิจของประเทศ จึงเป็นที่ต้องการสูง

5.วิธีการเข้าสู่อาชีพ (การศึกษา, สาขาที่เกี่ยวข้อง, วิชา, วุฒิการศึกษา)
ผู้ที่จบการศึกษาระดับมัธยมการศึกษาตอนปลาย สายวิทยาศาสตร์ หรือเทียบเท่า
หลักสูตรการศึกษา
เป็นการศึกษาทั้งทางด้านทฤษฎีควบคู่ไปกับการฝึกปฏิบัติ ใช้เวลาในการเรียนทั้งหมด 4 ปี

6.มหาวิทยาลัยหรือสถานศึกษาที่เปิดสอน
• จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
• มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
• มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
• มหาวิทยาลัยขอนแก่น
• มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
• มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิต
• มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานคร
• มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี

7.ความต้องการของตลาดแรงงาน
ปัจจุบันประเทศไทยมีความต้องการอาชีพที่เกี่ยวกับ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จึงเป็นที่ต้องการมากเป็นอันดับหนึ่ง จนต้องจัดประเภทเป็นสาขาวิชาชีพที่ขาดแคลน นอกจากนี้วิศวกรสามารถตอบสนองการพัฒนาประเทศได้อย่างรวดเร็ว ความต้องการวิศวกรจึงมีมากด้วย และวิศวกรบางสาขา เช่น วิศวกรปิโตรเลียม-ปิโตรเคมี กำลังเป็นที่ต้องการ เพราะมนุษย์ต้องคำนึงถึงทรัพยากรบนโลก พลังงาน อาหาร สิ่งแวดล้อม แร่ธาตุที่สำคัญ และการใช้เทคโนโลยีเพื่อแก้ปัญหาโดยเฉพาะในอุตสาหกรรม การผลิตและจัดสรรพลังงาน การอนุรักษ์และจัดการสิ่งแวดล้อม
จบวิศวกรปิโตรเลียม ทำงานอะไรได้บ้าง
เป็นวิศวกรควบคุมกระบวนการผลิตในอุตสาหกรรมการแปรรูปสารเคมีต่างๆ เช่นอุตสาหกรรมปิโตรเลียม อุตสาหกรรมปิโตรเคมี อุตสาหกรรมผลิตสินค้าบริโภค เช่น วิศวกรออกแบบระบบให้แก่โรงงานทางด้ายการแปรรูปเคมี เป็นที่ปรึกษาบริษัทที่ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับการสำรวจแหล่งแร่ น้ำมันปิโตรเลียม หรือบริษัทที่ประกอบกิจการก่อสร้างด้านคมนาคมและสาธารณูปโภคขนาดใหญ่ เจ้าของสถานประกอบกิจการ นักธุรกิจด้านการก่อสร้าง

8.ตัวอย่างบุคคลที่อยู่ในอาชีพดังกล่าว (เรื่องราวโดยย่อ)
คุณนาถฤดี เพียรเจริญ
สำหรับพี่แรงบันดาลใจให้พี่มาเรียนทางด้านวิศวฯ ก็คือคุณพ่อ คุณพ่อพี่จบจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พี่เลยได้รับแรงบันดาลใจจากการที่ได้เห็นคุณพ่อทำงาน เวลาที่ท่านไปต่างจังหวัด ไปออก Field เราก็ติดไปด้วย รู้สึกว่างานทางด้านนี้ดูน่าสนใจดี
ตอนเริ่มต้นเข้าปี 1 ได้เริ่มเรียนทางด้าน Chemical Engineering ซึ่งตอนนั้นไม่ได้เลือกเพราะที่จุฬาฯสมัยนั้น เค้าใช้วิธีการแบ่งตามเกรด และคะแนนที่พี่เข้าไปเนี่ยก็ถือว่าอยู่ในระดับค่อนข้างใช้ได้ เลยถูกคัดเลือกให้ไปเรียนแผนกเคมี เรียนไปได้ซัก 1 ปี ตอนนั้นแผนก Petroleum Engineering เป็นแผนกใหม่เพิ่งเปิดไปได้เพียงรุ่นเดียว ของรุ่นพี่นี่ถือว่าเป็นรุ่นที่ 2 ซึ่งพอดีไปได้ข้อมูลในเรื่องปิโตรเลียมจากการได้ไปพูดคุยกับรุ่นพี่ เพื่อน ๆ แล้วก็ได้ไปปรึกษาอาจารย์ทางแผนกปิโตรเลียมตอนนั้นด้วย เราคิดว่ามันก็น่าสนใจ ดูน่าจะมีอนาคต เมื่อเรียนจบพี่เริ่มต้นทำงานที่ ปตท.สผ. โดยตอนเริ่มต้นได้ไปทำงานทางแผนก Production ซึ่งตอนนั้นที่ ปตท.สผ. Drilling & Production จะเป็นแผนกเดียวกัน พี่ก็เข้าไปทำทั้ง 2 อย่าง โดยเริ่มต้นเข้าไปทำทาง Production ก่อน แล้วต่อมาก็ไปทำทาง Drilling หลังจากทำงานกับทาง ปตท.สผ. มาประมาณ 4 ปีจึงย้ายมาทำงานกับบริษัทยูโนแคลไทยแลนด์ ตอนที่พี่มาเริ่มทำงานกับยูโนแคลจะเริ่มจาก Reservoir Engineer ซึ่งเป็นลักษณะงานที่จะดูเกี่ยวกับการประเมินปริมาณสำรองของก๊าซธรรมชาติ ปริมาณกักเก็บใต้ดินเป็นอย่างไร รวมทั้งการ Forecast ว่าเราจะผลิตได้ขนาดไหน ทำงาน 24 ชั่วโมง บางทีเที่ยงคืน ตีสามก็ต้องลุกมา อีกอย่างหนึ่งที่พี่คิดว่าจะเป็นจุดสำคัญสำหรับหัวหน้างานเกือบทุกคน ก็คือ ต้องเป็นคนที่กล้าแสดงออกที่ถูกต้อง เช่นหากเรามีความคิดที่เราคิดว่าน่าจะดี น่าจะเป็นประโยชน์ เราอยากจะเสนอความคิดอันนั้น ซึ่งแม้ว่าอาจจะขัดแย้งกับความคิดของคนอื่นเราก็ควรหาโอกาสจะแสดงความเห็นอันนั้นไป แต่เวลาจะแสดงความเห็นก็ต้องให้เหมาะสม ให้สุภาพ คือไม่ใช่ว่าเราจะไปทะเลาะเบาะแว้งกับใคร แต่ว่าอย่าปิดกั้นความคิดของตัวเอง

นายประสงค์ กล่าวว่า...

นายประสงค์ โนนตาเถร รหัสนิสิต 48010510658 สาขา สังคมศึกษา ชั้นปีที 4 คณะศึกษาศาสตร์

1.อาชีพแพทย์
อาชีพ"แพทย์" หรือ "หมอ" เป็นอาชีพที่ทุกคนรู้จักกันดี และหลายๆ คนก็มีความฝันที่อยากจะเป็น "หมอ" กว่าที่จะเป็นหมอได้นั้นก็ไม่ใช่ของง่าย หรือว่ายากเกินความสามารถของเรา แต่ที่ยากก็คือ "ทำอย่างไรจึงจะเป็นหมอที่ดีได้" มากกว่า
2. ลักษณะอาชีพแพทย์ คือ ผู้ให้บริการทางการแพทย์และอนามัยแก่ชุมชน เพื่อบำบัดรักษา ฟื้นฟูสมรรถภาพและป้องกันโรคทั่วๆไปได้โดยถูกต้องเหมาะสมด้วยการวินิจฉัยโรค สั่งยา และให้การรักษาทางอายุรกรรม และศัลยกรรมในความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับ
ร่างกายและจิตใจของมนุษย์ ซึ่งอาชีพแพทย์สามารถแบ่งสาขาเป็นแพทย์เฉพาะทาง อาทิเช่น
- แพทย์ทั่วไป (Physician
-จักษุแพทย์ (Ophthalmologist)
-วิสัญญีแพทย์ (Anesthetist)
- ศัลยแพทย์ (Surgeon
-จิตแพทย์ (Psychiatrist
แต่สาขาที่ข้าพเจ้าสนใจ คือ จิตแพทย์
อาชีพจิตแพทย์ (Psychiatrist



1.ร่างกาย วินิจฉัยอาการทางจิต สั่งยา รักษาอาการผิดปกติของผู้ป่วย โดยการใช้เครื่องมือทดสอบที่เป็นมาตรฐาน ร่วมกับการสังเกตพฤติกรรม การสัมภาษณ์ วิเคราะห์ และแปลผลการทดสอบ
2. ตรวจผู้ป่วยและตรวจหรือสั่งตรวจทางเอ็กซเรย์ หรือการทดสอบพิเศษ ถ้าต้องการรายละเอียดเพิ่มเติม
3. พิจารณาผลการตรวจและผลการทดสอบ ปรึกษาแพทย์เฉพาะทางหรือแพทย์อื่นตามความ จำเป็น และวินิจฉัยความผิดปกติ
4. บำบัดรักษาอาการความผิดปกติทางจิตโดยสั่งยา หรือการรักษาอย่างอื่น และแนะนำผู้ป่วยและญาติผู้ป่วยในเรื่องการปฏิบัติตนที่จำเป็นสำหรับรักษาตนให้พ้นจากการป่วยไข้
5. เก็บรักษาบันทึกเกี่ยวกับผู้ป่วยที่ได้ตรวจโรคที่เป็นและการรักษาที่ได้ให้หรือสั่ง
6. อาจรับผิดชอบและสั่งงานสำหรับพยาบาลในโรงพยาบาลหรือสถาบันอื่น
3.ลักษณะของบุคคลที่เหมาะกับอาชีพ
1. สำเร็จการศึกษาทางสาขาวิชาแพทย์ศาสตร์
2. ขยันสนใจในการศึกษาหาความรู้ทางวิทยาการแพทย์ วิทยาศาสตร์ และภาษาอังกฤษเป็นอย่างดี และมีความสนใจวิทยาการต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ นอกจากนี้ยังต้องสนใจทางด้านประวัติศาสตร์ วรรณคดี จิตวิทยา ภาษาอังกฤษ สังคมศาสตร์ และมนุษย์ศาสตร์

3. มีสุขภาพสมบูรณ์ ทั้งร่างกาย และจิตใจไม่พิการหรือทุพพลภาพ ปราศจากโรค
4. สามารถอุทิศตนยอมเสียสละเวลา และความสุขส่วนตัว เพื่อช่วยเหลือผู้อื่นที่เดือดร้อนจากการ เจ็บป่วย มีจิตใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ไม่รังเกียจผู้เจ็บป่วย มีความเมตตา และมีความรักในเพื่อนมนุษย์มีความเสียสละที่จะเดินทางไปรักษาพยาบาลผู้คนในชุมชนทั่วประเทศ
5. มีมารยาทดี สามารถเข้ากับบุคคลอื่นได้ทุกระดับมีความอดทน อดกลั้น และมีความกล้าหาญ
6. มีความซื่อสัตย์ในวิชาชีพของตน มีคุณธรรมและจริยธรรมทางการแพทย์ ไม่ใช้ความรู้ทางวิชาการของตนไปหลอกลวงหรือทำลายผู้อื่น
7. . ต้องไม่รังเกียจต่อสิ่งปฏิกูล เช่น อุจจาระ ปัสสาวะ นำมูก นำเหลือง อาเจียน เพราะต้อง นำสิ่งเหล่านี้ไปตรวจ
4.ระดับรายได้ สภาพการจ้างงาน และการทำงาน
ผู้ประกอบอาชีพนี้ได้รับค่าตอบแทนเป็นเงินเดือนตามวุฒิการศึกษาสำเร็จการศึกษาวิชาการแพทย์ซึ่งไม่มีประสบการณ์ในการทำงานมีอัตราเงินเดือน ดังนี้



วุฒิการศึกษา ปริญญาตรี ปริญญาโท ปริญญาเอก
ราชการ 8,190 9,500-10,500 15,000-16,000
รัฐวิสาหกิจ 9,040 10,500-12,000 23,000-24,500
เอกชน 10,600 21,000-22,000 28,000-30,000
โดยทำงานสัปดาห์ละ 40 ชั่วโมง อาจต้องมาทำงานวันเสาร์ วันอาทิตย์ และวันหยุด จะต้องมีการจัดเวรอยู่ประจำโรงพยาบาล นอกจากผลตอบแทนในรูปเงินเดือนแล้วในภาครัฐวิสาหกิจและเอกชนอาจได้รับผลตอบแทนในรูปอื่น เช่น ค่ารักษาพยาบาล เงินสะสม เงินช่วยเหลือสวัสดิการในรูปต่างๆ เงินโบนัส เป็นต้น สำหรับผู้ที่สำเร็จการศึกษาวิชาแพทย์สามารถประกอบธุรกิจส่วนตัวโดยรายได้ที่ได้รับขึ้นอยู่กับความสามารถ และความอุตสาหะผู้ประกอบอาชีพแพทย์จะปฏิบัติงานในโรงพยาบาล หรือสถานพยาบาล โดยตรวจคนไข้ในที่อยู่ในความรับผิดชอบทุกวันและต้องตรวจคนไข้นอกที่เข้ามารับการรักษา อาจถูกเรียกตัวได้ทุกเวลาเพื่อทำการรักษาคนไข้ให้ทันท่วงที ต้องพร้อมเสมอที่จะสละเวลาเพื่อรักษาคนไข้ ในที่ทำงานก็จะพบเห็น คนเจ็บ คนป่วยและคนตาย แพทย์จึงต้องมีจิตใจที่เข้มแข็ง เพราะหากมีจิตใจที่อ่อนไหวต่อสิ่งที่ได้พบเห็นจะมีผลกระทบต่อการปฏิบัติงานได้

5.วิธีการเข้าสู่อาชีพ (การศึกษา, สาขาที่เกี่ยวข้อง, วิชา, วุฒิการศึกษา)
แนวทางในการศึกษา
ผู้ที่จะประกอบอาชีพนี้ ควรสำเร็จหลักสูตรมัธยมศึกษาตอนปลายหรือประกาศนียบัตรอื่นที่กระทรวงศึกษาธิการเทียบเท่าและสามารถสอบผ่านวิชาต่างๆ ในการคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษาในสถาบันอุดมศึกษาคือวิสามัญ 1 คณิตศาสตร์ กข. เคมี ฟิสิกส์ ชีววิทยา ภาษาอังกฤษ กข. และความถนัดทางการแพทย์ หรือเคยช่วยปฎิบัติงานในโรงพยาบาลของรัฐครบตามเกณฑ์ที่กำหนด คือ ประมาณ อย่างน้อย 10 วัน ตลอดจนการสอบสัมภาษณ์และการตรวจร่างกาย เมื่อผ่านการทดสอบจึงมีสิทธิเข้าศึกษาแพทย์โดยมีสถาบันที่เปิดสอนวิชาการแพทย์ระดับปริญญาหลายแห่งในสังกัดทบวงมหาวิทยาลัย เช่น มหาวิทยาลัยมหิดล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นต้น ผู้ที่จะเรียนแพทย์จะต้องมีฐานะทางการเงินพอสมควร เพราะค่าใช้จ่ายในการเรียนวิชาแพทย์ค่อนข้างสูงและใช้เวลานานกว่าการเรียนวิชาชีพอื่นๆ รวมทั้งต้องเสียค่าบำรุงการศึกษา ค่าตำราวิชาการแพทย์และ ค่าอุปกรณ์ต่างๆ (ไม่น้อยกว่า 1 ล้านบาทเศษต่อคน)
หลักสูตรวิชาการแพทย์ระดับปริญญาตรีตามปกติใช้เวลาเรียน 6 ปี ในสองปีหลักสูตร การเรียนจะเน้นหนักด้านวิทยาศาสตร์ทั่วไปที่เป็นพื้นฐานสำคัญ ต่อจากนั้นจึงเรียนต่อวิชาการแพทย์โดยเฉพาะอีก 4 ปี เมื่อสำเร็จได้รับใบอนุญาตประกอบเวชกรรมของแพทยสภา มีสิทธิประกอบอาชีพแพทย์ได้ตามกฎหมาย โดยมีโอกาสเลือกสายงานได้ดังนี้
1. เป็นแพทย์ฝ่ายรักษา
2. เป็นแพทย์ฝ่ายวิจัย
6.มหาวิทยาลัยหรือสถานศึกษาที่เปิดสอน
สถาบันที่เปิดสอนวิชาการแพทย์
กลุ่มสถาบันแพทยศาสตร์แห่งประเทศไทย
1 - คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น วิทยาลัยแพทยศาสตร์กรุงเทพมหานครและวชิรพยา บาล
2 - วิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้า
3 - คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
4 - คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
5 - คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร
6 - คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
7- คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล
8 - คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
9 - คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
10 - คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
11 - คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต
12 - คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
7.ความต้องการของตลาดแรงงาน
แนวโน้มความต้องการของตลาดแรงงานการป้องกันโรคภัยของมนุษย์วิชาชีพที่เกี่ยวกับ วิทยาศาสตร์สุขภาพจึงเป็นที่ต้องการมากเป็นอันดับหนึ่ง จนต้องจัดประเภทเป็นสาขาวิชาชีพที่ขาดแคลน ซึ่งจะได้รับเงิน เพิ่มพิเศษนอกเหนือจากเงินเดือน เช่น แพทย์ เทคนิคการแพทย์ รังสีวิทยา เป็นต้น เพราะกำลังการผลิตในแต่ละปีไม่เพียงพอแก่ความต้องการ เช่น แพทย์มีอัตราบรรจุ ปีละ 3,000 ตำแหน่ง ไม่รวมความต้องการของโรงพยาบาลเอกชน แต่สามารถ ผลิตได้เพียงปีละ 900 คน เท่านั้น

โอกาสในงานและความก้าวหน้าในอาชีพ
อาชีพแพทย์เป็นอาชีพที่มีเกียรติ และเป็นอาชีพที่มีการเสียสละสูง สามารถรับราชการโดยทำงานในโรงพยาบาล สถานพยาบาล สถานีอนามัยหรือหน่วยงานการแพทย์ของกระทรวง ทบวง กรมที่จัดขึ้นเพื่อบริการประชาชนและเจ้าหน้าที่ หรือทำงานในโรงพยาบาลเอกชน และยังสามารถทำรายได้พิเศษด้วยการเปิดคลินิกส่วนตัวเพื่อรับรักษาคนไข้นอกเวลาทำงานประจำได้ด้วย
แนวโน้มของตลาดแรงงานสำหรับอาชีพนี้ยังคงมีอยู่ สามารถหางานทำได้ง่าย เนื่องจากประเทศไทยยังขาดแคลนแพทย์อยู่เป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะในต่างจังหวัด และชนบทที่ห่างไกลจากความเจริญในตัวเมือง
ผู้ประกอบอาชีพแพทย์ ที่มีความชำนาญและประสบการณ์จะได้เลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่งจนถึงระดับผู้บริหาร สำหรับผู้ที่มีความชำนาญและมีทีมงานที่มีความสามารถ รวมทั้งมีเงินทุนจำนวนมากก็สามารถเปิดโรงพยาบาลได้ แพทย์ที่มีความชำนาญเฉพาะทางอาจได้รับการว่าจ้างให้ไปทำงานในโรงพยาบาล หรือสถานพยาบาลหลายแห่ง ทำให้ได้รับรายได้มากขึ้น
8.ตัวอย่างบุคคลที่อยู่ในอาชีพดังกล่าว
แพทย์ดีเด่น
ประวัติและผลงานของ
แพทย์หญิงเสาด๊ะ ยุทธสมภพ


ประวัติ
แพทย์หญิงเสาด๊ะ ยุทธสมภพ
เกิดเมื่อวันที่ 18 กันยายน 2491
จบการศึกษา
แพทยศาสตรบัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รุ่น 22
ครอบครัว
แพทย์หญิงเสาด๊ะฯ สมรสกับนายปิยะ ยุทธสมภพ อดีตอัครราชทูตที่ปรึกษาฝ่ายพาณิชย์

ประจำประเทศซาอุดิอาระเบีย และ ประเทศบรูไน มีบุตร - ธิดา 3 คน คือ
1. แพทย์หญิงณัจวาย์ ยุทธสมภพ อายุ 28 ปี (พบ., วุฒิบัตรกุมารเวชกรรม ปัจจุบันปฏิบัติงานที่โรงพยาบาลหาดใหญ่ จ.สงขลา)
2. แพทย์หญิงนุสรา ยุทธสมภพ อายุ 27 ปี (พบ.เกียรตินิยมอันดับ 2 ปัจจุบันปฏิบัติงานที่โรงพยาบาลเทพา จ.สงขลา)
3. นายอัมมาร์ ยุทธสมภพ อายุ 25 ปี (วิทยาศาสตรบัณฑิต เกียรตินิยมอันดับ 1 สาขาคอมพิวเตอร์ ผลงานที่ผ่านมา
ด้านการครองตน
แพทย์หญิงเสาด๊ะฯ เป็นแบบอย่างด้านการดุแลสุขภาพตนเอง มีส่วนร่วมให้ชุมชนมีการดูแลตนเองในกลุ่มผู้ป่วยโรคเรื้อรัง โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคเบาหวาน ด้วยการเป็นแกนประสานความร่วมมือระหว่าง อบต.บ้านพรุ กับทีมสุขภาพของโรงพยาบาล ทำให้ผู้ป่วยมีการรวมกลุ่มเพิ่มความสามารถในการดูแลตนเอง จนสามารถควบคุมระดับน้ำตาลได้
ปัจจุบันปฏิบัติงานตำแหน่งนักวิเคราะห์ บริษัท ExxonMobil )
ด้านพัฒนาคุณภาพ
- เป็นตัวแทนฝ่ายบริหารด้านการพัฒนาคุณภาพโรงพยาบาล (QMR ) มีหน้าที่กระตุ้น พัฒนาทีมให้รวมกลุ่มทำงานในลักษณะ Multidisciplinary team ลดความขัดแย้งในการทำงานส่งเสริมให้เจ้าหน้าที่ทุกระดับ มีความสามารถในการจัดการความเสี่ยงทั้งด้านคลินิกและความเสี่ยงทั่วไป พัฒนาการดูแลผู้ป่วยทั้งรูปแบบ case และ disease management โดยเน้นคุณภาพชีวิตและความปลอดภัยของผู้ป่วยในกระบวนการรักษาพยาบาลทุกกลุ่มโรค รวมถึงความผาสุกของบุคลากรทุกระดับ
- เป็นแกนนำหลักให้โรงพยาบาลได้ผ่านการรับรองคุณภาพ ได้แก่
พ.ศ. 2543 ISO 9002:1994 (Scope Emergency room service)
พ.ศ.2545 Hospital Accreditation
พ.ศ.2548 Re Accreditation HA&HPH
- เป็นที่ปรึกษาด้านคุณภาพและผู้เยี่ยมสำรวจ สถาบันพัฒนาและรับรองคุณภาพโรงพยาบาล (พรพ.) โดยเฉพาะโรงพยาบาลใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ดำเนินการด้านคุณภาพ แต่ขาดที่ปรึกษาแนะนำ
ด้านการรักษาพยาบาล
- ปฏิบัติหน้าที่กุมารแพทย์รับผิดชอบดูแลผู้ป่วยเด็กใน High risk โดยเฉพาะผู้ป่วยเด็กแรกคลอด มีพัฒนาการการดูแลจนมีผลลัพธ์ทางคลินิกที่ดี ได้แก่ การดูแลรักษาผู้ป่วยเด็กคลอดก่อนกำหนด ลดอัตราการเกิด ROP ทารกหลังคลอดที่มีภาวะตัวเหลืองและภาวะขาดสาร Iodine ในทารกแรกคลอด
- เป็นผู้ปฏิบัติงานในหน้าที่แพทย์โดยไม่เลือกเชื้อชาติ ศาสนา และให้ความสนใจในทุกความคิดเห็นของผู้ป่วยและญาติ นะนำ
ด้านการเรียนการสอน
โรงพยาบาลหาดใหญ่เป็นสถาบันในโครงการผลิตแพทย์เพิ่มเพื่อชาวชนบท แพทย์หญิงเสาด๊ะจึงมีบทบาทในด้าน การเป็นอาจารย์แพทย์สาขากุมารเวชกรรม สอนนักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่ 5, 6 แพทย์ประจำบ้าน และแพทย์เพิ่มพูนทักษะ
อีกทั้งเป็นผู้ริเริ่ม และเป็นวิทยากรให้มีการอบรมหลักสูตรต่างๆ สำหรับแพทย์ บุคลากรของโรงพยาบาลหาดใหญ่ เช่น Communication skill, Health ethic, ภาวะความเป็นผู้นำ และความรู้ด้านการพัฒนาคุณภาพต่างๆ
ด้านความร่วมมือระหว่างองค์กร
- คณะกรรมการสถาบันวิจัยและพัฒนาสุขภาพภาคใต้ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
- กรรมการประเมินบัณฑิตอาสา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
- กรรมการบริหารศูนย์ความร่วมมือการพัฒนาคุณภาพโรงพยาบาลเครือข่ายภาคใต้ ( HACC-Southern )

สิทธิพร ตั้งยอดชมญาณ กล่าวว่า...

นายสิทธิพร ตั้งยอดชมญาณ รหัสนิสิต 48010510712 สาขาวิชาสังคมศึกษา ชั้นปีที่ 4 คณะศึกษาศาสตร์

1.ชื่ออาชีพ
ทนายความ Lawyers

2.ลักษณะของอาชีพ (การทำงาน)
ปฏิบัติงานทั่วไปเกี่ยวกับกฎหมาย เช่น ให้คำปรึกษาทางกฎหมาย จัดทำเอกสารเกี่ยวกับกฎหมาย
ทำหน้าที่เป็นตัวแทนในเรื่องที่เกี่ยวกับกฎหมาย และดำเนินการแทนคู่ความทั้งทางอาญา และแพ่ง
ตรวจสอบเรื่องราวต่างๆ และค้นตัวบทกฎหมายที่จะนำมาใช้โดยการศึกษาประมวลกฎหมาย พระราชกฤษฎีกา เทศบัญญัติ คำพิพากษาของศาลสูงที่มีมาแล้ว และกฎข้อ-บังคับที่ตราขึ้นไว้ ให้คำแนะนำแก่ลูกความถึงสิทธิ และหน้าที่ตามกฎหมาย ทำการแทนลูกความในเรื่องต่างๆ ที่เกี่ยวกับกฎหมาย จัดทำเอกสารเกี่ยวกับกฎหมาย และค้นหาบรรพต่างๆ ในประมวลกฎหมาย ว่าความ และดำเนินกระบวนการพิจารณาใดๆ ในศาลแทนคู่ความทั้งในคดีแพ่ง และคดีอาญา มีบทบาทในการสร้าง และรักษาความเป็นธรรมให้กับสังคม มีบทบาทในการคุ้มครอง ดูแลรักษาผลประโยชน์ของบุคคล และองค์กรธุรกิจเอกชนต่าง ๆ มีบทบาทในการให้คำปรึกษาแนะนำ ในการดำเนินการต่างๆ ให้ถูกต้องตามระเบียบ และกฎหมาย มีบทบาทเป็นคนกลางเพื่อไกล่เกลี่ยความขัดแย้งแห่งผลประโยชน์ด้วย อาจเชี่ยวชาญในงานกฎหมายสาขาใดสาขาหนึ่งโดยเฉพาะ อาจเป็นทนายความ หรือที่ปรึกษากฎหมายประจำองค์กร บรรษัท ห้างหุ้นส่วน บริษัท นิติบุคคล คณะบุคคล หรือเอกชน

3.ลักษณะของบุคคลที่เหมาะกับอาชีพ (ความต้องการด้านบุคลากร)
ผู้สนใจจะประกอบอาชีพนี้จะต้องเป็นผู้ที่มีใจรักในอาชีพนี้เป็นพื้นฐานเพราะงานว่าความเป็นงานที่ต้องมีความเสียสละ ทุ่มเท ใฝ่หาความรู้และมีวาทศิลป์ ผู้ที่ประสงค์จะประกอบอาชีพทนายความจะต้องมี คุณสมบัติดังต่อไปนี้
1. สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีด้านนิติศาสตร์
2. ต้องขอจดทะเบียน และรับใบอนุญาตเป็นทนายความจากสภาทนายความ
3. มีสัญชาติไทย
4. อายุไม่ต่ำกว่ายี่สิบปีบริบูรณ์ ในวันที่ยื่นคำขอจดทะเบียน และรับในอนุญาต
5. ไม่เป็นผู้มีความประพฤติเสื่อมเสียบกพร่องในศีลธรรมอันดี และไม่เป็นผู้ได้กระทำการใด ซึ่งแสดงให้เห็นว่าไม่น่าไว้วางใจในความซื่อสัตย์สุจริต
6. ไม่อยู่ในระหว่างต้องโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก
7 ไม่เคยต้องโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก ในคดีที่คณะกรรมการเห็นว่าจะ นำมาซึ่งความเสื่อมเสียเกียรติศักดิ์แห่งวิชาชีพ
8. ไม่เป็นบุคคลผู้ต้องพิพากษาถึงที่สุดให้ล้มละลาย
9. ไม่เป็นโรคติดต่อซึ่งเป็นที่รังเกียจของสังคม
10. ไม่เป็นผู้มีกายพิการ หรือจิตบกพร่องอันเป็นเหตุให้เป็นผู้หย่อนสมรรถภาพในการประกอบอาชีพ
11. ไม่เป็นข้าราชการ หรือพนักงานส่วนท้องถิ่น ซึ่งมีเงินเดือน และตำแหน่งประจำเว้นแต่ ข้าราชการการเมือง
12. ต้องซื่อตรงต่อลูกความ ผู้ร่วมงานอำนวยการความยุติธรรม ชุมชน ผู้ร่วมสำนักงาน และตนเอง

4.ระดับรายได้ และความก้าวหน้า รวมไปถึงสวัสดิการที่เกี่ยวกับอาชีพ
อาชีพทนายความเป็นอาชีพที่มีคนนิยมทำกันมาก เพราะเป็นอาชีพที่สามารถทำรายได้ดี และเป็นอาชีพที่มีเกียรติ โดยผู้ที่เป็นทนายความสามารถทำงานมีเงินเดือนประจำ โดยมีค่าตอบแทนเป็นเงินเดือนตั้งแต่ 8,500-10,000 บาทขึ้นไป ขึ้นอยู่กับความสามารถประสบการณ์ และประเภทของหน่วยงานที่ทำงาน หรือประกอบอาชีพทนายความอิสระรับว่าความทั่วไป โดยอาจได้รับค่าตอบแทนจากการว่าความ ร้อยละ 10 - 20 ของทุนทรัพย์ในคดีนั้นๆ หรืออาจจะได้รับค่าตอบแทนตามแต่จะตกลงกับลูกความ ซึ่งอาจจะได้รับค่าว่าความ 20,000-100,000 บาทขึ้นไปแล้วแต่งานที่รับ และขนาดของทุน-ทรัพย์ในแต่ละคดี

5.วิธีการเข้าสู่อาชีพ (การศึกษา, สาขาที่เกี่ยวข้อง, วิชา, วุฒิการศึกษา)
ผู้ที่สนใจประกอบอาชีพทนายความ ควรเตรียมความพร้อมดังต่อไปนี้ : มีความสนใจในด้านกฎหมาย กระบวนการยุติธรรม และต้องชอบที่จะท่องจำเพราะวิชานิติศาสตร์เป็นการเรียนที่ต้องท่องจำมาก เช่น กฎระเบียบ มาตราต่างๆ เป็นต้น ผู้สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาปีที่ 6 หรือเทียบเท่า ต้องสอบเข้ารับการคัดเลือก หรือเข้าศึกษาต่อระดับอุดมศึกษาคณะนิติศาสตร์ หลักสูตร 4 ปี สำเร็จการศึกษาได้รับปริญญาตรีทางนิติศาสตร์ หรือประกาศนียบัตรในวิชานิติศาสตร์ ซึ่งเทียบได้ไม่ต่ำกว่าปริญญาตรี จากสถาบันการศึกษาซึ่ง สภาทนายความเห็นว่าสถาบันนั้นมีมาตรฐานการศึกษาที่ผู้ได้รับปริญญาตรี หรือประกาศนียบัตรควรเป็นทนายความได้ และเป็นสมาชิกแห่งเนติบัณฑิตยสภา เมื่อสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี หรือเทียบเท่าต้องเข้ารับการอบรมจากสภาทนายความ โดยอบรมภาคทฤษฎีหลักสูตร 6 เดือน และอบรมภาคปฏิบัติ หลักสูตร 6 เดือน จึงสมัครเข้าสอบขอ ใบอนุญาตว่าความผ่านการทดสอบจะได้รับใบอนุญาตว่าความทั่วราชอาณาจักรจากสภาทนายความ

6.มหาวิทยาลัยหรือสถานศึกษาที่เปิดสอน
อาชีพทนายความนั้น มีหลายมหาวิทยาลัยที่ได้ทำการเปิดสอน อาทิเช่น
- คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
- คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
- คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีปทุม
- คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
- คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต
- คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร
- คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย
- คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
- คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
- คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ
- คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
- วิทยาลัยการเมืองการปกครอง มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
และสถาบันการศึกษาอื่น ๆ อีกมากมาย

7.ความต้องการของตลาดแรงงาน
อาชีพทนายความ ถือเป็นอาชีพที่สำคัญอีกอาชีพหนึ่ง ซึ่งจะมาเกี่ยวข้องกับธุรกิจ และบุคคลเพราะอาชีพนี้จะมีความชำนาญทางกฎหมาย ความต้องการของอาชีพนี้มีสูงขึ้นเรื่อยๆโดยดูได้จากคดีที่เกิดขึ้นที่กรมตำรวจ ล้วนแต่ต้องใช้ทนายความเข้ามาช่วยในคดีทั้งสิ้นในช่วงภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ทนายความมีคดีว่าความมากขึ้นเนื่องจากจะมีคดีฟ้องร้องในเรื่องการค้างชำระหนี้มากขึ้นแต่รายได้จาก การว่าความจะไม่ค่อยมากนักเนื่องจากฝ่ายจำเลยไม่สามารถชำระค่าเสียหายได้ จะเห็นได้ว่าไม่ว่าจะอยู่ในภาวะเศรษฐกิจอย่างไร ความต้องการแรงงานในอาชีพมีอยู่ตลอด ทั้งนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับความชำนาญความเก่ง และชื่อเสียงของทนายความแต่ละคนด้วย นอกจากนี้ทนายความอิสระบางคนอาจจะรับทำงานสืบสวนให้บุคคลที่ต้องการให้สืบสวนหรือติดตามสิ่งของ หรือบุคคลที่ต้องการค้นหา อาชีพทนายความนี้ นอกจากจะประกอบอาชีพเป็นทนายความแล้วยังสามารถเป็นผู้ดูแลผลประโยชน์ของหน่วยงาน เป็นที่ปรึกษาทางกฎหมายของหน่วยงาน เป็นพนักงานอัยการ และก้าวไปสู่การเป็นผู้พิพากษาก็ได้ และนอกจากนี้อาชีพทนายความเป็นอาชีพที่มีความชำนาญทางกฎหมายเป็นพิเศษ จึงเป็นอาชีพหนึ่งที่สามารถนำความรู้ไปปรับใช้กับอาชีพอื่นได้มากมาย เช่น นักการเมือง ทหารตำรวจ เจ้าหน้าที่เร่งรัดหนี้สิน เจ้าหน้าที่การเงิน หรือครู อาจารย์เป็นต้น
ทนายความที่มีความสามารถ และมีความรู้ทางกฎหมายระหว่างประเทศอย่างดี อาจได้รับการว่าจ้างให้เป็นทนายความว่าความในต่างประเทศ หรืออาจเป็นตัวแทนของรัฐบาลในการเจรจาทางด้านกฎหมาย หรือสิทธิประโยชน์ของประเทศ

8.ตัวอย่างบุคคลที่อยู่ในอาชีพดังกล่าว (เรื่องราวโดยย่อ)
นายสมชาย หอมลออ
นายสมชาย หอมลออ อายุ 58 ปี เกิดที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน ตั้งแต่เด็กจนถึงปัจจุบันพยายามผลักดันทุกวิถีทางให้ทุกภาคส่วนได้ตระหนักรู้เรื่องสิทธิมนุษยชน ด้วยมองเห็นว่าปัญหาการละเมิดสิทธิที่เกิดขึ้น เกิดจากความไม่รู้ ไม่เข้าใจของประชาชน ข้าราชการ ตำรวจ ทนายความ แม้กระทั่งศาล มีผลให้เกิดปัญหาการเลือกปฏิบัติ ความไม่เสมอภาคทางสังคม
นายชมชาย หอมลออ เป็นนักกิจกรรมในสมัย 14 ตุลาคม 2516 เป็นผู้ร่วมก่อตั้ง “สภาหน้าโดม” ที่กลายเป็นแกนนำสำคัญของการต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตย เรียกร้องรัฐธรรมนูญและขับไล่จอมพลถนอม-ประภาส-ณรงค์ จนเกิดเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 เป็นแกนนำในขบวนประท้วงขับไล่จอมพลถนอมที่บวชเณรเข้ามาในคืนวันที่ 5 ตุลาคม 2519 ต่อเนื่องถึงรุ่งเช้า 6 ตุลาคม 2519 กระทั่ง รัฐบาลสั่งทหาร ตำรวจ ล้อมปราบด้วยระเบิด ปืนกลกราดยิ่งใส่นิสิตนักศึกษาที่ชุมนุมอยู่ภายในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์อย่างป่าเถื่อนโหดร้าย เขาถูกรุมทำร้ายเกือบเอาชีวิตไม่รอดบริเวณหน้าหอประชุมใหญ่ธรรมศาสตร์
นายสมชาย ยึดวิชาชีพทนายความสิทธิมนุษยชนตั้งแต่จบการศึกษา ปัจจุบันประกอบอาชีพ เป็นทนายความอาวุโส บริษัทที่ปรึกษากฎหมายอินเตอร์เนท จำกัด ในอดีตที่ผ่านมา ได้จัดตั้งองค์กรที่ทำงานด้านสิทธิมนุษยชน ผลักดันกฎหมายเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชน รวมทั้งเป็นผู้ให้ความช่วยเหลือคดีสิทธิมนุษยชนด้านต่างๆแก่ประชาชนทั่วประเทศ อดีตเคยเป็นกรรมการบริหารสภาทนาความและประธานกรรมการสิทธิมนุษยชน สภาทนายความ เป็นผู้มีบทบาทเรียกร้องประชาธิปไตยอย่างต่อเนื่องยาวนาน จนเป็นที่รู้จัก เคารพนับถือในกลุ่มชาวบ้าน ชาวนา ชาวไร่ กรรมกร คนจนเมือง สหภาพแรงงาน องค์กรพัฒนาเอกชน คนชายขอบ ผู้ด้อยโอกาสกลุ่มต่างๆ ในระดับสากลโดยเฉพาะแถบภูมิภาคเอเชีย มีส่วนร่วมเรียกร้องสนับสนุนในกรณีที่ติมอร์ตะวันออกให้ได้รับเอกราช ตีแผ่การละเมิดสิทธิมนุษยชนในพม่า ต้านการใช้ความรุนแรงในอาเจะห์ อินโดนีเซีย เรียกร้องปล่อยตัวนักโทษการเมืองฝ่ายค้านในมาเลเซีย ฯลฯ
การศึกษา เมื่อเรียนที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา เป็นนักกิจกรรม และยังคงต่อเนื่องจนจบนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หลังจากนั้นได้ประกอบอาชีพทนายความตามที่ได้เรียนมา ในปี พ.ศ.2531 เดินทางดูงานด้านสิทธิมนุษยชนและกฎหมาย เป็นเวลา 6 เดือนในฮ่องกง ฟิลิปินส์ มาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย ศรีลังกาและอินเดีย และในปี พ.ศ.2532 ฝึกอบรมและฝึกงานด้านสิทธิมนุษยชน 1 ปี ที่ Cambodian Documentation Commission, Columbia University, นครนิวยอร์ค และที่ Human Rights Watch กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. สหรัฐอเมริกา นอกจากนี้ตลอดเวลาได้ศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมอยู่เสมอ เช่น ฝึกอบรมฝึกอบรมด้านสิทธิมนุษยชน ขององค์การแอมเนสตีอินเตอร์เนชั่นแนล เป็นกรรมการสอบวิทยานิพนธ์นักศึกษาระดับปริญญาโท หลักสูตรนานาชาติด้านสิทธิมนุษยชน มหาวิทยาลัยมหิดล และหลักสูตรปริญญาโท คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยแนวคิดในการทำงาน สมชายทำงานทนายความมาตั้งแต่จบการศึกษา กว่าสามสิบกว่าปีที่ทำงาน ประสบการณ์ทั้งในและนอกประเทศที่ผ่านมา ประกอบกับการที่ได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้กับผู้รู้ ผู้ร่วมงาน ประชาชน ลูกความ สมชายเกิดแนวคิดในการทำงานว่า ทนายความควรเป็นผู้ให้คำปรึกษาให้คำแนะนำกับประชาชนด้วย เพราะทนายความคือ นักกฎหมายภาคประชาชน ควรทำหน้าที่ทั้งในด้านการเผยแพร่ความรู้ กฎหมายสิทธิมนุษยชน หลักการทางด้านสิทธิมนุษยชน ให้คำปรึกษาทางด้านกฎหมาย การต่อสู้ในเชิงคดี รวมทั้งการตรวจสอบการออกกฎหมายของรัฐบาล ฯลฯ ให้ประชาชนได้ใช้สิทธิของตนเองตามรัฐธรรมนูญบัญญัติ โดยเฉพาะเรื่องศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ความเสมอภาค และการไม่เลือกปฏิบัติ ที่เป็นปัญหา เนื่องจากความเข้าใจของประชาชนและของหน่วยงานราชการยังคลาดเคลื่อนจากที่กฎหมายบัญญัติ
ผลงาน สืบเนื่องจากได้ทำงานด้านทนายความ พบว่าประชาชนส่วนใหญ่ขาดความรู้ความเข้าใจเรื่องสิทธิ เสรีภาพ ความเสมอภาค ของตนเอง จึงร่วมกับเพื่อนคิดหาวิธีการที่จะเผยแพร่ความรู้เรื่องสิทธิมนุษยชนได้ริเริ่มก่อตั้งองค์กรภาคประชาชน เพื่อพิทักษ์สิทธิมนุษยชนและส่งเสริมประชาธิปไตยขึ้น องค์กรที่ สมชายได้ร่วมดำเนินการ ดังนี้ 1. ประธานมูลนิธิผสานวัฒนธรรม ทำกิจกรรมส่งเสริมความเข้าใจอันดีและการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมระหว่างกลุ่มชนที่มีความต่างทางด้านวัฒนธรรม เน้นการทำงานใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ มีการจัดทำคู่มือทนายความที่ปฏิบัติงานด้านสิทธิมนุษยชน รวมทั้งแรงงานข้ามชาติ ผู้ไร้สัญชาติ ผู้พลัดถิ่น 2. กรรมการและเลขาธิการมูลนิธิเพื่อสิทธิมนุษยชนและการพัฒนา (มสพ.) ทำกิจกรรมส่งเสริมและปกป้องสิทธิมนุษยชนด้านต่างๆ เน้นเรื่องแรงงานข้ามชาติ รวมทั้งให้ข้อเสนอแนะเรื่องกฎหมายกับหน่วยงานของรัฐ 3. กรรมการวินิจฉัยข้อมูลข่าวสารสาขาสังคม การบริหารราชการแผ่นดิน และการบังคับใช้กฎหมาย คณะที่ 1 สำนักงานคณะกรรมการข้อมูลข่าวสาร สำนักนายกรัฐมนตรี 4. รองประธานอนุกรรมการพิจารณานโยบายด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม และอนุกรรมการเฉพาะกิจอื่นๆอีกหลายคณะ ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ 5. กรรมการ Focus for the Global South ซึ่งเป็นองค์การระดับนานานชาติที่ส่งเสริมและปกป้องการค้าระหว่างประเทศที่เป็นธรรม มีสำนักงานตั้งอยู่ที่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 6. ที่ปรึกษากฎหมายอาวุโส สำนักงานคณะกรรมการนักนิติศาสตร์สากล (International Commission of Jurists-ICJ) กรุงเทพมหานคร เป็นต้น
ผลงานที่ภาคภูมิใจ ผลงานของท่านที่ผ่านมามีมากมายเป็นที่ประจักษ์ทั้งในและต่างประเทศ แต่ที่ภาคภูมิใจที่สุด คือ การสร้างนักกฎหมายด้านสิทธิมนุษยชนรุ่นใหม่ๆ ซึ่งเป็นงานที่ท้าทาย การอบรมทนายความและผู้ที่เกี่ยวข้อง ทำอย่างไรจะให้ผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการใช้กฎหมาย เช่น ตำรวจ นักปกครอง อัยการ บุคคลมีความรู้ความรู้ความเข้าใจเรื่องสิทธิมนุษยชน สมชายต้องการผลักดันให้งานสิทธิมนุษยชนมีความเข้มแข็ง ต้องการให้ประชาชนมีความรู้ด้านกฎหมาย เสริมหลักนิติธรรมกับผู้ปฏิบัติงานอันเป็นผลต่อการสร้างฐานความรู้ด้านสิทธิมนุษยชนที่เข้มแข็งให้กับสังคมไทย โดยเฉพาะผู้ที่มีบทบาทในการใช้กฎหมายให้เข้าใจและใช้หลักนิติธรรมในการทำงานมากขึ้น เพื่อขจัดการเลือกปฏิบัติ หรือการใช้กฎหมายแบบสองมาตรฐาน

นางสาวเชิงวิชา เสพกลาง กล่าวว่า...

นางสาวเชิงวิชา เสพกลาง รหัสนิสิต 48010510624 สาขาวิชาสังคมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ ชั้นปีที่ 4

1.ชื่ออาชีพ
เภสัชกร Pharmacist

2.ลักษณะของอาชีพ (การทำงาน)
ค้นคว้า และพัฒนาสูตรยาตำรับใหม่ๆ เพื่อขึ้นทะเบียนและส่งสูตรที่สำเร็จแล้วให้ฝ่ายผลิตเพื่อทำการผลิตยาออกจำหน่าย
ควบคุมการผลิตยาให้เป็นไปตามขั้นตอนที่กำหนดไว้
วิเคราะห์ ตรวจสอบยาที่ผลิตให้ได้คุณภาพตามมาตรฐานที่กำหนดไว้
ปรุงยา จ่ายยาและสิ่งที่เกี่ยวข้องตามใบสั่งหรือตามสูตร เตรียมการผลิตยา เช่นยาน้ำ ยาขี้ผึ้ง ยาผง ยาเม็ดกลม ยาเม็ดแบน แค็ปซูล และยาฉีดตามใบสั่งของแพทย์หรือตามสูตรที่ได้รับการรับรองแล้ว
ชี้แจงแก่แพทย์ พยาบาลและผู้ปฏิบัติงานในแขนงอื่นๆ ทางการแพทย์เกี่ยวกับยา เคมีภัณฑ์และการใช้สิ่งนั้นๆ
ควบคุมและจ่ายยาเสพติดให้โทษ ยาพิษ และสารพิษที่ต้องการใช้เพื่อการแพทย์ กิจการในบ้าน อุตสาหกรรมหรือเกษตรกรรม และจ่ายสิ่งนั้นๆ ตามกฎข้อบังคับ
ทำหน้าที่วิเคราะห์และทดสอบตามปกติ เพื่อให้ทราบชนิดความบริสุทธิ์และความแรงของยา
จัดระเบียบและควบคุมรักษายาในคลังทำบัญชีประจำคลังโดยแบ่งเป็นหมวดหมู่ เช่น ยาเสพติดให้โทษ ยาอันตราย ยาสามัญ เคมีภัณฑ์และเครื่องใช้ในการแพทย์
อาจจัดซื้อเวชภัณฑ์ และเคมีภัณฑ์และสะสมเครื่องใช้ในการแพทย์ไว้จ่ายแก่คนไข้ และห้องรักษาโรค
อาจผลิต จำหน่าย และชี้แจงเกี่ยวกับการใช้ผลิตภัณฑ์ เช่น สุขภัณฑ์ เครื่องสำอาง เคมีภัณฑ์สำหรับเกษตรกรรมและพืชสวน และยาสำหรับสัตว์
ศึกษาวิธีการปฏิบัติงานที่รับผิดชอบ รวมทั้งวิธีการใช้เครื่องมือต่างๆ เช่นเครื่องจักรที่ใช้ผลิตยา เครื่องมือในการวิเคราะห์ รวมทั้งการเตรียมความพร้อมของเครื่องมือ

3.ลักษณะของบุคคลที่เหมาะกับอาชีพ (ความต้องการด้านบุคลากร)
1. สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีขึ้นไปในสาขาวิชาเภสัชศาสตร์
2. มีสุขภาพกายและจิตใจดี ไม่พิการ ไม่ตาบอดสี มีมนุษยสัมพันธ์ มีความสามารถเป็นผู้นำได้เนื่องจากอาจจะทำงานควบคุมผู้อื่นโดยเฉพาะในงานการผลิต มีบุคลิกภาพดี
3. รักในอาชีพนี้ มีความรับผิดชอบต่อสังคมส่วนรวมสูง
4. ต้องมีความสนใจในวิชาวิทยาศาสตร์ เคมีชีววิทยา และสามารถสอบได้คะแนนดีในวิชาเหล่านี้
5. ชอบการค้นคว้าทดลอง การใช้ปัญญาในการวิเคราะห์
6. มีความละเอียดรอบคอบ ช่างสังเกต
7. ซื่อสัตย์ต่ออาชีพ
8. ผู้ที่สนใจประกอบอาชีพนี้ต้องชอบการ ท่องจำ เพราะจำเป็นต้องจำชนิดของยา ส่วนประกอบของยา ชื่อและประโยชน์ของต้นไม้ที่มีฤทธิ์ทางยารวมทั้งชื่อยาและชื่อสารเคมี ที่ใช้ในการรักษาโรค

4.ระดับรายได้ และความก้าวหน้า รวมไปถึงสวัสดิการที่เกี่ยวกับอาชีพ
ผู้ปฏิบัติงานอาขีพนี้ได้รับค่าตอบแทนการทำงานเป็นเงินเดือนตามวุฒิการศึกษา เภสัชกรที่สำเร็จ การศึกษาระดับปริญญาตรีซึ่งไม่มีประสบการณ์ในการทำงานจะได้รับเงินเดือนในอัตรา ดังนี้
ประเภทองค์กร เงินเดือน
ราชการ 7,040
รัฐวิสาหกิจ 8,500
เอกชน 15,000 - 18,000
ทำงานสัปดาห์ละ 40 ชั่วโมง แต่อาจจะต้องทำงานวันเสาร์ วันอาทิตย์ และวันหยุด หรือทำงานล่วงเวลา ในกรณีที่ต้องการให้งานที่ได้รับมอบหมายเสร็จให้ทันต่อการใช้งาน
นอกจากผลตอบแทนในรูปเงินเดือนแล้ว ในภาครัฐวิสาหกิจและภาคเอกชนอาจได้รับผลตอบแทน ในรูปอื่น เช่น ค่ารักษาพยาบาล เงินสะสม เงินช่วยเหลือ สวัสดิการในรูปต่างๆ เงินโบนัส เป็นต้น

5.วิธีการเข้าสู่อาชีพ (การศึกษา, สาขาที่เกี่ยวข้อง, วิชา, วุฒิการศึกษา)
ผู้ที่จะประกอบอาชีพนี้ควรเตรียมความพร้อมดังต่อไปนี้ : สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลายหรือเทียบเท่า สมัครสอบคัดเลือกเข้าศึกษาระดับอุดมศึกษา คณะเภสัชกรรม สาขาวิชาเภสัชศาสตร์ (หลักสูตร 5 ปี) จากสถาบันอุดมศึกษาของภาครัฐหรือภาคเอกชน เช่น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยขอนแก่น มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยมหิดล เป็นต้น

6.มหาวิทยาลัยหรือสถานศึกษาที่เปิดสอน
- คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
- คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
- คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
- คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
- คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร
- คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร
- คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต
- คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
- คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
- คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
- คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ
- คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยสยาม
- คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล

7.ความต้องการของตลาดแรงงาน
ปัจจุบัน ความต้องการยาสำหรับรักษาโรคทางการแพทย์แผนปัจจุบัน และแผนโบราณเพิ่มมากขึ้นตามอัตราการเพิ่มขึ้นของประชากรและชนิดของเชื้อโรคที่พัฒนาตามสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไป การพัฒนาคุณภาพของยา ตลอดจนการควบคุมขั้นตอนการผลิตยารักษาโรค ให้มีประสิทธิภาพในการบำบัดรักษาต้องดำเนินการอยู่ตลอดเวลา เพื่อให้มียาที่สามารถใช้ในการรักษาบำบัดโรคต่างๆ ที่เพียงพอกับจำนวนประชากร เภสัชกรจึงยังเป็นที่ต้องการทั้งทางภาครัฐและภาคเอกชนเป็นอย่างมากแนวโน้มของโอกาสในการมีงานทำของอาชีพนี้ ยังคงมีอยู่ ดังนั้น ผู้สำเร็จการศึกษาทางด้านนี้สามารถหางานทำได้ง่าย และหากไม่เลือกงานก็จะไม่มีการตกงานเลยสำหรับเภสัชกร
อาชีพเภสัชกรสามารถทำงานในหน่วยงานราชการและรัฐวิสาหกิจ เช่น โรงพยาบาล องค์การเภสัชกรรม ส่วนในหน่วยงานเอกชน ได้แก่ บริษัทผลิตยา บริษัทนำเข้ายา บริษัทผลิตเครื่องสำอางหรืออาจประกอบธุรกิจส่วนตัว โดยการเปิดร้านขายยา
ผู้ปฏิบัติหน้าที่เป็นข้าราชการในโรงพยาบาลทั่วไป องค์การเภสัชกรรม ได้รับตำแหน่งและเลื่อนขั้นยศตามขั้นตอนของระบบราชการ การศึกษาต่อเพิ่มเติมจะช่วยให้เลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่งได้รวดเร็วและสามารถเป็นถึงผู้บริหารสูงสุดของหน่วยงานได้ ส่วนในภาคเอกชนนั้นขึ้นอยู่กับโครงสร้างการบริหารงานขององค์กร ซึ่งสามารถเป็นผู้จัดการโรงงานผู้จัดการด้านคุณภาพหรือผู้จัดการฝ่ายขาย
เภสัชกรสามารถประกอบธุรกิจส่วนตัว คือ เป็นเจ้าของร้านขายยา สำหรับผู้ที่สามารถผลิตยาหรือผลิตภัณฑ์อื่น ที่สามารถบำบัดรักษาอาการเจ็บป่วยหรือบำรุงรักษาสุขภาพได้โดยผ่านการทดสอบและได้รับอนุญาตจากองค์การเภสัชกรรม สามารถจดลิขสิทธิ์การเป็นเจ้าของสูตรในการปรุงยา หรือผลิตภัณฑ์นั้น และผลิตเป็นสินค้าออกจำหน่ายในลักษณะอุตสาหกรรมได้เช่นกัน

8.ตัวอย่างบุคคลที่อยู่ในอาชีพดังกล่าว (เรื่องราวโดยย่อ)
เภสัชกรหญิงจันทิมา โยธาพิทักษ์:

เภสัชกรหญิงจันทิมา โยธาพิทักษ์ จบการศึกษาในระดับปริญญาตรีจากคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดลในปีพ.ศ.2532 และเภสัชศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาวิชาเภสัชกรรมคลินิก มหาวิทยาลัย ขอนแก่น ในปีพ.ศ.2544 ได้เริ่มปฏิบัติงานครั้งแรกในตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายเภสัชกรรม โรงพยาบาลบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรี ระหว่างปี พ.ศ.2532-2534 แล้วย้ายมาเป็นเภสัชกร กลุ่มงานเภสัชกรรม โรงพยาบาลสุราษฎร์ธานี รับผิดชอบงานบริหารเวชภัณฑ์จนถึงปีพ.ศ.2536 หลังจากนั้นได้รับมอบหมายให้เป็นหัวหน้าศูนย์บริการข้อมูลข่าวสารด้านยาและพิษวิทยา จนถึงปัจจุบัน

จากการเริ่มงานในตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายเภสัชกรรมโรงพยาบาลชุมชนตั้งแต่ต้น ทำให้เภสัชกรหญิงจันทิมาได้เรียนรู้และมีโอกาสทำงานประสานกับบุคลากรระดับต่างๆ ตั้งแต่ยังเป็นหน่วยงานเล็ก และด้วยความมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีกับวิชาชีพอื่นในโรงพยาบาล ประกอบกับนิสัยการทำงานอย่างตั้งใจ ทุ่มเททั้งกำลังกายกำลังใจและเวลา ดังนั้น เมื่อได้รับมอบหมายให้เริ่มงานบริการข้อมูลข่าวสารด้านยา กลุ่มงานเภสัชกรรม โรงพยาบาลสุราษฎร์ธานี จึงสามารถพัฒนางานให้ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว มีความพยายามในการจัดหาและพัฒนาแหล่งข้อมูลเป็นจำนวนมากทำให้การสืบค้นข้อมูลมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ยังให้บริการด้วยความเต็มใจกับบุคลากรทางการแพทย์ต่างๆ ในโรงพยาบาลและประชาชนทั่วไป ในที่สุด เมื่อได้รับการจัดตั้งให้เป็นศูนย์บริการข้อมูลข่าวสารด้านยาและพิษวิทยา จึงมีผลงานเป็นที่ยอมรับในแวดวงวิชาชีพอย่างกว้างขวาง สามารถทำประโยชน์ในการสนับสนุนงานรักษาพยาบาลผู้ป่วยได้ทั่วประเทศ

นอกจากการปฏิบัติงานในโรงพยาบาลแล้ว เภสัชกรหญิงจันทิมา ยังได้รับเชิญให้เป็นวิทยากรและอาจารย์พิเศษ นำเสนอประสบการณ์และถ่ายทอดความรู้อันเป็นประโยชน์ให้กับนักศึกษาเภสัชศาสตร์ และงานวิชาชีพด้วย รวมทั้งเป็นผู้ริเริ่มในการนำงานวิจัยมาประยุกต์ใช้เพื่อการสืบค้นหาปัญหาและปรับปรุงแก้ไข ทำให้มีการพัฒนาการทำงานอยู่เสมอ

เภสัชกรหญิงจันทิมา เป็นผู้มีนิสัยใฝ่ศึกษาหาความรู้เพื่อการพัฒนาการทำงานอย่างไม่หยุดยั้ง และด้วยคุณสมบัติที่ดีในการปฏิบัติงานอย่างตั้งใจ ทุ่มเท และบริการด้วยความเต็มใจ จึงถือเป็นแบบอย่างที่ดีของเภสัชกรโรงพยาบาล ในการเป็นที่พึ่งของบุคลากรทางการแพทย์และประชาชนทั่วไปด้านแหล่งข้อมูลเกี่ยวกับยา ช่วยสนับสนุนให้การรักษาผู้ป่วยมีประสิทธิภาพ และทำให้บทบาทวิชาชีพเภสัชกรรมมีความโดดเด่น เป็นที่ยอมรับกว้างขวางทั่วไป ไม่เฉพาะภายในจังหวัดสุราษฎร์ธานีเท่านั้น รวมทั้งยังมีผลงานวิจัยที่มีคุณภาพตีพิมพ์เผยแพร่เป็นจำนวนมากอีกด้วย

จากผลงานดีเด่นดังกล่าว สมาคมเภสัชกรรมโรงพยาบาล(ประเทศไทย) ในคราวประชุมครั้งที่ 12 วันเสาร์ที่ 9 เมษายน พ.ศ.2548 จึงมีมติให้ เภสัชกรหญิงจันทิมา โยธาพิทักษ์ เข้ารับมอบรางวัลเภสัชกรโรงพยาบาลดีเด่น ด้านบริการเภสัชสนเทศ เพื่อเป็นเกียรติประวัติสืบไป

ธัญญาภรณ์ กอสุวรรณ กล่าวว่า...

นางสาวธัญญาภรณ์ กอสุวรรณ รหัว48010510745
สาขาวิชาสังคมศึกษา ชั้นปีที่4 คณะศึกษาศาสตร์

บทความเรื่องอาชีพ นักเทคนิคการแพทย์
1. ชื่ออาชีพ
นักเทคนิคการแพทย์ นักเทคโนโลยีการแพทย์ Medical Technologist

2. ลักษณะอาชีพอาชีพ
ผู้ปฏิบัติงานอาชีพนี้ ได้แก่ผู้ทดลองในห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์ และช่วย นักวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับชีวิต ด้วยการนำเทคนิคใหม่ๆ มาใช้แก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับชีวิต รวมถึงการทดสอบตัวอย่างที่ได้จากร่างกายคนไข้ เช่น เลือด ของเหลวในร่างกาย เนื้อ ปัสสาวะ อุจจาระ ทำงานประจำวันเกี่ยวกับการเขียนป้ายติดของตัวอย่างและการบันทึกข้อมูลที่สำคัญๆ ตั้งเครื่องมือเครื่องใช้ เช่น เครื่องระบบแรงหนีศูนย์ เครื่องเพาะ เครื่องทำระเหย เครื่องกวน เครื่องฆ่าเชื้อโรคด้วยความร้อน หรืออ่างน้ำ เพื่อใช้ในกรรมวิธีการทดสอบและงานวิเคราะห์ เตรียมการเพาะเชื้อ จากตัวอย่าง เลือกเครื่องมือที่เหมาะสม และใช้วิธีการดำเนินการตามแบบมาตรฐาน ตรวจพิสูจน์เชื้อบักเตรีที่เพาะไว้ด้วยกล้องจุลทรรศน์ และด้วยการกำหนดความต้องการและปฏิกริยาของการเพาะที่มีต่อสื่อ จัดเตรียมสื่อการเพาะสีและ ตัวกระทำตามสูตรมาตรฐานทำการทดลองเป็นพิเศษ เช่นความรู้สึกทางปฏิชีวนะ การรวมกันและการผลักหรือการแยกออกจากกัน
ลักษณะของงานที่ทำ
ทำการวิเคราะห์ทางเคมีทั้งด้านคุณภาพ และปริมาณ เกี่ยวกับของเหลวและการไหลซึมใน ร่างกายมนุษย์เพื่อหาข้อมูลสำหรับใช้ในการวินิจฉัยและการรักษาโรค
ทดสอบตัวอย่างที่ได้จากร่างกายมนุษย์ เช่น ปัสสาวะ เลือด ของเหลวจากไขสันหลัง น้ำย่อยในกระเพาะอาหาร เป็นต้น เพื่อให้ทราบถึงสารที่เกิดขึ้นและปริมาณของสารซึ่งอาจเปลี่ยนแปลงได้ภายใน ร่างกายมนุษย์ และสัตว์ ตลอดจนสิ่งพลอยได้อื่นๆ เช่น น้ำตาล ธาตุไข่ขาว และ อซิโทน เป็นต้น
ทดสอบสารเคมี ยารักษาโรค และยาพิษ ใส่ตัวกระทำลงในสิ่งที่จะทดสอบ ให้ความร้อน กรองหรือเขย่าสารละลายตามวิธีการ และบันทึกลักษณะการเปลี่ยนแปลงของสี หรือการตกตะกอนผสมสิ่งที่จะทดสอบกับสารมาตรฐาน หรือตรวจสอบสารละลายเคมี โดยใช้ โฟโตมิเตอร์ สเปกโตรกราฟ หรือเครื่องวัดสี เพื่อพิจารณาหาปริมาณของสาร
ทำหน้าที่วิเคราะห์ วิจัย โดยใช้เทคโนโลยีทางห้องปฏิบัติการ เพื่อนำผลการวิเคราะห์ไปใช้ประโยชน์ในการประเมินสุขภาพ การวินิจฉัยโรค การทำนายความรุนแรงของโรค การติดตามผลการรักษาการป้องกันโรคและความพิการการสนับสนุนการรักษา การวิเคราะห์สารพิษสารปนเปื้อนต่างๆ ในร่างกายมนุษย์ และสิ่งแวดล้อมรวมทั้งการควบคุมคุณภาพการพัฒนาและวิเคราะห์ลักษณะงานเทคนิคการแพทย์สาขาต่างๆ ได้แก่
1. เคมีคลีนิก
2. จุลชีววิทยาคลีนิก
3. ภูมิคุ้มกันวิทยาคลีนิกและธนาคารเลือด
4. จุลทรรศน์ศาสตร์คลีนิกและโลหิตวิทยา
นักเทคนิคการแพทย์จะเป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่อย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างใน 4 สาขา ดังกล่าว ได้แก่ การเก็บสิ่งส่งตรวจที่ได้มาจากร่างกายมนุษย์ เก็บรักษาสิ่งส่งตรวจ จัดเตรียมวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในกระบวนการตรวจวิเคราะห์เพื่อทราบชนิดและปริมาณของสิ่งที่ส่งตรวจ โดยใช้วิธีการที่เป็นมาตรฐานในห้องปฏิบัติการทั่วไป เพื่อนำผลที่ได้ไปใช้ประโยชน์กับผู้ป่วย
นอกจากนี้ยังรับผิดชอบในการรวบรวมข้อมูล จัดทำรายงานผลการตรวจวิเคราะห์ และการทดสอบต่างๆ ควบคุมดูแลการใช้งานและการเก็บรักษาเครื่องมือ ตลอดจนการตรวจสอบการประกัน คุณภาพ และสามารถถ่ายทอดความรู้ ให้คำปรึกษาแก่ผู้ร่วมงาน บุคลากรสาขาอื่น และประชาชนทั่วไปได้อย่างถูกต้อง

3. สภาพการจ้างงาน
นักเทคนิคการแพทย์ได้รับค่าตอบแทนเป็นเงินรายเดือน ซึ่งแตกต่างกันไปตามความรู้และความชำนาญ สำหรับผู้สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี ไม่มีประสบการณ์จะมีรายได้ ดังนี้
ประเภทองค์กร เงินเดือน
ราชการ 6,360
เอกชน 12,000 - 15,000

ส่วนใหญ่ทำงานสัปดาห์ละ 40 ชั่วโมง อาจต้องมาทำงานวันเสาร์ วันอาทิตย์ และวันหยุดหรือทำงานล่วงเวลา อาจต้องมีการจัดเวรอยู่ประจำโรงพยาบาล นอกจากผลตอบแทนในรูปเงินเดือนแล้วในภาครัฐวิสาหกิจและเอกชนอาจได้รับผลตอบแทนในรูปอื่น เช่น ค่ารักษาพยาบาล เงินสะสม เงินช่วยเหลือสวัสดิการในรูปต่างๆ เงินโบนัส เป็นต้น สำหรับผู้ที่สำเร็จเทคนิคการแพทย์ที่มีเงินทุนสามารถประกอบธุรกิจส่วนตัวด้วยการเปิดห้องแล็ปเพื่อตรวจ และวิเคราะห์สิ่งส่งตรวจ รายได้ที่ได้รับขึ้นอยู่กับความสามารถ และความอุตสาหะ
สภาพการทำงาน
นักเทคนิคการแพทย์ต้องทำงานในห้องทดลอง ต้องอยู่กับสารเคมีที่ต้องใช้ในการทดสอบกับ สิ่งส่งตรวจซึ่งอาจจะเป็น ปัสสาวะ อุจจาระ เลือด เป็นต้น ซึ่งผู้ที่จะประกอบอาชีพนี้ต้องไม่รังเกียจต่อการที่ต้องทดสอบสิ่งส่งตรวจดังกล่าวในข้างต้น นักเทคนิคการแพทย์ต้องระมัดระวัง การติดเชื้อที่ปนเปื้อนมากับสิ่งส่งตรวจ รวมทั้งสารเคมีใน ห้องปฏิบัติการทดลองอาจจะมีปฏิกิริยาที่ทำให้เป็นอันตรายได้ ดังนั้นจึงต้องทำงานตามขั้นตอนและการป้องกันตามระเบียบที่กำหนดไว้

4. คุณสมบัติของผู้ประกอบอาชีพ
1. สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาวิทยาศาสตร์บัณฑิต สาขาเทคนิคการแพทย์
2. เป็นผู้ใฝ่รู้ ติดตามการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีที่พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว
3. ฝึกฝนตนให้มีความชำนาญในการตรวจวินิจฉัยที่ตัวผู้ตรวจเองต้องมีความรู้ในการตัดสินใจ
4. รู้จักเลือกใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยและมีความสามารถในการพัฒนาเทคโนโลยีที่จะนำมาใช้ ให้เหมาะสม
5. เป็นผู้ที่มีความรับผิดชอบในการออกรายงานผลการตรวจ
6. เป็นผู้มีมนุษยสัมพันธ์ดี ทั้งกับผู้ที่มารับการตรวจและผู้ร่วมงานทั้งภายในและภายนอก
7. มีความสามารถในการแก้ปัญหาในการปฏิบัติงานในทุกกรณีด้วยการใช้ปัญญา
8. มีคุณธรรมและจริยธรรมมีจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพ
9. มีความสุขุมรอบคอบเยือกเย็น อดทน ชอบช่วยเหลือเสียสละ
10. ทำงานมีระเบียบแบบแผนและสามารถพัฒนาความรู้ในการทำงานให้มีความทันสมัยอยู่เสมอ
11. ไม่มีความพิการหรือโรคที่เป็นอุปสรรคต่อการศึกษาและการประกอบวิชาชีพ เช่น ตาบอดสี เป็นต้น
12. มีพื้นฐานความรู้ทางวิทยาศาสตร์ในด้านเคมี ฟิสิกส์ ชีววิทยา รวมทั้งคณิตศาสตร์และภาษาอังกฤษเป็นอย่างดี
13. มีบุคลิกดี มีความเชื่อมั่นในตนเอง สามารถปรับตัวในการทำงานและการให้ความร่วมมือกับ
6.มหาลัยที่เปิดสอน
บุคลากรทางการแพทย์ทุกระดับ
ผู้ที่จะประกอบอาชีพนี้ ควรเตรียมความพร้อมดังต่อไปนี้ : ผู้ที่ต้องการจะเป็นนักเทคนิคการแพทย์ต้องสำเร็จการศึกษามัธยมศึกษาตอนปลายสายวิทยาศาสตร์ และสมัครสอบในการคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษาในสถาบันอุดมศึกษาโดยทบวงมหาวิทยาลัยจะต้องศึกษาระดับปริญญาวิทยาศาสตร์บัณฑิต สาขาวิชาเทคนิคการแพทย์ จากมหาวิทยาลัยของรัฐและเอกชนที่เปิดสอนหลักสูตรนี้ เช่น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหิดล มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ มหาวิทยาลัยรังสิต เป็นต้น ใช้เวลาการศึกษาตามหลักสูตร 4 ปี เมื่อสำเร็จการศึกษาแล้วต้องขอขึ้นทะเบียนประกอบโรคศิลป์สาขาเทคนิคการแพทย์ สำหรับค่าใช้จ่ายในการศึกษาของมหาวิทยาลัยของรัฐ ปีละประมาณ 55,000 - 60,000 บาท
โอกาสในการมีงานทำ
ผู้ที่สำเร็จปริญญาตรีวิทยาศาสตร์บัณฑิต(เทคนิคการแพทย์) และได้ขอรับใบอนุญาตประกอบโรคศิลป์สาขาเทคนิคการแพทย์ สามารถสมัครงานในภาครัฐในตำแหน่งนักเทคนิคการแพทย์ โดยปฏิบัติหน้าที่ ในห้องปฏิบัติการชันสูตรในโรงพยาบาลต่างๆ ในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข มหาวิทยาลัย กองทัพ องค์การและสถาบันวิจัยต่างๆ
สำหรับผู้ที่สนใจทำงานในภาคเอกชนสามารถสมัครงาน ตามโรงพยาบาลเอกชนห้องปฏิบัติการ ศูนย์แล็ปต่างๆ บริษัทจำหน่ายผลิตภัณฑ์และเครื่องมือทางการแพทย์ ตลอดจนโรงงานอุตสาหกรรม อาชีพนี้ยังเป็นที่ต้องการในตลาดแรงงานเนื่องจากยังขาดแคลนบุคลากรด้านนี้ โดยเฉพาะในระดับภูมิภาค ที่ไกลความเจริญ
ปัจจุบัน ทบวงมหาวิทยาลัยได้จัดให้สาขาเทคนิคการแพทย์ เป็นสาขาวิชาชีพขาดแคลน ซึ่งสถาบันต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชนต้องเพิ่มจำนวนการผลิตนักเทคนิคการแพทย์ และผู้ประกอบวิชาชีพนี้ จะได้รับเงินเพิ่มพิเศษนอกเหนือจากเงินเดือน

7. โอกาสความก้าวหน้าในอาชีพ
ผู้ประกอบอาชีพนี้สามารถได้รับการเลื่อนขั้นและเลื่อนตำแหน่งได้ตามผลงาน ประสบการณ์และอายุงานที่ปฏิบัติ โดยตำแหน่งสูงสุดสามารถขึ้นได้ถึงระดับบริหารในหน่วยงานนั้น นักเทคนิค การแพทย์สามารถหารายได้พิเศษ โดยปฏิบัติงานในห้องทดลองในศูนย์แล็ปต่างๆ และสามารถศึกษาต่อระดับปริญญาโทและปริญญาเอก ทั้งใน และต่างประเทศได้หลายสาขา เช่น สาขาเทคนิคการแพทย์ พยาธิวิทยาคลีนิค จุลชีววิทยา ชีวเคมี พยาธิชีววิทยา สรีรวิทยา พิษวิทยา นิติวิทยาศาตร์ เทคโนโลยีชีวภาพ อายุรศาสตร์เขตร้อน วิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม เป็นต้น หรืออาจจะเปลี่ยนไปเรียนสาขาอื่นเช่น ปริญญาโททางธุรกิจ หรือเข้าศึกษาแพทย์ เมื่อสำเร็จการศึกษาสามารถประกอบอาชีพเป็นอาจารย์สอนในสถาบันที่เปิดสอนหลักสูตรเทคโนโลยีการแพทย์ได้


8.ตัวอย่างบุคคลที่อยุ่ในอาชีพดังกล่าว
ชื่อจริง: อโณทัย
นามสกุล: โภคาธิกรณ์
อาชีพ: รับราชการ
ตำแหน่ง: นักเทคนิคการแพทย์
องค์กร/บริษัท: มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
ที่อยู่: หน่วยเคมีคลินิก คณะแพทย์
อำเภอ: หาดใหญ่
จังหวัด: สงขลา
รหัสไปรษณีย์: 90110
ประเทศ: ไทย

ประวัติย่อ: เป็นคนกรุงเทพ แต่ได้โตมาในหลายๆจังหวัดของเมืองไทย เป็นศิษย์เก่าโรงเรียนในระดับประถม ในหลายจังหวัด ตั้งแต่สมุทรสงคราม มุกดาหาร ชัยนาท หนองคายแต่ได้กลับมาเรียนที่กรุงเทพอีกในชั้นมัธยมต้นที่ชิโนรสวิทยาลัย มอปลายที่เตรียมอุดมศึกษา จบเทคนิคการแพทย์ที่มหิดล เริ่มทำงานที่หน่วยจุลชีววิทยา รพ.รามาธิบดี ทำอยู่แปดปี ก็ย้ายตามสามีมาอยู่คณะแพทย์ มอ. มีลูกชายสามคน (อยากมีสักสิบเอ็ดจะได้ตั้งทีมฟุตบอล) แล้วก็มีอันให้ได้ไปเรียนต่อด้วยทุนพัฒนาอาจารย์ ในช่วงเศรษฐกิจตกสะเก็ด ติดต่อสถานที่เรียนเรียบร้อยคือ UWA, Perth Australia ก็มีอันต้องระงับไป แต่ด้วยดวงอันต้องระเหเร่ร่อน จึงได้รับทุน AusAID ซึ่งกพ.จัดสรรมาให้สำหรับคนที่มหาวิทยาลัยตอบรับแล้วไปเรียน 2 ปีจบโท coursework (Master of Laboratory Medicine) นึกว่าจะได้กลับบ้านเราเพราะปกติทุน AusAID เค้ามีกฎว่าเรียนจบทุนเค้าต้องกลับประเทศอย่างน้อยหนึ่งปีจึงจะกลับมาใหม่ได้ แต่รัฐบาลไทยได้ทำข้อตกลงพิเศษให้ต่อเอกได้เลย ถ้ามหาวิทยาลัยรับ ก็เลยมีอันต้องอยู่เรียนต่อจนจบเอก ตกลงใช้ชีวิตอยู่เมืองเค้ามาหกปี โชคดีที่ได้มีโอกาสไปทำ lab อยู่ในโรงพยาบาลที่เป็นโรงเรียนแพทย์ (Royal Perth Hospital) จึงได้พบเห็นอะไรๆที่ทำให้ภูมิใจในความก้าวหน้าของบ้านเราซึ่งถึงแม้วิทยาการด้าน Molecular biology อาจจะไม่ทัดเทียมเค้า แต่ด้านการบริการและการดูแลคนไข้ไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่าเค้าเลย ดูเหมือนจะดีกว่าด้วยซ้ำ ดีใจที่ได้กลับมาบ้านเรา รักเมืองไทยขึ้นเยอะค่ะ

เอาแบบย่อกว่าข้างบน ก็คือ

เกิดที่กรุงเทพ
โตที่สมุทรสงคราม มุกดาหาร หนองคาย กาฬสินธุ์ ชัยนาท
มัธยมต้น โรงเรียนชิโนรสวิทยาลัย
มัธยมปลาย โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา
ปริญญาตรี เทคนิคการแพทย์ (เกียรตินิยมอันดับสอง) ม.มหิดล
ปริญญาโท Master of Laboratoty Medicine จาก The University of Western Australia (UWA)
PhD จาก The University of Western Australia ด้วย Thesis เรื่อง Low density lipoprotein receptor-related protein (LRP) and its mRNA : influence of genetic polymorphisms, a fat load and statin therapy

นายทินกร รังรส กล่าวว่า...

นายทินกร รังรส รหัสนิสิต 48010510641 สาขาสังคมศึกษา ปีที่ 4 คณะศึกษาศาสตร์

1.ชื่ออาชีพ
ครู-อาจารย์ Teachers , Tutors , Lecturers

2.ลักษณะของอาชีพ (การทำงาน)
ผู้ประกอบอาชีพนี้ มีหน้าที่ในการสอน อบรม ทางด้านวิชาการและภาคปฏิบัติ พุทธศึกษา จริยศึกษา และพลศึกษา ที่เน้นนักเรียนเป็นจุดศูนย์กลางในการเรียน รวมถึงคอยดูแลอบรมความประพฤติ เพื่อให้ผู้เรียนเป็นคนโดยสมบูรณ์ทั้งร่างกายและจิตใจ มีสติปัญญา ความรู้ คุณธรรม และจริยธรรม และวัฒนธรรมในการดำรงชีวิต สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข
ครู - อาจารย์ มีหน้าที่ในการสอนแต่ละชั้นให้ได้มาตรฐานการศึกษา ดังต่อไปนี้
1. ครูอนุบาล (Pre-Primary Education Teacher, Kindergarten Teacher)
เป็นผู้ที่สอนหนังสือเด็กชายและเด็กหญิง ในโรงเรียนที่รับเลี้ยงและสอนเด็กที่ยังไม่เข้าเกณฑ์ เรียนหนังสือ และโรงเรียนอนุบาล รวมถึงการฝึกอบรมและแนะนำเด็กที่มีอายุตั้งแต่ 3 ปี ขึ้นไป เพื่อช่วยเตรียมความพร้อมที่จะเข้าศึกษา ในโรงเรียนขั้นประถมศึกษาต่อไป โดยทำหน้าที่ฝึกฝนเด็กเกี่ยวกับนิสัย เช่น ความสะอาด การตรงต่อเวลา การให้ความร่วมมือ การเคารพเชื่อฟัง การ เข้าสังคม สอนให้มีความเชื่อมั่นในตนเอง โดยมอบหมายให้ทำงานง่ายๆ และสนับสนุน ให้เด็กได้มีส่วนร่วมสนุกในเกมส์ต่างๆ สอนกายบริหาร ดนตรี เต้นรำ รำ และใช้สื่อการสอนที่ช่วยกันประดิษฐ์ขึ้นง่ายๆ ให้แก่เด็ก เพื่อพัฒนาทั้งทางด้านจิตใจ และร่างกาย และกิจกรรมอื่นๆ เช่น การสร้างแบบจำลองการวาดเขียนและการระบายสี เพื่อพัฒนาความสามารถที่มีอยู่ ในตัวเด็ก สอนวิชาพื้นฐานเบื้องต้นง่ายๆ อาจแนะนำบิดามารดา เกี่ยวกับการสร้างนิสัยที่ดี และการแก้ไขนิสัยที่ไม่ดีของเด็ก อาจทำงานร่วมกับนักจิตวิทยาเด็ก
2. ครูประถมศึกษา (Primary Education Teacher)
ปฏิบัติหน้าที่ในการสอนการอ่านการเขียนเลขคณิต และวิชาพื้นฐานเบื้องต้น เตรียมโครงการสอนในชั้นที่จะต้องสอนตลอดปีการศึกษา สอนวิชาการต่างๆ ควบคุมการทำงานในชั้นเรียน เตรียมแบบฝึกหัดให้นักเรียนทำ แบบฝึกหัด และตรวจสมุดแบบฝึกหัดของนักเรียน ดำเนินการสอบและตรวจให้คะแนน ควบคุมนักเรียนให้อยู่ในระเบียบวินัย ทำรายงานต่างๆ เกี่ยวกับตัวเด็ก อาจสอนหลายวิชาในชั้นเดียวกัน และควบคุมกิจกรรมนอกหลักสูตร
3. ครูมัธยมศึกษา (Secondary Education Teacher)
ผู้ปฏิบัติงานอาชีพนี้ ทำหน้าที่ในการสอนวิชาการในระดับมัธยมศึกษา รวมถึงครูที่สอน หรือฝึกอบรมวิชาชีพในสถาบันการศึกษาที่ต่ำกว่าระดับมหาวิทยาลัย เช่น ครูสอนผู้ใหญ่ในโรงเรียนที่สอนวิชาทางด้านธุรกิจหรือการค้า หรือในสถานฝึกอบรม หรือทำการสอนเฉพาะวิชา หรือสอนวิชาอื่นที่เกี่ยวข้องกัน เพื่อให้ได้มาตรฐานอาจทำหน้าที่เป็นอาจารย์ ที่ปรึกษาประจำชั้น หรือทำหน้าที่พิเศษเป็นหัวหน้ากิจกรรมแนะแนว ประชาสัมพันธ์ หรือทำหน้าที่เป็นอาจารย์ปกครอง อาจสอนนักเรียนผู้ใหญ่ในชั้นเรียนตอนเย็น อาจมีความชำนาญในการสอนวิชาอื่นๆ หรืออาจเป็นผู้ที่สอนหนังสือในโรงเรียน สถาบันฝึกอาชีพ สถาบันสอนคอมพิวเตอร์ สถาบันกวดวิชา หรือภาษาต่างประเทศ ซึ่งมีการสอนอยู่ในขั้นระดับมัธยมศึกษา
4. อาจารย์มหาวิทยาลัย และสถาบันอุดมศึกษา (University and Higher Education Teacher)
ผู้ปฏิบัติงานอาชีพนี้ ได้แก่ ผู้สอนหนังสือใน คณะต่างๆ ของมหาวิทยาลัย และ สถาบันอุดมศึกษาให้แก่ผู้ที่เรียนในขั้นปริญญาตรีและปริญญาโทในวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยให้เป็นบัณฑิตที่พร้อมไปด้วยวิทยาการ และจริยธรรม
ทำหน้าที่สอนตั้งแต่หนึ่งวิชาขึ้นไปในมหาวิทยาลัย วิทยาลัย หรือสถาบันอุดมศึกษาอื่นๆ เตรียมคำสอนและบรรยายให้นิสิต นักศึกษาฟัง
เตรียมข้อสอบ คุมการสอบ และตรวจให้คะแนน ศึกษาและค้นคว้าเอกสารใหม่ๆที่เกี่ยวกับวิชาที่สอนเพื่อปรับปรุงการสอนให้ทันสมัย
ควบคุมระเบียบวินัย และความประพฤติของนิสิตนักศึกษาในสถาบันให้เป็นไปตามระเบียบว่าด้วยการศึกษา และหลักเกณฑ์ ที่แต่ละมหาวิทยาลัยวางไว้
ทำการวิจัยเรื่องต่างๆ เป็นเอกเทศ และที่เกี่ยวกับการสอน ให้คำแนะนำนิสิตนักศึกษาในการเลือกวิชาเรียนเพื่อจะได้มีความรู้ความชำนาญเฉพาะเรื่อง อาจทำการวิจัย และทดลองเพื่อนำข้อมูล มาใช้ให้เป็นประโยชน์สำหรับการสอน อาจมีหน้าที่เตรียมหัวข้อหลักสูตรการศึกษา จัดตารางสอน สอนทบทวนในชั้น สอนภาคพิเศษ อาจมีหน้าที่ปฏิบัติงานด้านบริหาร อาจขอรับความช่วยเหลือจากหน่วยงานภายนอกเกี่ยวกับการสอน การวิจัยการรวบรวมข่าวสาร และการอำนวยความสะดวกต่างๆ ในแขนงวิชาที่ต้องการศึกษาเป็นพิเศษ

3.ลักษณะของบุคคลที่เหมาะกับอาชีพ (ความต้องการด้านบุคลากร)
1. มีอายุไม่ต่ำกว่า 18 ปี
2. เป็นผู้มีความรู้ ความสามารถและตระหนัก ในคุณค่าของอาชีพ
3. มีความสามารถในการถ่ายทอดความรู้ และเนื้อหาวิชาเฉพาะในแต่ละสาขา
4. มีความเสียสละ มีความเป็นเหตุเป็นผล สามารถใช้เหตุผลในการแสดงความคิดเห็นอย่างมี ขั้นตอน มีระเบียบชัดเจนและรัดกุม
5. มีมนุษยสัมพันธ์
6. เป็นผู้รักงานสอน มีความรักและเมตตาต่อลูกศิษย์
7. มีโลกทัศน์กว้างไกล
8. สุขภาพร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์

4.ระดับรายได้ และความก้าวหน้า รวมไปถึงสวัสดิการที่เกี่ยวกับอาชีพ
ผู้ปฏิบัติงานอาชีพครู - อาจารย์ ถ้ารับราชการจะได้รับเงินเดือนตามวุฒิการศึกษา โดยมีสวัสดิการ และสิทธิที่ครู - อาจารย์พึงได้ตามที่องค์กร ต้นสังกัดเป็นผู้กำหนดทุกประการ
ประเภทองค์กร เงินเดือน
ราชการ 6,360
เอกชน 6,500 - 7,000
ในการสอนล่วงเวลาในโรงเรียนรัฐบาลส่วนมากครูจะอุทิศเวลาช่วยสอนนักเรียนเพื่อให้เตรียมตัวพร้อมสำหรับการสอบ อาจมีครู - อาจารย์ ที่รับสอนพิเศษ ณ สถานกวดวิชา หรือที่บ้าน เพื่อเป็นรายได้พิเศษ
ผู้ประกอบอาชีพครู - อาจารย์มีชั่วโมงการสอนไม่เท่ากันและไม่แน่นอน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในสถาบันอุดมศึกษา อาจมีชั่วโมงการสอนในแต่ละสัปดาห์ไม่มากนัก แต่ต้องใช้เวลาส่วนหนึ่งในการศึกษา ค้นคว้า วิจัย ในการเตรียมการสอน หรืออาจทำหน้าที่ฝ่ายบริหาร โดยอาจได้รับค่าตอบแทนหรือไม่ได้รับค่าตอบแทนการทำงานก็ได้ หรืออาจได้รับงานการวิจัยจากภายนอกซึ่งได้รับค่าตอบแทนการทำงานในอัตราที่ไม่แน่นอน ขึ้นอยู่กับข้อตกลง

5.วิธีการเข้าสู่อาชีพ (การศึกษา, สาขาที่เกี่ยวข้อง, วิชา, วุฒิการศึกษา)
ผู้ที่จะประกอบอาชีพนี้ ควรเตรียมความพร้อมดังต่อไปนี้คือ : ในด้านคุณสมบัติทางการศึกษา ผู้ที่เป็นครูในชั้นเด็กเล็กหรืออนุบาลอาจสำเร็จการศึกษาในระดับที่ต่ำกว่าปริญญาตรี แต่ต้องได้รับการอบรมหรือสำเร็จการศึกษาทางวิชาชีพครูส่วนผู้ที่สอนระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาจะต้องสำเร็จการศึกษาระดับไม่ต่ำกว่าปริญญาตรีจากสถาบันการศึกษาที่ กพ.รับรอง ทั้งในประเทศและต่างประเทศสำหรับผู้ที่จะสอนในระดับอุดมศึกษาควรจะต้องสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทขึ้นไป โดยสามารถสอบคัดเลือกเข้าศึกษาในสถาบันอุดมศึกษาคณะศึกษาศาสตร์วิทยาศาสตร์บัณฑิตในสาขาเอกศึกษาศาตร์ - เกษตร และศึกษาศาสาตร์ - พลศึกษา ศิลปศาตร์บัณฑิตในสาขาวิชาเอกศึกษาศาสตร์ - พลศึกษาและศึกษาศาสตร์ -คหกรรมศาสตร์ ศึกษาศาสตร์บัณฑิตในสาขาวิชาเอกสุขศึกษา ธุรกิจศึกษา การสอนคณิตศาสตร์และการสอนวิทยาศาสตร์ หรือจากวิทยาลัยในกรมอาชีวศึกษา มหาวิทยาลัย ในระบบราชการและนอกระบบราชการสถาบันราชภัฎ 36 แห่ง สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล ที่ได้ขยายและจัดเพิ่มเติมขึ้น ในแต่ละภูมิภาค และภูมิลำเนาของตนได้ เช่น
ภาคเหนือ มีมหาวิทยาลัยนเรศวร มหาวิทยาลัยแม่โจ้ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง
ภาคอิสานมี มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี มหาวิทยาลัยสารคาม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี
ภาคตะวันออกมี มหาวิทยาลัยบูรพา
ภาคใต้ มีมหาวิทยาลัยทักษิณ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ มหาวิทยาลัยกัลยาณี เป็นต้น
นอกจากนี้ ผู้ที่สำเร็จการศึกษาในวิชาชีพอย่างอื่น เช่น แพทย์ วิศวกรรม สถาปัตยกรรม ก็สามารถเป็นอาจารย์ในสถาบันการศึกษาสอนทางวิชาการที่ตนเรียนสำเร็จและมีความชำนาญการได้

6.มหาวิทยาลัยหรือสถานศึกษาที่เปิดสอน
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
และอื่น ๆ อีกมากมาย

7.ความต้องการของตลาดแรงงาน
ปัจจุบันบทบาทการศึกษาในประเทศไทยได้มีการปฏิรูป ให้สอดคล้องผสมผสานระหว่างความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีทางการศึกษาและวิถีชีวิตของชุมชน ตามการจัดการศึกษาตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 คือคนไทยมีสิทธิและโอกาสเสมอกัน ในการรับการศึกษาขั้นพื้นฐานไม่น้อยกว่า 12 ปี ที่รัฐต้องจัดให้ทั่วถึงอย่างมีคุณภาพโดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย รวมทั้งผู้พิการทางร่างกาย โดยมีเป้าหมายในการพัฒนาคนไทยให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ทั้งร่างกาย จิตใจสติปัญญา ความรู้ คุณธรรม และสามารถอยู่ร่วมกับคนอื่นได้ และ ยังเปิดโอกาสให้ประชาชนทุกคนมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาทั้งบุคคล ครอบครัว ชุมชน สถาบันศาสนา องค์กรเอกชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อเป็นการพัฒนา ชุมชนให้สอดคล้องกับสภาพปัญหา และความต้องการ โดยกำหนดให้แต่ละสถานศึกษามีคณะกรรมการอย่างน้อยแห่งละเจ็ดคน ไม่เกินสิบห้าคน ประกอบด้วยผู้แทนผู้ปกครอง ผู้แทนครู ผู้แทนองค์กรชุมชน ผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้แทนศิษย์เก่าและผู้ทรงคุณวุฒิ โดยทำหน้าที่กำหนดนโยบายแผนพัฒนาและแผนปฏิบัติการ ของสถานศึกษา ดูแลการ จัดทำสาระหลักสูตรให้สอดคล้องกับความต้องการของท้องถิ่น กำกับติดตาม การดำเนินงานของสถานศึกษา และมีส่วนร่วมในการบริหารการจัดการของสถานศึกษา และส่งเสริม ให้มีการระดมทรัพยากร เพื่อการศึกษาตลอดจนวิทยากรภายนอก รวมทั้งภูมิปัญญาท้องถิ่น นับเป็นนิมิตดีของวงการศึกษาไทย ดังนั้น ครู - อาจารย์ ในปัจจุบันและอนาคตสามารถที่จะทำงานด้านวิชาชีพได้อย่างเต็มที่ ครูที่มีความรู้ ความสามารถจะเป็นที่ต้องการของตลาดแรงงานการศึกษามากขึ้น

8.ตัวอย่างบุคคลที่อยู่ในอาชีพดังกล่าว (เรื่องราวโดยย่อ)
กรองผกา บุญระมี ครู (คศ.4) โรงเรียนบ้านธาตุ
ครูกรองผกา อายุ 59 ปี จบปริญญาการศึกษาบัณฑิตการศึกษา สาขาวิชาภาษาไทย
เริ่มทำงานอาชีพครูครั้งแรกที่โรงเรียนบ้านท่าจำปา อำเภอท่าอุเทน จังหวัดนครพนม ตำแหน่งครูจัตวา เมื่อปี
2510 ครูกรองผกาได้จัดการเรียนการสอนกลุ่มการงานและพื้นฐานอาชีพ โดยเน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง
ให้ศึกษาค้นคว้าและฝึกปฏิบัติจริง และสามารถนำความรู้ไปใช้ในชีวิตประจำวันได้
ผลงานสำคัญที่ทำให้ครูกรองผกาภาคภูมิใจมากที่สุดคือ การคิดริเริ่ม
"โครงการทำกระดาษจากใบสับปะรด" เนื่องจากตำบลโนนตาล อำเภอท่าอุเทน จังหวัดนครพนม
ปลูกสับปะรดเป็นพืชเศรษฐกิจ ครูกรองผกาจึงคิดริเริ่มการจัดการเรียนการสอน
"การทำกระดาษจากใบสับปะรด" จัดทำหลักสูตรท้องถิ่น "หลักสูตรการปลูกสับปะรด"
เพื่อใช้ในการจัดการเรียนการสอนแก่กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี วิชางานเกษตร
ปี 2533 ครูกรองผกาได้รับรางวัลครูผู้สอนกลุ่มการงานดีเด่นระดับจังหวัด 2 ปีซ้อน
และรับรางวัลครูผู้ปฏิบัติงานมีผลงานดีเด่นจากสำนักงานคณะกรรมการคุรุสภาจังหวัดนครพนม, ปี 2533-2534
ได้รับเกียรติบัตรจากกระทรวงศึกษาธิการ และปี 2537 ได้รับรางวัลปากกาทอง ปี 2538
ได้รับเกียรติบัตรครูผู้สอนกลุ่มการงานและพื้นฐานอาชีพดีเด่น สปจ.นครพนม ปี 2539
ได้รับเกียรติบัตรครูผู้ปฏิบัติงานมีผลงานดีเด่นจากสำนักงานคณะกรรมการคุรุสภา จังหวัดนครพนม
และได้รับรางวัลเกียรติบัตรจากกระทรวงศึกษาธิการ ปี 2546
ได้รับเกียรติบัตรสนับสนุนงานโครงการชีวิตใหม่ให้สตรีชนบท ของศูนย์สงเคราะห์และฝึกอาชีพสตรีรัตนาภา
จังหวัดขอนแก่น "กลุ่มผลิตภัณฑ์กระดาษใยใบสับปะรดบ้านกลาง" ตำบลโนนตาล อำเภออุเทน
จังหวัดนครพนม จากกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
ครูกรองผกายังเป็นผู้ที่มีบุคลิกภาพที่สมกับความเป็นครู มีวินัยในตนเอง
และมีวิสัยทัศน์ต่อการพัฒนาการทางวิทยาการ มีความรับผิดชอบต่อวิชาชีพ มีความซื่อสัตย์สุจริต
เป็นแบบอย่างที่ดีแก่นักเรียน เป็นผู้เสียสละทั้งแรงกายแรงใจและกำลังทรัพย์
นับว่าเป็นครูผู้มีจิตวิญญาณของความเป็นครูอย่างแท้จริง

natchaya กล่าวว่า...

นางสาวณัฐชยา ครองหินลาด รหัสนิสิต 48010510627 สาขาสังคมศึกษา ชั้นปีที่4 คณะศึกษาศาสตร์
1.ชื่ออาชีพ : สัตวแพทย์
2.ลักษณะของอาชีพ (การทำงาน)
ปฏิบัติงานในด้านการดูแลสุขภาพสัตว์ การวินิจฉัยโรค การบำบัดรักษาและการป้องกันโรคสัตว์ ซึ่งแยกเป็น 2 สายงานหลัก คือ ด้านสัตว์เลี้ยง และด้านปศุสัตว์ นอกจากนี้ยังมีบทบาทหลักในงานด้านการปรับปรุงและขยายพันธุ์สัตว์ การพัฒนาอุตสาหกรรมการเลี้ยงสัตว์ อุตสาหกรรมเวชภัณฑ์และชีวภัณฑ์สำหรับสัตว์ อุตสาหกรรมอาหารสัตว์ ตลอดจนอุตสาหกรรมอาหารที่ได้จากสัตว์รวมทั้งงานด้านสัตวแพทย์สาธารณสุข ซึ่งได้แก่การป้องกันโรคสัตว์ที่สามารถติดต่อถึงมนุษย์ และสุขศาสตร์การอาหารที่ได้จากสัตว์

3.ลักษณะของบุคคลที่เหมาะกับอาชีพ (ความต้องการด้านบุคลากร)
-มีความเมตตาต่อสัตว์
-มีความรู้พื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ดี โดยเฉพาะวิชาเคมี ชีววิทยา และฟิสิกส์
-มีความสนใจวิชาในสาขาวิทยาศาสตร์ชีวภาพ ซึ่งต้องใช้ความอุตสาหพยายามในการเรียนทั้งด้านการจำและความเข้าใจในเนื้อหาวิชา
-มีสุขภาพดี เนื่องจากการเรียน และเนื้อหาในหลักสูตรสัตวแพทยศาสตร์บัณฑิตค่อนข้างมาก และมีการฝึกงานในภาคสนาม

4.ระดับรายได้ และความก้าวหน้า รวมไปถึงสวัสดิการที่เกี่ยวกับอาชีพ
ผู้ปฏิบัติงานอาขีพนี้ ได้รับค่าตอบแทนการทำงานเป็นเงินเดือนตามวุฒิการศึกษา โดยผู้ไม่มีประสบการณ์ในการทำงานจะได้รับเงินเดือนในอัตรา ดังนี้
หน่วยงาน
วุฒิการศึกษา ราชการ รัฐวิสาหกิจและเอกชน
ปริญญาตรี 8,190 12,000-15,000
ปริญญาโท 9,040 15,000-18,000
ปริญญาเอก 10,600 18,000-25,000

ผู้ปฏิบัติงานอาชีพนี้ส่วนใหญ่ ทำงานสัปดาห์ละ 40 ชั่วโมง อาจต้องมาทำงานวันเสาร์ วันอาทิตย์ และวันหยุด นอกจากผลตอบแทนในรูปเงินเดือนแล้วในภาครัฐวิสาหกิจและภาคเอกชนอาจได้รับผลตอบแทน ในรูปอื่น เช่น ค่ารักษาพยาบาล เงินสะสม เงินช่วยเหลือสวัสดิการในรูปต่างๆ เงินโบนัส เป็นต้น สำหรับผู้ที่มีเงินทุนสามารถประกอบธุรกิจส่วนตัว โดยรายได้ที่ได้รับจะขึ้นอยู


5.วิธีการเข้าสู่อาชีพ (การศึกษา, สาขาที่เกี่ยวข้อง, วิชา, วุฒิการศึกษา)
สัตวแพทยศาสตรบัณฑิตจะต้องผ่านการเรียนประมาณ 240 หน่วยกิต ซึ่งใช้เวลา 6 ปีเป็นอย่างน้อย ด้วยเนื้อหาของหลักสูตรค่อนข้างมาก ดังนั้นการศึกษา จึงค่อนข้างท้าทายความรับผิดชอบของผู้เรียน ในเรื่องของความมุ่งมั่นใฝ่หาความรู้ และไม่กลัวความยากลำบากในการเรียน ในปัจจุบันมีสถาบันที่เปิดสอนสัตวแพทย ศาสตรบัณฑิต 6 แห่ง คือ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น มหาวิทยาลัยเชียงใหม่มหาวิทยาลัยมหิดล และมหาวิทยาลัยมหานคร ซึ่งสามารถรับนิสิตนักศึกษาได้ปีละประมาณ 50-150 คน ทั้งนี้การรับนิสิตและนักศึกษาของมหาวิทยาลัยของรัฐมีทั้งระบบการสอบคัดเลือกของทบวงมหาวิทยาลัย และการรับในโครงการพิเศษ เช่น โครงการจุฬาฯ ชนบท โครงการรับนักศึกษาจากภูมิภาคของมหาวิทยาลัยขอนแก่น และโครงการส่งเสริมโอกาส ศึกษาต่อ สำหรับนักเรียนต่างจังหวัดของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เป็นต้น สำหรับค่าใช้จ่ายในการเรียนในสาขาวิชาชีพสัตวแพทย์ของมหาวิทยาลัยแห่งรัฐปีละประมาณ 20,000 บาท ผู้ที่ขัดสนสามารถขอทุนการศึกษาได้จากกองทุนต่าง ๆ ซึ่งคณะและมหาวิทยาลัยมีอยู่แล้ว

6.มหาวิทยาลัยหรือสถานศึกษาที่เปิดสอน
สถาบันที่เปิดสอนสัตวแพทย ศาสตรบัณฑิต 6 แห่ง คือ
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
มหาวิทยาลัยขอนแก่น
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่มหาวิทยาลัยมหิดล
มหาวิทยาลัยมหานคร

7.ความต้องการของตลาดแรงงาน
สัตวแพทยศาสตร์บัณฑิตจัดเป็นกลุ่มวิชาชีพขาดแคลน ดังนั้นจึงมีงานในตำแหน่งต่าง ๆทั้งภาครัฐและเอกชนรองรับอยู่มาก รายได้ของสัตวแพทยศาสตร์บัณฑิตจบใหม่ในส่วนราชการจะเท่ากับแพทยศาสตร์บัณฑิตและทันตแพทยศาสตร์บัณฑิต คือ ซี 4 ขั้น 2 ซึ่งนอกเหนือจากรายได้ปกติในฐานะข้าราชการแล้ว ยังสามารถประกอบกิจการส่วนตัว เช่น การเปิดคลินิกรักษาสัตว์เป็นรายได้เสริม ในด้านการศึกษาต่อของสัตวแพทยศาสตร์บัณฑิต สามารถสมัครเข้าโปรแกรมบัณฑิตศึกษาทั้งในประเทศหรือต่างประเทศ

8.ตัวอย่างบุคคลที่อยู่ในอาชีพดังกล่าว (เรื่องราวโดยย่อ)
ศาสตราจารย์ นายสัตวแพทย์ ดร.อายุส พิชัยชาญณรงค์ สำเร็จการศึกษาได้รับปริญญาสัตวแพทยศาสตรบัณฑิต เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง รางวัลเหรียญทอง จากมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ เมื่อ พ.ศ.๒๔๙๒ หลังจากจบการศึกษา ได้เริ่มรับราชการโดยดำรงตำแหน่งอาจารย์แผนกสรีรวิทยา คณะสัตวแพทยศาสตร์ กรมมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ กระทรวงสารธารณสุข ได้เดินทางไปศึกษาต่อจนสำเร็จการศึกษาขั้นปริญญาโทและเอก จากมหาวิทยาลัยคอร์แนลล์ สหรัฐอเมริกา ในปี พ.ศ. ๒๕๐๓ หลังจากที่กลับมารับราชการ ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าภาควิชาสรีรวิทยา และดำรงอยู่ในตำแหน่งตลอดมาจนกระทั่งเกษียณอายุราชการ เมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๘ ในระหว่างที่ดำรงตำแหน่งหัวหน้าภาควิชาได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้เป็นศาสตราจารย์ ภาควิชาสรีรวิทยา ตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๑๔ นอกจากนี้ยังได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง คณบดี คณะสัตวแพทยศาสตร์ ระหว่างปี พ.ศ.๒๕๑๖ - ๒๕๒๐ อีกด้วย
ศาสตราจารย์ นายสัตวแพทย์ ดร.อายุส พิชัยชาญณรงค์ ได้อุทิศตนในด้านการสอนและพัฒนาการศึกษาสาขาสัตวแพยศาสตร์ โดยเป็นผู้ริเริ่มให้มีการสอนแผนใหม่ และมุ่งผลิตอุปกรณ์การสอนในวิชาสรีรวิทยา จนเป็นผลดียิ่งต่อการศึกษาของนิสิต และเป็นแบบอย่างการสอนสรีรวิทยาด้านสัตวแพทยศาสตร์ของประเทศไทย นอกจากนั้นยังเป็นกำลังสำคัญในการริเริ่มการเรียนการสอนแบบสหสาขาวิชาในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นครั้งแรกจนเป็นผลดีต่อการศึกษาระดับบัณฑิตศึกษาเป็นอย่างยิ่งด้วยลักษณะความเป็นครู อาจารย์ที่ดี เป็นผู้ที่กอร์ปด้วยคุณธรรม จริยธรรม และเมตตากรุณาต่อนิสิต และผู้ร่วมงาน ได้อุทิศตนและทุ่มเทความรู้วิชาการ คำปรึกษาแนะนำที่เป็นประโยชน์แก่วิชาชีพแก่บัณฑิตที่จบการศึกษาให้สามารถบรรลุสู่ความสำเร็จ

เมื่อพ้นจากตำแหน่งราชการประจำเนื่องจากเกษียณอายุราชการแล้ว ศาสตราจารย์ นายสัตวแพทย์ ดร.อายุส พิชัยชาญณรงค์ ยังคงมาทำการสอนและแนะนำงานวิจัยแก่นิสิตทั้งระดับปริญญาตรีคณะสัตวแพทยศาสตร์ และระดับปริญญาโทสหสาขาสรีรวิทยา บัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตลอดมา นับเป็นตัวอย่างแบบฉบับที่ควรดำเนินรอยตาม
ในด้านการศึกษาวิจัย ศาสตราจารย์ นายสัตวแพทย์ ดร.อายุส พิชัยชาญณรงค์ เป็นผู้ผลิตผลงานด้านการวิจัยสาขาสรีรวิทยา เป็นจำนวนมาก ซึ่งได้รับการเผยแพร่และอ้างอิงทั้งในวารสารวิชาการและตำรา เป็นที่ยอมรับทั้งในระดับชาติและนานาชาติ นอกจากนั้นผลงานวิจัยดังกล่าวมีส่วนสำคัญในการพัฒนากิจการโคนมของประเทศ นับได้ว่า ศาสตราจารย์ นายสัตวแพทย์ ดร.อายุส พิชัยชาญณรงค์ เป็นผู้เชี่ยวชาญ ใช้ความรู้ความสามารถ ประสบการณ์ทางด้านวิชาการ เป็นผลดียิ่งต่อวิชาชีพสัตวแพทยศาสตร์เป็นอย่างยิ่ง
ด้วยลักษณะความเป็นผู้นำที่ดีของศาสตราจารย์ นายสัตวแพทย์ ดร.อายุส พิชัยชาญณรงค์ ในขณะดำรงตำแหน่งคณบดี คณะสัตวแพทยศาสตร์ ได้บริหารการศึกษาให้ดำเนินไปอย่างมีระเบียบ วินัย โดยได้รับความร่วมมือและความสามัคคีจากบุคลากรใต้บังคับบัญชาเป็นอย่างดี ได้บริหารงานการศึกษาคณะสัตวแพทยศาสตร์ให้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี โดยเฉพาะโครงการช่วยเหลือการผลิตสัตวแพทยศาสตรบัณฑิตให้กับประเทศเวียตนาม ด้วยความสามารถ คุณงามความดีและอุทิศตนอย่างสูง ศาสตราจารย์ นายสัตวแพทย์ ดร.อายุส พิชัยชาญณรงค์ ได้รับการคัดเลือกให้เป็นสัตวแพทย์ดีเด่นแห่งชาติ ประจำปี ๒๕๒๗ จากสัตวแพทย์สมาคมในพระบรมราชูปถัมภ์
โดยเหตุที่ ศาสตราจารย์ นายสัตวแพทย์ ดร.อายุส พิชัยชาญณรงค์ เป็นศาสตราจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิ ถึงพร้อมด้วยคุณธรรม และจริยธรรม ได้ทำคุณประโยชน์แก่คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และประเทศชาติ สมควรได้รับการยกย่องในวงวิชาการและวิชาชีพสัตวแพทย์ สภาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จึงลงมติเป็นเอกฉันท์ให้ได้รับพระราชทานปริญญาสัตวแพทยศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ เพื่อเป็นเกียรติสืบไป

อาภรณ์ แอแดง กล่าวว่า...

นางสาวอาภรณ์ แอแดง รหัส 48010511648 สาขา สังคมศึกษา ชั้นปีที่ 4 คณะศึกษาศาสตร์
บทความเรื่อง
อาชีพทันตแพทย์ Dentist general

1.ชื่ออาชีพ
ทันตแพทย์ Dentist general

2.ลักษณะของอาชีพ (การทำงาน)
ทันตแพทย์ เป็นผู้ประกอบวิชาชีพที่กระทำต่อมนุษย์เกี่ยวกับการตรวจ การวินิจฉัยการบำบัด หรือการป้องกัน โรคฟัน โรคอวัยวะที่เกี่ยวกับฟัน โรคอวัยวะในช่องปากโรคขากรรไกร และกระดูกใบหน้าที่เกี่ยวเนื่องกับขากรรไกรรวมทั้งการกระทำทางศัลยกรรม และการกระทำใด ๆ ในการบำบัดบูรณะและฟื้นฟูสภาพของอวัยวะในช่องปาก กระดูกใบหน้าที่เกี่ยวเนื่องกับขากรรไกรและการทำฟันใน ช่องปาก

3.ลักษณะของบุคคลที่เหมาะกับอาชีพ (ความต้องการด้านบุคลากร)
ผู้ที่จะเป็นทันตแพทย์ที่ดี ก่อนการตัดสินใจเลือก ควรต้องพิจารณาและสำรวจตนเองเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้
1. ด้านการศึกษา ควรมีพื้นฐานทางด้านวิทยาศาสตร์และภาษาอังกฤษเป็นอย่างดี
2. ด้านความถนัด ควรมีความถนัดในการใช้เครื่องมือเกี่ยวกับการปั้นและการประดิษฐ์และตกแต่งฟัน จึงเป็นงานประเภทการฝีมือที่ละเอียดอ่อนประเภทหนึ่ง
3. ด้านสุขภาพและบุคลิกลักษณะ ควรมีสุขภาพดี แข็งแรงสมบูรณ์ มีบุคลิกภาพดีรู้หลักจิตวิทยาและมนุษยสัมพันธ์ในการปรับตัวเข้ากับผู้อื่นได้ดี
4. มีฐานะทางการเงินดี เพราะต้องใช้เวลาเรียนหลายปี และมีค่าใช้จ่ายเพื่อการศึกษามาก
5. ต้องมีคุณสมบัติที่จะเข้ารับราชการได้หลังจากจบการศึกษาแล้ว
6. ก่อนเข้าศึกษาสามารถทำสัญญาเข้ารับราชการ หรือทำงานเมื่อสำเร็จการศึกษาแล้วเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 3 ปีติดต่อกัน กับคณะทันตแพทยศาสตร์ของแต่ละมหาวิทยาลัยตามเงื่อนไขของรัฐบาล

4.ระดับรายได้ และความก้าวหน้า รวมไปถึงสวัสดิการที่เกี่ยวกับอาชีพ
ทันตแพทย์สามารถทำงานในภาครัฐ และภาคเอกชนโดยประกอบอาชีพตามสถานบริการทันตกรรม โรงพยาบาลของรัฐ และเอกชน หรือประกอบธุรกิจส่วนตัว ทันตแพทย์ที่สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีจะได้รับเงินเดือนเทียบเท่าวุฒิปริญญาตรีทั่วไป อัตราค่าจ้างเป็นรายเดือนแตกต่างกันไปตามความรู้ และความชำนาญ สำหรับผู้สำเร็จการศึกษาใหม่ ไม่มีประสบการณ์จะมีรายได้โดยประมาณ ดังนี้

ประเภทองค์กร เงินเดือน

ราชการ 6,360

เอกชน 12,000 - 15,000

ทำงานสัปดาห์ละ 40 ชั่วโมง อาจจะต้องทำงานวันเสาร์ วันอาทิตย์ และวันหยุด อาจจะต้องมี การจัดเวรอยู่ประจำโรงพยาบาล นอกจากผลตอบแทนในรูปเงินเดือนแล้ว ผู้ทำงานกับภาครัฐจะได้รับ สวัสดิการตามระเบียบของทางราชการ ส่วนผู้ที่ทำงานในภาครัฐวิสาหกิจและเอกชนอาจได้รับผลประโยชน์อย่างอื่นมากกว่าภาคราชการ เช่น ค่ารักษาพยาบาล เงินสะสม เงินช่วยเหลือ สวัสดิการในรูปต่างๆ เงินประกันสังคม เงินโบนัส เป็นต้น สำหรับผู้ที่สำเร็จทันตแพทย์ที่มีเงินทุนสามารถประกอบธุรกิจส่วนตัวด้วยการเปิดคลีนิครักษาฟัน มีรายได้ขึ้นอยู่กับความสามารถ และความอุตสาหะ

5.วิธีการเข้าสู่อาชีพ (การศึกษา, สาขาที่เกี่ยวข้อง, วิชา, วุฒิการศึกษา)
จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย สายวิทยาศาสตร์ เพื่อศึกษาต่อ ในระดับปริญญาตรี (หลักสูตร 6 ปี) คณะทันตแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยขอนแก่น มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยมหิดล มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ หรือมหาวิทยาลัยนเรศวร

6.มหาวิทยาลัยหรือสถานศึกษาที่เปิดสอน
คณะทันตแพทยศาสตร์
1.จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
2.มหาวิทยาลัยขอนแก่น
3.มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
4.มหาวิทยาลัยมหิดล
5.มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
6.มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
7.หรือมหาวิทยาลัยนเรศวร

7.ความต้องการของตลาดแรงงาน
ปัจจุบันนี้ทันแพทย์เป็นอาชีพที่มีความสำคัญและเป็นที่ต้องการของตลาด เนื่องจากความเจ็บป่วยเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ว่าจะเด็ก ผู้ใหญ่ หรคือคนแก่ คนเหล่านี้ล้วนมีปํญหาสุขภาพฟันเป็นส่วนใหญ่
ดังนั้นผู้ที่สำเร็จการศึกษาทางทันตแพทย์หากมีความขยันอุตสาหะจะไม่มีการตกงาน เนื่องจาก นอกเหนือจากการเข้าทำงานในโรงพยาบาลของรัฐบาลหรือเอกชนแล้ว ยังสามารถประกอบอาชีพส่วนตัวด้วยการเปิดคลีนิครักษาโรคฟันได้ ซึ่งการรักษาฟันรวมถึงการทำศัลยกรรมฟัน เช่น ทำเขี้ยว และอื่นๆ กำลังเป็นที่นิยมของประชาชนทั่วไปกันมากขึ้น

โอกาสก้าวหน้าในอาชีพ
ทำงานในหน่วยงานของรัฐบาล รัฐวิสาหกิจ เอกชน หรือเปิดคลินิกอิสระของ ตนเอง ดังนั้นรายได้ของทันตแพทย์ จึงขึ้นอยู่กับการเลือกแหล่งงานที่ประกอบอาชีพ

ชื่อและระดับของตำแหน่ง
ตำแหน่งในสายงานนี้มีชื่อและระดับของตำแหน่งดังนี้ คือ

ทันตแพทย์ 4 ระดับ 4

ทันตแพทย์ 5 ระดับ 5

ทันตแพทย์ 6 ระดับ 6

ทันตแพทย์ 7 ระดับ 7

ทันตแพทย์ 8 ระดับ 8

ทันตแพทย์ 9 ระดับ 9

ทันตแพทย์ 10 ระดับ 10


8.ตัวอย่างบุคคลที่อยู่ในอาชีพดังกล่าว (เรื่องราวโดยย่อ)
ประวัติของทพ.อดิเรก ศรีวัฒนาวงษา
อายุ 56 ปี จ.กทม.

ตำแหน่งปัจจุบัน
นายกทันตแพทยสมาคมแห่งประเทศไทยฯ

จากบทสัมภาษณ์
" ผมเป็นคนกรุงเทพฯ มาตั้งแต่เกิด และไม่เคยย้ายไปไหน เข้าเรียนชั้นประถม จนจบมัธยมปลายที่ โรงเรียนอัสสัมชัญ บางรัก จากนั้นก็สอบเข้าเรียนที่คณะทันตแพทย์ฯ จุฬาฯ ไม่เคยตั้งใจว่าจะต้องเป็นทันตแพทย์ รู้จักวิชาชีพนี้เฉพาะเวลาที่ไปเป็นคนไข้ของ อาจารย์หมอฤทธิ์ บุศยอังกูร ตั้งแต่เด็ก ๆ ทุกครั้งที่ไปหาอาจารย์ ท่านจะแนะนำเรื่องการแปรงฟันจนติดหู และยังคงปฏิบัติมาตลอด ผมไม่มีฟันผุเพิ่มขึ้นอีกเลย อันนี้เป็นความทรงจำที่ดีต่อวิชาชีพนี้และได้ยึดหลักการสอน Oral Hygiene Instruction ข้างเก้าอี้กับคนไข้ของตัวเองมาตลอด และ ได้ผลดีมาก
หลังจากเรียนทันตแพทย์ได้ 1 ปี ก็ไปสอบเอ็นทรานส์ใหม่ ติดคณะแพทย์แต่ไม่ย้ายไปเรียน เพราะไม่เห็นความแตกต่างในการทำงาน ซึ่งอันที่จริงหลังจากจบและทำงานมาได้ 10 ปี ยังนึกดีใจว่าโชคดีที่เลือกเรียนทันตแพทย์เพราะเป็นวิชาชีพที่มีคนไข้ต้องการสูงมาก และได้ทำงานด้านคลินิกมากมายตลอด 10 ปีแรก แต่เมื่อมายุ่งกับงานบริหารก็พบกับความจริงของสังคมสาธารณสุขว่า ทุกเรื่องต้องยกให้แพทย์เป็นผู้เลือกแนวทางการตัดสินใจ อาจเป็นเพราะแพทย์มีจำนวนมากที่สุดในทุกสาขาอาชีพด้านนี้

ดังนั้นหลายต่อหลายเรื่องจึงมิใช่การตัดสินใจที่ดีที่สุดบนรากฐานของข้อมูลและความเป็นไปได้ในการปฏิบัติ แต่เป็นเพราะพวกมากกว่าและคุมอำนาจส่วนใหญ่ไว้และหลายครั้งก็นำมาซึ่งความล้มเหลวในนโยบายที่กำหนด ซึ่งตรงนี้บางคนอ้างว่าเป็นหลักประชาธิปไตยแบบอ้อม ๆ ดังนั้นใครจะว่าประชาธิปไตยดีที่สุด บางครั้งก็ไม่ใช่
ตอนที่จบปี 6 มีความชอบอยู่ 2 สาขา คือศัลย์ฯ และ ทันตกรรมประดิษฐ์ แต่แล้วก็เลือกเรียนศัลย์ฯ เพราะชอบที่การเรียนการสอนเน้นให้ออกไปทำงานที่สลับซับซ้อนได้ดีเหมือนกับวิชาจัดฟัน สมัยนั้นมีเปิดอยู่ไม่กี่สาขาและส่วนใหญ่จะเป็นหลักสูตร 1 ปี ยกเว้นศัลย์ฯ กับจัดฟัน 2 ปี เมื่อเข้าเรียนกับอาจารย์เชื้อโชติ เป็น Resident รุ่นที่ 11 ก็ได้รับรู้ว่ามีความต้องการการรักษาด้านศัลย์ฯ ของประชาชนสูงมาก และเป็นงานที่จะต้องช่วยกันสร้างรูปแบบที่ได้รับการยอมรับและเข้ากับสายงานด้านการแพทย์อื่น ๆ ได้ เพราะงานบางอย่างอาจซ้ำซ้อนกันกับการรักษาของแพทย์ จึงทำให้การทำความเข้าใจตรงนี้ต้องอาศัยผลงานการรักษาที่มีคุณภาพ เพื่อจะคงไว้ซึ่งสถานภาพของงานศัลย์ฯ จากทันตแพทย์ให้ดำรงอยู่ในงานด้านคลินิก ซึ่งต้องเรียนกับพวกเราว่า ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะอาจารย์เชื้อโชติ ทุ่มเทอย่างเกินร้อยให้กับงานตรงนี้ งานศัลย์ในประเทศไทยต้องเป็นโลกเฉพาะของแพทย์เท่านั้น เพราะไม่มีใครใจกว้างที่จะรับคนนอกสายวิชาชีพของตนมาทำงานในรูปแบบเดียวกัน แถมยังจัดการกับปัญหาที่มีรากฐานมาจาก Dental Origin ได้ดีกว่ามาก ตรงนี้สะท้องความจริงที่ว่า เพราะแพทย์เป็นบุคลากรส่วนใหญ่ในหมู่วิชาชีพด้านสุขภาพ ดังนั้นการกำหนดนโยบายตรงนี้ รวมไปถึงแนวทางปฏิบัติมักจะไม่เปิดโอกาสให้ทันตแพทย์เข้าไปเกี่ยวข้อง ซึ่งอาจารย์เชื้อโชติได้ฟันฝ่าด่านตรงนี้ไปได้ในระดับที่เรียกว่า แพทย์ทุกคนยอมรับในบทบาทด้านศัลย์ฯของทันตแพทย์ที่ได้รับการอบรมมากับอาจารย์ จนเกิดความชัดเจนถึงขอบเขตและความรับผิดชอบในสมัยของท่าน แต่ต่อมาจนถึงปัจจุบันคนรุ่นหลังของแพทย์เริ่มที่จะปรับลดบทบาทของทันตแพทย์ตรงนี้ลงไป คงต้องอาศัยพวกเราที่ยังทำงานอยู่มาช่วยกันผลักดันมิให้มันดับสูญไป เพียงเพราะพวกมากลากไป โดยไม่ได้คำนึงถึงคุณภาพงานการรักษาที่เป็นผลประโยชน์ของประชาชนอย่างแท้จริง "

เป็นบทสัมภาษณ์ส่วนตัวที่ท่านได้แสดงทัศนคติความคิดของท่านเกี่ยวกับอาชีพทันตแพทย์ ซึ่งจะเห็นได้ว่าท่านชื่นชมกับอาชีพทันตแพทย์มากๆ

ที่มาของบทสัมภาษณ์ http://www.rdhc.net

นางสาวบุญญรัตน์ เทศทำ กล่าวว่า...

นางสาวบุญญรัตน์ เทศทำ รหัสนิสิต 48010510784 สาขาวิชาสังคมศึกษา SO ชั้นปีที่ 4 คณะศึกษาศาสตร์
1. ชื่ออาชีพ โปรแกรมเมอร์
2. ลักษณะของอาชีพ ( การทำงาน)
โปรแกรมเมอร์ (programmer) มีหน้าที่หลักคือการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ซึ่งโปรแกรมเมอร์สามารถหมายถึงผู้ที่เชี่ยวชาญในการโปรแกรมเฉพาะด้าน หรือผู้ที่สามารถเขียนโค้ดได้สำหรับหลากหลายซอฟต์แวร์ เอดา ไบรอนได้ชื่อว่าเป็นโปรแกรมเมอร์คนแรกของโลก เพราะเป็นคนแรกที่สามารถนำอัลกอริทึม มาเรียบเรียงเป็นชุดคำสั่ง ให้กับเครื่องคำนวณได้ในปี พ.ศ. 2385 (ค.ศ. 1842) ในยุคที่ยังไม่มีเครื่องคอมพิวเตอร์)
3. ลักษณะของบุคคลที่เหมาะกับอาชีพ โปรแกรมเมอร์
1. สำรวจดูว่า ตัวเองมีคุณสมบัติเป็นโปรแกรมเมอร์หรือไม่
2. ฝึกเขียนโปรแกรม
3. ค้นหาข้อมูลเพิ่มเติม
4. เผยแพร่ผลงาน
5. กระทำตามข้อ 1 - 4 อย่างสม่ำเสมอ
คุณสมบัติของโปรแกรมเมอร์
1.คุณต้องมีความรู้ในเรื่องของทฤษฏี เป็นอย่างดี ไม่ใช่ใช้ประสบการณ์แบบโปรแกรมเมอร์สมัยโบราณ ซึ่งปัจจุบันการพัฒนาโปรแกรมมันเป็นไปในลักษณะของ OBject ที่ .net มันใช้กัน
ยกตัวอย่างเช่น สมมุติคุณเขียนโปรแกรมเก็บประวัติรายชื่อ รายละเอียดมันต้องมีอะไรบ้าง ถ้าพูดถึงประวัติ ต้องครอบคลุมในเรื่องของประวัติทั้งหมด รหัสมีกี่ตัวไม่สำคัญ ที่แน่ ๆ ต้องไม่ fix ตายตัว มีการยึดหยุ่นได้ คนอื่นนำไปสางต่อได้ แค่เขียนครั้งเดียว คนอื่นเอาไปใช้ต่อได้โดยไม่ต้องเขียนใหม่ แค่เอา Object ประวัติไปใช้งานได้เลย แค่อธิบายก็งงแล้ว
2.ต้องรู้จักป้องกันตัวเอง จากความเครียด จากแสง หรือจากรังสีคอมพิวเตอร์ พูดง่าย ๆ คือตาคุณมันเสียแน่นอน และประสาทหู ก็เสียด้วย พูดง่าย ๆ ก็คือ ถ้าไม่ได้ค่าตอบแทนเป็นแสน อย่าไปประกอบอาชีพแบบนี้เลย เลิกคิดเถอะ
3.ต้องแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับโปรแกรมเมอร์ที่ไม่หวงวิชา เช่นเดียวกับตัวคุณถ้าเป็นโปรแกรมเมอร์ประเภทหวงวิชา ไม่มีทางรุ่ง มีแต่รุ่งริ่ง
4.ระดับรายได้และความก้าวหน้ารวมไปถึงสวัสดิการเกี่ยวกับโปรแกรมเมอร์
โปรแกรมเมอร์ เด็กจบใหม่เดี๋ยวนี้เงินเดือนบริษัทเอกชน เริ่มต้นขั้นต่ำเฉลี่ยแล้วน่าจะอยู่ที่ 17,000 - 18,000 บาท ถือว่าสูงทีเดียวเทียบกับคนจบอย่างอื่นมา สูงกว่าวิศวกรซะอีก
แต่ด้วยความสามารถที่ส่วนใหญ่จะยังไม่ค่อยดีนัก ทำให้อัตราการเพิ่มเงินเดือนอยู่ในระดับต่ำ ถ้าเทียบกับวิศวกร ส่วนคนที่มีความสามารถควรที่จะได้รับผลตอบแทนสูง ก็ถูกหางเลขของคนที่อยู่ในระดับต่ำ ดึงอั้นเอาไว้ผลสุดท้ายโปรแกรมเมอร์ระดับมือทองจริงๆ เก๋าจริงๆ หายกันไปหมด หนีไปเป็น SA หนีไปขายเต้าฮวยซะบ้าง ความรู้ที่ติดตัว ประสบการณ์ที่ตนมีก็หายไปกับการเปลี่ยนอาชีพและสายงานด้วยเด็กจบใหม่ คุณภาพต่ำ ก็ยังคงจะมีต่อไป และถ้าเค้าสามารถพัฒนาตัวเองจนอยู่ในระดับเก่ง แต่สุดท้าย ปัจจัยเงินเดือนไม่เอื้ออำนวย เค้าก็หนีไปทำอย่างอื่นอยู่ดี กลายเป็นวงจรอุบาทว์ไปผมจึงมีข้อเสนอว่า วิธีการแก้ปัญหาระยะสั้นโดย น่าจะกำหนดให้โปรแกรมเมอร์ควรมีเงินเดือนเริ่มต้นที่ต่ำกว่านี้ และมีอัตราการเพิ่มที่สูงกว่านี้ เมื่อเปรียบเทียบกับคุณภาพ ถึงแม้นี่จะไม่ใช่วิธีการแก้ปัญหาที่ถูกจุด แต่ก็พอที่จะทำให้ ซุเปอร์โปรแกรมเมอร์ระดับเก๋า ที่รักการเขียนโปรแกรม สามารถอยู่ได้ส่วนการแก้ปัญหาระยะยาวนั้น ผมว่าน่าจะทำได้จากภายในสถาบันการศึกษา ถึงแม้การโปรแกรมมิ่งจะไม่ใช่ทุกอย่างของศาสตร์นี้ แต่ก็ควรเน้นย้ำให้เด็ก มีแนวคิดที่ถูกต้อง และมีประสบการณ์มากกว่านี้ เพราะเด็กจบใหม่ ส่วนใหญ่ก็เริ่มจากการเป็นโปรแกรมเมอร์กันทั้งนั้น
ความเก้าหน้าของอาชีพ
ความก้าวหน้าทางอาชีพมีแน่เพราะว่าถ้าเรามีฝีมือในการเป็นนักโปรแกรมเมอร์ที่ดีย่อมทำให้ได้รับค่าตอบแทนมหาศาลกลับมาได้ในอนาคต เป็นอีกอาชีพหนึ่งที่มีความทันสมัยต่อเทคโนโลยีสมัยใหม่มาก ทันโลกทันเหตุการณ์
5.วีธีการเข้าสู่อาชีพ
คุณสมบัติของโปรแกรมเมอร์ ขอยกตัวอย่างตามคุณสมบัติที่เขาประกาศรับสมัครงานกันก่อน นี้เป็นตำแหน่ง Web Programmer ของบริษัทแห่งหนึ่งรับสมัคร จบการศึกษาปริญญาตรีหรือสูงกว่าด้านวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์หรือสาขาที่เกี่ยวข้อง ประสบการณ์ในการทำงาน 2-3 ปี ในด้าน Web programming บนวินโดวส์หรือลีนุกซ์ มีความรู้ในด้าน VB, ASP, PHP หรือ JSP, JavaScript, Delphi, Crystal Report. ถ้าหากมีความรู้ด้าน XML และ .NET จะพิจารณาพิเศษ ต้องมีความสามารถทางด้านการออกแบบฐานข้อมูลเป็นพื้นฐาน , อย่างน้อยควรจะคุ้นเคยกับ SQL Server , Oracel , DB2 ตัวใดตัวหนึ่ง ดูตามคุณสมบัติที่เขาประกาศแล้ว โดยทั่วๆไป จะเห็นว่า เขาระบุว่าจำเป็นที่จะต้องจบการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ (computer science) มา หรือไม่จบมาทางสายที่เกี่ยวข้อง สายที่เกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์ ก็มีทั้ง คอมพิวเตอร์ธุรกิจ (Business computer) และ วิศวกรรมคอมพิวเตอร์ (computer engineering) ซึ่งจริงๆ ถ้าลงลึกในรายละเอียดแล้ว ก็ไม่ใช่สายงานที่เกี่ยวข้องกันเลยนะครับ ผมเพียงแค่ยกตัวอย่างเฉยๆ จริงๆแล้ว ทั้งสามสาขานั้น เรียนคนละแนวกันเลย แต่ก็นั่นแหละ บางทีความขาดแคลนและการทดแทนกันได้ในบางตำแหน่ง เขาก็อนุโลมรับเข้าทำงาน ขอให้เขียนโปรแกรมเป็นเถอะ จริงๆแล้ว ผมก็ลืมไปแล้วเหมือนกันว่า สมัยที่ผมเรียนวิชาการเขียนโปรแกรม อาจารย์จะได้สอนเกี่ยวกับคุณสมบัติของโปรแกรมเมอร์บ้างหรือไม่ แต่จะขอสรุปให้ฟังจากประสบการณ์ที่ได้คลุกคลีกับโปรแกรมเมอร์มาบ้างก็แล้วกัน (ผมไม่ได้เป็นโปรแกรมเมอร์) โปรแกรมเมอร์ที่ดีนั้น ต้องมีพื้นฐานด้านคณิตศาสตร์ที่ยอดเยี่ยม เพราะการวิเคราะห์อัลกอริทึมในการเขียนโปรแกรมนั้น มีคณิตศาสตร์มาเกี่ยวข้องไม่น้อย และก็ต้องรู้การวิเคราะห์ระบบงาน หรือโครงการที่จะเขียนโปรแกรม ถ้าไม่รู้ก็ต้องศึกษา แล้วเขียน flowchart ออกมาให้ได้ ว่าอะไรเกี่ยวข้องกับอะไร ต้องเกี่ยวข้องกับคนจำนวนมาก สมมุติว่าเกี่ยวข้องกับงานบริการซ่อมมอเตอร์ไซค์ ต้องถามแต่ละแผนกว่าอะไรเกี่ยวข้อง อะไรคือ input / output ที่จำเป็นสำหรับโปรแกรม มันเกี่ยวถึงการเก็บอะไหล่ การซื้ออะไหล่ การขาย การออกใบเสร็จ และอะไรต่อมิอะไรอีกจิปาถะทีเดียวครับ พอได้ทั้งหมดแล้วก็ค่อยมาเขียนโค้ด เสร็จแล้วก็ต้องมานั่งออกแบบหน้าตาของโปรแกรมอีกให้มัน User Friendly ว่ากันว่านอกจากศาสตร์ที่ต้องแม่นแล้ว โปรแกรมเมอร์ต้องมีหัวด้านศิลปะด้วย เพราะมันเกี่ยวข้องกับการสร้างสรรค์และการออกแบบอยู่ไม่น้อยทีเดียว คงไม่ต้องแปลกใจที่โปรแกรมเมอร์บางคนจะทำตัวเหมือนศิลปิน ผมเผ้ายาวรุงรัง มาทำงานเวลาที่มีอารมณ์อยากจะทำ (บริษัทบางแห่ง ยอมให้โปรแกรมเมอร์เข้าทำงานกี่โมงก็ได้ ขอให้งานเสร็จ) ผมชอบที่เธอถามว่า จำเป็นไหมที่ต้องเรียนจบมาทางด้านสาขานี้โดยเฉพาะ? อะไรที่เราได้ถ้าเราเรียนจบด้านคอมพิวเตอร์? ประการแรก เราจะคิดอย่างเป็นระบบอย่างที่โปรแกรมเมอร์ควรคิด เพราะเราถูกฝึกแบบนั้น เราจะเข้าใจเกี่ยวกับการค้นหาอัลกอริทึมที่ถูกต้อง การเข้าใจตรรกะอย่างลึกซึ้ง (เพราะตรรกะมาเกี่ยวข้องด้วยเยอะทีเดียว ) เราจะเข้าใจกระบวนการเขียนโปรแกรม นั่นแหละครับ ที่เราได้จากการเรียน สมมุติว่าเราเรียน C, VB มาแค่นี้แหละ แต่เชี่ยวชาญเลย พอมาทำงาน เขาบอกว่าเราควรใช้ Java , PHP มันก็ไม่ยากเกินไป เพราะพื้นฐานมันก็เหมือนกัน พูดง่ายๆ มันเร็วกว่าคนที่ไม่ได้เรียนจบมาในสาขานี้ แต่อีกมุมหนึ่ง ผมก็คิดว่างานของโปรแกรมเมอร์ก็ไม่ใช่งานที่มีลักษณะเฉพาะด้าน ต้องการผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านเหมือนแพทย์ วิศวกร หรือสถาปนิก ซึ่งต้องเรียนจบมาในสาขานั้นโดยเฉพาะ แล้วงานของโปรแกรมเมอร์เหมือนงานของศิลปินหรือ? คุณรักจะเขียนหนังสือ รักจะวาดรูป ก็ทำได้ และอาจจะทำได้ดีเพราะมีพรสวรรค์ โดยที่ไม่ต้องเข้าโรงเรียนใดๆเลย? อืมม มันก็ไม่เชิงนะครับ มันควบคู่กันไป ถ้าไม่ได้เรียนจบมาทางด้านโปรแกรมเมอร์ ก็สามารถเป็นโปรแกรมเมอร์ได้ อย่างบรรดาเว็บมาสเตอร์ต่างๆ นั่นงัยครับ มีเว็บมาสเตอร์เว็บไซต์ดังๆหลายคนไม่ได้จบมาทางด้านโปรแกรมเมอร์หรอกครับ แต่เขาพัฒนาเว็บได้ ใช้ MySQL , PHP ด้วยซ้ำไป ทั้งนี้เพราะเขาศึกษาแล้วก็ให้โอกาสตัวเองในการเรียนรู้ แล้วเขาก็ทำได้ดีด้วย มีการออกแบบหน้าตาเว็บไซต์ การเลือกสรรเทคโนโลยีที่เหมาะสม
แต่อุปสรรคอย่างหนึ่งของคนที่ไม่ได้ศึกษามาในระบบโดยตรงคือ ถ้าหากจะสมัครงานกับบริษัทต่างๆ ก็เป็นอันว่า จะผ่านด่านไปยากซะหน่อย แต่ทางออกก็คือ การทำงานอิสระ พัฒนาเว็บไซต์ หรือกระทั่งรับงานเป็นจ๊อบๆไปจากบริษัทต่างๆ ก็เคยเห็นมาก บางคนมีหัวทางด้านการโปรแกรมมาก แต่เขาไม่ได้จบมาโดยตรง เขาก็รับงานมาทำ คือ เป็นงานที่จ่ายให้เมื่องานสำเร็จ เขาไม่ได้มานั่งมองว่า คุณทำอะไรเป็นบ้าง แต่เขาจะดูที่ผลงานขั้นสุดท้ายเลย ถ้าหากเขายอมรับได้ คุณก็รับเงินมาเลย แล้วถ้าคุณมีประสบการณ์ มีความสามารถยิ่งขึ้นไป ต่อไป คนจ้างงานคุณก็ไม่สนใจแล้วว่า คุณจบมาทางด้านไหน เพราะเขารู้ว่า เขาให้งานคุณแล้วงานสำเร็จ พูดถึงว่า จำเป็นต้องเรียนมาหรือไม่ ก็ต้องเรียนครับ แต่จะเรียนมาอย่างเป็นระบบ ผ่านห้องเรียน หรือจะเรียนด้วยตัวเอง ผมว่า ทุกคนสามารถเป็นโปรแกรมเมอร์ได้ ขอให้ตั้งใจจริงเท่านั้นเอง ผมเคยพบเจ้าของกิจการบางคน เข้าใจกิจการของตัวเองอย่างละเอียด เวลาจะเขียนโปรแกรม เขาก็เขียนเองเขา แต่ก็พบเหมือนกันว่า มันมีช่องโหว่เยอะ แต่เขาว่าเขายอมรับมันได้ ผมเองก็ไม่โต้แย้งอะไร
6. มหาวิทยาลัยหรือสถาบันศึกษาที่เปิดสอน
มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
มหาวิทยาลัยขอนแก่น
มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
7. ความต้องการของตลาดแรงงาน
ปัจจุบันความต้องการทางตลาดของโปรแกรมเมอร์ในปัจจุบันนี้ได้มีการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว มีแนวโน้มที่ดีได้ในอนาคตเป็นที่ต้องการของบริษัทใหญ่ให้ไปพัฒนาและออกแบบโปรแกรมในปัจจุบันมีความต้องการโปรแกรมเมอร์ที่มีทั้งความรู้ ความสามารถควบคู่ไปกับภาคปฏิบัติและภาคทฤษฎี
8. ตัวอย่างบุคคลที่อยู่ในอาชีพโปรแกรมเมอร์
คุณ Pizzagreezi โปรแกรมเมอร์อัจฉริยะ ผู้เคยสิงสถิตอยู่ที่ บอร์ดเสียวในไทยนั่นเองได้ สละเวลาอย่างใหญ่หลวงในการพัฒนา TWG ในครั้งนี้ โดยมิได้สิ่งใดๆ ตอบแทน

นางสาวบุญญรัตน์ เทศทำ กล่าวว่า...

นางสาวบุญญรัตน์ เทศทำ รหัสนิสิต 48010510784 สาขาวิชาสังคมศึกษา ชั้นปีที่ 4 คณะศึกษาศาสตร์
1. ชื่ออาชีพ โปรแกรมเมอร์
2. ลักษณะของอาชีพ ( การทำงาน)
โปรแกรมเมอร์ (programmer) มีหน้าที่หลักคือการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ซึ่งโปรแกรมเมอร์สามารถหมายถึงผู้ที่เชี่ยวชาญในการโปรแกรมเฉพาะด้าน หรือผู้ที่สามารถเขียนโค้ดได้สำหรับหลากหลายซอฟต์แวร์ เอดา ไบรอนได้ชื่อว่าเป็นโปรแกรมเมอร์คนแรกของโลก เพราะเป็นคนแรกที่สามารถนำอัลกอริทึม มาเรียบเรียงเป็นชุดคำสั่ง ให้กับเครื่องคำนวณได้ในปี พ.ศ. 2385 (ค.ศ. 1842) ในยุคที่ยังไม่มีเครื่องคอมพิวเตอร์)
3. ลักษณะของบุคคลที่เหมาะกับอาชีพ โปรแกรมเมอร์
1. สำรวจดูว่า ตัวเองมีคุณสมบัติเป็นโปรแกรมเมอร์หรือไม่
2. ฝึกเขียนโปรแกรม
3. ค้นหาข้อมูลเพิ่มเติม
4. เผยแพร่ผลงาน
5. กระทำตามข้อ 1 - 4 อย่างสม่ำเสมอ
คุณสมบัติของโปรแกรมเมอร์
1.คุณต้องมีความรู้ในเรื่องของทฤษฏี เป็นอย่างดี ไม่ใช่ใช้ประสบการณ์แบบโปรแกรมเมอร์สมัยโบราณ ซึ่งปัจจุบันการพัฒนาโปรแกรมมันเป็นไปในลักษณะของ OBject ที่ .net มันใช้กัน
ยกตัวอย่างเช่น สมมุติคุณเขียนโปรแกรมเก็บประวัติรายชื่อ รายละเอียดมันต้องมีอะไรบ้าง ถ้าพูดถึงประวัติ ต้องครอบคลุมในเรื่องของประวัติทั้งหมด รหัสมีกี่ตัวไม่สำคัญ ที่แน่ ๆ ต้องไม่ fix ตายตัว มีการยึดหยุ่นได้ คนอื่นนำไปสางต่อได้ แค่เขียนครั้งเดียว คนอื่นเอาไปใช้ต่อได้โดยไม่ต้องเขียนใหม่ แค่เอา Object ประวัติไปใช้งานได้เลย แค่อธิบายก็งงแล้ว
2.ต้องรู้จักป้องกันตัวเอง จากความเครียด จากแสง หรือจากรังสีคอมพิวเตอร์ พูดง่าย ๆ คือตาคุณมันเสียแน่นอน และประสาทหู ก็เสียด้วย พูดง่าย ๆ ก็คือ ถ้าไม่ได้ค่าตอบแทนเป็นแสน อย่าไปประกอบอาชีพแบบนี้เลย เลิกคิดเถอะ
3.ต้องแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับโปรแกรมเมอร์ที่ไม่หวงวิชา เช่นเดียวกับตัวคุณถ้าเป็นโปรแกรมเมอร์ประเภทหวงวิชา ไม่มีทางรุ่ง มีแต่รุ่งริ่ง
4.ระดับรายได้และความก้าวหน้ารวมไปถึงสวัสดิการเกี่ยวกับโปรแกรมเมอร์
โปรแกรมเมอร์ เด็กจบใหม่เดี๋ยวนี้เงินเดือนบริษัทเอกชน เริ่มต้นขั้นต่ำเฉลี่ยแล้วน่าจะอยู่ที่ 17,000 - 18,000 บาท ถือว่าสูงทีเดียวเทียบกับคนจบอย่างอื่นมา สูงกว่าวิศวกรซะอีก
แต่ด้วยความสามารถที่ส่วนใหญ่จะยังไม่ค่อยดีนัก ทำให้อัตราการเพิ่มเงินเดือนอยู่ในระดับต่ำ ถ้าเทียบกับวิศวกร ส่วนคนที่มีความสามารถควรที่จะได้รับผลตอบแทนสูง ก็ถูกหางเลขของคนที่อยู่ในระดับต่ำ ดึงอั้นเอาไว้ผลสุดท้ายโปรแกรมเมอร์ระดับมือทองจริงๆ เก๋าจริงๆ หายกันไปหมด หนีไปเป็น SA หนีไปขายเต้าฮวยซะบ้าง ความรู้ที่ติดตัว ประสบการณ์ที่ตนมีก็หายไปกับการเปลี่ยนอาชีพและสายงานด้วยเด็กจบใหม่ คุณภาพต่ำ ก็ยังคงจะมีต่อไป และถ้าเค้าสามารถพัฒนาตัวเองจนอยู่ในระดับเก่ง แต่สุดท้าย ปัจจัยเงินเดือนไม่เอื้ออำนวย เค้าก็หนีไปทำอย่างอื่นอยู่ดี กลายเป็นวงจรอุบาทว์ไปผมจึงมีข้อเสนอว่า วิธีการแก้ปัญหาระยะสั้นโดย น่าจะกำหนดให้โปรแกรมเมอร์ควรมีเงินเดือนเริ่มต้นที่ต่ำกว่านี้ และมีอัตราการเพิ่มที่สูงกว่านี้ เมื่อเปรียบเทียบกับคุณภาพ ถึงแม้นี่จะไม่ใช่วิธีการแก้ปัญหาที่ถูกจุด แต่ก็พอที่จะทำให้ ซุเปอร์โปรแกรมเมอร์ระดับเก๋า ที่รักการเขียนโปรแกรม สามารถอยู่ได้ส่วนการแก้ปัญหาระยะยาวนั้น ผมว่าน่าจะทำได้จากภายในสถาบันการศึกษา ถึงแม้การโปรแกรมมิ่งจะไม่ใช่ทุกอย่างของศาสตร์นี้ แต่ก็ควรเน้นย้ำให้เด็ก มีแนวคิดที่ถูกต้อง และมีประสบการณ์มากกว่านี้ เพราะเด็กจบใหม่ ส่วนใหญ่ก็เริ่มจากการเป็นโปรแกรมเมอร์กันทั้งนั้น
ความเก้าหน้าของอาชีพ
ความก้าวหน้าทางอาชีพมีแน่เพราะว่าถ้าเรามีฝีมือในการเป็นนักโปรแกรมเมอร์ที่ดีย่อมทำให้ได้รับค่าตอบแทนมหาศาลกลับมาได้ในอนาคต เป็นอีกอาชีพหนึ่งที่มีความทันสมัยต่อเทคโนโลยีสมัยใหม่มาก ทันโลกทันเหตุการณ์
5.วีธีการเข้าสู่อาชีพ
คุณสมบัติของโปรแกรมเมอร์ ขอยกตัวอย่างตามคุณสมบัติที่เขาประกาศรับสมัครงานกันก่อน นี้เป็นตำแหน่ง Web Programmer ของบริษัทแห่งหนึ่งรับสมัคร จบการศึกษาปริญญาตรีหรือสูงกว่าด้านวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์หรือสาขาที่เกี่ยวข้อง ประสบการณ์ในการทำงาน 2-3 ปี ในด้าน Web programming บนวินโดวส์หรือลีนุกซ์ มีความรู้ในด้าน VB, ASP, PHP หรือ JSP, JavaScript, Delphi, Crystal Report. ถ้าหากมีความรู้ด้าน XML และ .NET จะพิจารณาพิเศษ ต้องมีความสามารถทางด้านการออกแบบฐานข้อมูลเป็นพื้นฐาน , อย่างน้อยควรจะคุ้นเคยกับ SQL Server , Oracel , DB2 ตัวใดตัวหนึ่ง ดูตามคุณสมบัติที่เขาประกาศแล้ว โดยทั่วๆไป จะเห็นว่า เขาระบุว่าจำเป็นที่จะต้องจบการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ (computer science) มา หรือไม่จบมาทางสายที่เกี่ยวข้อง สายที่เกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์ ก็มีทั้ง คอมพิวเตอร์ธุรกิจ (Business computer) และ วิศวกรรมคอมพิวเตอร์ (computer engineering) ซึ่งจริงๆ ถ้าลงลึกในรายละเอียดแล้ว ก็ไม่ใช่สายงานที่เกี่ยวข้องกันเลยนะครับ ผมเพียงแค่ยกตัวอย่างเฉยๆ จริงๆแล้ว ทั้งสามสาขานั้น เรียนคนละแนวกันเลย แต่ก็นั่นแหละ บางทีความขาดแคลนและการทดแทนกันได้ในบางตำแหน่ง เขาก็อนุโลมรับเข้าทำงาน ขอให้เขียนโปรแกรมเป็นเถอะ จริงๆแล้ว ผมก็ลืมไปแล้วเหมือนกันว่า สมัยที่ผมเรียนวิชาการเขียนโปรแกรม อาจารย์จะได้สอนเกี่ยวกับคุณสมบัติของโปรแกรมเมอร์บ้างหรือไม่ แต่จะขอสรุปให้ฟังจากประสบการณ์ที่ได้คลุกคลีกับโปรแกรมเมอร์มาบ้างก็แล้วกัน (ผมไม่ได้เป็นโปรแกรมเมอร์) โปรแกรมเมอร์ที่ดีนั้น ต้องมีพื้นฐานด้านคณิตศาสตร์ที่ยอดเยี่ยม เพราะการวิเคราะห์อัลกอริทึมในการเขียนโปรแกรมนั้น มีคณิตศาสตร์มาเกี่ยวข้องไม่น้อย และก็ต้องรู้การวิเคราะห์ระบบงาน หรือโครงการที่จะเขียนโปรแกรม ถ้าไม่รู้ก็ต้องศึกษา แล้วเขียน flowchart ออกมาให้ได้ ว่าอะไรเกี่ยวข้องกับอะไร ต้องเกี่ยวข้องกับคนจำนวนมาก สมมุติว่าเกี่ยวข้องกับงานบริการซ่อมมอเตอร์ไซค์ ต้องถามแต่ละแผนกว่าอะไรเกี่ยวข้อง อะไรคือ input / output ที่จำเป็นสำหรับโปรแกรม มันเกี่ยวถึงการเก็บอะไหล่ การซื้ออะไหล่ การขาย การออกใบเสร็จ และอะไรต่อมิอะไรอีกจิปาถะทีเดียวครับ พอได้ทั้งหมดแล้วก็ค่อยมาเขียนโค้ด เสร็จแล้วก็ต้องมานั่งออกแบบหน้าตาของโปรแกรมอีกให้มัน User Friendly ว่ากันว่านอกจากศาสตร์ที่ต้องแม่นแล้ว โปรแกรมเมอร์ต้องมีหัวด้านศิลปะด้วย เพราะมันเกี่ยวข้องกับการสร้างสรรค์และการออกแบบอยู่ไม่น้อยทีเดียว คงไม่ต้องแปลกใจที่โปรแกรมเมอร์บางคนจะทำตัวเหมือนศิลปิน ผมเผ้ายาวรุงรัง มาทำงานเวลาที่มีอารมณ์อยากจะทำ (บริษัทบางแห่ง ยอมให้โปรแกรมเมอร์เข้าทำงานกี่โมงก็ได้ ขอให้งานเสร็จ) ผมชอบที่เธอถามว่า จำเป็นไหมที่ต้องเรียนจบมาทางด้านสาขานี้โดยเฉพาะ? อะไรที่เราได้ถ้าเราเรียนจบด้านคอมพิวเตอร์? ประการแรก เราจะคิดอย่างเป็นระบบอย่างที่โปรแกรมเมอร์ควรคิด เพราะเราถูกฝึกแบบนั้น เราจะเข้าใจเกี่ยวกับการค้นหาอัลกอริทึมที่ถูกต้อง การเข้าใจตรรกะอย่างลึกซึ้ง (เพราะตรรกะมาเกี่ยวข้องด้วยเยอะทีเดียว ) เราจะเข้าใจกระบวนการเขียนโปรแกรม นั่นแหละครับ ที่เราได้จากการเรียน สมมุติว่าเราเรียน C, VB มาแค่นี้แหละ แต่เชี่ยวชาญเลย พอมาทำงาน เขาบอกว่าเราควรใช้ Java , PHP มันก็ไม่ยากเกินไป เพราะพื้นฐานมันก็เหมือนกัน พูดง่ายๆ มันเร็วกว่าคนที่ไม่ได้เรียนจบมาในสาขานี้ แต่อีกมุมหนึ่ง ผมก็คิดว่างานของโปรแกรมเมอร์ก็ไม่ใช่งานที่มีลักษณะเฉพาะด้าน ต้องการผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านเหมือนแพทย์ วิศวกร หรือสถาปนิก ซึ่งต้องเรียนจบมาในสาขานั้นโดยเฉพาะ แล้วงานของโปรแกรมเมอร์เหมือนงานของศิลปินหรือ? คุณรักจะเขียนหนังสือ รักจะวาดรูป ก็ทำได้ และอาจจะทำได้ดีเพราะมีพรสวรรค์ โดยที่ไม่ต้องเข้าโรงเรียนใดๆเลย? อืมม มันก็ไม่เชิงนะครับ มันควบคู่กันไป ถ้าไม่ได้เรียนจบมาทางด้านโปรแกรมเมอร์ ก็สามารถเป็นโปรแกรมเมอร์ได้ อย่างบรรดาเว็บมาสเตอร์ต่างๆ นั่นงัยครับ มีเว็บมาสเตอร์เว็บไซต์ดังๆหลายคนไม่ได้จบมาทางด้านโปรแกรมเมอร์หรอกครับ แต่เขาพัฒนาเว็บได้ ใช้ MySQL , PHP ด้วยซ้ำไป ทั้งนี้เพราะเขาศึกษาแล้วก็ให้โอกาสตัวเองในการเรียนรู้ แล้วเขาก็ทำได้ดีด้วย มีการออกแบบหน้าตาเว็บไซต์ การเลือกสรรเทคโนโลยีที่เหมาะสม
แต่อุปสรรคอย่างหนึ่งของคนที่ไม่ได้ศึกษามาในระบบโดยตรงคือ ถ้าหากจะสมัครงานกับบริษัทต่างๆ ก็เป็นอันว่า จะผ่านด่านไปยากซะหน่อย แต่ทางออกก็คือ การทำงานอิสระ พัฒนาเว็บไซต์ หรือกระทั่งรับงานเป็นจ๊อบๆไปจากบริษัทต่างๆ ก็เคยเห็นมาก บางคนมีหัวทางด้านการโปรแกรมมาก แต่เขาไม่ได้จบมาโดยตรง เขาก็รับงานมาทำ คือ เป็นงานที่จ่ายให้เมื่องานสำเร็จ เขาไม่ได้มานั่งมองว่า คุณทำอะไรเป็นบ้าง แต่เขาจะดูที่ผลงานขั้นสุดท้ายเลย ถ้าหากเขายอมรับได้ คุณก็รับเงินมาเลย แล้วถ้าคุณมีประสบการณ์ มีความสามารถยิ่งขึ้นไป ต่อไป คนจ้างงานคุณก็ไม่สนใจแล้วว่า คุณจบมาทางด้านไหน เพราะเขารู้ว่า เขาให้งานคุณแล้วงานสำเร็จ พูดถึงว่า จำเป็นต้องเรียนมาหรือไม่ ก็ต้องเรียนครับ แต่จะเรียนมาอย่างเป็นระบบ ผ่านห้องเรียน หรือจะเรียนด้วยตัวเอง ผมว่า ทุกคนสามารถเป็นโปรแกรมเมอร์ได้ ขอให้ตั้งใจจริงเท่านั้นเอง ผมเคยพบเจ้าของกิจการบางคน เข้าใจกิจการของตัวเองอย่างละเอียด เวลาจะเขียนโปรแกรม เขาก็เขียนเองเขา แต่ก็พบเหมือนกันว่า มันมีช่องโหว่เยอะ แต่เขาว่าเขายอมรับมันได้ ผมเองก็ไม่โต้แย้งอะไร
6. มหาวิทยาลัยหรือสถาบันศึกษาที่เปิดสอน
มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
มหาวิทยาลัยขอนแก่น
มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
7. ความต้องการของตลาดแรงงาน
ปัจจุบันความต้องการทางตลาดของโปรแกรมเมอร์ในปัจจุบันนี้ได้มีการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว มีแนวโน้มที่ดีได้ในอนาคตเป็นที่ต้องการของบริษัทใหญ่ให้ไปพัฒนาและออกแบบโปรแกรมในปัจจุบันมีความต้องการโปรแกรมเมอร์ที่มีทั้งความรู้ ความสามารถควบคู่ไปกับภาคปฏิบัติและภาคทฤษฎี
8. ตัวอย่างบุคคลที่อยู่ในอาชีพโปรแกรมเมอร์
คุณ Pizzagreezi โปรแกรมเมอร์อัจฉริยะ ผู้เคยสิงสถิตอยู่ที่ บอร์ดเสียวในไทยนั่นเองได้ สละเวลาอย่างใหญ่หลวงในการพัฒนา TWG ในครั้งนี้ โดยมิได้สิ่งใดๆ ตอบแทน

นางสาวบุญญรัตน์ เทศทำ กล่าวว่า...

นางสาวบุญญรัตน์ เทศทำ รหัสนิสิต 48010510784 สาขาวิชาสังคมศึกษา ชั้นปีที่ 4 คณะศึกษาศาสตร์
1. ชื่ออาชีพ โปรแกรมเมอร์
2. ลักษณะของอาชีพ ( การทำงาน)
โปรแกรมเมอร์ (programmer) มีหน้าที่หลักคือการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ซึ่งโปรแกรมเมอร์สามารถหมายถึงผู้ที่เชี่ยวชาญในการโปรแกรมเฉพาะด้าน หรือผู้ที่สามารถเขียนโค้ดได้สำหรับหลากหลายซอฟต์แวร์ เอดา ไบรอนได้ชื่อว่าเป็นโปรแกรมเมอร์คนแรกของโลก เพราะเป็นคนแรกที่สามารถนำอัลกอริทึม มาเรียบเรียงเป็นชุดคำสั่ง ให้กับเครื่องคำนวณได้ในปี พ.ศ. 2385 (ค.ศ. 1842) ในยุคที่ยังไม่มีเครื่องคอมพิวเตอร์)
3. ลักษณะของบุคคลที่เหมาะกับอาชีพ โปรแกรมเมอร์
1. สำรวจดูว่า ตัวเองมีคุณสมบัติเป็นโปรแกรมเมอร์หรือไม่
2. ฝึกเขียนโปรแกรม
3. ค้นหาข้อมูลเพิ่มเติม
4. เผยแพร่ผลงาน
5. กระทำตามข้อ 1 - 4 อย่างสม่ำเสมอ
คุณสมบัติของโปรแกรมเมอร์
1.คุณต้องมีความรู้ในเรื่องของทฤษฏี เป็นอย่างดี ไม่ใช่ใช้ประสบการณ์แบบโปรแกรมเมอร์สมัยโบราณ ซึ่งปัจจุบันการพัฒนาโปรแกรมมันเป็นไปในลักษณะของ OBject ที่ .net มันใช้กัน
ยกตัวอย่างเช่น สมมุติคุณเขียนโปรแกรมเก็บประวัติรายชื่อ รายละเอียดมันต้องมีอะไรบ้าง ถ้าพูดถึงประวัติ ต้องครอบคลุมในเรื่องของประวัติทั้งหมด รหัสมีกี่ตัวไม่สำคัญ ที่แน่ ๆ ต้องไม่ fix ตายตัว มีการยึดหยุ่นได้ คนอื่นนำไปสางต่อได้ แค่เขียนครั้งเดียว คนอื่นเอาไปใช้ต่อได้โดยไม่ต้องเขียนใหม่ แค่เอา Object ประวัติไปใช้งานได้เลย แค่อธิบายก็งงแล้ว
2.ต้องรู้จักป้องกันตัวเอง จากความเครียด จากแสง หรือจากรังสีคอมพิวเตอร์ พูดง่าย ๆ คือตาคุณมันเสียแน่นอน และประสาทหู ก็เสียด้วย พูดง่าย ๆ ก็คือ ถ้าไม่ได้ค่าตอบแทนเป็นแสน อย่าไปประกอบอาชีพแบบนี้เลย เลิกคิดเถอะ
3.ต้องแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับโปรแกรมเมอร์ที่ไม่หวงวิชา เช่นเดียวกับตัวคุณถ้าเป็นโปรแกรมเมอร์ประเภทหวงวิชา ไม่มีทางรุ่ง มีแต่รุ่งริ่ง
4.ระดับรายได้และความก้าวหน้ารวมไปถึงสวัสดิการเกี่ยวกับโปรแกรมเมอร์
โปรแกรมเมอร์ เด็กจบใหม่เดี๋ยวนี้เงินเดือนบริษัทเอกชน เริ่มต้นขั้นต่ำเฉลี่ยแล้วน่าจะอยู่ที่ 17,000 - 18,000 บาท ถือว่าสูงทีเดียวเทียบกับคนจบอย่างอื่นมา สูงกว่าวิศวกรซะอีก
แต่ด้วยความสามารถที่ส่วนใหญ่จะยังไม่ค่อยดีนัก ทำให้อัตราการเพิ่มเงินเดือนอยู่ในระดับต่ำ ถ้าเทียบกับวิศวกร ส่วนคนที่มีความสามารถควรที่จะได้รับผลตอบแทนสูง ก็ถูกหางเลขของคนที่อยู่ในระดับต่ำ ดึงอั้นเอาไว้ผลสุดท้ายโปรแกรมเมอร์ระดับมือทองจริงๆ เก๋าจริงๆ หายกันไปหมด หนีไปเป็น SA หนีไปขายเต้าฮวยซะบ้าง ความรู้ที่ติดตัว ประสบการณ์ที่ตนมีก็หายไปกับการเปลี่ยนอาชีพและสายงานด้วยเด็กจบใหม่ คุณภาพต่ำ ก็ยังคงจะมีต่อไป และถ้าเค้าสามารถพัฒนาตัวเองจนอยู่ในระดับเก่ง แต่สุดท้าย ปัจจัยเงินเดือนไม่เอื้ออำนวย เค้าก็หนีไปทำอย่างอื่นอยู่ดี กลายเป็นวงจรอุบาทว์ไปผมจึงมีข้อเสนอว่า วิธีการแก้ปัญหาระยะสั้นโดย น่าจะกำหนดให้โปรแกรมเมอร์ควรมีเงินเดือนเริ่มต้นที่ต่ำกว่านี้ และมีอัตราการเพิ่มที่สูงกว่านี้ เมื่อเปรียบเทียบกับคุณภาพ ถึงแม้นี่จะไม่ใช่วิธีการแก้ปัญหาที่ถูกจุด แต่ก็พอที่จะทำให้ ซุเปอร์โปรแกรมเมอร์ระดับเก๋า ที่รักการเขียนโปรแกรม สามารถอยู่ได้ส่วนการแก้ปัญหาระยะยาวนั้น ผมว่าน่าจะทำได้จากภายในสถาบันการศึกษา ถึงแม้การโปรแกรมมิ่งจะไม่ใช่ทุกอย่างของศาสตร์นี้ แต่ก็ควรเน้นย้ำให้เด็ก มีแนวคิดที่ถูกต้อง และมีประสบการณ์มากกว่านี้ เพราะเด็กจบใหม่ ส่วนใหญ่ก็เริ่มจากการเป็นโปรแกรมเมอร์กันทั้งนั้น
ความเก้าหน้าของอาชีพ
ความก้าวหน้าทางอาชีพมีแน่เพราะว่าถ้าเรามีฝีมือในการเป็นนักโปรแกรมเมอร์ที่ดีย่อมทำให้ได้รับค่าตอบแทนมหาศาลกลับมาได้ในอนาคต เป็นอีกอาชีพหนึ่งที่มีความทันสมัยต่อเทคโนโลยีสมัยใหม่มาก ทันโลกทันเหตุการณ์
5.วีธีการเข้าสู่อาชีพ
คุณสมบัติของโปรแกรมเมอร์ ขอยกตัวอย่างตามคุณสมบัติที่เขาประกาศรับสมัครงานกันก่อน นี้เป็นตำแหน่ง Web Programmer ของบริษัทแห่งหนึ่งรับสมัคร จบการศึกษาปริญญาตรีหรือสูงกว่าด้านวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์หรือสาขาที่เกี่ยวข้อง ประสบการณ์ในการทำงาน 2-3 ปี ในด้าน Web programming บนวินโดวส์หรือลีนุกซ์ มีความรู้ในด้าน VB, ASP, PHP หรือ JSP, JavaScript, Delphi, Crystal Report. ถ้าหากมีความรู้ด้าน XML และ .NET จะพิจารณาพิเศษ ต้องมีความสามารถทางด้านการออกแบบฐานข้อมูลเป็นพื้นฐาน , อย่างน้อยควรจะคุ้นเคยกับ SQL Server , Oracel , DB2 ตัวใดตัวหนึ่ง ดูตามคุณสมบัติที่เขาประกาศแล้ว โดยทั่วๆไป จะเห็นว่า เขาระบุว่าจำเป็นที่จะต้องจบการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ (computer science) มา หรือไม่จบมาทางสายที่เกี่ยวข้อง สายที่เกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์ ก็มีทั้ง คอมพิวเตอร์ธุรกิจ (Business computer) และ วิศวกรรมคอมพิวเตอร์ (computer engineering) ซึ่งจริงๆ ถ้าลงลึกในรายละเอียดแล้ว ก็ไม่ใช่สายงานที่เกี่ยวข้องกันเลยนะครับ ผมเพียงแค่ยกตัวอย่างเฉยๆ จริงๆแล้ว ทั้งสามสาขานั้น เรียนคนละแนวกันเลย แต่ก็นั่นแหละ บางทีความขาดแคลนและการทดแทนกันได้ในบางตำแหน่ง เขาก็อนุโลมรับเข้าทำงาน ขอให้เขียนโปรแกรมเป็นเถอะ จริงๆแล้ว ผมก็ลืมไปแล้วเหมือนกันว่า สมัยที่ผมเรียนวิชาการเขียนโปรแกรม อาจารย์จะได้สอนเกี่ยวกับคุณสมบัติของโปรแกรมเมอร์บ้างหรือไม่ แต่จะขอสรุปให้ฟังจากประสบการณ์ที่ได้คลุกคลีกับโปรแกรมเมอร์มาบ้างก็แล้วกัน (ผมไม่ได้เป็นโปรแกรมเมอร์) โปรแกรมเมอร์ที่ดีนั้น ต้องมีพื้นฐานด้านคณิตศาสตร์ที่ยอดเยี่ยม เพราะการวิเคราะห์อัลกอริทึมในการเขียนโปรแกรมนั้น มีคณิตศาสตร์มาเกี่ยวข้องไม่น้อย และก็ต้องรู้การวิเคราะห์ระบบงาน หรือโครงการที่จะเขียนโปรแกรม ถ้าไม่รู้ก็ต้องศึกษา แล้วเขียน flowchart ออกมาให้ได้ ว่าอะไรเกี่ยวข้องกับอะไร ต้องเกี่ยวข้องกับคนจำนวนมาก สมมุติว่าเกี่ยวข้องกับงานบริการซ่อมมอเตอร์ไซค์ ต้องถามแต่ละแผนกว่าอะไรเกี่ยวข้อง อะไรคือ input / output ที่จำเป็นสำหรับโปรแกรม มันเกี่ยวถึงการเก็บอะไหล่ การซื้ออะไหล่ การขาย การออกใบเสร็จ และอะไรต่อมิอะไรอีกจิปาถะทีเดียวครับ พอได้ทั้งหมดแล้วก็ค่อยมาเขียนโค้ด เสร็จแล้วก็ต้องมานั่งออกแบบหน้าตาของโปรแกรมอีกให้มัน User Friendly ว่ากันว่านอกจากศาสตร์ที่ต้องแม่นแล้ว โปรแกรมเมอร์ต้องมีหัวด้านศิลปะด้วย เพราะมันเกี่ยวข้องกับการสร้างสรรค์และการออกแบบอยู่ไม่น้อยทีเดียว คงไม่ต้องแปลกใจที่โปรแกรมเมอร์บางคนจะทำตัวเหมือนศิลปิน ผมเผ้ายาวรุงรัง มาทำงานเวลาที่มีอารมณ์อยากจะทำ (บริษัทบางแห่ง ยอมให้โปรแกรมเมอร์เข้าทำงานกี่โมงก็ได้ ขอให้งานเสร็จ) ผมชอบที่เธอถามว่า จำเป็นไหมที่ต้องเรียนจบมาทางด้านสาขานี้โดยเฉพาะ? อะไรที่เราได้ถ้าเราเรียนจบด้านคอมพิวเตอร์? ประการแรก เราจะคิดอย่างเป็นระบบอย่างที่โปรแกรมเมอร์ควรคิด เพราะเราถูกฝึกแบบนั้น เราจะเข้าใจเกี่ยวกับการค้นหาอัลกอริทึมที่ถูกต้อง การเข้าใจตรรกะอย่างลึกซึ้ง (เพราะตรรกะมาเกี่ยวข้องด้วยเยอะทีเดียว ) เราจะเข้าใจกระบวนการเขียนโปรแกรม นั่นแหละครับ ที่เราได้จากการเรียน สมมุติว่าเราเรียน C, VB มาแค่นี้แหละ แต่เชี่ยวชาญเลย พอมาทำงาน เขาบอกว่าเราควรใช้ Java , PHP มันก็ไม่ยากเกินไป เพราะพื้นฐานมันก็เหมือนกัน พูดง่ายๆ มันเร็วกว่าคนที่ไม่ได้เรียนจบมาในสาขานี้ แต่อีกมุมหนึ่ง ผมก็คิดว่างานของโปรแกรมเมอร์ก็ไม่ใช่งานที่มีลักษณะเฉพาะด้าน ต้องการผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านเหมือนแพทย์ วิศวกร หรือสถาปนิก ซึ่งต้องเรียนจบมาในสาขานั้นโดยเฉพาะ แล้วงานของโปรแกรมเมอร์เหมือนงานของศิลปินหรือ? คุณรักจะเขียนหนังสือ รักจะวาดรูป ก็ทำได้ และอาจจะทำได้ดีเพราะมีพรสวรรค์ โดยที่ไม่ต้องเข้าโรงเรียนใดๆเลย? อืมม มันก็ไม่เชิงนะครับ มันควบคู่กันไป ถ้าไม่ได้เรียนจบมาทางด้านโปรแกรมเมอร์ ก็สามารถเป็นโปรแกรมเมอร์ได้ อย่างบรรดาเว็บมาสเตอร์ต่างๆ นั่นงัยครับ มีเว็บมาสเตอร์เว็บไซต์ดังๆหลายคนไม่ได้จบมาทางด้านโปรแกรมเมอร์หรอกครับ แต่เขาพัฒนาเว็บได้ ใช้ MySQL , PHP ด้วยซ้ำไป ทั้งนี้เพราะเขาศึกษาแล้วก็ให้โอกาสตัวเองในการเรียนรู้ แล้วเขาก็ทำได้ดีด้วย มีการออกแบบหน้าตาเว็บไซต์ การเลือกสรรเทคโนโลยีที่เหมาะสม
แต่อุปสรรคอย่างหนึ่งของคนที่ไม่ได้ศึกษามาในระบบโดยตรงคือ ถ้าหากจะสมัครงานกับบริษัทต่างๆ ก็เป็นอันว่า จะผ่านด่านไปยากซะหน่อย แต่ทางออกก็คือ การทำงานอิสระ พัฒนาเว็บไซต์ หรือกระทั่งรับงานเป็นจ๊อบๆไปจากบริษัทต่างๆ ก็เคยเห็นมาก บางคนมีหัวทางด้านการโปรแกรมมาก แต่เขาไม่ได้จบมาโดยตรง เขาก็รับงานมาทำ คือ เป็นงานที่จ่ายให้เมื่องานสำเร็จ เขาไม่ได้มานั่งมองว่า คุณทำอะไรเป็นบ้าง แต่เขาจะดูที่ผลงานขั้นสุดท้ายเลย ถ้าหากเขายอมรับได้ คุณก็รับเงินมาเลย แล้วถ้าคุณมีประสบการณ์ มีความสามารถยิ่งขึ้นไป ต่อไป คนจ้างงานคุณก็ไม่สนใจแล้วว่า คุณจบมาทางด้านไหน เพราะเขารู้ว่า เขาให้งานคุณแล้วงานสำเร็จ พูดถึงว่า จำเป็นต้องเรียนมาหรือไม่ ก็ต้องเรียนครับ แต่จะเรียนมาอย่างเป็นระบบ ผ่านห้องเรียน หรือจะเรียนด้วยตัวเอง ผมว่า ทุกคนสามารถเป็นโปรแกรมเมอร์ได้ ขอให้ตั้งใจจริงเท่านั้นเอง ผมเคยพบเจ้าของกิจการบางคน เข้าใจกิจการของตัวเองอย่างละเอียด เวลาจะเขียนโปรแกรม เขาก็เขียนเองเขา แต่ก็พบเหมือนกันว่า มันมีช่องโหว่เยอะ แต่เขาว่าเขายอมรับมันได้ ผมเองก็ไม่โต้แย้งอะไร
6. มหาวิทยาลัยหรือสถาบันศึกษาที่เปิดสอน
มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
มหาวิทยาลัยขอนแก่น
มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
7. ความต้องการของตลาดแรงงาน
ปัจจุบันความต้องการทางตลาดของโปรแกรมเมอร์ในปัจจุบันนี้ได้มีการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว มีแนวโน้มที่ดีได้ในอนาคตเป็นที่ต้องการของบริษัทใหญ่ให้ไปพัฒนาและออกแบบโปรแกรมในปัจจุบันมีความต้องการโปรแกรมเมอร์ที่มีทั้งความรู้ ความสามารถควบคู่ไปกับภาคปฏิบัติและภาคทฤษฎี
8. ตัวอย่างบุคคลที่อยู่ในอาชีพโปรแกรมเมอร์
คุณ Pizzagreezi โปรแกรมเมอร์อัจฉริยะ ผู้เคยสิงสถิตอยู่ที่ บอร์ดเสียวในไทยนั่นเองได้ สละเวลาอย่างใหญ่หลวงในการพัฒนา TWG ในครั้งนี้ โดยมิได้สิ่งใดๆ ตอบแทน

จิติรัฐ พิมพ์นนท์ กล่าวว่า...
ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ
จิติรัฐ พิมพ์นนท์ กล่าวว่า...

นางสาวจิติรัฐ พิมพ์นนท์ รหัส 48010510614
คณะศึกษาศาสตร์ เอกสังคมศึกษา ชั้นปีที่4

1.ชื่ออาชีพ ธุรกิจสปา
ผู้จัดการธุรกิจสปา
นักวิเคราะห์สุขภาพเบื้องต้น
นักบำบัดสปา
2.ลักษณะของอาชีพ
ผู้จัดการสปา
ทำหน้าที่เกี่ยวกับการบริหารจัดการรวมถึงจัดระบบและบริหารงานสปาด้านต่างๆให้สามารถดำเนินธุรกิจ สปาได้อย่างครบวงจร ตั้งแต่วางระบบการให้บริการ การวางแผนกิจกรรมต่างๆภายในสปา พัฒนาอบรมบุคลากร พัฒนาผลิตภัณฑ์ วางแผนการตลาด การขาย การควบคุมรายรับ-รายจ่ายต่างๆ รวมทั้งวางแผนการโฆษณาประชาสัมพันธ์ให้กับสปา ได้แก่
๑. วางแผนกิจกรรมต่างๆภายในสปา โดยคำนึงถึงความสอดคล้องของบุคลากร ผลิตภัณฑ์และแนวโน้มความต้องการของตลาดทั้งในและนอกประเทศ
๒. ศึกษาคุณสมบัติของแต่ละผลิตภัณฑ์ที่จะนำมาใช้ โดยให้สอดคล้องกับรูปแบบสปา
๓. พิจารณาคัดเลือกส่งพนักงานเข้ารับการฝึกอบรมที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานในแต่ละด้าน เพื่อเพิ่มพูนประสิทธิภาพในการทำงาน
๔.กำหนดและควบคุมมาตรฐานการทำงานและบริการของพนักงานให้อยู่ในระดับที่ดีตลอดเวลา
๕.ควบคุมบัญชีรายรับ-รายจ่าย และจัดทำสรุปค่าใช้จ่ายทั้งหมดของสปาแต่ละเดือน
นักวิเคราะห์สุขภาพเบื้องต้น
๑.มีความรู้และความสนใจในการขายและการตลาด
๒.รักงานด้านบริการ
๓.ซื่อสัตย์ ขยัน อดทน
๔.มีความรู้เกี่ยวกับสุขภาพร่างกายเบื้องต้น
นักบำบัดสปา
๑.มีใจรักด้านบริการ,ขยัน อดทน
๒.สุขภาพร่างกายแข็งแรง
๓.เป็นคนรักความสะอาด ควรตัดเล็บมือและเท้าเสมอ ไม่ควรไว้เล็บยาว
๔.เคยเรียนหรือผ่านการอบรมด้านกายภาพเบื้องต้น
3.ลักษณะของบุคคลที่เหมาะกับอาชีพ
๑.มีความรู้ด้านการบริหารและการจัดการ
๒.มีมนุษยสัมพันธ์ดี สามารถประสานงานได้กับพนักงานทุกระดับ
๓.อดทน ซื่อสัตย์
๔.รักงานบริการ
๕.มีปฏิภาณไหวพริบดี สามารถแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้
๖.ติดตามข่าวสารความเคลื่อนไหวใหม่ๆเกี่ยวกับตลาดและบริการ
4.ระดับรายได้และความก้าวหน้า
๑.เงินเดือนประจำจากโรงแรม รีสอร์ท สถานเสริมความงาม สุขภาพ ที่ทำงานประจำอยู่
๒.รับงานอิสระทั้งนอกสถานที่หรือในที่บ้าน โดยคิดอัตราค่าแรงตามตลาด(นักบำบัดสปา)
ความก้าวหน้าของงาน
โดยเฉพาะนักบำบัดสปา ถ้าต้องการไปทำงานที่ต่างประเทศเพื่อเพิ่มพูนรายได้ จะต้องผ่านการ อบรมและได้รับประกาศนียบัตรการนวดแผนไทยของกระทรวงสาธารณสุขและมาตรฐานการทำงานของกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กระทรวงแรงงาน
5. วิธีการเข้าสู่อาชีพ
ผู้จัดการสปา
ศึกษาขั้นต่ำระดับปริญญาตรี
ด้านการบริหารธุรกิจ
การจัดการทั่วไป
การบริหารงานบุคคล ในสถาบันอุดมศึกษาของรัฐและเอกชน
6.มหาวิทยาลัยที่เปิดสอน
-มหาวิทยาลัยขอนแก่น
-มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
-มหาวิยาลัยธรรมศาสตร์
-มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
-มหาวิทยาลัยบูรพา
-มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
-มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
-มหาวิทยาลัยรังสิต
-มหาวิทยาลัยนเรศวร
-มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
-จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย


7.ความต้องการของตลาดแรงงาน
เนื่องจากรัฐบาลมีนโยบายจะพัฒนาเมืองไทยให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวครบวงจร เพื่อจูงใจให้นักท่องเที่ยวต่างชาติได้ใช้เวลาเที่ยวเมืองไทยมีระยะเวลานานที่สุด อาชีพธุรกิจสปาจึงเป็นอาชีพที่มีความต้องการมาก เนื่องจากกิจกรรมสปาของไทยมีความโดดเด่นทั้ง ด้านบุคลากร(มีอัธยาศัยไมตรีดี) ด้าน ผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทย(มีมาตรฐานเทียบได้กับต่างประเทศ) ด้านสถานที่(สวยงาม)ที่สามารถสร้างความประทับใจแก่นักท่องเที่ยวต่างชาติได้เป็นอย่างดีและเป็นแรงผลักดันการท่องที่ยวให้ทำรายได้เข้าสู่ประเทศเป็นสำคัญ
ดังนั้น ความต้องการของตลาดแรงงานในช่วงนี้จึงมีสูงและมีแนวโน้มว่าจะสูงขึ้นเรื่อยๆ
8.บุคคลที่อยู่ในอาชีพดังกล่าว
ปริญ ประกฤติภูมิ ผู้จัดการระรินสปา กล่าวว่า..
ผู้หญิงยุคนี้มีมุมมองกับการเข้าสปาเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น สามารถใช้บริการสปาตอบโจทย์ความต้องการของตัวเองมากขึ้น ส่วนฝั่งธุรกิจสปาเองก็ต้องคอยอัปเดตความต้องการของลูกค้าไม่แพ้กัน ขนโปรโมชั่นสุดเก๋ออกมาเอาใจคุณผู้หญิงทุกรูปแบบ แต่ที่กำลังมาแรงตอนนี้ ต้องยกให้รูปแบบสปาที่ผสมผสานการให้บริการอื่นๆ อาทิ การการเล่นโยคะ ไทชิ บิวตี้แอนด์ซาลอน ชนิดพร้อมสรรพเพื่อรองรับความต้องการของผู้ใช้สปากันแบบครบสูตรโดยเฉพาะในเรื่องฝีมือของเธอราปีสที่มีความชำนาญเทียบเท่ากันทุกคน ก็ยิ่งทำให้สปานั้นๆ เป็นที่ถูกอกถูกใจคุณสาวๆ ได้ไม่ยาก ไม่ว่าจะเป็นใครมานวด ความหนักเบาของน้ำหนักมือ ก็ช่วยสร้างความผ่อนคลายให้ทุกคนได้ไม่ต่างกัน
"คนเข้าสปายุคนี้ไม่ใช่เพื่อตามเทรนด์อีกแล้ว แต่เป็นการตอบโจทย์ให้กับตัวเอง ซึ่งพอใช้บริการสปานานๆ ไป ก็จะเริ่มเห็นแล้วว่าที่นั่นดี ที่นี่ยังไม่ใช่ จนสามารถรู้ได้ว่าตัวเองเหมาะกับอะไรมากที่สุด" นอกจากนี้ ผู้คร่ำหวอดในแวดวงสปา ยังฝากมาถึงสาวๆ ที่ชื่นชอบสปาว่า... ยามใดที่ต้องเลือกเข้าสปาสักแห่ง คุณภาพของผลิตภัณฑ์ที่เลือกใช้ ถือเป็นสิ่งที่ห้ามมองข้ามเด็ดขาด และควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่มาจากธรรมชาติ ถือว่าดีที่สุด

นางสาว น้ำผึ้ง เอมโอษฐ์ กล่าวว่า...
ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ
นางสาว น้ำผึ้ง เอมโอษฐ์ กล่าวว่า...

นางสาวน้ำผึ้ง เอมโอษฐ์ รหัสนิสิต 48010511245คณะศึกษาศาสตร์ สาขาวิชา ภาษาไทย ชั้นปีที่ 4

1.ชื่ออาชีพ
พิธีกร , ผู้ดำเนินรายการ Host, Master of Ceremony, Moderator
นิยามอาชีพ
ผู้ปฏิบัติงานอาชีพนี้ ทำหน้าที่ดำเนินรายการโทรทัศน์ หรือรายการบนเวทีการแสดง โดยประกาศ อธิบาย แนะนำรายการ และหรือบุคคล หรือสิ่งที่น่าสนใจต่อท่านผู้ชม ซักถามผู้เข้าร่วมรายการ ให้ตอบคำถามข้อปัญหา เรื่องที่น่าสนใจโดยเป็นผู้จัดเตรียมรายการด้วยตนเอง หรือโดยมีผู้ร่วมทีมเป็น ผู้ดำเนินการ และพยายามดำเนินรายการให้ผู้ชมได้รับความรู้เรื่องที่น่าสนใจและความบันเทิงตามนโยบาย

2.ลักษณะของอาชีพ (การทำงาน)
1.ศึกษานโยบาย และวัตถุประสงค์ของสถานีโทรทัศน์ บุคคล หรือองค์กรที่มอบหมายให้ดำเนินการเพื่อให้บรรลุผลสำเร็จตามนโยบายและวัตถุประสงค์ของเจ้าของรายการ
2. จัดเตรียมทำข้อมูล จัดทำบทพูด หรือบทสนทนาให้เหมาะสมกับรายการที่จัดขึ้น โดยมุ่งให้เป็นที่พอใจของเจ้าของรายการสถานีโทรทัศน์ และผู้ชมรายการ โดยอาจดำเนินรายการเพียงลำพังผู้เดียว หรือทำงานเป็นทีม
3. อ่านประกาศ ท่องจำสคริปต์เพื่อเตรียมออกรายการโดยไม่ให้เกิดความผิดพลาด
4. ถ่ายทอดข้อมูลเรื่องราวต่างๆ และสื่อความหมายด้วยภาษาไทย หรือภาษาต่างประเทศที่ถูกต้อง และชัดเจน
5. ดำเนินรายการโดยการเสนอความรู้ สารคดี และเรื่องที่น่าสนใจของรายการ ตั้งคำถาม และข้อปัญหาเพื่อให้ผู้ร่วมรายการตอบร่วมการสนทนาหรือร่วมทำกิจกรรมที่จัดขึ้นพยายามเชื่อมโยง รายการให้ราบรื่น และไม่ติดขัด
6. ช่วยเหลือผู้เข้าร่วมรายการเมื่อมีข้อขัดข้องเกิดขึ้นในขณะดำเนินรายการ
7. อาจอ่านประกาศโฆษณาผู้สนับสนุนรายการ
8. อาจจัดเตรียมสถานที่โดยการออกแบบและตกแต่งให้เหมาะสมกับรายการ
9. อาจจัดหาอุปกรณ์เพื่อใช้ในการดำเนินรายการ สรรหาตัวบุคคลที่มาแสดงร่วมรายการ อาจนำเสนอภาพประกอบการบรรยายเป็นวิดีโอภาพยนตร์ หรือภาพนิ่ง แผนภูมิ ฯลฯ ตามความเหมาะสมกับรายการ
10. อาจเช่ารายการ และหาค่าโฆษณามาเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินรายการ
11. เป็นงานที่ต้องสื่อสารกับผู้ชมในห้องส่ง และผู้ชมทางบ้าน

3.ลักษณะของบุคคลที่เหมาะกับอาชีพ (ความต้องการด้านบุคลากร)
1. สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี
2. สนใจ และรักการพูด และกล้าแสดงออก สามารถสื่อสารให้ผู้ชมเข้าใจได้
3. มีประกาศณียบัตรผู้ประกาศจากกรมประชาสัมพันธ์
4. ต้องเป็นผู้ที่ออกเสียงควบกล้ำในภาษาไทยชัดเจน มีน้ำเสียงน่าฟัง สุภาพ และมีลีลาในการนำเสนอ
5. ต้องมีรูปร่างหน้าตา และบุคลิกลักษณะ ที่ค่อนข้างดี และโดดเด่น เพื่อดึงดูดความสนใจจากผู้ชม
6. มีไหวพริบ และปฏิภาณดี สามารถแก้ไขเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นโดยไม่คาดคิด
7. เป็นผู้มีความรู้รอบตัว และสนใจกระแสเหตุการณ์ของโลก เพื่อใช้ประโยชน์ในการดำเนินรายการ
8. มีคุณลักษณะในการทำงานเป็นทีมสูงมีมนุษยสัมพันธ์ มีระเบียบวินัยในการทำงาน
9. มีทัศนคติที่ดี มีความเป็นกลาง
10. คัดเลือกเชิญผู้เกี่ยวข้องกับประเด็นที่กำลังจะออกหรือดำเนินรายการมาเป็นแขกรับเชิญ
11. มีความอบอุ่น เปิดเผย ซื่อสัตย์เป็นกันเองต่อผู้ร่วมรายการ และผู้ชมรายการ

4.ระดับรายได้ และความก้าวหน้า รวมไปถึงสวัสดิการที่เกี่ยวกับอาชีพ
ผู้ปฏิบัติงานอาชีพนี้จะได้รับค่าตอบแทนการทำงานตามความสามารถ ความยากง่ายของงาน รายได้ที่ได้รับ และเงื่อนไขการจ้างซึ่งอาจจ่ายให้ในการดำเนินรายการเป็นพิธีกรแต่ละครั้งในรายการ โทรทัศน์หรือเคเบิ้ลทีวี สำหรับพิธีกรบนเวทีการแสดง ค่าตัวสำหรับพิธีกรที่เพิ่งเริ่มทำงานประมาณครั้งละ 3,000-7,000 บาทสำหรับพิธีกรชื่อดังซึ่งอยู่ในความนิยมของประชาชนครั้งละประมาณครั้ง 30,000 - 50,000 บาท หรืออาจสูงถึง 100,000 บาท
กำหนดเวลาทำงานขึ้นอยู่กับข้อตกลงกับเจ้าของสถานีโทรทัศน์เจ้าของรายการ หรือผู้ว่าจ้าง ซึ่งไม่สามารถกำหนดตายตัวได้
โอกาสความก้าวหน้า
ในกรณีของพิธีกรจัดรายการเพลง หรือวีเจ อาจได้รับการทาบทามให้เป็นพิธีกรรายการ อื่นที่ไม่ซ้ำกับการเป็นพิธีกรรายการเดิมเป็นดารา และอาจเป็นผู้ประกาศข่าวบันเทิง ถ้าฝึกฝนภาษาอังกฤษเพิ่มเติมก็จะสามารถทำงานกับสถานีโทรทัศน์ ในเครือข่ายของต่างประเทศได้ ส่วนพิธีกรจัด รายการประเภทถามตอบ หรือดำเนินรายการสาระทางเศรษฐกิจ หรือการเมืองอาจใช้ประสบการณ์ ทำการวิเคราะห์สถานการณ์ และเขียนบทความลงหนังสือพิมพ์ เพื่อเผยแพร่ความรู้ และมุมมองสำหรับ กลุ่มเป้าหมายที่ไม่ชอบดูโทรทัศน์ได้ด้วยพิธีกรทางโทรทัศน์ไม่ค่อยเปลี่ยนอาชีพมากเท่าไหร่ถ้าเปลี่ยนก็จะอยู่ในแวดวงอาชีพเดียวกัน เช่นเป็นผู้อำนวยการผลิตรายการเองเป็นเจ้าของรายการ และมักเป็นผู้บริหารสูงสุดของขององค์กรนั้น ๆ

5.วิธีการเข้าสู่อาชีพ (การศึกษา, สาขาที่เกี่ยวข้อง, วิชา, วุฒิการศึกษา)
1. สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี สาขาวิชาการประชาสัมพันธ์ สาขาวิชาการโฆษณา ภาควิชาการสื่อสารมวลชน ภาควิชาวาทวิทยาและสื่อสารการแสดง ภาควิชาวารสารสนเทศเป็นต้น ต้องฝึกฝนการอ่านออกเสียงภาษาไทยให้ชัดเจน ได้จังหวะ รวมทั้งมีความรู้ทั่วไปและเป็นผู้ที่มีความขยันหมั่นเพียรในการศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับจรรยาบรรณทางวิชาชีพ และมีความรู้เรื่องสิทธิมนุษยชน ตลอดจนเรื่องความมั่นคงของชาติ
2. เป็นผู้ได้รับการฝึกอบรมจากสมาคมวิทยุ โทรทัศน์แห่งประเทศไทย และผ่านการสอบประกาศนียบัตร ผู้ประกาศจากกรมประชาสัมพันธ์ โดยสมัครสอบด้วยตนเอง หรือผ่านสถาบันการศึกษาที่สังกัดอยู่

6.มหาวิทยาลัยหรือสถานศึกษาที่เปิดสอน
1.มหาวิทยาลัยแม่โจ้คณะสารสนเทศและการสื่อสารสาขาวิชานิเทศศาสตร์
2.คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
3.มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์หลักสูตรศิลปบัณฑิตสาขาวิชาภาษาไทยเพื่ออาชีพ
4.มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ คณะศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์
5.มหาวิทยาลัยมหาสารคาม เป็นต้น

7.ความต้องการของตลาดแรงงาน
พิธีกร ที่ดำเนินรายการสนทนา และสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ และการเมือง กำลังมีความต้องการสูงเช่นกันเพราะสถานการณ์เศรษฐกิจของประเทศไทยกำลังอยู่ในระหว่างการฟื้นตัว และประชาธิปไตยในประเทศกำลังได้รับการส่งเสริมอย่างกว้างขวาง และแพร่หลายสู่ท้องถิ่นและชุมชน รายการประเภทนี้จึงต้องการพิธีกรรุ่นใหม่ที่มีความรู้ความสามารถในเรื่องเศรษฐกิจ และการเมือง
โอกาสในการทำงานเป็นพิธีกรมากที่สุด คือ การเป็นพิธีกรนำเสนอรายการเพลง และรายการวัยรุ่นที่เรียกว่า วีเจ (Video Jockey) เพราะผังรายการสถานีโทรทัศน์จะจัดรายการภาคบันเทิงให้กลุ่มวัยรุ่นได้รับชม และรับฟังเพิ่มขึ้น ซึ่งบุคลากรในอาชีพนี้ต้องมีความรู้เรื่องเพลงไทยและเพลงสากล นอกจากนี้ยังต้องมีความสามารถพูดภาษาอังกฤษได้ดีเท่าๆ กับภาษาไทย เพราะรายการเพลงส่วนมากจะจัดเป็น 2 ภาษา พิธีกรแบบวีเจเป็นที่ต้องการอย่างมากในขณะนี้

8.ตัวอย่างบุคคลที่อยู่ในอาชีพดังกล่าว
นายวิทวัส สุนทรวิเนตร์ พิธีกรชาวไทย มีชื่อเสียงจากรายการโทรทัศน์ประเภทสนทนาวาไรตี้ (Variety Talk Show) เช่น ตีสิบ, สี่ทุ่มสแควร์, ที่นี่กรุงเทพฯ เป็นต้น

ประวัติ
นายวิทวัส สุนทรวิเนตร์ เกิดเมื่อวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2497 จบการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย ที่ โรงเรียนพระโขนงพิทยาลัย, ศิลปศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีเคอร์ทิน (CURTIN UNIVERSITY OF TECHNOLOGY) รัฐออสเตรเลียตะวันตก ประเทศออสเตรเลีย
เมื่อจบการศึกษา นายวิทวัสได้มีโอกาสร่วมงานกับสถานีโทรทัศน์ ช่อง 9 ที่เมืองซิดนีย์, ออสเตรเลีย โดยเริ่มจากการเป็นผู้กำกับศิลป์ ในรายการ MATCH MATES และยังเป็น ผู้ออกแบบศิลป์ของฝ่ายข่าว ช่อง 9 ออสเตรเลีย อีกด้วย
จากนั้น นายวิทวัส เดินทางกลับมายังประเทศไทย และได้เริ่มงานเป็น ผู้รายงานพยากรณ์อากาศ ในข่าวภาคค่ำ ช่อง 9 อ.ส.ม.ท. ยุค บริษัท แปซิฟิก อินเตอร์คอมมิวนิเคชั่น จำกัด และ ดร.สมเกียรติ อ่อนวิมล ต่อมาก็เป็น พิธีกรรายการคืนนี้ที่ช่อง 9 ที่ในเวลาถัดมา เปลี่ยนชื่อเป็นรายการที่นี่กรุงเทพฯ และย้ายไปออกอากาศทางช่อง 5 โดยที่นายวิทวัสยังคงเป็นพิธีกรอย่างต่อเนื่อง
ต่อมา นายวิทวัส ลาออกจาก บ.แปซิฟิกฯ มาเป็น กรรมการผู้จัดการ บริษัท คอนสแตนท์ แอดเวอร์ไทซิ่ง จำกัด ผู้ผลิตรายการสี่ทุ่มสแควร์ ทางช่อง 7 สี โดยรั้งตำแหน่งพิธีกรรายการด้วย (คู่กับ ดวงตา ตุงคะมณี และ เด๋อ ดอกสะเดา) จากนั้น นายวิทวัส ลาออกจาก บ.คอนสแตนท์ฯ มาเปิด บริษัท ทเว็นตี้ ทเว็นตี้ เอ็นเทอร์เทนเมนต์ จำกัด ผู้ผลิตรายการตีสิบ ทางช่อง 3 ด้วยตนเอง พร้อมรั้งตำแหน่ง กรรมการผู้จัดการบริษัท และพิธีกรรายการเช่นเคย จนถึงปัจจุบัน

นางาสาวจรรยา ภูมิโยชน์ กล่าวว่า...

นางสาวจรรยา ภูมิโยชน์ รหัส 48010916293สาขา สังคมศึกษา ชั้นปีที 4 คณะศึกษาศาสตร์
บทความเรื่องอาชีพผู้จัดการโรงแรม Hotel Manager
1.ชื่ออาชีพผู้จัดการโรงแรม Hotel Manager

2.ลักษณะของอาชีพ (การทำงาน)
1. วางแผนการบริการจัดการให้กิจการดำเนินไปได้ด้วยความเรียบร้อย ทั้งทางด้านการบริหารและการตลาด
2. บริหารงานบุคคลและการควบคุมการปฏิบัติงานของพนักงาน ควบคุมดูแลในส่วนของพนักงานผู้ปฏิบัติหน้าที่บริการในโรงแรม โดยจัดแบ่งหน้าที่และความรับผิดชอบให้ทำงาน เป็นแผนก แต่ละงานจะสอดรับประสานสัมพันธ์กัน มีสายการบังคับบัญชาที่ชัดเจน และมีการสื่อความที่ดี
3. จัดทำหรือควบคุมการทำบันทึกและบัญชี รายรับและรายจ่าย
4. ให้การต้อนรับแขกและดูแลการจัดที่พัก
5. จัดสรรเงิน อนุมัติการจ่าย และกำหนดหรือช่วยกำหนดงบประมาณสำหรับหน่วยงานต่างๆ ในโรงแรม
6. มอบอำนาจและกำหนดความรับผิดชอบให้แก่หัวหน้าหน่วยงานต่างๆ และปรับปรุงแก้ไข การบริการด้านห้องพักและอาหาร
7. จัดทำรายงานให้เจ้าของกิจการทราบถึงความก้าวหน้าและสถานะของธุรกิจ
8. สั่งซื้อสิ่งของเครื่องใช้ อุปกรณ์ต่าง ๆ

3.ลักษณะของบุคคลที่เหมาะกับอาชีพ (ความต้องการด้านบุคลากร)
การเป็นผู้จัดการโรงแรมในระดับ 3 ดาว ถึง 5 ดาวนั้น ต้องการผู้มีประสบการณ์มากทั้งในประเทศ และต่างประเทศ หรืออยู่ในฝ่ายการจัดการระดับผู้บริหารอย่างน้อยเป็นเวลาประมาณสิบห้าถึงยี่สิบปี การเริ่มต้นทำงานในขั้นแรกผู้ที่รักอาชีพทางด้านนี้จะต้องมี คุณสมบัติ ดังนี้
1. ปริญญาตรีสาขาด้านการบริหารโรงแรมหรือสูงกว่า
2. มีความรู้ภาษาอังกฤษดี
3. มีมนุษยสัมพันธ์ดี รักอาชีพบริการ
4. มีปฏิภาณไหวพริบดี เตรียมพร้อมรับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดและสามารถแก้ไขสถานการณ์ได้ ทันทีเมื่อเกิดการผิดพลาดในการสื่อสาร
5. สามารถทำงานล่วงเวลา
6. มีความอดทน อดกลั้น ใจเย็นอย่างสูง
7. เป็นคนเปิดกว้างเข้าใจในวัฒนธรรมที่แตกต่าง และ ไม่เหยียดผิวพรรณเชื้อชาติ

4.ระดับรายได้ และความก้าวหน้า รวมไปถึงสวัสดิการที่เกี่ยวกับอาชีพ
ผู้ประกอบอาชีพนี้ ได้รับค่าตอบแทนเป็นเงินเดือนที่ค่อนข้างสูง เนื่องจากการว่าจ้างบุคลากรในอาชีพนี้ต้องการผู้มีประสบการณ์ในการบริหารงานโรงแรมมาแล้ว เป็นอาชีพที่ต้องมีความรับผิดชอบสูง อดทน และต้องบริหารงานตลอด 24 ชั่วโมง อัตราเงินเดือนขึ้นอยู่กับขนาดของโรงแรม และอาชีพนี้ได้รับผลประโยชน์อย่างอื่นเป็นสวัสดิการ โบนัส และสิทธิประโยชน์อื่น ๆ

5.วิธีการเข้าสู่อาชีพ (การศึกษา, สาขาที่เกี่ยวข้อง, วิชา, วุฒิการศึกษา)
ผู้ที่จะประกอบอาชีพนี้ ควรเตรียมความพร้อมดังต่อไปนี้: เมื่อสำเร็จการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 6 หรือเทียบเท่า ควรสอบคัดเลือกเข้าศึกษาต่อในระดับหลักสูตรปริญญาตรี คณะอุตสาหกรรมบริการ สาขาวิชาการจัดการโรงแรม วิทยาลัยดุสิตธานี หรือคณะการจัดการโรงแรมและการท่องเที่ยว(วิทยาเขตภูเก็ต) หลักสูตรนานาชาติ 4 ปีใช้ภาษาอังกฤษในการเรียนการสอน หรือควรมีประสบการณ์ด้านนี้มาจากต่างประเทศ ควรเข้าทำงานในโรงแรมในตำแหน่งต่างๆ สะสมประสบการณ์ และศึกษาเพิ่มเติม ทั้งในด้านภาษาและการบริหารการจัดการ

6.มหาวิทยาลัยหรือสถานศึกษาที่เปิดสอน
1.มหาวิทยาลัยศิลปากร
-หลักสูตรศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการจัดการมรดกทางสถาปัตยกรรมกับการท่องเที่ยว
-ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต (ภาษาฝรั่งเศสเพื่อการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม)
-วิทยาลัยนานาชาติ สาขา การจัดการโรงแรม และการท่องเที่ยว
2.มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
-คณะการท่องเที่ยวและการโรงแรม ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาการจัดการการท่องเที่ยวและการโรงแรม
3. มหาวิทยาลัยนเรศวร
-ศิลปศาสตรบัณฑิต สาขาการจัดการการโรงแรมและการท่องเที่ยว
-คณะเกษตรศาสตร์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
สาขาการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพและการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ
4. มหาวิทยาลัยรังสิต
-หลักสูตรศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการท่องเที่ยว
5. มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ
-คณะบริหารธุรกิจ สาขาการจัดการการท่องเที่ยว
6. มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนดุสิต
-หลักสูตรบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต สาขาการจัดการการท่องเที่ยว
7. มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร
-คณะสังคมศาสตร์ สาขาการวางแผนและการจัดการการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ
8. มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
-คณะวนศาสตร์ สาขาอุทยาน นันทนาการ และการท่องเที่ยว
9.มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์(ภูเก็ต)
-หลักสูตรบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต สาขาวิชาการจัดการการบริการและการท่องเที่ยว (นานาชาติ)
10. มหาวิทยาลัยขอนแก่น
-คณะวิทยาการจัดการ สาขาการจัดการการท่องเที่ยว
11. มหาวิทยาลัยสยาม
-คณะศิลปศาสตร์ สาขาการโรงแรมและการท่องเที่ยว
12. มหาวิทยาลัยแสตมฟอร์ด
-หลักสูตรบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต สาขาการจัดการการโรงแรมและการท่องเที่ยว
13.มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
-คณะบริหารศาสตร์ สาขาการจัดการการท่องเที่ยว (หลักสูตรนานาชาติ)
14. จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
-ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต แขนงวิชาการจัดการท่องเที่ยว สหสาขาวิชาการจัดการทางวัฒนธรรม(นานาชาติ)
-สำนักวิทยาศาสตร์ สาขาการจัดการนันทนาการการท่องเที่ยว
15. มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต
-ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการจัดการอุตสาหกรรมบริการและการท่องเที่ยว
16. มหาวิทยาลัยเกริก
-คณะนิเทศศาสตร์ สาขาวิชาการสื่อสารการท่องเที่ยวและบันเทิง
17. วิทยาลัยดุสิตธานี
-หลักสูตรบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต สาขาวิชาการจัดการโรงแรมและภัตตาคาร
18. วิทยาลัยรัชต์ภาคย์
คณะบริหารธุรกิจ สาขาการจัดการธุรกิจอาหารและภัตตาคาร

7.ความต้องการของตลาดแรงงาน
เนื่องจากรัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวกิจการด้านโรงแรมจึงขยายตัวมากขึ้นอย่างรวดเร็ว ทั่วประเทศ ดังนั้น ผู้มีความรู้ความสามารถในการบริหารจัดการมีโอกาสที่จะทำงานเป็นผู้จัดการโรงแรม ได้มาก และถ้าสามารถบริหารงานได้อย่างมีประสิทธิภาพก็จะมีผู้ต้องการมากขึ้นและผู้จัดการที่มี ความสามารถจะประกอบอาชีพหรืออยู่ในตำแหน่งค่อนข้างนาน

8.ตัวอย่างบุคคลที่อยู่ในอาชีพดังกล่าว
จตุพร-นิภาภัทร สิหนาทกถากุล เป็นคู่ชีวิตที่ชอบใช้ชีวิตแบบเรียบง่าย เงียบสงบ และไม่ชอบเป็นข่าวคราวในสังคมมากนัก ทั้งที่ทั้งคู่ล้วนมีตำแหน่ง หน้าที่การงาน และชื่อเสียงที่สมควรกล่าวถึงในสื่อต่างๆ ได้บ่อยๆ จตุพรเป็นนักธุรกิจระดับหลายพันล้าน เจ้าของธุรกิจโรงแรมทั้งในและต่างประเทศถึง ๕ แห่ง รวมทั้งโรงพยาบาลและอสังหาริมทรัพย์อื่นๆ ในขณะที่ภริยา นิภาภัทร คืออดีตนางสาวไทย และเคยทำงานบริษัทการบินไทยมานานหลายปี
โรงแรมแลนด์มาร์ค กรุงเทพฯ เป็นสถานที่ที่ “สกุลไทย” นัดพบปะพูดคุยกับบุคคลคู่นี้ในเช้าวันเสาร์วันหนึ่ง วันที่ค่อนข้างผ่อนคลายของคุณจตุพร กรรมการผู้จัดการโรงแรมแห่งนี้
“วันเสาร์เป็นวันที่ผมทำงานเพียงครึ่งวัน ช่วงบ่ายจะไปพักผ่อน ดูแลสวนผลไม้ที่เมืองนนท์กับเล็กและลูกๆ ทุกเสาร์ ถ้าไม่ติดงานด่วนหรือธุระอะไร หลังจากคุยเสร็จนี่ผมก็จะไปแล้ว ผมเป็นคนทำงาน การใช้เวลาว่างของผมมีอยู่ ๒ เรื่อง คือดูแลต้นไม้ และเล่นแบดมินตัน สัปดาห์ละ ๓ ครั้ง ส่วนสวนผลไม้ ผมมีที่อยู่ ๒๐ กว่าไร่ที่เมืองนนท์ ซื้อไว้เมื่อ ๑๐ กว่าปีที่แล้ว เดิมผมอนุรักษ์พันธ์ทุเรียนไว้ครบทุกพันธุ์ ๔๐๐ กว่าต้น แต่ถูกน้ำท่วมตามไปหมด ตอนนี้มาปลูกทดแทนใหม่ ก็เลยต้องดูแลอย่างใกล้ชิด ออกดอกแล้วครับ ถือเป็นความรับผิดชอบที่มีความสุขมาก”
คุณจตุพรเป็นลูกคนสุดท้องในจำนวน ๕ คนของครอบครัวคนจีน ที่ทำธุรกิจค้าผ้าย่านสำเพ็ง เริ่มการศึกษาที่โรงเรียนจีน และจบการศึกษาขั้นสูงสุดที่คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาฯ ในรุ่นที่ ๒๑
“ตอนเด็กๆ ผมเป็นคนแพ้โรงเรียน ไปเรียนทีไรกลับมาต้องไม่สบาย เป็นสารพัดโรค ตั้งแต่หวัดเรื้อรัง ไทฟอยด์ ไอกรน มาเริ่มไปโรงเรียนได้จริงๆ ก็ตอนอายุ ๑๒ เพิ่งอยู่ ป.๒ พอเรียนจบ ป.๔ ขึ้น ม.๑ ผมโตที่สุดในชั้นอยู่แล้ว แต่สูงห่างกับคนที่สองครึ่งต่อครึ่ง ทุนเรียนอยู่ได้ปีหนึ่ง อาย เลยต้องลาออกไปเรียนลัด รวดเดียวถึง ม.๘ เลย โดยใช้เวลาเพียง ๓ ปี เรียนตั้งแต่ ๔ โมงเย็นถึง ๑ ทุ่ม ตอนเช้าทำการบ้าน เรียนหนักมากครับ ตอนจบ ม.๘ ผมสอบได้ ๗๐ กว่าเปอร์เซ็นต์ จบแผนกวิทย์ พอตอนสอบเอ็นทร้านซ์ผมติด ๒ แห่ง คือ คณะเศรษฐศาสตร์สหกรณ์ ที่มหาวิทยาลัยเกษตรฯ คนสมัครสอบ ๗ พันกว่าคน ผมได้ที่ ๒ เลยได้เป็นนักเรียนทุน เพราะเขาให้ทุนกับ ๑๐ คนแรก อีก ๒ อาทิตย์ต่อมา จุฬาฯ ประกาศผล ปรากฏว่าผมสอบติดคณะบัญชี จุฬาฯ อีก เป็นอันดับที่ ๓๕ เลยเลือกมาเรียนที่จุฬาฯ เพราะใกล้บ้านกว่า พอเข้ามหาวิทยาลัยก็ปรับตัวไม่ได้ แรกๆ ฟังเลกเชอร์ไม่รู้เรื่อง เทอมแรกสอบมิดเยียร์ ๑๐ วิชา ตก ๕ แต่พอปลายปีตั้งตัวได้ คราวนี้เก็บเรียบหมด แต่ปีต่อๆ มาระหว่างเรียน เวลาว่างเยอะก็เลยใช้เวลาไปดูหนังมากกว่า แต่ตอนจบก็ได้ที่ ๗ ของคณะ พอจบแล้วก็ตามเพื่อนไปสมัครงาน แห่งแรกที่ไปสมัครคือ โรงแรมเอราวัณ เพิ่งไปฝึกงานเป็นแคชเชียร์วันละ ๒๕ บาท ก็นัดกันว่าอีกอาทิตย์หนึ่งจะมา หลังจากนั้นอีกสองวัน เพื่อนชวนไปสมัครที่เชลล์เขาก็รับ และเสนอเงินเดือนให้ตั้ง ๑,๕๐๐ บาท ผมเลือกไปทำเชลล์และก็อยู่ ๒ ปีกว่า จนกระทั่งคุณพ่อมาสร้างโรงแรมสยามที่ถนนเพชรบุรีตัดใหม่เลยให้ออกมาช่วย”
นับเป็นจุดเริ่มต้นธุรกิจโรงแรมตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
“ผมเข้าไปรับตำแหน่งผู้จัดการทั่วไปเลย แต่ไม่รู้เรื่องอะไรในด้านโรงแรมเลย ดูแลแต่เรื่องบัญชี การเงินไปก่อน ระหว่างนั้นก็ดูแลด้านอสังหาริมทรัพย์อื่นๆ ของครอบครัวอีกด้วย จนกระทั่ง ปี ๒๕๓๐ จึงมาเปิดโรงแรมแลนด์มาร์คนี่ ช่วงที่สร้างเป็นช่วงที่เศรษฐกิจตกต่ำมาก พอเริ่มสร้างได้หนึ่งปีก็เกิดสงครามอ่าวเปอร์เซีย ปีต่อมาประเทศไทยมีเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ แต่พอสร้างเสร็จและเปิด เศรษฐกิจเริ่มดีขึ้น ปีนั้นตรงกันปีเฉลิมฉลองตรงกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระชนมายุครบ ๕ รอบพอดี และเป็นปีท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยด้วย ช่วงนั้นธุรกิจโรงแรมดีมาก นักท่องเที่ยวมากรุงเทพฯ แล้วไม่มีที่พัก บางคนต้องไปพักโรงพยาบาล พอดี BOI ก็เปิดประตูสนับสนุนให้คนลงทุน ใครๆ เลยอยากทำธุรกิจโรงแรม ช่วงนั้นเฉพาะในกรุงเทพฯ มีคนขอใบอนุญาตเกือบ ๑๐๐ ราย ตั้งแต่คนขายทอง ขายยา จนไปถึงขายวัสดุก่อสร้าง ในฐานะนายกสมาคมโรงแรมไทย ตอนนั้นผมพยายามออกมาพูดว่าผมไม่ได้กีดกันการลงทุนใดๆ แต่ BOI ควรจะให้ข้อมูลให้ละเอียดกับผู้ลงทุนมากกว่านี้ แต่เมื่อทุกคนมองดูว่าธุรกิจนี้หอมหวาน สร้างเสร็จ เปิดมาไม่มีแขก ก็ใช้วิธีตัดราคากัน บริษัททัวร์ใหญ่ๆ ยิ้มเลย หลังจากนั้นมาเจอเหตุการณ์ IMF อีก จนขณะนี้อัตราค่าห้องพักก็ยังไม่ได้ปรับขึ้นให้ดีเท่าที่ควร”
ด้วยความที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกล คุณจตุพรมองการขยายธุรกิจในประเทศว่าค่อนข้างเต็ม จึงมุ่งไปสู่ต่างประเทศแทน
“ผมมองว่าการขยายตัวในนี้คงลำบาก เหมือนกับการประมง ที่ใครๆ ก็มารุมจับปลาในอ่าวไทย จนปลาหมด ก็ต้องออกไปจับข้างนอกบ้าง ผมมองไปที่ยุโรป และก็มุ่งไปที่อังกฤษ เนื่องจากเห็นว่าเป็นที่รวมของคนหลายชาติหลายภาษามานานแล้ว จึงไปซื้อโรงแรมรอยัลแลงคาสเตอร์ ตรงข้ามไฮด์ปาร์ค ขนาด ๔๑๘ ห้อง เมื่อปี ๑๙๙๔ ในราคา ๖๕ ล้านปอนด์ และลงทุนตกแต่งใหม่อีก ๑๕ ล้านปอนด์ เป็นโรงแรมระดับ ๕ ดาว และในปี ๑๙๙๖ ก็ซื้อโรงแรมแลนด์มาร์ค ลอนดอน ซึ่งเดิมเป็นโรงแรมรถไฟมาก่อน เป็นตึกเก่าที่สำนักงานอนุรักษ์สถานบังคับให้อนุรักษ์รูปแบบภายนอกไว้เหมือนเดิม แต่ภายในตกแต่งใหม่หมด มี ๓๐๙ ห้อง เป็นซูพีเรียร์ ดีลักซ์ โฮเต็ล สถาปัตยกรรมแบบวิคตอเรีย เพิ่งฉลองครบ ๑๐๐ ปี ของตึกไปเมื่อ ปี ๑๙๙๙ ทั้งสองโรงแรมนี้ ได้รับรางวัลต่างๆ มากมาย และเมื่อ ๒ ปีที่แล้ว ผมก็ได้ซื้อโรงแรมแบบโมเดอร์นอีกแห่งหนึ่งในกรุงลอนดอนเช่นกัน ชื่อโรงแรมเคเวส เป็นโรงแรมที่เหมาะกับคนรุ่นใหม่ เช่น นักร้อง นักดนตรี และพวกวงการแฟชั่นมาพักกันเป็นส่วนใหญ่”
การบริหารงานของคุณจตุพรล้วนใช้มืออาชีพในวิชาชีพโรงแรมเป็นผู้บริหารทุกแห่ง รวมทั้งโรงแรมแลนด์มาร์ค กรุงเทพฯ ที่มีผู้บริหารชาวต่างชาติมากถึง ๑๐ คน จนได้รับรางวัลต่างๆ อาทิ โรงแรมแลนด์มาร์ค กรุงเทพฯ ได้รับรางวัลโรงแรมดีที่สุด จากสมาพันธ์นักบินแห่งประเทศสวีเดน และรางวัลเหรียญทองด้านการบริการ จากสถาบันการศึกษาของสมาคมโรงแรมแห่งสหรัฐอเมริกา โรงแรมรอยัลแลงคาสเตอร์ ลอนดอน ได้รับรางวัล โรงแรมที่ให้บริการประชุมและจัดเลี้ยงดีที่สุดแห่งสหราชอาณาจักรติดกัน ๔ ปีซ้อน รางวัลสรรเสริญระดับ ๕ มงกุฎ จากคณะกรรมาธิการการท่องเที่ยวแห่งกรุงลอนดอน โรงแรมแลนด์มาร์ค ลอนดอน ได้รับรางวัลโรงแรมธุรกิจระดับโลกยอดเยี่ยม โรงแรมยอดเยี่ยมแห่งสหราชอาณาจักร รางวัลชนะเลิศ ๑ ใน ๓ โรงแรมยอดเยี่ยมของยุโรป รางวัลโรงแรมที่ดีที่สุดแห่งกรุงลอนดอน จากนิตยสารกัลลิเวนเทอร์ไก๊ด์ รางวัลสรรเสริญ เอ เอ ระดับ ๕ ดาวแดง จากสมาคมยานยนต์แห่งสหราชอาณาจักร และรางวัลโรงแรมที่ได้รับความนิยมที่สุดจากทั่วโลก จากการประชุมด้านการขาย และการตลาดของโรงแรมยอดนิยม ณ รัฐนิวออลีนส์ ประเทศสหรัฐอเมริกา และรางวัลโรงแรมที่ดีที่สุดแห่งนครลอนดอน จากคณะกรรมาธิการการท่องเที่ยวแห่งนครลอนดอน ส่วนโรงแรม เค เวส ก็เพิ่งได้รับรางวัลโรงแรมที่ดีที่สุดในนครลอนดอน ในส่วนของบาร์และห้องอาหาร เมื่อปีที่แล้วเช่นกัน
ขณะนี้คุณจตุพรมีตำแหน่งเป็นประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการโรงแรมแลนด์มาร์ค ลอนดอน โรงแรมรอยัลแลงคาสเตอร์ และโรงแรมเคเวส ลอนดอน รวมทั้งประธานกรรมการ โรงพยาบาลไทยนครินทร์ และกรรมการบริหารบริษัทอาคารกรุงธุรกิจ (๑๙๘๗) จำกัด อีกด้วย จากความสำเร็จเหล่านี้ จึงเพิ่งได้รับเลือกเป็นนิสิตเก่าดีเด่นประจำปี ๒๕๔๕ จากสมาคมนิสิตเก่าคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อเร็วๆ นี้
“ผมยังไม่อยากเรียกผลงานนี้ว่าความสำเร็จ แต่ผมคิดว่าทำเท่าที่ทำได้ แต่เวลาจะทำอะไรต้องทำด้วยความตั้งใจจริงและให้ดีที่สุด ที่สำคัญต้องให้เป็นที่เชื่อถือแก่คนอื่นด้วย ส่วนหนึ่งที่ก้าวมาถึงตรงนี้ได้ คือภรรยาและลูกให้กำลังใจมาตลอด เล็กช่วยดูแลลูกๆ ได้ดี จนผมไม่ต้องกังวลเรื่องลูก ทำให้มีสมาธิและกำลังใจทำงานได้เต็มที่”

นางสาว ภัทรยทิยา ยอดแคล้ว กล่าวว่า...

นางสาวภัทรทิยา ยอดแคล้ว
คณะศึกษาศาสตร์ เอกสังคมศึกษา
ชั้นปีที่ 4 รหัสนิสิต 48010510647

1. ชื่ออาชีพ นักเศรษฐศาสตร์
ผู้ปฏิบัติงานอาชีพนี้ ได้แก่ ผู้ทำการศึกษา วิเคราะห์ วิจัย และนำหลักเศรษฐศาสตร์มาใช้ในงานที่ เกี่ยวกับที่มาของรายได้ รายจ่าย การพัฒนาทรัพยากรธรรมชาติ การผลิต การบริโภคสินค้าและบริการ รวมถึงการพัฒนาทฤษฎีต่างๆ โดยใช้ข้อมูลที่ได้จากการศึกษา วิเคราะห์ วิจัยเป็นหลัก วางแผนงานเพื่อ ส่งเสริม พัฒนา และแก้ปัญหาเศรษฐกิจ การวางแผนงานด้านการเงิน การคลัง ภาษีอากร เกษตรกรรม อุตสาหกรรม การค้า และแรงงาน
2.ลักษณะของอาชีพ
1.ศึกษา วิเคราะห์ วิจัย จัดทำรายงาน และวางแผนงาน เพื่อส่งเสริม พัฒนา และแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจ เกี่ยวกับการผลิต การจำหน่ายสินค้า และบริการ การลงทุน แรงงาน
2. ศึกษากรรมวิธีทั้งหมดที่เกี่ยวกับการดำรงชีพของมนุษย์ และจัดหาสิ่งต่างๆ มาบำบัด ความต้องการของมนุษย์ ซึ่งได้แก่ ผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่อยู่อาศัย บริการ หรือการบันเทิง ตลอดจนการศึกษาสิ่งที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ หรือสิ่งที่ช่วยให้การพัฒนาเศรษฐกิจบรรลุผลสำเร็จ
3. ค้นหา วิธีเก็บรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลเชิงสถิติ และข้อมูลทางเศรษฐกิจ รวบรวม และตีความข้อมูลดังกล่าว
4. จัดทำรายงาน และวางแผนงานตามผลการศึกษางานทางเศรษฐกิจ และตามข้อมูลที่ได้ ตีความและวิเคราะห์แล้ว
5. ให้คำปรึกษาแนะนำ แก่หน่วยงานประกอบธุรกิจอุตสาหกรรมของเอกชนหรือหน่วยงานรัฐบาล ในเรื่องต่างๆ เช่น ประสิทธิภาพของการทำงานการตลาดและปัญหาเกี่ยวกับการเงิน เป็นต้น
6. อาจเชี่ยวชาญทางเศรษฐกิจสาขาใดสาขาหนึ่ง เช่น เศรษฐกิจการเกษตร เศรษฐกิจการคลัง หรือเศรษฐกิจอุตสาหกรรม การค้าระหว่างประเทศ การแรงงาน หรือราคา หรือเชี่ยวชาญในเรื่องการเก็บภาษีอากร หรือ การวิจัยตลาด และอาจมีชื่อเรียกตามความเชี่ยวชาญ
7. ศึกษา วิเคราะห์ วิจัย วางแผน เก็บรวบรวมข้อมูล ให้คำปรึกษาแนะนำแก่หน่วยงานภาครัฐและ ภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องกับที่มาของรายได้ รายจ่าย การพัฒนาทรัพยากรธรรมชาติ การผลิต การบริโภคสินค้าและบริการ เพื่อการส่งเสริม พัฒนา และแก้ปัญหาเศรษฐกิจ
3. ลักษณะของบุคคลที่เหมาะสมกับอาชีพ
นักเศรษฐศาสตร์ ต้องมีคุณสมบัติ ดังนี้
1. สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีคณะเศรษฐศาสตร์ หรือสาขาวิชาที่เกี่ยวข้อง
2. มีความรู้และเข้าใจภาษาอังกฤษได้ดี และสามารถใช้คอมพิวเตอร์ได้ มีความถนัดและสนใจด้านคณิตศาสตร์ และสังคมศาสตร์
3. มีบุคลิกดี มีความสามารถในการเจรจาต่อรองและประนีประนอมได้ดี
4. มีวิสัยทัศน์กว้างไกล มีใจกว้าง ยอมรับฟังการติชมจากผู้อื่น
5. ซื่อสัตย์สุจริต ซื่อตรงต่อความคิดเห็นของตนเอง เสนอข้อคิดเห็นเชิงสร้างสรรค์ และเป็นกลาง
6.รักความเป็นธรรม ไม่เอารัดเอาเปรียบผู้อื่น
โอกาสในการมีงานทำ
สามารถประกอบอาชีพเป็นพนักงานในธนาคาร พนักงานในองค์การระหว่างประเทศ เจ้าของธุรกิจส่วนตัวนักวิจัย นักวิชาการด้านธุรกิจการค้าและเศรษฐกิจ สถาบันการเงินทั่วไป อาจารย์ในสถาบันอุดมศึกษา ในตลาดแรงงานยังมีความต้องการนักเศรษฐศาสตร์อีกมาก เพื่อพัฒนาธุรกิจของหน่วยงานและประเทศให้สามารถพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศและสามารถแข่งขันทางการค้าในภาวะเศรษฐกิจโลกที่เปลี่ยนแปลงไปให้ทันต่อเหตุการณ์ เวลา และถูกต้อง เนื่องจากทุกประเทศมีจุดมุ่งหมายให้มีรายได้เข้าประเทศให้มากที่สุด เพื่อให้ประชากรมีการกินดีอยู่ดี และสร้างประเทศให้มั่งคั่ง การแข่งขันทางการค้าและมาตรการกีดกันทางการค้าจึงมีความเข้มข้นและรุนแรงมากขึ้นโดยลำดับ ซึ่งจะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ นอกจากนี้ นักเศรษฐศาสตร์สามารถเปลี่ยนแปลงตำแหน่งหน้าที่ และหน่วยงานที่ตนปฏิบัติได้เสมอ อาจจะเป็นนักวิเคราะห์ระบบ นักวิจัยและนักวางแผนทางเศรษฐกิจ เป็นต้น

โอกาสการก้าวหน้าในอาชีพ
ผู้ประกอบอาชีพนี้ สามารถประกอบอาชีพได้หลายประเภท ในสถานที่ต่างๆ ได้หลายแห่งทั้งที่เป็นหน่วยงานของราชการ รัฐวิสาหกิจ สถาบันการเงิน บริษัท ห้างร้านต่างๆ องค์กรพัฒนาเอกชน และได้รับการเลื่อนตำแหน่งจนถึงตำแหน่งหัวหน้างาน หัวหน้าฝ่าย ผู้จัดการฝ่าย ผู้อำนวยการ ผู้จัดการใหญ่ในภาคเอกชน ส่วนในภาครัฐ ถ้ามีการศึกษาในระดับที่สูงกว่าระดับ ปริญญาตรี มีประสบการณ์ และมีความสามารถในการบริหารงานจะสามารถเลื่อนขั้น เลื่อนตำแหน่งจนถึงระดับบริหารสูงสุดในหน่วยงานนั้น โดยทั่วไปผู้ที่มีโอกาสได้รับการศึกษาต่อในระดับปริญญาโทและปริญญาเอก สาขาเศรษฐศาสตร์ หรือวิชาการบริหารธุรกิจ ก็สามารถเลื่อนวิทยฐานะหรือตำแหน่งงานที่สูงขึ้นได้อย่างรวดเร็ว หรืออาจเป็นอาจารย์สอนในมหาวิทยาลัยที่เปิดสอนสาขาวิชาเศรษฐศาสตร์


4. ระดับรายได้
ผู้ที่ทำงานในหน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ จะได้รับเงินเดือนตามวุฒิการศึกษา ส่วนในภาคเอกชนจะ ได้รับเงินเดือนตามวุฒิการศึกษาและประสบการณ์ในการทำงาน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของบริษัทหรือองค์กรที่จ้างงาน ซึ่งไม่มีข้อกำหนดที่แน่นอนตายตัว
สำหรับผู้ที่มีวุฒิการศึกษาระดับปริญญาตรีซึ่งไม่มีประสบการณ์จะได้รับเงินเดือนขั้นต่ำ 6,360 บาทต่อเดือน ถ้ารับราชการและได้รับ ค่าตอบแทนขั้นต่ำ 9,500 - 12,000 บาทต่อเดือนสำหรับภาคเอกชนนอกจากค่าตอบแทนเป็นเงินเดือนแล้วในภาครัฐวิสาหกิจและภาคเอกชนอาจได้รับผลประโยชน์พิเศษอย่างอื่น เช่น ค่ารักษาพยาบาล เงินสะสม เงินช่วยเหลือสวัสดิการในรูปต่างๆ เงินโบนัส ค่าล่วงเวลา เป็นต้น ผู้ปฏิบัติงานอาชีพนี้ มีชั่วโมงทำงานโดยปกติวันละ 8 ชั่วโมง หรือสัปดาห์ละ 40 ชั่วโมงและอาจต้องทำงานล่วงเวลา หรือวันเสาร์ วันอาทิตย์ หรือวันหยุด เมื่อมีความจำเป็นเร่งด่วนต้องทำงานให้เสร็จตามกำหนดเวลา
สภาพการทำงาน
นักเศรษฐศาสตร์ ทำงานในสถานที่ทำงานที่มีสภาพการทำงานเป็นสำนักงานที่มีอุปกรณ์ สิ่งอำนวยความสะดวกเช่นสำนักงานทั่วไปในการทำงานอาจจะต้องใช้เครื่องคำนวณ และหรือเครื่องคอมพิวเตอร์และระบบอินเตอร์เน็ตเพื่อใช้ช่วยงานศึกษาค้นคว้าหาข้อมูลสำหรับการวิเคราะห์เชิงเศรษฐศาสตร์ในการวางแผนในเชิงธุรกิจของหน่วยงาน

5. วิธีการเข้าสุ่อาชีพ
ผู้ที่สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย หรือเทียบเท่าตามหลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการสอบคัดเลือกเข้าศึกษาต่อ คณะเศรษฐศาสตร์ หรือสาขาวิชาที่เกี่ยวข้องในสถาบันอุดมศึกษาในสังกัดทบวงมหาวิทยาลัย หลักสูตร 4ปี

6.มหาวิทยาลัยหรือสถานศึกษาที่เปิดสอน
• จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
• มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
• มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
• มหาวิทยาลัยขอนแก่น
• มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
• มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิต
• มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานคร
• มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี
อาชีพที่เกี่ยวเนื่อง
นักบัญชี นักธุรกิจ นักบริหาร นักวิเคราะห์ระบบ นักวิจัย นักวางแผน นักการธนาคาร นักการเงิน นักการคลัง นักสถิติ นักการแรงงาน เจ้าหน้าที่สถาบันการเงิน เจ้าหน้าที่หลักทรัพย์ เจ้าหน้าที่สถาบันการเงิน เจ้าหน้าที่หลักทรัพย์ เจ้าหน้าที่วิเคราะห์งบประมาณ เจ้าหน้าที่บุคคล เจ้าหน้าที่แรงงานสัมพันธ์

7. ความต้องการของตลาดแรงงาน
เนื่องด้วยอาชีพเศรษฐศาสตร์เป็นอาชีพที่ต้องดูแลทุกข์สุขของประชาชนทั้งประเทศ เป็นเรื่องที่ต้องว่ากันด้วยรายได้ ค่าใช้จ่าย และการเงิน ซึ่งการเรียนเรื่องเศรษฐศาสตร์จึงเป็นเรื่องสำคัญและจำเป็น แต่จะว่าไปแล้วคนที่ศึกษาเรื่องนี้โดยตรงมีน้อยมาก เพราะเศรษฐศาสตร์เรียนค่อนข้างยาก คนที่จบออกมาจากการเรียนสาขานี้จึงต้องเก่งจริงๆเท่านั้นจึงจะเป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่ดีได้
ดังนั้นความต้องการตลาดแรงงานในอาชีพนี้จึงมีความต้องการสูง และประเทศเราก็ยังขาดนักเศรษฐศาสตร์ที่มาพัฒนาประเทศ

8. ตัวอย่างของผู้ประกอบอาชีพ
ดร. วิรไท สันติประภพ
บุตรชายของ พล ต.อ. ประทิน สันติประภพ อดีตอธิบดีกรมตำรวจและ สวคนดัง ดร วิรไท
เป็นนักเรียนไทยไม่กี่คนในประวัติศาสตร์ชาติไทยที่สามารถหักด่านอรหันต์โดยการจบตรีจากเมืองไทยแล้วสามารถเข้าเรียนปริญญาเอกเศรษฐศาสตร์ในมหาวิทยาลัยระดับ Top 5 ของโลก (ไม่รวม Chicago) ดร.วิรไท สันติประภพสามารถสอบเทียบจาก ม.๔ ขึ้นมาเรียนชั้น ม.๖ และสอบเข้าคณะเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ด้วยคะแนนที่สูงมาก จนจบระดับปริญญาตรีโดยได้เกียรตินิยมอันดับ ๑ได้รับคะแนนสูงสุดทำลายสถิติของมหาวิทยาลัย ขึ้นเป็นเรคคอดไว้ ทั้งยังได้เหรียญทองทางด้านวิชาการถึง ๔เหรียญ ด้านช่วยเหลือกิจกรรมดี ๑ เหรียญ เขาจบการศึกษาด้วยวัยเพียง ๑๘ ปีครึ่งจากนั้นก็ไปสมัครเรียนตามมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ของประเทศสหรัฐอเมริกาและอังกฤษ และได้เลือกเรียนที่ HawardU.S.A. โดยก่อนไปเรียนก็เข้าสอบชิงทุนอานันทมหิดลไว้ ซึ่งก็สอบได้ และได้รับพระราชทานทุนการศึกษาจบปริญญาเอกเมื่ออายุได้ ๒๔ ปี เขียนวิทยานิพนธ์เรื่องการเปิดเสรีทางการเงินในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้(Financial Liberization in Southeast Asia) กับ Dwight Perkins นักเศรษฐศาสตร์ระดับ "ตำนาน"อีกคนของ Harvard หลังคว้าปริญญาเอกเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัย Harvard ดร วิรไทเมื่อจบแล้วก็สมัครงานที่ World Bank และที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (I.M.F)ซึ่งก็สามารถสอบได้ทั้งสองแห่ง แต่ก็เลือกทำงานที่ I.M.F.
โดยมีตำแหน่งเป็นสตาฟผู้พิจารณาเขตรับผิดชอบประเทศซิมบาคเวร์เมื่อคุณธารินทร์ผงาดขึ้นเป็นซาร์เศรษฐศาสตร์ ในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ดึงตัวดรวิรไทกลับมาช่วยงานเป็นผู้อำนวยการสถาบันวิจัยนโยบายการคลัง think tankด้านนโยบายของกระทรวงการคลังที่ตั้งขึ้นใหม่ ภายหลังเมื่อศูนย์อำนาจทางการเมืองเปลี่ยน โครงข่ายของ"มิสเตอร์ที" ถึงการล่มสลาย ดร วิรไทได้ออกมาร่วมงานกับธนาคารไทยพาณิชย์ ปัจจุบันดร วิรไทเป็น Fund Manager ด้านตราสารสารหนี้ให้กับธนาคารไทยพาณิชย์

นางสาวจันทร์ธิวา โสภา กล่าวว่า...

นางสาวจันทร์ธิวา โสภา 4810510613
คณะศึกษาศาสตร์ สาขาสังคมศึกษา So

1.ชื่ออาชีพ มัคคุเทศก์ Guides , Sightseeing Guides Travel Guides

นิยามอาชีพ ผู้ปฏิบัติงานอาชีพนี้ทำหน้าที่ในการนำนักท่องเที่ยว หรือนักเดินทาง เดินทางท่องเที่ยว ทัศนาจรตามสถานที่ต่างๆ ตามแผนการทัศนาจร หรือตามโครงการนำเที่ยวของบริษัทจัดการนำเที่ยว หรือตามความต้องการของนักท่องเที่ยวหรือนักเดินทาง ในการให้ความรู้แก่นักท่องเที่ยวด้วยการอธิบาย และบรรยายถึงสภาพ และสถานที่เที่ยวที่สำคัญด้านภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม ธรรมชาติสิ่งแวดล้อม และเกร็ดความรู้ที่น่าสนใจ

2.ลักษณะของงานที่ทำ ผู้ปฏิบัติงานอาชีพนี้ จะต้องศึกษา ค้นคว้า หาข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่นำเที่ยว รวมทั้งความรู้ด้าน ประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ จารีตประเพณี วัฒนธรรม วางแผนกำหนดเส้นทาง จัดกำหนดการนำเที่ยว ให้เหมาะสมกับฤดูกาล และระยะเวลา ติดต่อสถานที่พักแรม หรือเตรียมอุปกรณ์เพื่อการพักแรมในสถานที่ ที่จะนำเที่ยว
นำนักท่องเที่ยวชมสถานที่ และบรรยายให้นักท่องเที่ยวได้ทราบความเป็นมาของสถานที่ และท้องถิ่น แหล่งธรรมชาติที่น่าชม และน่าสนใจ ภูมิประเทศ ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม จารีตประเพณี ความเป็นอยู่ของประชาชน
จัดการพักแรม และดูแลให้ความสะดวกสบาย ความปลอดภัยแก่นักท่องเที่ยวในระหว่างการนำเที่ยว โดยพยายามจัดการให้บริการที่ต้องสร้างความพอใจ และประทับใจให้กับนักท่องเที่ยวทุกคนอย่างทั่วถึงและต้องมีจรรยาบรรณทางวิชาชีพ
อาชีพมัคคุเทศก์ จัดแบ่งออกเป็นกลุ่มตามกลุ่มของนักท่องเที่ยว คือ มัคคุเทศก์พาเที่ยวภายในประเทศ (Domestic) มัคคุเทศก์ท้องถิ่น และมัคคุเทศก์นำเที่ยวชาวต่างประเทศ (Inbound) นอกจากนี้ ยังแบ่งกลุ่มมัคคุเทศก์ตามลักษณะของการท่องเที่ยว เช่น มัคคุเทศก์เดินป่า มัคคุเทศก์ทางทะเล มัคคุเทศก์ศิลปวัฒนธรรม เป็นต้น

3.คุณสมบัติของผู้ประกอบอาชีพ ผู้ประกอบอาชีพนี้ ต้องมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้
1. พูดภาษาต่างประเทศได้อย่างน้อย คือ ภาษาอังกฤษ
2. มีความรู้ทั่วไป และเป็นผู้ที่ขวนขวายหาความรู้สม่ำเสมอ
3. รักการเดินทางท่องเที่ยว และงานบริการ ปรับตัวได้ และเป็นนักแก้ไขปัญหาได้ดีใน ทุกสถานการณ์
4. มีความยืดหยุ่น ประนีประนอม และมีลักษณะอบอุ่นโอบอ้อมอารีเป็นที่ไว้วางใจของ ผู้เดินทางร่วมไปด้วย
5. มีความเป็นผู้นำ มีความกล้า มีความรอบคอบและไม่ประมาท
6. มีทัศนะคติดี ร่าเริง มีความเสียสละซื่อสัตย์ ซื่อตรง และอดทน
7. สุขภาพร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ มีไหวพริบและปฏิภาณดี
8. มีความคิดสร้างสรรค์ มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี
9. เป็นนักสื่อสารที่ดี รักการอธิบาย และการบรรยายความรู้ต่าง ๆ
10. เป็นนักจัดเก็บข้อมูลที่ดี ทั้งข้อมูลการ ท่องเที่ยว ความนิยมของลูกค้า และรายชื่อลูกค้าที่เป็นนักท่องเที่ยว

4.สภาพการจ้างงาน ผู้ประกอบอาชีพมัคคุเทศก์ได้รับค่าตอบแทนการทำงานเป็นเงินเดือนประจำ หรือ ค่าจ้างเป็นเที่ยวในการพานักท่องเที่ยวออกไปท่องเที่ยว ซึ่งจะคิดค่าจ้างเป็นรายวันเฉลี่ยประมาณวันละ 1,500-3,000 บาท และอาจจะได้รับค่าตอบแทนถึง 100,000 บาทเป็นค่านายหน้าจากบริษัท หรือร้านที่นักทัศนาจรมา ซื้อของที่ระลึก หรือเข้าชมการแสดงในสถานที่ท่องเที่ยว ตามที่แต่ละแห่งได้ตั้งค่านายหน้าไว้
ผู้ทำงานมัคคุเทศก์มีกำหนดเวลาทำงานที่ไม่แน่นอน ขึ้นอยู่กับโครงการ และแผนการนำเที่ยว ซึ่งกำหนดไว้ในแต่ละรายการ ผู้ปฏิบัติงานนี้จะต้องผ่านการอบรมวิชาชีพมัคคุเทศก์ และมีความรู้ภาษาต่างประเทศซึ่งสามารถใช้งานได้ดี

สภาพการทำงาน มัคคุเทศก์ จะทำงานตามช่วงระยะเวลาที่กำหนดไว้ในแผนการนำเที่ยวมีระยะเวลาตั้งแต่ 1 วัน ถึงสามหรือสี่สัปดาห์ และในขณะพานักท่องเที่ยวทัศนาจรต้องดูแลนักท่องเที่ยวตลอด 24 ชั่วโมง นำนักทัศนาจร หรือนักท่องเที่ยว ตั้งแต่คนเดียวจนถึงเป็นกลุ่ม หรือกลุ่มใหญ่ไปชมสถานที่ต่างๆ ทั้งในเมืองและต่างจังหวัดตามที่กำหนดไว้ในแผนการนำเที่ยว การเดินทางอาจจะมีทั้งระยะใกล้ ไกล อาจใช้ยานพาหนะทุกประเภท อาจต้องนำเที่ยวในลักษณะผจญภัย อย่างเช่น ทัวร์ป่า การเดินขึ้นเขา การล่องแพ การค้างแรมร่วมกับกลุ่มชนชาวพื้นเมือง ขึ้นอยู่กับแผนการนำเที่ยว และรูปแบบของการท่องเที่ยว
มัคคุเทศก์จะต้องวางแผนติดต่อประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การบริการ การอำนวยความสะดวก และการดูแลรักษาความปลอดภัยให้แก่นักท่องเที่ยวตลอดเส้นทาง รวมไปถึงการให้ข้อมูลที่จำเป็น และให้คำแนะนำแก่นักท่องเที่ยวในการเตรียมตัวให้พร้อมก่อนออกเดินทางทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับประเภทของการท่องเที่ยว ตลอดจนตอบข้อซักถาม ให้คำแนะนำในระหว่างการเดินทางรวมทั้งต้องทำ กิจกรรมเพื่อให้นักท่องเที่ยวที่ร่วมเดินทางทุกคนได้รับความสนุกสนาน ประทับใจ ในบางครั้งอาจจะต้องจัด กิจกรรม หรือให้บริการที่สร้างความพอใจให้กับนักท่องเที่ยวตามจุดประสงค์ที่นักท่องเที่ยวต้องการภายในระยะเวลาที่กำหนด และพร้อมที่จะแก้ปัญหาที่อาจเกิดขึ้นกับนักท่องเที่ยวได้ ตลอด 24 ชั่วโมง บางครั้งมัคคุเทศก์จะต้องทำงานหนักติดต่อกันเป็นเวลาหลายวันต้องใช้ความอดทน และอดกลั้นสูง ดังนั้น ความพร้อม และความสมบูรณ์ทั้งทางร่างกาย และจิตใจจึงมีความสำคัญมาก เพราะนักท่องเที่ยว มีอัธยาศัย และพื้นฐานความเป็นอยู่ และวัฒนธรรมที่แตกต่างกันไป เมื่อมารวมกลุ่มกันจึงจำเป็นที่จะต้องสร้างบรรยากาศให้สามารถอยู่ร่วมกันได้ด้วยดี อีกทั้งได้รับความสุข ความปลอดภัยในชีวิต และทรัพย์สินด้วย มัคคุเทศก์จึงเปรียบเสมือนตัวแทนของท้องถิ่น และประเทศนั้น ๆ


5.วิธีการเข้าสู่อาชีพ
ผู้ที่จะประกอบอาชีพนี้ ควรเตรียมความพร้อมดังต่อไปนี้ : มัคคุเทศก์ท้องถิ่น เป็นผู้ที่มีวุฒิการศึกษาตั้งแต่ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ขึ้นไป หรือเทียบเท่า และได้รับการอบรม เพิ่มเติม เพื่อรับวุฒิบัตรพัฒนาฝีมือแรงงาน (วพร.) เป็นเวลา 320 ชั่วโมง หรือ 40 วัน มัคคุเทศก์ภายในประเทศ และมัคคุเทศก์นำเที่ยวชาวต่างประเทศ เป็นผู้มีพื้นฐานการศึกษาระดับมัธยมศึกษาปีที่ 6 ขึ้นไปต้องเข้ารับการอบรม และมีใบอนุญาตเป็นมัคคุเทศก์จากสถาบันที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยให้การรับรอง หรือ
6. มหาวิทยาลัยที่เปิดสอน
มหาวิทยาลัยรัฐบาล และเอกชน ที่เปิดสอนคณะ หรือสาขาวิชาธุรกิจ การท่องเที่ยว
7.ความต้องการของตลาดแรงงาน
โอกาสในการมีงานทำ ตั้งแต่ปี 2539 เป็นต้นมา อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทย ทำเงินรายได้ให้ประเทศมากที่สุด และในปี2543 จะนำเงินเข้าประเทศได้ประมาณ 3 แสนล้านบาท โดยได้เปิดตลาดเพื่อส่งเสริมการขาย และการท่องเที่ยวของประเทศไทยในต่างประเทศของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และผู้ประกอบการธุรกิจ การท่องเที่ยว ส่วนในประเทศได้เน้นการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว และศักยภาพในทุกด้านของทุกจังหวัด เพื่อส่งเสริม และรองรับคนไทยให้เที่ยวในประเทศไทยมากขึ้น โดยเน้นทั้ง ประวัติศาสตร์ โบราณสถาน วัฒนธรรม ประเพณีของทุกจังหวัด และทัวร์สิ่งแวดล้อม หรืออีโคทัวริสซึ่ม
แนวโน้มของคนในยุคปัจจุบันเมื่ออยู่ในสังคมใหม่จะแสวงหาวันหยุดที่ใกล้ชิดธรรมชาติ และความเงียบสงบ นักท่องเที่ยวต่างประเทศปัจจุบันจะเลือกเที่ยวในประเทศที่มีการจัดการและรักษา สิ่งแวดล้อม และสภาพทางนิเวศวิทยาที่ดีเท่านั้น อาจจะจัดเป็นทัวร์สุขภาพธรรมชาติบำบัด หรือรูปแบบการอบรมสัมมนาเนื้อหาทางพุทธศาสนา และทำสมาธิ การได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับชาวบ้านเพื่อเรียนรู้ ภูมิปัญญา และวัฒนธรรมท้องถิ่นของชาวบ้านเป็นต้น ซึ่งประเทศไทยมีศักยภาพที่จะจัดเป็นเส้นทางสำหรับนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ได้ ดังนั้น บุคคลผู้สนใจประกอบอาชีพนี้สามารถเปิดการให้บริการ โดยสามารถจัดเป็นธุรกิจการท่องเที่ยวแบบเฉพาะกลุ่มของตนเองขึ้นบนเว็บไซต์ออนไลน์เสนอให้ผู้สนใจทั่วโลกเลือกพิจารณารูปแบบการท่องเที่ยวได้
อนึ่ง องค์การท่องเที่ยวโลกได้มีการสนับสนุนกำหนดให้ วันที่ 27 กันยายนของทุกปี เป็นวันท่องเที่ยวโลก โดยมีวัตถุประสงค์ให้ประชาคมโลกตระหนักถึงความสำคัญของการท่องเที่ยวที่มี ต่อวัฒนธรรม การเมือง และเศรษฐกิจของประเทศและโลกโดยรวม การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยก็ได้สนับสนุนอุตสาหกรรมนี้เพราะเล็งเห็นถึงความมีศักยภาพในการเป็นประตูไปสู่การท่องเที่ยว อินโดจีน หรือภูมิภาค เข้าสู่ จีน พม่า ลาว เขมร และเวียดนาม ซึ่งนับว่าอาชีพมัคคุเทศก์เป็นอาชีพสำคัญส่วนหนึ่งในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่จะมีส่วนในการพัฒนาอุตสาหกรรมนี้ให้ได้มาตรฐานแล้วเป็น ผู้ส่งเสริมการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอีกด้วย เนื่องจากผู้บริโภคหรือนักท่องเที่ยวสนใจที่จะเลือกบริโภค ในประเทศที่อนุรักษ์สิ่งแวดล้อมเท่านั้นโอกาสการมีงานทำเป็นมัคคุเทศก์จึงค่อนข้างมีมากและมีโอกาสความ ก้าวหน้าในอาชีพ แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความรอบรู้ ความสามารถ และจรรยาบรรณในวิชาชีพของมัคคุเทศก์
แม้ว่ารัฐบาลจะมีนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างไรก็ตาม แต่ถ้าขาดมัคคุเทศก์ที่มีคุณภาพ ก็ไม่สามารถทำให้นโยบายดังกล่าวสัมฤทธิ์ผลได้ จึงได้มีการส่งเสริม และพัฒนาอาชีพนี้ โดย ในปี 2543 การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยได้จัดให้มีรางวัลพิเศษขึ้น คือ "มัคคุเทศก์ไทยดีเด่น " ในงานไทยแลนด์ทัวริสซึ่มอวอร์ด 2000 อันถือว่าเป็นงานยอดเยี่ยมของอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ที่กระตุ้นให้ผู้ประกอบธุรกิจ และผู้เกี่ยวข้องให้ความร่วมมือในการอนุรักษ์ และพัฒนาทรัพยากรการ ท่องเที่ยว ทั้งทางวัฒนธรรมและธรรมชาติ ตลอดจนจัดการบริการให้มีมาตรฐาน
โอกาสความก้าวหน้าในอาชีพ ความก้าวหน้าในอาชีพนี้ไม่ได้วัดกันที่ตำแหน่ง แต่สามารถวัดได้จากความสามารถทางด้านภาษา ความอดทน ความเป็นมืออาชีพ ดังนั้น ผู้ที่สนใจต้องการประกอบอาชีพนี้สามารถติดต่อได้ที่บริษัท จัดท่องเที่ยว เมื่อมีประสบการณ์ และสร้างเครือข่ายข้อมูลทางด้านการท่องเที่ยวได้มาก และสร้างพันธมิตรทางธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องก็สามารถเปิดบริษัทเองได้ถ้าอยู่ในต่างจังหวัดสามารถ เปิดสำนักงานของตนเองได้แต่จะต้องสำรวจพื้นที่ที่ตนอยู่ และจังหวัดใกล้เคียงว่ามีแหล่งทรัพยากร การท่องเที่ยวที่น่าสนใจ และจัดเป็นรูปแบบการเดินทางได้หรือไม่ จากนั้นก็จัดทำโฮมเพจ เสนอบริการ ขึ้นเว็บไซต์ตรงสู่ผู้สนใจ โดยปรึกษากับบริษัทที่ปรึกษาการทำพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ได้ โดยใช้บ้านเป็นสำนักงาน
อาชีพที่เกี่ยวเนื่อง จัดกลุ่มท่องเที่ยวแบบอิสระที่ตนมีความรู้ความชำนาญทั้งภายในประเทศ และต่างระเทศ เช่น ทัวร์ศิลปวัฒนธรรม ทัวร์เกษตรกรรม เป็นต้น
เปิดสถานที่ให้คำแนะนำการท่องเที่ยว จำหน่ายตั๋วเครื่องบิน ให้บริการยานพาหนะ เช่น รถยนต์ รถจักรยานยนต์ รถจักรยานภูเขา เรือเช่า หรือสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ที่จำเป็น ให้กับนักเดินทาง และนักท่องเที่ยวจัดหา เป็นต้นหรือจำหน่ายสินค้าของที่ระลึกที่น่าสนใจ หรือหายากในประเทศ จัดศูนย์บริการข้อมูลการท่องเที่ยวท้องถิ่น จัดที่พักแรมเดินทางในแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ จัดพิมพ์หนังสือคู่มือ การท่องเที่ยว และพิมพ์ภาพโปสการ์ดแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ ที่นักท่องเที่ยวสนใจ
8.ตัวอย่างบุคคลที่อยู่ในอาชีพดังกล่าว
คุณ จิตรา ชากัน
ประวัติและผลงาน ประสบการณ์ในการทำงาน 17 ปี (ประกอบอาชีพมัคคุเทศก์เป็นอาชีพหลักมาโดยตลอด)
การจัดทำโปรแกรมทัวร์ได้ทำกิจกรรมเสริมในโปรแกรมทัวร์ ดังต่อไปนี้
การทำแนวกันไฟป่า ได้ทำกิจกรรมนี้ในช่วงหน้าหนาว โดยนำนักท่องเที่ยวไหทำกิจกรรมร่วมกับชาวบ้าน โดยทำในเขตพื้นที่อำเภอแม่แจ่ม
ทำความสะอาดป่า โดยได้ทำมาเป็น ปีที่ 7 โดยการนำเยาวชนนานาชาติร่วมกับโรงเรียนนานาชาติไปทำกิจกรรมร่วมกับชาวบ้านในเขต ตำบลทุ่งหลุก บ้านปางแดง อำเภอเชียงดาว
บวชป่า ได้ทำกิจกรรมบวชป่าในทุกครั้ง ที่พานักท่องเที่ยวเข้าในพื้นที่ป่า โดยมีการอธิบายรายละเอียดให้กับนักท่องเที่ยวได้ทราบถึงความสำคัญของการบวชป่า โดยในปัจจุบันได้ทำการบวชต้นไม้ไปมากกว่า 5,000 ต้น ในเขตพื้นที่อำเภอแม่แตง และกิจกรรมนี้ได้รับความกล่าวขานไปทั่วโลก โดยการได้มีการนำเสนอ ในหนังสือพิมพ์ Bangkok Post (Horizon) และ Wonder World Magazine และ Holiday Time Travel Magazine อีกทั้งกิจกรรมนี้ได้รับการถ่ายทำเป็นสารคดีของ National Geographic จากอเมริกา ซึ่งยกกองถ่ายทำมาถ่ายทำในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา และจะได้ถูกนำเสนอไปทั่วโลกในเดือนตุลาคมที่จะถึงนี้
การปลูกป่า จะจัดทำเข้าสู่ในโปรแกรมทัวร์ โดยจะทำกิจกรรมตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ถึง เดือนกันยายน โดยจะแจกกล้าไม้ และเม็ดพันธุ์ไม้ให้กับลูกค้าที่เดินทางเข้าไปท่องเที่ยวให้ช่วยปลูกป่า นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมอื่นๆ อีกมากมาย เช่น การทอดผ้าป่าเมล็ดพันธุ์พืชแก่ชาวบ้านในรูปแบบของการบริจาคสิ่งของเป็นต้น

นางสาวจันทร์ธิวา โสภา กล่าวว่า...

นางสาวจันทร์ธิวา โสภา 4810510613
คณะศึกษาศาสตร์ สาขาสังคมศึกษา So

1.ชื่ออาชีพ มัคคุเทศก์ Guides , Sightseeing Guides Travel Guides

นิยามอาชีพ ผู้ปฏิบัติงานอาชีพนี้ทำหน้าที่ในการนำนักท่องเที่ยว หรือนักเดินทาง เดินทางท่องเที่ยว ทัศนาจรตามสถานที่ต่างๆ ตามแผนการทัศนาจร หรือตามโครงการนำเที่ยวของบริษัทจัดการนำเที่ยว หรือตามความต้องการของนักท่องเที่ยวหรือนักเดินทาง ในการให้ความรู้แก่นักท่องเที่ยวด้วยการอธิบาย และบรรยายถึงสภาพ และสถานที่เที่ยวที่สำคัญด้านภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม ธรรมชาติสิ่งแวดล้อม และเกร็ดความรู้ที่น่าสนใจ

2.ลักษณะของงานที่ทำ ผู้ปฏิบัติงานอาชีพนี้ จะต้องศึกษา ค้นคว้า หาข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่นำเที่ยว รวมทั้งความรู้ด้าน ประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ จารีตประเพณี วัฒนธรรม วางแผนกำหนดเส้นทาง จัดกำหนดการนำเที่ยว ให้เหมาะสมกับฤดูกาล และระยะเวลา ติดต่อสถานที่พักแรม หรือเตรียมอุปกรณ์เพื่อการพักแรมในสถานที่ ที่จะนำเที่ยว
นำนักท่องเที่ยวชมสถานที่ และบรรยายให้นักท่องเที่ยวได้ทราบความเป็นมาของสถานที่ และท้องถิ่น แหล่งธรรมชาติที่น่าชม และน่าสนใจ ภูมิประเทศ ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม จารีตประเพณี ความเป็นอยู่ของประชาชน
จัดการพักแรม และดูแลให้ความสะดวกสบาย ความปลอดภัยแก่นักท่องเที่ยวในระหว่างการนำเที่ยว โดยพยายามจัดการให้บริการที่ต้องสร้างความพอใจ และประทับใจให้กับนักท่องเที่ยวทุกคนอย่างทั่วถึงและต้องมีจรรยาบรรณทางวิชาชีพ
อาชีพมัคคุเทศก์ จัดแบ่งออกเป็นกลุ่มตามกลุ่มของนักท่องเที่ยว คือ มัคคุเทศก์พาเที่ยวภายในประเทศ (Domestic) มัคคุเทศก์ท้องถิ่น และมัคคุเทศก์นำเที่ยวชาวต่างประเทศ (Inbound) นอกจากนี้ ยังแบ่งกลุ่มมัคคุเทศก์ตามลักษณะของการท่องเที่ยว เช่น มัคคุเทศก์เดินป่า มัคคุเทศก์ทางทะเล มัคคุเทศก์ศิลปวัฒนธรรม เป็นต้น

3.คุณสมบัติของผู้ประกอบอาชีพ ผู้ประกอบอาชีพนี้ ต้องมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้
1. พูดภาษาต่างประเทศได้อย่างน้อย คือ ภาษาอังกฤษ
2. มีความรู้ทั่วไป และเป็นผู้ที่ขวนขวายหาความรู้สม่ำเสมอ
3. รักการเดินทางท่องเที่ยว และงานบริการ ปรับตัวได้ และเป็นนักแก้ไขปัญหาได้ดีใน ทุกสถานการณ์
4. มีความยืดหยุ่น ประนีประนอม และมีลักษณะอบอุ่นโอบอ้อมอารีเป็นที่ไว้วางใจของ ผู้เดินทางร่วมไปด้วย
5. มีความเป็นผู้นำ มีความกล้า มีความรอบคอบและไม่ประมาท
6. มีทัศนะคติดี ร่าเริง มีความเสียสละซื่อสัตย์ ซื่อตรง และอดทน
7. สุขภาพร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ มีไหวพริบและปฏิภาณดี
8. มีความคิดสร้างสรรค์ มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี
9. เป็นนักสื่อสารที่ดี รักการอธิบาย และการบรรยายความรู้ต่าง ๆ
10. เป็นนักจัดเก็บข้อมูลที่ดี ทั้งข้อมูลการ ท่องเที่ยว ความนิยมของลูกค้า และรายชื่อลูกค้าที่เป็นนักท่องเที่ยว

4.สภาพการจ้างงาน ผู้ประกอบอาชีพมัคคุเทศก์ได้รับค่าตอบแทนการทำงานเป็นเงินเดือนประจำ หรือ ค่าจ้างเป็นเที่ยวในการพานักท่องเที่ยวออกไปท่องเที่ยว ซึ่งจะคิดค่าจ้างเป็นรายวันเฉลี่ยประมาณวันละ 1,500-3,000 บาท และอาจจะได้รับค่าตอบแทนถึง 100,000 บาทเป็นค่านายหน้าจากบริษัท หรือร้านที่นักทัศนาจรมา ซื้อของที่ระลึก หรือเข้าชมการแสดงในสถานที่ท่องเที่ยว ตามที่แต่ละแห่งได้ตั้งค่านายหน้าไว้
ผู้ทำงานมัคคุเทศก์มีกำหนดเวลาทำงานที่ไม่แน่นอน ขึ้นอยู่กับโครงการ และแผนการนำเที่ยว ซึ่งกำหนดไว้ในแต่ละรายการ ผู้ปฏิบัติงานนี้จะต้องผ่านการอบรมวิชาชีพมัคคุเทศก์ และมีความรู้ภาษาต่างประเทศซึ่งสามารถใช้งานได้ดี

สภาพการทำงาน มัคคุเทศก์ จะทำงานตามช่วงระยะเวลาที่กำหนดไว้ในแผนการนำเที่ยวมีระยะเวลาตั้งแต่ 1 วัน ถึงสามหรือสี่สัปดาห์ และในขณะพานักท่องเที่ยวทัศนาจรต้องดูแลนักท่องเที่ยวตลอด 24 ชั่วโมง นำนักทัศนาจร หรือนักท่องเที่ยว ตั้งแต่คนเดียวจนถึงเป็นกลุ่ม หรือกลุ่มใหญ่ไปชมสถานที่ต่างๆ ทั้งในเมืองและต่างจังหวัดตามที่กำหนดไว้ในแผนการนำเที่ยว การเดินทางอาจจะมีทั้งระยะใกล้ ไกล อาจใช้ยานพาหนะทุกประเภท อาจต้องนำเที่ยวในลักษณะผจญภัย อย่างเช่น ทัวร์ป่า การเดินขึ้นเขา การล่องแพ การค้างแรมร่วมกับกลุ่มชนชาวพื้นเมือง ขึ้นอยู่กับแผนการนำเที่ยว และรูปแบบของการท่องเที่ยว
มัคคุเทศก์จะต้องวางแผนติดต่อประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การบริการ การอำนวยความสะดวก และการดูแลรักษาความปลอดภัยให้แก่นักท่องเที่ยวตลอดเส้นทาง รวมไปถึงการให้ข้อมูลที่จำเป็น และให้คำแนะนำแก่นักท่องเที่ยวในการเตรียมตัวให้พร้อมก่อนออกเดินทางทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับประเภทของการท่องเที่ยว ตลอดจนตอบข้อซักถาม ให้คำแนะนำในระหว่างการเดินทางรวมทั้งต้องทำ กิจกรรมเพื่อให้นักท่องเที่ยวที่ร่วมเดินทางทุกคนได้รับความสนุกสนาน ประทับใจ ในบางครั้งอาจจะต้องจัด กิจกรรม หรือให้บริการที่สร้างความพอใจให้กับนักท่องเที่ยวตามจุดประสงค์ที่นักท่องเที่ยวต้องการภายในระยะเวลาที่กำหนด และพร้อมที่จะแก้ปัญหาที่อาจเกิดขึ้นกับนักท่องเที่ยวได้ ตลอด 24 ชั่วโมง บางครั้งมัคคุเทศก์จะต้องทำงานหนักติดต่อกันเป็นเวลาหลายวันต้องใช้ความอดทน และอดกลั้นสูง ดังนั้น ความพร้อม และความสมบูรณ์ทั้งทางร่างกาย และจิตใจจึงมีความสำคัญมาก เพราะนักท่องเที่ยว มีอัธยาศัย และพื้นฐานความเป็นอยู่ และวัฒนธรรมที่แตกต่างกันไป เมื่อมารวมกลุ่มกันจึงจำเป็นที่จะต้องสร้างบรรยากาศให้สามารถอยู่ร่วมกันได้ด้วยดี อีกทั้งได้รับความสุข ความปลอดภัยในชีวิต และทรัพย์สินด้วย มัคคุเทศก์จึงเปรียบเสมือนตัวแทนของท้องถิ่น และประเทศนั้น ๆ


5.วิธีการเข้าสู่อาชีพ
ผู้ที่จะประกอบอาชีพนี้ ควรเตรียมความพร้อมดังต่อไปนี้ : มัคคุเทศก์ท้องถิ่น เป็นผู้ที่มีวุฒิการศึกษาตั้งแต่ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ขึ้นไป หรือเทียบเท่า และได้รับการอบรม เพิ่มเติม เพื่อรับวุฒิบัตรพัฒนาฝีมือแรงงาน (วพร.) เป็นเวลา 320 ชั่วโมง หรือ 40 วัน มัคคุเทศก์ภายในประเทศ และมัคคุเทศก์นำเที่ยวชาวต่างประเทศ เป็นผู้มีพื้นฐานการศึกษาระดับมัธยมศึกษาปีที่ 6 ขึ้นไปต้องเข้ารับการอบรม และมีใบอนุญาตเป็นมัคคุเทศก์จากสถาบันที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยให้การรับรอง หรือ
6. มหาวิทยาลัยที่เปิดสอน
มหาวิทยาลัยรัฐบาล และเอกชน ที่เปิดสอนคณะ หรือสาขาวิชาธุรกิจ การท่องเที่ยว
7.ความต้องการของตลาดแรงงาน
โอกาสในการมีงานทำ ตั้งแต่ปี 2539 เป็นต้นมา อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทย ทำเงินรายได้ให้ประเทศมากที่สุด และในปี2543 จะนำเงินเข้าประเทศได้ประมาณ 3 แสนล้านบาท โดยได้เปิดตลาดเพื่อส่งเสริมการขาย และการท่องเที่ยวของประเทศไทยในต่างประเทศของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และผู้ประกอบการธุรกิจ การท่องเที่ยว ส่วนในประเทศได้เน้นการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว และศักยภาพในทุกด้านของทุกจังหวัด เพื่อส่งเสริม และรองรับคนไทยให้เที่ยวในประเทศไทยมากขึ้น โดยเน้นทั้ง ประวัติศาสตร์ โบราณสถาน วัฒนธรรม ประเพณีของทุกจังหวัด และทัวร์สิ่งแวดล้อม หรืออีโคทัวริสซึ่ม
แนวโน้มของคนในยุคปัจจุบันเมื่ออยู่ในสังคมใหม่จะแสวงหาวันหยุดที่ใกล้ชิดธรรมชาติ และความเงียบสงบ นักท่องเที่ยวต่างประเทศปัจจุบันจะเลือกเที่ยวในประเทศที่มีการจัดการและรักษา สิ่งแวดล้อม และสภาพทางนิเวศวิทยาที่ดีเท่านั้น อาจจะจัดเป็นทัวร์สุขภาพธรรมชาติบำบัด หรือรูปแบบการอบรมสัมมนาเนื้อหาทางพุทธศาสนา และทำสมาธิ การได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับชาวบ้านเพื่อเรียนรู้ ภูมิปัญญา และวัฒนธรรมท้องถิ่นของชาวบ้านเป็นต้น ซึ่งประเทศไทยมีศักยภาพที่จะจัดเป็นเส้นทางสำหรับนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ได้ ดังนั้น บุคคลผู้สนใจประกอบอาชีพนี้สามารถเปิดการให้บริการ โดยสามารถจัดเป็นธุรกิจการท่องเที่ยวแบบเฉพาะกลุ่มของตนเองขึ้นบนเว็บไซต์ออนไลน์เสนอให้ผู้สนใจทั่วโลกเลือกพิจารณารูปแบบการท่องเที่ยวได้
อนึ่ง องค์การท่องเที่ยวโลกได้มีการสนับสนุนกำหนดให้ วันที่ 27 กันยายนของทุกปี เป็นวันท่องเที่ยวโลก โดยมีวัตถุประสงค์ให้ประชาคมโลกตระหนักถึงความสำคัญของการท่องเที่ยวที่มี ต่อวัฒนธรรม การเมือง และเศรษฐกิจของประเทศและโลกโดยรวม การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยก็ได้สนับสนุนอุตสาหกรรมนี้เพราะเล็งเห็นถึงความมีศักยภาพในการเป็นประตูไปสู่การท่องเที่ยว อินโดจีน หรือภูมิภาค เข้าสู่ จีน พม่า ลาว เขมร และเวียดนาม ซึ่งนับว่าอาชีพมัคคุเทศก์เป็นอาชีพสำคัญส่วนหนึ่งในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่จะมีส่วนในการพัฒนาอุตสาหกรรมนี้ให้ได้มาตรฐานแล้วเป็น ผู้ส่งเสริมการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอีกด้วย เนื่องจากผู้บริโภคหรือนักท่องเที่ยวสนใจที่จะเลือกบริโภค ในประเทศที่อนุรักษ์สิ่งแวดล้อมเท่านั้นโอกาสการมีงานทำเป็นมัคคุเทศก์จึงค่อนข้างมีมากและมีโอกาสความ ก้าวหน้าในอาชีพ แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความรอบรู้ ความสามารถ และจรรยาบรรณในวิชาชีพของมัคคุเทศก์
แม้ว่ารัฐบาลจะมีนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างไรก็ตาม แต่ถ้าขาดมัคคุเทศก์ที่มีคุณภาพ ก็ไม่สามารถทำให้นโยบายดังกล่าวสัมฤทธิ์ผลได้ จึงได้มีการส่งเสริม และพัฒนาอาชีพนี้ โดย ในปี 2543 การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยได้จัดให้มีรางวัลพิเศษขึ้น คือ "มัคคุเทศก์ไทยดีเด่น " ในงานไทยแลนด์ทัวริสซึ่มอวอร์ด 2000 อันถือว่าเป็นงานยอดเยี่ยมของอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ที่กระตุ้นให้ผู้ประกอบธุรกิจ และผู้เกี่ยวข้องให้ความร่วมมือในการอนุรักษ์ และพัฒนาทรัพยากรการ ท่องเที่ยว ทั้งทางวัฒนธรรมและธรรมชาติ ตลอดจนจัดการบริการให้มีมาตรฐาน
โอกาสความก้าวหน้าในอาชีพ ความก้าวหน้าในอาชีพนี้ไม่ได้วัดกันที่ตำแหน่ง แต่สามารถวัดได้จากความสามารถทางด้านภาษา ความอดทน ความเป็นมืออาชีพ ดังนั้น ผู้ที่สนใจต้องการประกอบอาชีพนี้สามารถติดต่อได้ที่บริษัท จัดท่องเที่ยว เมื่อมีประสบการณ์ และสร้างเครือข่ายข้อมูลทางด้านการท่องเที่ยวได้มาก และสร้างพันธมิตรทางธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องก็สามารถเปิดบริษัทเองได้ถ้าอยู่ในต่างจังหวัดสามารถ เปิดสำนักงานของตนเองได้แต่จะต้องสำรวจพื้นที่ที่ตนอยู่ และจังหวัดใกล้เคียงว่ามีแหล่งทรัพยากร การท่องเที่ยวที่น่าสนใจ และจัดเป็นรูปแบบการเดินทางได้หรือไม่ จากนั้นก็จัดทำโฮมเพจ เสนอบริการ ขึ้นเว็บไซต์ตรงสู่ผู้สนใจ โดยปรึกษากับบริษัทที่ปรึกษาการทำพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ได้ โดยใช้บ้านเป็นสำนักงาน
อาชีพที่เกี่ยวเนื่อง จัดกลุ่มท่องเที่ยวแบบอิสระที่ตนมีความรู้ความชำนาญทั้งภายในประเทศ และต่างระเทศ เช่น ทัวร์ศิลปวัฒนธรรม ทัวร์เกษตรกรรม เป็นต้น
เปิดสถานที่ให้คำแนะนำการท่องเที่ยว จำหน่ายตั๋วเครื่องบิน ให้บริการยานพาหนะ เช่น รถยนต์ รถจักรยานยนต์ รถจักรยานภูเขา เรือเช่า หรือสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ที่จำเป็น ให้กับนักเดินทาง และนักท่องเที่ยวจัดหา เป็นต้นหรือจำหน่ายสินค้าของที่ระลึกที่น่าสนใจ หรือหายากในประเทศ จัดศูนย์บริการข้อมูลการท่องเที่ยวท้องถิ่น จัดที่พักแรมเดินทางในแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ จัดพิมพ์หนังสือคู่มือ การท่องเที่ยว และพิมพ์ภาพโปสการ์ดแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ ที่นักท่องเที่ยวสนใจ
8.ตัวอย่างบุคคลที่อยู่ในอาชีพดังกล่าว
คุณ จิตรา ชากัน
ประวัติและผลงาน ประสบการณ์ในการทำงาน 17 ปี (ประกอบอาชีพมัคคุเทศก์เป็นอาชีพหลักมาโดยตลอด)
การจัดทำโปรแกรมทัวร์ได้ทำกิจกรรมเสริมในโปรแกรมทัวร์ ดังต่อไปนี้
การทำแนวกันไฟป่า ได้ทำกิจกรรมนี้ในช่วงหน้าหนาว โดยนำนักท่องเที่ยวไหทำกิจกรรมร่วมกับชาวบ้าน โดยทำในเขตพื้นที่อำเภอแม่แจ่ม
ทำความสะอาดป่า โดยได้ทำมาเป็น ปีที่ 7 โดยการนำเยาวชนนานาชาติร่วมกับโรงเรียนนานาชาติไปทำกิจกรรมร่วมกับชาวบ้านในเขต ตำบลทุ่งหลุก บ้านปางแดง อำเภอเชียงดาว
บวชป่า ได้ทำกิจกรรมบวชป่าในทุกครั้ง ที่พานักท่องเที่ยวเข้าในพื้นที่ป่า โดยมีการอธิบายรายละเอียดให้กับนักท่องเที่ยวได้ทราบถึงความสำคัญของการบวชป่า โดยในปัจจุบันได้ทำการบวชต้นไม้ไปมากกว่า 5,000 ต้น ในเขตพื้นที่อำเภอแม่แตง และกิจกรรมนี้ได้รับความกล่าวขานไปทั่วโลก โดยการได้มีการนำเสนอ ในหนังสือพิมพ์ Bangkok Post (Horizon) และ Wonder World Magazine และ Holiday Time Travel Magazine อีกทั้งกิจกรรมนี้ได้รับการถ่ายทำเป็นสารคดีของ National Geographic จากอเมริกา ซึ่งยกกองถ่ายทำมาถ่ายทำในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา และจะได้ถูกนำเสนอไปทั่วโลกในเดือนตุลาคมที่จะถึงนี้
การปลูกป่า จะจัดทำเข้าสู่ในโปรแกรมทัวร์ โดยจะทำกิจกรรมตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ถึง เดือนกันยายน โดยจะแจกกล้าไม้ และเม็ดพันธุ์ไม้ให้กับลูกค้าที่เดินทางเข้าไปท่องเที่ยวให้ช่วยปลูกป่า นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมอื่นๆ อีกมากมาย เช่น การทอดผ้าป่าเมล็ดพันธุ์พืชแก่ชาวบ้านในรูปแบบของการบริจาคสิ่งของเป็นต้น

นางสาวจันทร์ธิวา โสภา กล่าวว่า...

นางสาวจันทร์ธิวา โสภา 4810510613
คณะศึกษาศาสตร์ สาขาสังคมศึกษา So

1.ชื่ออาชีพ มัคคุเทศก์ Guides , Sightseeing Guides Travel Guides

นิยามอาชีพ ผู้ปฏิบัติงานอาชีพนี้ทำหน้าที่ในการนำนักท่องเที่ยว หรือนักเดินทาง เดินทางท่องเที่ยว ทัศนาจรตามสถานที่ต่างๆ ตามแผนการทัศนาจร หรือตามโครงการนำเที่ยวของบริษัทจัดการนำเที่ยว หรือตามความต้องการของนักท่องเที่ยวหรือนักเดินทาง ในการให้ความรู้แก่นักท่องเที่ยวด้วยการอธิบาย และบรรยายถึงสภาพ และสถานที่เที่ยวที่สำคัญด้านภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม ธรรมชาติสิ่งแวดล้อม และเกร็ดความรู้ที่น่าสนใจ

2.ลักษณะของงานที่ทำ ผู้ปฏิบัติงานอาชีพนี้ จะต้องศึกษา ค้นคว้า หาข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่นำเที่ยว รวมทั้งความรู้ด้าน ประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ จารีตประเพณี วัฒนธรรม วางแผนกำหนดเส้นทาง จัดกำหนดการนำเที่ยว ให้เหมาะสมกับฤดูกาล และระยะเวลา ติดต่อสถานที่พักแรม หรือเตรียมอุปกรณ์เพื่อการพักแรมในสถานที่ ที่จะนำเที่ยว
นำนักท่องเที่ยวชมสถานที่ และบรรยายให้นักท่องเที่ยวได้ทราบความเป็นมาของสถานที่ และท้องถิ่น แหล่งธรรมชาติที่น่าชม และน่าสนใจ ภูมิประเทศ ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม จารีตประเพณี ความเป็นอยู่ของประชาชน
จัดการพักแรม และดูแลให้ความสะดวกสบาย ความปลอดภัยแก่นักท่องเที่ยวในระหว่างการนำเที่ยว โดยพยายามจัดการให้บริการที่ต้องสร้างความพอใจ และประทับใจให้กับนักท่องเที่ยวทุกคนอย่างทั่วถึงและต้องมีจรรยาบรรณทางวิชาชีพ
อาชีพมัคคุเทศก์ จัดแบ่งออกเป็นกลุ่มตามกลุ่มของนักท่องเที่ยว คือ มัคคุเทศก์พาเที่ยวภายในประเทศ (Domestic) มัคคุเทศก์ท้องถิ่น และมัคคุเทศก์นำเที่ยวชาวต่างประเทศ (Inbound) นอกจากนี้ ยังแบ่งกลุ่มมัคคุเทศก์ตามลักษณะของการท่องเที่ยว เช่น มัคคุเทศก์เดินป่า มัคคุเทศก์ทางทะเล มัคคุเทศก์ศิลปวัฒนธรรม เป็นต้น

3.คุณสมบัติของผู้ประกอบอาชีพ ผู้ประกอบอาชีพนี้ ต้องมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้
1. พูดภาษาต่างประเทศได้อย่างน้อย คือ ภาษาอังกฤษ
2. มีความรู้ทั่วไป และเป็นผู้ที่ขวนขวายหาความรู้สม่ำเสมอ
3. รักการเดินทางท่องเที่ยว และงานบริการ ปรับตัวได้ และเป็นนักแก้ไขปัญหาได้ดีใน ทุกสถานการณ์
4. มีความยืดหยุ่น ประนีประนอม และมีลักษณะอบอุ่นโอบอ้อมอารีเป็นที่ไว้วางใจของ ผู้เดินทางร่วมไปด้วย
5. มีความเป็นผู้นำ มีความกล้า มีความรอบคอบและไม่ประมาท
6. มีทัศนะคติดี ร่าเริง มีความเสียสละซื่อสัตย์ ซื่อตรง และอดทน
7. สุขภาพร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ มีไหวพริบและปฏิภาณดี
8. มีความคิดสร้างสรรค์ มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี
9. เป็นนักสื่อสารที่ดี รักการอธิบาย และการบรรยายความรู้ต่าง ๆ
10. เป็นนักจัดเก็บข้อมูลที่ดี ทั้งข้อมูลการ ท่องเที่ยว ความนิยมของลูกค้า และรายชื่อลูกค้าที่เป็นนักท่องเที่ยว

4.สภาพการจ้างงาน ผู้ประกอบอาชีพมัคคุเทศก์ได้รับค่าตอบแทนการทำงานเป็นเงินเดือนประจำ หรือ ค่าจ้างเป็นเที่ยวในการพานักท่องเที่ยวออกไปท่องเที่ยว ซึ่งจะคิดค่าจ้างเป็นรายวันเฉลี่ยประมาณวันละ 1,500-3,000 บาท และอาจจะได้รับค่าตอบแทนถึง 100,000 บาทเป็นค่านายหน้าจากบริษัท หรือร้านที่นักทัศนาจรมา ซื้อของที่ระลึก หรือเข้าชมการแสดงในสถานที่ท่องเที่ยว ตามที่แต่ละแห่งได้ตั้งค่านายหน้าไว้
ผู้ทำงานมัคคุเทศก์มีกำหนดเวลาทำงานที่ไม่แน่นอน ขึ้นอยู่กับโครงการ และแผนการนำเที่ยว ซึ่งกำหนดไว้ในแต่ละรายการ ผู้ปฏิบัติงานนี้จะต้องผ่านการอบรมวิชาชีพมัคคุเทศก์ และมีความรู้ภาษาต่างประเทศซึ่งสามารถใช้งานได้ดี

สภาพการทำงาน มัคคุเทศก์ จะทำงานตามช่วงระยะเวลาที่กำหนดไว้ในแผนการนำเที่ยวมีระยะเวลาตั้งแต่ 1 วัน ถึงสามหรือสี่สัปดาห์ และในขณะพานักท่องเที่ยวทัศนาจรต้องดูแลนักท่องเที่ยวตลอด 24 ชั่วโมง นำนักทัศนาจร หรือนักท่องเที่ยว ตั้งแต่คนเดียวจนถึงเป็นกลุ่ม หรือกลุ่มใหญ่ไปชมสถานที่ต่างๆ ทั้งในเมืองและต่างจังหวัดตามที่กำหนดไว้ในแผนการนำเที่ยว การเดินทางอาจจะมีทั้งระยะใกล้ ไกล อาจใช้ยานพาหนะทุกประเภท อาจต้องนำเที่ยวในลักษณะผจญภัย อย่างเช่น ทัวร์ป่า การเดินขึ้นเขา การล่องแพ การค้างแรมร่วมกับกลุ่มชนชาวพื้นเมือง ขึ้นอยู่กับแผนการนำเที่ยว และรูปแบบของการท่องเที่ยว
มัคคุเทศก์จะต้องวางแผนติดต่อประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การบริการ การอำนวยความสะดวก และการดูแลรักษาความปลอดภัยให้แก่นักท่องเที่ยวตลอดเส้นทาง รวมไปถึงการให้ข้อมูลที่จำเป็น และให้คำแนะนำแก่นักท่องเที่ยวในการเตรียมตัวให้พร้อมก่อนออกเดินทางทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับประเภทของการท่องเที่ยว ตลอดจนตอบข้อซักถาม ให้คำแนะนำในระหว่างการเดินทางรวมทั้งต้องทำ กิจกรรมเพื่อให้นักท่องเที่ยวที่ร่วมเดินทางทุกคนได้รับความสนุกสนาน ประทับใจ ในบางครั้งอาจจะต้องจัด กิจกรรม หรือให้บริการที่สร้างความพอใจให้กับนักท่องเที่ยวตามจุดประสงค์ที่นักท่องเที่ยวต้องการภายในระยะเวลาที่กำหนด และพร้อมที่จะแก้ปัญหาที่อาจเกิดขึ้นกับนักท่องเที่ยวได้ ตลอด 24 ชั่วโมง บางครั้งมัคคุเทศก์จะต้องทำงานหนักติดต่อกันเป็นเวลาหลายวันต้องใช้ความอดทน และอดกลั้นสูง ดังนั้น ความพร้อม และความสมบูรณ์ทั้งทางร่างกาย และจิตใจจึงมีความสำคัญมาก เพราะนักท่องเที่ยว มีอัธยาศัย และพื้นฐานความเป็นอยู่ และวัฒนธรรมที่แตกต่างกันไป เมื่อมารวมกลุ่มกันจึงจำเป็นที่จะต้องสร้างบรรยากาศให้สามารถอยู่ร่วมกันได้ด้วยดี อีกทั้งได้รับความสุข ความปลอดภัยในชีวิต และทรัพย์สินด้วย มัคคุเทศก์จึงเปรียบเสมือนตัวแทนของท้องถิ่น และประเทศนั้น ๆ


5.วิธีการเข้าสู่อาชีพ
ผู้ที่จะประกอบอาชีพนี้ ควรเตรียมความพร้อมดังต่อไปนี้ : มัคคุเทศก์ท้องถิ่น เป็นผู้ที่มีวุฒิการศึกษาตั้งแต่ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ขึ้นไป หรือเทียบเท่า และได้รับการอบรม เพิ่มเติม เพื่อรับวุฒิบัตรพัฒนาฝีมือแรงงาน (วพร.) เป็นเวลา 320 ชั่วโมง หรือ 40 วัน มัคคุเทศก์ภายในประเทศ และมัคคุเทศก์นำเที่ยวชาวต่างประเทศ เป็นผู้มีพื้นฐานการศึกษาระดับมัธยมศึกษาปีที่ 6 ขึ้นไปต้องเข้ารับการอบรม และมีใบอนุญาตเป็นมัคคุเทศก์จากสถาบันที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยให้การรับรอง หรือ
6. มหาวิทยาลัยที่เปิดสอน
มหาวิทยาลัยรัฐบาล และเอกชน ที่เปิดสอนคณะ หรือสาขาวิชาธุรกิจ การท่องเที่ยว
7.ความต้องการของตลาดแรงงาน
โอกาสในการมีงานทำ ตั้งแต่ปี 2539 เป็นต้นมา อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทย ทำเงินรายได้ให้ประเทศมากที่สุด และในปี2543 จะนำเงินเข้าประเทศได้ประมาณ 3 แสนล้านบาท โดยได้เปิดตลาดเพื่อส่งเสริมการขาย และการท่องเที่ยวของประเทศไทยในต่างประเทศของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และผู้ประกอบการธุรกิจ การท่องเที่ยว ส่วนในประเทศได้เน้นการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว และศักยภาพในทุกด้านของทุกจังหวัด เพื่อส่งเสริม และรองรับคนไทยให้เที่ยวในประเทศไทยมากขึ้น โดยเน้นทั้ง ประวัติศาสตร์ โบราณสถาน วัฒนธรรม ประเพณีของทุกจังหวัด และทัวร์สิ่งแวดล้อม หรืออีโคทัวริสซึ่ม
แนวโน้มของคนในยุคปัจจุบันเมื่ออยู่ในสังคมใหม่จะแสวงหาวันหยุดที่ใกล้ชิดธรรมชาติ และความเงียบสงบ นักท่องเที่ยวต่างประเทศปัจจุบันจะเลือกเที่ยวในประเทศที่มีการจัดการและรักษา สิ่งแวดล้อม และสภาพทางนิเวศวิทยาที่ดีเท่านั้น อาจจะจัดเป็นทัวร์สุขภาพธรรมชาติบำบัด หรือรูปแบบการอบรมสัมมนาเนื้อหาทางพุทธศาสนา และทำสมาธิ การได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับชาวบ้านเพื่อเรียนรู้ ภูมิปัญญา และวัฒนธรรมท้องถิ่นของชาวบ้านเป็นต้น ซึ่งประเทศไทยมีศักยภาพที่จะจัดเป็นเส้นทางสำหรับนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ได้ ดังนั้น บุคคลผู้สนใจประกอบอาชีพนี้สามารถเปิดการให้บริการ โดยสามารถจัดเป็นธุรกิจการท่องเที่ยวแบบเฉพาะกลุ่มของตนเองขึ้นบนเว็บไซต์ออนไลน์เสนอให้ผู้สนใจทั่วโลกเลือกพิจารณารูปแบบการท่องเที่ยวได้
อนึ่ง องค์การท่องเที่ยวโลกได้มีการสนับสนุนกำหนดให้ วันที่ 27 กันยายนของทุกปี เป็นวันท่องเที่ยวโลก โดยมีวัตถุประสงค์ให้ประชาคมโลกตระหนักถึงความสำคัญของการท่องเที่ยวที่มี ต่อวัฒนธรรม การเมือง และเศรษฐกิจของประเทศและโลกโดยรวม การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยก็ได้สนับสนุนอุตสาหกรรมนี้เพราะเล็งเห็นถึงความมีศักยภาพในการเป็นประตูไปสู่การท่องเที่ยว อินโดจีน หรือภูมิภาค เข้าสู่ จีน พม่า ลาว เขมร และเวียดนาม ซึ่งนับว่าอาชีพมัคคุเทศก์เป็นอาชีพสำคัญส่วนหนึ่งในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่จะมีส่วนในการพัฒนาอุตสาหกรรมนี้ให้ได้มาตรฐานแล้วเป็น ผู้ส่งเสริมการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอีกด้วย เนื่องจากผู้บริโภคหรือนักท่องเที่ยวสนใจที่จะเลือกบริโภค ในประเทศที่อนุรักษ์สิ่งแวดล้อมเท่านั้นโอกาสการมีงานทำเป็นมัคคุเทศก์จึงค่อนข้างมีมากและมีโอกาสความ ก้าวหน้าในอาชีพ แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความรอบรู้ ความสามารถ และจรรยาบรรณในวิชาชีพของมัคคุเทศก์
แม้ว่ารัฐบาลจะมีนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างไรก็ตาม แต่ถ้าขาดมัคคุเทศก์ที่มีคุณภาพ ก็ไม่สามารถทำให้นโยบายดังกล่าวสัมฤทธิ์ผลได้ จึงได้มีการส่งเสริม และพัฒนาอาชีพนี้ โดย ในปี 2543 การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยได้จัดให้มีรางวัลพิเศษขึ้น คือ "มัคคุเทศก์ไทยดีเด่น " ในงานไทยแลนด์ทัวริสซึ่มอวอร์ด 2000 อันถือว่าเป็นงานยอดเยี่ยมของอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ที่กระตุ้นให้ผู้ประกอบธุรกิจ และผู้เกี่ยวข้องให้ความร่วมมือในการอนุรักษ์ และพัฒนาทรัพยากรการ ท่องเที่ยว ทั้งทางวัฒนธรรมและธรรมชาติ ตลอดจนจัดการบริการให้มีมาตรฐาน
โอกาสความก้าวหน้าในอาชีพ ความก้าวหน้าในอาชีพนี้ไม่ได้วัดกันที่ตำแหน่ง แต่สามารถวัดได้จากความสามารถทางด้านภาษา ความอดทน ความเป็นมืออาชีพ ดังนั้น ผู้ที่สนใจต้องการประกอบอาชีพนี้สามารถติดต่อได้ที่บริษัท จัดท่องเที่ยว เมื่อมีประสบการณ์ และสร้างเครือข่ายข้อมูลทางด้านการท่องเที่ยวได้มาก และสร้างพันธมิตรทางธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องก็สามารถเปิดบริษัทเองได้ถ้าอยู่ในต่างจังหวัดสามารถ เปิดสำนักงานของตนเองได้แต่จะต้องสำรวจพื้นที่ที่ตนอยู่ และจังหวัดใกล้เคียงว่ามีแหล่งทรัพยากร การท่องเที่ยวที่น่าสนใจ และจัดเป็นรูปแบบการเดินทางได้หรือไม่ จากนั้นก็จัดทำโฮมเพจ เสนอบริการ ขึ้นเว็บไซต์ตรงสู่ผู้สนใจ โดยปรึกษากับบริษัทที่ปรึกษาการทำพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ได้ โดยใช้บ้านเป็นสำนักงาน
อาชีพที่เกี่ยวเนื่อง จัดกลุ่มท่องเที่ยวแบบอิสระที่ตนมีความรู้ความชำนาญทั้งภายในประเทศ และต่างระเทศ เช่น ทัวร์ศิลปวัฒนธรรม ทัวร์เกษตรกรรม เป็นต้น
เปิดสถานที่ให้คำแนะนำการท่องเที่ยว จำหน่ายตั๋วเครื่องบิน ให้บริการยานพาหนะ เช่น รถยนต์ รถจักรยานยนต์ รถจักรยานภูเขา เรือเช่า หรือสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ที่จำเป็น ให้กับนักเดินทาง และนักท่องเที่ยวจัดหา เป็นต้นหรือจำหน่ายสินค้าของที่ระลึกที่น่าสนใจ หรือหายากในประเทศ จัดศูนย์บริการข้อมูลการท่องเที่ยวท้องถิ่น จัดที่พักแรมเดินทางในแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ จัดพิมพ์หนังสือคู่มือ การท่องเที่ยว และพิมพ์ภาพโปสการ์ดแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ ที่นักท่องเที่ยวสนใจ
8.ตัวอย่างบุคคลที่อยู่ในอาชีพดังกล่าว
คุณ จิตรา ชากัน
ประวัติและผลงาน ประสบการณ์ในการทำงาน 17 ปี (ประกอบอาชีพมัคคุเทศก์เป็นอาชีพหลักมาโดยตลอด)
การจัดทำโปรแกรมทัวร์ได้ทำกิจกรรมเสริมในโปรแกรมทัวร์ ดังต่อไปนี้
การทำแนวกันไฟป่า ได้ทำกิจกรรมนี้ในช่วงหน้าหนาว โดยนำนักท่องเที่ยวไหทำกิจกรรมร่วมกับชาวบ้าน โดยทำในเขตพื้นที่อำเภอแม่แจ่ม
ทำความสะอาดป่า โดยได้ทำมาเป็น ปีที่ 7 โดยการนำเยาวชนนานาชาติร่วมกับโรงเรียนนานาชาติไปทำกิจกรรมร่วมกับชาวบ้านในเขต ตำบลทุ่งหลุก บ้านปางแดง อำเภอเชียงดาว
บวชป่า ได้ทำกิจกรรมบวชป่าในทุกครั้ง ที่พานักท่องเที่ยวเข้าในพื้นที่ป่า โดยมีการอธิบายรายละเอียดให้กับนักท่องเที่ยวได้ทราบถึงความสำคัญของการบวชป่า โดยในปัจจุบันได้ทำการบวชต้นไม้ไปมากกว่า 5,000 ต้น ในเขตพื้นที่อำเภอแม่แตง และกิจกรรมนี้ได้รับความกล่าวขานไปทั่วโลก โดยการได้มีการนำเสนอ ในหนังสือพิมพ์ Bangkok Post (Horizon) และ Wonder World Magazine และ Holiday Time Travel Magazine อีกทั้งกิจกรรมนี้ได้รับการถ่ายทำเป็นสารคดีของ National Geographic จากอเมริกา ซึ่งยกกองถ่ายทำมาถ่ายทำในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา และจะได้ถูกนำเสนอไปทั่วโลกในเดือนตุลาคมที่จะถึงนี้
การปลูกป่า จะจัดทำเข้าสู่ในโปรแกรมทัวร์ โดยจะทำกิจกรรมตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ถึง เดือนกันยายน โดยจะแจกกล้าไม้ และเม็ดพันธุ์ไม้ให้กับลูกค้าที่เดินทางเข้าไปท่องเที่ยวให้ช่วยปลูกป่า นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมอื่นๆ อีกมากมาย เช่น การทอดผ้าป่าเมล็ดพันธุ์พืชแก่ชาวบ้านในรูปแบบของการบริจาคสิ่งของเป็นต้น

นางสาวจันทร์ธิวา โสภา 48010510613 กล่าวว่า...

นางสาวจันทร์ธิวา โสภา 4810510613
คณะศึกษาศาสตร์ สาขาสังคมศึกษา So

1.ชื่ออาชีพ มัคคุเทศก์ Guides , Sightseeing Guides Travel Guides

นิยามอาชีพ ผู้ปฏิบัติงานอาชีพนี้ทำหน้าที่ในการนำนักท่องเที่ยว หรือนักเดินทาง เดินทางท่องเที่ยว ทัศนาจรตามสถานที่ต่างๆ ตามแผนการทัศนาจร หรือตามโครงการนำเที่ยวของบริษัทจัดการนำเที่ยว หรือตามความต้องการของนักท่องเที่ยวหรือนักเดินทาง ในการให้ความรู้แก่นักท่องเที่ยวด้วยการอธิบาย และบรรยายถึงสภาพ และสถานที่เที่ยวที่สำคัญด้านภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม ธรรมชาติสิ่งแวดล้อม และเกร็ดความรู้ที่น่าสนใจ

2.ลักษณะของงานที่ทำ ผู้ปฏิบัติงานอาชีพนี้ จะต้องศึกษา ค้นคว้า หาข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่นำเที่ยว รวมทั้งความรู้ด้าน ประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ จารีตประเพณี วัฒนธรรม วางแผนกำหนดเส้นทาง จัดกำหนดการนำเที่ยว ให้เหมาะสมกับฤดูกาล และระยะเวลา ติดต่อสถานที่พักแรม หรือเตรียมอุปกรณ์เพื่อการพักแรมในสถานที่ ที่จะนำเที่ยว
นำนักท่องเที่ยวชมสถานที่ และบรรยายให้นักท่องเที่ยวได้ทราบความเป็นมาของสถานที่ และท้องถิ่น แหล่งธรรมชาติที่น่าชม และน่าสนใจ ภูมิประเทศ ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม จารีตประเพณี ความเป็นอยู่ของประชาชน
จัดการพักแรม และดูแลให้ความสะดวกสบาย ความปลอดภัยแก่นักท่องเที่ยวในระหว่างการนำเที่ยว โดยพยายามจัดการให้บริการที่ต้องสร้างความพอใจ และประทับใจให้กับนักท่องเที่ยวทุกคนอย่างทั่วถึงและต้องมีจรรยาบรรณทางวิชาชีพ
อาชีพมัคคุเทศก์ จัดแบ่งออกเป็นกลุ่มตามกลุ่มของนักท่องเที่ยว คือ มัคคุเทศก์พาเที่ยวภายในประเทศ (Domestic) มัคคุเทศก์ท้องถิ่น และมัคคุเทศก์นำเที่ยวชาวต่างประเทศ (Inbound) นอกจากนี้ ยังแบ่งกลุ่มมัคคุเทศก์ตามลักษณะของการท่องเที่ยว เช่น มัคคุเทศก์เดินป่า มัคคุเทศก์ทางทะเล มัคคุเทศก์ศิลปวัฒนธรรม เป็นต้น

3.คุณสมบัติของผู้ประกอบอาชีพ ผู้ประกอบอาชีพนี้ ต้องมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้
1. พูดภาษาต่างประเทศได้อย่างน้อย คือ ภาษาอังกฤษ
2. มีความรู้ทั่วไป และเป็นผู้ที่ขวนขวายหาความรู้สม่ำเสมอ
3. รักการเดินทางท่องเที่ยว และงานบริการ ปรับตัวได้ และเป็นนักแก้ไขปัญหาได้ดีใน ทุกสถานการณ์
4. มีความยืดหยุ่น ประนีประนอม และมีลักษณะอบอุ่นโอบอ้อมอารีเป็นที่ไว้วางใจของ ผู้เดินทางร่วมไปด้วย
5. มีความเป็นผู้นำ มีความกล้า มีความรอบคอบและไม่ประมาท
6. มีทัศนะคติดี ร่าเริง มีความเสียสละซื่อสัตย์ ซื่อตรง และอดทน
7. สุขภาพร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ มีไหวพริบและปฏิภาณดี
8. มีความคิดสร้างสรรค์ มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี
9. เป็นนักสื่อสารที่ดี รักการอธิบาย และการบรรยายความรู้ต่าง ๆ
10. เป็นนักจัดเก็บข้อมูลที่ดี ทั้งข้อมูลการ ท่องเที่ยว ความนิยมของลูกค้า และรายชื่อลูกค้าที่เป็นนักท่องเที่ยว

4.สภาพการจ้างงาน ผู้ประกอบอาชีพมัคคุเทศก์ได้รับค่าตอบแทนการทำงานเป็นเงินเดือนประจำ หรือ ค่าจ้างเป็นเที่ยวในการพานักท่องเที่ยวออกไปท่องเที่ยว ซึ่งจะคิดค่าจ้างเป็นรายวันเฉลี่ยประมาณวันละ 1,500-3,000 บาท และอาจจะได้รับค่าตอบแทนถึง 100,000 บาทเป็นค่านายหน้าจากบริษัท หรือร้านที่นักทัศนาจรมา ซื้อของที่ระลึก หรือเข้าชมการแสดงในสถานที่ท่องเที่ยว ตามที่แต่ละแห่งได้ตั้งค่านายหน้าไว้
ผู้ทำงานมัคคุเทศก์มีกำหนดเวลาทำงานที่ไม่แน่นอน ขึ้นอยู่กับโครงการ และแผนการนำเที่ยว ซึ่งกำหนดไว้ในแต่ละรายการ ผู้ปฏิบัติงานนี้จะต้องผ่านการอบรมวิชาชีพมัคคุเทศก์ และมีความรู้ภาษาต่างประเทศซึ่งสามารถใช้งานได้ดี

สภาพการทำงาน มัคคุเทศก์ จะทำงานตามช่วงระยะเวลาที่กำหนดไว้ในแผนการนำเที่ยวมีระยะเวลาตั้งแต่ 1 วัน ถึงสามหรือสี่สัปดาห์ และในขณะพานักท่องเที่ยวทัศนาจรต้องดูแลนักท่องเที่ยวตลอด 24 ชั่วโมง นำนักทัศนาจร หรือนักท่องเที่ยว ตั้งแต่คนเดียวจนถึงเป็นกลุ่ม หรือกลุ่มใหญ่ไปชมสถานที่ต่างๆ ทั้งในเมืองและต่างจังหวัดตามที่กำหนดไว้ในแผนการนำเที่ยว การเดินทางอาจจะมีทั้งระยะใกล้ ไกล อาจใช้ยานพาหนะทุกประเภท อาจต้องนำเที่ยวในลักษณะผจญภัย อย่างเช่น ทัวร์ป่า การเดินขึ้นเขา การล่องแพ การค้างแรมร่วมกับกลุ่มชนชาวพื้นเมือง ขึ้นอยู่กับแผนการนำเที่ยว และรูปแบบของการท่องเที่ยว
มัคคุเทศก์จะต้องวางแผนติดต่อประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การบริการ การอำนวยความสะดวก และการดูแลรักษาความปลอดภัยให้แก่นักท่องเที่ยวตลอดเส้นทาง รวมไปถึงการให้ข้อมูลที่จำเป็น และให้คำแนะนำแก่นักท่องเที่ยวในการเตรียมตัวให้พร้อมก่อนออกเดินทางทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับประเภทของการท่องเที่ยว ตลอดจนตอบข้อซักถาม ให้คำแนะนำในระหว่างการเดินทางรวมทั้งต้องทำ กิจกรรมเพื่อให้นักท่องเที่ยวที่ร่วมเดินทางทุกคนได้รับความสนุกสนาน ประทับใจ ในบางครั้งอาจจะต้องจัด กิจกรรม หรือให้บริการที่สร้างความพอใจให้กับนักท่องเที่ยวตามจุดประสงค์ที่นักท่องเที่ยวต้องการภายในระยะเวลาที่กำหนด และพร้อมที่จะแก้ปัญหาที่อาจเกิดขึ้นกับนักท่องเที่ยวได้ ตลอด 24 ชั่วโมง บางครั้งมัคคุเทศก์จะต้องทำงานหนักติดต่อกันเป็นเวลาหลายวันต้องใช้ความอดทน และอดกลั้นสูง ดังนั้น ความพร้อม และความสมบูรณ์ทั้งทางร่างกาย และจิตใจจึงมีความสำคัญมาก เพราะนักท่องเที่ยว มีอัธยาศัย และพื้นฐานความเป็นอยู่ และวัฒนธรรมที่แตกต่างกันไป เมื่อมารวมกลุ่มกันจึงจำเป็นที่จะต้องสร้างบรรยากาศให้สามารถอยู่ร่วมกันได้ด้วยดี อีกทั้งได้รับความสุข ความปลอดภัยในชีวิต และทรัพย์สินด้วย มัคคุเทศก์จึงเปรียบเสมือนตัวแทนของท้องถิ่น และประเทศนั้น ๆ


5.วิธีการเข้าสู่อาชีพ
ผู้ที่จะประกอบอาชีพนี้ ควรเตรียมความพร้อมดังต่อไปนี้ : มัคคุเทศก์ท้องถิ่น เป็นผู้ที่มีวุฒิการศึกษาตั้งแต่ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ขึ้นไป หรือเทียบเท่า และได้รับการอบรม เพิ่มเติม เพื่อรับวุฒิบัตรพัฒนาฝีมือแรงงาน (วพร.) เป็นเวลา 320 ชั่วโมง หรือ 40 วัน มัคคุเทศก์ภายในประเทศ และมัคคุเทศก์นำเที่ยวชาวต่างประเทศ เป็นผู้มีพื้นฐานการศึกษาระดับมัธยมศึกษาปีที่ 6 ขึ้นไปต้องเข้ารับการอบรม และมีใบอนุญาตเป็นมัคคุเทศก์จากสถาบันที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยให้การรับรอง หรือ
6. มหาวิทยาลัยที่เปิดสอน
มหาวิทยาลัยรัฐบาล และเอกชน ที่เปิดสอนคณะ หรือสาขาวิชาธุรกิจ การท่องเที่ยว
7.ความต้องการของตลาดแรงงาน
โอกาสในการมีงานทำ ตั้งแต่ปี 2539 เป็นต้นมา อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทย ทำเงินรายได้ให้ประเทศมากที่สุด และในปี2543 จะนำเงินเข้าประเทศได้ประมาณ 3 แสนล้านบาท โดยได้เปิดตลาดเพื่อส่งเสริมการขาย และการท่องเที่ยวของประเทศไทยในต่างประเทศของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และผู้ประกอบการธุรกิจ การท่องเที่ยว ส่วนในประเทศได้เน้นการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว และศักยภาพในทุกด้านของทุกจังหวัด เพื่อส่งเสริม และรองรับคนไทยให้เที่ยวในประเทศไทยมากขึ้น โดยเน้นทั้ง ประวัติศาสตร์ โบราณสถาน วัฒนธรรม ประเพณีของทุกจังหวัด และทัวร์สิ่งแวดล้อม หรืออีโคทัวริสซึ่ม
แนวโน้มของคนในยุคปัจจุบันเมื่ออยู่ในสังคมใหม่จะแสวงหาวันหยุดที่ใกล้ชิดธรรมชาติ และความเงียบสงบ นักท่องเที่ยวต่างประเทศปัจจุบันจะเลือกเที่ยวในประเทศที่มีการจัดการและรักษา สิ่งแวดล้อม และสภาพทางนิเวศวิทยาที่ดีเท่านั้น อาจจะจัดเป็นทัวร์สุขภาพธรรมชาติบำบัด หรือรูปแบบการอบรมสัมมนาเนื้อหาทางพุทธศาสนา และทำสมาธิ การได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับชาวบ้านเพื่อเรียนรู้ ภูมิปัญญา และวัฒนธรรมท้องถิ่นของชาวบ้านเป็นต้น ซึ่งประเทศไทยมีศักยภาพที่จะจัดเป็นเส้นทางสำหรับนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ได้ ดังนั้น บุคคลผู้สนใจประกอบอาชีพนี้สามารถเปิดการให้บริการ โดยสามารถจัดเป็นธุรกิจการท่องเที่ยวแบบเฉพาะกลุ่มของตนเองขึ้นบนเว็บไซต์ออนไลน์เสนอให้ผู้สนใจทั่วโลกเลือกพิจารณารูปแบบการท่องเที่ยวได้
อนึ่ง องค์การท่องเที่ยวโลกได้มีการสนับสนุนกำหนดให้ วันที่ 27 กันยายนของทุกปี เป็นวันท่องเที่ยวโลก โดยมีวัตถุประสงค์ให้ประชาคมโลกตระหนักถึงความสำคัญของการท่องเที่ยวที่มี ต่อวัฒนธรรม การเมือง และเศรษฐกิจของประเทศและโลกโดยรวม การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยก็ได้สนับสนุนอุตสาหกรรมนี้เพราะเล็งเห็นถึงความมีศักยภาพในการเป็นประตูไปสู่การท่องเที่ยว อินโดจีน หรือภูมิภาค เข้าสู่ จีน พม่า ลาว เขมร และเวียดนาม ซึ่งนับว่าอาชีพมัคคุเทศก์เป็นอาชีพสำคัญส่วนหนึ่งในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่จะมีส่วนในการพัฒนาอุตสาหกรรมนี้ให้ได้มาตรฐานแล้วเป็น ผู้ส่งเสริมการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอีกด้วย เนื่องจากผู้บริโภคหรือนักท่องเที่ยวสนใจที่จะเลือกบริโภค ในประเทศที่อนุรักษ์สิ่งแวดล้อมเท่านั้นโอกาสการมีงานทำเป็นมัคคุเทศก์จึงค่อนข้างมีมากและมีโอกาสความ ก้าวหน้าในอาชีพ แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความรอบรู้ ความสามารถ และจรรยาบรรณในวิชาชีพของมัคคุเทศก์
แม้ว่ารัฐบาลจะมีนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างไรก็ตาม แต่ถ้าขาดมัคคุเทศก์ที่มีคุณภาพ ก็ไม่สามารถทำให้นโยบายดังกล่าวสัมฤทธิ์ผลได้ จึงได้มีการส่งเสริม และพัฒนาอาชีพนี้ โดย ในปี 2543 การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยได้จัดให้มีรางวัลพิเศษขึ้น คือ "มัคคุเทศก์ไทยดีเด่น " ในงานไทยแลนด์ทัวริสซึ่มอวอร์ด 2000 อันถือว่าเป็นงานยอดเยี่ยมของอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ที่กระตุ้นให้ผู้ประกอบธุรกิจ และผู้เกี่ยวข้องให้ความร่วมมือในการอนุรักษ์ และพัฒนาทรัพยากรการ ท่องเที่ยว ทั้งทางวัฒนธรรมและธรรมชาติ ตลอดจนจัดการบริการให้มีมาตรฐาน
โอกาสความก้าวหน้าในอาชีพ ความก้าวหน้าในอาชีพนี้ไม่ได้วัดกันที่ตำแหน่ง แต่สามารถวัดได้จากความสามารถทางด้านภาษา ความอดทน ความเป็นมืออาชีพ ดังนั้น ผู้ที่สนใจต้องการประกอบอาชีพนี้สามารถติดต่อได้ที่บริษัท จัดท่องเที่ยว เมื่อมีประสบการณ์ และสร้างเครือข่ายข้อมูลทางด้านการท่องเที่ยวได้มาก และสร้างพันธมิตรทางธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องก็สามารถเปิดบริษัทเองได้ถ้าอยู่ในต่างจังหวัดสามารถ เปิดสำนักงานของตนเองได้แต่จะต้องสำรวจพื้นที่ที่ตนอยู่ และจังหวัดใกล้เคียงว่ามีแหล่งทรัพยากร การท่องเที่ยวที่น่าสนใจ และจัดเป็นรูปแบบการเดินทางได้หรือไม่ จากนั้นก็จัดทำโฮมเพจ เสนอบริการ ขึ้นเว็บไซต์ตรงสู่ผู้สนใจ โดยปรึกษากับบริษัทที่ปรึกษาการทำพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ได้ โดยใช้บ้านเป็นสำนักงาน
อาชีพที่เกี่ยวเนื่อง จัดกลุ่มท่องเที่ยวแบบอิสระที่ตนมีความรู้ความชำนาญทั้งภายในประเทศ และต่างระเทศ เช่น ทัวร์ศิลปวัฒนธรรม ทัวร์เกษตรกรรม เป็นต้น
เปิดสถานที่ให้คำแนะนำการท่องเที่ยว จำหน่ายตั๋วเครื่องบิน ให้บริการยานพาหนะ เช่น รถยนต์ รถจักรยานยนต์ รถจักรยานภูเขา เรือเช่า หรือสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ที่จำเป็น ให้กับนักเดินทาง และนักท่องเที่ยวจัดหา เป็นต้นหรือจำหน่ายสินค้าของที่ระลึกที่น่าสนใจ หรือหายากในประเทศ จัดศูนย์บริการข้อมูลการท่องเที่ยวท้องถิ่น จัดที่พักแรมเดินทางในแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ จัดพิมพ์หนังสือคู่มือ การท่องเที่ยว และพิมพ์ภาพโปสการ์ดแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ ที่นักท่องเที่ยวสนใจ
8.ตัวอย่างบุคคลที่อยู่ในอาชีพดังกล่าว
คุณ จิตรา ชากัน
ประวัติและผลงาน ประสบการณ์ในการทำงาน 17 ปี (ประกอบอาชีพมัคคุเทศก์เป็นอาชีพหลักมาโดยตลอด)
การจัดทำโปรแกรมทัวร์ได้ทำกิจกรรมเสริมในโปรแกรมทัวร์ ดังต่อไปนี้
การทำแนวกันไฟป่า ได้ทำกิจกรรมนี้ในช่วงหน้าหนาว โดยนำนักท่องเที่ยวไหทำกิจกรรมร่วมกับชาวบ้าน โดยทำในเขตพื้นที่อำเภอแม่แจ่ม
ทำความสะอาดป่า โดยได้ทำมาเป็น ปีที่ 7 โดยการนำเยาวชนนานาชาติร่วมกับโรงเรียนนานาชาติไปทำกิจกรรมร่วมกับชาวบ้านในเขต ตำบลทุ่งหลุก บ้านปางแดง อำเภอเชียงดาว
บวชป่า ได้ทำกิจกรรมบวชป่าในทุกครั้ง ที่พานักท่องเที่ยวเข้าในพื้นที่ป่า โดยมีการอธิบายรายละเอียดให้กับนักท่องเที่ยวได้ทราบถึงความสำคัญของการบวชป่า โดยในปัจจุบันได้ทำการบวชต้นไม้ไปมากกว่า 5,000 ต้น ในเขตพื้นที่อำเภอแม่แตง และกิจกรรมนี้ได้รับความกล่าวขานไปทั่วโลก โดยการได้มีการนำเสนอ ในหนังสือพิมพ์ Bangkok Post (Horizon) และ Wonder World Magazine และ Holiday Time Travel Magazine อีกทั้งกิจกรรมนี้ได้รับการถ่ายทำเป็นสารคดีของ National Geographic จากอเมริกา ซึ่งยกกองถ่ายทำมาถ่ายทำในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา และจะได้ถูกนำเสนอไปทั่วโลกในเดือนตุลาคมที่จะถึงนี้
การปลูกป่า จะจัดทำเข้าสู่ในโปรแกรมทัวร์ โดยจะทำกิจกรรมตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ถึง เดือนกันยายน โดยจะแจกกล้าไม้ และเม็ดพันธุ์ไม้ให้กับลูกค้าที่เดินทางเข้าไปท่องเที่ยวให้ช่วยปลูกป่า นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมอื่นๆ อีกมากมาย เช่น การทอดผ้าป่าเมล็ดพันธุ์พืชแก่ชาวบ้านในรูปแบบของการบริจาคสิ่งของเป็นต้น

นายวัลลภ ปุยสุวรรณ 48010510698 กล่าวว่า...

นายวัลลภ ปุยสุวรรณ 48010510698
สาขาสังคมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ So

1.ชื่ออาชีพ นักประวัติศาสตร์
2.ลักษณะงาน
ค้นคว้าวิจัยเกี่ยวกับเหตุการณ์ในอดีตและร่วมสมัยที่มีความสำคัญต่อสังคมโดยรวม พิพากษ์หลักฐานและ ประเมินค่าของข้อมูลที่ได้รับ ศึกษาหาความสัมพันธ์ของข้อมูลต่างๆ เพื่อสร้างภาพในอดีตและสามารถ อธิบายเหตุการณ์หรือปรากฏการณ์ต่าง ๆ ที่ศึกษาได้อย่างน่าเชื่อถือนำเสนอผลการศึกษาต่อสาธารณชน ในรูปสิ่งตีพิมพ์ หรือสื่ออื่น ๆ เช่น ซีดีรอม วีดิทัศน์ หรือฟิล์มภาพยนตร์ หน้าที่ของนักประวัติศาสตร์ไม่ใช่ เพียงแต่จดบันทึกกิจกรรมต่าง ๆ ที่มนุษย์ได้ทำไปแล้วตามลำดับวัน เดือน ปี บันทึกข้อมูลเกี่ยวกับเวลา
สถานที่ และลำดับของสาเหตุเหตุการณ์และผลที่เกิดขึ้นเท่านั้น หากแต่จะต้องทำหน้าที่อธิบายให้สังคม ปัจจุบันเข้าใจสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในอดีต เพื่อเข้าใจสังคมที่เป็นอยู่ในปัจจุบันบ้างไม่มากก็น้อย
3.คุณสมบัติของผู้ประกอบอาชีพ
รักการอ่าน ชอบค้นคว้า ชอบศึกษาเหตุการณ์ต่าง ๆ ในอดีต เพื่อนำมาช่วยแก้ปัญหาในปัจจุบันและอนาคต สนใจสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ การเมือง สังคม ศิลปะ วัฒนธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีความรักในการสืบสวน หาข้อเท็จจริง มีความจำดีละเอียดถี่ถ้วน มีความคิดสร้างสรรค์และมีจินตนาการ เพื่อหาแหล่งข้อมูลใหม่ ๆ หรือวิเคราะห์ประเด็นปัญหาต่าง ๆ ในแง่มุมที่ต่างจากเกณฑ์ทั่วไปของสังคม ที่สำคัญต้องมีความซื่อตรง เคารพข้อมูลและตระหนักถึงทัศนคติและความเชื่อของตนเอง ซึ่งจะมีผลต่อการวิเคราะห์ การตีความข้อมูลต่าง ๆ
4.ระดับรายได้และความก้าวหน้า
สามารถทำงานในหลายสาขา เป็นอาจารย์สอนประวัติศาสตร์ ซึ่งสามารถทำงานด้านการวิจัย การสอน งานกระทรวงการต่างประเทศ การเป็นนักเขียน นักข่าว นักหนังสือพิมพ์ ผู้เขียนบทและจัดทำสารคดี วีดิทัศน์ หรือภาพยนตร์ทางโทรทัศน์ มัคคุเทศก์ และงานด้านการท่องเที่ยว
5.การเตรียมตัวเข้าสู่อาชีพ
ผู้ที่ถนัดและสนใจด้านสังคมศึกษาและประวัติศาสตร์ ศึกษาต่อในคณะโบราณคดี คณะอักษรศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์ คณะศึกษาศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ หรือคณะสังคมศาสตร์ นอกจากนี้ มีการสอนระดับปริญญาโท ทางด้านประวัติศาสตร์ ในมหาวิทยาลัยหลายแห่ง เช่น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ มหาวิทยาลัยศิลปากร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และมหาวิทยาลัยเชียงใหม่
6.มหาวิทยาลัยที่เปิดสอน
มหาวิทยาลัยของรัฐ และเอกชน เช่น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ มหาวิทยาลัยศิลปากร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และมหาวิทยาลัยเชียงใหม่

7.ความต้องการของตลาดแรงงาน
ทำงานในหน่วยงานของรัฐ เอกชน รัฐวิสาหกิจ หรือประกอบอาชีพส่วนตัว ซึ่งสามารถทำงานด้านการวิจัย การสอน งานกระทรวงการต่างประเทศ การเป็นนักเขียน นักข่าว นักหนังสือพิมพ์ ผู้เขียนบทและจัดทำสารคดี วีดิทัศน์ หรือภาพยนตร์ทางโทรทัศน์ มัคคุเทศก์ และงานด้านการท่องเที่ยวความรู้ทางด้าน ประวัติศาสตร์ยังเป็นพื้นฐานที่ดีที่จะเรียนต่อในสาขาวิชาต่างๆเช่นความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ รัฐศาสตร์ นิเทศศาสตร์ และอาณาบริเวณศึกษา
8.ตัวอย่างบุคคลที่อยู่ในอาชีพดังกล่าว
ดร.นิธิ เอียวศรีวงศ์ Nithi Eawsriwong
ตำแหน่ง ศาสตราจารย์ประจำคณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
เกิด วันที่ 23 พฤษภาคม 2483
การศึกษา
ป.ตรี อักษรศาสตร์ จุฬา ฯ (ประวัติศาสตร์)
ป.โท อักษรศาสตร์ จุฬา ฯ ( ประวัติศาสตร์)
ป. เอก มหาวิทยาลัยมิชิแกน ( University of Michigan), USA.
อื่นๆ โรงเรียนอัสสัมชัญ ศรีราชา จ.ชลบุรี
การทำงานรับราชการเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ตั้งแต่ปี 2509-ปัจจุบัน ยกเว้นช่วงปี 2514-2518 ที่เดินทางไปศึกษาต่อในระดับปริญญาเอก ที่มหาวิทยาลัยมิชิแกน
นอกจากเป็นอาจารย์ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่แล้ว ยังเป็นนักเขียน คอลัมนิสต์ ในหนังสือพิมพ์และนิตยสารหลายเล่ม เช่น มติชนรายวัน-รายสัปดาห์ นิตยสารศิลปวัฒนธรรม ฯลฯ โดยผลิตงานเขียนทั้งในรูปแบบบทความ และหนังสือเชิงวิชาการจำนวนมาก
หลังเกษียณอายุได้ก่อตั้ง “มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน” ซึ่งเป็นที่รู้จักกว้างขวางเมื่อประกาศมอบรางวัล “ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์” แก่ นายเจริญ วัดอักษร และนางจินตนา แก้วขาว แกนนำกลุ่มผู้คัดค้านการก่อสร้างโรงไฟฟ้าบ่อนอก-หินกรูด
ร่วมกับนักวิชาการและองค์กรพัฒนาเอกชน จัดตั้ง “สำนักข่าวประชาธรรม” เพื่อสร้างพื้นที่ข่าวประชาชนให้สังคมได้รับรู้
ปัจจุบันได้รับการยกย่องเป็น “กระบี่มือหนึ่ง” เป็นนักวิชาการที่วิพากษ์วิจารณ์สังคมได้เฉียบคมโดยความสำคัญของนิธิคือ การใช้ความเป็นนักเขียนและนักวิชาการมาชี้ให้เห็นความสำคัญของสามัญชนซึ่งเป็นผู้สร้างประวัติศาสตร์ และมีจุดยืนที่ชัดเจนในการทำงานเพื่อความเท่าเทียมกันในสังคม

หนึ่ง แง้มใจ กล่าวว่า...

นายสุชาติ สว่างกุล รหัสนิสิต 48010510717 สาขาสังคมศึกษา ปีที่ 4 คณะศึกษาศาสตร์

1. ชื่ออาชีพ : นักวิเคราะห์สิ่งแวดล้อม

2. ลักษณะของงานที่ทำ
ผู้ปฏิบัติงานอาชีพนี้มีหน้าที่ปฏิบัติงานเกี่ยวกับการตรวจสอบสภาพของสิ่งแวดล้อมแล้วรายงานต่อผู้บังคับบัญชา เช่น สำรวจ เก็บรวบรวมข้อมูล ศึกษา วิเคราะห์ วิจัยเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมประเภทต่าง ๆ เช่น การวิเคราะห์คุณภาพน้ำ คุณภาพอากาศ เสียง สารพิษ และอื่นๆ ตรวจสอบ และวิเคราะห์รายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมของ โครงการพัฒนาสถานประกอบกิจการโรงงานอุตสาหกรรม เช่น ผลกระทบจากการคมนาคมและการขนส่ง ผลกระทบจากพลังงาน ผลกระทบจากเกษตรกรรม ผลกระทบจากโรงงานอุตสาหกรรม และผลกระทบที่มีต่อพนักงานในสถานประกอบกิจการ เพื่อนำข้อมูลไปปรับแก้ไขสิ่งที่อาจเกิดขึ้นหรือเกิด ขึ้นแล้วป้องกันและให้มีการดำเนินการให้เป็นไปตามมาตรฐานควบคุม คุณภาพสิ่งแวดล้อม ตรวจหาสาเหตุที่อาจก่อให้เกิดความเดือดร้อนรำคาญของชุมชน และวินิจฉัยข้อเท็จจริงหาทางป้องกันแก้ไข ในกรณีที่มีปัญหาอัน เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมเป็นพิษ เช่น เน่าเสีย เสียงรบกวน ฝุ่น กลิ่นเหม็น ภายใต้การกำกับและตรวจสอบโดยใกล้ชิดของกรมควบคุมมลพิษหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ผู้ปฏิบัติงานอาชีพนี้ในภาครัฐจะได้เงินค่าตอบแทนเป็นเงินเดือนตาม วุฒิการศึกษาในอัตราเดือนละ 7,260 บาทสำหรับผู้สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี ส่วนในภาคเอกชนจะได้รับค่าตอบแทนเป็นเงินเดือนประมาณ 12,000 - 15,000 บาท มีสวัสดิการโบนัส และผลประโยชน์พิเศษอย่างอื่นขึ้นอยู่กับผลประกอบการของสถานประกอบกิจการ

3.ลักษณะของบุคคลที่เหมาะกับอาชีพ (ความต้องการด้านบุคลากร)
1. ผู้ต้องการทำงานอาชีพนี้ในภาครัฐ ต้องเป็นผู้สำเร็จการศึกษาระดับ
ปริญญาตรีจากสาขาใดก็ได้ เช่น เศรษฐศาสตร์ รัฐศาสตร์ ประชากรศาสตร์ สังคมวิทยา และมานุษยวิทยา ภูมิศาสตร์ การบริหาร การศึกษา สถิติ โบราณคดี สถาปัตยกรรมศาสตร์ ผังเมือง การเกษตร วนศาสตร์ การประมง เคมี ชีววิทยา ฟิสิกส์ ธรณีวิทยา วิทยาศาสตร์ทางทะเล สุขภิบาล อาชีวอนามัย สุขศึกษา โภชนวิทยา อนามัยชุมชน ฯลฯ ในภาคเอกชนส่วนมากจะรับผู้จบการศึกษาระดับปริญาตรีใน สาขาเกี่ยวข้องกับธุรกิจที่ประกอบกิจการ หรือสาขาที่เกี่ยวข้องกับวิชาการสิ่งแวดล้อมที่เหมาะ สมกับงานที่ต้องปฏิบัติ
2. มีความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับเหตุการณ์ปัจจุบันในด้านการ เมือง เศรษฐกิจและสังคมโดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศไทย
3. มีความรู้ความสามารถในการใช้ภาษาอย่างเหมาะสมแก่การปฏิบัติ หน้าที่ ทั้งอ่าน และเขียน
4. มีความสามารถในการศึกษาหาข้อมูล วิเคราะห์ปัญหา และสรุปเหตุผล
5. มีความสามารถในการเป็นผู้นำและผู้ตามได้
6. สามารถเดินทางไปปฏิบัติงานต่างจังหวัดได้
7. มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีต่อบุคลากรในองค์กรและชุมชน

4. ระดับรายได้และความก้าวหน้าในอาชีพ
ผู้ปฏิบัติงานอาชีพนี้ในภาครัฐจะได้เงินค่าตอบแทนเป็นเงินเดือนตาม วุฒิการศึกษาในอัตราเดือนละ 7,260 บาทสำหรับผู้สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี ส่วนในภาคเอกชนจะได้รับค่าตอบแทนเป็นเงินเดือนประมาณ 12,000 - 15,000 บาท มีสวัสดิการโบนัส และผลประโยชน์พิเศษอย่างอื่นขึ้นอยู่กับผลประกอบการของสถานประกอบกิจการ
ผู้ปฏิบัติงานอาชีพนี้ อาจจะต้องปฏิบัติงานในสถานที่ทำงานเหมือนสำนักงาน ทั่วไปออกตรวจบริเวณในพื้นที่และนอกบริเวณสถานประกอบ กิจการ หรือพื้นที่ที่อาจเกิดปัญหาผลกระทบจากสิ่งแวดล้อมที่ อาจเกิดขึ้นจากโครงการพัฒนาหรือโครงการต่างๆ ของสถานประกอบกิจการหรือโรงงานที่ได้รับการว่าจ้าง
ส่วนใหญ่ทำงานสัปดาห์ละ 40 ชั่วโมง อาจจะต้องมาทำงานวันเสาร์ วันอาทิตย์ หรือวันหยุด และอาจทำงานล่วงเวลา ในกรณีที่ต้องการให้ระบบงานเสร็จให้ทันต่อการใช้งาน
โอกาสความก้าวหน้าในอาชีพผู้ปฏิบัติงานอาชีพนี้นับว่ามีอัตราความก้าวหน้าสูง เพราะทั่วโลกให้ความสำคัญกับบุคลากรที่มีประสบการณ์ในงานด้านนี้ ผู้ปฏิบัติงานในภาครัฐเมื่อมีประสบการณ์และศึกษาเพิ่มเติมจะได้รับการเลื่อนตำแหน่งไปตามลำดับจนถึงระดับ ผู้อำนวยการในภาคเอกชน ผู้มีความสามารถจะได้รับการเลื่อนตำแหน่งจนถึงระดับผู้้จัดการที่ปรึกษา และผู้อำนวยการ ขึ้นอยู่กับโครงสร้างการบริหารขององค์กร ผู้ปฎิบัติงานอาชีพนี้ที่มีประสบการณ์ในระบบการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อม (Environmental Management System) (EMS) และการเป็นผู้ตรวจสอบระบบการจัดการสิ่งแวดล้อม 14000 ตาม มาตรฐานสิ่งแวดล้อมสามารถเปลี่ยนงานไปประกอบอาชีพอื่นได้ หรือปฏิบัติงานในสถานประกอบกิจการอื่น ๆ ที่ต้องการบุคลากรที่มีประสบการณ์ทางด้านนี้ เช่น เป็นวิทยากรหรือผู้อบรมระบบการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อม







5.วิธีการเข้าสู่อาชีพ (การศึกษา, สาขาที่เกี่ยวข้อง, วิชา, วุฒิการศึกษา)
ต้องเป็นผู้สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาปีที่ 6 หรือประกาศนียบัตรวิชาชีพ จากสถานศึกษาที่กระทรวงศึกษาธิการรับรองวิทยฐานะสอบคัดเลือกเข้าศึกษาต่อระดับอุดมศึกษาในสาขาวิชาใดวิชาหนึ่งที่ตรงกับคุณสมบัติดังกล่าวข้างต้น สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล หรือสถานศึกษาสังกัดทบวงมหาวิทยาลัย หลักสูตรการศึกษา 4 ปี

6.มหาวิทยาลัยหรือสถานศึกษาที่เปิดสอน
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
มหาวิทยาลัยขอนแก่น
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิต
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานคร
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี

7.ความต้องการของตลาดแรงงาน
ปัจจุบัน รัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมให้มีการพัฒนาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนตามแนวแผนปฏิบัติการ 21 (Agenda 21) จากการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยสิ่งแวดล้อมและการพัฒนา ณ กรุงริโอเดอจาเนโร เมื่อปี 1992 เพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นจากสิ่งแวดล้อมที่เป็นภัย ต่อประชากรในประเทศและต่อสังคมโดยรวม ซึ่งได้รับความร่วมมือจากภาคธุรกิจอุตสาหกรรมในการพั ฒนาสิ่งแวดล้อม ทั้งในระดับชาติและระหว่างประเทศ ที่ส่งผลกระทบต่อนโยบายพลังงาน วิธีการผลิตในภาคอุตสาหกรรมเพื่อให้มีการปรับตัวในการใช้ แรงงาน และการผลิต ที่ใช้เทคโนโลยีที่สะอาด ที่ช่วยป้องกันการเกิดของเสีย การบำบัดของเสียกำจัดของเสียที่เป็นอันตรายและการนำของเสียกลับมาใช้ประโยชน์ใหม่อันเป็นส่วนหนึ่งของการสนับสนุน การทำงานเลี้ยงชีพอย่างยั่งยืนในสภาพแวดล้อมที่สะอาด และปลอดภัย






8.ตัวอย่างบุคคลที่อยู่ในอาชีพดังกล่าว
นางอรดี แจ่มอุลิตรัตน์
หัวหน้ากลุ่มงานวิเคราะห์คุณภาพสิ่งแวดล้อม
ปริญญาวิทยาศาสตร์ มหาบัณฑิต (วิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม)
มีหน้าที่ศึกษา วิเคราะห์ และจัดทำระบบฐานข้อมูลด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมระดับภาค ประมวลผลข้อมูล ข้อสนเทศ และสถิติ เพื่อสนับสนุนการบริหารทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พัฒนาระบบการจัดเก็บข้อมูลสารสนเทศ ระบบการแลกเปลี่ยนข้อมูลสารสนเทศ ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ และระบบเว็บไซต์ ให้คำปรึกษา แนะนำ หรือฝึกอบรมการใช้คอมพิวเตอร์ และการใช้โปรแกรม เป็นศูนย์เครือข่ายระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมระดับภาค และเป็นศูนย์บริการประชาชนระดับภาค

นางสาวเกษศิณี แพงไธสง กล่าวว่า...

นางสาว เกษศิณี แพงไธสง 48010510738 คณะศึกษาศาสตร์ สาขาสังคมศึกษา
1. ชื่ออาชีพ
นักออกแบบแฟชั่น,นักออกแบบเสื้อผ้า
2. ลักษณะของงานที่ทำ
ผู้ประกอบอาชีพนักออกแบบเครื่องแต่งกายจะมีหน้าที่คล้ายกับนักออกแบบเครื่องประดับ หรือนักออกแบบเครื่องเรือน โดยมีหน้าที่ ดังนี้
วิเคราะห์ ศึกษาวัสดุ ที่นำมาออกแบบสิ่งทอ ลายผ้า และเนื้อวัสดุ เพื่อตัดเย็บ และวิธีการตัดเย็บ ควบคุมการตัดเย็บให้เป็น ไปตามแบบที่ออกไว้
ให้คำแนะนำในเรื่องการแก้ไขข้อบกพร่อง ของรูปร่างแต่ละบุคคล โดยมีพื้นฐานความเข้าใจในศิลปะการแต่งกายของไทยโบราณและการแต่งกายแบบตะวันตกยุคต่างๆ ในการออกแบบและขั้นตอนการผลิต
นำเทคนิคทางเทคโนโลยีที่มีต่อการสร้างงานศิลป์มาประยุกต์ใช้ โดยจะมีขั้นตอนการทำงาน ออกแบบให้ผู้ว่าจ้างดังนี้
1. ต้องรวบรวมความคิด ข้อมูลที่เป็นสัดส่วนจากลูกค้าหรือผู้ว่าจ้าง
2. ศึกษารูปแบบงานที่มีอยู่ ถ้าสามารถนำกลับมาใช้ใหม่หรือดัดแปลง เพื่อลดระยะเวลาการทำงานและต้นทุนการผลิตในเวลาเดียวกัน ต้องทำการค้นคว้าวิจัยด้วย
3. ทำการร่างแบบคร่าวๆ โดยคุมให้อยู่ในแนวความคิดดังกล่าวให้ได้ตามความต้องการ
4. นำภาพที่ร่าง แล้วให้ผู้ว่าจ้างพิจารณา เพื่อหาแนวทางในการพัฒนาการผลิต รวมทั้งการใช้ วัตถุดิบ และประเมินราคา
5. นำภาพร่างที่ผ่านการพิจารณาและแก้ไขแล้วมาสร้างแบบ (Pattern) วิธีที่จะต้องตัดเย็บใน รายละเอียด ปัก กุ๊น เดินลาย หรือ จับเดรปแล้วนำมาลงสีตามจริง เขียนภาพและอธิบายวิธีการทำให้ละเอียด และชัดเจนที่สุดเท่าที่สามารถจะทำได้เพื่อให้ช่างทำตามแบบได้
6. ส่งแบบ หรือชุดที่ตัดเนาไว้ให้ฝ่ายบริหารและลูกค้า หรือผู้ว่าจ้าง พิจารณาทดลองใส่ เพื่อแก้ไขข้อบกพร่องขั้นสุดท้าย
7. นำแบบที่ผู้ว่าจ้างเห็นชอบ ทำงานประสานกับช่างตัดเย็บ ช่างปัก เพื่อให้ได้ผลงานตามที่ลูกค้าต้องการ
3. ลักษณะของคนที่เหมาะกับอาชีพ
ผู้สนใจในอาชีพนี้ ควรมีคุณสมบัติทั่วๆ ไปดังนี้
1. มีความคิดสร้างสรรค์มีความชอบและรักงานด้านออกแบบ มีมุมมองเรื่องของศิลป์ ความรักสวยงามอาจมีพื้นฐาน ทางด้านศิลป์บ้าง
2. มีความกระตือรือร้น ช่างสังเกตว่ามีความเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง กล้าคิดกล้าทำ กล้าที่จะถ่ายทอด
3. มีความสามารถในการถ่ายทอด ความคิด หรือแนวคิดให้ผู้อื่นฟังได้
ผู้ที่จะประกอบอาชีพนี้ ควรเตรียมความพร้อมดังต่อไปนี้คือ : ผู้ที่มีคุณสมบัติขั้นต้น ดังกล่าว สามารถเข้ารับการอบรมหลักสูตรระยะสั้นในการออกแบบตัดเย็บเสื้อผ้าได้ที่โรงเรียนหรือสถาบันการออกแบบตัดเย็บเสื้อผ้าที่มีชื่อเสียงทั่วไป ซึ่งเปิดรับผู้สนใจเข้าเรียนโดยไม่จำกัดวุฒิการศึกษาเพราะการออกแบบเสื้อผ้าขึ้นอยู่กับความริเริ่มสร้างสรรค์ประสบการณ์ และการฝึกหัด
สำหรับผู้สำเร็จชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายที่ต้องการศึกษาต่อในหลักสูตรปริญญาตรี นอกจากโรงเรียนหรือวิทยาลัยสายวิชาชีพแล้ว ยังสามารถสอบคัดเลือกเข้าศึกษาต่อระดับอุดมศึกษาโดยมี คณะศิลปกรรมมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้เปิดสาขาวิชาการ ออกแบบพัสตราภรณ์
ผู้ที่เข้ารับการศึกษาในสาขาวิชาทางด้านนี้จะได้รับความรู้ในเรื่องของความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการพัฒนาสิ่งทอ และเครื่องแต่งกายของไทย ตะวันออก และตะวันตก เพื่อสืบทอดมรดกและศิลปะสิ่งทอของไทย ในท้องถิ่นต่างๆ
นอกจากนี้ ยังมีสถาบันเทคโนโลยีราชมงคลวิทยาเขตเทคนิคกรุงเทพฯ คณะคหกรรมศาสตร์สาขาผ้า และเครื่องแต่งกาย ธุรกิจเสื้อผ้า ฯลฯ

4. รายได้และ ความก้าวหน้า

อาจได้รับอัตราค่าจ้างขั้นต้นเป็นเงินเดือนประมาณ 8,000 - 10,000 บาท
ส่วนผู้สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี จะได้รับเงินประมาณ 9,000 - 10,000 บาท หรืออาจมากกว่า ขึ้นอยู่กับฝีมือการออกแบบและประสบการณ์ของนักออกแบบแต่ละคนมีสวัสดิการ โบนัส และสิทธิพิเศษอื่นๆ ขึ้นอยู่กับผล
ส่วนมากผู้ประกอบอาชีพนี้ จะมีร้านหรือใช้บ้านเป็นร้านรับออกแบบตัดเสื้อผ้าเป็นของตนเองเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากเป็นอาชีพอิสระที่มีรายได้ดี
5. วิธีการเข้าสู่อาชีพ
สำหรับนักออกแบบเสื้อผ้า หรือแฟชั่นดีไซเนอร์ที่มีความสามารถและผลงานในระยะเวลาที่เป็นนักศึกษา เมื่อเริ่มทำงานกับบริษัทผลิตและ ออกแบบเสื้อผ้า อาจได้อัตราค่าจ้างเป็นเงินเดือนสำหรับวุฒิการศึกษาระดับประโยควิชาชีพ และประโยควิชาชีพชั้นสูง สำหรับนักออกแบบประจำห้องเสื้อหรือร้านเสื้อใหญ่ๆ หรือโรงเรียนสอนตัดเสื้อที่มีผลงานแสดงเป็นประจำนั้น เป็นผู้ที่มีประสบการณ์สูงและต้องมีผู้สนับสนุนค่าใช้จ่ายในการแสดงผลงานและคอลเล็คชั่น
6. มหาวิทยาลัยหรือสถานบันที่เปิดสอน
- ครู - อาจารย์ เจ้าของร้านหรือห้องเสื้อ เจ้าของโรงเรียนสอนออกแบบตัดเย็บเสื้อผ้า นักออกแบบ เครื่องประดับ
- สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า เจ้าคุณทหารลาดกระบัง (ลาดกระบัง)
- การออกแบบสิ่งทอ - พิมพ์ผ้า
7. ความต้องการของตลาดแรงงาน
ผู้ที่สำเร็จการศึกษาแล้วสามารถนำความรู้ ซึ่งเป็นที่ต้องการของตลาดในยุคปัจจุบัน คือสามารถออกแบบสิ่งทอสำหรับอุตสาหกรรมระดับต่างๆ ได้มีความรู้ในเรื่องการบริหารการตลาด และการใช้เทคโนโลยี ที่จำเป็นต่ออุตสาหกรรมสิ่งทอและเสื้อผ้าสำเร็จรูป
ในวงการแฟชั่นในประเทศไทยยังไม่สามารถเป็นศูนย์กลางของการออกแบบแฟชั่นได้แต่กลับเป็น ศูนย์กลางของวัตถุดิบอย่างเช่น ผ้าไหมและการผลิตเสื้อผ้าเพื่อการส่งออกภายใต้ยี่ห้อสินค้าต่างประเทศ และเสื้อผ้าสำเร็จรูป เพราะมีค่าแรงราคาถูก
อย่างไรก็ตาม ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ในวงการออกแบบเสื้อผ้าไทยถือว่ามีความสำเร็จในระดับหนึ่งที่การผลิตเสื้อผ้าสำเร็จรูปภายใต้ยี่ห้อไทย ได้มีการส่งออกไปขายในต่างประเทศบ้างแล้ว เช่น Fly Now หรือในเรื่องของการสนับสนุนการออกแบบลายผ้าไหมที่มีลายเป็นเอกลักษณ์ และการให้สีตามที่ลูกค้า ในต่างประเทศต้องการ และสามารถส่งออกได้
นักออกแบบแฟชั่นในต่างประเทศหลายสถาบันต่างก็ให้ความสนใจแนวการแต่งกาย วัฒนธรรม และการใช้ชีวิตอันเป็นเอกลักษณ์ของชาวเอเชียมากขึ้น ดังนั้น นักออกแบบแฟชั่นไทยควรหันมาสนใจ วัตถุดิบในประเทศ และคิดสร้างสรรค์งานที่เป็นเอกลักษณ์และโดดเด่น เพราะแรงงานและวัตถุดิบในประเทศ ยังมีราคาถูก ตลาดสิ่งทอไทยในต่างประเทศ เช่น เสื้อผ้าถักสำเร็จรูป เสื้อผ้าทอสำเร็จรูปยังมีศักยภาพในการส่งออกสูง
นอกจากนี้ รัฐบาลและแนวโน้มของคนไทยกำลังอยู่ในระหว่างนิยมเลือกใช้สินค้าไทยโดยเฉพาะเสื้อผ้าสำเร็จรูปและผลิตภัณฑ์เครื่องนุ่งห่มที่ได้มาตรฐานการส่งออก นับเป็นโอกาสอันดีที่นักออกแบบแฟชั่นสามารถสร้างสรรค์งานได้เต็มที่ หรือมีแนวคิดรูปแบบการสร้างสรรค์งานใหม่ หรือแนวโน้มใหม่ที่มีเอกลักษณ์ โดดเด่นในการใช้วัสดุในท้องถิ่นมาประยุกต์ใช้ ขยายแหล่งวัตถุดิบ เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตพยายามให้ต้นทุนการผลิตต่อหน่วย ต่ำมากที่สุด เพื่อคงต้นทุนการผลิตเสื้อผ้าสำเร็จรูปของไทยไว้เผชิญกับการเปิดเสรีสิ่งทอในปี 2548เพราะเวลานั้นผู้นำด้านการตลาด แฟชั่น และเทคโนโลยีการผลิตเท่านั้นที่สามารถจะครองตลาดสิ่งทอได้ในต่างประเทศ หรือแม้แต่ตลาดเสื้อผ้าบริเวณชายแดนไทยที่คู่แข่งขันสามารถนำเสื้อผ้าเข้ามาตีตลาดไทยได้ นักออกแบบแฟชั่นจึงเป็นส่วนสำคัญที่จะต้องรักษาฐานตลาดของไทยไว้ทั้งในเชิงรุก ในการผลิต สร้างเครือข่าย ทั้งระบบข้อมูลข่าวสาร และเครือข่ายจำหน่ายสินค้า ปัจจัยที่ทำให้ผู้ที่ประกอบอาชีพนี้ประสบความสำเร็จและก้าวหน้าในอาชีพ ก็คือการคงไว้ซึ่งการเป็นนักออกแบบเสื้อผ้าหรือแฟชั่นดีไซเนอร์ไว้ ซึ่งต้องใช้โอกาส เวลา และค่าใช้จ่ายในการผลิต และการแสดงผลงานที่มีต้นทุนต่ำให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเต็มศักยภาพ นักออกแบบแฟชั่นไม่ควรย่ำอยู่กับที่ ควรมีความคิดเชิงรุกมากกว่ารับเพียงคำสั่งจากลูกค้าควรศึกษาหาความรู้ที่เกี่ยวข้องกับการประกอบอาชีพและควรสร้างโอกาสให้ตนเอง เช่น การศึกษาภาษาต่างประเทศเพิ่มเติม ศึกษาด้านการตลาด ความต้องการของลูกค้า กลุ่มเป้าหมายลูกค้าใหม่ เสาะหาแหล่งตลาดวัตถุดิบ เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตที่ครบวงจร สร้างแนวโน้มแฟชั่น ศึกษารูปแบบของสินค้าจากต่างประเทศ และข้อกีดกันทางการค้า ซึ่งเป็นปัจจัยในความก้าวหน้าทันโลก และยืนอยู่ในอาชีพได้นาน และอาจสร้างผลงานที่คนไทยภูมิใจ หันมาใส่เสื้อผ้าที่ผลิตโดยนักออกแบบเสื้อผ้าไทยกันทั่วประเทศ
8. ตัวอย่างบุคคลที่อยู่ในอาชีพ
โกโก หรือ กาเบียล ชาแนล เป็นนักออกแบบเสื้อผ้า เครื่องแต่งกายและเครื่องประดับความงามชาวฝรั่งเศษ เป็นตัวอย่างนักแฟชั่นวันหนึ่งเธอร้องเพลง กิตาวู โกโก เป็นที่ถูกใจของผู้ฟัง และเรียกร้องให้เธอร้องอีกโดยตะโกนว่า"โกโก ชาแนล" ตั้งแต่บัดนั้นคนก็รู้จักเธอในนาม"โกโก ชาแนล"

นางสาวเกษศิณี แพงไธสง 48010510738 กล่าวว่า...

นางสาว เกษศิณี แพงไธสง 48010510738 คณะศึกษาศาสตร์ สาขาสังคมศึกษา
1. ชื่ออาชีพ
นักออกแบบแฟชั่น,นักออกแบบเสื้อผ้า
2. ลักษณะของงานที่ทำ
ผู้ประกอบอาชีพนักออกแบบเครื่องแต่งกายจะมีหน้าที่คล้ายกับนักออกแบบเครื่องประดับ หรือนักออกแบบเครื่องเรือน โดยมีหน้าที่ ดังนี้
วิเคราะห์ ศึกษาวัสดุ ที่นำมาออกแบบสิ่งทอ ลายผ้า และเนื้อวัสดุ เพื่อตัดเย็บ และวิธีการตัดเย็บ ควบคุมการตัดเย็บให้เป็น ไปตามแบบที่ออกไว้
ให้คำแนะนำในเรื่องการแก้ไขข้อบกพร่อง ของรูปร่างแต่ละบุคคล โดยมีพื้นฐานความเข้าใจในศิลปะการแต่งกายของไทยโบราณและการแต่งกายแบบตะวันตกยุคต่างๆ ในการออกแบบและขั้นตอนการผลิต
นำเทคนิคทางเทคโนโลยีที่มีต่อการสร้างงานศิลป์มาประยุกต์ใช้ โดยจะมีขั้นตอนการทำงาน ออกแบบให้ผู้ว่าจ้างดังนี้
1. ต้องรวบรวมความคิด ข้อมูลที่เป็นสัดส่วนจากลูกค้าหรือผู้ว่าจ้าง
2. ศึกษารูปแบบงานที่มีอยู่ ถ้าสามารถนำกลับมาใช้ใหม่หรือดัดแปลง เพื่อลดระยะเวลาการทำงานและต้นทุนการผลิตในเวลาเดียวกัน ต้องทำการค้นคว้าวิจัยด้วย
3. ทำการร่างแบบคร่าวๆ โดยคุมให้อยู่ในแนวความคิดดังกล่าวให้ได้ตามความต้องการ
4. นำภาพที่ร่าง แล้วให้ผู้ว่าจ้างพิจารณา เพื่อหาแนวทางในการพัฒนาการผลิต รวมทั้งการใช้ วัตถุดิบ และประเมินราคา
5. นำภาพร่างที่ผ่านการพิจารณาและแก้ไขแล้วมาสร้างแบบ (Pattern) วิธีที่จะต้องตัดเย็บใน รายละเอียด ปัก กุ๊น เดินลาย หรือ จับเดรปแล้วนำมาลงสีตามจริง เขียนภาพและอธิบายวิธีการทำให้ละเอียด และชัดเจนที่สุดเท่าที่สามารถจะทำได้เพื่อให้ช่างทำตามแบบได้
6. ส่งแบบ หรือชุดที่ตัดเนาไว้ให้ฝ่ายบริหารและลูกค้า หรือผู้ว่าจ้าง พิจารณาทดลองใส่ เพื่อแก้ไขข้อบกพร่องขั้นสุดท้าย
7. นำแบบที่ผู้ว่าจ้างเห็นชอบ ทำงานประสานกับช่างตัดเย็บ ช่างปัก เพื่อให้ได้ผลงานตามที่ลูกค้าต้องการ
3. ลักษณะของคนที่เหมาะกับอาชีพ
ผู้สนใจในอาชีพนี้ ควรมีคุณสมบัติทั่วๆ ไปดังนี้
1. มีความคิดสร้างสรรค์มีความชอบและรักงานด้านออกแบบ มีมุมมองเรื่องของศิลป์ ความรักสวยงามอาจมีพื้นฐาน ทางด้านศิลป์บ้าง
2. มีความกระตือรือร้น ช่างสังเกตว่ามีความเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง กล้าคิดกล้าทำ กล้าที่จะถ่ายทอด
3. มีความสามารถในการถ่ายทอด ความคิด หรือแนวคิดให้ผู้อื่นฟังได้
ผู้ที่จะประกอบอาชีพนี้ ควรเตรียมความพร้อมดังต่อไปนี้คือ : ผู้ที่มีคุณสมบัติขั้นต้น ดังกล่าว สามารถเข้ารับการอบรมหลักสูตรระยะสั้นในการออกแบบตัดเย็บเสื้อผ้าได้ที่โรงเรียนหรือสถาบันการออกแบบตัดเย็บเสื้อผ้าที่มีชื่อเสียงทั่วไป ซึ่งเปิดรับผู้สนใจเข้าเรียนโดยไม่จำกัดวุฒิการศึกษาเพราะการออกแบบเสื้อผ้าขึ้นอยู่กับความริเริ่มสร้างสรรค์ประสบการณ์ และการฝึกหัด
สำหรับผู้สำเร็จชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายที่ต้องการศึกษาต่อในหลักสูตรปริญญาตรี นอกจากโรงเรียนหรือวิทยาลัยสายวิชาชีพแล้ว ยังสามารถสอบคัดเลือกเข้าศึกษาต่อระดับอุดมศึกษาโดยมี คณะศิลปกรรมมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้เปิดสาขาวิชาการ ออกแบบพัสตราภรณ์
ผู้ที่เข้ารับการศึกษาในสาขาวิชาทางด้านนี้จะได้รับความรู้ในเรื่องของความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการพัฒนาสิ่งทอ และเครื่องแต่งกายของไทย ตะวันออก และตะวันตก เพื่อสืบทอดมรดกและศิลปะสิ่งทอของไทย ในท้องถิ่นต่างๆ
นอกจากนี้ ยังมีสถาบันเทคโนโลยีราชมงคลวิทยาเขตเทคนิคกรุงเทพฯ คณะคหกรรมศาสตร์สาขาผ้า และเครื่องแต่งกาย ธุรกิจเสื้อผ้า ฯลฯ

4. รายได้และ ความก้าวหน้า

อาจได้รับอัตราค่าจ้างขั้นต้นเป็นเงินเดือนประมาณ 8,000 - 10,000 บาท
ส่วนผู้สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี จะได้รับเงินประมาณ 9,000 - 10,000 บาท หรืออาจมากกว่า ขึ้นอยู่กับฝีมือการออกแบบและประสบการณ์ของนักออกแบบแต่ละคนมีสวัสดิการ โบนัส และสิทธิพิเศษอื่นๆ ขึ้นอยู่กับผล
ส่วนมากผู้ประกอบอาชีพนี้ จะมีร้านหรือใช้บ้านเป็นร้านรับออกแบบตัดเสื้อผ้าเป็นของตนเองเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากเป็นอาชีพอิสระที่มีรายได้ดี
5. วิธีการเข้าสู่อาชีพ
สำหรับนักออกแบบเสื้อผ้า หรือแฟชั่นดีไซเนอร์ที่มีความสามารถและผลงานในระยะเวลาที่เป็นนักศึกษา เมื่อเริ่มทำงานกับบริษัทผลิตและ ออกแบบเสื้อผ้า อาจได้อัตราค่าจ้างเป็นเงินเดือนสำหรับวุฒิการศึกษาระดับประโยควิชาชีพ และประโยควิชาชีพชั้นสูง สำหรับนักออกแบบประจำห้องเสื้อหรือร้านเสื้อใหญ่ๆ หรือโรงเรียนสอนตัดเสื้อที่มีผลงานแสดงเป็นประจำนั้น เป็นผู้ที่มีประสบการณ์สูงและต้องมีผู้สนับสนุนค่าใช้จ่ายในการแสดงผลงานและคอลเล็คชั่น
6. มหาวิทยาลัยหรือสถานบันที่เปิดสอน
- ครู - อาจารย์ เจ้าของร้านหรือห้องเสื้อ เจ้าของโรงเรียนสอนออกแบบตัดเย็บเสื้อผ้า นักออกแบบ เครื่องประดับ
- สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า เจ้าคุณทหารลาดกระบัง (ลาดกระบัง)
- การออกแบบสิ่งทอ - พิมพ์ผ้า
7. ความต้องการของตลาดแรงงาน
ผู้ที่สำเร็จการศึกษาแล้วสามารถนำความรู้ ซึ่งเป็นที่ต้องการของตลาดในยุคปัจจุบัน คือสามารถออกแบบสิ่งทอสำหรับอุตสาหกรรมระดับต่างๆ ได้มีความรู้ในเรื่องการบริหารการตลาด และการใช้เทคโนโลยี ที่จำเป็นต่ออุตสาหกรรมสิ่งทอและเสื้อผ้าสำเร็จรูป
ในวงการแฟชั่นในประเทศไทยยังไม่สามารถเป็นศูนย์กลางของการออกแบบแฟชั่นได้แต่กลับเป็น ศูนย์กลางของวัตถุดิบอย่างเช่น ผ้าไหมและการผลิตเสื้อผ้าเพื่อการส่งออกภายใต้ยี่ห้อสินค้าต่างประเทศ และเสื้อผ้าสำเร็จรูป เพราะมีค่าแรงราคาถูก
อย่างไรก็ตาม ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ในวงการออกแบบเสื้อผ้าไทยถือว่ามีความสำเร็จในระดับหนึ่งที่การผลิตเสื้อผ้าสำเร็จรูปภายใต้ยี่ห้อไทย ได้มีการส่งออกไปขายในต่างประเทศบ้างแล้ว เช่น Fly Now หรือในเรื่องของการสนับสนุนการออกแบบลายผ้าไหมที่มีลายเป็นเอกลักษณ์ และการให้สีตามที่ลูกค้า ในต่างประเทศต้องการ และสามารถส่งออกได้
นักออกแบบแฟชั่นในต่างประเทศหลายสถาบันต่างก็ให้ความสนใจแนวการแต่งกาย วัฒนธรรม และการใช้ชีวิตอันเป็นเอกลักษณ์ของชาวเอเชียมากขึ้น ดังนั้น นักออกแบบแฟชั่นไทยควรหันมาสนใจ วัตถุดิบในประเทศ และคิดสร้างสรรค์งานที่เป็นเอกลักษณ์และโดดเด่น เพราะแรงงานและวัตถุดิบในประเทศ ยังมีราคาถูก ตลาดสิ่งทอไทยในต่างประเทศ เช่น เสื้อผ้าถักสำเร็จรูป เสื้อผ้าทอสำเร็จรูปยังมีศักยภาพในการส่งออกสูง
นอกจากนี้ รัฐบาลและแนวโน้มของคนไทยกำลังอยู่ในระหว่างนิยมเลือกใช้สินค้าไทยโดยเฉพาะเสื้อผ้าสำเร็จรูปและผลิตภัณฑ์เครื่องนุ่งห่มที่ได้มาตรฐานการส่งออก นับเป็นโอกาสอันดีที่นักออกแบบแฟชั่นสามารถสร้างสรรค์งานได้เต็มที่ หรือมีแนวคิดรูปแบบการสร้างสรรค์งานใหม่ หรือแนวโน้มใหม่ที่มีเอกลักษณ์ โดดเด่นในการใช้วัสดุในท้องถิ่นมาประยุกต์ใช้ ขยายแหล่งวัตถุดิบ เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตพยายามให้ต้นทุนการผลิตต่อหน่วย ต่ำมากที่สุด เพื่อคงต้นทุนการผลิตเสื้อผ้าสำเร็จรูปของไทยไว้เผชิญกับการเปิดเสรีสิ่งทอในปี 2548เพราะเวลานั้นผู้นำด้านการตลาด แฟชั่น และเทคโนโลยีการผลิตเท่านั้นที่สามารถจะครองตลาดสิ่งทอได้ในต่างประเทศ หรือแม้แต่ตลาดเสื้อผ้าบริเวณชายแดนไทยที่คู่แข่งขันสามารถนำเสื้อผ้าเข้ามาตีตลาดไทยได้ นักออกแบบแฟชั่นจึงเป็นส่วนสำคัญที่จะต้องรักษาฐานตลาดของไทยไว้ทั้งในเชิงรุก ในการผลิต สร้างเครือข่าย ทั้งระบบข้อมูลข่าวสาร และเครือข่ายจำหน่ายสินค้า ปัจจัยที่ทำให้ผู้ที่ประกอบอาชีพนี้ประสบความสำเร็จและก้าวหน้าในอาชีพ ก็คือการคงไว้ซึ่งการเป็นนักออกแบบเสื้อผ้าหรือแฟชั่นดีไซเนอร์ไว้ ซึ่งต้องใช้โอกาส เวลา และค่าใช้จ่ายในการผลิต และการแสดงผลงานที่มีต้นทุนต่ำให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเต็มศักยภาพ นักออกแบบแฟชั่นไม่ควรย่ำอยู่กับที่ ควรมีความคิดเชิงรุกมากกว่ารับเพียงคำสั่งจากลูกค้าควรศึกษาหาความรู้ที่เกี่ยวข้องกับการประกอบอาชีพและควรสร้างโอกาสให้ตนเอง เช่น การศึกษาภาษาต่างประเทศเพิ่มเติม ศึกษาด้านการตลาด ความต้องการของลูกค้า กลุ่มเป้าหมายลูกค้าใหม่ เสาะหาแหล่งตลาดวัตถุดิบ เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตที่ครบวงจร สร้างแนวโน้มแฟชั่น ศึกษารูปแบบของสินค้าจากต่างประเทศ และข้อกีดกันทางการค้า ซึ่งเป็นปัจจัยในความก้าวหน้าทันโลก และยืนอยู่ในอาชีพได้นาน และอาจสร้างผลงานที่คนไทยภูมิใจ หันมาใส่เสื้อผ้าที่ผลิตโดยนักออกแบบเสื้อผ้าไทยกันทั่วประเทศ
8. ตัวอย่างบุคคลที่อยู่ในอาชีพ
โกโก หรือ กาเบียล ชาแนล เป็นนักออกแบบเสื้อผ้า เครื่องแต่งกายและเครื่องประดับความงามชาวฝรั่งเศษ เป็นตัวอย่างนักแฟชั่นวันหนึ่งเธอร้องเพลง กิตาวู โกโก เป็นที่ถูกใจของผู้ฟัง และเรียกร้องให้เธอร้องอีกโดยตะโกนว่า"โกโก ชาแนล" ตั้งแต่บัดนั้นคนก็รู้จักเธอในนาม"โกโก ชาแนล"

กฤติกา ฦๅแรง กล่าวว่า...

นางสาว กฤติกา ฦๅแรง รหัสนิสิต 48010511652 สาขา การศึกษาปฐมวัย ชั้นปีที่ 4 คณะศึกษาศาสตร์
1.ชื่ออาชีพ อาชีพสถาปนิก
2.ลักษณะของอาชีพ สถาปนิกจะเป็นผู้ออกแบบต้องทำงานตามขั้นตอนและกำหนดเวลาชิ้นผลงานต่างๆ ร่วมกับวิศวกรก่อสร้างและนักเขียนแบบ โดยมีขั้นตอนการทำงานดังนี้
1. บันทึกรายละเอียด ความต้องการของลูกค้า เพื่อออกแบบให้ตรงตามความต้องการของลูกค้า
2. ออกแบบ คำนวณแบบ เลือกวัสดุที่มีคุณภาพเหมาะสมและให้ประโยชน์สูงสุดกับลูกค้า
3. คำนวณรายการใช้จ่ายให้เหมาะสมกับเนื้องาน
4. เตรียมแบบ และส่งแบบที่วาดโดยช่างเขียนแบบให้ลูกค้าพิจารณา เพื่อดัดแปลงแก้ไขและตอบข้อซักถามของลูกค้าร่วมกับวิศวกร
5. เมื่อแก้ไขดัดแปลงให้สมบูรณ์แล้วจึงส่งแบบให้กับวิศวกรทำการก่อสร้าง
6. ออกปฏิบัติงานร่วมกับวิศวกรระหว่างทำการก่อสร้างเพื่อให้ใช้วัสดุตามแบบที่วางไว้ตามเงื่อนไขสัญญา
7. ให้คำปรึกษาต่อวิศวกรและแก้ปัญหาที่อาจเกิดขึ้นจากการก่อสร้างและการคำนวณของวิศวกร อาจวางแผนและควบคุมงานที่สถาปนิกจะได้รับทำเป็นประจำตลอดปีคือ งาน ปรับปรุง ดัดแปลง แก้ไข ตัวอาคารเพื่อความทันสมัยสวยงามและปลอดภัยอยู่เสมอ สถาปนิกอาจมีความชำนาญในอาคารบางชนิดเป็นพิเศษ เช่นการออกแบบการใช้อาคารในพื้นที่แคบ เป็นต้น 3.คุณลักษณะของผู้ประกอบอาชีพ 1. มีคุณวุฒิการศึกษาระดับปริญญาตรี คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ 2. มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ เป็นคนมีความละเอียดรอบคอบและถี่ถ้วน
3. มีความสามารถในการรู้จักประยุกต์ใช้วัสดุ เพื่อประโยชน์ใช้สอยสูงสุด
4. มีทักษะในการใช้คอมพิวเตอร์โปรแกรมในการช่วยวาดรูปหรือออกแบบ
5. มีระเบียบวินัย เข้าใจถึงการบริหารธุรกิจ
6. มีมนุษยสัมพันธ์ดี ให้ความร่วมมือกับทีมงานดี
7. มีวิสัยทัศน์ที่ดี และปรับปรุงความรู้ความสามารถอยู่ตลอดเวลา
8. มีความสามารถเป็นทั้งผู้นำและผู้ตาม
9. มีสุขภาพแข็งแรง สามารถไปทำงานต่างจังหวัดหรือต่างประเทศได้
10. มีความซื่อสัตย์


4.ระดับรายได้และสวัสดิการของอาชีพสถาปนิก สำหรับอัตราเงินเดือนของสถาปนิกจบใหม่ (ปริญญาตรี) เริ่มต้นที่ 12,500-15,000 บาท หรืออาจจะขึ้นไปถึง 18,000 บาท สถาปนิกที่รับราชการจะได้รับเงินเดือนตามวุฒิการศึกษา สถาปนิกที่ทำงานกับภาคเอกชนจะได้รับเงินเดือน ขั้นต้นอยู่ระหว่าง 15,000 -20,000 บาท ขึ้นอยู่กับฝีมือและประสบการณ์ในการฝึกงานขณะที่กำลังศึกษาอยู่ได้รับสวัสดิการตามกฎหมายแรงงานกำหนดไว้ และสิทธิประโยชน์อื่น เช่น โบนัสขึ้นอยู่กับผลประกอบการ โอกาสก้าวหน้าในอาชีพ ผู้ปฏิบัติงานในภาครัฐบาลจะได้รับการเลื่อนตำแหน่งและขั้นตามความสามารถ ถ้าได้รับการศึกษาต่อหรืออบรมหลักสูตรต่างๆเพิ่มเติมอาจได้เป็นผู้อำนวยการของหน่วยงานที่ตนเองสังกัดอยู่ใน ภาคเอกชนจะได้เป็นผู้จัดการหรือผู้ดูแลโครงการก่อสร้าง หรือเจ้าของผู้ประกอบกิจการ 5.วิธีการเข้าสู่อาชีพ การศึกษา คือ จบ ม.ปลายสายวิทยาศาสตร์ แล้วสอบคัดเลือกเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยที่จัดสอนคณะหรือภาควิชาสถาปัตยกรรม สาขาวิชาสถาปัตยกรรม ซึ่งสถาปัตยกรรมนี้เป็นสาขาที่เรียนการออกแบบโครงสร้างอาคาร บ้านเรือนโดยตรง ใช้เวลาในการเรียนเป็นเวลา 5 ปี หรือถ้าจบระดับ ปวส. ทางด้านการเขียนแบบ แล้วฝึกงานในสำนักงานสถาปนิก หรือศึกษาต่อเพื่อให้ได้ปริญญาทางสถาปัตยกรรม 6.มหาวิทยาลัยที่เปิดสอน 1. มหาวิทยาลัยศิลปากร 2.จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 3.มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ 4.มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ 5.มหาวิทยาลัยนเรศวร 6.มหาวิทยาลัยรังสิต 7.สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง 8.มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 9.มหาวิทยาลัยขอนแก่น ฯลฯ
7.ความต้องการของตลาดแรงงาน ปัจจุบันอาชีพนี้ซบเซาตามสภาพเศรษฐกิจ ทำให้อุตสาหกรรมวงการก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ ได้รับผลกระทบมาก การดำเนินการลงทุนและการก่อสร้างได้มีการหยุดชะงักชั่วคราว แต่ผู้ประกอบอาชีพนี้ได้ รวมตัวปรับตนเองเป็นผู้รับทำการซ่อมแซม ปรับปรุง ดัดแปลงอาคารและบ้านเรือน ให้ทันสมัยและปลอดภัยอยู่เสมอขณะนี้บุคลากรในอาชีพนี้ยังสามารถสร้างสรรค์ธุรกิจใหม่ๆ ที่นิยมทำในปัจจุบัน คือ จัดทำแบบจำลองหรือโมเด็ลเป็นรูปอาคารต่างๆ ทั้งในประเทศและทั่วโลกให้ลูกค้าเนื่องใน โอกาสต่างๆ ถ้ามีความริเริ่มสร้างสรรค์ในการออกแบบสินค้าเฉพาะและนำส่งออกนอกประเทศจะเป็นช่องทางที่ดีช่องทางหนึ่ง ในการขยายหรือผลิตสินค้าใหม่ ปัจจุบันสถาปนิกไทยมีโอกาสเดินทางไปทำงานในต่างประเทศมากขึ้น 8.ตัวอย่างบุคคลที่อยู่ในอาชีพ สถาปนิก วิโรฒ ศรีสุโร เกิดเมื่อวันที่ ๙ มกราคม ๒๔๘๒ ณ ตำบลยามู อำเภอยะหริ่ง จังหวัดปัตตานี
สำเร็จ การศึกษาสถาปัตยกรรมศาสตร์บัณฑิต จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เริ่มรับราชการที่ สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล วิทยาเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รับราชการที่คณะสถาปัตยกรรม มหาวิทยาลัยขอนแก่น และดำรงตำแหน่งเป็นคณบดีคณะศิลปะประยุกต์และการออกแบบผลิตภัณฑ์ ที่มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ผลงาน 1. ออกแบบโบสถ์วัดศาลาลอย ได้รับรางวัลสถาปัตยกรรมดีเด่น แนวบุกเบิกอาคารทางศาสนา ของ สมาคมสถาปนิก ในพระบรมราชูปถัมภ์ปี พ.ศ. ๒๕๑๖ นอกจากนี้ยังออกแบบและตกแต่งอาคารทางศาสนา และอื่นๆ อีกมาก เช่น พระธาตุศรีมงคล จังหวัดสกลนคร, เจดีย์พิพิธภัณฑ์อาจารย์ฝั้น อาจาโร วัดป่าอุดมสมพร จังหวัดสกลนคร มหาเจดีย์นภเมทนีดล จังหวัดเชียงใหม่ และพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น จังหวัดเลย เป็นต้น
2. ฟื้นฟูงานเครื่องปั้นดินเผาด่านเกวียนในรูปแบบพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีประโยชน์ใช้สอยมากขึ้น ทั้ง เครื่องมือเครื่องใช้ เครื่องตกแต่ง และเครื่องประดับ
3. ศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับเครื่องมือ เครื่องใช้พื้นบ้าน ทั้งงานจักสาน ถักทอ แกะสลัก รวบรวมเกวียนทั่ว ประเทศไทย จัดทำพิพิธภัณฑ์ส่วนตัว ชื่อพิพิธภัณฑ์เกวียน ไว้ที่ร้านดินดำ บ้านด่านเกวียน ตำบลด่านเกวียน อำเภอโชคชัย จังหวัดนครราชสีมา นอกจากนี้ยังมีศูนย์ศิลปะชาวนา จัดแสดงเครื่องมือเครื่องใช้ในอาชีพของ ชาวนา ด้วยทุนทรัพย์ส่วนตัว
4. ผลงานด้านหนังสือ คือ ธาตุอีสาน, สถาปัตยกรรมกลุ่มชนสายวัฒนธรรมไต-ลาว สิมอีสาน เป็นต้น รางวัลที่ได้รับ
1. รางวัลบุกเบิกอาคารทางศาสนาดีเด่นจากสมาคมสถาปนิกในพระบรมราชูปถัมภ์ และได้รับรางวัล ของมูลนิธิเสฐียร โกเศศ และนาคะประทีป ปีพุทธศักราช ๒๕๑๖
2. บุคคลผู้มีผลงานดีเด่นทางวัฒนธรรม สาขางานช่างผีมือ พุทธศักราช ๒๕๒๙
3. รับพระราชทานปริญญาสถาปัตยกรรมศาสตร์ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ จากจุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย พุทธศักราช ๒๕๓๔
4. รับพระราชทานประกาศเกียรติคุณ สถาปนิกดีเด่นจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พุทธศักราช ๒๕๓๗
5. รางวัลผลงานวิจัยดีเยี่ยม พุทธศักราช ๒๕๔๐ เรื่องสิมอีสาน จากคณะกรรมการสภาวิจัยแห่งชาติ

ชญาดา กล่าวว่า...

ชื่อ นางสาว ชญาดา อุตรวิเศษ รหัสนิสิต 48010511809 สาขาวิชา ภาษอังกฤษ ปีที่ 4 คณะศึกษาศาสตร์ กลุ่ม 4 (13.00-15.00น.)
1.ชื่ออาชีพ อาชีพพยาบาล
2.ลักษณะของอาชีพพยาบาล (การทำงาน)
มีหน้าที่ให้บริการพยาบาลระดับวิชาชีพแก่ผู้ป่วยทางการหรือทางจิต ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ หรือทุพพลภาพและผู้สูงอายุในสถาบันที่มีการรักษา การป้องกันโรค การส่งเสริมสุขภาพ วางแผนและให้บริการด้านพยาบาลสมบูรณ์แบบตามตามหลักวิทยาศาสตร์ โดยคำนึงถึงความต้องการของแต่ละคนตามลักษณะของโรคที่เป็น สังเกตและบันทึกความเปลี่ยนแปลงในคนไข้ รายงานให้แพทย์ทราบ การเกิดอาการผิดธรรมดาของร่างกาย อารมณ์ และจิตใจ ซึ่งมีความสำคัญในการวินิจฉัยโรค จัดให้คนไข้ได้มีสิ่งแวดล้อมที่ถูกหลักอนามัย เรียบร้อยและปลอดภัย ป้องกันและควบคุมการเผยแพร่ของโรคตืดเชื้อ สอนคนไข้ ครอบครัวคนไข้และประชาชนทั่วไปให้รู้จักรักษาและส่งเสริมสุขภาพอนามัย
3.ลักษณะของบุคคลที่เหมาะกับอาชีพพยาบาล (ความต้องการด้านบุคลากร)
1. ควรเป็นผู้มีสติปัญญาดีพอควร เพราะการเรียนจะต้องมีพื้นฐานมาจากวิขาวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์
2. เป็นผู้มีจิตใจเมตตากรุณา เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เห็นอกเห็นใจเพื่อนมนุษย์ที่ถูกโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียนการศึกษาและการฝึกอบรม
3. เป็นผู้ที่จบ ม.6 สายวิทยาศาสตร์ และเข้าศึกษาต่อที่ คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยของรัฐและเอกชน หลักสูตร 4 ปี หรือศึกษาต่อในวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี ในสังกัดสถาบันบรมราชชนก กระทรวงสาธารณสุข หรือวิทยาลัยพยาบาลในสังกัดกรุงเทพมหานคร หรือวิทยาลัยพยาบาลสภากาชาดไทย



4.ระดับรายได้ และความก้าวหน้า รวมไปถึงสวัสดิการที่เกี่ยวกับอาชีพ
อาชีพพยาบาลเป็นอาชีพที่มีคนนิยมทำกันมาก เพราะเป็นอาชีพที่มีเกียรติ โดยผู้ที่เป็นพยาบาลสามารถทำงานมีเงินเดือนประจำ โดยมีค่าตอบแทนเป็นเงินเดือนตั้งแต่ 8,500-10,000 บาทขึ้นไป ขึ้นอยู่กับความสามารถประสบการณ์ และประเภทของหน่วยงานที่ทำงานทั้งภาครัฐและเอกชน
โอกาสก้าวหน้าในอาชีพ
พยาบาล มีโอกาสทำงานทางด้านการบริการสุขภาพอนามัยของประชาชนได้มากมาย เช่น เป็นพยาบาลอนามัยในชุมชน, เป็นพยาบาลในโรงพยาบาล, เป็นพยาบาลในโรงเรียนพยาบาล, เป็นพยาบาลประจำองค์การ, เป็นพยาบาลประจำสถานศึกษา, ตั้งสถานพยาบาลผดุงครรถ์ส่วนตัว ฯลฯ สามารถศึกษาต่อในระดับปริญญาโท-เอกได้ทั้งในและต่างประเทศ
5.วิธีการเข้าสู่อาชีพ (การศึกษา, สาขาที่เกี่ยวข้อง, วิชา, วุฒิการศึกษา
คุณสมบัติผู้สมัครเรียนพยาบาล
- อายุ 16 ปี ขึ้นไป ไม่เป็นโรคที่เป็นอุปสรรคต่อการศึกษาและการประกอบอาชีพ
- สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลายหรือเทียบเท่า
- เคยศึกษาในสถาบันอุดมศึกษาอื่นในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการอุดมศึกษา
เพื่อเทียบโอนหน่วยกิตเข้าศึกษาต่อ

การคัดเลือกผู้เข้าศึกษา
- สอบคัดเลือกโดยสำนักงานคณะกรรมการอุดมศึกษา
- คัดเลือก โดยวิธีรับตรงและวิธีเศษของวิทยาลัยฯ
1. ขอบเขตแนวทางการศึกษา (หลักสูตรพยาบาลศาสตร์บัณฑิต พ.ศ.2548)

จำนวนหน่วยกิตรวม 144 หน่วยกิต ประกอบด้วย
1. หมวดศึกษาทั่วไป 41 หน่วยกิต
2. หมวดวิชาเฉพาะ 97 หน่วยกิต
2.1 กลุ่มพื้นฐานวิชาชีพ 24 หน่วยกิต
2.2 กลุ่มวิชาชีพการพยาบาล 73 หน่วยกิต
3. หมวดวิชาเลือกเสรีไม่น้อยกว่า 6 หน่วยกิต

เป็นสาขาวิชาที่เปิดกว้างรับผู้สำเร็จการศึกษา ม.ปลาย สายสามัญ ตามหลักสูตรกระทรวงศึกษาธิการ หรือเทียบเท่า หรือประกาศนียบัตรวิชาชีพจากสถาบันที่กระทรวงศึกษาธิการรับรองวิทยฐานะ หรือการศึกษาอื่นที่เทียบเท่า และถ้าเคยศึกษาในวิทยาลัย หรือมหาวิทยาลัยในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการอุดมศึกษา หากต้องการเข้ามาเรียน สามารถเทียบโอนหน่วยกิตได้ นอกจากนั้นผู้สำเร็จ ป.ตรี สาขาอื่นมาแล้ว หากต้องการเข้าเรียนก็สามารถสมัครเข้าศึกษาเป็นปริญญาตรีที่สองได้
2. คุณลักษณะเด่นของนักศึกษาในสาขาวิชาการพยาบาลและการผดุงครรภ์
2.1 บุคลิกดี มีวินัย ปฏิบัติงานโดยยึดมั่นจรรยาบรรณวิชาชีพพยาบาล
2.2 เป็นผู้นำ มนุษย์สัมพันธ์ดี ใฝ่รู้
2.3 ใช้ภาษาต่างประเทศเพื่อการติดต่อสื่อสาร และเทคโนโลยี เพื่อการเรียนรู้และการทำงานได้ดี

6. มหาวิทยาลัยหรือสถานศึกษาที่เปิดสอน
1.มหาวิทยาลัยสยาม
2.มหาวิทยาลัย รังสิต
3. วิทยาลัยพยาบาลเซ็นหลุยส์ คริสเตียน
4.มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
5.มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
6.มหาวิทยาลัยมหิดล
7.มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
8.มหาวิทยาลัยขอนแก่น
9.มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ

7. ความต้องการของตลาดแรงงาน
1. อาชีพพยาบาลเป็นวิชาชีพขาดแคลน มีงานรองรับหลังสำเร็จการศึกษาในภาครัฐ ภาคธุรกิจ เอกชน และชุมชน ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ
2. เป็นสาขาวิชาที่ได้ลงนามความร่วมมือจากประเทศญี่ปุ่น จึงมีโอกาสสูงที่จะไปปฏิบัติงานในประเทศญี่ปุ่นหากต้องการ และมีรายได้สูง
3. หลักสูตรยังมุ่งเน้นการเตรียมคนเพื่อการสร้างงานเอง หรือการประกอบธุรกิจส่วนตัวที่เกี่ยวข้องกับการพยาบาล ทำให้มีแนวทางในการประกอบอาชีพหลากหลาย

8. ตัวอย่างบุคคลที่อยู่ในอาชีพดังกล่าว (เรื่องราวโดยย่อ)

คุณรสสุคนธ์ ปานอ่อน พยาบาลวิชาชีพ งานคัดกรอง แผนกผู้ป่วยนอก ซึ่งเป็นผู้ที่มีประสบการณ์ตรงในการใช้การออกกำลังกายเพื่อกายภาพบำบัด และใช้สมาธิเพื่อสร้างเสริมคุณภาพชีวิต คุณรสสุคนธ์เล่าว่าในปี 2542 เกิดอุบัติเหตุหลังหักต้องพักงานเพื่อรักษาตัว จากนั้นอีก 6 เดือนต่อมาพอเริ่มดีขึ้นก็เกิดหกล้มที่บ้านทำให้ขาหัก เดินไม่ได้ต้องพักต่ออีก 3 เดือนเพื่อกายภาพบำบัด และหัดเดินใหม่ ซึ่งช่วงนั้นทำให้เดินแบบคนขาเป๋ รู้สึกสูญเสียภาพลักษณ์และสุขภาพจิตแย่มากๆ แต่โชคดีที่ครอบครัวสามีและลูกๆให้กำลังใจ ช่วงนั้นเองที่ทำให้มาสนใจธรรมะมากขึ้นเมื่อแพทย์อนุญาตให้ออกกำลังกายได้ก็เต้นแอโรบิคทุกวัน วันละอย่างน้อยครึ่งชั่วโมงทำต่อเนื่องมาตลอด 6 ปีแล้ว ร่วมกับการทำบุญ สวดมนต์ และฟังธรรมที่วัดเป็นประจำ (ทุกวันอาทิตย์) ปัจจุบันคุณรสสุคนธ์ไม่ค่อยเจ็บป่วย เดินตรง ทำงานคล่องตัว แม้อายุ 53 ปีแล้วก็ตาม เป็นแกนนำชมรมแอโรบิคของบำราศฯ ยังออกกำลังกายทุกวันๆละครึ่งชั่วโมง รวมทั้งนั่งสมาธิวันละประมาณครึ่งชั่วโมงด้วย ถือว่าเป็นบุคคลตัวอย่างที่ใช้วิกฤติด้านสุขภาพเป็นโอกาสในการพัฒนาด้านร่างกายและจิตใจของตนเอง

umaporn กล่าวว่า...

นางสาวพวรรณตรี ผ่านคุลี 48010511566
คณะศึกษาศาสตร์ สาขาสังคมศึกษา (SO)
1. ชื่ออาชีพ พยาบาล (Nrseu)
นิยามอาชีพ ผู้ปฏิบัติอาชีพนี้ ทำหน้าที่ให้การรักษาพยาบาล และดูแลผู้ป่วยทั้งทางกายและจิต ผู้ได้รับบาดเจ็บหรือทุพพลภาพ รักษาและป้องกันโรค และการส่งเสริมสุขภาพ วางแผนและให้บริการด้านพยาบาลและทำหน้าที่ช่วยแพทย์ ในโรงพยาบาล หรือสถานพยาบาล
2.ลักษณะงาน
มีหน้าที่ให้บริการพยาบาลระดับวิชาชีพแก่ผู้ป่วยทางการหรือทางจิต ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ หรือทุพพลภาพและผู้สูงอายุในสถาบันที่มีการรักษา การป้องกันโรค การส่งเสริมสุขภาพ วางแผนและให้บริการด้านพยาบาลสวบูรณ์แบบตามตามหลักวิทยาศาสตร์ โดยคำนึงถึงความต้องการของแต่ละคนตามลักษณะของโรคที่เป็น สังเกตและบันทึกความเปลี่ยนแปลงในคนไข้ รายงานให้แพทย์ทราบ การเกิดอาการผิดธรรมดาของร่างกาย อารมณ์ และจิตใจ ซึ่งมีความสำคัญในการวินิจฉัยโรค จัดให้คนไข้ได้มีสิ่งแวดล้อมที่ถูกหลักอนามัย เรียบร้อยและปลอดภัย ป้องกันและควบคุมการเผยแพร่ของโรคตืดเชื้อ สอนคนไข้ ครอบครัวคนไข้และประชาชนทั่วไปให้รู้จักรักษาและส่งเสริมสุขภาพอนามัย
3. คุณลักษณะของผู้ประกอบอาชีพ
1. ควรเป็นผู้มีสติปัญญาดีพอควร เพราะการเรียนจะต้องมีพื้นฐานมาจากวิขาวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์
2. เป็นผู้มีจิตใจเมตตากรุณา เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เห็นอกเห็นใจเพื่อนมนุษย์ที่ถูกโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียน
4. ระดับรายได้และความก้าวหน้า รวมไปถึงสวัสดิการที่เกี่ยวข้องกับอาชีพ
รายได้ สำหรับหน่วยงานราชการพยาบาลที่สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี ได้รับเงินเดือนอัตรา 6,360 บาท ส่วนพยาบาลที่สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทได้รับเงินเดือนอัตรา 7,780 บาท และปริญญาเอกได้รับเงินเดือนอัตรา 10,600 บาทในหน่วยงานรัฐวิสาหกิจผู้ที่มีการศึกษาระดับปริญญาตรีจะได้รับเงินเดือนประมาณ 7,000 -7,600 บาทสำหรับหน่วยงานเอกชน พยาบาลที่จบการศึกษาระดับปริญญาตรีจะได้รับเงินเดือนขั้นต้นประมาณ 13,900 บาท ค่าอยู่เวร เวรละ 250 บาท ซึ่งจะมีรายได้เฉลี่ยจากค่าอยู่เวรประมาณเดือนละ 2,500 – 3,000 บาท ซึ่งพยาบาลเอกชนจะมีรายได้เฉลี่ยต่อเดือน 16,000 บาทมีสวัสดิการที่พักและสิทธิพิเศษอื่นๆ ตามเงื่อนไขการตกลงกับผู้ว่าจ้างผู้ปฏิบัติงานอาชีพพยาบาลโดยปกติทำงานวันละ 8 - 9 ชั่วโมง และมีการเข้าเวรทำงานตามที่กำหนดเป็นระเบียบปฏิบัติ นอกจากนี้ พยาบาลที่ออกเวรแล้วสามารถหารายได้พิเศษในการรับจ้างเฝ้าไข้ ให้กับคนไข้อีกด้วย
พยาบาล ยังมีโอกาสทำงานทางด้านการบริการสุขภาพอนามัยของประชาชนได้มากมาย เช่น เป็นพยาบาลอนามัยในชุมชน, เป็นพยาบาลในโรงพยาบาล, เป็นพยาบาลในโรงเรียนพยาบาล, เป็นพยาบาลประจำองค์การ, เป็นพยาบาลประจำสถานศึกษา, เป็นพยาบาลประจำคลีนิคเอกชน, เป็นพยาบาลประจำโรงงานอุตสาหกรรม, เป็นพยาบาลประจำสายการบินต่างๆ, เป็นพยาบาลในราชการทหารทุกกองทัพ, เป็นพยาบาลพิเศษเฉพาะผู้ป่วยแต่ละราย, ตั้งสถานพยาบาลผดุงครรภ์ส่วนตัว ฯลฯ สามารถศึกษาต่อในระดับปริญญาโท-เอกได้ทั้งในและต่างประเทศ
5. วิธีการเข้าสู่อาชีพ (การศึกษา, สาขาที่เกี่ยวข้อง, วิชา ,วุฒิการศึกษา)
เป็นผู้ที่จบ ม.6 สายวิทยาศาสตร์ และเข้าศึกษาต่อที่ คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยของรัฐและเอกชน หลักสูตร 4 ปี หรือ ศึกษาต่อในวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี ในสังกัดสถาบันบรมราชชนก กระทรวงสาธารณสุข หรือวิทยาลัยพยาบาลในสังกัดกรุงเทพมหานคร หรือวิทยาลัยพยาบาลสภากาชาดไทย
6. มหาวิทยาลัยหรือสถานศึกษาที่เปิดสอน
วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนีอุดรธานี
วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี นครลำปาง
วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี พุทธชินราช พิษณุโลก
วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สระบุรี
วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี เชียงใหม่
วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สวรรค์ประชารักษ์ นครสวรรค์
มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
มหาวิทยาลัยขอนแก่น
มหาวิทยาลัยบูรพา
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
มหาวิทยาลัยมหิดล เป็นต้น
7. ความต้องการของตลาดแรงงาน
เป็นที่ต้องการของตลาดแรงงาน เพราะปัจจุบันคนเรียนน้อย ยิ่งเป็นพื้นที่ห่างไกลแถวชนบทยิ่งต้องการอาชีพพยาบาลเป็นอย่างมาก ถึงแม้ว่าปัจจุบันจะเปิดโอกาสให้คนเข้ามาศึกษาเป็นจำนวนมากแต่ก็ไม่เพียงพอต่อความต้องการของตลาดเช่นเดิม
8. ตังอย่างบุคคลที่อยู่ในอาชีพพยาบาล
คุณ ยุวดี ไวยวัฒน์
จบการศึกษาจากวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สวรรค์ประชารักษ์ นครสวรรค์
อาชีพ พยาบาลวิชาชีพประจำโรงพยาบาลศรีนครินทร์ จ.ขอนแก่น
วิชาชีพพยาบาล เป็นอาชีพที่ใฝ่ฝันมาตั้งแต่เด็ก จึงมีความพยายามตั้งใจศึกษาเล่าเรียนจนสามารถจบการศึกษาและในปัจจุบันก็ได้ทำงานที่ตนเองรัก

นกน้อย กล่าวว่า...

นางสาววิลาวัณย์ นิ่มนวน รหัส 48010510759
คณะศึกษาศาสตร์ สาขาสังคมศึกษา (4SO)
ชั้นปีที่ 4 กลุ่ม 4
1.ชื่ออาชีพ
นักวิเคราะห์ระบบงานคอมพิวเตอร์ System Analyst
2.ลักษณะของอาชีพ (การทำงาน)
นักวิเคราะห์ระบบงานคอมพิวเตอร์ เริ่มงานโดยการหาข้อมูล ศึกษาและค้นหาปัญหาหรือความต้องการขององค์กรจากผู้บริหาร ความต้องการของผู้ใช้งานระบบคอมพิวเตอร์ ต้องเข้าใจเป้าหมายของแต่ละระบบงานขององค์กร กำหนดเป้าหมายของการทำงานของระบบการทำงานของคอมพิวเตอร์ ค้นหาปัญหาของการทำงานและแบ่งปัญหาต่างๆ ให้เป็นไปตามกระบวนการทำงานย่อย เพื่อสะดวกในการพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์และการแก้ปัญหา
วิเคราะห์ระบบคอมพิวเตอร์และการแก้ปัญหา ผู้วิเคราะห์ระบบคอมพิวเตอร์จะใช้เทคนิคของการวิเคราะห์แบบโครงสร้าง สร้างแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ จำลองแบบข้อมูล วิศวกรรมด้านข้อมูลข่าวสาร การสุ่มตัวอย่าง และหลักการบัญชีต้นทุน เพื่อวางแผนในการทำงานออกแบบขั้นตอนในการทำงาน ศึกษาวิเคราะห์ข้อมูลที่จะนำเข้ามาในระบบคอมพิวเตอร์ ออกแบบรายงานของคอมพิวเตอร์ให้ตรงกับความต้องการของผู้ใช้และฝ่ายบริหารเพื่อประกอบการตัดสินใจ นักวิเคราะห์ระบบงานคอมพิวเตอร์ อาจจะต้องทำข้อมูลเปรียบเทียบการได้เปรียบในการใช้โปรแกรมหรือระบบที่ตนได้พัฒนาขึ้นเสนอต่อผู้บริหารเพื่อประกอบการตัดสินใจลงทุนในการพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์หรือระบบปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ใหม่นั้น ประมาณการค่าใช้จ่ายในการพัฒนาระบบนั้นๆ ให้กับฝ่ายบริหารในการตัดสินใจ เมื่อได้รับอนุมัติแล้ว นักวิเคราะห์ระบบงานคอมพิวเตอร์ ต้องทดสอบให้มั่นใจว่าโปรแกรมหรือระบบปฏิบัติการที่ได้รับอนุมัตินั้น ทำงานได้จริงตามที่ได้ออกแบบไว้ จากนั้นต้องออกแบบรายละเอียดงานที่ต้องการ ตลอดจนขั้นตอนของการทำงานต่างๆ ของผู้เขียน โปรแกรมคอมพิวเตอร์ นักวิเคราะห์ระบบงานคอมพิวเตอร์ต้องทำงานร่วมกับผู้เขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์เพื่อหา ข้อบกพร่องของโปรแกรม ทดสอบโปรแกรมที่โปรแกรมเมอร์ เขียนขึ้นวิเคราะห์ และแนะนำผู้เขียนโปรแกรมในการทำงาน อธิบายความต้องการของแต่ละขั้นตอนของการทำงานของคอมพิวเตอร์ให้กับผู้เขียนโปรแกรม และทดสอบโปรแกรมที่เขียนขึ้นใหม่ว่าสามารถเข้ากันได้กับระบบเดิมที่มีอยู่แล้วได้หรือไม่
นักวิเคราะห์ระบบงานคอมพิวเตอร์ต้องวิเคราะห์ระบบเครือข่ายต่างๆ เช่น LAN (Local Area Network) WAN (Wide Area Network) Internet หรือ Intranet เพื่อให้การสื่อสารระหว่างบุคคลในองค์กรเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดและมีค่าใช้จ่ายที่เหมาะสม ผู้วิเคราะห์ระบบคอมพิวเตอร์ ต้องจำลองแบบเครือข่าย (Network) ทดสอบประสิทธิภาพในการทำงาน หาช่องโหว่ของระบบความปลอดภัยของ ข้อมูล (Security) และวิธีการป้องกันการลักลอบเข้ามาในระบบโดยบุคคลที่ไม่ได้รับอนุญาต วิเคราะห์การใช้ฮาร์ดแวร์และโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่เหมาะสมกับเครือข่าย (Network) ขององค์กร
3.ลักษณะของบุคคลที่เหมาะกับอาชีพ (ความต้องการด้านบุคลากร)
1. มีทักษะในการวิเคราะห์และการแก้ปัญหา
2. มีทักษะทางด้านคณิตศาสตร์และภาษาอังกฤษดี
3. มีทักษะในการติดต่อสื่อสารและมีมนุษยสัมพันธ์ดี
4. มีทักษะในการควบคุมลูกน้องได้ดี
5. สำเร็จการศึกษาปริญญาตรีทางด้านคอมพิวเตอร์เป็นอย่างน้อย และมีความรู้ในการเขียนภาษาคอมพิวเตอร์
4.ระดับรายได้ และความก้าวหน้า รวมไปถึงสวัสดิการที่เกี่ยวกับอาชีพ
ผู้ที่มีความสามารถในการวิเคราะห์ระบบการทำงาน การทำงบประมาณรายจ่ายขององค์กร การควบคุมลูกน้องได้ดี และมีทักษะในการสื่อสารดีจะมีโอกาสเลื่อนตำแหน่งขึ้นเป็นผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายคอมพิวเตอร์ หรือผู้จัดการฝ่ายคอมพิวเตอร์ และเป็นผู้บริหารขององค์กรในที่สุด
สำหรับผู้ที่รักอาชีพอิสระสามารถจัดตั้งกิจการของตนเองเพื่อเป็นที่ปรึกษาทางด้านคอมพิวเตอร์ให้กับองค์กรต่างๆ ที่ไม่ต้องการมีค่าใช้จ่ายที่แน่นอนกับการจ้างพนักงานประจำและ ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงเทคโนโลยีตลอดเวลา
ผู้สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีใหม่ๆ ถ้าทำงานกับธุรกิจเอกชนจะมีรายได้อยู่ระหว่าง 12,000 - 16,000 บาทต่อเดือน ขึ้นอยู่กับความสามารถและประสบการณ์ของแต่ละคนในระหว่างการศึกษาว่าได้ฝึกฝนด้วยตนเอง หรือ ฝึกงานกับองค์กรใด ได้ตรงกับสายงานที่ตนได้งานนั้นๆ หรือไม่ เงินเดือนสูงสุดอาจขึ้นไปได้ถึง 80,000 บาท หลังจากนั้นต้องมีการเลื่อนตำแหน่งสูงขึ้นไป อนึ่งส่วนมากผู้ที่มีความรู้ สูงกว่าปริญญาตรีจะไม่สนใจงานประเภทนี้ เพราะเห็นว่าไม่ใช่งานสำหรับผู้บริหาร โดยปกติ นักวิเคราะห์ระบบงานคอมพิวเตอร์ ทำงานวันละ 8 ชั่วโมง เว้นแต่มีงานเร่งด่วนและจำเป็นก็อาจจะต้องทำงานมากกว่าวันละ 8 ชั่วโมง แต่ก็จะได้รับค่าตอบแทนการทำงานตามระเบียบหรือหลักเกณฑ์ที่ แต่ละองค์กรจะกำหนดขึ้น
5.วิธีการเข้าสู่อาชีพ (การศึกษา, สาขาที่เกี่ยวข้อง, วิชา, วุฒิการศึกษา)
ผู้ที่จะประกอบอาชีพนี้ ควรเตรียมความพร้อมดังต่อไปนี้ : ต้องเป็นผู้ที่ศึกษารายวิชาในหลักสูตรมัธยมศึกษาตอนปลายครบตามเกณฑ์ที่กำหนดทั้งหลักสูตรการศึกษาในโรงเรียนและหลักสูตรการศึกษานอกโรงเรียนให้ศึกษารายวิชาต่างๆ เทียบเท่าเกณฑ์ สำหรับหลักสูตรการศึกษา ในโรงเรียน สำหรับวิชาวิทยาศาสตร์ให้แสดงหลักฐานว่าได้ศึกษาภาคปฎิบัติการเทียบเท่าหลักสูตรการศึกษาในโรงเรียน (มหาวิทยาลัยบางแห่งไม่รับเทียบเท่า ปวช. ปวท. และปวส.)
6.มหาวิทยาลัยหรือสถานศึกษาที่เปิดสอน
- สาขาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ มหาวิทยาลัยรามคำแหง
- สาขาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ
- สาขาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ มหาวิทยาลัยวงษ์ชวลิตกุล
- สาขาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
- สาขาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ มหาวิทยาลัยศรีปทุม
- สาขาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ มหาวิทยาลัยราชมงคลอีสาน วิทยาเขตขอนแก่น
NECTEC สถาบันการศึกษา สมาคมคอมพิวเตอร์แห่งประเทศไทย การจัดประเภทมาตรฐานอาชีพ (ประเทศไทย)
7.ความต้องการของตลาดแรงงาน
ด้วยการเปลี่ยนแปลงทางด้านเทคโนโลยีใหม่ๆเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา นายจ้างมีความจำเป็นต้องการจ้างงานผู้ที่มีความรู้ทางด้านเทคโนโลยีใหม่ๆนี้อยู่ตลอดเวลา ดังนั้นจึงมีแนวโน้มที่จะมีการว่าจ้างนักวิเคราะห์ระบบงานคอมพิวเตอร์อิสระที่มีความชำนาญเฉพาะด้านมาทำงานให้กับองค์กรเป็นงานๆ ไป เช่น ตกลงให้มารับทำเป็นโครงการ หรือตกลงเวลาเป็นปี หรือจำนวนเดือนที่แน่นอน เพราะเมื่อจบโครงการแล้ว นายจ้างไม่จำเป็นต้องจ้างนักวิเคราะห์ระบบงานคอมพิวเตอร์อีกต่อไป แต่เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีใหม่ก็ว่าจ้างนักวิเคราะห์ระบบงานมาดำเนินการอีก
ผู้ประกอบอาชีพนี้ต้องปรับตัวรับความรู้และเทคโนโลยีใหม่ที่เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา เช่นในขณะนี้ การค้าทางอินเตอร์เน็ตกำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว เทคโนโลยีทางด้านโทรศัพท์มือถือกำลังออก Technology WAP Protocol มา สนับสนุนอินเตอร์เน็ตแล้ว ดังนั้นการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ทางด้านเทคโนโลยีจึงเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับผู้ที่ประกอบอาชีพนี้ ต้องเข้ารับการอบรม สัมมนาเพื่อรับรู้เทคนิคใหม่ๆอยู่ตลอดเวลา ทำให้มีความต้องการจ้างงานสำหรับคนทำงานที่มีความรู้ทางด้านการพัฒนาระบบคอมพิวเตอร์และโปรแกรมคอมพิวเตอร์เป็นอย่างดี ยิ่งการพัฒนาทางด้านคอมพิวเตอร์ซับซ้อนยุ่งยากมากขึ้นเท่าใดความต้องการก็เพิ่มสูงมากขึ้นอย่างรวดเร็วตามไปด้วย
ผู้ที่มีประสบการณ์ทางด้านธุรกิจมาแล้วและมีความสามารถทางด้านการวิเคราะห์ระบบงานคอมพิวเตอร์ จะมีโอกาสหางานได้ง่ายกว่าผู้ที่มีประสบการณ์ทางด้านคอมพิวเตอร์อย่างเดียว
8.ตัวอย่างบุคคลที่อยู่ในอาชีพดังกล่าว

ชื่อ-นามสกุล จรีรัตน์ มีทรัพย์อนันต์
ชื่อ-นามสกุล อังกฤษ JAREERAT MEESUPANAN
คุณวุฒิ วท.บ. (วิทยาการคอมพิวเตอร์) มหาวิทยาลัยศิลปากร
วท.ม. เกียรตินิยม (เทคโนโลยีสารสนเทศ) มหาวิทยาลัยนอร์ทกรุงเทพ
หน่วยงาน/Company ฝ่ายพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศฯ
ตำแหน่ง/Position นักวิเคราะห์ระบบงานคอมพิวเตอร์ (System Analyst)
ที่อยู่/Address บริษัท กสท. โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) อาคารศูนย์โทรคมนาคมนนทบุรี เลขที่ 53/58 ถนนติวานนท์ อำเภอเมือง จังหวัดนนทบุรี 11000
Tel. (+66) 0-2956-7334
E – mail mailto:jareerat.m@cattelecom.com
Web site http://http//www.cattelecom.com

ศิริพร ต้นคำฮัก กล่าวว่า...

1.ชื่ออาชีพนักบิน Pilot Aircraft
2.ลักษณะของอาชีพ (การทำงาน)
1. ขับเครื่องบินที่ใช้ในการขนส่งผู้โดยสาร ไปรษณียภัณฑ์ หรือสินค้า
2. ควบคุมอากาศยานให้อยู่ในเส้นทาง ซึ่งทำการบินประจำ หรือในเที่ยวบินเช่าเหมา
3. สังเกตเครื่องวัดมิเตอร์ และเครื่องวัดประกอบการบินอื่นๆ ที่ใช้ควบคุมอากาศยาน
4. ตรวจความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับเครื่องยนต์ ใช้เครื่องช่วยในการเดินอากาศสำหรับควบคุมเส้นทางบินของอากาศยาน
5. อาจเป็นผู้ควบคุมอากาศยาน และรับผิดชอบในลูกเรือทั้งหมด หรือเป็นนักบินผู้ช่วย และอาจทำการบินภายใต้การควบคุมของผู้ควบคุมอากาศยาน
3.ลักษณะของบุคคลที่เหมาะกับอาชีพ (ความต้องการด้านบุคลากร)
เนื่องจากนักบินเป็นผู้ขับเครื่องบินให้ไปสู่จุดหมายปลายทางของผู้โดยสารหรือสินค้าที่อยู่ในเครื่องบินซึ่งจะไปถึงที่หมายปลายทางได้หรือไม่นั้น นักบินจะต้องเป็นผู้มีหน้าที่รับผิดชอบทั้งชีวิตและทรัพย์สิน ฉะนั้น ผู้ประกอบอาชีพด้านนี้ จึงควรมีคุณสมบัติ ดังนี้
1. สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี โดยมีหลักสูตรทาง วิชาวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ หรือคอมพิวเตอร์
2. ใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารได้ดี ควรมีความรู้ทางด้านคณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ดีพอสมควร เพื่อใช้ในการศึกษา และใช้ในการปฏิบัติงาน
3. รูปร่าง บุคลิกดี มีความสูงไม่น้อยกว่า 165 ซ.ม. มีมนุษยสัมพันธ์ดี มีปฏิภาณไหวพริบดี มีสำนึกในความปลอดภัย และมีความสามารถเป็นทั้งผู้นำและผู้ตาม
4. มีความรับผิดชอบต่อตนเอง และผู้อื่นสูง มีความกล้าหาญ และมีความสามารถในการตัดสินใจและแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้อย่างถูกต้อง และรวดเร็ว
5. มีความมั่นใจในตนเอง ละเอียดรอบคอบ มีความจำดี ช่างสังเกต
6. อายุไม่เกิน 38 ปี ไม่สายตาสั้น และต้องไม่ตาบอดสี
7. ในการสอบสัมภาษณ์มีทั้งการสอบภาษาไทย และสอบเชาว์ปัญญา (Aptitude Test)และมีการสัมภาษณ์ภาษาอังกฤษโดยผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศ ผู้สมัครควรมีความรู้ภาษาอังกฤษดี และมีความรู้เรื่องคอมพิวเตอร์ด้วย
8. ในการขับเครื่องบิน ต้องได้รับใบอนุญาตการบิน (Pilot License) รวมทั้งต้องผ่านการตรวจ ร่างกาย และทดสอบทางจิตเวชจากสถาบันเวชศาสตร์การบิน

4.ระดับรายได้ และความก้าวหน้า รวมไปถึงสวัสดิการที่เกี่ยวกับอาชีพ
ผู้ที่ทำงานในหน่วยงานราชการจะได้เงินเดือนตามวุฒิการศึกษา และมีเงินพิเศษค่าเที่ยวบินอีกต่างหาก และสำหรับผู้ที่ทำงานในบริษัทสายการบินของเอกชนย่อมขึ้นอยู่กับสัญญาที่ตกลงไว้กับทางบริษัทโดยรายได้ขั้นต่ำของนักบินที่บินภายในประเทศจะได้รับเป็นเงินเดือนประมาณ 28,000 - 30,000 บาทต่อเดือน โดยมีค่าเบี้ยเลี้ยงการเดินทางขึ้นอยู่กับเส้นทาง และค่าครองชีพแต่ละโซน แต่ละประเทศ โบนัสขึ้นอยู่กับผลประกอบการ โดยมีเงื่อนไขการจ้างจะต้องตรวจเช็ค และต่อใบอนุญาตขับขี่เครื่องบินทุก 1 ปี และเกษียณอายุที่ 60 ปี
อาชีพนักบินมีชั่วโมงการทำงานแตกต่างจากอาชีพอื่นทั่วไป นักบินที่ต้องขับเครื่องบินนอกประเทศอาจจะต้องขับเครื่องบินในเส้นทางที่ใช้เวลานานมากกว่า 10 ชั่วโมง และต้องมีสุขภาพแข็งแรงโดยทั่วไปผู้ประกอบอาชีพนักบินจะต้องตรวจสุขภาพและจิตเวชประจำทุกปีตามเงื่อนไขและระเบียบการบิน
5.วิธีการเข้าสู่อาชีพ (การศึกษา, สาขาที่เกี่ยวข้อง, วิชา, วุฒิการศึกษา)
ผู้ประกอบอาชีพนี้นอกจากจะมีคุณสมบัติ ดังที่กล่าวมาแล้ว ควรเตรียมตัวเพื่อเข้าเรียน หลังจากผ่านการสอบคัดเลือกตำแหน่งตามเงื่อนไข คือจะถูกส่งเข้าศึกษาต่อหลักสูตรการบินในสถาบันการบินพลเรือนซึ่งเป็นสถาบันที่ใช้เป็นสำนักงานบริหารและฝึกวิชากิจการบินภาคพื้นดิน ส่วนภาคอากาศวิชาขับขี่เครื่องบินนั้น ได้แยกไปตั้งที่สนามบินบ่อฝ้าย อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ โดยมีหลักสูตรดังนี้
1. หลักสูตรวิชานักบินพาณิชย์ตรี (Commercial Aeroplane Pilot Basic Course) ใช้เวลาในการศึกษา 20 เดือน ทำการฝึกอบรมให้นักศึกษามีความรู้ความสามารถในการบินกับเครื่องบินจนเข้ามาตรฐานได้รับใบอนุญาตนักบินพาณิชย์ตรี ตามที่รัฐบาลไทยกำหนดไว้ นักศึกษาที่สำเร็จวิชานักบินจากสถาบันการบินผลเรือนจะได้รับใบอนุญาต "นักบินพาณิชย์ตรี" พร้อมวุฒิการบินด้วยเครื่องวัดประกอบการบิน และเครื่องบินหลายเครื่องยนต์จากรัฐบาลไทย
2. หลักสูตรวิชานักบินเฮลิคอปเตอร์ตรี (Commercial Helicopter Pilot Basic Course) เดิมมีเพียงหลักสูตรฝึกนักบินเฮลิคอปเตอร์ให้กรมตำรวจ แต่ในปัจจุบันได้เปิดรับการฝึกให้ เอกชนโดยทั่วไปร่วมกับโครงการฝึกให้ตำรวจหลักสูตรนี้ใช้ระยะเวลาการศึกษา 8 เดือน โดยฝึกอบรมให้มีความรู้ความสามารถในการบินกับเครื่องเฮลิคอปเตอร์ เมื่อสำเร็จการศึกษาจะได้รับใบอนุญาต "นักบินเฮลิคอปเตอร์พาณิชย์ตรี"
3. นอกจากการฝึกอบรมตามหลักสูตรดังกล่าวยังมีหลักสูตรพิเศษตามความต้องการของผู้สนใจและโอกาส เช่น หลักสูตรวิชานักบินส่วนบุคคล (Private Pilot Course) และหลักสูตรเพิ่มวุฒิการบินต่างๆ ได้แก่ การบินหลายเครื่องยนต์ และการบินด้วยเครื่องวัดประกอบการบิน
เนื่องจากสถาบันการบินพลเรือนเป็นสถาบันการศึกษานานาชาติที่ได้รับความช่วยเหลือจาก องค์การสหประชาชาติมีหน้าที่ฝึกอบรมนักศึกษา ทั้งในประเทศไทยและประเทศในภาคพื้นเอเชียอาคเนย์ในแขวงวิชาชีพต่างๆของกิจการการบินพลเรือน เพื่อยกระดับความสามารถในการประกอบอาชีพด้าน กิจการการบินพลเรือนในย่านนี้ให้ทันสมัยตามเทคนิคใหม่ๆและถูกต้องตามมาตรฐานสากล ที่องค์การบินพลเรือนระหว่างประเทศได้บัญญัติไว้
ฉะนั้น นักศึกษาส่วนใหญ่ที่เข้ารับการอบรม จึงเป็นนักศึกษาที่ฝากเรียนจากหน่วยราชการ องค์การ รัฐวิสาหกิจหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะรับนักศึกษาที่เรียนโดยทุนส่วนตัวได้เป็นจำนวนน้อย ทั้งนี้เพราะค่าใช้จ่ายในการศึกษาสูงมาก โดยมีค่าใช้จ่ายในระหว่างการศึกษาไม่ต่ำกว่าหนึ่งล้านบาท


6.มหาวิทยาลัยหรือสถานศึกษาที่เปิดสอน
สถาบันการบินพลเรือน กรุงเทพมหานคร
สถาบันการบินพลเรือน Civil Aviation Training Center อยู่ที่ ศูนย์ฝึกบิน สนามบินบ่อฝ้ายอำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
โรงเรียนการบิน อำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม
โรงเรียนการบิน กองบัญชาการยุทธทางอากาศ

7.ความต้องการของตลาดแรงงาน
อาชีพนักบินสามารถรับราชการเป็นนักบินของหน่วยราชการต่างๆ เช่น กองบินสำนักงานตำรวจ แห่งชาติ สำนักฝนหลวง และการบินเกษตร หรือสายการบินเอกชนต่างๆ เช่น บริษัทการบินไทย บริษัทบางกอกแอร์เวย์ ซึ่งยังมีความต้องการพนักงานในตำแหน่งนี้ยังมีมากแต่การคัดเลือกบุคลากรที่เหมาะสม รวมทั้งการสอน และอบรมในการบินสามารถรับได้ครั้งไม่มากจึงจัดว่าเป็นอาชีพที่ขาดแคลน
สถาบันที่จะฝึกนักบินในประเทศไทยนั้นมีจำนวนน้อยมาก และส่วนใหญ่จะฝึกให้หน่วยงานราชการ เพื่อใช้ในหน่วยงานของตนเอง แต่ถ้าหน่วยงานใดองค์การใดที่ต้องการนักบิน และไม่สามารถที่จะฝึกอบรมด้วยตนเองได้ก็จะส่งบุคคลในหน่วยงานของตนนั้นมาทำการฝึกที่สถาบันการบินพลเรือนในประเทศไทย ฉะนั้นผู้ที่จบการศึกษาแล้ว ส่วนใหญ่จึงกลับเข้าทำงานในหน่วยงานเดิมของตนที่ส่งมาฝึกอบรม แต่ถ้าเป็นนักศึกษาที่เรียนโดยทุนส่วนตัว เมื่อสำเร็จการศึกษาแล้วก็จะทำงานเป็นนักบินในบริษัทสายการบินต่างๆ ซึ่งจะได้รับเงินเดือนสูงมากผู้ที่ประกอบอาชีพนักบินมักจะเป็นชาย ในปัจจุบันประเทศไทยมีนักบินอาชีพที่เป็น ผู้หญิงทำงานในบริษัท บางกอกแอร์เวย์ และบริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย แต่สำหรับบริษัทการบินไทย ยังไม่มีนักบินอาชีพที่เป็นผู้หญิง
ผู้ที่ประกอบอาชีพนักบินสามารถเข้าสมัครงานในภาคราชการหรือภาคเอกชนที่ประกาศรับสมัครโดยต้องมีคุณสมบัติตามที่กำหนดไว้ และเมื่อผ่านการคัดเลือกแล้วจะต้องเข้ารับการอบรมการบินจากสถาบันฝึกการบินพลเรือนโดยเมื่อจบการอบรมก็จะได้รับบรรจุเข้าเป็นนักบินประจำหน่วยงานนั้น
ยกเว้นนักบินของกองทัพอากาศ ซึ่งจะต้องเรียนโรงเรียนนายเรืออากาศและสอบคัดเลือกเข้าโรงเรียนการบินของกองทัพอากาศซึ่งจะมีหลักสูตรการบินที่เกี่ยวกับการทหารไม่ใช่การบินเชิงพาณิชย์สำหรับนักบินทั่วไป เมื่อจบหลักสูตรจึงจะได้บรรจุเป็นทหารสัญญาบัตรเหล่านักบิน และได้รับการบรรจุเข้าประจำฝูงบินต่างๆ หรือบรรจุเข้ารับราชการตามกรมกองต่างๆ
และสายการบินต่างๆ เนื่องจากมีประสบการณ์ในการบินมามาก อาชีพนักบินจะเริ่มต้นการทำงานเป็นนักบินที่ 3หรือต้นหน System Operator (สำหรับเครื่องบินขนาดเล็ก 737 / 747 ซึ่งปัจจุบันเครื่องบินรุ่นใหม่ไม่ใช้นักบินที่ 3 หรือต้นหน) และใช้เวลาปฏิบัติงานประมาณ 4 ปีจึงจะได้เป็นนักบินที่ 2 หรือ Co-pilot และนักบินที่ 2 ต้องมีความชำนาญประมาณ 8 ปี จึงเป็นกัปตันหรือนักบินที่ 1 ได้
ทั้งนี้ต้องมีสุขภาพที่แข็งแรง และผ่านการตรวจร่างกาย และทดสอบทางจิตเวชทุกปี และสำหรับนักบินที่มีประสบการณ์ และได้รับการอบรมจนเชี่ยวชาญ และมีความสามารถในการสอน ก็สามารถเป็นผู้สอนนักบินฝึกหัด หรือนักบินที่มีความสามารถในการบริหารงานสามารถที่จะเลื่อนตำแหน่งขึ้นเป็นผู้บริหารในหน่วยงานหรือองค์กรนั้นได้
ผู้ประกอบอาชีพ "นักบิน" จะมีโอกาสก้าวหน้าอย่างยิ่งในด้านเงินเดือนที่ได้รับเพิ่ม โดยเฉพาะความสามารถ และความชำนาญในการบินจะเป็นเครื่องวัดความก้าวหน้าของนักบินนั้นๆ ผู้เป็นนักบินในหน่วยงานของทางราชการ หรือองค์การต่างๆ นอกจากจะได้รับเงินเดือนตามปกติแล้วยังได้รับเงินพิเศษจากการบินด้วย
ในด้านการศึกษา อาจไปศึกษาและฝึกอบรมเพิ่มเติมในต่างประเทศได้ เพื่อให้เกิดความรู้ความชำนาญเพิ่มขึ้น เช่นการบินกับเครื่องบินหลายเครื่องยนต์ เป็นต้น
นอกจากนี้นักบินยังมีโอกาสได้ท่องเที่ยวไปในประเทศต่างๆ ทั่วโลก และนับว่าเป็นอาชีพที่มีเกียรติอาชีพหนึ่งของสังคม
8.ตัวอย่างบุคคลที่อยู่ในอาชีพดังกล่าว
เส้นทาง. . .นักบิน
“...ของดีๆ มันไม่วิ่งมาหาเรา...เราต้องวิ่งไปหามัน …”

จะดีแค่ไหน...หากสิ่งที่คุณฝันไว้ในวัยเด็ก เกิดขึ้นและเป็นจริงในสักวัน
กัปตัน สรเดช นามเรืองศรี กัปตันบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) บุรุษสายเลือดอุบลฯ แต่เติบโตที่กรุงเทพฯ คือผู้ที่ประสบความสำเร็จในชีวิตกับอาชีพนักบิน งานที่หลายต่อหลายคนใฝ่ฝันอยากจะเป็น แต่สิ่งที่ได้มามิใช่มีผู้หยิบยื่นให้อย่างง่ายดาย หากแต่มาจากความสามารถและความตั้งใจที่ไม่เคยแผ่ว บวกกับความขยันและรักในการเป็นนักบินด้วยใจจริง
นักบินเป็นอาชีพในฝันของกัปตัน
เพราะความที่คุณพ่อเป็นทหารอากาศ ผมเห็นคุณพ่อแต่งเครื่องแบบ ผมก็อยากใส่บ้าง ดูมันเท่มาก ตอนเด็กๆ บ้านพักเราอยู่ใกล้สนามบิน ผมก็เห็นเครื่องบินขึ้น-ลงตลอด ตั้งแต่นั้นผมก็ฝันอยากจะเป็นนักบิน ตอนนั้นผมตั้งใจมาก ผมเริ่มจากเข้าสาธิตจุฬาฯ ตั้งแต่ ป.1 – มศ.3 ตอนนั้นผมตัวเล็กๆ คิดในใจว่าเราจะไปไหวไหม เพราะเป็นคนขี้โรคด้วย แต่ก็ตั้งใจว่าจะพยายาม พอจบ มศ. 3 ผมลองไปสอบเข้าเตรียมทหาร และเตรียมอุดม ปรากฏว่าได้ทั้ง 2 ที่ แต่ผมไม่ไปเตรียมอุดม รอสอบต่อรอบสองเตรียมทหารปรากฏว่าผ่านหมด ก็เลยได้เป็นนักเรียนเตรียมทหาร พอเข้ามาเขาก็ให้เลือกเหล่า ทหารบก ทหารเรือ ทหารอากาศหรือตำรวจ ผมเห็นเครื่องบินตั้งแต่เด็ก ก็เลยเลือกทหารอากาศ กะว่าซักวันจะต้องเป็นนักบินขับไล่ให้ได้ ตอนนั้นมันฮึกเหิมและมันเท่ เราก็เลยเรียนเตรียมทหาร 2 ปีและแยกเหล่ามาเรียนนายเรืออากาศอีก 5 ปี แต่อีกใจก็อยากเป็นวิศวกรโยธา พอดีเขาเปิดสาขาวิศวกรรมโยธารุ่นแรกของโรงเรียนนายเรืออากาศ ผมก็เลยเรียนจนจบปริญญาตรีสาขาวิศวกรรมโยธา แล้วเข้าเป็นศิษย์การบินของกองทัพอากาศที่โรงเรียนการบินกำแพงแสน โดยกองทัพอากาศเป็นผู้ออกทุนให้จนสำเร็จการศึกษาเป็นนักบินของกองทัพ
“คุณสมบัติของนักเรียนทุนก็คือต้องเรียนเก่ง เพราะต้องสอบแข่งกัน ผู้ที่จะเข้าเป็นนักเรียนเตรียมทหารสมัยนั้นจำได้ว่า 10,000 กว่าคนเอา 500 คน แต่เดี๋ยวนี้การแข่งขันน่าจะสูงขึ้น ผมเข้าโรงเรียนเตรียมทหาร รุ่นที่ 19 และเลือกเรียนต่อที่โรงเรียนนายเรืออากาศ เพราะอยากเป็นนักบิน พอจบปุ๊บก็ติดยศเรืออากาศตรี เงินเดือนสมัยนั้น 2,750 บาท และก็ไปเรียนที่โรงเรียนการบินกองทัพอากาศอีก 1 ปี ฟรีทั้งหมด ตอนเรียนก็แบ่งเป็นสายไอพ่นกับสายใบพัด สายไอพ่นเขาจะเอาคนที่บินดีและคะแนนดี ผมก็เลยเลือกสายไอพ่น เมื่อสำเร็จการศึกษาก็บรรจุเป็นนักบินประจำกองสังกัดกองบิน1 นครราชสีมา เริ่มต้นบินจากเครื่องบินไอพ่นฝึกหัดแบบ T33 จากนั้นเป็นนักบินขับไล่เต็มตัว ทำการบินกับเครื่องบินแบบ F-5 A/B, F-5 E/F จนกระทั่งได้รับการคัดเลือกให้มาบินแบบ F-16 A/B ซึ่งเป็นเครื่องบินที่ทันสมัยที่สุดของกองทัพอากาศ ”
เพราะอะไรจึงได้มาเป็นนักบินการบินไทย
“ผมอยู่กองทัพอากาศกองบิน1 ประมาณ 10 ปี ตั้งแต่เป็นเรืออากาศตรีจนถึงนาวาอากาศตรี ในระหว่างนั้นก็อบรมหลักสูตรต่างๆ ในกองทัพอากาศหลายหลักสูตร เพื่อเพิ่มความรู้ และเป็นนักเรียนเสธ.รุ่น 38 ของกองทัพอากาศ แต่ยังเรียนไม่ทันจบผมก็ลาออกจากกองทัพอากาศเข้าเป็นนักบินของบริษัท การบินไทย ในความคิดของผมการบินในโลกมี 2 อย่างคือ การบินทางทหาร และการบินทางพลเรือน วันนี้เราถึงจุดอิ่มตัวด้านการบินทหาร และได้เป็นนักบินขับไล่ตามที่ตั้งใจไว้แล้ว คราวนี้เราก็หันมาด้านที่ 2 คือด้านการบินพลเรือน นักบินทหารจะทำการบินอยู่ภายในประเทศ แต่นักบินพลเรือนจะได้โกอินเตอร์ เราได้เจออะไรมากขึ้น เหมือนเหรียญที่ได้เห็นทั้งด้านหัว ด้านก้อย อันนี้ถือว่าเป็นโชคดีของผม รวมเวลาที่เป็นนักบินของกองทัพอากาศ 10 ปี และก็มาเป็นนักบินพาณิชย์อีก 15 ปี รวมชีวิตการเป็นนักบิน 25 ปี”
นักบินทั้ง 2 แตกต่างกันอย่างไร
“จุดที่เหมือนคือทักษะการบินและความรับผิดชอบ แต่จุดที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดคือ นักบินทหาร ภารกิจต้องมาก่อน หากมีคำสั่งให้เราไปรบ อันตรายไม่ต้องถาม ตัวตายไม่ว่า ภารกิจต้องทำให้สำเร็จ เพราะเราถูกฝึกมาเพื่อป้องกันประเทศ แต่นักบินพลเรือนความปลอดภัยต้องมาก่อน เรามีกฎข้อหนึ่งว่า ในกรณีฉุกเฉิน...หลังจากที่ทุกคนออกจากเครื่องบินด้วยความปลอดภัยแล้ว กัปตันจะต้องเป็นคนสุดท้ายที่เดินออกจากเครื่องบิน...ซึ่งผมภูมิใจในหน้าที่ และความรับผิดชอบตรงนี้มาก”
“แต่ถ้าพูดถึงความเสี่ยง นักบินทหารน่าจะเสี่ยงมากกว่า เพราะเป็นการบินในท่าบินที่ไม่ปกติ แต่ความรับผิดชอบผมตอบได้เลยว่าเหมือนกัน”
25 ปีกับการเป็นนักบิน กัปตันให้อะไรกับเรา
“บอกตรงๆ ว่าเป็นอาชีพที่น่าสนใจมาก ผมมีความสุขทุกครั้งที่ได้ออกไปบิน ไม่ว่าจะเป็นนักบินทหารหรือนักบินพาณิชย์ เวลาที่ผมแต่งเครื่องแบบ ขับรถออกมาจากบ้านเพื่อไปทำงาน ผมก็รู้สึกมีความสุข เพราะเป็นงานที่ผมรัก ผมอยากไปบิน ผู้โดยสารรอเราอยู่ ถ้าเราไปช้าทำให้ไฟล์ต้องdelay สิ่งนี้มันไม่ควรจะเกิดขึ้น ตั้งแต่ผมทำงานที่การบินไทย ผมยังไม่เคยไปช้า หรือไม่ไปทำการบินตามที่จัดไว้แม้แต่ครั้งเดียว”
“นอกจากหน้าที่กัปตัน ผมยังทำหน้าที่ฝ่ายบริหารเล็กๆ ของการบินไทย โดยมีตำแหน่งรองผู้จัดการกองจัดหาบุคลากรการบิน พูดง่ายๆ ว่ามีหน้าที่หาคนมาเป็นนักบินนั่นแหละครับ และอีกตำแหน่งคือครูการบิน ซึ่งแม้ว่าต้องรับผิดชอบในบทบาทอื่น ก็มีความสุขกับงานที่ได้รับมอบหมาย”


ถ้าใครอยากเป็นนักบินเขาต้องทำอย่างไร
“การบินไทยเราเปิดรับนักบินทุกปี คุณสมบัติแรกตอนนี้คือต้องเป็นผู้ชาย เราแบ่งการรับสมัครเป็น 3 กลุ่มครับ กลุ่มแรกคือนักบินฝึกหัดทุนการบินไทย ซึ่งต้องผ่านการสอบข้อเขียน สอบสัมภาษณ์ สอบความถนัดทางด้านทักษะการบิน เราใช้มาตรฐานสากลเป็นเกณฑ์ตัดสิน จะรับสมัครวุฒิปริญญาตรีทุกสาขา อายุไม่เกิน 30 ปี ความสูงไม่ต่ำกว่า 165 เซนติเมตร มีสภาพร่างกายที่เหมาะสม สายตาดีตามมาตรฐานการตรวจของสถาบันเวชศาสตร์การบินกองทัพอากาศ หลังจากนั้น เราจะให้ทุนเข้าไปเรียนที่โรงเรียนการบิน 1 ปี ก็จะได้ใบอนุญาตนักบินพาณิชย์ตรี (ใบขับขี่เครื่องบิน) แล้วเข้ามาเป็นนักบินของบริษัท การบินไทย
กลุ่มที่ 2 คือกลุ่มมีใบขับขี่เครื่องบินแล้ว อาจจะเป็นนักบินกองทัพอากาศ หรือเป็นนักบินจากสายการบินอื่นๆ ที่สนใจ รับอายุไม่เกิน 42 ปีที่ผ่านการสอบคัดเลือกตามมาตรฐานของบริษัทฯ แล้วเข้ามาฝึกอบรมต่อเป็นนักบินของบริษัท การบินไทย
กลุ่มที่ 3 เราเริ่มรับสมัครปีนี้เป็นปีแรก คือรับนักศึกษาชั้นปีที่ 3 จาก 4 สถาบัน คือจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย,มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และสถาบันเทคโนโลยีเจ้าคุณทหารลาดกระบังคณะวิศวกรรมทุกสาขา โดยต้องมีเกรดเฉลี่ย 2.5 ขึ้นไป ซึ่งต้องสมัครสอบคัดเลือกผ่านทางคณะอาจารย์ในแต่ละมหาวิทยาลัย ถ้านักศึกษาจากสถาบันอื่นมีความสนใจ ทางเราอาจจะเข้าแนะแนวอาชีพนักบินให้และขยายการเปิดรับสมัครในสถาบันอื่นเพิ่มมากขึ้น ปัจจุบันเราตั้งเป้าผลิตนักบินไว้ปีละ 90 กว่าคน แต่ในความเป็นจริงผลิตได้แค่ปีละ 70-80 คนเท่านั้น ปีนี้เราก็เลยมี Road Show เพื่อประชาสัมพันธ์อีก 6 แห่งทั่วประเทศ”
นักบินที่ดีควรมีคุณสมบัติอย่างไร
“ประการแรกต้องมีวินัย ต้องควบคุมตัวเองให้ปฏิบัติตามข้อกำหนดโดยเคร่งครัด เช่น เวลาขี่มอเตอร์ไซท์ต้องเปิดไฟใส่หมวก เราก็ควรจะปฏิบัติตามเพื่อความปลอดภัย การมีวินัยในตนเองเป็นพื้นฐาน และเป็นจุดเริ่มต้นในการทำสิ่งที่ดีอย่างอื่นตามมา ประการที่ 2 มีใจรักที่จะเป็นนักบินจริงๆ เพราะมันจะเป็นแรงจูงใจเป็นการสร้างความมุ่งมั่นและความพยายาม ประการที่ 3 ต้องมีสภาพร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรงเหมาะสมที่จะเป็นนักบิน และมีทักษะความถนัดในการเป็นนักบิน เช่น สามารถทำอะไรหลายๆ อย่างได้ในเวลาเดียวกันหรือไม่ เพราะนักบินต้องตาดู หูฟัง สมองคิด ปากพูด มือทำ และต้องเป็นคนที่หัดคิดวางแผนตลอดเวลา เมื่อมีเหตุฉุกเฉินเกิดขึ้น เราจะได้มีแผนสำรอง และต้องมีความคิดหรือทำอะไรที่สมเหตุสมผล (Make Sense), เป็นคนที่มองอะไรรอบด้าน ช่างสังเกต จะได้วิเคราะห์สถานการณ์ และนำมาใช้ในการวางแผนอย่างถูกต้อง และควรมีความคิดเชิงบวก และสามารถควบคุมสติอารมณ์เวลาที่เกิดเหตุฉุกเฉินได้เป็นอย่างดี”

สมหญิง กล่าวว่า...

นักออกแบบบรรจุภัณฑ์

1. ชื่ออาชีพ
นักออกแบบบรรจุภัณฑ์ Packaging Designer
2. ลักษณะของอาชีพ (การทำงาน)
ผู้ปฏิบัติงานอาชีพนี้จะต้องทำการศึกษาการออกแบบและวิวัฒนาการของภาชนะ หีบห่อ หรือบรรจุภัณฑ์ วิเคราะห์ศึกษาลักษณะวัสดุต่างๆที่นำมาใช้ผลิต นำเทคโนโลยีในการผลิตกับการออกแบบมาผสมผสานกันในการออกแบบที่ต้องสอดคล้องกับกระบวนการผลิตทางอุตสาหกรรม นอกจากการออกแบบที่สวยงามแล้ว ยังต้องคำนึงถึงปัจจัยต่างๆ ดังนี้
1. สินค้าที่จะบรรจุในภาชนะ
2. แนวโน้มทางการตลาด และคู่แข่งขันของสินค้า
3. กลุ่มเป้าหมายผู้บริโภค ตลอดจนความสัมพันธ์ สิ่งแวดล้อมวัฒนธรรมและพฤติกรรมของมนุษย์
4. วัสดุและคุณภาพของวัสดุที่จะนำมาใช้ แหล่งวัตถุดิบ ราคาวัตถุดิบ จากนั้นนำข้อมูล มาวิเคราะห์ แล้วจึงนำไปออกแบบ ประมาณราคาต้นทุนในการผลิตและแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ทำแบบจำลอง และทดลองผลิตต้นแบบเพื่อให้ผู้ว่าจ้างพิจารณาแก้ไข นำผลิตภัณฑ์ต้นแบบมาแก้ไขตรวจสอบความถูกต้องตามเงื่อนไขที่ตกลงกับ ผู้ว่าจ้าง นอกจากนั้น ยังต้องตรวจสอบความปลอดภัย ความแข็งแรง และความทนทานอีกด้วย ควบคุมดูแลงานรายละเอียด ในขั้นตอนการผลิตจนชิ้นงาน ส่งถึงมือลูกค้า
สภาพการทำงาน
บรรยากาศในการทำงานสำหรับผู้ประกอบอาชีพนี้ จะเหมือนกับฝ่ายศิลปกรรมอื่นๆ ที่มีพื้นที่ปฏิบัติงานเป็นสัดส่วนมีอุปกรณ์เครื่องมือในการออกแบบครบถ้วน
ถ้าประกอบธุรกิจที่บ้านจะมีลักษณะเป็นสตูดิโอ การทำงานที่มีอุปกรณ์ครบถ้วนเช่นกัน เมื่อปฎิบัติงานตามที่มีผู้ว่าจ้างแล้วเสร็จ ผู้ประกอบอาชีพนี้ อาจจะออกแบบผลงานของตนเองอันไม่จำกัดความคิด และรูปแบบ อาจเป็นทั้งบรรจุภัณฑ์อเนกประสงค์ หรือผลิตภัณฑ์อื่นๆ เพื่อนำไปจำหน่ายเชิงพาณิชย์ ด้วยตนเอง

3. ลักษณะของบุคคลที่เหมาะกับอาชีพ (ความต้องการด้านบุคลากร)
ผู้ปฏิบัติงานอาชีพนี้ ควรมีคุณสมบัติ ดังนี้
1. สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี คณะสถาปัตยกรรม, ศิลปกรรม และสาขาพาณิชย์ศิลป์ ออกแบบผลิตภัณฑ์ หรือนิเทศศิลป์ หรือสาขาที่เกี่ยวข้อง
2. มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ มีไหวพริบและความสนใจความเคลื่อนไหวของธุรกิจและการตลาด เท่าๆ กับ นักการตลาด
3. มีความรู้ในเรื่องวัสดุและวัตถุดิบต่างๆ ที่ใช้ออกแบบผลิตภัณฑ์
4. มีความรับผิดชอบ มีระเบียบวินัยสูง มีความอดทน
5. มีความสามารถในการประมาณราคาวัสดุ แบบหีบห่อ ภาชนะ และบรรจุภัณฑ์ได้
6. มีความสามารถในการใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยีในการผลิตเข้ามาประยุกต์ใช้ในการ ออกแบบ และในการผลิต
7. สามารถทำงานเป็นทีมได้ และมีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดี
8. ใจกว้างสามารถรับฟังคำแนะนำ และติชมได้

4. ระดับรายได้
สำหรับนักออกแบบบรรจุภัณฑ์ ที่สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีจะได้รับอัตราค่าจ้างเป็น เงินเดือนขั้นต้นประมาณ 7,000-9,000 บาทซึ่งขึ้นอยู่กับผลงานการออกแบบ และผลงานการฝึกงาน ที่นำเสนอ อาจได้ค่าตอบแทนจูงใจเมื่อทำงานเสร็จแต่ละโครงงานโดยได้รับเป็น 2 - 3 เท่าของ เงินเดือน ส่วนโบนัส ขึ้นอยู่กับผลประกอบการของสถานประกอบกิจการ และได้รับผลประโยชน์อย่างอื่นตามกฎหมายแรงงาน
ผู้ประกอบอาชีพนี้ ในสถานประกอบกิจการดังกล่าว จะมีกรอบกำหนดในการทำงานรวมทั้งชั่วโมง การทำงาน คือวันละ 8 ชั่วโมง หรือสัปดาห์ละ 40 - 48 ชั่วโมง และอาจต้องทำงานล่วงเวลา ทำงานใน วันเสาร์ วันอาทิตย์ และวันหยุด แต่ถ้าเปลี่ยนไปประกอบอาชีพส่วนตัวโดยเปิดสำนักงานหรือใช้บ้านเป็น ที่ทำงาน รับจ้างทำงานให้สถานประกอบกิจการเดิม หรือผู้ว่าจ้างอื่นๆ เป็นโครงงานไป ค่าตอบแทนจะคิดเป็นงานเหมา หรืออาจได้รับเงินค่าตอบแทนมากกว่าเดิม กำหนดเวลาทำงานก็จะไม่แน่นอน
โอกาสความก้าวหน้าในอาชีพ
ผู้ที่ปฏิบัติงานอาชีพ นี้ในสถานประกอบกิจการผลิต อาจได้รับการเลื่อนตำแหน่งไปจนถึงตำแหน่งสูงสุดตามโครงสร้างขององค์กร เช่น ผู้จัดการฝ่ายออกแบบบรรจุภัณฑ์
ถ้าประกอบอาชีพอิสระ อาจทำหน้าที่เป็นผู้ขายผลิตภัณฑ์ที่สร้างสรรค์ขึ้นเองหรือของผู้อื่นด้วย

5. วิธีการเข้าสู่อาชีพ (การศึกษา, สาขาที่เกี่ยวข้อง, วิชา, วุฒิการศึกษา)
ต้องเป็นผู้สำเร็จการศึกษาหลักสูตรมัธยมศึกษาตอนปลายครบเกณฑ์ที่สถาบันอุดมศึกษาแต่ละแห่งกำหนด เพื่อสอบคัดเลือกผู้เข้าศึกษาต่อใน หลักสูตรปริญญาตรี 4 ปี ในคณะสถาปัตยกรรม ศิลปกรรมและมัณทนาศิลป์ ฯลฯ

6. มหาวิทยาลัยหรือสถานศึกษาที่เปิดสอน เช่น
• ภาควิชาออกแบบอุตสาหกรรม คณะสถาปัตยกรรม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
• ภาควิชาศิลปอุตสาหกรรม คณะสถาปัตยกรรม สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง

7. ความต้องการของตลาดแรงงาน
ปัจจุบัน อาชีพนี้มีการจ้างแรงงานอยู่ในระดับปานกลาง ถึงมาก ส่วนมากบริษัทผู้ว่าจ้าง นักออกแบบบรรจุภัณฑ์ คือ บริษัทตัวแทนรับจ้างรับจัดโฆษณาประชาสัมพันธ์ บริษัทออกแบบผลิตภัณฑ์ หรือบริษัทที่ผู้ผลิตสินค้าเป็นจำนวนหลายประเภทและยี่ห้อ
นอกเหนือจากผู้ปฏิบัติอาชีพนี้ จะมีทางเลือกในการทำงานแบบอุตสาหกรรมแล้ว ปัจจุบันชุมชน ทั่วประเทศต่างหันมาทำการค้ากันระหว่างชุมชนทั่วประเทศโดยมีการส่งเสริมจากภาครัฐในการให้ ความช่วยเหลือให้ผลิตผลิตภัณฑ์สินค้าพื้นบ้านเพื่อการพาณิชย์และการส่งออก ดังนั้นสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ เหล่านั้นต่างต้องการภาชนะ และหีบห่อที่ร่วมสมัย และทันสมัยเพื่อสร้างภาพลักษณ์ของสินค้า และดึงดูด เรียกร้องความสนใจจากผู้ซี้อหาหรือผู้บริโภค เป็นโอกาสอีกช่องทางหนึ่ง ที่ผู้ออกแบบบรรจุภัณฑ์สามารถ มีทางเลือกในการประกอบอาชีพนอกเหนือจากการทำงานในสถานประกอบกิจการ และประกอบอาชีพอิสระในการผลิตสินค้าที่ระลึกและของขวัญ และส่วนมากผู้ประกอบอาชีพนี้สามารถสร้างสรรค์งานได้หลากหลายโดยไม่ยึดติดกับรูปแบบของงาน

8. ตัวอย่างบุคคลที่อยู่ในอาชีพดังกล่าว (เรื่องราวโดยย่อ) คุณสักกฉัฐ ศิวะบวร

การศึกษา ปริญญาตรี คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ สาขาศิลปอุตสาหกรรม สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง
การทำงาน ประสบการณ์กว่า 16 ปี จากการเป็นผู้จัดการฝ่ายออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์ “แครี่บอย” ซึ่งส่งออกกว่า 147 ประเทศทั่วโลก ต้องดูแลทีมออกแบบกว่า 40 คน ทั้งการ ออกแบบ ผลิตภัณฑ์ บรรจุภัณฑ์ สิ่งพิมพ์ และโฆษณาทุกประเภท และเจรจาธุรกิจการออกแบบของบริษัทในประเทศต่างๆ ปัจจุบัน ดำรงตำแหน่ง กรรมการผู้จัดการบริษัท ไอบริก จำกัด
เกียรติประวัติและผลงาน
- ผู้ประสานความร่วมมือและสร้างความเข้าใจระหว่างผู้ประกอบการภาคเอกชนและภาครัฐ
- รางวัล “บุคคลตัวอย่างแห่งปี” ประจำปี 2546 สาขาพัฒนาเศรษฐกิจ
- ประกาศนียบัตรผู้ทำคุณประโยชน์ กรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์
- คณะกรรมการคัดเลือกและตัดสินการประกวดการออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์ทั้งภาครัฐ และเอกชน
- วิทยาการบรรยายด้านการออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์ ให้กับสถาบันการศึกษาและหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน

สมหญิง กล่าวว่า...

นางสาวสมหญิง มอญใหม รหัสนิสิต 48010511872
คณะศึกษาศาสตร์ สาขาการศึกษาพิเศษ SED

นักออกแบบบรรจุภัณฑ์
1. ชื่ออาชีพ
นักออกแบบบรรจุภัณฑ์ Packaging Designer
2. ลักษณะของอาชีพ (การทำงาน)
ผู้ปฏิบัติงานอาชีพนี้จะต้องทำการศึกษาการออกแบบและวิวัฒนาการของภาชนะ หีบห่อ หรือบรรจุภัณฑ์ วิเคราะห์ศึกษาลักษณะวัสดุต่างๆที่นำมาใช้ผลิต นำเทคโนโลยีในการผลิตกับการออกแบบมาผสมผสานกันในการออกแบบที่ต้องสอดคล้องกับกระบวนการผลิตทางอุตสาหกรรม นอกจากการออกแบบที่สวยงามแล้ว ยังต้องคำนึงถึงปัจจัยต่างๆ ดังนี้
1. สินค้าที่จะบรรจุในภาชนะ
2. แนวโน้มทางการตลาด และคู่แข่งขันของสินค้า
3. กลุ่มเป้าหมายผู้บริโภค ตลอดจนความสัมพันธ์ สิ่งแวดล้อมวัฒนธรรมและพฤติกรรมของมนุษย์
4. วัสดุและคุณภาพของวัสดุที่จะนำมาใช้ แหล่งวัตถุดิบ ราคาวัตถุดิบ จากนั้นนำข้อมูล มาวิเคราะห์ แล้วจึงนำไปออกแบบ ประมาณราคาต้นทุนในการผลิตและแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ทำแบบจำลอง และทดลองผลิตต้นแบบเพื่อให้ผู้ว่าจ้างพิจารณาแก้ไข นำผลิตภัณฑ์ต้นแบบมาแก้ไขตรวจสอบความถูกต้องตามเงื่อนไขที่ตกลงกับ ผู้ว่าจ้าง นอกจากนั้น ยังต้องตรวจสอบความปลอดภัย ความแข็งแรง และความทนทานอีกด้วย ควบคุมดูแลงานรายละเอียด ในขั้นตอนการผลิตจนชิ้นงาน ส่งถึงมือลูกค้า
สภาพการทำงาน
บรรยากาศในการทำงานสำหรับผู้ประกอบอาชีพนี้ จะเหมือนกับฝ่ายศิลปกรรมอื่นๆ ที่มีพื้นที่ปฏิบัติงานเป็นสัดส่วนมีอุปกรณ์เครื่องมือในการออกแบบครบถ้วน
ถ้าประกอบธุรกิจที่บ้านจะมีลักษณะเป็นสตูดิโอ การทำงานที่มีอุปกรณ์ครบถ้วนเช่นกัน เมื่อปฎิบัติงานตามที่มีผู้ว่าจ้างแล้วเสร็จ ผู้ประกอบอาชีพนี้ อาจจะออกแบบผลงานของตนเองอันไม่จำกัดความคิด และรูปแบบ อาจเป็นทั้งบรรจุภัณฑ์อเนกประสงค์ หรือผลิตภัณฑ์อื่นๆ เพื่อนำไปจำหน่ายเชิงพาณิชย์ ด้วยตนเอง

3. ลักษณะของบุคคลที่เหมาะกับอาชีพ (ความต้องการด้านบุคลากร)
ผู้ปฏิบัติงานอาชีพนี้ ควรมีคุณสมบัติ ดังนี้
1. สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี คณะสถาปัตยกรรม, ศิลปกรรม และสาขาพาณิชย์ศิลป์ ออกแบบผลิตภัณฑ์ หรือนิเทศศิลป์ หรือสาขาที่เกี่ยวข้อง
2. มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ มีไหวพริบและความสนใจความเคลื่อนไหวของธุรกิจและการตลาด เท่าๆ กับ นักการตลาด
3. มีความรู้ในเรื่องวัสดุและวัตถุดิบต่างๆ ที่ใช้ออกแบบผลิตภัณฑ์
4. มีความรับผิดชอบ มีระเบียบวินัยสูง มีความอดทน
5. มีความสามารถในการประมาณราคาวัสดุ แบบหีบห่อ ภาชนะ และบรรจุภัณฑ์ได้
6. มีความสามารถในการใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยีในการผลิตเข้ามาประยุกต์ใช้ในการ ออกแบบ และในการผลิต
7. สามารถทำงานเป็นทีมได้ และมีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดี
8. ใจกว้างสามารถรับฟังคำแนะนำ และติชมได้

4. ระดับรายได้
สำหรับนักออกแบบบรรจุภัณฑ์ ที่สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีจะได้รับอัตราค่าจ้างเป็น เงินเดือนขั้นต้นประมาณ 7,000-9,000 บาทซึ่งขึ้นอยู่กับผลงานการออกแบบ และผลงานการฝึกงาน ที่นำเสนอ อาจได้ค่าตอบแทนจูงใจเมื่อทำงานเสร็จแต่ละโครงงานโดยได้รับเป็น 2 - 3 เท่าของ เงินเดือน ส่วนโบนัส ขึ้นอยู่กับผลประกอบการของสถานประกอบกิจการ และได้รับผลประโยชน์อย่างอื่นตามกฎหมายแรงงาน
ผู้ประกอบอาชีพนี้ ในสถานประกอบกิจการดังกล่าว จะมีกรอบกำหนดในการทำงานรวมทั้งชั่วโมง การทำงาน คือวันละ 8 ชั่วโมง หรือสัปดาห์ละ 40 - 48 ชั่วโมง และอาจต้องทำงานล่วงเวลา ทำงานใน วันเสาร์ วันอาทิตย์ และวันหยุด แต่ถ้าเปลี่ยนไปประกอบอาชีพส่วนตัวโดยเปิดสำนักงานหรือใช้บ้านเป็น ที่ทำงาน รับจ้างทำงานให้สถานประกอบกิจการเดิม หรือผู้ว่าจ้างอื่นๆ เป็นโครงงานไป ค่าตอบแทนจะคิดเป็นงานเหมา หรืออาจได้รับเงินค่าตอบแทนมากกว่าเดิม กำหนดเวลาทำงานก็จะไม่แน่นอน
โอกาสความก้าวหน้าในอาชีพ
ผู้ที่ปฏิบัติงานอาชีพ นี้ในสถานประกอบกิจการผลิต อาจได้รับการเลื่อนตำแหน่งไปจนถึงตำแหน่งสูงสุดตามโครงสร้างขององค์กร เช่น ผู้จัดการฝ่ายออกแบบบรรจุภัณฑ์
ถ้าประกอบอาชีพอิสระ อาจทำหน้าที่เป็นผู้ขายผลิตภัณฑ์ที่สร้างสรรค์ขึ้นเองหรือของผู้อื่นด้วย

5. วิธีการเข้าสู่อาชีพ (การศึกษา, สาขาที่เกี่ยวข้อง, วิชา, วุฒิการศึกษา)
ต้องเป็นผู้สำเร็จการศึกษาหลักสูตรมัธยมศึกษาตอนปลายครบเกณฑ์ที่สถาบันอุดมศึกษาแต่ละแห่งกำหนด เพื่อสอบคัดเลือกผู้เข้าศึกษาต่อใน หลักสูตรปริญญาตรี 4 ปี ในคณะสถาปัตยกรรม ศิลปกรรมและมัณทนาศิลป์ ฯลฯ

6. มหาวิทยาลัยหรือสถานศึกษาที่เปิดสอน เช่น
• ภาควิชาออกแบบอุตสาหกรรม คณะสถาปัตยกรรม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
• ภาควิชาศิลปอุตสาหกรรม คณะสถาปัตยกรรม สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง
7. ความต้องการของตลาดแรงงาน
ปัจจุบัน อาชีพนี้มีการจ้างแรงงานอยู่ในระดับปานกลาง ถึงมาก ส่วนมากบริษัทผู้ว่าจ้าง นักออกแบบบรรจุภัณฑ์ คือ บริษัทตัวแทนรับจ้างรับจัดโฆษณาประชาสัมพันธ์ บริษัทออกแบบผลิตภัณฑ์ หรือบริษัทที่ผู้ผลิตสินค้าเป็นจำนวนหลายประเภทและยี่ห้อ
นอกเหนือจากผู้ปฏิบัติอาชีพนี้ จะมีทางเลือกในการทำงานแบบอุตสาหกรรมแล้ว ปัจจุบันชุมชน ทั่วประเทศต่างหันมาทำการค้ากันระหว่างชุมชนทั่วประเทศโดยมีการส่งเสริมจากภาครัฐในการให้ ความช่วยเหลือให้ผลิตผลิตภัณฑ์สินค้าพื้นบ้านเพื่อการพาณิชย์และการส่งออก ดังนั้นสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ เหล่านั้นต่างต้องการภาชนะ และหีบห่อที่ร่วมสมัย และทันสมัยเพื่อสร้างภาพลักษณ์ของสินค้า และดึงดูด เรียกร้องความสนใจจากผู้ซี้อหาหรือผู้บริโภค เป็นโอกาสอีกช่องทางหนึ่ง ที่ผู้ออกแบบบรรจุภัณฑ์สามารถ มีทางเลือกในการประกอบอาชีพนอกเหนือจากการทำงานในสถานประกอบกิจการ และประกอบอาชีพอิสระในการผลิตสินค้าที่ระลึกและของขวัญ และส่วนมากผู้ประกอบอาชีพนี้สามารถสร้างสรรค์งานได้หลากหลายโดยไม่ยึดติดกับรูปแบบของงาน

8. ตัวอย่างบุคคลที่อยู่ในอาชีพดังกล่าว (เรื่องราวโดยย่อ)
คุณสักกฉัฐ ศิวะบวร

การศึกษา ปริญญาตรี คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ สาขาศิลปอุตสาหกรรม สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง
การทำงาน ประสบการณ์กว่า 16 ปี จากการเป็นผู้จัดการฝ่ายออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์ “แครี่บอย” ซึ่งส่งออกกว่า 147 ประเทศทั่วโลก ต้องดูแลทีมออกแบบกว่า 40 คน ทั้งการออกแบบ ผลิตภัณฑ์ บรรจุภัณฑ์ สิ่งพิมพ์ และโฆษณาทุกประเภท และเจรจาธุรกิจการออกแบบของบริษัทในประเทศต่างๆ ปัจจุบัน ดำรงตำแหน่ง กรรมการผู้จัดการบริษัท ไอบริก จำกัด

เกียรติประวัติและผลงาน
- ผู้ประสานความร่วมมือและสร้างความเข้าใจระหว่างผู้ประกอบการภาคเอกชนและภาครัฐ
- รางวัล “บุคคลตัวอย่างแห่งปี” ประจำปี 2546 สาขาพัฒนาเศรษฐกิจ
- ประกาศนียบัตรผู้ทำคุณประโยชน์ กรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์
- คณะกรรมการคัดเลือกและตัดสินการประกวดการออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์ทั้งภาครัฐ และเอกชน
- วิทยาการบรรยายด้านการออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์ ให้กับสถาบันการศึกษาและหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน

นางสาวเจษฎาภรณ์ ภูผาจง กล่าวว่า...

นางสาวเจษฎาภรณ์ ภูผาจง คณะศึกษาศาสตร์ สาขาการศึกษาปฐมวัย รหัสนิสิต 48010511524 Ec
1. ช่างเสริมสวย Beautician
2. ลักษณะของอาชีพ (การทำงาน)
2.1 ลักษณะของงานที่ทำ
ผู้ปฏิบัติงานอาชีพนี้ จะปฏิบัติหน้าที่ เสริมสวยครบวงจรตั้งแต่ การแต่งหน้า การแต่งผม การดูแลผิวพรรณ การนวด การทำเล็บ เพื่อส่งเสริมบุคลิกลักษณะของลูกค้าให้ดีขึ้น ดังต่อไปนี้ การดูแลผิวพรรณ โดยใช้น้ำยา ครีม หรือโคลนพิเศษ ทาและนวดเพื่อกระตุ้นการหมุนเวียนของโลหิตทำให้ผิวหน้าชุ่มชื่น ชะลอรอยย่น ขจัดริ้วรอย ด่างดำ บริเวณ หน้า คอ แขน ขา ตลอดจนร่างกาย ด้วยการนวดน้ำมัน อบไอน้ำ การแต่งหน้า จัดแต่งรูปคิ้ว บนใบหน้า เสริมความงาม ใช้เครื่องสำอางตกแต่ง ให้เข้ากับลักษณะงานที่ลูกค้าต้องไปปรากฏตัว การแต่งผม ดูแลตั้งแต่ให้คำแนะนำรูปทรงของผมที่เหมาะรับกับใบหน้า ตัด หวี ดัด ย้อมสีผม ระบายสีผม สระ นวดหนังศีรษะ อบไอน้ำ หรือหมัก และการเป่าผมให้แห้ง จากนั้นแต่งให้เข้ารูปทรงตามที่ลูกค้าต้องการ การแต่งเล็บ ให้การบริการตัดแต่งทำเล็บมือ เล็บเท้าให้สะอาด อาจทาสีตามสมัยนิยม และเคลือบเล็บ ให้แข็งแรง นอกจากนี้ยังต้องเตรียมจัดซื้อหา อุปกรณ์ เสริมความงามทุกชนิด ให้ได้คุณภาพมาตรฐาน
2.2 สภาพของการทำงาน
ผู้ปฏิบัติงานอาชีพนี้อาจทำงานในสถานที่ที่มีเครื่องปรับอากาศ การบริการงานให้ลูกค้าส่วนมากใช้เวลา 90% ยืนปฏิบัติงาน แต่ปัจจุบันการเสริมสวย บางอย่างผู้ให้บริการ สามารถนั่งปฏิบัติงานได้ การเปิดบริการส่วนมากจะไม่มีการปิดพักเที่ยง ดังนั้น ผู้ปฏิบัติงานอาจต้อง ผลัดเปลี่ยนกันไปรับประทานอาหารกลางวัน ช่างเสริมสวย อาจต้องมาทำงานตั้งแต่เช้า เพื่อบริการแก่ลูกค้า และทำงานจนถึงเย็นและค่ำ จนกว่าจะปิดบริการ ซึ่งอาจมีชั่วโมงทำงานวันละ 9 -10 ชั่วโมง อาจต้องทำงานวันเสาร์ วันอาทิตย์ และวันหยุด อุปกรณ์ที่ใช้ที่ปฏิบัติงาน มีทั้งน้ำ เครื่องใช้ไฟฟ้า ยาย้อมผม สเปรย์ฉีดผมที่มีส่วนประกอบของสารเคมี อาจมีฝุ่นละอองจากเส้นผม ช่างเสริมสวยอาจต้องใช้ผ้าปิดจมูกขณะปฏิบัติงาน ในกรณี ที่ผู้ประกอบอาชีพอิสระโดยใช้ที่พักอาศัยเป็นสถานที่ประกอบกิจการ อาจเปิดชั่วโมงบริการตามปริมาณ และความพอใจของผู้ให้บริการ และผู้มาใช้บริการ ซึ่งเฉลี่ยการทำงานของช่างเสริมสวย 1 คนอาจบริการให้ลูกค้าได้ 10 - 12 คน ซึ่งแล้วแต่การเข้ามาใช้บริการการเสริมสวยแบบใด ใช้เวลาในการเสริมสวยเท่าใด
ช่างเสริมสวยอาจถูกว่าจ้างให้ไปทำงานนอกสถานที่ เช่นเสริมสวยให้เจ้าสาว หรือสถานที่ถ่ายทำ ภาพยนตร์ เป็นต้น
3. ลักษณะของบุคคลที่เหมาะกับอาชีพ (ความต้องการด้านบุคคล)
ผู้ที่ประกอบอาชีพนี้ ไม่จำกัดวุฒิการศึกษา แต่ต้องมีฝีมือ และมีใจรักอาชีพบริการเสริม ความงามให้กับลูกค้า และควรมี คุณสมบัติขั้นต้นและการเตรียมตัวดังต่อไปนี้
1. เข้าอบรมหลักสูตรเสริมสวยระยะสั้นจากโรงเรียนเสริมสวยที่มีชื่อเสียง 6 เดือน
2. ควรเข้ารับการฝึกหาประสบการณ์ โดยการเป็นพนักงานหรือลูกจ้างในร้านเสริมสวยประมาณ 6 เดือน -1 ปี
3. เป็นคนอ่อนน้อม มีมารยาท รู้จักกาลเทศะ และรู้จักเอาใจผู้ใช้บริการ
4. เป็นคนขยัน มีความอดทน และมีความภูมิใจในอาชีพ
4. ระดับรายได้ และความก้าวหน้า รวมไปถึงสวัสดิการที่เกี่ยวข้องกับอาชีพ
4.1 ระดับรายได้
สำหรับผู้ปฏิบัติหน้าที่เป็นช่างเสริมสวยฝึกหัด หรือผู้ช่วยในร้านเสริมสวย อาจได้รับอัตราค่าตอบแทน เป็นเงินเดือน ประมาณเดือนละ 5,000 - 6,000 บาท
สำหรับช่างเสริมสวยที่มีความสามารถ และฝีมือดีเป็นที่พอใจของลูกค้า จะได้รับอัตราค่าตอบแทน เป็นรายหัว โดยแบ่งรายได้กับ เจ้าของกิจการ คือประมาณ 40: 60 หรือแล้วแต่เงื่อนไขการตกลงว่าจ้างกับ ผู้ว่าจ้าง นอกจากนี้ช่างที่มีฝีมือเป็นที่พอใจของลูกค้าอาจได้รับเงินพิเศษ จากลูกค้า ตั้งแต่ 20 - 100 บาท จนถึงครึ่งหนึ่งของค่าเสริมสวย หรือบางครั้งอาจมากกว่าค่าเสริมสวยซึ่งขึ้นอยู่แต่ละประเภทของกลุ่มลูกค้า
4.2 ความก้าวหน้าในอาชีพ
ผู้ประกอบอาชีพนี้ถ้ามีฝีมือ และพัฒนาฝีมือของตนเองตลอดเวลา อาจพัฒนาตนเองเป็น ช่างเสริมสวยประจำสตูดิโอ กองถ่ายภาพยนตร์ หรืองานแสดงแบบเสื้อ ซึ่งจะมีค่าตอบแทนค่อนข้างสูง ช่างเสริมสวยผู้มีความสามารถ ขยัน อุปนิสัยดี จะเป็นเจ้าของกิจการของตนเองได้ในเวลาอันรวดเร็ว โดยการเลือกหาทำเลในการเปิดร้านที่เหมาะสม หรืออาจเปิดร้านในหมู่บ้านและปฏิบัติงานเพียงคนเดียวก็ได้หรือเปิดโรงเรียนเสริมสวยของตนเอง ซึ่งมีช่างเสริมสวยที่ประสบความสำเร็จในอาชีพนี้ เป็นจำนวนมาก
ช่างเสริมสวยไม่ควรหยุดนิ่ง ควรหาเทคนิคใหม่เกี่ยวกับการเสริมสวยที่ทันสมัย มาบริการลูกค้า อย่างสม่ำเสมอ เพื่อจูงใจลูกค้าให้มาใช้บริการเป็นการประจำ
5. วิธีการเข้าสู่อาชีพ
สามารถเข้ารับการอบรมจากสถาบันเสริมสวยที่มีชื่อเสียง ซึ่งนักเรียนไม่จำกัดวุฒิการศึกษา ค่าเรียนหลักสูตรเสริมสวย ระยะเวลา 6 เดือน ประมาณ 12,000 บาท ซึ่งจะสอนทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ เช่น ม้วนผม ตัดผม ตกแต่งทรงผม รักษาเส้นผม นวดหน้า เมื่อสำเร็จแล้วจะได้รับประกาศนียบัตร และสามารถนำมาประกอบอาชีพในอาชีพ ช่างเสริมสวยได้ เช่น ช่างแต่งผม ช่างตัดผม และช่างแต่งหน้าได้
6. มหาวิทยาลัยหรือสถานศึกษาที่เปิดสอน
โรงเรียนและสถาบันเสริมสวยที่มีชื่อเสียงและกระทรวงศึกษาธิการรับรองวิทยาฐานะ ร้านเสริมสวยต่างๆ ทั่วประเทศ เช่น โรงเรียนเสริมสวยเกสรี การจัดประเภทมาตรฐานอาชีพ (ประเทศไทย) โรงเรียนเสริมสวยสถาพร โรงเรียนเสริมสวยเกศสุรีย์ สถาบันออกแบบทรงผมนานาชาติ ประเสริฐศักดิ์ โรงเรียนฝึกอาชีพ กรุงเทพมหานคร โรงเรียนเสริมสวยเกศยาม ฯลฯ
7. ความต้องการของตลาดแรงงาน
ตลาดแรงงานสำหรับผู้ที่สนใจประกอบอาชีพนี้ ยังเปิดกว้าง ร้านเสริมสวยแบ่งออกเป็นหลายประเภท และหลายระดับ เพื่อบริการกลุ่มเป้าหมายทุกกลุ่มตามสภาพเศรษฐกิจ เช่น กลุ่มวัยรุ่น กลุ่มวัยทำงาน กลุ่มผู้บริหารระดับสูง และกลุ่มแม่บ้าน นอกจากนี้ วัยรุ่นทั้งหญิงชายหันมาให้ความสนใจ ในเรื่องการตกแต่งแบบผมกันเป็นจำนวนมากขึ้น และเข้ารับการดัดแปลงกันเป็นประจำเพื่อให้ก้าวทันตามแฟชั่นจากต่างประเทศ ทัศนคติของผู้ใช้บริการด้านเสริมสวยในปัจจุบันค่อนข้างเปลี่ยนไปคือเข้ารับการบริการเป็นประจำอย่างสม่ำเสมอ และนอกจากใช้บริการตกแต่งความสวยงามของทรงผม ยังมารับบริการเสริมความงามต่างๆ ที่สถานเสริมสวยบริการไว้ครบวงจร เช่น นวดหน้า ขัดผิวพรรณด้วยสมุนไพร ด้วยกลิ่นหอม อาบน้ำนม อบไอน้ำ นวดตัว แต่งหน้า ให้กับเจ้าบ่าวเจ้าสาว ผู้รับปริญญา นอกจากนี้ ช่างผมสตรีสามารถตัดผม ให้สุภาพบุรุษได้ด้วย ในวัยรุ่นชายก็เข้ารับการตัดผมดูแลผมจากร้านเสริมสวยที่วัยรุ่นหญิงใช้บริการเช่นกัน ในทำนองเดียวกัน ช่างผมบุรุษได้ทำงานเป็นช่างตัดแต่งผมให้แก่ผู้ใช้บริการที่เป็นสตรีกันมากขึ้น และอยู่ในความนิยม ดังนั้น บุรุษก็สามารถทำงานเป็นช่างตัดแต่งผมสตรีได้ ปัจจุบันร้านเสริมสวยครบวงจรได้ขยายการเปิดในทำเลธุรกิจ เช่น ในอาคารสำนักงานให้เช่า และที่อยู่อาศัยคอนโดมีเนียม บริเวณโรงแรม บริเวณซูเปอร์มาร์เก็ต เพื่ออำนวยความสะดวกต่อผู้ที่ทำธุรกิจหรือพนักงานขององค์กรเหล่านั้น ทำให้ความต้องการทางด้านปริมาณของช่างเสริมสวย ขยายตัวมากขึ้น
โดยทั่วไปจำนวนช่างเสริมสวยที่ต้องการในร้านเสริมสวยขนาดกลาง อาจต้องการประมาณ 5 คน ขึ้นไป ส่วนในร้านขนาดใหญ่ อาจต้องการช่างมากกว่า 10 คนขึ้นไป และร้านเสริมสวยต่างต้องหา ช่างเสริมสวยมาหมุนเวียนทดแทน ผู้ออกไปทำงานให้แก่ร้านเสริมสวยแห่งอื่นหรือไปเปิดกิจการของตนเองตลอดเวลา แต่บางรายก็อาจหมุนเวียนกลับมาอีก เนื่องจากอาชีพช่างเสริมสวยเป็นอาชีพที่หางานทำได้ไม่ ยากนัก และถ้าหากมีฝีมือเป็นที่นิยมของลูกค้า ก็จะถูกชักชวนจากเจ้าของกิจการและได้รับค่าจ้างสูง แต่ช่างเสริมสวยต้องหมั่นหาความรู้เพิ่มเติมและติดตามความเปลี่ยนแปลงของแฟชั่นอยู่ตลอดเวลาเพื่อให้สามารถบริการได้ถูกใจลูกค้า นอกจากนี้ในโรงเรียนหรือสถาบันสอนเสริมสวยที่มีชื่อเสียง นักเรียนเสริมสวยที่เรียนสำเร็จแล้ว จะได้รับการจองตัวจากร้านเสริมสวย ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ไปเป็นพนักงานหรือช่างประจำร้าน ในกรณีที่ต้องการเปิดกิจการเสริมสวยด้วยตนเอง อาจใช้บ้านเป็นร้านเสริมสวย ซึ่งใช้งบประมาณ ตั้งแต่ 5 หมื่นบาทขึ้นไป ถ้าร้านเสริมสวยขนาดเล็กถึงกลางที่มีช่างเสริมสวยหลายคนอาจใช้งบประมาณในการ จัดร้านประมาณ 1 - 2 แสนบาท และสามารถได้เงินคุ้มทุนเร็วซึ่งขึ้นอยู่กับความขยัน การบริการ และฝีมือของช่างเสริมสวย
8.ตัวอย่างบุคคลที่อยู่ในอาชีพดังกล่าว
นางสาวสายสุดา เชื้อวิวัฒน์ ผู้บริหารงานด้านเสริมสวย บริษัทเกตุวดี-แกนดินี่ จำกัด เกตุวดี-แกนดินี่ เริ่มเปิด เมื่อปี 2520 ภายใต้การดำเนินงานของ นางวันทนีย์ เชื้อวิวัฒน์ และพาร์ทเนอร์ อาจารย์จีจี่ แกนดินี่ จากประเทศอิตาลี แบ่งการบริหารงานออกเป็น 2 รูปแบบ คือ การให้บริการด้านเสริมสวย และโรงเรียนสอนหลักสูตรการทำผม
ปัจจุบัน คุณเล็ก หรือนางสาวสายสุดา เป็นผู้บริหารงานด้านร้านเสริมสวย โดยใช้คอนเซ็ปต์ในการบริหารงานแบบดั้งเดิมของนางวันทนีย์ คือเน้นคุณภาพในการให้บริการ ฐานลูกค้าโดยส่วนใหญ่จะเป็นเจ้าของโรงงาน และลูกค้าเก่าที่รู้จักกันดีอยู่แล้ว แต่ก็มีลูกค้าใหม่เข้ามาเรื่อยๆ เกตุวดี-แกนดินี่ เป็นสถานบริการเสริมสวยควบคู่กับโรงเรียนสอนหลักสูตรทำผมตั้งอยู่ที่ย่านประตูน้ำแห่งเดียว โดยเปิดร้านเสริมสวยเปิดบริการย่านถนนสุขุมวิท โดยจับกลุ่มเป้าหมายที่เป็นครอบครัวเพื่อให้ทุกคนในครอบครัวสามารถใช้เวลาอยู่ด้วยกันได้มากขึ้น ด้วยการจัดเป็นมุมสำหรับเด็ก มุมนวดเท้า และร้านตัดผม อยู่ในสถานที่เดียวกัน เน้นความโปร่งสบายแบบบ้าน เป็นการสร้างความแตกต่างจากร้านทำผมทั่วไป ทั้งยังทำให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้มากขึ้น เป็นโอกาสที่จะทำให้ลูกค้าได้ทดลองเข้ามาใช้บริการในร้าน และลบภาพลักษณ์ในด้านราคาแพง ทำให้คนรู้จักร้านมากยิ่งขึ้น พร้อมกับจัดโปรโมชั่นลด 10% และเริ่มทำฐานข้อมูลของลูกค้าที่มาใช้บริการ คาดว่าปีหน้าจะทำการตลาดที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ยังได้ขยายไลน์สู่การบริการด้าน “แฮร์สปา” ที่นอกจากจะใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงเส้นผมแล้ว ยังให้บริการให้คำปรึกษา แนะนำ และรักษารากผม แก้ปัญหา เส้นผมเบา ผมบาง ปัญหารากผม ไปจนถึงการหมุนเวียนของเลือดที่ไปเลี้ยงเส้นผม โดยใช้สมุนไพรสูตรพิเศษ โดยนำการวิจัยของคณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชมาประยุกต์ ด้านสถาบันสอนเสริมสวยนานาชาติเกตุวดี-แกนดินี มีจุดเด่นของสถาบันคือ การนำเทคนิคการเสริมสวย มาจากอาจารย์จีจี่ แกนดินี่ ซึ่งเป็นผู้กำหนดเทรนด์ในอิตาลี่ จะนำเทรนด์จากต่างประเทศมาเผยแพร่ให้ทางสถาบัน ปีละ 2 ครั้ง ซึ่งทำให้ทางสถาบันมีเทคนิคใหม่ๆ เพิ่มเติมอยู่เสมอ และทำให้ลูกศิษย์ของเกตุวดีสามารถมาเรียนรู้เทคนิคใหม่ได้ตลอด ด้านการตลาด จะใช้วิธีการทำ barterกับรายการทีวีต่างๆ และรายการแฟชั่นโชว์ตามสถานที่ต่างๆ ทางสถาบันจะส่งพนักงานออกไปทำผมให้ฟรี โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย ซึ่งทางรายการต่างๆ ก็จะมีการลงโฆษณาร่วมกับรายการ หรือกิจกรรมต่างๆ ส่งผลให้คนรู้จักสถาบันเกตุวดี ลูกศิษย์บางส่วนมาจากการบอกต่อ หรือการไปมีชื่อเสียงของลูกศิษย์เก่า เช่น ชลาชล ป๊อก เชลซี ประกอบอาชีพอิสระได้ ค่าเล่าเรียนก็ไม่แพงนัก คือ 15,000 บาท ไม่รวมอุปกรณ์การเรียนการสอน ใช้ระยะเวลาประมาณ 8 เดือน ซึ่งจะมีการสอนปีละ 1 รุ่น ทางสถาบันเปิดมานาน 34 ปี ใช้ หลักสูตรที่ผ่านการรับรองจากกระทรวงศึกษาธิการ และนำเทรนด์แฟชั่นจากต่างประเทศ มาประยุกต์ในการเรียนการสอน รวมถึงส่งช่างเสริมสวยไปเรียนเทคนิคใหม่ๆ ยังต่างประเทศ เพื่อให้สามารถตามเทรนด์แฟชั่นใหม่ๆ ได้ ตลาดร้านเสริมสวยก็จะมีการเปิด ใหม่เรื่อยๆ ดังนั้นร้านเสริมสวยก็จะใช้การบริการเป็นจุดเด่นในการรักษาฐานลูกค้าให้มากที่สุด ซึ่งทางสถาบันมีลูกค้าเสริมสวยที่มีรายได้ระดับ B ขึ้นไป เนื่องจากมี่ชื่อเสียงมานาน และได้รับการยอมรับจากลูกค้าที่มาใช้บริการ

ketnapa กล่าวว่า...

นางสาวเกษนภา คำแสนราช รหัส 48010510606 สาขาสังคมศึกษา ชั้นปีที่ 4 คณะศึกษาศาสตร์

1. ชื่ออาชีพ : เกษตรกรปลูกพืชแบบผสมผสาน
2. ลักษณะของการทำงาน
ผู้ประกอบอาชีพนี้ อาจเป็นบุคคลคนเดียวกันกับผู้รับจ้างปฏิบัติงานในภาคเกษตรทั่วๆ ไป ในอดีตการปลูกพืชภาคการเกษตรส่วนใหญ่มักจะปลูกพืชเพียงชนิดเดียวหรือหลายชนิดแตกต่างกันไปตามสภาพภูมิประเทศของแต่ละภูมิภาค แต่ต่อมา เมื่อมีการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศอย่างกว้างขวางครอบคลุมทุกด้าน การปลูกพืชในภาคเกษตรได้มีการแปรเปลี่ยนจากการปลูกเพื่อใช้บริโภคในครัวเรือน หรือแลกเปลี่ยนระหว่างชุมชนใกล้เคียง มาสู่การปลูกหรือซื้อขายในประเทศและส่งออกมากยิ่งขึ้น แต่เนื่องจากเกษตรกรส่วนใหญ่ต้องประสบกับความเสียหายอันเนื่องมาจากภัยธรรมชาติ การทำลายของโรคแมลง การตกต่ำของราคาพืชผลเกษตร และค่าใช้จ่ายการผลิตเพิ่มต่อเนื่องทุกปี เกษตรกรส่วนหนึ่งจึงได้ริเริ่มหันมาปลูกพืชหลายชนิดในพื้นที่ของตนเอง จนปัจจุบันได้กลายมาเป็นรูปแบบการปลูกพืชที่ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง ทำให้ฐานะความเป็นอยู่ดีขึ้น เพราะมีรายได้จากการขายผลผลิตหมุนเวียนต่อเนื่องตลอดปี การปฏิบัติงานของผู้ประกอบอาชีพนี้ มีความหลากหลายแตกต่าง โดยบางพื้นที่ปลูกข้าวควบคู่ไปกับการปลูกพืชผักระยะสั้น บางพื้นที่ปลูกพืชควบคู่ไปกับการเลี้ยงสัตว์และการเลี้ยงปลา (ซึ่งเรียกรวมกันว่า เกษตรแบบผสมผสาน) และบางพื้นที่ปลูกพืชระยะสั้นกับไม้ผลไม้ยืนต้น การปลูกพืชแบบผสมผสานมีขบวนการปฏิบัติงานที่สำคัญ ดังนี้
1. การปรับเปลี่ยนสภาพพื้นที่จากสภาพเดิมที่ลุ่มๆ ดอนๆ และลาดเท มาเป็นการพิจารณาจัดแบ่งพื้นที่ให้มีความเหมาะสมแก่การปลูกพืชหลายชนิดตามต้องการ โดยยึดถือหลักการสำคัญคือ
-บริเวณที่ลุ่มน้ำท่วมขัง จะใช้สำหรับเก็บกักน้ำโดยการขุดแต่งเป็นบ่อน้ำ เพื่อเก็บน้ำไว้ใช้ในช่วงฤดูแล้ง
-บริเวณพื้นที่ต่ำต่อเนื่องจากบ่อน้ำ อาจใช้สำหรับปลูกข้าวเพื่อกินในครอบครัว หรือ ปลูกพืชผักระยะสั้นสำหรับบริโภคและขาย เป็นรายได้หมุนเวียนทุกเดือน
-บริเวณพื้นที่เนินหรือพื้นที่ราบสูง อาจใช้สำหรับปลูกไม้ผลหรือไม้ยืนต้นหลายชนิด เพื่อสร้างรายได้ประจำปีที่มั่นคง
2. การปรับปรุงดิน โดยการเพิ่มอินทรีย์วัตถุชนิดต่างๆ ลงไปในดินให้มีความเหมาะสมกับการปลูกพืชมากยิ่งขึ้น เช่น การใส่ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก และเศษหญ้า การหว่านปูนขาวเพื่อปรับสภาพความเป็นกรดเป็นด่างของดิน การกลับหน้าดินด้วยเครื่องมือขนาดเล็กเพื่อทำลายศัตรูพืชในดิน เป็นต้น
3. การจัดการน้ำที่ประหยัดและมีประสิทธิภาพ เนื่องจากน้ำที่เก็บกักไว้เป็นน้ำฝนที่มีปริมาณจำกัด ดังนั้น จึงต้องมีเครื่องมืออุปกรณ์ที่จำเป็นเพื่อช่วยให้การใช้น้ำอย่างประหยัดและรวดเร็วทันเวลา เช่น เครื่องยนต์สูบน้ำขนาดเล็ก ท่อส่งน้ำ ถังเก็บน้ำ ก๊อกหรือวาล์วปิดเปิดน้ำ เป็นต้น การจัดการน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการของพืช เป็นปัจจัยสำคัญต่อความสำเร็จในการปลูกพืชแบบผสมผสาน จึงต้องปรึกษาหรือเสาะหาความรู้จากนักวิชาการเกษตร หรือเกษตรกรที่ปลูกพืชชนิดเดียวกันในละแวกใกล้เคียง
4. การคัดเลือกและวางแผนการเพาะปลูก มีข้อควรคำนึงที่สำคัญในการคัดเลือกและวางแผน ดังนี้
-เลือกชนิดพืชที่มีความเหมาะสมกับสภาพพื้นที่ เช่น ทนทานต่อโรคแมลงรบกวน ทนทานต่อความแห้งแล้ง เติบโตเร็ว ผลผลิตสูง ดูแลรักษาง่าย เป็นต้น
-เลือกชนิดพืชจากความต้องการของพ่อค้า หรือผู้บริโภค โดยต้องคำนึงว่าพืชผลที่จะปลูกเพื่อขาย ควรมีตลาดรองรับ ซึ่งอยู่ในละแวกใกล้เคียงกับแหล่งเพาะปลูก และสามารถปลูกได้ในช่วงเวลาที่ผู้ซื้อหรือผู้บริโภคต้องการ
-เลือกพืชที่จะเพาะปลูกให้เหมาะสมกับสภาพภูมิประเทศ เช่น ปริมาณน้ำฝน การกระจายน้ำของวันฝนตกในรอบปี อุณหภูมิหนาวเย็นแต่ละช่วงเวลา ความชื้น กระแสลม ตลอดจนความสูงต่ำของภูมิประเทศ และต้องคำนึงถึงธรรมชาติและอากาศ เช่น ไม่ควรปลูกพืชเมืองหนาวในเขตร้อน หรือปลูกไม้ผลไม้ยืนต้นในพื้นที่ราบลุ่ม เป็นต้น
-เลือกพืชที่ปลูกตามความรู้และประสบการณ์ของตนเอง โดยเริ่มต้นจากการปลูกน้อยๆ แล้วขยาย
มากขึ้นเมื่อมีประสบผลสำเร็จ
5. การจัดการดูแลรักษาพืชผล ซึ่งได้แก่กิจกรรมการใส่ปุ๋ย การให้น้ำ การพรวนดิน การกำจัดวัชพืช และการป้องกันโรคแมลงรบกวน กิจกรรมเหล่านี้ ต้องปฏิบัติสม่ำเสมอเป็นประจำจนกว่าจะสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้
6. การเก็บเกี่ยวผลผลิต ได้แก่ การเก็บรวบรวมผลผลิต การคัดแยกสิ่งเจือปนเน่าเสีย การเก็บรักษาผลผลิตก่อนขาย การบรรจุหีบห่อเพื่อลำเลียงไปขายหรือบริโภค เป็นต้น
3. ลักษณะของบุคคลที่เหมาะกับอาชีพ
1. เพศหญิง หรือเพศชาย อายุประมาณ 18 ปีขึ้นไป
2. ระดับการศึกษาไม่จำกัด
3. มีความอดทน ขยัน ประหยัดและสามารถทำงานหนักกลางแดดได้
4. มีความมุ่งมั่นในการประกอบอาชีพเกษตร
5. มีประสบการณ์ในอาชีพเกษตรสาขาต่างๆ ไม่น้อยกว่า 5 ปี
6. มีที่ดินเป็นของตนเองไม่น้อยกว่า 5 ไร่
4. ระดับรายได้และความก้าวหน้า รวมไปถึงสวัสดิการที่เกี่ยวข้องกับอาชีพ
โอกาสความก้าวหน้าในอาชีพ
รายได้และความก้าวหน้าของผู้ปลูกพืชแบบผสมผสานจะมีระดับแตกต่างกันไปตามขนาดและชนิดของพืชที่ปลูก ตารางประมาณการรายได้เฉลี่ยในรอบปี (ไร่/บาท)

ชนิดพืช น้อยกว่า 5 ไร่/บาท 5 – 15 ไร่/บาท 1 5 – 20 ไร่/บาท
ข้าว – พืชไร่ 12,000 – 20,000 22,000 – 40,000 30,000 – 50,000
ข้าว – พืชผัก 15,000 – 30,000 35,000 – 80,000 75,000 – 100,000
พืชผัก – ไม้ผล 40,000 – 60,000 55,000 – 70,000 80,000 – 200,000
ไม้ผล - ไม้ยืนต้น 50,000 – 70,000 65,000 – 85,000 90,000 – 250,000

ประมาณการรายได้เฉลี่ยข้างต้นนี้อาจเปลี่ยนแปลงไปตามช่วงเวลาของการผลิตพืชในแต่ละปี ดังนั้นมาตรฐานของรายได้ของผู้ประกอบอาชีพนี้ จึงไม่สามารถกำหนดแน่นอนได้ การมีรายได้ดี นอกจากขึ้นอยู่กับความขยันขันแข็งของเกษตรกร ประสบการณ์ ความสามารถในการวางแผนการปฏิบัติงานและการคาดการณ์ต่างๆ ที่ถูกต้องแม่นยำ ตลอดจนขนาดพื้นที่ในการดำเนินงานแล้ว ยังขึ้นอยู่กับเงินลงทุนในช่วงแรกอีกด้วย
สภาพการจ้างงาน
เนื่องจากผู้ประกอบอาชีพนี้ มักจะเป็นบุคคลคนเดียวกันกับผู้รับจ้างปฏิบัติงานในภาคเกษตรทั่วๆ ไป ขณะเดียวกันผู้ประกอบอาชีพนี้ก็จะเป็นผู้ว่าจ้างในบางช่วงเวลาที่ต้องการแรงงานเพิ่มเติม โดยอัตราค่าจ้างแตกต่างกันไปตามประเภทกิจกรรมของแต่ละท้องที่ เช่น ภาคกลางเฉลี่ยวันละ 180 – 200 บาท ภาคตะวันออก วันละ 100 – 150 บาท ภาคใต้ วันละ 150 – 180 บาท ภาคเหนือ วันละ 90 – 120 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ วันละ 70 – 100 บาท เป็นต้น นอกจากนี้ก็ยังมีการจ้างงานในลักษณะการเหมาจ่าย ซึ่งอาจจะเป็นรายวัน หรือค่าจ้างต่อชิ้นงาน เช่น การเก็บผลผลิตอาจจ้างเป็นหน่วยกิโลกรัม การจ้างปรับสภาพพื้นที่มีการจ้างเป็นไร่ การกำจัดวัชพืชอาจจ้างเหมาต่อพื้นที่การเพาะปลูก เป็นต้น ซึ่งอัตราการจ้างเหมาไม่เท่ากันในแต่ละท้องที่ แต่จะยึดถือราคาค่าจ้างบริเวณใกล้เคียงเป็นหลัก
ชั่วโมงการทำงานของผู้ประกอบอาชีพนี้ อาจจะมากกว่าอาชีพอื่นๆ เพราะต้องเริ่มงานในช่วงเช้าตรู่ก่อนอากาศจะร้อนมากขึ้น ผู้ที่เป็นเจ้าของกิจการ จะปฏิบัติงานตลอดวัน และเลิกงานหลังผู้รับจ้างการทำงานอาจไม่มีวันหยุดสัปดาห์หรือวันหยุดนักขัตฤกษ์ ยกเว้นเฉพาะช่วงเทศกาลงานบุญประเพณีต่างๆ ส่วนผู้รับจ้างจะปฏิบัติงานวันละประมาณ 8 – 9 ชั่วโมง โดยเริ่มงาน 07.00 – 17.00 น. และมีช่วงพัก 2 – 3 ครั้งในแต่ละวัน การรับจ้างงานเหมารายชิ้นใช้เวลาที่เหมาะสม ขึ้นอยู่กับขีดความสามารถของผู้รับจ้างและความพอใจของผู้ว่าจ้าง
สภาพการทำงาน
ผู้ประกอบอาชีพนี้ ต้องปฏิบัติงานกลางแจ้ง ตลอดวัน โดยเฉพาะพื้นที่ที่ปลูกพืชผักหรือไม้ล้มลุก ส่วนพื้นที่ไม้ผลก็จะมีร่มเงาต้นไม้ช่วยให้สภาพการทำงานร่มรื่นเย็นสบาย พื้นที่เพาะปลูกพืชแบบผสมผสานทุกแห่ง จะมีศาลาเล็กๆ ไว้สำหรับพักผ่อนช่วงในเวลาเที่ยงวัน หรือใช้สำหรับเก็บอุปกรณ์เครื่องมือต่างๆ รวมทั้งเป็นสถานที่พักอาศัยชั่วคราวด้วย
อาชีพที่เกี่ยวเนื่อง
เมื่อผู้ประกอบอาชีพนี้ มีประสบการณ์และความรู้ด้านการเกษตรมากขึ้น สามารถขยายกิจการใหญ่ขึ้นโดยสามารถเพิ่มกิจกรรมด้านปศุสัตว์และการประมง เช่น การเลี้ยงไก่ไข่ ไก่เนื้อ เป็ด ควบคู่ไปกับการเลี้ยงปลา ซึ่งจะเพิ่มรายได้แก่ครอบครัวมากขึ้นเป็น 2 เท่า ของการเพาะปลูกพืชเพียงอย่างเดียว นอกจากนี้ ผลผลิตจากพืชบางชนิดสามารถนำไปแปรรูปเพื่อเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกรอีกทางหนึ่งด้วย
5. วิธีการเข้าสู่อาชีพ
ผู้ที่สนใจในอาชีพนี้ ควรเตรียมความพร้อมดังนี้
เป็นผู้ที่มีจิตใจรักในอาชีพการเกษตรมีความขยันหมั่นเพียร โดยเริ่มต้นจากการศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับการเพาะปลูกพืชได้จากเอกสาร คำแนะนำ การเยี่ยมชมพื้นที่เพาะปลูกของผู้อื่น ตลอดจนการเข้ารับการฝึกอบรมความรู้เฉพาะเรื่องจากสถาบันการศึกษาในพื้นที่ หรือจากหน่วยงานราชการ เช่น กรมส่งเสริมการเกษตร กรมวิชาการเกษตร กรมพัฒนาที่ดิน มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาลัยเกษตรกรรมและเทคโนโลยี ฯลฯ รวมทั้งเริ่มทดลองปฏิบัติด้วยตนเอง ในพื้นที่เล็กๆ ก่อนขยายจำนวนมากขึ้นเมื่อมีความชำนาญและประสบผลสำเร็จ
6. มหาวิทยาลัยหรือสถานที่เปิดสอน
- มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
- เทคโนโลยี สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย
- วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยี กรมอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ
- กรมวิชาการเกษตร
- คลินิกเกษตรเคลื่อนที่ในพระราชานุเคราะห์
- ศูนย์ฝึกอบรมการพัฒนาการเกษตรนานาชาติ ขอนแก่น
- กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
7. ความต้องการของตลาดแรงงานโอกาสในการมีงานทำ
เนื่องจากอาชีพนี้ เป็นอาชีพอิสระ และประชากรทั่วโลกยังคงต้องบริโภคอาหารทุกชนิดจากภาคเกษตร ดังนั้น ผู้ประสงค์จะประกอบอาชีพนี้ จึงสามารถจะเริ่มต้นด้วยตนเองได้ตลอดเวลา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อาชีพนี้ เป็นสิ่งที่รัฐบาลทุกยุคทุกสมัยต่างสนับสนุนอย่างต่อเนื่องตลอดมา เช่น การจัดทำโครงการที่ดินเพื่อให้ผู้มีรายได้น้อยได้มีที่ดินทำกินเป็นของตนเอง การก่อสร้าง แหล่งน้ำและถนนชนบทต่างๆ การอำนวยสินเชื่อของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ เพื่อเปิดโอกาสให้กู้ยืมเงินอัตราดอกเบี้ยต่ำสำหรับการลงทุนในภาคการเกษตร การประกันราคารับซื้อพืชผล หรือการจัดสัปดาห์อาหารไทย เพื่อช่วยขยายช่องทางการจำหน่ายพืชผล เป็นต้น
ผู้ที่สนใจในอาชีพนี้ มีโอกาสที่จะสร้างฐานะครอบครัวได้อย่างมั่นคงยั่งยืน หากมีความอดทน ขยัน และหมั่นศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมตลอดเวลา เนื่องจากสินค้าเกษตรที่มีคุณภาพยังเป็นที่ต้องการของผู้บริโภคและผู้ประกอบกิจการส่งออกพืชผลเกษตรอีกมาก
8. ตัวอย่างบุคคลที่อยู่ในอาชีพเกษตรแบบผสมผสาน
พี หึกขุนทด อายุ 62 ปี ที่ใคร ๆ เรียก “ลุงพี” เกษตรกรจากบ้านสองศรีเจริญ ต.หนองหว้า อ.เขาฉกรรจ์ จ.สระแก้ว ลุงพีนั้นอดีตเป็นคนเมืองนนท์ แต่ภายหลังเลือกชีวิตบั้นปลายของตนเองโดยอยู่กับธรรมชาติอันสงบร่มรื่น ตามแนวพระราชดำริเศรษฐกิจพอเพียง บนที่ดิน 80 ไร่ ที่ จ.สระแก้ว
ลุงพีบอกว่า มาใช้ชีวิตที่นี่เพียงลำพังได้ราว 5 ปีแล้ว โดยคนในครอบครัวยังอาศัยอยู่ที่ จ.นนทบุรี ตามปกติ แต่ลูก ๆ ก็จะมาเยี่ยมสม่ำเสมอ โดยที่ดินผืนที่มาอยู่นี้ได้มาด้วยน้ำพักน้ำแรงของตนเองเมื่อครั้งเป็นพนักงานบริษัทปูนซิเมนต์ไทย ซึ่งเคยทำงานอยู่ที่นั่นร่วม 30 ปี
“เมื่อเกษียณก่อนอายุ ได้เงินมากว่า 2 ล้านบาท ก็เก็บไว้สำหรับลูกส่วนหนึ่ง และอีกส่วนเป็นเงินออมส่วนตัวในธนาคารไว้ใช้ยามแก่เฒ่า นับตั้งแต่ 5 ปีที่ผ่านมายังไม่ได้แตะต้องเงินก้อนนั้นเลย”
หลังไปร่วมอบรมเรื่อง “เศรษฐกิจพอเพียง” ที่ศูนย์ศิลปาชีพ บางไทร ลุงพีก็ได้แนวคิด ได้ความรู้และนำมาใช้กับที่ดินของตนเอง ซึ่งเป็นที่ดินที่ติดกับฝายน้ำล้นสองศรีเจริญ ที่นับเป็นทำเลที่ดีพอสมควร
เริ่มต้นจากใช้ที่ดินทำนา 10 ไร่ และปลูกไม้ต่าง ๆ อาทิ ไผ่ ขนุน กระท้อน มะม่วง พุทรา ฝรั่ง มะขามเทศ และผักสวนครัวสารพัด เช่น ผักบุ้ง ผักกาด นอกจากนี้ยังแบ่งที่ดินทำกินให้กับคนยากไร้ที่มาพึ่งพาอีก 7 ครอบครัว แถมยังออกทุนให้กับบางครอบครัวด้วย ส่วนผลผลิตก็มีสัญญาใจว่าถ้าครอบครัวทำได้ 30 ถัง จะแบ่งให้ลุงพี 10 ถัง หรือหากใครได้ 60 ถัง ลุงพีจะได้ 20 ถัง และหากเป็นหน้าแล้งก็จะปลูกผักไปด้วย
ผักและผลไม้มีกินกันได้ทั้งปี และยังได้มีการแบ่งที่เพาะเลี้ยงกบ-ปลาดุก ซึ่งลุงพีบอกว่า “ทุกวันนี้เรื่องกินไม่ต้องใช้เงินสักบาท” ส่วนเรื่องของใช้ส่วนตัวก็ใช้จ่ายเป็นเงินไม่มาก ไปอบรมที่ไหนเขาให้เสื้อผ้าของขวัญลุงพีก็นำมาใช้ กลุ่มแม่บ้านต่าง ๆ ก็ทำแชมพู ยาสีฟัน น้ำยาล้างจาน น้ำยาซักผ้า มาให้ใช้
“การทำงานเกษตรแบบผสมผสานตรงนี้ เราทำเกษตรอินทรีย์ด้วย โดยทำปุ๋ยอินทรีย์จากหอยเชอรี่เอง ส่วนยาไล่แมลงก็ใช้น้ำส้มควันไม้ ซึ่งทำเองทั้งหมด ผลผลิตจากสวนของเราก็งดงาม ไม้ผลต่าง ๆ เราก็แจกเด็กแถวนี้กินฟรี เพราะไม่อยากให้เขามาลักกินขโมยกิน และส่วนตัวเคยเพาะหน่อไม้ฝรั่งส่งนอก เคยได้เงินวันละ 2,800 บาทมาแล้ว”
ทำเกษตรผสมผสาน โดยใช้เกษตรอินทรีย์ในช่วงแรก ๆ คนที่นี่มองว่าลุงพีบ้า เพราะส่วนใหญ่จะปลูกพืชเชิงเดี่ยวกัน อย่างมันสำปะหลัง ข้าวโพด โดยใช้สารเคมีเร่งการเจริญเติบโต ไล่แมลง และช่วงหลัง ๆ มีการปลูกยูคาลิปตัสซึ่งทำให้ดินแห้งแล้งมาก แต่ก็ไม่ได้มีใครสนใจ ต่างคนต่างทำกันไป
ลุงพีเล่าต่อไปว่า ลูกสาวตนเองเมื่อมาเยี่ยมทุกครั้งก็จะร้องไห้ เพราะเห็นพ่ออายุมากแล้ว ไม่อยากให้ทำงานหนักอีก และชักชวนกลับเมืองนนท์หลายครั้ง แต่ไม่เคยสำเร็จ เพราะคิดว่ากลับไปก็ไม่มีงานทำ และรักสวน รักอากาศที่นี่ และงานของตนเองที่ทำอยู่ก็ประสบความสำเร็จ และมีความสุขดี ทุกวันนี้ก็มีงานวิทยากร งานชุมชน งานช่วยชาวบ้านต่าง ๆ ที่มีเข้ามาแบบไม่ขาดระยะ ซึ่งก็ทำให้ได้รู้จักคน มากมาย
ทุกวันนี้ลุงพีเป็น 1 ในคณะกรรมการกองทุนผู้สูงอายุของศูนย์ฝึกเกษตรกรรมธรรมชาติ จ.สระแก้ว (บ้านดิน) ซึ่งเปิดอบรมเกษตรกรเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงไปแล้ว 9 รุ่น หรือประมาณ 500 คน โดยลุงพีเป็น 1 ในวิทยากรอบรมหลักสูตร “การพัฒนาตนเองและเกษตรอินทรีย์” และปี 2551 นี้มีโครงการจะอบรมให้เกษตรกรอีกนับพันคน รวมถึงโครงการปลูกป่าที่โรงเรียนเขาน้อย เพื่อเป็นการสร้างนิสัยให้เด็กรักต้นไม้ด้วย
ปราชญ์ชุมชนรายนี้บอกว่า เกษตรผสมผสาน เกษตรอินทรีย์ เป็นการทำตามแนวพระราชดำริ เศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งสามารถสร้างความมั่นคงให้กับชีวิตในระยะยาว และยั่งยืน ขอให้เกษตรกรอย่าใจร้อน อย่าอยากรวยเร็ว ซึ่งจะสร้างผลเสียหายให้กับธรรมชาติมากกว่า และให้เชื่อมั่นได้เลยว่าเศรษฐกิจพอเพียงนั้นจะเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม ลดโลกร้อนในระยะยาวได้อีกด้วย มาเริ่มต้นในวันนี้ก็ยังไม่สายเกินไป
“ภาคภูมิใจมากที่จะเป็นส่วนหนึ่งที่จะปลูกจิตสำนึกให้คนในชุมชนรักบ้านเกิด และนักศึกษารักธรรมชาติสิ่งแวดล้อม ซึ่งก็จะทำหน้าที่เป็นวิทยากรประจำฐานด้วย และจะพยายามสร้างคนในชุมชนที่เขาเป็นปราชญ์อยู่แล้ว ให้สามารถทำหน้าที่เป็นวิทยากรได้ด้วย” ...ลุงพี กล่าวถึงงานที่จะร่วมทำกับ “โพธิวิชชาลัย” ซึ่งบ้านของลุงพีนั้นเป็น 1 ในฐานปฏิบัติการเรียนรู้

นิภาวรรณ กล่าวว่า...

นางสาวนิภาวรรณ แก้วดี 48010511549 คณะศึกษาศาสตร์ สาขาการศึกษาปฐมวัย
ชั้นปีที่4
1.ชื่ออาชีพ นักวิเคราะห์การตลาด Marketer, Marketing Analyst
2.ลักษณะของอาชีพ
คาดการณ์ สถานการณ์ มองและวิเคราะห์ก่อนการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ขององค์กร และการแข่งขันของคู่แข่งขัน และวางกลยุทธ์ แผนการตลาดของสินค้าในระดับชุมชนท้องถิ่น ให้ผสมผสานกับระดับโลกได้ ต้องมีวิสัยทัศน์ ในการตลาดศตวรรษที่ 21 และในเวลาเดียวกันก็ต้องหาทางบริการถึงกลุ่มเป้าหมายลูกค้าอย่างทั่วถึง โดยการใช้เครื่องมือ และ เทคโนโลยีที่มีอยู่ช่วยในการส่งข้อมูลข่าวสาร นักการตลาดในระดับต้นจะทำงานในตำแหน่งต่างๆ ในฝ่ายการตลาดเพื่อเรียนรู้ถึงภาพตลาดโดยรวมเช่น วางแผนกิจกรรมส่งเสริมการขาย, ประชาสัมพันธ์สู่กลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ส่งจดหมายหรือ วารสารการขาย หรือจัดทำไดเร็คเมล์สู่กลุ่มลูกค้า ทั้งขายตรงและออกร้านขายในงานเทศกาลต่างๆ จัดนิทรรศการส่งเสริมการแสดงสินค้า ทำการส่งเสริมสินค้าร่วมกับ ผู้ค้าปลีก ห้างสรรพสินค้า จัดข้อมูลรวบรวมรายชื่อลูกค้า ทำหน้าที่ลูกค้าสัมพันธ์เก็บข้อมูลในตลาดและประสานงานกับฝ่ายวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ เพื่อนำข้อมูลมาวิเคราะห์ก่อนสรุปรายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบ
นักการตลาด ต้องรู้ว่า ปัจจัยอะไรที่ผู้บริโภคใช้ในการตัดสินใจเลือกซื้อสินค้า เพื่อจะได้นำข้อมูลเหล่านี้มาวิเคราะห์และช่วยประกอบการวางแผนกลยุทธ์การตลาดให้ดีและรัดกุมยิ่งขึ้น ต้องวิเคราะห์ตลาดเกี่ยวกับความจำเป็นและความต้องการขอผู้บริโภคและพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป
ปัจจุบันองค์กรธุรกิจต่างๆ ต่างร่วมมือกันเป็นพันธมิตรทางธุรกิจอย่างไม่มีขีดจำกัดระยะทางและเวลาการผลิตและสั่งสินค้าย่นเข้าด้วยความเร็วของอินเทอร์เน็ต ดังนั้น อุปสงค์และอุปทานที่ซับซ้อนของตลาดและผู้บริโภค โดยจะใช้กระบวนการขั้นตอนในการวางแผนการตลาด ดังนี้
1. วางแผนการตลาด ทั้งกลยุทธ์ระยะสั้นและระยะยาว
2. วิเคราะห์และวิจัย หากลุ่มเป้าหมายเพื่อคาดการณ์เกี่ยวกับการผลิตสินค้า กระบวนการผลิต งบประมาณที่ต้องใช้ และผลกำไรที่ควรจะได้
3. ปรับแผนงานและเสนอขออนุมัติจากผู้บริหาร
4. วางแผนกิจกรรมการขายและปฏิบัติตามแผนงานการขายในด้านราคา วิธีการขาย ช่องทาง การขาย และการใช้สื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์
5. บริหารการขายและการสั่งซื้อจากลูกค้า
6. ควบคุมดูแลการนำแผนกลยุทธ์ไปปฏิบัติ เพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมาย ที่ตั้งไว้
7. ติดตามประเมินผลจากข้อมูลรายงานประเมินผล ทางคอมพิวเตอร์
8. ออกตรวจตลาดเพื่อทำการวิจัย เพื่อพร้อมปรับแผนกลยุทธ์และกลวิธีในการปฏิบัติงานได้ทันท่วงทีและเตรียมการรณรงค์โดยการโฆษณาสินค้าอย่างต่อเนื่อง
9. วางแผนและทำการเจาะตลาด (Market Penetration) เพื่อเพิ่มยอดขายของผลิตภัณฑ์ที่อยู่ในตลาดปัจจุบัน หรือชักชวนลูกค้าของคู่แข่งขันให้มาเป็นลูกค้าของตน หรือหาทางให้ผู้ที่ยังไม่ได้เป็นลูกค้ามาทดลองใช้ผลิตภัณฑ์ของตน
3.คุณลักษณะของผู้ประกอบอาชีพ
1. สำเร็จการศึกษาในระดับปริญญาตรีทางด้านการบริหารธุรกิจ สาขาการตลาด เศรษฐศาสตร์ หรือสาขาที่เกี่ยวข้อง
2. มีความสนใจ ในการประเมินสถานการณ์ ทั้งของตนเอง และสถานการณ์ภายนอก
3. เข้าใจธุรกิจการตลาดและสินค้าในระดับโลก ภูมิภาค และประเทศอย่างถ่องแท้
4. เป็นนักสังเกตการสถานการณ์ วิเคราะห์สถานการณ์ ต้องเข้าใจกฎระเบียบการค้าระหว่างประเทศ
5. ต้องรอบรู้ในสินค้าของคู่แข่งขัน
6. มีความเป็นผู้นำและกล้าตัดสินใจในการ แก้ปัญหา
7. รู้จักการใช้เทคโนโลยีข้อมูลข่าวสารการใช้คอมพิวเตอร์ ในการทำงาน ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับนักการตลาดรุ่นใหม่
8. จัดสรรทรัพยาบุคลากรให้เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้
9. สามารถเดินทางออกตรวจตลาดในต่างจังหวัด และต่างประเทศได้
10. ต้องใช้ภาษาอังกฤษได้ดี
11. กระตือรือร้นมีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดีประสานงานกับหน่วยงานที่ต้องการ การสนับสนุนแผนการตลาด
ผู้ที่จะประกอบอาชีพนี้ ควรเตรียมความพร้อมดังนี้: สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลายหรือเทียบเท่าตามหลักสูตรกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อเข้าสมัครสอบคัดเลือกศึกษาต่อในมหาวิทยาลัย ในคณะบริหารธุรกิจ สาขาวิชาการตลาด คณะนิเทศศาสตร์ คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี หลักสูตรปริญญาตรี ใช้เวลาศึกษาตามปกติ 4 ปี
4.ระดับรายได้และความก้าวหน้ารวมถึงสวัสดิ์การที่เกี่ยวกับอาชีพ
สำหรับผู้เพิ่งก้าวเข้าสู่อาชีพนักการตลาดจะทำงานอยู่ในส่วนส่งเสริมการตลาดการขาย กิจกรรมส่งเสริมการตลาด ตรวจตลาดเพื่อทำการวิจัย เงินเดือนขั้นต่ำที่ได้รับประมาณ 7,500 บาท โดยมีค่ายานพาหนะให้ ทั้งนี้แล้วแต่เงื่อนไขสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ มีสวัสดิการให้ตามกฎหมายแรงงาน ส่วนโบนัส และผลประโยชน์อื่นๆ ขึ้นอยู่กับผลประกอบการ
สำหรับนักการตลาดที่มีความสามารถในการวิเคราะห์การตลาดและวางแผนการตลาดขององค์กรได้อย่างชำนาญ ค่าตอบแทนจะอยู่ในระดับเดียวกับผู้บริหารระดับสูง
สภาพการทำงาน
การวางแผนการตลาดต้องใช้ การออกตรวจตลาดทั่วประเทศ การออกเก็บข้อมูลสำหรับทำการวิจัย และการเข้าถึงลูกค้ารายบุคคล และใช้เทคโนโลยีข้อมูลข่าวสารมาผสมผสานกัน ในการวางแผนการตลาด และการลดต้นทุนการผลิตลักษณะการทำงานจะต้องทำงานกันเป็นทีมใหญ่ร่วมกับฝ่ายบัญชี ฝ่ายผลิต ฝ่ายจัดจำหน่าย ฝ่ายขาย ฝ่ายประชาสัมพันธ์ ปัจจุบันองค์กรมีลักษณะความเป็นนานาชาติมากขึ้นในการวางแผนอาจมีการสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษในที่ทำงาน
นักวิเคราะห์การตลาดต้องบริหารเวลาเป็น เพื่อติดตามสถานการณ์ทางการตลาด อย่างสม่ำเสมออาจต้องทำงานในวันเสาร์ วันอาทิตย์ หรือวันหยุด ในการตรวจตลาดและการเจาะตลาดใหม่
โอกาสความก้าวหน้าในอาชีพ
นักการตลาดในระดับต้นต้องสั่งสมเรียนรู้ประสบการณ์ในหน้าที่ต่างๆ ของแผนกอย่างครบถ้วน ซึ่งต้องรู้และเข้าใจธรรมชาติของตลาดอุปโภคและบริโภค แล้วยังต้องรู้จักธรรมชาติผลิตภัณฑ์สินค้าแต่ละตัว ขององค์กร ต้องมีความคิดในการผลิตสินค้าที่เป็นนวัตกรรม ซึ่งอาจใช้เวลาเรียนรู้ประมาณ 2 - 3 ปี จากนั้นควรเข้ารับการอบรมการทำแผนทางการตลาด และแผนธุรกิจ เพื่อให้มีความรู้ขึ้นเป็นระดับผู้ช่วยผู้จัดการหรือผู้จัดการของแต่ละฝ่าย การเป็นผู้จัดการของทางการตลาดของแผนก หรือเป็นผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดขององค์กรได้ ซึ่งอาจใช้เวลาประมาณ 5 -10 ปี นักการตลาดที่มีความสามารถจะได้รับความก้าวหน้าเป็นกรรมการผู้จัดการในองค์กรธุรกิจที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือหน่วยงานที่มีแม่ข่ายอยู่ในต่างประเทศ
5.วิธีการเข้าสู่อาชีพ(การศึกษา,สาขาที่เกี่ยวข้อง,วิชา,วุฒิการศึกษา)
ผู้ที่จะประกอบอาชีพนี้ ควรเตรียมความพร้อมดังนี้: สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลายหรือเทียบเท่าตามหลักสูตรกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อเข้าสมัครสอบคัดเลือกศึกษาต่อในมหาวิทยาลัย ในคณะบริหารธุรกิจ สาขาวิชาการตลาด คณะนิเทศศาสตร์ คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี หลักสูตรปริญญาตรี ใช้เวลาศึกษาตามปกติ 4 ปี
6.มหาวิทยาลัยหรือสถานศึกษาที่เปิดสอน
มหาวิทยาลัยรัฐบาล และเอกชน ที่เปิดสอนคณะบริหารธุรกิจ สาขาวิชาการตลาด คณะนิเทศศาสตร์ คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี เช่น
มหาวิทยาลัยศรีปทุม มหาวิทยาลัยรามคำแหง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยธุรกิจ-บัณฑิต มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา
7.ความต้องการของตลาดแรงงาน
แนวโน้มตลาดปัจจุบันจะเป็นของผู้ซื้อหรือบริโภคโดยแท้จริง เพื่อสนองความต้องการของผู้บริโภค นักการตลาดต้องมองหาตลาดเฉพาะ (Niche Market) เพื่อเจาะเข้าทุกกลุ่ม เพื่อนำสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ ไปสู่ตลาดพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ หรือ อี-คอมเมิร์ซ โดยไม่ลืมภูมิปัญญาไทยที่จะสร้างผลิตภัณฑ์ตราสินค้าไทยให้เป็นที่รู้จักแพร่หลายในระดับภูมิภาคและโลก
ขณะนี้การตลาดของโลกส่วนหนึ่งหรือมากกว่าครึ่งหนึ่ง ซื้อขายกันอยู่บนอินเตอร์เน็ต ทำให้นักการตลาดต้องวิเคราะห์การตลาดจากข้อมูลการประมวลผลข้อมูลที่ออกมาจากทั้งอินเตอร์เน็ตและคอมพิวเตอร์ของพนักงานขาย (ที่แสดงรหัสของรายการสินค้า ในแต่ละวัน แต่ละสัปดาห์ และทุกๆ เดือน) ซึ่งพนักงานขายสินค้าจะสั่งสินค้าด้วยระบบเทคโนโลยีอันทันสมัยจากคลังสินค้าที่ใกล้ที่สุดไปส่งให้ลูกค้า ซึ่งอาจอยู่ในบริเวณเดียวกัน หรือข้ามทวีป ดังนั้นต้องคำนึงถึงการให้ข้อมูลของสินค้าให้ผู้บริโภคทราบมากที่สุดเท่าที่จะมากได้ คุณภาพต้องมาก่อนและราคาต้องย่อมเยาว์ เพราะลูกค้าสามารถทราบข้อมูลต่างๆ เหล่านี้จากโทรศัพท์มือถือพกพา นอกจากนี้ นักวิเคราะห์การตลาดควรจะตระหนักดีว่าการวิเคราะห์วางแผนออกสินค้าตัวใหม่ๆ นั้น จะมีสมาคมคุ้มครองผู้บริโภคเข้ามาดูแลผลประโยชน์ของผู้บริโภค อีกทั้งกลุ่มองค์กร เอ็นจีโอต่างๆ ทั้งใน และนอกประเทศ ที่ตั้งเครือข่ายประสานงานเพื่อแลกเปลี่ยนรายงานข้อมูลในกรณีที่ผู้บริโภคถูกเอาเปรียบ และเสียประโยชน์จากการซื้อผลิตภัณฑ์ต่างๆ นอกจากนี้ ยังมีเงื่อนไขทางการค้าที่กำหนดโดยองค์การระหว่างประเทศ และประเทศคู่ค้า เช่น องค์การการค้าโลก (WTO) และการตัดต่อพันธุกรรมพืช เป็นต้น
เนื่องจากการแข่งขันทางการค้าทั้งภายในและต่างประเทศมีความรุนแรงมากขึ้นนักวิเคราะห์ การตลาดที่มีความสามารถและมีประสบการณ์ยังเป็นที่ต้องการขององค์กรธุรกิจ
ปัจจุบัน เจ้าหน้าที่ส่งเสริมการตลาด เจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาดที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกลและสามารถใช้ทางด่วนข้อมูลข่าวสารได้ จะเป็นที่ต้องการของตลาดแรงงานอย่างมาก ในยุคของการก้าวเข้าสู่ธุรกิจ พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
8.ตัวอย่างบุคคลที่อยู่ในอาชีพดังกล่าว
ศิวัตร เชาวรียวงษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็มอินเตอร์แอคชั่น เมื่อกล่าวถึงธุรกิจโฆษณาออนไลน์ในประเทศไทยต้องถือว่า มีเอเจนซี่โฆษณาไม่กี่รายที่โฟกัสโดยตรงเฉพาะธุรกิจนี้ ดังนั้น ไม่นานมานี้ บริษัทเอเจนซี่ที่ชื่อ เอ็มอินเตอร์แอคชั่น จึงถูกเปิดตัวขึ้น และสร้างความตื่นตัวให้กับวงการไม่มากก็น้อยและในฐานะที่ผู้บริหารของบริษัทที่กล่าวมานี้ เคยคลุกคลีอยู่ในแวดวงธุรกิจเว็บไซต์และโมบายแอพลิเคชันมาก่อนที่จะหันมาสวมหมวกนักการตลาดในวันนี้ การได้พูดคุยสนทนากันย่อมเป็นการเปิดมุมมองใหม่ๆ กับทั้งวงการโฆษณาออนไลน์ไทย รวมทั้งวงการเว็บไซต์และโมบายแอพลิเคชัน

นางสาวนิภาพร สินทร กล่าวว่า...

นางสาวนิภาพร สินทร รหัส 48010511248 สาขาภาษาไทย นิสิตชั้นปีที่ 4 คณะศึกษาศาสตร์
บทความเรื่อง อาชีพนักสังคมสงเคราะห์

1.ชื่ออาชีพ
อาชีพนักสังคมสงเคราะห์
2.ลักษณะของอาชีพ(การทำงาน)
เป็นอาชีพที่ต้องใช้ความรู้เกี่ยวกับมนุษย์ ความรู้เกี่ยวกับสังคม ความรู้เกี่ยวกับวิธีการให้ความช่วยเหลือซึ่งแตกต่างกันออกไปตามประเภทบุคคล กลุ่มชน และชุมชนที่ได้รับความช่วยเหลือนักสังคมสงเคราะห์ต้องเข้าใจในปรัชญาของการสังคมสงเคราะห์ คือ สงเคราะห์เพื่อให้ผู้รับการสงเคราะห์ช่วยตนเองได้ในภายหลัง
3.ลักษณะของบุคคลที่เหมาะสมกับอาชีพ(ความต้องการด้านบุคลากร)
ผู้สนใจประกอบอาชีพนี้ จะต้องมีคุณสมบัติทั่วไป ดังนี้
1. สำเร็จการศึกษาปริญญาตรีคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ หรือ คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ และสวัสดิการสังคม
2. มีใจรัก ชอบช่วยเหลือ เพราะงานสังคมสงเคราะห์ คือ การบริการ ให้ความช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์
3. เป็นคนเปิดกว้าง มองโลกในแง่ดี มีทัศนะคติที่ดีต่อผู้คนและต่อปัญหา
4. เป็นบุคคลที่เปิดรับต่อประมวลปัญหาที่ต้องเข้าไปแก้ไข
5. มีลักษณะอบอุ่น มนุษยสัมพันธ์ดี และเข้ากับชุมชนได้ดี
4.ระดับรายได้ และความก้าวหน้า รวมไปถึงสวัสดิการที่เกี่ยวกับอาชีพ
ผู้ประกอบอาชีพนี้ จะได้รับการว่าจ้างขั้นต้นตามวุฒิการศึกษาในภาครัฐบาลและองค์กรพัฒนาเอกชน ส่วนผู้ที่ปฏิบัติงานในภาคเอกชนจะได้รับเงินเดือนสูงกว่า สำหรับผู้สำเร็จการศึกษาใหม่จะได้รับเงินเดือนโดยประมาณ ดังนี้
ประเภทองค์กร เงินเดือน
ภาครัฐบาล 6,360
องค์กรพัฒนาเอกชน 6,360 -7,000
องค์กรระหว่างประเทศ 18,000- 26,000
กำหนดเวลาการทำงานของนักสังคมสงเคราะห์ วันละ 8 ชั่วโมง แต่บุคคลในอาชีพนี้มักจะทำงานเกินเวลาตามความสมัครใจ ดังนั้นผู้ที่ทำหน้าที่นี้ต้องแบ่งเวลาการทำงานและเวลาส่วนตัวให้เหมาะสม

โอกาสความก้าวหน้าในอาชีพ
ผู้ประกอบอาชีพนี้ มีโอกาสความก้าวหน้าในตำแหน่งหน้าที่การงาน ถ้ารับราชการจะได้รับการเลื่อนขั้นและเลื่อนตำแหน่งตามความสามารถและการศึกษาเพิ่มเติม ในหน่วยงานพัฒนาชุมชน ถ้ามีประสบการณ์ทำงาน 3 ปี อาจได้รับตำแหน่ง ผู้ช่วยหัวหน้าหรือหัวหน้า ถ้ามีประสบการณ์ 5 ปี อาจได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นผู้จัดการโครงการ ส่วนในหน่วยงานเอกชนอาจได้รับการเลื่อนตำแหน่งตาม โครงสร้างขององค์กร
5.วิธีการเข้าสู่อาชีพ (การศึกษา, สาขาที่เกี่ยวข้อง, วิชา, วุฒิการศึกษา)
ผู้ที่จะประกอบอาชีพนี้ ควรเตรียมความพร้อมดังต่อไปนี้คือ เมื่อสำเร็จการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 หรือเทียบเท่า จะต้องเข้าสอบคัดเลือกเข้ารับการศึกษาที่คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ และสวัสดิการสังคม มหาวิทยาลัยหัวเฉียว เฉลิมพระเกียรติ
6.มหาวิทยาลัยหรือสถานศึกษาที่เปิดสอน
-มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
-มหาวิทยาลัยหัวเฉียว เฉลิมพระเกียรติ
7.ความต้องการของตลาดแรงงาน
ผู้ประกอบอาชีพนักสังคมสงเคราะห์ปัจจุบันมีน้อยมาก ไม่พอรับกับปัญหาสังคมที่เกิดขึ้นอย่าง ต่อเนื่องเป็นลูกโซ่จากช่วงภาวะเศรษฐกิจของประเทศถดถอย สถาบันการศึกษาผลิตบุคลากร ทางด้านสังคมสงเคราะห์น้อยมากในปีหนึ่งๆ และไม่พอเพียงที่จะรับกับปัญหาที่เกิดขึ้นทั่วประเทศ โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ๆ และเมืองอุตสาหกรรม ซึ่งนักสังคมสงเคราะห์คนหนึ่งจะรับดูแลปัญหาของผู้มารับบริการประมาณ 10 - 15 ราย
หน่วยงานที่มีความต้องการผู้ประกอบอาชีพนี้ คือ กลุ่มสหวิชาชีพ กรมราชทัณฑ์ กรมประชาสงเคราะห์ หน่วยงานพัฒนาเอกชน โรงงานอุตสาหกรรม บริษัทห้างร้าน ฯลฯ และเนื่องจากนักสังคมสงเคราะห์วิชาชีพ ในตลาดแรงงานมีน้อย ทำให้อาชีพนี้เป็นที่ต้องการขององค์กรพัฒนาเอกชนมาก เช่น สหทัยมูลนิธิ หรือมูลนิธิต่างๆ ที่ดูแลบุคคลที่ด้อยโอกาสในสังคม
8.ตัวอย่างบุคคลที่อยู่ในอาชีพดังกล่าว (เรื่องราวโดยย่อ)
นางเมธินี เจ้าทรัพย์
นางเมธินี เจ้าทรัพย์ รับราชการเป็นนักสังคมสงเคราะห์ โรงพยาบาลศรีนครินทร์ จังหวัดขอนแก่น นางเมธินี เจ้าทรัพย์ ทำงานเป็นนักสังคมสงเคราะห์ในโรงพยาบาลศรีนครินทร์มา 27 ปี
ได้เล่าเรียนจนจบวิทยายุทธด้านสังคมสงเคราะห์ศาสตร์มหาบัณฑิต
พระอาจารย์ได้สอนให้รักประชาชน จนจำเข้าในสายเลือดนักสังคมสงเคราะห์ยุคโลกาภิวัฒน์ต้องหารูปแบบการปฏิบัติงานเชิงสหสาขาวิชาชีพ ทุกวิชาชีพควรมีบทบาทการปฏิบัติงานร่วมรับผิดชอบพัฒนาสังคมด้วยกัน สังคมยุคนี้เปิดโอกาสให้นักสังคมสงเคราะห์ต้องคิดค้นและเสนอทางเลือกในการจัดการกับข้อมูลต่างๆมากขึ้น ในการทำงานของนักสังคมสงเคราะห์สิ่งที่เป็นความภูมิใจ คือ ผู้ป่วยได้รับความช่วยเหลือตรงตามความต้องการและทางโรงพยาบาลก็มีรายได้เพิ่มขื้นตามที่ควรจะได้ เพราะอาชีพนักสังคมสงเคราะห์ต้องพยายามอยู่ตรงกลางประสานให้เกิดประโยชน์แก่ผู้ป่วยและโรงพยาบาลศรีนครินทร์
จรรยาบรรณของนักสังคมสงเคราะห์มีมากจนอ่อนใจ
1.สำนึกว่าการกระทำเพื่อพัฒนาหรือก่อให้เกิดสวัสดิภาพแก่บุคคล กลุ่ม และชุมชนเป็นความรับผิดชอบ
2. ต้องปฏิบัติงานในหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์ เสียสละ มีคุณธรรมและปราศจากอคติทั้งปวง
3. ต้องเคารพศักดิ์ศรีและไม่เปิดเผยเรื่องราวส่วนตัวของผู้มารับบริการ
4. ต้องปฏิบัติตนในกรอบของวัฒนธรรมอันดีงามของสังคมเพื่อมิให้บังเกิดความเสียหายแก่วิชาชีพสังคมสงเคราะห์
5.ต้องยึดมั่นในหลักวิชา เพิ่มพูนความรู้และทักษะ พร้อมทั้งส่งเสริมวิชาชีพสังคมสงเคราะห์ให้เจริญก้าวหน้าอยู่เสมอ

น.ส.จิราพร เสนานอก กล่าวว่า...

นางสาวจิราพร เสนานอก รหัส 48010510616 คณะศึกษาศาสตร์ สาขา สังคมศึกษา ชั้นปีที่ 4 กลุ่มที่ 4
บทความเรื่อง อาชีพ ผู้สื่อข่าว/นักข่าว NEW
1.ชื่ออาชีพ
ผู้สื่อข่าว/นักข่าว Reporter
2. ลักษณะของอาชีพ (การทำงาน)
- ต้องปฏิบัติหน้าที่หลักอย่างเดียวกัน คือ เสาะแสวงหาข่าว เจาะข่าว และทำข่าวด้วยวิธีการสัมภาษณ์ สอบถาม เข้าร่วมฟังในที่ประชุมแถลงข่าว การสัมมนา ติดตามเหตุการณ์ คดีต่างๆ เฉพาะเรื่อง จดบันทึกข้อเท็จจริงจากการสังเกต การสัมภาษณ์ การสอบถาม การถ่ายภาพ การบันทึกเทปเสียง เทปโทรทัศน์ วิดีโอเทป เขียนข่าวตามรูปแบบของการเสนอข่าวที่ถูกต้องชัดเจน โปร่งใส และมี รายละเอียดตามความเหมาะสมสำหรับเรื่องหรือเหตุการณ์ที่เป็นข่าว ส่งข่าวให้กับกองบรรณาธิการ เพื่อพิจารณาก่อนเผยแพร่โดยการออกอากาศหรือลงพิมพ์ ในสิ่งพิมพ์ตามวัตถุประสงค์ ของการเสนอข่าวแก่ สาธารณชน การรายงานข่าวอาจรายงานสดตรงมา หรือสถานที่ที่เป็นข่าว
- ส่งเสริมและรักษาไว้ซึ่งเสรีภาพของการเสนอข่าวและความคิดเห็น ให้ประชาชนได้ทราบข่าวเฉพาะที่เป็นจริง การเสนอข่าวสารใด ๆ ออกพิมพ์โฆษณาเผยแพร่ ถ้าปรากฏว่าไม่ตรงต่อความเป็นจริง ต้องรีบจัดการแก้ไขให้ถูกต้องโดยเร็ว
- ในการได้มาซึ่ง ข่าว ภาพ หรือข้อมูลอื่นใด มาเป็นของตน ต้องใช้วิธีการที่สุภาพและซื่อสัตย์เท่านั้น
- เคารพในความไว้วางใจของผู้ให้ข่าว และรักษาไว้ซึ่งความลับของแหล่งข่าว
- ปฏิบัติหน้าที่ของตน โดยมุ่งหวังต่อสาธารณประโยชน์ ไม่ใช้ตำแหน่งหน้าที่แสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัว หรือหมู่คณะโดยไม่ชอบธรรม
- ไม่กระทำการอันเป็นการบั่นทอนเกียรติคุณของวิชาชีพ หรือความสามัคคีของเพื่อนร่วมวิชาชีพ
และยึดมั่นในจริยธรรมและความเป็นกลาง เพื่อให้เกิดการยอมรับและน่าเชื่อถือในวิชาชีพต่อสังคม
3. ลักษณะของบุคคลที่เหมาะสมกับอาชีพ (ความต้องการด้านบุคลากร)
1. ควรมีความสนใจความเคลื่อนไหวของข่าวสารทั่วโลก เป็นนักสังเกตการณ์ที่สามารถเข้าใจสถานการณ์นั้นๆ และสามารถสื่อสารรายงานข้อมูลข่าวสารได้ถูกต้องและแม่นยำ
2. มีความรับผิดชอบสูงต่อทั้งแหล่งข่าว และต่อวิชาชีพ
3. สามารถทำงานให้ลุล่วงตามหน้าที่รับผิดชอบให้ทันตามกำหนดเวลา
4. มีความกล้าในการปฏิบัติการ หรือการนำเสนอข่าว ที่บางครั้งอาจเสี่ยงอันตรายถึงชีวิต
5. สามารถถ่ายภาพและใช้อุปกรณ์เครื่องมือสื่อสารได้ทุกชนิด
4.ระดับรายได้และความก้าวหน้า รวมไปถึงสวัสดิการที่เกี่ยวกับอาชีพ

ระดับรายได้
- จบการศึกษาในระดับปริญญาตรีอยู่ประมาณ 7,000 บาท และจะได้รับการขึ้นเงินเดือนตามความสามารถและประสบการณ์

ความก้าวหน้า
- ผู้ปฏิบัติงานในอาชีพผู้สื่อข่าว เมื่อชำนาญในการหาข่าว สร้างแหล่งข่าว และพัฒนาการทำข่าวจนเป็นที่น่าเชื่อถือของกองบรรณาธิการ ประมาณ 1-2ปี ก็จะได้รับการ เลื่อนตำแหน่ง หรือได้รับทุนให้ไปศึกษาต่อจากเจ้าขององค์กรสื่อนั้นๆ จากนั้นจะได้เป็นหัวหน้าข่าว นักข่าวอาวุโส ผู้ช่วยบรรณาธิการ จนถึงบรรณาธิการ หรือเลื่อนขึ้นเป็นฝ่ายบริหารจัดการ หรือสามารถเลือกทำงานกับสื่อแขนงอื่นๆได้ ตามความสามารถและความต้องการ และความมั่นคงของงาน ขึ้นอยู่กับความสามารถและการพัฒนาตนเองของผู้สื่อข่าว

สวัสดิการและบริการต่างๆ ที่สมาคมฯ จัดขึ้นเพื่อผู้สื่อข่าวและ ดังนี้
1. สวัสดิการคลอดบุตรคนแรก
สมาคมมอบสวัสดิการคลอดบุตรคนแรกเป็นเงินช่วยเหลือจำนวน 5,๐๐๐ บาท โดยสมาชิกต้องยื่นขอพร้อมหลักฐานสูจิบัตรภายในกำหนด 3 เดือนนับตั้งแต่คลอดบุตรคนแร
2. สวัสดิการทุนการศึกษาบุตร-ธิดาสมาชิก
สมาคม มอบทุนการศึกษาให้กับบุตร-ธิดา สมาชิกที่ยื่นขอรับทุนครอบครัวละ 1 ทุน ตั้งแต่ระดับชั้นอนุบาล-ปริญญาตรี โดยใช้ดอกเบี้ยเงินฝากจากบัญชีกองทุนการศึกษามาเฉลี่ยกับจำนวนสมาชิกผู้ขอทุนแต่ไม่ต่ำกว่าทุนละ 2,๐๐๐ บาท ทั้งนี้ให้คณะกรรมการบริหารเป็นผู้กำหนดจำนวนเงินแต่ละทุน พร้อมทั้งให้มีการกำหนดเพดานเงินเดือนของผู้รับทุนในอัตราที่เหมาะสม
3. สวัสดิการรักษาพยาบาล
สมาคมมอบสวัสดิการรักษาพยาบาลให้กับสมาชิกโดยแยกเป็นสวัสดิการรักษาพยาบาลสำหรับคนไข้นอกและผู้ป่วยใน
- สวัสดิการรักษาพยาบาลสำหรับคนไข้นอก สมาคม มอบสวัสดิการรักษาพยาบาลสำหรับคนไข้นอกครั้งละไม่เกิน 5๐๐ บาท โดยเบิกได้ไม่เกิน 6 ครั้งต่อปี โดยสมาชิกต้องขอรับสวัสดิการจากสมาคมภายใน 1 เดือน นับแต่วันที่เข้ารับการรักษาพยาบาล ทั้งนี้สมาชิกต้องนำใบรับรองแพทย์และใบเสร็จค่ารักษาพยาบาล(ฉบับจริง) มามอบให้กับสมาคมเป็นหลักฐา
- สวัสดิการรักษาพยาบาลสำหรับผู้ป่วยใน สมาคม มอบสวัสดิการให้กับสมาชิกซึ่งเจ็บป่วยต้องเข้ารับการรักษาพยาบาลเป็นผู้ป่วยใน (เข้ารักษาพยาบาลตั้งแต่ 12 ชั่วโมง) สมาคมจะจ่ายค่ารักษาพยาบาลตามค่าใช้จ่ายจริงแต่ทั้งนี้ไม่เกินครั้งละ 3,๐๐๐ บาท โดยเบิกได้ไม่เกิน 2 ครั้งต่อปี โดยสมาชิกต้องนำใบรับรองแพทย์และใบเสร็จค่ารักษาพยาบาล(ฉบับจริง) มามอบให้กับสมาคมเป็นหลักฐาน กรณีที่นำสำเนาใบเสร็จมาแสดงสมาชิกต้องนำหลักฐานการรับเงินช่วยเหลือจากหน่วยงานต้นสังกัดหรือบริษัทประกันชีวิตมาแสดงด้วย
4. สวัสดิการมรณกรรม
สมาคมมอบสวัสดิการมรณกรรมให้กับสมาชิกโดยแบ่งเป็น 2 กรณี
- การจัดทำประกันชีวิต สมาคมจัดทำประกันชีวิตให้กับสมาชิกโดยมีทุนประกันดังนี้
ในกรณีที่สมาชิกเสียชีวิตจากการเจ็บป่วย ทายาทจะได้รับทุนประกันชีวิต 1๐๐,๐๐๐ บาท
ในกรณีที่สมาชิกเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ ทายาทจะได้รับทุนประกันชีวิต 2๐๐,๐๐๐ บาท
ในกรณีที่สมาชิกสูญเสียอวัยวะจากอุบัติเหตุ สมาชิกจะได้รับเงินชดเชยตามเงื่อนไขสัญญา ทั้งนี้ สมาชิกจะต้องเขียนใบสมัครเข้าทำประกันชีวิตตามแบบที่สมาคมกำหนด
- สวัสดิการงานสวดอภิธรรมศพ สมาคมนำพวงหรีดเคารพศพและเงินสวัสดิการ 5,๐๐๐ บาท เพื่อช่วยในการสวดอภิธรรมศพ
5.สวัสดิการสมาชิกอาวุโส
- ยกเว้นการเก็บเงินค่าบำรุงประจำปีของสมาชิกอาวุโสทุกประเภทที่มีอายุตั้งแต่ 6๐ ปีขึ้นไป โดยยังคงได้รับสิทธิต่างๆเหมือนสมาชิกอื่นทุกประการ
- สวัสดิการรักษาพยาบาลสำหรับสมาชิกอาวุโสแบบคนไข้นอก สมาคม มอบสวัสดิการรักษาพยาบาลสำหรับสมาชิกอาวุโสซึ่งเจ็บป่วยเข้ารับการรักษาพยาบาลแบบคนไข้นอกครั้งละไม่เกิน 1,๐๐๐ บาท โดยเบิกได้ไม่เกิน 12 ครั้งต่อปี โดยสมาชิกต้องขอรับสวัสดิการจากสมาคมภายใน 1 เดือน นับแต่วันที่เข้ารับการรักษาพยาบาล ทั้งนี้สมาชิกต้องนำใบรับรองแพทย์และใบเสร็จค่ารักษาพยาบาล(ฉบับจริง) มามอบให้กับสมาคมเป็นหลักฐาน
- สวัสดิการรักษาพยาบาลสำหรับสมาชิกอาวุโสแบบผู้ป่วยใน สมาคม มอบสวัสดิการให้กับสมาชิกอาวุโสซึ่งเจ็บป่วยต้องเข้ารับการรักษาพยาบาลเป็นผู้ป่วยใน (เข้ารักษาพยาบาลตั้งแต่12 ชั่วโมง) สมาคมจะจ่ายค่ารักษาพยาบาลตามค่าใช้จ่ายจริงแต่ทั้งนี้ไม่เกินครั้งละ 5,๐๐๐ บาท โดยเบิกได้ไม่เกิน 2 ครั้งต่อปี โดยสมาชิกต้องนำใบรับรองแพทย์และใบเสร็จค่ารักษาพยาบาล(ฉบับจริง) มามอบให้กับสมาคมเป็นหลักฐาน กรณีที่นำสำเนาใบเสร็จมาแสดงสมาชิกต้องนำหลักฐานการรับเงินช่วยเหลือจากหน่วยงานต้นสังกัดหรือบริษัทประกันชีวิตมาแสดงด้วย
5.วิธีการเข้าสู่อาชีพ (การศึกษา สาขาที่เกี่ยวข้อง วิชา วุฒิการศึกษา)
สถาบันการศึกษากับวิชาการสื่อสารมวลชน
พ.ศ. 2491 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเปิดหลักสูตรวิชาการหนังสือพิมพ์ภาคค่ำ
พ.ศ. 2497 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เปิดการศึกษาระดับปริญญาตรี ทางวารศาสตร์ขึ้นเป็นครั้งแรก ในแผนกวารศาสตร์สังกัดคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์
พ.ศ. 2507 คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้จัดตั้งภาควิชาสื่อสารมวลชน
พ.ศ. 2508 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจัดตั้งแผนกอิสระสื่อสารมวลชนและการประชาสัมพันธ์
พ.ศ. 2508 เนื่องมีการสอนทางด้านวิทยุกระจายเสียง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์จึงได้จัดตั้ง “สถานีวิทยุธรรมศาสตร์” ขึ้นโดยได้รับความร่วมมือ จากกรมประชาสัมพันธ์โดยส่วนหนึ่งเป็นเรื่องปฏิบัติการสำหรับนักศึกษา และสำหรับการส่งกระจายเสียงนั้นดำเนินการในลักษณะเป็นบริการทางวิชาการ สำหรับประชาชน
“สถานีวิทยุจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย” ส่งกระจายเสียงอย่างเป็นทางการเมื่อ 25 พฤศจิกายน 2508 วัตถุประสงค์เริ่มแรกเพื่อเผยแพร่ข่าวสารและการประชาสัมพันธ์ของมหาวิทยาลัย แต่ปัจจุบันได้ใช้สถานีวิทยุจุฬาฯ เป็นที่ฝึกงานของนิสิตแผนกวิชาอิสระสื่อสารมวลชนและการประชาสัมพันธ์ ของคณะนิเทศศาสตร์ รวมทั้งนิสิตปริญญาตรีและปริญญาโท ของภาควิชาโสตทัศน์ศึกษา คณะครุศาสตร์ด้วย
พ.ศ. 2513 แผนกวารสารศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้รับการยกฐานะเป็นแผนกอิสระเทียบเท่าคณะในมหาวิทยาลัย เรียกชื่อว่า แผนกอิสระวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน
พ.ศ. 2514 มหาวิทยาลัยกรุงเทพ เปิดสอนสาขาการสื่อสารมวลชน (มีสถานภาพเป็นคณะวิชาหนึ่ง) เน้นวิชาเอกการประสัมพันธ์ ผู้จบการศึกษาได้รับปริญญาศิลปศาสตร์บัณฑิต (การสื่อสารมวลชน) หรือ ศศ.บ. (การสื่อสารมวลชน) (หลักสูตรในขณะนั้นได้อนุมัติเปิดสอน 2 สาขาวิชาคือ การประชาสัมพันธ์และวารสารศาสตร์)
พ.ศ. 2517 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยยกฐานะแผนกอิสระสื่อสารมวลชนและการประชาสัมพันธ์เป็นคณะนิเทศศาสตร์
พ.ศ. 2520 มหาวิทยาลัยรามคำแหง เปิดภาควิชาการโฆษณาและการประชาสัมพันธ์ในคณะบริหารธุรกิจ
พ.ศ. 2520 มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ยกสถานภาพสาขาวิชาการสื่อสารมวลชน เป็นคณะการสื่อสารมวลชน
พ.ศ. 2521 คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดสอนในระดับปริญญาโทเป็นแห่งแรก ในสาขานิเทศศาสตร์พัฒนาการ
พ.ศ. 2522 งานวิชาวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้ขยายกว้างขวางยิ่งขึ้น มีการปรับปรุงหลักสูตร เพื่อจัดสอนวิชาสาขาต่าง ๆ ทางสื่อสารมวลชนหลาย ๆ แขนง แผนกอิสระดังกล่าวจึงได้รับการยกฐานะเป็นคณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชนเป็นต้นมา
พ.ศ. 2523 มหาวิทยาลัยกรุงทพ เปลี่ยนชื่อคณะสื่อสารมวลชน เป็นคณะนิเทศศาสตร์และเปลี่ยนชื่อปริญญาเป็นนิเทศศาสตร์บัณฑิต (นศ.บ) และเปิดสอน สาขาวิชาการโฆษณา เป็นวิชาเอกในสาขาวิชาวารสารศาสตร์เป็นรุ่นแรก
พ.ศ. 2524 มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เปิดภาควิชาศิลปะนิเทศขึ้นในคณะมนุษยศาสตร์ และแบ่งแยกการสอนออกเป็น 2 สาขา คือ สาขาดนตรีและการสื่อสารมวลชน
พ.ศ. 2525 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เริ่มเปิดสอนระดับปริญญาโท โดยจัดการศึกษาในภาคค่ำเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ที่ประกอบอาชีพทางด้านสื่อสารมวลชน เปิดสอน 3 สาขา คือ ทฤษฎีและวิจัยสื่อสารมวลชน นโยบายในการวางแผนการสื่อสาร และสื่อสารพัฒนาการ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ เริ่มเปิดสอนวิชาเอกในสาขาการโฆษณารุ่นแรก
พ.ศ. 2527 มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช จัดตั้งคณะนิเทศศาสตร์แล้เปิดสอนรุ่นแรก
พ.ศ. 2530 มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ปรับปรุงหลักสูตรที่เปิดสอนทุกสาขาวิชา รวมทั้งของอนุมัติเปิดสอนสาขาวิชาการแสดง
6. มหาวิทยาลัยหรือสถานศึกษาที่เปิดสอน
สถาบันการศึกษากับวิชาการสื่อสารมวลชน
1. จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยหลักสูตร
2. มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
3. มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
4. มหาวิทยาลัยกรุงเทพ
5. มหาวิทยาลัยรามคำแหง
6. มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
7. มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
7.ความต้องการของตลาดแรงงาน
-ปัจจุบันสื่อสารมวลชนได้เปลี่ยนเข้าสู่ยุคของทางด่วนข้อมูลข่าวสารในระบบดิจิตอล ทำให้มีการขยายตัวทางธุรกิจ และการควบรวมกิจการเช่าช่วง หรือสัมปทานในการประมูลสื่อมวลชนจากภาครัฐบาล ทำให้แนวโน้มตลาดแรงงานด้านการรับสมัครผู้สื่อข่าว ผู้รายงานข่าว หรือนักข่าว ของวิทยุโทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ นิตยสาร และวารสาร จึงมีมากขึ้นกว่าในอดีต โดยเฉพาะกลุ่มผู้สื่อข่าวกลุ่มใหม่คือ ผู้สื่อข่าวอิเล็กทรอนิกส์ หรือ e-reporter ที่ต้องการความชำนาญทาง ด้านอินเทอร์เน็ตในการสื่อสาร ถ้ามีความสามารถด้านภาษาต่างประเทศจะเป็นส่วนที่ช่วยส่งเสริมหรือ ได้รับการว่าจ้างจากสื่อ ต่างประเทศ ที่มีสำนักข่าว หรือกองบรรณาธิการอยู่ในประเทศ หรืออาจประจำอยู่ในภูมิภาคด้วยอัตรา ค่าจ้างและผลประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่นๆ ที่ค่อนข้างสูง
8.บุคคลตัวอย่างที่อยู่ในอาชีพดังกล่าว (เรื่องราวโดยย่อ)นายสมบูรณ์ วรพงษ์
สมบูรณ์ วรพงษ์ อดีตบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ผู้ได้รับการยกย่องให้เป็นสุภาพบุรุษของวงการนักเขียน - นักหนังสือพิมพ์ไทย ผู้ซึ่งถือเป็นบุคคลสำคัญอีกท่านหนึ่งที่มีประวัติชีวิตและการทำงานที่น่ายกย่อง และควรค่าแก่การเรียนรู้
สมบูรณ์ วรพงษ์ เกิดที่ อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ เมื่อ 15สิงหาคม 2471 ได้รับประกาศนียบัตรวิชาการหนังสือพิมพ์จาก มหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์ เคยผ่านการฝึกอบรม จากสถาบันหนังสือพิมพ์นานาชาติ (International Press Institute) ได้รับทุนดูงานหนังสือพิมพ์ ทั้งในสหรัฐอเมริกา อังกฤษ เยอรมนี เริ่มเป็นผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์ ‘พิมพ์ไทย’ ปี 2496 ตั้งแต่นั้นอยู่ในแวดวงหนังสือพิมพ์ มาตลอด อาทิ เดลิเมล์, บางกอกเดลิเมล์, หลักเมืองชีวิตใหม่และเสียงอ่างทอง จนกระทั่ง ประจำตำแหน่งบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ไทยรัฐตั้งแต่ปี 2517 ถึง 2519 ปัจจุบัน เป็นเลขาธิการมูลนิธิไทยรัฐ, กรรมการและเหรัญญิกมูลนิธิหมู่บ้าน, กรรมการมูลนิธิเด็ก ยังคงเขียนหนังสืออยู่ใช้ทั้งนามจริงและนามปากกา 'คนข่าวอิสระ' ผลงานที่ตีพิมพ์ รถเที่ยวสุดท้ายจากตองยี, บนเส้นทางหนังสือพิมพ์, คดีสังหาร 4 อดีตรัฐมนตรี, ยึดรัฐบาล (สารคดีการเมือง), ชุนเทียนที่ปักกิ่ง (นวนิยายต่างแดน), ครูดี เด่นดวง (นวนิยาย) รางวัลที่ได้รับ รางวัลผู้ประกอบวิชาชีพหนังสือพิมพ์จากสมาคมนักหนังสือพิมพ์ แห่งประเทศไทย (2536), รางวัลผู้พัฒนาอาชีพดีเด่น ของสโมสรโรตารี่พระนคร,(2539) Cerlificate Co-operation in Education จาก The Elizabeth Johnson Organisation ประเทศอังกฤษ (2539), รางวัลนักเขียนเกียรติยศ ‘ช่อการะเกด’ (2540), รางวัลบทนำดีเด่น จากสมาคมนักหนังสือพิมพ์ แห่งประเทศไทย 2531

นางสาวดวงเนตร พราวศร๊ กล่าวว่า...

1. ชื่ออาชีพ
อาชีพนักกายภาพบำบัด

2. ลักษณะอาชีพ ( การทำงาน)
นักกายภาพบำบัดคือผุ้ที่ทำหน้าที่ในการส่งเสริมป้องกัน รักษาและฟื้นฟูสมรรถภาพของร่างกายหรือส่วนหนึ่งส่วนใดของร่างกายแก่ผู้มีความผิดปกติเนื่องจากโรคหรือได้รับบาดเจ็บ โดยการรักษาทางกายภาพบำบัด อันได้แก่ การรักษาด้วยการเคลื่อนไหว การดัด ดึง นวด ออกกำลังกาย การจัดท่าทาง และการรักษาโดยใช้เครื่องไฟฟ้าที่ผลิตความร้อน แสง เสียง กระแสไฟฟ้า คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า และอื่นๆ ทั้งนี้การปฏิบัติงานของนักกายภาพบำบัด การทำร่วมกับบุคลากรทางการแพทย์อื่นๆ เพื่อให้การรักษาผู้ป่วยอย่างเหมาะสม และมีประสิทธิภาพที่สุด
แต่เดิมนั้นการบำบัดรักษาคือ การบีบนวดด้วยมือ การอาศัยความร้อนและการใช้เครื่องมืออื่นๆ ต่อมาได้มีการพัฒนาขึ้นโดยตั้งโรงเรียนกายภาพบำบัด เพื่อศึกษาวิธีการและส่งเสริมงานทางด้านกายภาพบำบัดให้มีคุณภาพมากขึ้น อีกทั้งมีการประดิษฐ์เครื่องมือทางกายภาพบำบัดโดยใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยทำให้ผลการบำบัดรักษาเป็นที่น่าพอใจ และประชาชนทั่วไปได้รู้จักคำว่ากายภาพบำบัดมากขึ้น และยอมรับว่านักกายภาพบำบัดมีบทบาทสำคัญต่อการแพทย์ในการบำบัดรักษาผู้ป่วยให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บ โดยปราศจากภาวะแทรกซ้อน สามารถกลับไปประกอบอาชีพการงานได้รวดเร็ว นักกายภาพบำบัดจะให้การช่วยเหลือผู้ที่มีปัญหาดังต่อไปนี้
- ด้านพัฒนาการ (Development)
- ด้านอายุรกรรม (Medicine)
- ด้านศัลยกรรม (Surgery)
- ด้านระบบประสาท (Neurology)
- ด้านกระดูกและข้อ (Orthopedics)
- ด้านจิตเวช (Psychiatry)
- ด้านผู้สูงอายุ (Geriatric)
นักกายภาพบำบัด มีหน้าที่บำบัดรักษาผู้อื่นตามคำสั่งแพทย์โดยการใช้เครื่องมือทางฟิสิกส์ การบริหารร่างกายเฉพาะท่า เช่น การดึง การนวด และเทคนิคอื่นๆ ทางกายภาพบำบัดผู้ป่วยทางออร์โธปิดิคส์ คือ ผู้ป่วยทางระบบกล้ามเนื้อ กระดูกและข้อต่อซึ่งอาจเกิดจากโรคบางชนิดหรืออุบัติเหตุ มุ่งเน้นให้การช่วยเหลือผู้ป่วยเพื่อส่งเสริมสุขภาพ ป้องกันความพิการ บำบัดรักษาและฟื้นฟูสภาพในผู้ที่มีความเสื่อมสมรรถภาพ หรือความพิการทางด้านร่างกาย จิตใจ สังคม พัฒนาการการรับรู้ และความรู้ความเข้าใจด้วยวิธีการทางกิจกรรมบำบัด ซึ่งได้แก่ การใช้กิจกรรมที่ได้วิเคราะห์โดยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ การใช้เครื่องพยุงส่วนของร่างกาย หรือ อุปกรณ์ช่วยต่างๆ รวมทั้งการใช้เทคนิคพิเศษในการบำบัดรักษาเฉพาะทาง เพื่อมุ่งเน้นให้ผู้ป่วยสามารถช่วยเหลือตนเองได้โดยอิสระ
นักกายภาพบำบัดจะรักษาอาการผิดปกติของร่างกาย เช่น กระดูกหัก ข้อเคล็ด อัมพาต โรคหัวใจ หรือโรคประสาทด้วยวิธีกายภาพบำบัด หรือวิธีอื่นๆ ที่มิใช่การรักษาด้วยยาและโดยปกติเป็นการปฏิบัติงานตามคำสั่งของแพทย์ ชี้แจงผู้ป่วยให้ออกกำลังกาย เพื่อรักษาโรคกล้ามเนื้อไม่ปกติและหย่อนประสิทธิภาพ ใช้มือนวดตามร่างกายของผู้ป่วยให้การรักษาด้วยการฉายแสงอาทิตย์เทียม แสงอัลตราไวโอเลต หรืออินฟราเรดและมุ่งเน้นช่วยตรวจสอบค้นหาข้อบกพร่องให้ผู้ป่วยสามารถช่วยเหลือตนเองได้โดยอิสระและจะต้องให้การช่วยเหลือด้านพัฒนาการร่างกาย ด้านจิตเวช โดยมีขอบเขตความ รับผิดชอบ ดังนี้
1. ช่วยตรวจสอบค้นหาข้อบกพร่อง รวมทั้งให้การบำบัดรักษาในเด็กที่มีปัญหาด้านพัฒนาการ
2. ช่วยกระตุ้น ฟื้นฟู และส่งเสริมความสามารถในผู้ที่มีปัญหาด้านการรับรู้ และการเรียนรู้
3. สอนและฝึกหัดกิจวัตรประจำวัน เช่น การเคลื่อนย้ายตัว สุขอนามัย ส่วนบุคคล การรับประทานอาหาร เป็นต้น
4. ให้การรักษาพิเศษ เพื่อเพิ่มพูนความสามารถทางกาย ได้แก่ เพิ่มกำลังกล้ามเนื้อเพิ่มความทนทานในงานสหสัมพันธ์ในการทำงาน เป็นต้น
5. ดัดแปลงอุปกรณ์ช่วย อุปกรณ์เสริม และเทียมให้เหมาะสมกับสภาพของผู้ป่วย รวมทั้งฝึกหัดการใช้และการดูแลรักษา
6. ดัดแปลงสภาพบ้าน และขจัดสิ่งกีดขวางทางสถาปัตยกรรม
7. ให้การรักษาพิเศษแก่ผู้ที่มีปัญหาด้านจิตใจ สังคม อารมณ์ และ พฤติกรรม เพื่อเป็นเครื่องมือช่วยในการวินิจฉัยโรค ช่วยลดหรือขจัดแรงขับทางอารมณ์ แก้ไข และปรับพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมรวมทั้งให้คำแนะนำเกี่ยวกับวิธีจัดการกับความเครียดหรือความวิตกกังวล
8. ประเมินสมรรถภาพทางร่างกาย และจิตใจ การปรับตัวให้เข้ากับสังคม ความสนใจงานนิสัยในการทำงานรวมทั้งปรับปรุงทักษะและศักยภาพในการประกอบอาชีพ
9. แนะนำโครงการการใช้ชีวิต และการปรับตัวภายหลังการเกษียณให้ผู้สูงอายุและผู้มีปัญหาทางร่างกายหรือพิการ

3. คุณลักษณะของผู้ประกอบอาชีพ ( ความต้องการด้านบุคคลากร)
คุณสมบัติเบื้องต้นของนักกายภาพบำบัด คือ มีร่างกายแข็งแรง สุขภาพกายและสุขภาพจิตดี มีความรับผิดชอบในหน้าที่ มีความอดทน ใจเย็น สุภาพอ่อนโยน มีความเมตตากรุณา มีมนุษย์สัมพันธ์ดี พัฒนาตนเองอยู่เสมอ เป็นผู้ตรงต่อเวลา และมีศิลปะในการพูด

4. ระดับรายได้โอกาสก้าวหน้าในอาชีพ
สามารถประกอบอาชีพทั้งภาครัฐและเอกชน และเปิดคลินิกส่วนตัวให้บริการการรักษาทางกายภาพบำบัด ความก้าวหน้าในอาชีพอยู่ในระดับดี มีโอกาสศึกษาต่อระดับปริญญาโท-เอก สาขากายภาพบำบัดหรือสาขาวิชาอื่นๆที่ใกล้เคียงทางการแพทย์ ทั้งในและนอกประเทศ สามารถประกอบอาชีพนักกายภาพบำบัดในต่างประเทศได้ รายได้ในภาคเอกชนจะสูงกว่ารัฐ ประมาณ 3 - 4 เท่าตัว
ผู้ปฏิบัติงานอาชีพนี้ได้รับค่าตอบแทนเป็นเงินเดือนตามวุฒิการศึกษา โดย นักกายภาพบำบัดที่สำเร็จการศึกษาวุฒิปริญญาตรี และไม่มีประสบการณ์ในการทำงานจะได้รับเงินเดือนในอัตรา ดังนี้
ประเภทองค์กร เงินเดือน
ราชการ 7,260
เอกชน 7,500 - 8,000
สามารถประกอบธุรกิจส่วนตัว หรือหารายได้พิเศษโดยการรับทำกายภาพบำบัดกับผู้ป่วยที่ต้องการให้ทำกายภาพบำบัดที่บ้าน โดยได้รับค่าตอบแทนครั้งละ 400 - 500 บาทต่อชั่วโมง รายได้ที่ได้รับจึงขึ้นอยู่กับความอุตสาหะของแต่ละบุคคล ผู้ปฏิบัติงานอาชีพนี้มีกำหนดเวลาทำงานตามปกติทั่วไป คือ วันละ 8 ชั่วโมง หรือ สัปดาห์ละ 40 - 48 ชั่วโมง และอาจได้ค่าล่วงเวลาเมื่อต้องทำงานล่วงเวลา
5. วิธีการเข้าสู่อาชีพ (การศึกษาและการฝึกอบรม)
ต้องจบ ม.ปลาย สายวิทยาศาสตร์ และควรจะทดลองงานด้านนี้หรือสังเกตการณ์ในโรงพยาบาลแผนกกายภาพบำบัดก่อนเลือกเรียนสายนี้ แล้วศึกษาต่อคณะสหเวชศาสตร์ คณะแพทย์ศาสตร์ คณะกายภาพบำบัด คณะเทคนิคการแพทย์ คณะสาธารณสุขศาสตร์ หลักสูตร 4 ปี ค่าใช้จ่ายภาคเรียนละ 10,000 บาท(รวม 8 ภาคเรียน)

6. มหาวิทยาลัยหรือสถาบันที่เปิดสอน
มหาวิทยาลัยมหิดล
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
มหาวิทยาลัยขอนแก่น
มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ(ประสานมิตร)
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
มหาวิทยาลัยบูรพา
มหาวิทยาลัยรังสิต
มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ
7. ความต้องการของตลาดแรงงานโอกาสในการมีงานทำ
นักกายภาพบำบัดจะสามารถทำงานตามหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน ดังต่อไปนี้
- โรงพยาบาลทั่วไป โรงพยาบาลเฉพาะทาง
- ศูนย์กายภาพำบัด
แนวทางการทำงานมีมากมมาย เช่น
- เป็นนักกายภาพประจำแผนกในโรงพยาบาล
- ทำงานในร้านที่ทำงานเกี่ยวกับเสริมความงามได้ (เช่น การทำ AHA Treatment ต้องใช้เครื่องมือทางกายภาพทั้งหมด เช่น แพนคอสเมติก )
- ทำงานเป็นนักกายภาพตามสโมสรกีฬาได้ครับ
- สามารถทำงานใน ฟิทเน็ท หรือเป็นเจ้าของเองได้ เพราะมีความรู้เรื่องสรีระ อยู่แล้ว
- ทำงานในศูนย์ สปา เป็นผู้เชียวชาญในด้าน สรีระ
- ที่สำคัญมากคือ สามารถ เปิด Clinic ได้เอง
สถานภาพกำลังคนทางกายภาพบำบัด สถานการณ์นักกายภาพบำบัดในภาคใต้ การศึกษาเกี่ยวกับสถานภาพกำลังคนล่าสุดในปีพ.ศ. 2546 (สุวิทย์ อริยชัยกุล และ ทศพร พิชัยยา, 2546) ได้เปรียบเทียบสัดส่วนประชากรต่อนักกายภาพบำบัด 1 คน ระหว่างปี พ.ศ. 2534, 2544 และ 2546 แสดงให้เห็นดังรูปที่ 1 พบว่าสัดส่วนทุกภาคดีขึ้น แต่ในภาคใต้มีอัตราการลดลงน้อยกว่าภาคอื่นทั้งหมด (ยกเว้นปริมณฑล และภาคกลาง) ในรายงานปีพ.ศ. 2546 ยังระบุอีกว่า ปัจจัยที่มีผลต่อการกระจาย คือ มีการเพิ่มประชากรในภาคใต้ในอัตราที่มากกว่า แต่การเพิ่มของนักกายภาพบำบัดน้อยกว่า การกระจายตัวของนักกายภาพบำบัดกล่าวโดยทั่วไปแล้วแม้ไม่ได้ยึดติดกับระบบทุนอย่างเช่นวิชาชีพอื่นก็ตาม แต่ภาคใต้โดยเฉพาะตอนล่างที่ไม่มีสถาบันการผลิตบัณฑิตกายภาพบำบัด ส่งผลกระทบต่อการกระจายด้วย แม้ว่าในปีพ.ศ.2525 จะมีนักเรียนทุนจาก 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยมหิดล แต่มิได้ช่วยให้การกระจายของนักกายภาพบำบัดดีขึ้นเร็วอย่างเช่นในภาคเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือ
ปัจจัยที่ทำให้การกระจายของนักกายภาพบำบัดในภูมิภาคดีกว่าในส่วนกลางไม่ใช่เพราะการเพิ่มของนักกายภาพบำบัดในภาคเอกชนเป็นหลัก เพราะในภูมิภาคการขยายตัวของภาคเอกชนต่ำ นักกายภาพบำบัดส่วนใหญ่ไม่ได้เปิดคลินิกส่วนตัวแต่อย่างใด ปัจจัยที่สำคัญเกิดจากการจ้างงานของโรงพยาบาลชุมชน(สุวิทย์ อริยชัยกุล, กิตติกร พรหมจันทร์, และ สุรีพร อุทัยคุปต์, 2544) กระทรวงสาธารณสุขไม่ได้กำหนดกรอบอัตรากำลังนักกายภาพบำบัดใน รพช.แต่ได้รับแรงกระตุ้นจาก รพช.ขอจ้างเอง และเรียกร้องให้กระทรวงฯ หากรอบอัตรากำลังให้ (กระทรวงสาธารณสุข,2542) กองสาธารณสุขภูมิภาค (ก่อนที่จะปรับเปลี่ยนโครงสร้างบริหารงานกระทรวงฯ) ได้ศึกษาความต้องการนักกายภาพบำบัดใน จังหวัดอุดรธานี เลย สระแก้ว อุทัยธานี และนครศรีธรรมราช ใน รพช.ทุกระดับ ด้วยการให้แพทย์เขียนใบสั่งการรักษา พบว่า มีความต้องการนักกายภาพบำบัดระหว่าง 3 – 12 คน เพื่อทำงานทั้งส่งเสริม ป้องกัน รักษาและพื้นฟูสมรรถภาพ น่าเสียดายที่ผลการวิจัยไม่ได้รับการนำไปปฏิบัติอย่างจริงจัง การจ้างนักกายภาพบำบัดจึงยังคงเป็นลักษณะตามมีตามเกิด จนถึงปัจจุบันบางจังหวัด เช่น เชียงใหม่ ขอนแก่น อำนาจเจริญ นครราชสีมา รพช.เกือบทุกแห่งมีนักกายภาพบำบัดปฏิบัติงาน1–3 คนสถานการณ์นักกายภาพบำบัดใน3จังหวัดชายแดนภาคใต้การกระจายนักกายภาพบำบัดใน3จังหวัดชายแดนภาคใต้อยู่ในสถาน การณ์ที่อันตราย
ปัญหาการขาดแคลนนักกายภาพบำบัดในจังหวัดปัตตานีเป็นเรื่องที่ต่อสู้มาพอสมควร แม้แต่ได้ยื่นเรื่องถึงผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงสาธารณสุขก็ตาม แต่ไม่ได้รับการเหลียวแล การกระจุกตัวของนักกายภาพบำบัดที่มีเฉพาะในโรงพยาบาลระดับทั่วไป/ศูนย์ เป็นปัญหาที่เรื้อรังและไร้การเหลียวแล ด้วยเหตุที่ปัตตานีมีโรงพยาบาลทั่วไป (รพท.) เพียงแห่งเดียว (2 จังหวัดที่เหลือ มี 2 แห่ง เฉพาะที่ยะลาเป็นโรงพยาบาลศูนย์) และเป็น รพท. กลุ่ม 1 กรอบอัตรากำลังนักกายภาพบำบัดจึงจำกัดไม่เกิน 3 ตำแหน่ง การที่ปัตตานีมีนักกายภาพบำบัด 3 คนนั้นไม่ได้หมายถึงมีนักกายภาพบำบัดเต็มกรอบ นักกายภาพบำบัดแต่เดิมที่ปฏิบัติงานใน รพ.ปัตตานี ลาออก มาทำคลินิกส่วนตัว


8. ตัวอย่างบุคคลที่อยู่ในอาชีพ
คุณ สุวิทย์ อริยชัยกุล แผนกนักกายภาพบำบัด
"นักกายภาพบำบัด" คืออะไร
Q : เพื่อนๆบางคนอาจจะสงสัยนะคับว่า คณะ กายภาพบำบัด คืออะไร?
A : เป็นคณะหนึ่งใน วิทยาศาสตร์สุขภาพ ครับ ที่เรียนเกี่ยวกับในเรื่อง
ของโครงสร้างกระดูก กล้ามเนื้อ ข้อต่อ ต่างๆของร่างกาย โดยการ
มีการใช้เครื่องมือทางกายภาพโดยเฉพาะ ที่แพทย์ก็ไม่สามารถใช้ได้
เช่น เกิดกระดูกหัก เป็นอัมพาต ต่างๆนี่ก็เป็นงานของเราที่จะต้อง
ทำการฟื้นฟู แก้ไข เสริมสร้าง ครับ
Q : การเรียนมีอะไรที่ต้องเรียนบ้างแล้วยากมั้ย ?
A : ส่วนตัวผม ติดโควต้า ที่ มหาวิทยาลัยนเรศวร จะเรียนหนักต้องทำความเข้าใจ
และการจำที่ต้องใช้มากที่สุด แต่จะเรียนหนักมากครับ จากที่รุ่นพี่ๆบอกมา
ที่ผมทราบ ก็จะมีเรียน Biochem เรียน Anatomy (อ.ใหญ่ นะครับ) ที่เป็นหลัก
Q : จบแล้วจะทำงานที่ไหนได้บ้าง ?
A : แนวทางการทำงานมีมากเลยนะครับ
- เป็นนักกายภาพประจำแผนกในโรงพยาบาล
- ทำงานในร้านที่ทำงานเกี่ยวกับเสริมความงามได้
(เช่น การทำ AHA Treatment ต้องใช้เครื่องมือทางกายภาพทั้งหมด เช่น แพนคอสเมติก )
- ทำงานเป็นนักกายภาพตามสโมสรกีฬาได้ครับ
- สามารถทำงานใน ฟิทเน็ท หรือเป็นเจ้าของเองได้ เพราะมีความรู้เรื่องสรีร อยู๋แล้ว
- ทำงานในศูนย์ สปา เป็นผู้เชียวชาญในด้าน สรีร
- ที่สำคัญมากคือ สามารถ เปิด Clinic ได้เองด้วยครับ
- ยังมีอีกหลายทางครับที่สามารถทำงานได้ นี้ยกตัวอย่างมาให้ครับ
Q : ใครบอกว่า เป็นหมอนวด ?
A : ความจริงแล้วนะคับ "นักกายภาพบำบัด" มีเรียนการนวดด้วยมือ เพียง 1 - 2 ตัวก็ 6หน่วยกิจ
ตั้งแต่ปี 1 ยัน ปี4 มีเพียง 1 - 2 ตัวเท่านั้น (แต่มหาวิทยาลัยนเรศวร มีเพียง 1 ตัวครับ 3 หน่วยกิจ)
เราพูดได้เต็มปากเลยนะคับว่า "นักกายภาพบำบัด"ไม่ใช่หมดนวดนะคับ ที่เป็นหมอนวดนั้นจะเป็นของสาธารสุข ในสาขาวิชา แพทย์แผนไทย น่ะครับ

นางสาวดวงเนตร พราวศร๊ กล่าวว่า...

นางสาวดวงเนตร พราวศรี รหัส 48010510635 คณะศึกษาศาสตร์ สาขาสังคมศึกษา ชั้นปีที่ 4
บทความเรื่องอาชีพนักกายภาพบำบัด

1. ชื่ออาชีพ
อาชีพนักกายภาพบำบัด

2. ลักษณะอาชีพ ( การทำงาน)
นักกายภาพบำบัดคือผุ้ที่ทำหน้าที่ในการส่งเสริมป้องกัน รักษาและฟื้นฟูสมรรถภาพของร่างกายหรือส่วนหนึ่งส่วนใดของร่างกายแก่ผู้มีความผิดปกติเนื่องจากโรคหรือได้รับบาดเจ็บ โดยการรักษาทางกายภาพบำบัด อันได้แก่ การรักษาด้วยการเคลื่อนไหว การดัด ดึง นวด ออกกำลังกาย การจัดท่าทาง และการรักษาโดยใช้เครื่องไฟฟ้าที่ผลิตความร้อน แสง เสียง กระแสไฟฟ้า คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า และอื่นๆ ทั้งนี้การปฏิบัติงานของนักกายภาพบำบัด การทำร่วมกับบุคลากรทางการแพทย์อื่นๆ เพื่อให้การรักษาผู้ป่วยอย่างเหมาะสม และมีประสิทธิภาพที่สุด
แต่เดิมนั้นการบำบัดรักษาคือ การบีบนวดด้วยมือ การอาศัยความร้อนและการใช้เครื่องมืออื่นๆ ต่อมาได้มีการพัฒนาขึ้นโดยตั้งโรงเรียนกายภาพบำบัด เพื่อศึกษาวิธีการและส่งเสริมงานทางด้านกายภาพบำบัดให้มีคุณภาพมากขึ้น อีกทั้งมีการประดิษฐ์เครื่องมือทางกายภาพบำบัดโดยใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยทำให้ผลการบำบัดรักษาเป็นที่น่าพอใจ และประชาชนทั่วไปได้รู้จักคำว่ากายภาพบำบัดมากขึ้น และยอมรับว่านักกายภาพบำบัดมีบทบาทสำคัญต่อการแพทย์ในการบำบัดรักษาผู้ป่วยให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บ โดยปราศจากภาวะแทรกซ้อน สามารถกลับไปประกอบอาชีพการงานได้รวดเร็ว นักกายภาพบำบัดจะให้การช่วยเหลือผู้ที่มีปัญหาดังต่อไปนี้
- ด้านพัฒนาการ (Development)
- ด้านอายุรกรรม (Medicine)
- ด้านศัลยกรรม (Surgery)
- ด้านระบบประสาท (Neurology)
- ด้านกระดูกและข้อ (Orthopedics)
- ด้านจิตเวช (Psychiatry)
- ด้านผู้สูงอายุ (Geriatric)
นักกายภาพบำบัด มีหน้าที่บำบัดรักษาผู้อื่นตามคำสั่งแพทย์โดยการใช้เครื่องมือทางฟิสิกส์ การบริหารร่างกายเฉพาะท่า เช่น การดึง การนวด และเทคนิคอื่นๆ ทางกายภาพบำบัดผู้ป่วยทางออร์โธปิดิคส์ คือ ผู้ป่วยทางระบบกล้ามเนื้อ กระดูกและข้อต่อซึ่งอาจเกิดจากโรคบางชนิดหรืออุบัติเหตุ มุ่งเน้นให้การช่วยเหลือผู้ป่วยเพื่อส่งเสริมสุขภาพ ป้องกันความพิการ บำบัดรักษาและฟื้นฟูสภาพในผู้ที่มีความเสื่อมสมรรถภาพ หรือความพิการทางด้านร่างกาย จิตใจ สังคม พัฒนาการการรับรู้ และความรู้ความเข้าใจด้วยวิธีการทางกิจกรรมบำบัด ซึ่งได้แก่ การใช้กิจกรรมที่ได้วิเคราะห์โดยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ การใช้เครื่องพยุงส่วนของร่างกาย หรือ อุปกรณ์ช่วยต่างๆ รวมทั้งการใช้เทคนิคพิเศษในการบำบัดรักษาเฉพาะทาง เพื่อมุ่งเน้นให้ผู้ป่วยสามารถช่วยเหลือตนเองได้โดยอิสระ
นักกายภาพบำบัดจะรักษาอาการผิดปกติของร่างกาย เช่น กระดูกหัก ข้อเคล็ด อัมพาต โรคหัวใจ หรือโรคประสาทด้วยวิธีกายภาพบำบัด หรือวิธีอื่นๆ ที่มิใช่การรักษาด้วยยาและโดยปกติเป็นการปฏิบัติงานตามคำสั่งของแพทย์ ชี้แจงผู้ป่วยให้ออกกำลังกาย เพื่อรักษาโรคกล้ามเนื้อไม่ปกติและหย่อนประสิทธิภาพ ใช้มือนวดตามร่างกายของผู้ป่วยให้การรักษาด้วยการฉายแสงอาทิตย์เทียม แสงอัลตราไวโอเลต หรืออินฟราเรดและมุ่งเน้นช่วยตรวจสอบค้นหาข้อบกพร่องให้ผู้ป่วยสามารถช่วยเหลือตนเองได้โดยอิสระและจะต้องให้การช่วยเหลือด้านพัฒนาการร่างกาย ด้านจิตเวช โดยมีขอบเขตความ รับผิดชอบ ดังนี้
1. ช่วยตรวจสอบค้นหาข้อบกพร่อง รวมทั้งให้การบำบัดรักษาในเด็กที่มีปัญหาด้านพัฒนาการ
2. ช่วยกระตุ้น ฟื้นฟู และส่งเสริมความสามารถในผู้ที่มีปัญหาด้านการรับรู้ และการเรียนรู้
3. สอนและฝึกหัดกิจวัตรประจำวัน เช่น การเคลื่อนย้ายตัว สุขอนามัย ส่วนบุคคล การรับประทานอาหาร เป็นต้น
4. ให้การรักษาพิเศษ เพื่อเพิ่มพูนความสามารถทางกาย ได้แก่ เพิ่มกำลังกล้ามเนื้อเพิ่มความทนทานในงานสหสัมพันธ์ในการทำงาน เป็นต้น
5. ดัดแปลงอุปกรณ์ช่วย อุปกรณ์เสริม และเทียมให้เหมาะสมกับสภาพของผู้ป่วย รวมทั้งฝึกหัดการใช้และการดูแลรักษา
6. ดัดแปลงสภาพบ้าน และขจัดสิ่งกีดขวางทางสถาปัตยกรรม
7. ให้การรักษาพิเศษแก่ผู้ที่มีปัญหาด้านจิตใจ สังคม อารมณ์ และ พฤติกรรม เพื่อเป็นเครื่องมือช่วยในการวินิจฉัยโรค ช่วยลดหรือขจัดแรงขับทางอารมณ์ แก้ไข และปรับพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมรวมทั้งให้คำแนะนำเกี่ยวกับวิธีจัดการกับความเครียดหรือความวิตกกังวล
8. ประเมินสมรรถภาพทางร่างกาย และจิตใจ การปรับตัวให้เข้ากับสังคม ความสนใจงานนิสัยในการทำงานรวมทั้งปรับปรุงทักษะและศักยภาพในการประกอบอาชีพ
9. แนะนำโครงการการใช้ชีวิต และการปรับตัวภายหลังการเกษียณให้ผู้สูงอายุและผู้มีปัญหาทางร่างกายหรือพิการ

3. คุณลักษณะของผู้ประกอบอาชีพ ( ความต้องการด้านบุคคลากร)
คุณสมบัติเบื้องต้นของนักกายภาพบำบัด คือ มีร่างกายแข็งแรง สุขภาพกายและสุขภาพจิตดี มีความรับผิดชอบในหน้าที่ มีความอดทน ใจเย็น สุภาพอ่อนโยน มีความเมตตากรุณา มีมนุษย์สัมพันธ์ดี พัฒนาตนเองอยู่เสมอ เป็นผู้ตรงต่อเวลา และมีศิลปะในการพูด

4. ระดับรายได้โอกาสก้าวหน้าในอาชีพ
สามารถประกอบอาชีพทั้งภาครัฐและเอกชน และเปิดคลินิกส่วนตัวให้บริการการรักษาทางกายภาพบำบัด ความก้าวหน้าในอาชีพอยู่ในระดับดี มีโอกาสศึกษาต่อระดับปริญญาโท-เอก สาขากายภาพบำบัดหรือสาขาวิชาอื่นๆที่ใกล้เคียงทางการแพทย์ ทั้งในและนอกประเทศ สามารถประกอบอาชีพนักกายภาพบำบัดในต่างประเทศได้ รายได้ในภาคเอกชนจะสูงกว่ารัฐ ประมาณ 3 - 4 เท่าตัว
ผู้ปฏิบัติงานอาชีพนี้ได้รับค่าตอบแทนเป็นเงินเดือนตามวุฒิการศึกษา โดย นักกายภาพบำบัดที่สำเร็จการศึกษาวุฒิปริญญาตรี และไม่มีประสบการณ์ในการทำงานจะได้รับเงินเดือนในอัตรา ดังนี้
ประเภทองค์กร เงินเดือน
ราชการ 7,260
เอกชน 7,500 - 8,000
สามารถประกอบธุรกิจส่วนตัว หรือหารายได้พิเศษโดยการรับทำกายภาพบำบัดกับผู้ป่วยที่ต้องการให้ทำกายภาพบำบัดที่บ้าน โดยได้รับค่าตอบแทนครั้งละ 400 - 500 บาทต่อชั่วโมง รายได้ที่ได้รับจึงขึ้นอยู่กับความอุตสาหะของแต่ละบุคคล ผู้ปฏิบัติงานอาชีพนี้มีกำหนดเวลาทำงานตามปกติทั่วไป คือ วันละ 8 ชั่วโมง หรือ สัปดาห์ละ 40 - 48 ชั่วโมง และอาจได้ค่าล่วงเวลาเมื่อต้องทำงานล่วงเวลา
5. วิธีการเข้าสู่อาชีพ (การศึกษาและการฝึกอบรม)
ต้องจบ ม.ปลาย สายวิทยาศาสตร์ และควรจะทดลองงานด้านนี้หรือสังเกตการณ์ในโรงพยาบาลแผนกกายภาพบำบัดก่อนเลือกเรียนสายนี้ แล้วศึกษาต่อคณะสหเวชศาสตร์ คณะแพทย์ศาสตร์ คณะกายภาพบำบัด คณะเทคนิคการแพทย์ คณะสาธารณสุขศาสตร์ หลักสูตร 4 ปี ค่าใช้จ่ายภาคเรียนละ 10,000 บาท(รวม 8 ภาคเรียน)

6. มหาวิทยาลัยหรือสถาบันที่เปิดสอน
มหาวิทยาลัยมหิดล
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
มหาวิทยาลัยขอนแก่น
มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ(ประสานมิตร)
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
มหาวิทยาลัยบูรพา
มหาวิทยาลัยรังสิต
มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ
7. ความต้องการของตลาดแรงงานโอกาสในการมีงานทำ
นักกายภาพบำบัดจะสามารถทำงานตามหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน ดังต่อไปนี้
- โรงพยาบาลทั่วไป โรงพยาบาลเฉพาะทาง
- ศูนย์กายภาพำบัด
แนวทางการทำงานมีมากมมาย เช่น
- เป็นนักกายภาพประจำแผนกในโรงพยาบาล
- ทำงานในร้านที่ทำงานเกี่ยวกับเสริมความงามได้ (เช่น การทำ AHA Treatment ต้องใช้เครื่องมือทางกายภาพทั้งหมด เช่น แพนคอสเมติก )
- ทำงานเป็นนักกายภาพตามสโมสรกีฬาได้ครับ
- สามารถทำงานใน ฟิทเน็ท หรือเป็นเจ้าของเองได้ เพราะมีความรู้เรื่องสรีระ อยู่แล้ว
- ทำงานในศูนย์ สปา เป็นผู้เชียวชาญในด้าน สรีระ
- ที่สำคัญมากคือ สามารถ เปิด Clinic ได้เอง
สถานภาพกำลังคนทางกายภาพบำบัด สถานการณ์นักกายภาพบำบัดในภาคใต้ การศึกษาเกี่ยวกับสถานภาพกำลังคนล่าสุดในปีพ.ศ. 2546 (สุวิทย์ อริยชัยกุล และ ทศพร พิชัยยา, 2546) ได้เปรียบเทียบสัดส่วนประชากรต่อนักกายภาพบำบัด 1 คน ระหว่างปี พ.ศ. 2534, 2544 และ 2546 แสดงให้เห็นดังรูปที่ 1 พบว่าสัดส่วนทุกภาคดีขึ้น แต่ในภาคใต้มีอัตราการลดลงน้อยกว่าภาคอื่นทั้งหมด (ยกเว้นปริมณฑล และภาคกลาง) ในรายงานปีพ.ศ. 2546 ยังระบุอีกว่า ปัจจัยที่มีผลต่อการกระจาย คือ มีการเพิ่มประชากรในภาคใต้ในอัตราที่มากกว่า แต่การเพิ่มของนักกายภาพบำบัดน้อยกว่า การกระจายตัวของนักกายภาพบำบัดกล่าวโดยทั่วไปแล้วแม้ไม่ได้ยึดติดกับระบบทุนอย่างเช่นวิชาชีพอื่นก็ตาม แต่ภาคใต้โดยเฉพาะตอนล่างที่ไม่มีสถาบันการผลิตบัณฑิตกายภาพบำบัด ส่งผลกระทบต่อการกระจายด้วย แม้ว่าในปีพ.ศ.2525 จะมีนักเรียนทุนจาก 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยมหิดล แต่มิได้ช่วยให้การกระจายของนักกายภาพบำบัดดีขึ้นเร็วอย่างเช่นในภาคเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือ
ปัจจัยที่ทำให้การกระจายของนักกายภาพบำบัดในภูมิภาคดีกว่าในส่วนกลางไม่ใช่เพราะการเพิ่มของนักกายภาพบำบัดในภาคเอกชนเป็นหลัก เพราะในภูมิภาคการขยายตัวของภาคเอกชนต่ำ นักกายภาพบำบัดส่วนใหญ่ไม่ได้เปิดคลินิกส่วนตัวแต่อย่างใด ปัจจัยที่สำคัญเกิดจากการจ้างงานของโรงพยาบาลชุมชน(สุวิทย์ อริยชัยกุล, กิตติกร พรหมจันทร์, และ สุรีพร อุทัยคุปต์, 2544) กระทรวงสาธารณสุขไม่ได้กำหนดกรอบอัตรากำลังนักกายภาพบำบัดใน รพช.แต่ได้รับแรงกระตุ้นจาก รพช.ขอจ้างเอง และเรียกร้องให้กระทรวงฯ หากรอบอัตรากำลังให้ (กระทรวงสาธารณสุข,2542) กองสาธารณสุขภูมิภาค (ก่อนที่จะปรับเปลี่ยนโครงสร้างบริหารงานกระทรวงฯ) ได้ศึกษาความต้องการนักกายภาพบำบัดใน จังหวัดอุดรธานี เลย สระแก้ว อุทัยธานี และนครศรีธรรมราช ใน รพช.ทุกระดับ ด้วยการให้แพทย์เขียนใบสั่งการรักษา พบว่า มีความต้องการนักกายภาพบำบัดระหว่าง 3 – 12 คน เพื่อทำงานทั้งส่งเสริม ป้องกัน รักษาและพื้นฟูสมรรถภาพ น่าเสียดายที่ผลการวิจัยไม่ได้รับการนำไปปฏิบัติอย่างจริงจัง การจ้างนักกายภาพบำบัดจึงยังคงเป็นลักษณะตามมีตามเกิด จนถึงปัจจุบันบางจังหวัด เช่น เชียงใหม่ ขอนแก่น อำนาจเจริญ นครราชสีมา รพช.เกือบทุกแห่งมีนักกายภาพบำบัดปฏิบัติงาน1–3 คนสถานการณ์นักกายภาพบำบัดใน3จังหวัดชายแดนภาคใต้การกระจายนักกายภาพบำบัดใน3จังหวัดชายแดนภาคใต้อยู่ในสถาน การณ์ที่อันตราย
ปัญหาการขาดแคลนนักกายภาพบำบัดในจังหวัดปัตตานีเป็นเรื่องที่ต่อสู้มาพอสมควร แม้แต่ได้ยื่นเรื่องถึงผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงสาธารณสุขก็ตาม แต่ไม่ได้รับการเหลียวแล การกระจุกตัวของนักกายภาพบำบัดที่มีเฉพาะในโรงพยาบาลระดับทั่วไป/ศูนย์ เป็นปัญหาที่เรื้อรังและไร้การเหลียวแล ด้วยเหตุที่ปัตตานีมีโรงพยาบาลทั่วไป (รพท.) เพียงแห่งเดียว (2 จังหวัดที่เหลือ มี 2 แห่ง เฉพาะที่ยะลาเป็นโรงพยาบาลศูนย์) และเป็น รพท. กลุ่ม 1 กรอบอัตรากำลังนักกายภาพบำบัดจึงจำกัดไม่เกิน 3 ตำแหน่ง การที่ปัตตานีมีนักกายภาพบำบัด 3 คนนั้นไม่ได้หมายถึงมีนักกายภาพบำบัดเต็มกรอบ นักกายภาพบำบัดแต่เดิมที่ปฏิบัติงานใน รพ.ปัตตานี ลาออก มาทำคลินิกส่วนตัว


8. ตัวอย่างบุคคลที่อยู่ในอาชีพ
คุณ สุวิทย์ อริยชัยกุล แผนกนักกายภาพบำบัด
"นักกายภาพบำบัด" คืออะไร
Q : เพื่อนๆบางคนอาจจะสงสัยนะคับว่า คณะ กายภาพบำบัด คืออะไร?
A : เป็นคณะหนึ่งใน วิทยาศาสตร์สุขภาพ ครับ ที่เรียนเกี่ยวกับในเรื่อง
ของโครงสร้างกระดูก กล้ามเนื้อ ข้อต่อ ต่างๆของร่างกาย โดยการ
มีการใช้เครื่องมือทางกายภาพโดยเฉพาะ ที่แพทย์ก็ไม่สามารถใช้ได้
เช่น เกิดกระดูกหัก เป็นอัมพาต ต่างๆนี่ก็เป็นงานของเราที่จะต้อง
ทำการฟื้นฟู แก้ไข เสริมสร้าง ครับ
Q : การเรียนมีอะไรที่ต้องเรียนบ้างแล้วยากมั้ย ?
A : ส่วนตัวผม ติดโควต้า ที่ มหาวิทยาลัยนเรศวร จะเรียนหนักต้องทำความเข้าใจ
และการจำที่ต้องใช้มากที่สุด แต่จะเรียนหนักมากครับ จากที่รุ่นพี่ๆบอกมา
ที่ผมทราบ ก็จะมีเรียน Biochem เรียน Anatomy (อ.ใหญ่ นะครับ) ที่เป็นหลัก
Q : จบแล้วจะทำงานที่ไหนได้บ้าง ?
A : แนวทางการทำงานมีมากเลยนะครับ
- เป็นนักกายภาพประจำแผนกในโรงพยาบาล
- ทำงานในร้านที่ทำงานเกี่ยวกับเสริมความงามได้
(เช่น การทำ AHA Treatment ต้องใช้เครื่องมือทางกายภาพทั้งหมด เช่น แพนคอสเมติก )
- ทำงานเป็นนักกายภาพตามสโมสรกีฬาได้ครับ
- สามารถทำงานใน ฟิทเน็ท หรือเป็นเจ้าของเองได้ เพราะมีความรู้เรื่องสรีร อยู๋แล้ว
- ทำงานในศูนย์ สปา เป็นผู้เชียวชาญในด้าน สรีร
- ที่สำคัญมากคือ สามารถ เปิด Clinic ได้เองด้วยครับ
- ยังมีอีกหลายทางครับที่สามารถทำงานได้ นี้ยกตัวอย่างมาให้ครับ
Q : ใครบอกว่า เป็นหมอนวด ?
A : ความจริงแล้วนะคับ "นักกายภาพบำบัด" มีเรียนการนวดด้วยมือ เพียง 1 - 2 ตัวก็ 6หน่วยกิจ
ตั้งแต่ปี 1 ยัน ปี4 มีเพียง 1 - 2 ตัวเท่านั้น (แต่มหาวิทยาลัยนเรศวร มีเพียง 1 ตัวครับ 3 หน่วยกิจ)
เราพูดได้เต็มปากเลยนะคับว่า "นักกายภาพบำบัด"ไม่ใช่หมดนวดนะคับ ที่เป็นหมอนวดนั้นจะเป็นของสาธารสุข ในสาขาวิชา แพทย์แผนไทย น่ะครับ

นางสาวสาวิตรี บุตรศรีภูมิ กล่าวว่า...

นางสาวสาวิตรี บุตรศรีภูมิ รหัส 48010520007 สาขาภาษาไทย นิสิตชั้นปีที่ 4 คณะศึกษาศาสตร์
บทความเรื่อง อาชีพแอร์โฮสเตส (air hostess)


1.ชื่ออาชีพ
อาชีพแอร์โฮสเตส (air hostess)

2.ลักษณะของอาชีพ(การทำงาน)
ต้องคอยปรนนิบัติเอาใจผู้โดยสาร แต่หน้าที่จริง ๆ ไม่ได้มีเท่านั้น ยังรวมไปถึงการปฏิบัติการในสถานการณ์ฉุกเฉินบางอย่าง เช่น คอยดูแลผู้โดยสารที่เจ็บป่วย ให้ความปลอดภัยแก่ผู้โดยสาร หรือผู้โดยสารรู้สึกเสียขวัญกับการเดินทางไฟลท์นั้น ต้องคอยดูแลคล้ายกับจิตแพทย์ หรือสามารถเป็นที่พึ่งได้ ในแต่ละปีจะมีผู้ที่สมัครเป็นแอร์โฮสเตสของสายการบินต่าง ๆ กว่า 5000 คน แต่รับได้เพียง 80 – 120 คนเท่านั้น
หน้าที่หลักๆ ก็มีอยู่ 2 อย่างคือ Safety และ Service หัวใจของสายบินทุกสายคือเรื่องของความปลอดภัยที่ต้องคำนึงถึงก่อนเป็นอันดับแรก
การเป็นนางฟ้าจึงต้องดูแลความปลอดภัยของผู้โดยสารเป็นหลัก เมื่อเกิดกรณีฉุกฉินต้องสามารถช่วยเหลือผู้โดยสาร
ส่วนเรื่อง Service นั้น เป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้กัน เพราะแอร์ฯ เป็นผู้ให้บริการกับลูกค้า ซึ่งนั่นก็คือเหล่าผู้โดยสารซึ่งมีความหลากหลายทั้งอุปนิสัย ความต้องการ เชื้อชาติ วัฒนธรรม ฯลฯ หน้าที่ที่เหมือนๆ กันของทุกสายการบินก็คือการบริการเครื่องดื่ม – อาหาร การช่วยผู้โดยสารเก็บสัมภาระ แจกหนังสือพิมพ์ ซึ่งบางครั้งจะต้องช่วยผู้โดยสารดูแลเด็กด้วย
การทำงานจริง
ในเดือนหนึ่ง แอร์โฮสเตสจะขึ้นบินไม่เกิน 12 ไฟล์ สามารถหยุดได้ 8 วัน หากบินไฟล์ภายในประเทศ การทำงานจะเริ่มตั้งแต่การเตรียมอาหารบนเครื่อง การต้อนรับผู้โดยสารที่ประตูทางเดิน สาธิตการใช้เครื่องช่วยชีวิต บริการอาหาร เครื่องดื่มภายในเครื่อง แต่ถ้าเป็นการบินระหว่างประเทศ จะต้องแจกเอกสารและให้ผู้โดยสารกรอกแบบฟอร์มการเข้าเมืองด้วย

3.ลักษณะของบุคคลที่เหมาะสมกับอาชีพ(ความต้องการด้านบุคลากร)
แอร์โฮสเตสต้องเป็นผู้ที่มีบุคลิกภาพที่ดี มีใจรักงานบริการ มีความอดทน สุภาพ เรียบร้อย มีมารยาท มีความเชื่อมั่นและมีใจที่พร้อมจะทำงานด้วยความรัก ตรงต่อเวลา เข้ากับเพื่อนร่วมงานได้ดี เป็นคนที่ยิ้มแย้มแจ่มใส พร้อมที่จะต้องอดหลับอดนอนเพื่องาน สิ่งที่กล่าวมาข้างต้นนี้ถือว่าเป็นคุณสมบัติเบื้องต้นที่แอร์โฮสเตส และ สจ๊วตต้องมี
คุณสมบัติของผู้ที่จะมาเป็นแอร์โฮสเตส และ สจ๊วตนั้น มีหลายคนคิดว่าต้องเป็นคนที่หล่อ - สวยเท่านั้นถึงจะสามารถเป็นได้ ทำให้คนที่ไม่มั่นใจในตนเองไม่กล้าที่จะเข้ามาสมัคร ซึ่งในความจริงแล้วคุณสมบัติที่เป็นข้อกำหนดที่หลายคนแก้ไขไม่ได้อย่างเดียว คือ เรื่องของความสูง แต่ถ้าเป็นเรื่องอื่นๆ เราสามารถที่จะปรับปรุงแก้ไขกันได้ ไม่ว่าจะเป็นทางด้านบุคลิกภาพภายใน คือ แนวความคิดที่จะแสดงตัวตนออกมาสู่สายตาคนภายนอก และบุคลิกภาพภายนอก คือ ตัวตนของเราที่คนอื่นมองเห็นเป็นภาพลักษณ์ของเรา
ดังนั้นจึงไม่จำเป็นว่าคนที่จะมาทำงานเป็นแอร์โฮสเตส และ สจ๊วตจะต้องสวย หรือหล่อ แต่ละบริษัทเขาต้องการคนที่มีบุคลิกภาพที่ดี มั่นใจในตนเอง มีความเป็นผู้ใหญ่และมีความรับผิดชอบ
สำหรับคุณสมบัติของแอร์โฮสเตส ข้อมูลจากบริษัทการบินไทยมีดังนี้ ต้องโสด
สัญชาติไทย อายุ 20-26 ปี สูงไม่น้อยกว่า 160 เซนติเมตร น้ำหนักได้สัดส่วนกับความสูง ว่ายน้ำได้ต่อเนื่องไม่น้อยกว่า 50 เมตร โดยต้องมีท่าฟรีสไตล์ด้วย
นอกจากนี้ยังต้องผ่านการสอบภาษาอังกฤษที่เรียกว่า “โทอิค” (TOEIC) หรือ “โทเฟล” (TOEFL) ได้คะแนนไม่น้อยกว่า 500 คะแนน ซึ่งสองส่วนนี้สมัครสอบได้ที่สถาบันภาษาเอยูเอ ถนนวิทยุ หรือจะไปสอบไอเอลต์ส (IELTS) กับสถาบันบริติช เคาน์ซิลของอังกฤษก็ได้
เมื่อสมัครแล้วจะต้องเข้าสอบสัมภาษณ์ในเรื่องความรู้ทั่วไป บุคลิก ไหวพริบ อัธยาศัย รวมทั้งสอบข้อเขียน-สัมภาษณ์เป็นภาษาองกฤษและสอบว่ายน้ำ
หากผ่านการคัดเลือกแล้วจะเข้าฝึกอบรมเป็นเวลา 16 สัปดาห์ ทั้งด้านทฤษฎีและปฏิบัติเกี่ยวกับการบิน หากจะสอบถามเพิ่มเติมกับทางการบินไทย โทร. 0-2513-0121

คุณสมบัติที่ดีในการเป็นแอร์โฮสเตส
• รักงานบริการ
• บุคลิก อัธยาศัยดี ยิ้มแย้มแจ่มใส
• อดทน และมีความรับผิดชอบต่อหน้าที่
• มีปฏิภาณไหวพริบดี สามารถแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้ฉับพลัน
• สามารถว่ายน้ำได้
• หากสามารถสื่อสารภาษาที่สามได้ (ฝรั่งเศส เยอรมัน อิตาลี จีน ญี่ปุ่น ฯลฯ ) จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง
คุณสมบัติโดยรวมของผู้ที่จะสมัครเป็นแอร์โฮสเตส – สจ๊วต
1. หากเป็นผู้ชายต้องมีส่วนสูง 165 ซม. ขึ้นไป ผู้หญิงต้องมีส่วนสูง 160 ซม. ขึ้นไป
2. แอร์โฮสเตส และ สจ๊วต ควรมีน้ำหนักที่สัมพันธ์กับส่วนสูง โดยมีอัตราน้ำหนักขั้นต่ำของชาย ต้องลบส่วนสูงด้วย100 / หญิง ลบส่วนสูงด้วย 110
3. มีบุคลิกภาพที่ดี สุขภาพสมบูรณ์ ร่างกายไม่เป็นผู้ทุพลภาพ ไม่เป็นโรคติดต่อร้ายแรง หรือโรคที่สังคมรังเกียจ และโรคที่อาจเป็นผลเสียในการทำงานบนเครื่องบิน
4. ความรู้ขั้นต่ำ คือควรจบการศึกษาในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่6 – ปริญญาตรีทุกสาขา
5. ถ้าเป็นชายต้องมีใบสำคัญผ่านทหาร
6. อายุของผู้ชายที่จะมาสมัครต้องมีอายุระหว่าง 21 - 28 ปี ผู้หญิงต้องมีอายุ 21 – 26 ปี อันนี้คือค่าเฉลี่ย แต่ก็มีบางสายการบินเหมือนกันที่จะรับคนที่มีอายุมากกว่านี้
7. ต้องเป็นผู้ที่สายตาดีไม่สั้น แต่ถ้าสายตาสั้นก็สามารถใส่คอนแทคเลนส์ได้ห้ามใส่แว่นตาเด็ดขาด
8. มีสุขภาพฟันดี ถ้าฟันเสียต้องไปทำฟันมาให้เรียบร้อย ควรขูดหินปูนเป็นประจำ
9. ต้องมีความรู้ภาษาต่างประเทศ ภาษาบังคับ คือ ภาษาอังกฤษ มีผลสอบโทอิคอย่างต่ำ 600 คะแนน(จากคะแนเต็ม 990 คะแนน)
10. บางสายการบินอาจให้มีการสอบว่ายน้ำด้วย ดังนั้นผู้ที่จะสมัครควรที่จะว่ายน้ำเป็น
11. ควรหัดแต่งกายให้มีความเคยชิน เพราะการแต่งกายที่ดีทำให้เป็นที่สนใจแก่ผู้ที่พบเห็น ดังนั้นผู้ชายต้องสวมเสื้อเชิ้ตขาว กางเกงสแล็คสีดำ ผูกเน็คไท ส่วนผู้หญิงต้องสวมประโปรงชุดทำงานแบบสาวออฟฟิศ ทำผมให้สุภาพ เช่น รวบผมให้ตึง เก็บมวยผม สวมรองเท้าคัชชูหุ้มส้น สวมถุงน่อง
12. ควรเป็นโสด ผู้หญิงที่มีแฟนแล้วไม่เป็นไร แต่ถ้าจดทะเบียนสมรสแล้วอาจจะหมดสิทธิ์ได้
13. ไม่มีรอยสักในจุดที่มองเห็นได้อย่างเปิดเผย
14. หูไม่ตึง
15.ไม่ติดยาเสพติด
16. ไม่เคยมีประวัติอาชญากรรม

4.ระดับรายได้ และความก้าวหน้า รวมไปถึงสวัสดิการที่เกี่ยวกับอาชีพ
มีรายได้รวมสูงกว่าคนทำงานอาชีพอื่นๆ เข้ามาทำงานใหม่ๆ ก็ได้รายได้ประมาณ 40,000-60,000 บาทต่อเดือน ซึ่งจำนวนรายได้จะขึ้นอยู่กับตารางบินว่าบินระยะใกล้ไกลแค่ไหน ถ้าบินไกล และค้างคืนหลายวันก็ยิ่งได้มาก• เดินทางไปไหนมาไหนแบบฟรี หรือได้สิทธิ์ในการซื้อตั๋วเครื่องราคาถูกมาก• สมาชิกในครอบครัว เช่น พ่อแม่ ภรรยา หรือสามี และลูก สามารถใช้สิทธิ์เดินทางซื้อตั๋วราคาถูกหรือไปแบบฟรีได้
ถ้าไม่สบาย หรือเกิดอุบัติเหตุระหว่างการบิน สายการบินจะมีสวัสดิการประกันสุขภาพ สามารถเบิกรักษาพยาบาลได้ทุกแห่งทั่วโลกที่สายการบินมีจุดลง

5.วิธีการเข้าสู่อาชีพ (การศึกษา, สาขาที่เกี่ยวข้อง, วิชา, วุฒิการศึกษา)
ความพร้อมทางด้านคุณวุฒิ
• วุฒิการศึกษาตั้งแต่ มัธยมศึกษาชั้นปีที่ 6 ขึ้นไป (หากจบการศึกษาจากต่างประเทศ ต้องได้รับรองจากกระทรวงก่อน) แต่ถ้าหากจบปริญญาตรีก็จะดี
• การวัดทักษะทางด้านภาษาอังกฤษ โดยทั่วไปจะวัดผลจากคะแนนการสอบ TOEFL 550 คะแนน หรือ IELTS 5.5 ขึ้นไป
แอร์โฮสเตสและแอร์กราวนด์นั้นจะต้องจบปริญญาตรีเป็นอย่างต่ำ สาขาไหนก็ได้ แต่ส่วนใหญ่ แล้วจะจบกันทางด้านอักษรศาสตร์ ศิลปศาสตร์ รัฐศาสตร์ นิเทศศาสตร์ ซึ่งเป็นสายทางสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์
แอร์โฮสเตสจะจบมาทางด้าน คณะมนุษยศาสตร์ เอกภาษาอังกฤษ หรือภาษาศาสตร์ หรืออักษรศาสตร์ ภาษาอังกฤษเป็นหลัก วุฒิการศึกษาจบ ม.6 ทั้งสายวิทย์หรือศิลป์ แต่ 90% ของผู้สมัคร มักจบปริญญาตรีขึ้นไป อาจเพราะผู้ผ่านการศึกษาระดับนี้ มีประสบการณ์มากกว่า

6.มหาวิทยาลัยหรือสถานศึกษาที่เปิดสอน
อาชีพแอร์โฮสเตสจะเรียนทางด้านอักษรศาสตร์ ศิลปศาสตร์ รัฐศาสตร์ นิเทศศาสตร์ ซึ่งเป็นสายทางสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ เพราะฉะนั้นจึงมีมหาวิทยาลัยที่เปิดสอนเป็นจำนวนมาก ทุกมหาวิทยาลัยก็ว่าได้ เช่น
มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร
มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นต้น

7.ความต้องการของตลาดแรงงาน
เนื่องจากไม่ว่าสายการบินไหนไหนๆก็ต้องการคนที่เก่งภาษาและบุคลิกดีเป็นหลัก ดังนั้นงานสายอาชีพนี้ส่วนมากจะลงในหนังสือพิมพ์ Bangkok Post หรือ The Nation สายการบินทั้งหลายเขาจะลงรับสมัครในหนังสือพิมพ์เหล่านึ้ถึง 99% อีกทางหนึ่งที่จะหาได้ คือทางอินเตอร์เนต ควรเข้าไปที่เว็บ www.nationejobs.com หรือ www.bangkokpostjobs.com
ในการรับสมัครเป็นแอร์โฮสเตส และ สจ๊วต นั้นมีทั้งหมด 3 รูปแบบ ซึ่งการรับสมัครทั้ง 3 แบบนี้ก็แตกต่างกันออกไป คือ
1. การสมัครทางไปรษณีย์
ทางสายการบินเขาจะเห็นแต่รูปกับResumeเท่านั้น
2. การสมัครออนไลน์
จะมีบางสายการบินที่ให้กรอกใบสมัครทางอินเตอร์เนตผ่านเว็บไซด์ของเขา และต้องสแกนรูปถ่ายแล้วอัพโหลดลงไปในนั้นด้วย
3. สายการบินเปิดรับสมัครโดยตรง หรือแบบWalk in
การที่เราเดินเข้าไปกรอกใบสมัครตามสถานที่ที่เขาประกาศไว้ โดยมากจะเป็นโรงแรมหรูๆ ซึ่งการรับสมัครแบบนี้เขาจะเห็นตัวจริงของผู้สมัครเลย พอกรอกใบสมัครเรียบร้อยแล้ว โดยมากจะมีอีเมลติดต่อกลับมาหากมีการเรียกสัมภาษณ์
แบบออนไลน์กับแบบทางไปรษณีย์นั้น First impressionถือว่าสำคัญมากเพราะเนื่องจากทางสายการบินได้เห็นเพียงแค่ รูปถ่ายกับResume ดังนั้นเราต้องทำให้ทางสายการบินหยิบจดหมายของเราไปไว้ในกองเรียกสัมภาษณ์ให้ได้

8.ตัวอย่างบุคคลที่อยู่ในอาชีพดังกล่าว (เรื่องราวโดยย่อ)
นิ้ง-กุลสตรี ศิริพงษ์ปรีดา
นิ้ง-กุลสตรี ศิริพงษ์ปรีดา เปิดใจแอร์โฮสเตสคืออาชีพในฝัน โชคดีแอร์เอเชียเบิกทาง เผยแรงใจฝ่าฟันเป็นพ็อกเกตบุ๊คเพื่อนซี้
ย้ำชัดยังไม่ทิ้งวงการบันเทิงตราบเท่าที่แฟนละครยังเปิดใจ วอนอย่าติดภาพดาราจะพา
ทำงานบริการไม่สะดวก นำพาคณะสื่อมวลชนบันเทิงทุกแขนง 6 รายการทีวี และสื่อสิ่งพิมพ์ ร่วม 57 ชีวิต ไปร่วมสัมผัสอีกมุมหนึ่งชีวิตใหม่ของนางเอกสาว นิ้ง-กุลสตรี ศิริพงษ์ปรีดา กับอาชีพแอร์โฮสเตสในสายการบินแอร์เอเชีย ตลอดระยะเวลา 12 ชั่วโมง กับทริปเดินทางสู่เกาะภูเก็ต นางเอกสาวได้เผยถึงต้นเหตุจุดประกายฝันจนเติมเต็ม
"คือนิ้งได้ไปถ่ายรายการลองสักตั้ง เป็นเรื่องอาชีพแอร์โฮสเตสที่นิ้งมีความฝันไว้ พอทางสายการบินแอร์เอเชียรู้เข้าก็เลยเปิดโอกาสให้มาฝึกจริง มันก็คงเหมือนนิ้งได้จับต้องสิ่งที่ฝันน่ะนะ จากวันนั้นก็เลยแบ่งเวลาเรื่องเรียน งานแสดง ส่วนเสาร์-อาทิตย์ก็เข้าไปเทรนเป็นพนักงานต้อนรับ นิ้งได้ปรึกษากับทางบ้าน ซึ่งที่บ้านก็เห็นด้วย อาจเป็นเพราะอาชีพดารามันไม่ยั่งยืน เดี๋ยวนี้มีนักแสดงใหม่มากขึ้น จึงอยากเห็นนิ้งได้ทำงานที่เคยใฝ่ฝันไว้มั้ง"
เผยชนวนเหตุพ็อกเกตบุ๊ค "อยากเป็นแอร์ใจจะขาด" นิ้งถือเสมือนแรงจูงใจในการสอบฝ่าฟัน
"เรื่องสอบเนี่ยบอกตามตรงยากมาก แต่ก็สนุก ทุกวันนิ้งต้องแยกสมอง 2 ภาษา เช้า-เย็น ที่แอร์เอเชีย พนักงานต้อนรับทุกคนต้องดึงจุดเด่นออกมาใช้ เชื่อไหม 2 วันก่อนสอบ นิ้งถอดใจแล้วกะว่าจะไม่ไป พอดีก่อนหน้านี้นิ้งได้ไปอ่านพ็อกเกตบุ๊ค "อยากเป็นแอร์ใจจะขาด" ไม่รู้จักนะว่าผลงานของใคร คืนนั้นอ่านอยู่เพลินๆ ก็ได้เห็นรูปคนเขียน หน้าเหมือนเพื่อนรุ่น 5 ที่ฝึกด้วยกันมาก อยู่ดีๆ เกิดมีแรงใจ วันสอบไปถามจึงรู้ว่าใช่หนังสือเค้า นิ้งเลยต้องขอลายเซ็นเค้าเก็บไว้"
ยืนยันไม่ทิ้งงานบันเทิง นางเอกละครจับสะใภ้ใส่สกุลที่กำลังออนแอร์ ให้สัญญาจะเจียดเวลามาลงละครตราบเท่าที่แฟนๆ ยังเปิดใจ
"ส่วนใหญ่ผู้โดยสารจะคิดว่ามีการถ่ายละครมากกว่า แต่พอรู้ว่าเป็นความจริงก็มักจะถามเหมือนๆ กันว่านิ้งจะเลิกเล่นละครแล้วหรือ ขอยืนยันเลยค่ะว่าอาชีพการแสดงนิ้งยังคงรับอยู่นะ ไม่ได้ทิ้งไปไหน แต่คงต้องแบ่งเวลาไปรับงานด้านบันเทิงให้ชัดเจน ก็ยังคงรับงานอยู่ค่ะ ตราบเท่าที่ยังมีแฟนหนังและละครให้การต้อนรับอยู่ และนิ้งต้องขอขอบคุณอาร์.เอส. ด้วยที่เปิดโอกาสให้นิ้งมาทำงานตามที่ใจฝัน"
ฝันเป็นจริงอาชีพนางฟ้า นิ้งวอนขออย่าได้ยึดติดภาพดารา แต่ควรเปิดรับมุมมองของคนมีหน้าที่ให้บริการบนสายการบิน
"นิ้งอยากเป็นส่วนหนึ่งของตัวแทนคนประกอบอาชีพนี้ จะเหนื่อยมากขึ้นนะหากทุกคนยังยึดติดภาพนิ้งเป็นดารา ก็ขอให้มองเป็นคนในระดับเดียวกันดีกว่า อาชีพนี้เป็นความฝัน เมื่อนิ้งได้มีโอกาสมาสัมผัสเรียนรู้จนสามารถยึดเป็นอาชีพได้ ก็อยากให้คนอื่นลองเปิดรับมุมมองใหม่ๆ ของอาชีพแอร์โฮสเตสบ้าง ใช่ว่าจะมีหน้าที่เพียงแค่ให้บริการเสิร์ฟน้ำเสิร์ฟอาหารเท่านั้น" นิ้งกล่าวสรุป.

นางสาวอริสรา เข็มรถ กล่าวว่า...

นางสาวอริสรา เข็มรถ รหัสนิสิต 48010510774 ชั้นปีที่ 4 คณะศึกษาศาสตร์ สาขาสังคมศึกษา
1.ชื่ออาชีพ นักออกแบบเครื่องประดับ Jewelry Designer, Ornament Designer

2.ลักษณะของอาชีพ(การทำงาน)
ผู้ปฏิบัติงานอาชีพนี้ ได้แก่ผู้ทำหน้าที่สร้างสรรค์และออกแบบสิ่งที่สวยงามให้แก่บุคคลและสถานที่ใดสถานที่หนึ่ง และกำหนดวิธีการผลิตเครื่องประดับต่างๆ ซึ่งชิ้นงานแต่ละชิ้นสามารถนำไปสร้างได้จริงในเชิงอุตสาหกรรม ต้องผลิตได้ง่ายใช้เวลาน้อย และมีการพัฒนาเพื่อให้สามารถแข่งขันกับนานา ประเทศได้ ผู้ปฏิบัติงานอาชีพนักออกแบบเครื่องประดับนอกจากสร้างสรรค์ ออกแบบเครื่องประดับ เป็นชิ้น หรือเป็นชุดแล้วยังมีหน้าที่ดังต่อไปนี้
1.ศึกษา วิเคราะห์ วัสดุที่นำมาใช้ผสมผสานกันเป็นเครื่องประดับ และวิธีการประดับ โดยมีพื้นฐานความเข้าใจในศิลปะไทยโบราณ และศิลปะตะวันตกยุคต่าง ๆ
2.นำเทคโนโลยีมาสร้างสรรค์งานศิลป์และประยุกต์ใช้ให้สวยงาม เหมาะสม และตรงตามความต้องการของลูกค้าหรือผู้ว่าจ้าง
3.ต้องมีแนวความคิด (concept) และมีข้อมูลจากลูกค้า หรือผู้ว่าจ้างอย่างเพียงพอ เพื่อใช้ประกอบการทำงาน
4.ศึกษารูปแบบงานที่มีอยู่ ถ้าสามารถนำกลับมาใช้ใหม่หรือดัดแปลง ก็จะช่วยลดระยะเวลาการทำงานและต้นทุนการผลิต ในเวลาเดียวกัน ก็ต้องทำการศึกษา ค้นคว้า และวิเคราะห์รูปแบบที่ลูกค้าหรือผู้ว่าจ้างต้องการด้วย
5.ทำการร่างเค้าโครงแบบ โดยให้อยู่ในแนวความคิดและความต้องการของลูกค้าหรือผู้ว่าจ้าง
6.นำภาพที่ร่างแล้วปรึกษากับผู้จัดการฝ่ายการผลิต (Production Manager) เพื่อหาแนวทางในการพัฒนาการผลิต รวมทั้งการใช้วัตถุดิบ และประเมินราคา
7.ทำการสรุปว่าจะใช้งานออกแบบรูปแบบใด วิธีการทำงาน แล้วนำมาลงสีตามจริง และเขียนภาพฉายให้ละเอียด และชัดเจนที่สุดเท่าที่สามารถจะทำได้ เพื่อให้ช่างทำตามแบบได้ผิดพลาดน้อยที่สุด
8.ส่งต้นแบบให้ฝ่ายบริหารและลูกค้าหรือผู้ว่าจ้าง พิจารณา
9.นำต้นแบบที่ผ่านการพิจารณาแล้วมาทำงานประสานกับช่างทอง ช่างเจียรนัย ช่างฝัง และช่างขัด เพื่อให้ได้ชิ้นงานที่เหมือนต้นแบบมากที่สุด
ผู้ประกอบอาชีพนี้ ปฏิบัติหน้าที่ในสถานที่ที่ใช้ในการสร้างสรรค์และออกแบบที่ค่อนข้างเป็นสัดส่วน มีอุปกรณ์เครื่องใช้ในการออกแบบ เช่น โต๊ะเขียนแบบสีสำหรับลงสี อาจเป็นสีน้ำหรือสีพิเศษ เพื่อให้ ภาพออกมาเหมือนจริงมากที่สุด มีเครื่องคอมพิวเตอร์ช่วยในการออกแบบ และให้ได้สีตามต้องการ หรือบันทึกภาพที่วาดแล้วลงในคอมพิวเตอร์เพื่อช่วยให้การนำเสนอต่อลูกค้าสมบูรณ์ยิ่งขึ้น อาจมีผู้ช่วยทำงานในรายละเอียดด้านอื่นๆ

3.ลักษณะของบุคคลที่เหมาะกับอาชีพ (ความต้องการด้านบุคคล)
ผู้ประกอบอาชีพนี้ ควรมีคุณสมบัติทั่วๆ ไปดังนี้
1.รักความสวยงาม ควรมีพื้นฐานด้านศิลป์พอสมควร
2.มีความคิดสร้างสรรค์ มีความสามารถถ่ายทอดความคิดได้โดยไม่มีขีดจำกัด
3.มีความรู้เกี่ยวกับวัตถุดิบและแหล่งของวัตถุดิบพอสมควร และสามารถประเมินราคาเบื้องต้นได้เมื่อออกแบบ
4.มีความรู้เชิงช่างในสาขางานที่จะต้องทำ เพื่อใช้ในการสื่อสารให้แบบที่ออกไว้ เป็นไปตามความต้องการ
5.ขวนขวายหาความรู้ทางวิทยาการและเทคนิคการสร้างเครื่องประดับใหม่ ๆ

4.ระดับรายได้ สำหรับนักออกแบบเครื่องประดับที่มีความสามารถและผลงานในระยะเวลาที่เป็นนักศึกษา เมื่อเริ่มทำงานกับบริษัทออกแบบสินค้าและผลิตเครื่องประดับอาจได้อัตราค่าจ้างเป็นเงินเดือนตาม วุฒิการศึกษา สำหรับผู้สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีจะได้รับเงินเดือนประมาณ 8,000 - 10,000 บาท มีสวัสดิการและผลประโยชน์พิเศษอย่างอื่นตามนโยบายของแต่ละสถานประกอบกิจการ ส่วนโบนัสขึ้นอยู่กับผลประกอบการของเจ้าของกิจการ โอกาสความก้าวหน้าในอาชีพ ผู้ประกอบอาชีพนี้ ควรศึกษาหาความรู้ที่เกี่ยวข้องกับงานอาชีพ และสร้างโอกาสให้ตนเอง เช่น การศึกษาภาษาต่างประเทศเพิ่มเติม หรือมีแนวคิดรูปแบบการสร้างสรรค์งานใหม่ หรือแนวโน้มใหม่ที่มี เอกลักษณ์โดดเด่นโดยใช้วัสดุในท้องถิ่น มาประยุกต์กัน การศึกษา ค้นคว้าวิเคราะห์ศิลปวัฒนธรรมไทย เพื่อหาแนวทางที่เหมาะสม หรือดัดแปลงให้เข้ากับวัฒนธรรมยุคใหม่ตลอดจนการพัฒนาในรูปแบบใหม่ๆ เพื่อจูงใจลูกค้าทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงการค้นคว้าหาข้อมูลและแหล่งวัตถุดิบเพิ่มเติมเพื่อให้ได้มีวัตถุดิบที่แปลกใหม่มาบริการ ผู้ว่าจ้างหรือลูกค้า ซึ่งจะเป็นส่วนหนึ่งทีผลักดันให้ก้าวขึ้นไปเป็นนักออกแบบเครื่องประดับระดับประเทศ และนานาชาติได้

5.วิธีการเข้าสู่อาชีพ
ผู้สนใจประกอบอาชีพนี้ ควรเตรียมความพร้อมดังต่อไปนี้คือ: เมื่อสำเร็จการศึกษาสายอาชีพหรือสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีสาขาใดก็ได้ ที่มีคุณสมบัติดังกล่าวข้างต้น อาจขอเข้ารับการ อบรมเพิ่มเติมหลักสูตรระยะสั้นจากสถาบันออกแบบเครื่องประดับที่เปิดสอนอยู่หลายแห่ง เช่น Geologit Institute Association (GIA), AIGS เป็นต้นหรือผู้สำเร็จการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายอาจศึกษาต่อ ในหลักสูตรปริญญาตรี สาขาการออกแบบเครื่องประดับและอัญมณีสาขาวิทยาศาสตร์ - วัสดุศาสตร์ อัญมณี และเครื่องประดับมัณฑณศิลป์ หรือสาขาที่เกี่ยวข้องกับศิลปกรรมอันเป็นพื้นฐานการออกแบบที่สำคัญ ซึ่งสอนให้นำวัสดุต่างๆ มาใช้ในการออกแบบได้นอกเหนือจากอัญมณี เช่น ไม้ ผ้า กะลา ดินเผาลูกปัด คริสตัล โลหะ และอโลหะสังเคราะห์ต่างๆ

6.มหาวิทยาลัยหรือสถานศึกษาที่เปิดสอน
-สถาบันกรุงเทพอัญมณีศิลป์
-ม.เทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์
-มหาวิทยาลัยศิลปากร
-มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
-มหาวิทยาลัยรังสิต
-มหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์
-สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าฯ
7.ความต้องการของตลาดแรงงาน
ที่ผ่านมาวงการออกแบบเครื่องประดับในประเทศไทยอยู่ในความสนใจของต่างประเทศ ในลักษณะรับจ้างผลิตเพื่อส่งออกภายใต้เครื่องหมายการค้าต่างประเทศ โดยเฉพาะในปี2542 สหรัฐอเมริกาเป็นตลาดนำเครื่องประดับไทยและอัญมณีเข้าไม่ต่ำกว่า 18,298 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 30.5 ของมูลค่าการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทยโดยรวม และในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2543 ส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกาเป็นมูลค่าประมาณ 7,970 ล้านบาท เนื่องมาจากค่าแรงงานในประเทศถูก และมีฝีมือ ในงานประเภทนี้ ปัจจุบันประเทศไทยมีคู่แข่งจากบางประเทศที่มีค่าแรงงานต่ำกว่า และแหล่งวัตถุดิบที่ยังสามารถหาได้ในราคาที่ต่ำกว่า แม้ว่าคุณภาพจะไม่เท่าเทียมกับประเทศไทยในบางชนิด แต่ก็ช่วยให้ต้นทุน และราคาต่ำลง รวมทั้งการลอกเลียนแบบการทำได้รวดเร็ว แม้คุณภาพยังไม่ดีนัก แต่ก็ส่งผลกระทบในอนาคต ดังนั้น นักธุรกิจในวงการออกแบบเครื่องประดับ และนักออกแบบเครื่องประดับไทยจึงต้องหันมาใช้กลยุทธ์ ในการผลิตสินค้าภายใต้สัญลักษณ์และยีห้อไทยโดยเจาะเฉพาะกลุ่มเป้าหมายซึ่งมีสินค้าไทยบางยี่ห้อ ประสบความสำเร็จ พอสมควรในตลาดสหรัฐอเมริกาและตลาดยุโรป นอกจากนี้ เครื่องประดับเหล่านี้จะออกเป็นแฟชั่นควบคู่ไปกับแฟชั่นเสื้อผ้า ข้อสำคัญนักออกแบบต้องดึงเอกลักษณ์ไทยให้คนไทยภูมิใจหันมาใช้ผลิตภัณฑ์เครื่องประดับไทยจึงนับว่าเป็นโอกาสที่ท้าทายผู้สนใจในการประกอบอาชีพนี้ที่มีความสามารถในการสร้างนวัตกรรมใหม่หรือสร้างสรรค์การออกแบบ จะมีโอกาสในการทำงานสูงใน ภาคธุรกิจเอกชน หรืออาจประกอบธุรกิจส่วนตัวได้

8.ตัวอย่างบุคคลที่อยู่ในอาชีพดังกล่าว
กว่าที่จะถึงวันนี้ ศตุลฬพัฒน์ ภิญโญ นักออกแบบเครื่องประดับ ประจำบริษัททีน่า จิวเวลรี่ ต้องอาศัยการเดินทางผ่านกาลเวลาและเก็บสะสมประสบการณ์ ตลอด 15 ปี ในสายงานนี้นักออกแบบเครื่องประดับหนุ่มวัย 29 ปี เล่าว่า เกิดและโตใน อ.พนมทวน จ.กาญจนบุรี วัยเยาว์ฝันอยากเป็นนักวิทยาศาสตร์ แต่เป็นแค่ฝันตลอดมา ด้วยว่าเมื่อจบการศึกษาชั้น ม.3 รร.พนมทวนชนูปถัมภ์ ไม่มีโอกาสศึกษาต่อต้องทำมาหาเลี้ยงตัวเอง เริ่มจากฝึกงานทำตัวเรือนขึ้นพิมพ์เครื่องประดับ และทำสร้อยคอจากเพชรและพลอย ที่ร้านจิวเวลรี่แห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ และได้รับโอกาสดีในชีวิต เมื่อนักออกแบบเครื่องประดับประจำร้านลาออก เจ้าของร้านเห็นแววช่างฝึกหัดจึงส่งเสริมให้เรียนรู้เกี่ยวกับการออกแบบอัญมณีหลักสูตร 6 เดือน ที่สถาบันกรุงเทพอัญมณีศิลป์ คุณศตุลฬพัฒน์เล่าว่า เมื่อจบหลักสูตร จึงรับหน้าที่นักออกแบบเครื่องประดับประจำร้านเป็นเวลา 3 ปี แล้วเปลี่ยนไปทำงานแวดวงบันเทิง 2 ปี ก่อนกลับมาทำงานออกแบบเครื่องประดับอีกครั้งและดำเนินเรื่อยมาถึงวันนี้ ทุกอย่างค่อยก้าวทีละขั้น เก็บประสบการณ์ทำงานจากบริษัทจิวเวลรี่ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ควบคู่กับการส่งผลงานออกแบบเครื่องประดับเข้าประกวดระดับประเทศ หลายต่อหลายครั้ง ผลงานออกแบบถูกนำไปถ่ายแฟชั่นในนิตยสาร รวมทั้งเป็นเครื่องประดับของมิสโดมินิกัน ในการเข้าประกวดมิสยูนิเวิร์สเมื่อ4 ปีที่ผ่านมา
“วัน ๆ มีความสุขกับการอยู่กับดินสอ กระดาษ นำความคิดมาจากแรงบันดาลใจ จากการมองเห็นสิ่งต่าง ๆ ถ่ายทอดลงไปและผลิตออกมาเป็นเครื่องประดับ เมื่องานออกมามีความสุขมาก และความสุขเพิ่มมากขึ้นเมื่อลูกค้าเลือกงานเราไป ใส่ หลักการออกแบบของผม เริ่มคิดแล้วสานต่อคิดเช่น แนวคิดจากขนนก คงไม่ใช่นำใช้ขนนกทั้งหมด แต่นำสี ลวดลายธรรมชาติขนนกทำเครื่องประดับ การทำงานจะว่าไปแล้วเหมือนนักวิทยาศาสตร์ที่ฝันอยากเป็นตั้งแต่เด็กคือ การได้แนวคิดแล้วนำมาทดลองด้วยการออกแบบใส่วัตถุดิบ จนกว่าจะออกมาเป็นเครื่องประดับสวยงาม” เครื่องประดับอัญมณี ต้องผ่านขั้นตอนการผลิตหลายขั้นตอนกว่าจะออกมาเป็นชิ้นงาน เริ่มต้นจากนักออกแบบเครื่องประดับเริ่มคิดและวาดรูปทรง และระบุวัตถุดิบบนกระดาษ จากนั้นจะส่งภาพวาดดังกล่าวให้ช่างขึ้นตัวเรือน เมื่อตัวเรือนเสร็จเรียบร้อย ก็ถึงขั้นตอนนำวัตถุดิบจำพวกอัญมณีที่ระบุไว้ในแบบเช่น เพชร พลอยและหยกมาร้อยเรียงประดับโดยใช้เทคนิคและฝีมือในการฝังลงบนตัวเรือน เมื่อเสร็จขั้นตอนนี้จะขัดเงาและชุบ เรเดียมให้เงาวาววับระยับจับตา.

ฐิติกุล หวานอ่อน กล่าวว่า...

นางสาวฐิติกุล หวานอ่อน รหัส 48010511230 คณะศึกษาศาสตร์ สาขาภาษาไทย ชั้นปีที่ 4
บทความ อาชีพนักจิตวิทยา
1. ชื่ออาชีพ
นักจิตวิทยา Psychologist
2. ลักษณะของอาชีพ (การทำงาน)
1. ตรวจวินิจฉัยทางจิตวิทยา โดยการใช้เครื่องมือทดสอบจิตวิทยาที่เป็นมาตรฐาน ร่วมกับ การสังเกตพฤติกรรม และการสัมภาษณ์ วิเคราะห์ และแปลผลการทดสอบ
2. บำบัดรักษาทางจิตวิทยา เป็นวิธีการบำบัดรักษาที่ไม่ต้องใช้ยา ซึ่งแตกต่างจากจิตแพทย์ อาจบำบัดรักษา โดยการใช้ยาได้
3. ศึกษา ค้นคว้า วิจัยทางจิตวิทยาใน และป้องกันโรคเกี่ยวข้องกับการเผยแพร่ความรู้ทางจิตวิทยา ในรูปแบบการสอน การฝึกอบรม เป็นต้น เพื่อให้ประชาชนมีแรงจูงใจ และสนใจจะเรียนรู้เรื่องเกี่ยวกับจิตวิทยา เพื่อพัฒนาตนเองให้มีสุขภาพจิตดีขึ้น หรือพ้นจากภาวะเสี่ยงต่อการเกิดปัญหา สุขภาพจิต
ปัจจุบัน นักจิตวิทยาแบ่งตามประเภทของสาขาการศึกษาดังนี้
- สาขาจิตวิทยาการศึกษา (Educational Psychology) ทำหน้าที่เกี่ยวกับการนำหลักการทาง จิตวิทยามาใช้ในการสำรวจปัญหาทางการศึกษา ตลอดจนสร้างหลักการ ทางจิตวิทยาที่มีระบบระเบียบวิธีการของตนเอง ถือเป็นศาสตร์หนึ่งทางด้านพฤติกรรมศาสตร์
- สาขาวิทยาพัฒนาการ (Developmental Psychology) ทำหน้าที่เกี่ยวกับการศึกษา ความสามารถทางพฤติกรรมของมนุษย์ตั้งแต่เกิดจนตาย อย่างเป็นลำดับขั้นตอนว่า มีกระบวนการพัฒนา แต่ละวัยอย่างไร รวมทั้งปฏิสัมพันธ์ระหว่างหน้าที่ต่างๆ ของการพัฒนาโดยเฉพาะทางจิตใจ
- สาขาจิตวิทยาสังคม (Social Psychology) ทำหน้าที่เกี่ยวกับการศึกษาพฤติกรรมของมนุษย์ในสังคมอย่างเป็นระบบ เนื้อหาวิชารวมการปฏิสัมพันธ์ทั้งหมด เช่น ศึกษาการรับรู้การตอบสนอง ระหว่างบุคคล อิทธิพลของบุคคลที่มีต่อผู้อื่น ฯลฯ
- สาขาจิตวิทยาการปรึกษา (Counseling Psychology) ทำหน้าที่เกี่ยวกับการช่วยให้คนรู้จัก และเข้าใจตนเองอย่างลึกซึ้งทุกด้าน ช่วยให้คนรู้จักโลกและสิ่งแวดล้อมของตนช่วยให้คนรู้จักการพัฒนา และสามารถนำศักยภาพหรือความสามารถที่ตนมีอยู่มาใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อตนเอง และผู้อื่น รู้จักเลือก และตัดสินใจอย่างฉลาดเพื่อแก้ปัญหาและปรับตัวอยู่ในสังคมอย่างมีความสุข
- สาขาจิตวิทยาอุตสาหกรรม (Industrial Psychology) ทำหน้าที่เกี่ยวกับการนำความรู้ทาง จิตวิทยามาใช้ในการดำเนินการคัดเลือกบุคคล พัฒนาการบริหาร การจูงใจลูกจ้าง วิจัยตลาด วิจัยด้านมนุษยสัมพันธ์ เพื่อตอบสนองธุรกิจและอุตสาหกรรม
- สาขาจิตวิทยาคลีนิค (Clinical Psychology) ทำหน้าที่เกี่ยวกับการศึกษาเกี่ยวกับปัญหาการปรับตัวของมนุษย์โดยพยายามค้นหาสาเหตุว่าคนที่มีพฤติกรรมเช่นนั้น หรือมีความผิดปกติทางจิตใจนั้นมีสาเหตุมาจากอะไรนักจิตวิทยาคลีนิคใช้หลักการและความรู้ทางจิตวิทยามาวิเคราะห์ และบำบัดรักษาผู้ที่มีปัญหาทางด้านอารมณ์และพฤติกรรม เช่น ปัญหาทางสุขภาพจิตโรคประสาท การติดยาเสพติด ความผิดปกติทางเชาวน์ปัญญา ปัญหาความขัดแย้งในครอบครัว ตลอดจนปัญหาการปรับตัวอื่นๆ เพื่อค้นหาวิธีการปรับตัวและการแสดงออกที่ดีและเหมาะสมกว่า
ผู้ปฏิบัติงานอาชีพนี้ โดยทั่วไปปฏิบัติงานในห้องทำการรักษาเหมือนกับแพทย์ทั่วไป และมีการออกไปเยี่ยมคนไข้หรือชุมชน การปฏิบัติหน้าที่อาจมีโอกาสเสี่ยงที่จะถูกทำร้ายจากคนไข้ ซึ่งมีอารมณ์ไม่ปกติได้ง่าย ดังนั้น ห้องทำงานจึงควรจัดให้มีความปลอดภัย และมีผู้ช่วยดูแลในเรื่องความปลอดภัยของนักจิตวิทยาด้วย
นักจิตวิทยาจะต้องปฏิบัติงานร่วมกับทีมจิตเวช นักสังคมสงเคราะห์จิตเวช และพยาบาลจิตเวช
3. ลักษณะของบุคคลที่เหมาะสมกับอาชีพ (ความต้องการก้านบุคลากร)
1. สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีคณะสังคมศาสตร์, คณะมนุษยศาสตร์ในประเภทสาขาการศึกษาจิตวิทยา
2. มีความเมตตา โอบอ้อมอารี มีใจรักในอาชีพการบำบัดและรักษา และชอบบริการช่วยเหลือผู้อื่น และผู้ป่วย
3. มีคุณธรรม จริยธรรม มีความอดทนสูงและใจเย็น
4. ควรมีสุขภาพร่างกายแข็งแรง มีความร่าเริง อาจจะต้องมีการสอบขึ้นทะเบียน และรับใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบโรคศิลปในอนาคต แต่ปัจจุบันยังไม่ต้องมี
4. ระดับรายได้และความก้าวหน้า รวมไปถึงสวัสดิการที่เกี่ยวกับอาชีพ
รายได้
ผู้ปฏิบัติงานอาชีพนี้ ส่วนใหญ่รับราชการในโรงพยาบาล หรือโรงพยาบาลจิตเวช โดยจะได้รับ ค่าตอบแทนเป็นเงินเดือนตามวุฒิการศึกษาระดับปริญญาตรี ในอัตรา 6,360 บาท
สำหรับภาคเอกชน หรือองค์การระหว่างประเทศ อาจจะได้รับเงินเดือนประมาณ 7,500-8,000 บาท หรืออาจจะถึง 15,000 บาท ซึ่งขึ้นอยู่กับองค์กร และสถานที่ทำงานในแต่ละพื้นที่
ปฏิบัติงานวันละ 8 ชั่วโมง หรือสัปดาห์ละ 40-48 ชั่วโมง มีการปฏิบัติงานพิเศษนอกเหนือเวลาราชการในกรณีมีโครงการหรือกิจกรรมเฉพาะอย่าง
ผู้ปฏิบัติงานอาชีพนี้ จะได้รับผลประโยชน์อย่างอื่นนอกเหนือจากเงินเดือนตามระเบียบของ ทางราชการ หรือของภาคเอกชน ซึ่งขึ้นอยู่กับนโยบายและแนวทางปฏิบัติของแต่ละสถานประกอบการ
ความก้าวหน้า
สำหรับผู้ประกอบอาชีพนี้ ในโรงพยาบาลของรัฐบาล จะได้รับการเลื่อนตำแหน่งตามสายงาน จนถึงระดับสูงสุด ที่ระดับ 8 สำหรับในภาคเอกชนจะได้รับการเลื่อนตำแหน่งสูงสุดตามโครงสร้างขององค์กร
5. วิธีการเข้าสู่อาชีพ (การศึกษา, สาขาที่เกี่ยวข้อง, วิชา, วุฒิการศึกษา)
ต้องสำเร็จการศึกษาหลักสูตรมัธยมศึกษาตอนปลาย แผนการเรียนวิทยาศาสตร์หรือเทียบเท่า หรือสายศิลป์ เพื่อสอบคัดเลือก เข้าศึกษาต่อ ในมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ในคณะสังคมศาสตร์และคณะมนุษยศาสตร์ประเภทสาขาการศึกษาจิตวิทยา เป็นต้น
6. มหาวิทยาลัยหรือสถานศึกษาที่เปิดสอน
- จุฬาภรณ์มหาวิทยาลัย
- มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
- มหาวิทยาลัยรามคำแหง
- มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
7. ความต้องการของตลาดแรงงาน
เนื่องจากในประเทศไทยเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย และมีผลกระทบต่อเนื่องเป็นลูกโซ่ สังคมเกิดสภาพบีบคั้นทางด้านการมีงานทำ คือการลดลงของรายได้ การเลิกจ้างงาน จนถึงส่งผลกระทบไปถึงสมาชิก ในครอบครัว ทำให้ประชาชนที่ได้รับผลกระทบ เกิดความเครียด มีปัญหาทางด้านจิตใจ ไม่สามารถแก้ปัญหาด้วยตนเองได้ ประชาชนจำนวนหนึ่งจึงหันไปพึ่งยาเสพติดประเภทกล่อมประสาทที่มีการซื้อขายกัน อย่างสะดวกด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ โดยคิดว่าจะช่วยผ่อนคลายความเครียด และหนีปัญหาได้ แต่เมื่อติดยาเสพติดแล้ว บางรายอาจทำร้ายบุคคลในครอบครัว อีกทั้งสถิติการฆ่าตัวตาย ในประเทศไทย มีอัตราเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ รัฐบาลได้ตระหนักถึงเหตุการณ์นี้ และได้จัดเตรียมเจ้าหน้าที่ที่มีหน้าที่ รักษาดูแล ป้องกันและบำบัดรักษา คือ นักจิตวิทยา นักจิตแพทย์ เพื่อช่วยเหลือบริการบุคคลที่ไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ทางด้านจิตใจขึ้นที่โรงพยาบาลทั่วไป และโรงพยาบาลจิตเวชทั่วประเทศ รวมทั้งการติดตั้งโทรศัพท์สายด่วนสุขภาพจิต ตลอดจนจัดตั้งเว็บไซต์ เพื่อบริการให้ความรู้ข้อมูลข่าวสารที่เป็นประโยชน์ ในการดำเนินชีวิต ให้คำปรึกษาแนะนำ และให้แนวทาง แก้ปัญหาสุขภาพจิตที่ถูกต้อง ดังนั้น อาชีพนักจิตวิทยาจึงเป็นที่ต้องการของสังคมอย่างมากในยุคปัจจุบัน
นอกจากนี้ โรงเรียน วิทยาลัย มหาวิทยาลัย และสถานศึกษาทุกแห่ง รวมทั้งในองค์กรพัฒนาเอกชนที่ไม่หวังผลกำไร อย่างเช่น มูลนิธิต่างๆ ที่ดูแลเด็กที่ด้อยโอกาส หรือหญิงที่ถูกทำร้าย ตลอดจน คลีนิกรักษาผู้เสพยาเสพติด ก็ต้องการนักจิตวิทยาเช่นกัน แต่ขณะนี้ยังมีการจ้างงานจำนวนน้อย
8. ตัวอย่างบุคคลที่อยู่ในอาชีพนักจิตวิทยา
ดร. วัลลภ ปิยะมโนธรรม
ดร. วัลลภ ปิยะมโนธรรม นักจิตวิทยาและที่ปรึกษาโครงการศูนย์ให้คำปรึกษาและพัฒนาศักยภาพมนุษย์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ มักได้รับการวิพากษ์วิจารณ์ในแง่ของความไม่เห็นด้วยกับแนวความคิดและวิธีการบำบัดปัญหาทางจิตกรณีต่าง ๆ โดยเฉพาะ กลุ่มคนรักร่วมเพศ ที่ ดร.วัลลภ มีความเห็นว่า พฤติกรรมรักร่วมเพศนั้นมีสาเหตุมาจากการเลี้ยงดู ไม่ใช่พันธุกรรม และสามารถรักษาให้หายขาดได้
- จบการศึกษาจากโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย
- จบการศึกษาระดับปริญญาตรีทางจิตวิทยา จากมหาวิทยาลัยซานฟรานซิสโก สหรัฐอเมริกา
- จบการศึกษาระดับปริญญาโทจิตวิทยาการศึกษา จาก มหาวิทยาลัยบอสตัน สหรัฐอเมริกา
- จบการศึกษาระดับปริญญาเอกจิตวิทยาคลินิก จาก มหาวิทยาลัยบอสตัน สหรัฐอเมริกาและปริญญาเอกจิตวิทยาการให้คำปรึกษา มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
ดร. วัลลภ เป็นที่รู้จักกันดีจากบทบาทที่เป็นนักจิตวิทยา ที่ให้ความเห็นต่อสังคมในประเด็นต่าง ๆ ในแง่ของจิตวิทยา เป็นวิทยากรให้ความรู้และที่ปรึกษาเกี่ยวกับจิตวิทยาในสื่อและในโอกาสต่าง ๆ อดีตอาจารย์ประจำคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทร์วิโรฒ และหัวหน้าศูนย์ให้คำปรึกษาสุขภาพจิต มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ จนเกษียณอายุราชการ

เคน วิลเบอร์
เคน วิลเบอร์ (Ken Wilber หรือ Kenneth Earl Wilber Jr.) เกิดเมื่อวันที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2492 (ค.ศ. 1949) ที่เมืองโอคลาโฮมาซิตี สหรัฐอเมริกา เป็น นักปรัชญา นักจิตวิทยา และนักทฤษฎีคนสำคัญของโลก เขาพัฒนาทฤษฎีที่มีชื่อว่า ทฤษฎีบูรณาการ โดยวางอยู่บนกระบวนทัศน์แม่บท (meta-paradigm) คือ "ทุกคนถูกต้อง" เขาเขียนหนังสือเล่มแรกตั้งแต่อายุ 23 ปี ชื่อ The Spectrum of Consciousness หนังสือเล่มสำคัญเล่มอื่น ๆ ของเขาได้แก่ Sex, Ecology, Spirituality และ A Brief History of Everything

bombam...sansom กล่าวว่า...

นางสาวนวลฉวี ปัตเตย์ บ๋อมแบ๋ม คณะศึกษาศาสตร์ สาขาภาษาไทย
รหัสนิสิต 48010511243
1.ชื่ออาชีพ
ผู้ประกอบอาหาร Cook
ผู้ปฏิบัติงานอาชีพนี้ ทำงานเกี่ยวกับทำอาหารให้เป็นที่พอใจของลูกค้าโดยวางแผนการประกอบอาหาร คิดรายการอาหาร จัดหา หรือสั่งให้จัดหาเครื่องปรุงอาหาร เตรียมอาหาร และประกอบอาหารในธุรกิจร้านอาหารส่วนตัวโรงแรม ภัตตาคาร สถานบริการอาหารทั่วไป และธุรกิจประกอบอาหารสำเร็จรูปส่งลูกค้า
2.ลักษณะของอาชีพ (การทำงาน)
ผู้ประกอบอาชีพนี้ อาจได้รับการเรียกว่า "พ่อครัว" หรือ "แม่ครัว" ต้องมีความรู้ในการทำหรือปรุงอาหารไทย อาหารฝรั่ง หรืออาหารจีนรวมทั้งการทำของหวาน หรืออาจมีความรู้ในการประกอบอาหารอย่างใดอย่างหนึ่ง ตามที่กล่าวมา ซึ่งต้องทำหน้าที่และมีความรู้หลักดังนี้
1. วางแผนออกรายการประกอบอาหารต่อมื้อ หรือรายวัน อาจเป็นรายการอาหารไทย หรืออาหารเทศและของหวาน
2. กำหนดรายการเครื่องประกอบอาหารซึ่งอาจจะต้องพิจารณาให้เหมาะสมกับฤดูกาลสำหรับเครื่องปรุงบางประเภทเช่น ผักสด ปลา เนื้อสัตว์ ผลไม้
3. จัดทำงบประมาณค่าใช้จ่ายตามรายการที่กำหนดเป็นรายวันหรือตามระยะเวลา ที่เหมาะสม เช่น 2 วัน 3 วัน เป็นต้น จัดซื้อหรือสั่งการซื้อรายการเครื่องประกอบอาหารวัสดุอุปกรณ์ประกอบอาหาร เครื่องปรุงอาหาร และเก็บอาหาร ถนอมอาหารแต่ละประเภท ให้เหมาะสม
4. จัดการเตรียมส่วนประกอบอาหาร เพื่อพร้อมปรุง เช่น หั่นเนื้อสัตว์ หั่นผัก เตรียมเครื่อง ปรุงรส
5. ถ้าประกอบอาหารไทยต้องปรุงรสและปรุงอาหารไทยด้วยกรรมวิธีแตกต่างกันไป เช่น แกงจืด แกงเผ็ด ต้มยำ ผัดต้ม ย่าง อบ ปิ้ง นึ่ง ทอด เจียว ตุ๋น น้ำพริก หลน ยำ ปรุงอาหารตาม ใบสั่ง ปรุงอาหารเป็นชุด หรือปรุงอาหารจานเดียว
6. ในการทำของหวานอาจเป็นผลไม้ ซึ่งต้องจัดและปอกผลไม้ ชิมรสของหวานหรือขนม และจัดแต่งให้สวยงาม
7. ให้คำแนะนำผู้ช่วยปรุงอาหาร ควบคุมปริมาณ และควบคุมการล้างจานและสิ่งที่ใช้บริโภคอื่นๆ
8. อาจทำหน้าที่คัดเลือกคนงาน และแนะนำวิธีเสริฟ์อาหาร
9. อาจจัดเก็บข้อมูลคุณค่าอาหารทางโภชนาการของแต่ละชนิด และข้อมูลฤดูกาลของอาหาร และผลไม้สด ไว้เป็นหมวดหมู่ เพื่อสะดวกต่อการจัดหาและการเก็บถนอม





3.ลักษณะของบุคคลที่เหมาะกับอาชีพ (ความต้องการด้านบุคลากร)
1. ต้องมีความรู้และความสามารถในการประกอบอาหาร เฉพาะอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือหลายอย่างเช่น อาหารไทย อาหารฝรั่ง อาหารจีน การทำขนมหรือของหวาน
2. มีใจรักการทำอาหารและการบริการ
3. มีความอดทน สามารถทำงานได้ใต้สภาวะความกดดันตามความต้องการของลูกค้า
4. ร่างกาย สุขภาพแข็งแรง
5. เป็นคนใจกว้าง สามารถยอมรับคำติชมจากลูกค้าได้พยายามเสาะแสวงหาความรู้ และประสบการณ์ ให้มากขึ้น
6. เป็นคนมีไหวพริบในการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า
7. ซื่อสัตย์ ขยัน และรักความสะอาด
ผู้ที่จะประกอบอาชีพนี้ ควรเตรียมความพร้อมดังต่อไปนี้คือ : สำหรับผู้สนใจและรักในอาชีพนี้ สามารถเริ่มต้นอาชีพได้ตั้งแต่สำเร็จการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โดยเข้ารับการอบรมการประกอบอาหารไทยได้ที่ สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน(สพร.) หรือ ศูนย์พัฒนาฝีมือแรงงานจังหวัด(ศพจ.) จะได้รับวุฒิบัตรพัฒนาฝีมือแรงงาน ระยะเวลาการอบรม 2 เดือนและฝึกงานในสถานประกอบการอีก 1 เดือน ซึ่งผู้เรียนสำเร็จแล้วสามารถนำความรู้มาประกอบอาชีพเชิงพาณิชย์ได้ นอกจากนี้ อาจไปฝึกอบรมที่สถาบันราชภัฎหรือสถานศึกษาของเอกชน ซึ่งจะออกใบรับรองการผ่านการฝึกอบรมให้
4.ระดับรายได้ และความก้าวหน้า รวมไปถึงสวัสดิการที่เกี่ยวกับอาชีพ
ผู้ปฏิบัติอาชีพนี้ จะได้รับค่าตอบแทนเป็นเงินเดือนในอัตราที่แตกต่างกันไปตามขนาดและรายได้ของสถานประกอบกิจการ และฝีมือหรือและประสบการณ์ ของผู้ประกอบอาหารในการจ้างงานอาจเริ่มจากการเป็นผู้ช่วยผู้ประกอบอาหาร และมีประสบการณ์อย่างน้อย 1 -2 ปี
- สำหรับร้านอาหารขนาดเล็ก ที่ขายอาหารเช้า กลางวัน และเย็น ผู้ประกอบอาหารจะได้รับ เงินเดือนประมาณ 7,000 - 9,000 บาท แต่ส่วนมากร้านอาหารประเภทนี้ผู้ประกอบการคือผู้ประกอบอาหารเอง
- ร้านอาหาร หรือห้องอาหาร ขนาดกลาง ที่มีโต๊ะอาหารประมาณ 20 โต๊ะที่บริการอาหารกลางวันและอาหารเย็น ผู้ประกอบอาหารจะได้เงินเดือนประมาณ 10,000 - 15,000 บาท
- ภัตตาคารขนาดใหญ่ จะมีผู้ประกอบอาหารหลายคน แบ่งตามหน้าที่และความถนัด แต่ละคนอาจจะได้เงินเดือนคนละประมาณ 15,000 - 20,000 บาท
ผู้ปฏิบัติงานอาชีพนี้ไม่มีชั่วโมงทำงานที่แน่นอน อาจมีเวลาพักบ้างในช่วงที่ปิดการบริการ และเริ่มทำงานเมื่อเปิดให้บริการ แต่ผู้ประกอบอาหารก็จะต้องใช้เวลาช่วงใดช่วงหนึ่งในการซื้อและจัดเตรียมเครื่องประกอบอาหารและเครื่องปรุง


5.วิธีการเข้าสู่อาชีพ (การศึกษา, สาขาที่เกี่ยวข้อง, วิชา, วุฒิการศึกษา)
ผู้ปฏิบัติงานในอาชีพนี้ต้องเข้าใจถึงธรรมชาติของอาชีพนี้ ไม่ว่าจะปฏิบัติหน้าที่อยู่ใน ภัตตาคารของ โรงแรม ภัตตาคาร ห้องอาหาร ร้านอาหารธรรมดา หรือ ประกอบเป็นอาชีพส่วนตัว คือต้องทำงานหนัก ต้องอยู่ในครัว และหน้าเตาประกอบอาหาร เผชิญกับความร้อน กลิ่นอาหารทั้ง ของสด หรือขณะกำลังปรุง และต้องอยู่ในครัวในช่วงเช้ามืดเพื่อเตรียมและประกอบ อาหารเช้า กลางวัน และเย็น หรือออกไปตลาดสดเพื่อเลือกซื้ออาหารสดด้วยตนเอง

6.มหาวิทยาลัยหรือสถานศึกษาที่เปิดสอน
1.โรงเรียนสอนทำอาหาร
2. มหาวิทยาลัยทุกแห่งที่เปิดสอนคณะเทคโนโลยี(การอาหาร)

7.ความต้องการของตลาดแรงงาน
เป็นอาชีพที่ธุรกิจ ภัตตาคาร ห้องอาหาร หรือ ร้านอาหารและเครื่องดื่มต้องการ ผู้ประกอบอาหาร หรือพ่อครัว หรือแม่ครัว เป็นอันดับแรก และเจ้าของธุรกิจจะรักษาบุคลากรด้านนี้ไว้เป็นระยะเวลานาน เนื่องจากผู้บริโภคจะติดใจในรสฝีมือของผู้ประกอบอาหารเป็นอันดับแรก ถ้ามีการเปลี่ยนผู้ประกอบอาหาร แม่ครัว หรือพ่อครัว ผู้บริโภคจะทราบถึงการเปลี่ยนแปลงทันทีผู้ประกอบอาชีพนี้จะเป็นที่ต้องการอย่างมากในธุรกิจนี้ และมักจะมีการได้รับข้อเสนอจากเจ้าของธุรกิจประเภทเดียวกันนี้ให้ไปทำงานด้วยอยู่เนืองๆ และเป็นอาชีพที่มีคนตกงานน้อยมาก
แนวโน้มตลาดแรงงานจะรับผู้ประกอบอาชีพนี้มากขึ้นเพราะพ่อครัว หรือแม่ครัวที่มีประสบการณ์ เป็นเวลากว่า 10 - 15 ปีขึ้นไป ในสถานประกอบการ มักจะลาออกไปเปิดร้านอาหารเอง ทำให้มีตำแหน่งว่างมากขึ้น และเมื่อแรกรับบุคลากรในอาชีพนี้มักจะรับในตำแหน่งงานของผู้ช่วยก่อนเสมอเพื่อช่วยงานและเรียนรู้งานจากพ่อครัว หรือแม่ครัว ที่ทำงานอยู่ก่อนแล้ว
ปัจจุบัน อาหารไทยเป็นที่รู้จักกันไปทั่วโลกและได้รับการบรรจุอยู่ในรายการอาหารของภัตตาคารเกือบทั่วโลก ดังนั้น ความต้องการแรงงานนี้มีมากพอสมควร เช่น ร้านอาหารไทยในต่างประเทศ หรือครัวไทยในภัตตาคารของโรงแรมที่มีชื่อเสียงระดับ 4 ดาว และสำหรับผู้ต้องการประกอบธุรกิจในการประกอบอาหารเองปัจจุบัน ได้มีการรณรงค์การให้ข้อมูลทางโภชนาการของส่วนประกอบอาหารไทย ด้วยการจัดนิทรรศการ สัมมนา และเผยแพร่ผ่านสื่อทุกประเภทแก่ผู้บริโภคกันอย่างแพร่หลายทำให้ ผู้บริโภค มีความเข้าใจถึงคุณค่าทางอาหาร และคุณสมบัติของอาหารทั้ง 5 หมู่ ไม่ว่าจะเป็น เนื้อสัตว์ ผักสด และผลไม้ที่นำมาประกอบอาหารว่าสิ่งใดมีประโยชน์ และสามารถป้องกันโรคต่อร่างกายได้ อีกทั้งยังมีการเผยแพร่ถึงคุณค่าของพืชผักสมุนไพรไทยท้องถิ่นแต่ละแหล่งที่มีคุณค่าเป็นทั้งอาหารที่รักษาและป้องกันโรคธรรมดาสามัญที่เกิดขึ้นในแต่ละฤดูกาล
นอกจากนี้ความเชื่อทางศาสนาและลัทธิต่างๆ ได้ทำให้ ประชาชนหันมาสนใจและตื่นตัวในการเลือกอาหารที่จะบริโภคอย่างระมัดระวังมากขึ้นพิจารณาส่วนประกอบแต่ละชนิดว่า มีคุณภาพและคุณค่าทางอาหารต่อตนและครอบครัวเพียงใด จึงได้เกิดมี กลุ่มการประกอบอาหารเพื่อสุขภาพตามกลุ่มเป้าหมายมากขึ้นนอกเหนือจากอาหารธรรมดาที่บริโภคกันเป็นประจำ เช่น อาหารมังสะวิรัต อาหารเจ อาหารชีวจิต อาหารดุลยภาพบำบัด อาหารที่ประกอบละปรุงด้วยพืชผัก สมุนไพร ร้านอาหารปลอดสารพิษหรือปลอดผงชูรส เป็นต้น
นับว่าเป็นโอกาสอันดีของผู้ต้องการเลือกอาชีพอิสระอย่างการประกอบอาหารเป็นอาชีพหลัก เพราะร้านอาหารประเภทบริการเฉพาะกลุ่มนี้ยังสามารถเปิดได้ตลอดเวลา เพราะทำให้เกิดความสะดวกสบายต่อผู้บริโภคในการซื้อหาได้ง่ายขึ้น เพียงแต่ผู้สนใจที่จะประกอบอาชีพนี้จะต้องมีความคิดสร้างสรรค์ ความคิดใหม่ๆ และไม่ควรเปิดร้านอาหารเหมือนร้านที่มีอยู่ดาษดื่นทั่วไป ควรเลือกประกอบอาหารจัดสรรรายการอาหารที่สอดคล้องกับความรู้และความต้องการ ของกลุ่มผู้บริโภคอันเป็น หัวใจหลักอันสำคัญของการประกอบอาชีพนี้ อีกอาชีพหนึ่งที่ ผู้ประกอบอาหารมีช่องทางในธุรกิจคือการส่งอาหารตามบ้าน จะเป็นแบบประจำที่เรียกว่าส่งปิ่นโต หรือแบบสั่งทางโทรศัพท์ ซึ่งยังเป็นที่ต้องการ ของหมู่บ้านทุกหมู่บ้าน เพียงแต่ผู้ประกอบอาหารจะต้องมีไหวพริบ ปรับเปลี่ยนพลิกแพลงรายการอาหารให้ถูกใจผู้บริโภค แล้วหันมาสนใจปรับปรุงวิธีการบริการ จัดแบบสอบถามให้ลูกค้าได้เป็นผู้เลือกรายการอาหารด้วยตนเอง ซึ่งผู้ประกอบอาหารสามารถประกอบอาชีพนี้ได้ทีบ้าน
นอกจากนี้ควรหาช่อง ทางจำหน่ายและบริการอาหารในโอกาสต่างๆ ด้วย เช่น การจัดอาหารสำหรับงานเลี้ยงให้กลุ่มลูกค้าในวันเกิด เทศกาลปีใหม่ วันเด็ก แข่งขันกีฬาประจำหมู่บ้าน โดยจัดทำใบเสนอรายการให้แต่ละหมู่บ้าน ล่วงหน้าและมีการติดต่อสร้างสัมพันธ์หรือประชาสัมพันธ์ด้วยตนเองอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะถูกลักษณะนิสัยของคนไทยที่ชอบรับประทานอาหารที่ไม่จำเจ มีบริการเป็นกันเอง เอาใจ ส่งถึงบ้าน และให้เกียรติลูกค้า
สำหรับผู้ต้องการประกอบอาหารในปริมาณที่มากให้กับนักศึกษาในมหาวิทยาลัยหรือให้ ข้าราชการ ในสถานที่ราชการให้พนักงานในโรงงานอุตสาหกรรม รัฐวิสาหกิจ หรืออาคาร ที่ทำงานขนาดใหญ่ที่เรียกว่าโรงอาหาร หรือแคนทีน เป็นอีกช่องทางหนึ่งที่ผู้มีความชำนาญ ในการประกอบอาหารจะเข้าไปดำเนินการ โดยต้องใช้วิธีการประมูลเสนอราคา และอยู่ในระยะกำหนดช่วงเวลาสัญญาจากเจ้าขององค์กร หรือสถาบันนั้นๆ ซึ่งปัจจุบันกำลังเป็นที่นิยมแพร่หลายมากขึ้น เพราะสะดวกต่อเจ้าขององค์กรต่างๆ ในการจัดหาอาหารและเครื่องดื่มที่มีคุณภาพและราคาย่อมเยาให้กับ นิสิตนักศึกษาและพนักงานนอกจากนี้ ยังสามารถไปประกอบอาชีพนี้ในสถานประกอบการธุรกิจบันเทิงหลายแห่ง เช่น รีสอร์ท สนามกอล์ฟ สวนสนุก สวนสัตว์ ศูนย์ประชุม สวนอาหารในศูนย์การค้า ฯลฯ



8.ตัวอย่างบุคคลที่อยู่ในอาชีพดังกล่าว
หม่อมหลวง ศิริเฉลิม สวัสดิวัตน์ (หมึกแดง)
การศึกษา : ระดับมัธยมศึกษา
สำเร็จการศึกษาจากสถาบัน Cheltenham College ประเทศอังกฤษ
ระดับอุดมศึกษา
สำเร็จการศึกษาคณะรัฐศาสตร์การฑูต สาขาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ที่ Georgetown University, Washington D.C. ประเทศสหรัฐอเมริกา
สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียน Chef ที่ Culinary Institute of America Hyde Park, New York, ประเทศสหรัฐอเมริกา
ประสบการณ์ : 1. ปี 1982-1989 ดำรงตำแหน่ง Executive Chef และเจ้าของ ภัตตาคาร Back Porch Cafe’ ที่ Rehoboth Beach ประเทศสหรัฐอเมริกา
ดำรงตำแหน่ง Executive Chef ที่ Chez Wok Catering Service, Washington D.C. ประเทศสหรัฐอเมริกา
2. ปี 1990–1991 ดำรงตำแหน่ง Executive Chef ที่ The Marriotte Beach Hotel ที่เกาะ Key West, Florida ประเทศสหรัฐอเมริกา
3. ปี 1992 ดำรงตำแหน่ง Food & Beverage Director ของกลุ่มภัตตาคาร Paul Tripp ที่เกาะ Key West, Florida ประเทศสหรัฐอเมริกา
4.ปี 1993 ดำรงตำแหน่งผู้ดูแลและผู้ช่วย หม่อมราชวงศ์ ถนัดศรี สวัสดิวัตน์
5. ปี 1994 ดำรงตำแหน่ง Marketing Director, SLP International Bangkok
6. ปี 1997 ดำรงตำแหน่งผู้ดำเนินรายการโทรทัศน์ รายการ"ครอบจักรวาลคิทเช่น" ทุกวันอาทิตย์ เวลา 11.00 น. ทางช่อง 9
ดำรงตำแหน่งกรรมการบริหารบริษัท การวิก จำกัด
ดำรงตำแหน่ง Project Director ที่ City Resort Project
ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษา บริษัท เชียร์ จำกัด
7. ปี 1998-2000 ดำรงตำแหน่ง Director บริษัท Matching Entertainment จำกัด
เป็นผู้ดำเนินรายการโทรทัศน์ รายการ "หมึกแดงแผลงรส" ทุกวันเสาร์ เวลา 16.30 น. ทางสถานีโทรทัศน์สีกองทัพบก ช่อง 7
8. ปี 2001 เป็นผู้ดำเนินรายการโทรทัศน์ รายการ "หมึกแดงคู่ครัว" ทุกวันจันทร์ เวลา 16.30 น. ทางสถานีโทรทัศน์สีกองทัพบก ช่อง 5
ปัจจุบัน :

1. ดำรงตำแหน่ง Managing Director และ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ถนัดศรี แอนด์ ซัน คอนซัลติ้ง จำกัด
2. ดำรงตำแหน่ง Managing Director บริษัท แมคแดง ดอท คอม จำกัด
3. ดำรงตำแหน่ง Managing Director บริษัท หมึกแดงพัฒนา จำกัด
4. ที่ปรึกษาด้านการบริการบนเครื่อง บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน)
5. ดำรงตำแหน่ง Creative Director และผู้ดำเนินรายการโทรทัศน์ รายการ "พ่อลูกเข้าครัว"
ทุกวันศุกร์ เวลา 10.30น. - 11.00 น. ทางสถานีโทรทัศน์ ช่อง ITV
6. ที่ปรึกษาด้านอาหาร ผลิตภัณฑ์ "ไวไว"
7. ที่ปรึกษา บจก. สยามไวเนอรี่
8. เขียนคอลัมน์ "วาไรตี้" ในหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ทุกวันศุกร์
9. เขียนคอลัมน์ในหนังสือ The Nation ภาษาอังกฤษ






กิจกรรมอื่นๆ:
อดีต ที่ปรึกษาด้านการจัดการอาหารสำหรับนักกีฬา เอเชี่ยนเกมส์ ครั้งที่ 13 ที่จัดขึ้นที่กรุงเทพมหานคร ในนาม บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน)
เป็นวิทยากรรับเชิญบรรยายที่ Assumtion University
เป็นวิทยากรรับเชิญบรรยายที่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
เป็นวิทยากรรับเชิญบรรยายที่ Dusit College
สาธิตการประกอบอาหาร ในรายการโทรทัศน์ "ยำใหญ่" และ "จานเด็ด"
สาธิตการประกอบอาหาร ในรายการโทรทัศน์ "เมนูจานเด็ด" (มกราคม, 1997)
เป็นผู้ดำเนินรายการโทรทัศน์ รายการ "ครัวไทย 2000" ทางสถานีโทรทัศน์สีกองทัพบก ช่อง 5
เขียนคอลัมน์ "Food & Drink" ในหนังสือพิมพ์ THE NATION (Sunday Focus) ทุกวันอาทิตย์
เขียนคอลัมน์ "โลกของหมึกแดง" ในหนังสือเนชั่นสุดสัปดาห์ ทุกวันจันทร์
ตอบจดหมายในนิตยสาร IMAGE คอลัมน์ "IMAGE CAFE"

Sirintip กล่าวว่า...

นางสาวศิริทิพย์ สุภารัตนากุล รหัส 48010520511
คณะศึกษาศาสตร์ สาขาการศึกษาปฐมวัย ระบบพิเศษ
บทความเรื่อง อาชีพ วิศวกรอาหาร
ลักษณะอาชีพ ( การทำงาน)
นิยามอาชีพ
วิเคราะห์ วิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหาร อันได้แก่ อาหารและเครื่องดื่มต่างๆ เพื่อปรับปรุงกระบวนการผลิตทางเคมี รวมถึงวิจัยและพัฒนา ค้นหาผลิตภัณฑ์อาหารและกระบวนการผลิตชนิดใหม่ คำนวณและออกแบบกรรมวิธีการผลิต เครื่องจักร และอุปกรณ์ สำหรับใช้ในการผลิตเชิงอุตสาหกรรมเคมี เพื่อใช้ผลิตผลิตภัณฑ์อาหารนั้นๆ ตลอดจนคำนวณและออกแบบระบบและมาตรการความปลอดภัย และการกำจัดของเสีย ทั้งในการผลิต การใช้ การเก็บ การขนส่ง/เคลื่อนย้าย และการป้องกันสิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์อาหารดังกล่าว : ปฏิบัติงานหลักมูลฐานเช่นเดียวกันกับวิศวกรเคมีทั่วไป แต่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะงานออกแบบ ดูแลและควบคุมกระบวนการผลิตอาหารและเครื่องดื่มทางเคมี และงานในโรงงานอุตสาหกรรมอาหาร
ลักษณะของงานที่ทำ
ประเทศไทยเริ่มมีการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการอาหารเมื่อปี พ.ศ.2505 และในปี พ.ศ.2535 เริ่มมีหลักสูตรวิชาวิศวกรรมอาหารขึ้นในภาควิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการอาหาร คณะอุตสาหกรรม การเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ขึ้นครั้งแรก
ผู้ประกอบอาชีพนี้จะมีหน้าที่หลักที่ต่อเนื่องและสอดคล้องกับการปฏิบัติงานของนักวิทยาศาสตร์การอาหาร ดังนี้
1. จัดหาเครื่องจักรและออกแบบสายการผลิตเพื่อผลิตผลิตภัณฑ์อาหารในราคาประหยัด และมีประสิทธิภาพสูง
2. ออกแบบระบบการผลิต และเครื่องจักรใหม่ๆ ให้มีราคาเหมาะสมกับภาวะเศรษฐกิจ
3. ควบคุมดูแลบุคลากรในสายการผลิตให้ปฏิบัติงานอย่างถูกต้องเต็มศักยภาพ
4. ดูแลควบคุมสายงานการผลิตและการบรรจุอาหาร และหรือเครื่องดื่มให้เป็นไปตามแผนการผลิตที่วางไว้
5. ให้คำแนะนำและแก้ไขปัญหาระหว่างการผลิต ตลอดทั้งควบคุมคุณภาพของผลิตภัณฑ์
6. วางแผนการซ่อมบำรุงเครื่องจักรและอุปกรณ์การผลิต
7. ควบคุมดูแลป้องกันมลพิษที่เกิดจากการผลิตทั้งในและนอกโรงงาน
8. ปฏิบัติงานอื่นๆ ที่ได้รับมอบหมายและประสานงานกับฝ่ายที่เกี่ยวข้อง
ระดับรายได้และความก้าวหน้ารวมไปถึงสวัสดิการที่เกี่ยวกับอาชีพ
สภาพการจ้างงาน
จำนวนวิศวกรอาหารที่จบการศึกษาในแต่ละปีค่อนข้างน้อยซึ่งส่วนใหญ่ทำงานในภาคเอกชน โดยเฉพาะโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่มีชื่อเสียงหลายแห่ง และได้รับอัตราค่าจ้างเดือนละประมาณ 15,000 – 20,000 บาท ตลอดจนสวัสดิการต่างๆ โบนัสประจำปี
สภาพการทำงาน
ผู้ประกอบอาชีพนี้ อาจทำงานทั้งในโรงงานผลิต และในห้องปฏิบัติการทดลอง โดยต้องใส่เครื่องแบบการปฏิบัติงาน และสวมอุปกรณ์นิรภัยส่วนบุคคล

วิธีการเข้าสู่อาชีพ (การศึกษา, สาขาที่เกี่ยวข้อง, วิชา, วุฒิการศึกษา)
คุณสมบัติของผู้ประกอบอาชีพ
1. จบการศึกษาวิทยาศาสตร์บัณฑิตสาขาวิศวกรรมอาหาร
2. มีความคิดสร้างสรรค์ในการประดิษฐ์เครื่องจักรต่างๆ ตามความต้องการของนักวิทยาศาสตร์การอาหาร หรือผู้ประกอบการโดยใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม
3. มีความรู้เรื่องวัสดุต่างๆ ที่ใช้ในการผลิตเครื่องจักร ตลอดทั้งแหล่งที่มาของวัสดุ
4. มีความรู้เรื่องการจัดทำงบประมาณค่าใช้จ่าย
5. มีความรับผิดชอบสูง
6. มีปฏิภาณไหวพริบ มีลักษณะเป็นผู้นำ และมีความเป็นผู้ตาม
7. มีจรรยาบรรณในวิชาชีพ
8. มีความรู้ในเรื่อง ระบบ ISO 9001 ระบบคุณภาพตามหลักเกณฑ์และวิธีการผลิตอาหารในโรงอาหาร (CMP) ระบบหลักการวิเคราะห์อันตรายและควบคุมจุดวิกฤติ (HACCP) และมาตรฐานการผลิตต่างๆ ขององค์การอนามัยโลก และองค์การค้าโลก
โอกาสในการมีงานทำ
ในปัจจุบันมีสถาบันการศึกษาที่ผลิตบัณฑิตวิศวกรรมอาหาร ประมาณ 3 – 4 แห่ง ซึ่งไม่เพียงพอกับความต้องการของตลาดอุตสาหกรรมอาหาร เพราะมหาวิทยาลัยแต่ละแห่ง สามารถผลิตบุคลากรได้เพียงไม่เกินปีละ 20 คน รัฐบาลต้องการให้ไทยก้าวไปสู่การเป็นแหล่งผลิตอาหารของประชาคมโลก จึงส่งเสริมให้มีการพัฒนาวิสาหกิจชุมชนตามโครงการหนึ่งผลิตภัณฑ์หนึ่งตำบลทั่วประเทศ วิศวกรอาหารจึงจำเป็นต่อวงการอุตสาหกรรมอาหารเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเกี่ยวกับการผลิตเครื่องจักรที่เหมาะสมต่อสภาวะแวดล้อมและราคา ตลอดทั้งขนาดที่สอดคล้องกับการผลิตสินค้าต่างๆ ของชุมชน เพื่อทดแทนการนำเข้าเครื่องจักขนาดใหญ่ราคาแพง เช่น เครื่องทอดสูญญากาศ เครื่องกลั่นสุราแช่ขนาดเล็ก เครื่องอบแห้ง พลังงานแสงอาทิตย์ เครื่องมือและอุปกรณ์การผลิตไวน์ เป็นต้น
ผู้ประกอบอาชีพนี้ที่เป็นเพศชายเป็นที่ต้องการของตลาดแรงงานมาก เนื่องจากโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ กระจายอยู่ทั่วภูมิภาค แต่ถ้าเป็นเพศหญิงมักพึงพอใจที่จะทำงานในโรงงานอุตสาหกรรมในเขตปริมณฑลมากกว่า ดังนั้น ผู้สนใจประกอบอาชีพนี้จึงมีโอกาสเลือกที่จะเข้าทำงานในสถานประกอบกิจการแต่ละแห่งได้ เช่น โรงงานผลิตอาหารกระป๋อง โรงงานอาหารแช่เยือกแข็ง โรงงานอุตสาหกรรมเฉพาะทาง ประเภทผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์ ที่ผลิตไส้กรอก โรงงานผัก ผลไม้อบแห้ง โรงงานขนมปัง คุ้กกี้ และอาหารขบเคี้ยว ตลอดจนโรงงานผลิตภัณฑ์นม และโรงงานเครื่องดื่มต่างๆ
โอกาสความก้าวหน้าในอาชีพ
ผู้ประกอบอาชีพวิศวกรอาหาร ควรศึกษาต่อในระดับปริญญาโท หรือระดับปริญญาเอก เพื่อจะได้มีโอกาส เลื่อนตำแหน่งเป็นผู้จัดการสายการผลิต หรือเป็นผู้จัดการโรงงาน
อาชีพที่เกี่ยวเนื่อง
อาจารย์ นักวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญ ที่ให้บริการคำปรึกษาด้านการออกแบบโรงงานอุตสาหกรรมอาหาร หรือเป็นนักประดิษฐ์คิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ เกี่ยวกับเครื่องมือและอุปกรณ์ต่างๆ ในการผลิต ตลอดจนเป็นนักธุรกิจด้านอุตสาหกรรมอาหาร เป็นต้น
มหาวิทยาลัยหรือสถานศึกษาที่เปิดสอน
• มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล
• จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
• มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
• มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
• มหาวิทยาลัยขอนแก่น
• มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
• มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิต
• มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานคร
• มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี

ความต้องการของตลาดแรงงาน
ปัจจุบันประเทศไทยมีความต้องการอาชีพที่เกี่ยวกับ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จึงเป็นที่ต้องการมากเป็นอันดับหนึ่ง จนต้องจัดประเภทเป็นสาขาวิชาชีพที่ขาดแคลน นอกจากนี้วิศวกรสามารถตอบสนองการพัฒนาประเทศได้อย่างรวดเร็ว ความต้องการวิศวกรจึงมีมากด้วย และวิศวกรบางสาขา เช่น วิศวกร กำลังเป็นที่ต้องการ เพราะมนุษย์ต้องคำนึงถึงทรัพยากรบนโลก พลังงาน อาหาร สิ่งแวดล้อม แร่ธาตุที่สำคัญ และการใช้เทคโนโลยีเพื่อแก้ปัญหาโดยเฉพาะในอุตสาหกรรม การผลิตและจัดสรรพลังงาน การอนุรักษ์และจัดการสิ่งแวดล้อม
ตัวอย่างบุคคลที่อยู่ในอาชีพดังกล่าว (เรื่องราวโดยย่อ)
ชำนาญเรื่อง : วิทยาศาสตร์อาหาร ด้าน : ความปลอดภัยและสุขาภิบาลของอาหาร
ความชำนาญเฉพาะด้าน :
1. การศึกษาอายุการเก็บของอาหารในบรรจุภัณฑ์
2. บรรจุภัณฑ์สำหรับอาหาร
ชื่อ นาง เจิมขวัญ สังข์สุวรรณ
มหาวิทยาลัย : เชียงใหม่
ตำแหน่ง : อาจารย์ ระดับ : 5
ปีเกิด : 2517 อายุ : 32 ปี
สถานที่ติดต่อ
สถานที่ทำงาน ภาควิชาเทคโนโลยีการบรรจุ คณะอุตสาหกรรมเกษตร
เลขที่ 155 ตรอก/ซอย ถนน คลองชลประทาน ตำบล/แขวง แม่เหียะ อำเภอ เมือง จังหวัด เชียงใหม่ รหัสไปรษณีย์ 50100
โทรศัพท์ : 053-948224 โทรสาร : 053-948201 e-mail : jurmkwan@chaingmai.ac.th
บ้านพักเลขที่ ตรอก/ซอย ถนน ตำบล/แขวง อำเภอ จังหวัด รหัสไปรษณีย์
โทรศัพท์ : โทรสาร : e-mail :
ผลงานที่น่าสนใจ
1.งานวิจัยเรื่อง การศึกษาอายุการเก็บข้าวเกรียบฟักทองในภาชนะบรรจุต่างชนิด , 2542
2. งานวิจัยเรื่อง การประเมินอายุการเก็บของผักผลไม้ทอดกรอบ, 2546

การอบรม/ดูงาน
1. Pack Expo , Chicago ,USA. 1999 , 2001
2. Pro Pack Asia ,Bangkok , Thailand 2002, 2003
3. Interplast Intermold, Bangkok , Thailand, 2003
ประสบการณ์/การเป็นวิทยากร
1. บรรยายเกี่ยวกับเทคนิคการบรรจุผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูป
2. บรรยายเกี่ยวกับบรรจุภัณฑ์สำหรับอาหารและเครื่องดื่ม
3. บรรยายเกี่ยวกับการออกแบบบรรจุภัณฑ์

น.ส.จิราภรณ์ เงินหล่อ กล่าวว่า...

นางสาวจิราภรณ์ เงินหล่อ รหัสนิสิต 48010510019 สาขาวิชาวิทยาศาสตร์ทั่วไป ชั้นปีที่ 4
1.ชื่ออาชีพ
นักเทคโนโลยีทางการศึกษา Education Technology specialist
2.ลักษณะของอาชีพ (การทำงาน)
ผู้ที่ปฏิบัติงานอาชีพนี้ ทำหน้าที่วางแผนการจัดหาเทคโนโลยี และเทคนิคที่เหมาะสมต่อการทำสื่อการสอนถ่ายทอดไปทั่วประเทศ รวมทั้งวัสดุ อุปกรณ์ และเครื่องมือ ตลอดจนการให้คำแนะนำ และให้บริการด้านสื่อ การเรียน สื่อกิจกรรมต่อคณะอาจารย์ นักศึกษา นักเรียน และประชาชนทั่วไปที่สนใจ การศึกษาแบบตลอดชีวิต นอกจากนี้ อาจดูแลงานด้านโสตทัศนูปกรณ์ และการจัดตำราเรียน ข้อสอบและสิ่งพิมพ์เพื่อการเรียนการสอน
1. ศึกษาค้นคว้าเพื่อหาเทคโนโลยี หรือเทคนิคที่เหมาะสมกับการทำสื่อการเรียนการสอนเฉพาะวิชาหรือโดยทั่วไป
2. วางแผนการจัดทำสื่อการเรียนการสอน เพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์เฉพาะเรื่อง หรือโดยทั่วไป
3. จัดหาวัสดุ อุปกรณ์ และเครื่องมือ เพื่อจัดทำสื่อการเรียนการสอนหรือจัดหาสื่อการสอน วัสดุการสอน รวมทั้ง ตำราเรียน เอกสารประกอบการสอนให้เหมาะสมกับวิชาการนั้นๆ และให้ทันสมัยอยู่เสมอ
4. ผลิตนวัตกรรมในการใช้สื่อจากวัตถุดิบในประเทศโดยใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม
5. เป็นศูนย์กลางให้บริการการอบรมทางวิชาการโดยผ่าน หรือใช้เครื่องมือโสตทัศนูปกรณ์ และหรือเครื่องฉายวิดีโอขนาดใหญ่ โทรทัศน์วงจรปิด วิดีโอคอนฟิเรนซ์ และอินเตอร์เน็ต
6. เป็นศูนย์กลางประสานงานด้านการบริการสื่อการสอนที่ต้องใช้เทคนิค และเครื่องมือต่างๆ ให้กับทุกคณะ
7. อาจประสานงานกับศูนย์สารสนเทศเพื่อการจัดการ และศูนย์สนเทศเพื่อการศึกษาของมหาวิทยาลัย หรือสถาบันการศึกษาอื่นๆ
8. จัดทำโฮมเพจ และปรับปรุงให้ทันสมัยอยู่เสมอ เพื่อให้เข้าถึงข้อมูลได้สะดวก
9. ดูแล บริการ เก็บบำรุงรักษา อุปกรณ์ และเครื่องมือต่างๆ ให้อยู่ในสภาพที่ใช้งานได้ดี และพร้อมในการใช้งานได้เสมอ
3.ลักษณะของบุคคลที่เหมาะกับอาชีพ (ความต้องการด้านบุคลากร)
ประกอบอาชีพนี้ ควรมีคุณสมบัติดังนี้
1. สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี สาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์ สาขาเทคโนโลยีสารสนเทศ สาขาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ สาขาเทคโนโลยีสื่อสารการศึกา
2. มีความสามารถในการจัดหาไมโครคอมพิวเตอร์ ฮาร์ดแวร์ และซอฟท์แวร์ มีความสามารถในการควบคุม และเข้าใจการติดตั้งโปรแกรมระบบเครื่องได้
3. มีความรู้ในการใช้เทคโนโลยีช่วยในการสื่อสารในการสอน เช่น การติดตั้งใช้อินเตอร์เน็ตได้
4. มีความรู้ และทักษะในการผลิต และการใช้อุปกรณ์สื่อการสอน
5. มีความรู้และทักษะในการใช้อุปกรณ์มัลติพรีเซนเทชั่น การใช้ดีวีดี วิดีโอ และการใช้จอแอลซีดีขนาดใหญ่ รวมทั้งโสตทัศนูปกรณ์แบบต่างๆ ได้
6. มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี มีความสามารถในการทำงานเป็นทีม
7. มีความเข้าใจในภาษาอังกฤษ
8. มีความสนใจ และติดตามในเรื่องของการใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ อยู่เสมอ
4.ระดับรายได้ และความก้าวหน้า รวมไปถึงสวัสดิการที่เกี่ยวกับอาชีพ
ผู้ปฏิบัติงานอาชีพนี้ปฏิบัติงานอยู่ในมหาวิทยาลัย และสถาบันการศึกษาของทั้งภาครัฐ และภาคเอกชนถ้าปฏิบัติงานอยู่ในมหาวิทยาลัย หรือสถาบันการศึกษาของรัฐจะได้รับค่าตอบแทน การทำงานเป็นเงินเดือนตามวุฒิการศึกษา และประสบการณ์ ตามอัตราที่ได้กำหนดไว้พร้อมด้วยสวัสดิการและผลประโยชน์อย่างอื่นตามระเบียบของทางราชการส่วนมหาวิทยาลัย หรือสถาบันการศึกษา ภาคเอกชนอาจได้รับเดือนละประมาณ 7,000 - 8,000 บาท มีสวัสดิการ และผลประโยชน์พิเศษอย่างอื่นตามระเบียบที่กำหนดขึ้นโดยมหาวิทยาลัยหรือสถาบันการศึกษานั้นๆ ผู้ปฏิบัติงานอาชีพนี้ทำงานสัปดาห์ละ 40 ชั่วโมง ถ้าทำงานล่วงเวลาจะได้รับค่าตอบแทนเป็นเงินค่าล่วงเวลาตามอัตราที่กำหนด
5.วิธีการเข้าสู่อาชีพ (การศึกษา, สาขาที่เกี่ยวข้อง, วิชา, วุฒิการศึกษา)
ที่จะประกอบอาชีพนี้ ควรเตรียมความพร้อมดังนี้คือ : เป็นผู้จบการศึกษาชั้นมัธยมศึกษา ตอนปลาย (ม.6) สายวิทย์-คณิต หรือ ศิลป์ - คำนวณตามหลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการ (บางมหาวิทยาลัยอาจไม่รับผู้จบปวช.ปวท. และปวส.) และต้องมีผลลการเรียนภาษาอังกฤษไม่ต่ำกว่า 6-12 หน่วยกิต จึงจะสมัครสอบคัดเลือกเข้าศึกษาในสถาบันอุดมศึกษาระดับปริญญาตรีในคณะวิทยาศาสตร์ สาขาวิชาการคอมพิวเตอร์สาขาวิชาการสารสนเทศ (วิทย์) สำนักวิชาสารสนเทศศาสตร์ สาขาระบบสารสนเทศ หรือ การจัดการ
6.มหาวิทยาลัยหรือสถานศึกษาที่เปิดสอน
มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมธิราช
มหาวิทยาลัยขอนแก่น
มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฎจันทรเกษม

7.ความต้องการของตลาดแรงงาน
ปัจจุบัน นวัตกรรมทางเทคโนโลยีทำให้โลกแคบเข้า และเล็กลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีบทบาทมาก ในการศึกษาระดับมหาวิทยาลัย หรืออุดมศึกษา เพราะผู้เรียนในระดับนี้ที่อยู่ในประเทศไทยสามารถร่วมฟังติดต่อสอบถาม หรือแลกเปลี่ยนความรู้กับอาจารย์ในมหาวิทยาลัยในต่างประเทศที่มีการให้ความร่วมมือช่วยเหลือกันทางด้านการศึกษา และแลกเปลี่ยนการเรียนการสอน กับมหาวิทยาลัยที่ตนเองเข้ารับการศึกษาดังนั้น มหาวิทยาลัย และสถาบันการศึกษาต่างก็ตระหนักในความสำคัญของการจัดตั้งศูนย์เทคโนโลยีทางการศึกษา (Center of Educational Technology) เพื่อทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางบริการให้แก่นักเรียน นักศึกษาทุกระดับ และอาจเปิดกว้างให้กับนักศึกษาทั้งในและนอกประเทศรวมทั้งอาจารย์ได้รับข้อมูล ข่าวสารอันจำเป็นในด้านการศึกษา เพื่อการศึกษาค้นคว้าเอกสาร เพื่อประกอบการเรียนการสอน และการจัดทำตำราเรียนโดยการเชื่อมต่อกับเครือข่ายศูนย์บริการเทคโนโลยีสารสนเทศ หรือระบบสารสนเทศของมหาวิทยาลัยหรือสถาบันการศึกษานั้นๆ ทำให้การเข้าถึงความรู้ต่างๆทั่วโลก เป็นไปด้วยความสะดวกรวดเร็ว
ดังนั้นนักเทคโนโลยีทางการศึกษา จึงเป็นที่ต้องการของตลาดแรงงานในระดับปานกลางถึงมาก
โอกาสความก้าวหน้าในอาชีพ
ผู้ปฏิบัติงานอาชีพนี้ในมหาวิทยาลัยหรือสถานการศึกษาภาครัฐ จะได้รับการเลื่อนขั้น เลื่อนชั้นและเลื่อนตำแหน่ง ตามความสามารถ และการศึกษาเพิ่มเติม อาจได้รับเลื่อนตำแหน่งถึงระดับรองผู้อำนวยการ สำหรับในมหาวิทยาลัยหรือสถาบันการศึกษาภาคเอกชนอาจได้รับการเลื่อนชั้นเลื่อนตำแหน่งตามโครงสร้างขององค์กรขึ้นอยู่กับความสามารถและวุฒิการศึกษาเช่นกัน
อาชีพที่เกี่ยวเนื่อง
ครู-อาจารย์พิเศษ วิศวกรโทรคมนาคม วิศวกรคอมพิวเตอร์ ผู้จัดการสารสนเทศ ผู้ประกอบธุรกิจส่วนตัวเกี่ยวกับการให้บริการการอบรมในการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยในการทำสื่อการเรียน การสอน หรือเป็นตัวแทนการขายเทคโนโลยีสื่อการสอน
8.ตัวอย่างบุคคลที่อยู่ในอาชีพดังกล่าว (เรื่องราวโดยย่อ)
อาจารย์อภิชาติ อนุกูลเวช
อาชีพ รับราชการครู ตำแหน่ง ครู ค.ศ.2
สถานที่ติดต่อ วิทยาลัยเทคนิคชลบุรี ต.หนองชาก อ.บ้านบึง จ.ชลบุรี 20170
ประสบการณ์ทำงาน
o อาจารย์ประจำแผนกอิเล็กทรอนิกส์ วิทยาลัยเทคนิคชลบุรี (2550-ปัจจุบัน)
o เจ้าหน้าที่งานศูนย์ข้อมูลฯ (2539-2547)
o เจ้าหน้าที่งานวิจัยและพัฒนาฯ (2546-2547)
o อาจารย์พิเศษโรงเรียนเทคโนโลยีภาคตะวันออก (2539-ปัจจุบัน)
o อาจารย์พิเศษสถาบันราชภัฎราชนครินทร์ (2536-2539)
o ผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารสถานศึกษา วิทยาลัยเทคนิคชลบุรี (2545-2547)
o กรรมการจัดทำแผนแม่บทเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) สถาบันการอาชีวศึกษาภาคตะวันออก 2 พ.ศ.2546
o กรรมการกำหนดมาตรฐานสื่อและนวัตกรรม สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา พ.ศ.2546
o คณะกรรมการดำเนินงานฝ่ายวิชาการ ในการจัดอบรมเชิงปฏิบัติการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศบริหารงานสำนักงาน โดยใช้ระบบ paperless ให้แก่ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายส่งเสริมการศึกษา หัวหน้างานสารบรรณ และหัวหน้างานศูนย์ข้อมูลของสถานศึกษาสังกัดสถาบันการอาชีวศึกษาภาคกลาง พ.ศ.2546
o คณะกรรมการดำเนินงานฝ่ายวิชาการ ในการจัดอบรมเชิงปฏิบัติการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศบริหารงานสำนักงาน โดยใช้ระบบ paperless ให้แก่ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายส่งเสริมการศึกษา หัวหน้างานสารบรรณ และหัวหน้างานศูนย์ข้อมูลของสถานศึกษาสังกัดสถาบันการอาชีวศึกษาภาคตะวันออก พ.ศ.2546
o ผู้เชี่ยวชาญ/ผู้ทรงคุณวุฒิตรวจเครื่องมือวิจัย
 การพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน โดยใช้คุณสมบัติของสื่อหลายมิติแบบแสดงแผนภูมิ เรื่อง ไทเมอร์ เคาน์เตอร์ สำหรับนักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง ชั้นปีที่ 2 ในความควบคุมดูแลของ รศ.ดร.ฉลอง ทับศรี ของนายบุญชวน คงทรัพย์สินสิริ สาขาเทคโนโลยีการศึกษา มหาวิทยาลัยบูรพา พ.ศ. 2545
 รูปแบบการจัดตั้งศูนย์เทคโนโลยีการศึกษา สำหรับสถาบันการอาชีวศึกษาภาคตะวันออก 1 ในความควบคุมดูแลของ รศ.ลัดดา ศุขปรีดี ของนางสาวฑีฆายุวรรณ เอกบุตร สาขาเทคโนโลยีการศึกษา มหาวิทยาลัยบูรพา พ.ศ. 2548
 การพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต วิชาไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์เบื้องต้น หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ พุทธศักราช 2545 สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ของนางสาวสุชีราพร ปากน้ำ สาชาอุตสาหกรรมศึกษา มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ พ.ศ.2547
 การพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื่อง เวอร์เนียคาลิปเปร์ สำหรับนักเรียนประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นปีที่ 1 ในความควบคุมดูแลของ รศ.ดร.อารมณ์ เพชรรื่น ของนายชลอ นิ่มเสนาะ สาขาหลักสูตรและการสอน มหาวิทยาลัยบูรพา พ.ศ. 2549
 การพัฒนาและหาประสิทธิภาพบทเรียนบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เรื่อง โทรคมนาคมเบื้องต้น สำหรับนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) สาขาอิเล็กทรอนิกส์ โรงเรียนเทคโนโลยีภาคตะวันออก (อีเทค) ในความควบคุมดูแลของ ร.ต.ต. หญิง ดร.นิดาพรรณ สุรีรัตนันท์ ของ ว่าที่ร้อยตรีวาชยุ ปิยะสุวรรณ สาขาเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ พ.ศ.2550
o วิทยากรการอบรมเชิงปฏิบัติการพัฒนาสื่อบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน สปจ.ชลบุรี พ.ศ. 2546
o วิทยากรอบรมการสร้างสื่อการเรียนการสอนด้วยโปรแกรม Macromedia Authorware วิทยาลัยเทคนิคชลบุรี พ.ศ.2543
o วิทยากรการอบรมโครงการ "การอบรมคอมพิวเตอร์สู่ประชา" แกครู-อาจารยื ภายในวิทยาลัยเทคนิคชลบุรีและกลุ่มครู-อาจารย์ สังกัดการประถมศึกษาบ้านบึง จังหวัดชลบุรี พ.ศ.2541
o วิทยากรการอบรมเชิงปฏิบัติการ การสร้าง Homepage ของสถานศึกษา แก่ครู-อาจารย์ภายในวิทยาลัยเทคนิคชลบุรี พ.ศ.2545
o วิทยากร ในการจัดอบรมเชิงปฏิบัติการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศบริหารงานสำนักงาน โดยใช้ระบบ paperless ให้แก่ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายส่งเสริมการศึกษา หัวหน้างานสารบรรณ และหัวหน้างานศูนย์ข้อมูลของสถานศึกษาสังกัดสถาบันการอาชีวศึกษาภาคกลาง พ.ศ.2546
o วิทยากร ในการจัดอบรมเชิงปฏิบัติการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศบริหารงานสำนักงาน โดยใช้ระบบ paperless ให้แก่ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายส่งเสริมการศึกษา หัวหน้างานสารบรรณ และหัวหน้างานศูนย์ข้อมูลของสถานศึกษาสังกัดสถาบันการอาชีวศึกษาภาคตะวันออก พ.ศ.2546
o วิทยากรการจัดฝึกอบรมวิชาชีพ ในงานมหกรรมส่งเสริมอาชีพอิสระ "สร้างงาน ช่วยไทย ร่วมใจพัฒนา" ภาคกลางและภาคตะวันออก พ.ศ.2545
o วิทยากรอบรมหลักสูตร "เครื่องมือวัดและควบคุมในอุตสาหกรรม" ให้กับศูนย์อบรมไทย-เยอรมัน (TGI) พ.ศ.2546
o วิทยากรในการจัดอบรมเชิงปฏิบัติการ การใช้งานคอมพิวเตอร์เบื้องต้นและการสร้างสื่อการสอนโดยใช้โปรแกรม Microsoft Powerpoint แก่ครู-อาจารย์โรงเรียนเทศบาลบ้านบึง1 (สถาวร) วันที่ 7-8 เมษายน พ.ศ.2548
o วิทยากรในการจัดอบรมเชิงปฏิบัติการ การใช้งานคอมพิวเตอร์เบื้องต้นและการสร้างสื่อการสอนโดยใช้โปรแกรม Macromedia Authorware แก่ครู-อาจารย์โรงเรียนเทศบาลบ้านบึง1 (สถาวร) วันที่ 17-21 ตุลาคม พ.ศ.2548
o วิทยากรในการจัดอบรมเชิงปฏิบัติการ การใช้งานอินเทอร์เน็ตเบื้องต้นและการสร้างสื่อการสอนโดยใช้โปรแกรม Macromedia Authorware ระดับพื้นฐานแก่ครู-อาจารย์โรงเรียนเทศบาลบ้านบึง1 (สถาวร) วันที่ 24-28 เมษายน พ.ศ.2549
o วิทยากรในการจัดอบรมเชิงปฏิบัติการ การสร้างสื่อการสอนโดยใช้โปรแกรม Macromedia Authorware แก่นักศึกษาปริญญาตรี ภาควิชาอุตสาหกรรมศึกษา
มหาวิทยาลัยบูรพา กันยายน พ.ศ.2549
o วิทยากรอบรมเชิงปฏิบัติการ การสร้างเว็บไซต์เพื่อการเรียนการสอน ด้วยโปรแกรม Macromedia Dreamweaver แก่ครูโรงเรียนเทศบาล 1 (สถาวร) พ.ศ. 2549
o วิทยากรอบรมเชิงปฏิบัติการ การสร้างบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ด้วยโปรแกรม Macromedia Authorware แก่
การศึกษาดูงานในประเทศ
o การศึกษาดูงานศูนย์เทคโนโลยีการศึกษา มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมธิราช พ.ศ. 2542
o การศึกษาดูงานสถาบันวิทยบริการ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พ.ศ. 2547
o การศึกษาดูงานศูนย์เทคโนโลยีการศึกษา พ.ศ. 2547
o การศึกษาดูงานศูนย์เทคโนโลยีการศึกษา มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ พ.ศ. 2547
o การศึกษาดูงานศูนย์เทคโนโลยีการศึกษา มหาวิทยาลัยรามคำแหง พ.ศ. 2547
o การศึกษาดูงานสำนักคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง พ.ศ. 2547
o การศึกษาดูงานบริษัท imagimax พ.ศ. 2547
o การศึกษาดูงานวิทยาลัยพลังงานทดแทน มหาวิทยาลัยนเรศวร พ.ศ.2548
o การศึกษาดูงานศูนย์ฝึกอบรมและควบคุมระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ (CITCOMS Innovation Center) มหาวิทยาลัยนเรศวร พ.ศ.2548
o การศึกษาดูงานสถนบริการเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ พ.ศ.2548
การศึกษาดูงานนอกประเทศ
o การศึกษาดูงานประเทศสิงค์โปร พ.ศ. 2547
 Nanyang University of Singrapore
 Ngeeann Polytechnic
ผลงานทางวิชาการ
o งานวิจัย
คอมพิวเตอร์ช่วยสอนเรื่องแม่เหล็กและแม่เหล็กไฟฟ้า (ได้ผลคะแนนระดับ Outstanding)
สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง พ.ศ. 2543
การพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนฝึกปฏิบัติทางเทคนิคบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต สำหรับนักเรียนอาชีวศึกษา
มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ พ.ศ.2551

ชโลธร กล่าวว่า...

นางสาวชโลธร ทวีทรัพย์ รหัส 48010510621 สาขาสังคมศึกษา ชั้นปีที่4 คณะศึกษาศาสตร์
1.ชื่ออาชีพ
มัณฑนากร Interior-Decorator
2. ลักษณะของอาชีพ (การทำงาน)
ศึกษาโครงสร้างของงานและดำเนินการออกแบบตกแต่ง จัดหาเครื่องตกแต่งภายใน เพื่อตอบสนองงานนั้น ๆ ให้ตรงเป้าหมายและประโยชน์ใช้สอย ประมาณราคาและควบคุมการตกแต่งรวมถึงการติดต่อประสานกับ ผู้ทำงานระบบต่าง ๆ ตั้งแต่อาคารที่พักอาศัย อาคารพาณิชย์ อาคารสำนักงาน รวมถึงอาคารสาธารณะ หรือ สถานบริการที่มีลักษณะพิเศษ เช่น พิพิธภัณฑ์ สนามบิน เป็นต้น
มัณฑนากรเป็นผู้ออกแบบการตกแต่งภายในสถานที่อยู่อาศัย หรือสถานที่ทำงาน ต้องทำงานตามขั้นตอน และกำหนดเวลาชิ้นผลงานต่างๆ ร่วมกับผู้ว่าจ้าง
1. บันทึกรายละเอียด ความต้องการของลูกค้า เพื่อออกแบบให้สร้างสรรค์ ที่สุดและเป็นที่สะดุดตา ประทับใจ และได้รสนิยมตรงตามความต้องการของลูกค้า
2. ศึกษาโครงสร้างของงาน จัดดำเนินการออกแบบตกแต่ง คำนวณแบบ ประมาณราคา และเลือกวัสดุ ตกแต่งที่มีคุณภาพเหมาะสม และให้ประโยชน์สูงสุดกับลูกค้า และให้ตรง เป้าหมายและประโยชน์ใช้สอย
3. ส่งแบบที่วาดและเสนองบประมาณให้ลูกค้าพิจารณา
4. เมื่อผ่านการแก้ไขดัดแปลงแบบให้สมบูรณ์แล้วจึงส่งแบบให้กับช่างต่างๆ เช่นช่างไม้ หรือช่างเชื่อมเหล็กให้ทำงานตามโครงสร้างที่ออกแบบไว้
5. ปฏิบัติงาน และประสานงานกับระบบและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
6. ให้คำปรึกษาแนะนำแก่ช่างเพื่อให้การออกแบบเป็นไปตามเงื่อนไขสัญญา

3.ลักษณะของบุคคลที่เหมาะกับอาชีพ (ความต้องการด้านบุคลากร)
1.มีความคิดสร้างสรรค์
2.มีทักษะในการใช้คอมพิวเตอร์ เพื่อช่วยในการวาดรูปหรือออกแบบ
3.มีระเบียบวินัย เข้าใจถึงการบริการทางธุรกิจ
4.ติดตามความเคลื่อนไหวของวงการและการเปลี่ยนแปลงของศิลปะการออกแบบ การตลาด ธุรกิจ
5. ต้องมีความรู้และเข้าใจถึงลักษณะงาน และสภาพแวดล้อมของงานนั้น ๆ
6. มีทักษะและมีความเข้าใจทางด้านศิลปะในเชิงสร้างสรรค์
7. มองการณ์ไกล
8. สามารถเปิดรับความรู้ใหม่ๆ ได้ ต้องเป็นนักตั้งปัญหาที่ดีและมีความละเอียดถี่ถ้วน 5. รวมถึงการมีรสนิยมที่ดีด้วย มีมนุษยสัมพันธ์ดีในการติดต่อประสานงานกับทุกฝ่าย
9.ชอบและสนใจสิ่งสวยงามด้านศิลปะ ดนตรี และวรรณคดี เข้าใจงานช่างเทคนิค เพื่อทำงานร่วมกันได้ในสาขาเกี่ยวข้องกัน
10. และติดตามความเคลื่อนไหวของวงการและการเปลี่ยนแปลงของศิลปะการออกแบบการตลาด และธุรกิจ

4.ระดับรายได้ และความก้าวหน้า รวมไปถึงสวัสดิการที่เกี่ยวกับอาชีพ
มัณฑนากรที่รับราชการจะได้รับเงินเดือนตามวุฒิการศึกษา ถ้าทำงานกับภาคเอกชนจะได้รับเงินเดือนขั้นต้นอยู่ระหว่าง 15,000 - 20,000 บาท ขึ้นอยู่กับฝีมือและประสบการณ์ในการฝึกงานขณะที่กำลังศึกษาอยู่ และได้รับสวัสดิการตามที่กฎหมายแรงงานกำหนด และสิทธิประโยชน์อื่น เช่น โบนัส

5.วิธีการเข้าสู่อาชีพ (การศึกษา, สาขาที่เกี่ยวข้อง, วิชา, วุฒิการศึกษา)
การเตรียมตัวเข้าสู่อาชีพต้องมีพื้นฐานทางศิลปะและเป็นบุคคลที่ละเอียด ถี่ถ้วนมีหัวก้าวหน้า จบการศึกษา ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย สายศิลป์ เข้าศึกษาต่อคณะมัณฑนศิลป์ ในสถาบันอุดมศึกษาทั้งของรัฐบาลและเอกชน ระยะเวลาตามหลักสูตรมีทั้งที่เปิดสอน 4 ปี และ 5 ปี ในระดับปริญญาตรี และ 2 ปี ในระดับปริญญาโท สามารถเสริมประสบการณ์ได้โดยการเข้าฝึกงานกับบริษัทที่ดำเนินกิจการด้านนี้อยู่ ซึ่งในปัจจุบันมีทั้งของไทย และต่างชาติ การสมัครเข้าศึกษาใช้การสอบคัดเลือกกับทบวงมหาวิทยาลัย

6.มหาวิทยาลัยหรือสถานศึกษาที่เปิดสอน
มหาวิทยาลัยรังสิต
มหาวิทยาลัยศิลปากร
มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต
สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ
สถาบันเทคโนโลยีพระจอบเกล้าคุณทหารลาดกระบัง

7.ความต้องการของตลาดแรงงาน
สภาพเศรษฐกิจในปัจจุบัน ทำให้อุตสาหกรรม วงการก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ได้รับผลกระทบมากในการจัดหาเงิน มาดำเนินการลงทุนทางด้านก่อสร้าง ทำให้อาชีพนี้สะดุดไประยะหนึ่ง แต่ผู้ประกอบอาชีพนี้พยายามเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส คือ ใช้ความรู้ความสามารถ และประสบการณ์เปลี่ยนไปออกแบบเฟอร์นิเจอร์ ของเล่นอุปกรณ์การออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ และผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ต่างๆ เพื่อเจาะตลาดลูกค้ากลุ่มเป้าหมายเฉพาะ สามารถเป็นมัณฑนากรออกแบบตกแต่งภายในของหน่วยราชการ สำนักงานหรือห้างร้านต่างๆหรือประกอบธุรกิจส่วนตัว สำหรับความก้าวหน้าในอาชีพนี้ขึ้นอยู่กับความละเอียด ถี่ถ้วน และความคิดสร้างสรรค์ รายได้ของอาชีพนี้ค่อนข้างดีแต่ขึ้นอยู่กับภาวะเศรษฐกิจในแต่ละช่วงเวลา
8.ตัวอย่างบุคคลที่อยู่ในอาชีพดังกล่าว (เรื่องราวโดยย่อ)
เดชา อรรจนานันท์
จบการศึกษาจากคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ภาควิชาออกแบบตกแต่งภายใน สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า เจ้าคุณทหารลาดกระบัง ด้วยผลการเรียนในระดับเกียรตินิยมอันดับสอง ในระหว่างศึกษาอยู่ที่คณะสถาปัตย์ฯ เขามีโอกาสได้ฝึกงานที่บริษัท design motif ประเทศสิงคโปร์ ในตำแหน่งนักออกแบบภายใน นอกจากนี้ยังรับงานอิสระ ในด้านออกแบบภายใน ผลงานที่ผ่านมา เป็นโครงการที่ทำให้กับบริษัท IDA Believing.,Co.Ltd และบริษัท Of scale.,Co.Ltd หลังจากจบการศึกษาในปี พ.ศ. 2545 เขาก็ได้เข้าทำงานทันทีที่บริษัท IAW Company Limited ในตำแหน่งนักออกแบบภายในอย่างเต็มตัว ประสบการณ์การทำงาน ร่วมกับบริษัทออกแบบทั้งในและนอกประเทศ

ไปรมา กล่าวว่า...

1.ชื่ออาชีพ
นักหนังสือพิมพ์ Journalists

2.ลักษณะของงานที่ทำ ผู้ที่ปฏิบัติงานนี้อาชีพนี้ ทำหน้าที่เหมือน ผู้สื่อข่าวทุกประการ คือเสาะแสวงหาข่าว ด้วยวิธีการสัมภาษณ์ การถ่ายภาพ บันทึกเทป เข้าร่วมฟังการแถลงข่าว ซักถาม ตลอดจนค้นคว้าข้อมูลเพิ่มเติมตามความจำเป็น จากแหล่งข่าวทั้งจาก บุคคลผู้เชี่ยวชาญ และข้อมูลทางด่วนข่าวสาร และห้องสมุด เพื่อให้เนื้อหาของข่าวชัดเจน ครอบคลุมข้อมูลทุกด้านในประเด็นที่เขียน หรือได้รับมอบหมายจากหัวหน้าข่าวหรือบรรณาธิการให้ตรงกับข้อเท็จจริง มีความเป็นกลาง มีสารประโยชน์ต่อผู้บริโภคข่าวสาร และทันเหตุการณ์จริง ซึ่งปัจจุบัน ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีช่วยทำให้นักหนังสือพิมพ์สามารถรายงานข่าว จากสถานที่เกิดเหตุการณ์จริงหรือพื้นที่อันห่างไกลจากต่างจังหวัด หรือต่างประเทศผ่านอินเตอร์เน็ตส่งถึง กองบรรณาธิการได้อย่างรวดเร็ว รวมทั้งภาพถ่ายที่ถ่ายด้วยกล้องดิจิตอลซึ่งสามารถเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์พกพา และอินเตอร์เน็ตได้เช่นกัน นอกเหนือจากการส่งข่าวด้วยเครื่องโทรสาร โทรศัพท์และวิทยุสื่อสาร
นักหนังสือพิมพ์ที่ได้รับมอบหมายให้ทำข่าวสำคัญๆ จะได้รับอุปกรณ์และเครื่องมือสื่อสาร ที่ทันสมัยทุกชนิด เพื่อให้สามารถส่งข่าวให้ทันเวลาหรือเหตุการณ์
นักหนังสือพิมพ์ต้องปฏิบัติตนภายในกรอบของหน้าที่ ความรับผิดชอบ และจรรยาบรรณ นักหนังสือพิมพ์โดย ปฏิบัติงานดังนี้
1. หาข่าวและรายงานข่าวด้วยความซื่อตรงและสุภาพ ไม่ละเว้นการเสนอข้อเท็จจริงอันเป็นสาระประโยชน์และไม่บิดเบือนข้อเท็จจริงด้วยประการใดๆ
2. ปฏิบัติการเพื่อให้ได้มาซึ่งข่าว ภาพและเอกสารต่างๆด้วยวิธีการอันชอบธรรม
3. แสดงตนเองว่าเป็นผู้แทนหนังสือพิมพ์ก่อนสัมภาษณ์บุคคลใดบุคคลหนึ่ง ด้วยความมุ่งหมาย ในการนำเรื่องนั้นมาตีพิมพ์ โฆษณา
4. ส่งรายงานข่าวให้บรรณาธิการพิจารณาเพื่อพิมพ์เผยแพร่ต่อไป
5. อาจต้องทำงานในต่างจังหวัด หรือต่างประเทศ หรือในสถานที่ที่มีอันตราย หรือมีความไม่ปลอดภัย

3.ลักษณะของบุคคลที่เหมาะกับอาชีพ (ความต้องการด้านบุคลากร) 1. สำเร็จการศึกษาในสาขาสื่อสารมวลชน วารสารศาสตร์ นิเทศศาสตร์ หรือสาขาที่เกี่ยวข้อง คือเฉพาะสายงานที่สำคัญ เช่น เศรษฐกิจการเงินการธนาคารซึ่อาจรับผู้ที่สำเร็จการศึกษาสาขานั้นโดยตรง
2. มีความสนใจความเคลื่อนไหวของเหตุการณ์ และสถานการณ์ของประเทศและโลก
3. มีความสนใจ ตั้งใจ รักในอาชีพขวนขวายหาความรู้ และค้นคว้าหาข้อมูลความจริงของข่าว ในทางลึก และทางกว้าง
4. มีความรู้ภาษาต่างประเทศ สามารถใช้คอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์สื่อสารทุกชนิด
5. มีทัศนคติที่ดี มีความเป็นกลาง มีความยุติธรรม และพร้อมที่จะถูกตรวจสอบจากประชาชนผู้บริโภค
6. สามารถเข้าใจสถานการณ์ คาดการณ์สถานการณ์รวมทั้งสามารถวิเคราะห์เหตุการณ์ หรือข่าวที่เกิดขึ้น ได้อย่างถูกต้องแม่นยำ สมเหตุสมผล และเป็นไปในลักษณะของการ สร้างสรรค์ และประเทืองความรู้แก่ประชาชน
7. มีความรับผิดชอบสูง ซื่อสัตย์ มีสัจจะ สุขุมรอบคอบ ละเอียดถี่ถ้วน
8. มีความกล้าหาญอดทน มีความมั่นใจในตนเอง ไม่ท้อถอยในงานที่ต้องรับผิดชอบ
9. สามารถเดินทางไปทำข่าวได้ทุกหนทุกแห่งทั่วโลก
10. มีสุขภาพแข็งแรง
11. มีสังคมและมนุษยสัมพันธ์ที่ดี สามารถสร้างความสัมพันธ์กับแหล่งข่าว และเป็นที่ไว้วางใจของแหล่งข่าวในการเสนอข่าว สามารถเก็บรักษาความลับที่มาของแหล่งข่าว อันอาจทำให้เกิดอันตรายต่อแหล่งข่าวได้
12. ปฏิบัติตนตามจรรยาบรรณของนักหนังสือพิมพ์โดยส่งเสริมภราดรภาพ ละเว้นการถือเอาประโยชน์ของเพื่อนสมาชิก ไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนในการปฏิบัติหน้าที่ ไม่รับสินจ้างรางวัลหรือผลประโยชน์ใดๆ อันเป็นเครื่องจูงใจไม่ให้เคารพต่อหน้าที่ และวิชาชีพของตน รักษา และส่งเสริมเกียรติคุณ และชื่อเสียงแห่งความเป็นนักหนังสือพิมพ์ไว้เป็นอย่างดี อันเป็นจรรยาบรรณของนักหนังสือพิมพ์ที่กำหนดขึ้นโดยสมาคม นักข่าวและนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย พ.ศ. 2498 แก้ไขเพิ่มเติม 2507 และต้องมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องสิทธิมนุษยชนอย่างลึกซึ้ง

4.ระดับรายได้ และความก้าวหน้า รวมไปถึงสวัสดิการที่เกี่ยวกับอาชีพ
นักหนังสือพิมพ์ ที่มีความสามารถมีรายได้หรือเงินเดือน รวมทั้งค่ายานพาหนะเป็นค่าตอบแทน ค่อนข้างสูง นอกเหนือจากสวัสดิการ และโบนัสซึ่งขึ้นอยู่กับผลประกอบการขององค์กร และนโยบายธุรกิจของเจ้าของสื่อแต่ละองค์กร โดยทั่วไปนักหนังสือพิมพ์ที่มีวุฒิการศึกษา ระดับปริญญาตรี จะได้รับเงินเดือน ขั้นต้นประมาณ 8,500 -9,000 บาท โดยจะได้รับค่ายานพาหนะประจำเดือน อีกคนละ 3,000 - 4,000 บาท ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาวะค่าครองชีพในแต่ละปี ถ้ามีความสามารถในการถ่ายภาพด้วยจะได้รับค่าถ่ายภาพ หรือค่าเช่าซื้อลิขสิทธิ์ภาพในอัตราภาพละประมาณ 500 - 2,500 บาท หรืออาจสูงกว่านี้ขึ้นอยู่กับความสำคัญ ของภาพ หรือประเทศที่ต้องการซื้อภาพ
โอกาสความก้าวหน้าในอาชีพ
ในการประกอบอาชีพนักหนังสือพิมพ์ นักหนังสือพิมพ์ ที่มีความสามารถจะมีโอกาสเจริญเติบโต ก้าวหน้าไปตามลำดับคือหัวหน้าข่าว บรรณาธิการสายข่าว จนถึงบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ หรืออาจได้รับความ ไว้วางใจจากเจ้าของสื่อ และนักข่าวให้ดำรงตำแหน่งบรรณาธิการผู้พิมพ์ ผู้โฆษณา ซึ่งมีความ รับผิดชอบสูงมากเท่ากับ ผู้เป็นเจ้าของกิจการ
ในกรณีที่นักหนังสือพิมพ์ มีความสามารถเฉพาะตัว คือใช้ภาษาต่างประเทศได้ ก็มีโอกาสก้าวไปสู่การทำงานในสำนักข่าวต่างประเทศ นอกจากนี้นักหนังสือพิมพ์ อาจพัฒนาจากการเขียนข่าวมาเป็น นักเขียน นักประพันธ์ ที่ต้องใช้จินตนาการ และทักษะการเขียน และภาษาสูงกว่าการเขียนข่าว นับเป็นการก้าวหน้าและการพัฒนาฝีมือไปอีกระดับหนึ่ง

5.วิธีการเข้าสู่อาชีพ (การศึกษา, สาขาที่เกี่ยวข้อง, วิชา, วุฒิการศึกษา)สำเร็จการศึกษาตามหลักสูตรมัธยมศึกษาตอนปลายหรือเทียบเท่า สมัครเข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาในคณะต่างๆ ดังที่กล่าวมา และยังต้องมีความรู้ในภาษาไทยและภาษาอังกฤษเป็นอย่างดี มีความสามารถในการถ่ายทอด มีความสนใจทางด้านศิลปะการสื่อสารความหมายประเภทต่างๆ รักการอ่าน การเขียน มีความรู้ทั่วไป

6.มหาวิทยาลัยหรือสถานศึกษาที่เปิดสอน
คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ภาควิชาวารสารสนเทศ
มหาวิทยาลัยกรุงเทพ
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
คณะมนุษย์ศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา
และมหาวิทยาลัยอื่นๆทั้งของรัฐบาลและเอกชน

7.ความต้องการของตลาดแรงงานจุดเปลี่ยนของวงการสื่อมวลชนของประเทศไทยนั้นสวนกระแสกับภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวของประเทศอย่างสิ้นเชิง นับตั้งแต่ปี 2537 เป็นต้นมา สื่อภาคเอกชนต่างแข่งขันกันในเชิงปริมาณและคุณภาพ อีกทั้ง ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีทำให้วงการสื่อมวลชนมีการแข่งขันกันสูงและเข้มข้นเพื่อแย่งชิงความเป็นใหญ่ในการเสนอข่าวอันเป็นวิธีการหนึ่งของการขยายฐานการตลาด
อุปกรณ์การสื่อสารในปัจจุบันสามารถส่งข่าวได้รวดเร็วจากทุกมุมโลก อินเตอร์เน็ต และอีเมล ทำให้การเสนอข่าวเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ รวดเร็วและไร้พรมแดน การแข่งขันไม่ใช่เกิดขึ้น เฉพาะใน วงการหนังสือพิมพ์ไทยเท่านั้น ที่ต้องแข่งขันกันเอง แต่ยังต้องแข่งขันกับสื่ออื่นๆ ในประเทศ และหนังสือพิมพ์ต่างประเทศทั้งในด้านการแลกเปลี่ยนเนื้อหาข่าวและการซื้อขายข่าว ดังนั้นการรายงานข่าวในปัจจุบัน จึงมีความเป็นสากลมากขึ้นทั้งในระดับประเทศ ภูมิภาค และโลก จึงนับเป็นโอกาสอันดีของนักสื่อสารมวลชนรุ่นใหม่ๆที่มีความพร้อมมีความเข้าใจโลกในยุคโลกาภิวัตน์ จะสามารถปฏิบัติอาชีพนี้ได้อย่างกว้างขวางทั้งใน และนอกประเทศ
โอกาสในการมีงานทำในปัจจุบันของนักหนังสือพิมพ์มีให้เลือกมากมายสำหรับผู้ที่มี ความสามารถหลายด้าน ผู้ที่จะประกอบอาชีพนี้นอกจากจะต้องมีความสามารถในการเขียนข่าว เป็นภาษาไทยแล้ว ต้องมีความเข้าใจในภาษาต่างประเทศและภาษาคอมพิวเตอร์ด้วย เพราะในวงการนี้มีการซื้อข่าว ขายข่าวทั้งในประเทศ และต่างประเทศอีกทั้งสื่อสิ่งพิมพ์มีความจำเป็นต้องขยายฐานธุรกิจ และปรับตัวให้ก้าวทันการพัฒนาของธุรกิจสื่อสาขาโทรทัศน์ เคเบิ้ลทีวี และอินเตอร์เน็ตซึ่งก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว และเป็นสื่อที่ประชาชน กลุ่มหนึ่งสามารถเข้าถึงได้ง่ายเช่นกัน
นักหนังสือพิมพ์ที่มีคุณภาพ นอกจากจะได้รับการว่าจ้างจากสำนักข่าวต่างประเทศที่ตั้งขึ้นในประเทศ หนังสือพิมพ์ฉบับภาษาไทย ภาษาอังกฤษ ภาษาจีน และภาษาญี่ปุ่นแล้ว ยังมีโอกาสได้รับการ ว่าจ้างจากหนังสือพิมพ์ต่างประเทศด้วย ยิ่งกว่านั้นเพื่อให้สามารถแข่งขันกับสื่อประเภทอื่นได้ สื่อสิ่งพิมพ์ไทยได้ปรับกลยุทธ์การเสนอข่าวโดยส่งนักหนังสือพิมพ์ ออกทำข่าวในต่างประเทศมากขึ้นเช่นกัน ส่วนในประเทศ ก็ยังมีความต้องการ นักหนังสือพิมพ์สายพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ รวมทั้งสื่อที่เพิ่งเกิดอย่างอินเตอร์เน็ต และเว็บไซต์ของหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ

8.ตัวอย่างบุคคลที่อยู่ในอาชีพดังกล่าว (เรื่องราวโดยย่อ)
ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช
ประวัติ: ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช
เกิดเมื่อวันที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2454

เป็นบุตรคนที่สี่ของพลโท พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าคำรบ และหม่อมแดง ปราโมช

ได้รับการศึกษาชั้นต้นที่โรงเรียนวังหลัง ชั้นอนุบาลและชั้นประถมศึกษา
แล้วไปศึกษา ต่อที่โรงเรียนสวนกุหลาบจนถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 7
หลังจากนั้นได้เดินทางไปศึกษาต่อที่โรงเรียน Trent College ประเทศอังกฤษ และ The Queen's College มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด
และได้รับปริญญา B.A. Hons. ทาง Philosophy, Economics and Politics
“วิญญาณของนักหนังสือพิมพ์ คือ สัจธรรม และสาธารณประโยชน์ สิ่งใดที่ไม่มีสัจธรรม และไม่มุ่งหวังสาธารณประโยชน์ สิ่งนั้นก็ไม่มีวิญญาณของหนังสือพิมพ์” (คอลัมน์ปัญหาประจำวัน หนังสือพิมพ์สยามรัฐ ประจำวันที่ 24 เมษายน 2500) โวหารที่คมเฉียบและท้าทาย แฝงด้วยปรัชญาข้างต้น น้อยนักที่บรรดานักหนังสือพิมพ์ยุคนั้น จะไม่รู้ว่าเป็นโวหารของใคร ท่านผู้นี้ได้รับความเคารพ นับถือในฐานะ “ปราชญ์” ทั้งบทบาทของนักหนังสือพิมพ์ และนายกรัฐมนตรีคนที่ 13 ของประเทศไทย (มีนาคม 2518) หัวหน้าพรรคกิจสังคม “ผู้ปลุกกระแสความสำคัญของเสรีภาพ ภายใต้ระบอบประชาธิปไตย” ผ่านงานเขียนนับร้อยชิ้น และการบริหารประเทศ
ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช” ด้วยความเป็นอัจฉริยภาพด้านภาษาและการสื่อสาร โดยได้สั่งสมประสบการณ์ด้านหนังสือพิมพ์ตั้งแต่เรียนอยู่ประเทศอังกฤษ จากความถนัดและชอบเขียนหนังสือพิมพ์เคยเป็นบรรณาธิการหนังสือพิมพ์“สามัคคีสาร” ของสมาคมนักเรียนไทยในประเทศอังกฤษสมัยหนึ่ง ด้วยสำนวนโวหารและการจัดรูปเล่มของวารสารฉบับนี้ เป็นที่กล่าวขวัญถึงเป็นอย่างมาก และเมื่อกลับมาเมืองไทย ได้เขียน“สักวา”ลงหนังสือพิมพ์“เกียรติศักดิ์” และร่วมงานทำหนังสือพิมพ์“ลิเบอร์ตี้” ของส.เสถบุตร ก่อนที่จะร่วมก่อตั้ง หนังสือพิมพ์ “สยามรัฐ” กับ “สละ ลิขิตกุล” เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2493 มีม.ร.ว. คึกฤทธิ์ เป็นผู้อำนวยการ และ “สละ” เป็นบรรณาธิการ หนังสือพิมพ์สยามรัฐ ขณะนั้นมีเพียง 8 หน้า ไม่มีโฆษณา โดยม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ได้เขียนบทความ เรื่องยาวประจำฉบับทุกๆ วัน รวมหลายเรื่อง และหลายปี จนเป็นที่นิยมของผู้อ่านอย่างแพร่หลาย อาทิ เรื่องสามก๊กฉบับนายทุน ตอนโจโฉ ต่อด้วย ฮวนน้ำ เรื่อง นายกฯ ตลอดกาล เรื่อง บทความคือบทเขียนของบรรณาธิการ เรื่องเก็บเล็กผสมน้อย และสี่แผ่นดิน
โดยเฉพาะคอลัมน์ “ปัญหาประจำวัน” หนังสือพิมพ์สยามรัฐ เป็นข้อเขียนหนึ่งที่สะท้อนความปรีชาฉลาด และความรับผิดชอบในหน้าที่นักหนังสือพิมพ์ของผู้เขียน คอลัมน์นี้ นอกจากอธิบายไขข้อข้องใจของผู้อ่านในปัญหาต่างๆ ที่เขียนมาแล้ว ยังสอนผู้อ่านให้เข้าใจถึงความหมายของหนังสือพิมพ์ และความสำคัญของ “เสรีภาพ”ภายใต้ระบอบรัฐธรรมนูญ สิ่งที่ผู้อ่านได้รับพร้อมกันไปด้วย คือ ความสนุกหรือความขบขัน จากโวหารที่คมเฉียบ และท้าทาย อาทิ ตอบปัญหาเมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2500 (ซึ่งเป็นวันเลือกตั้ง กล่าวกันว่าสกปรกที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย)

ไปรมา กล่าวว่า...

นางสาวไปรมา แนมขุนทด รหัส 48010510069 สาขาวิทยาศาสตร์ทั่วไป ชั้นปีที่ 4 คณะศึกษาศาสตร์
1.ชื่ออาชีพ
นักหนังสือพิมพ์ Journalists

2.ลักษณะของงานที่ทำ ผู้ที่ปฏิบัติงานนี้อาชีพนี้ ทำหน้าที่เหมือน ผู้สื่อข่าวทุกประการ คือเสาะแสวงหาข่าว ด้วยวิธีการสัมภาษณ์ การถ่ายภาพ บันทึกเทป เข้าร่วมฟังการแถลงข่าว ซักถาม ตลอดจนค้นคว้าข้อมูลเพิ่มเติมตามความจำเป็น จากแหล่งข่าวทั้งจาก บุคคลผู้เชี่ยวชาญ และข้อมูลทางด่วนข่าวสาร และห้องสมุด เพื่อให้เนื้อหาของข่าวชัดเจน ครอบคลุมข้อมูลทุกด้านในประเด็นที่เขียน หรือได้รับมอบหมายจากหัวหน้าข่าวหรือบรรณาธิการให้ตรงกับข้อเท็จจริง มีความเป็นกลาง มีสารประโยชน์ต่อผู้บริโภคข่าวสาร และทันเหตุการณ์จริง ซึ่งปัจจุบัน ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีช่วยทำให้นักหนังสือพิมพ์สามารถรายงานข่าว จากสถานที่เกิดเหตุการณ์จริงหรือพื้นที่อันห่างไกลจากต่างจังหวัด หรือต่างประเทศผ่านอินเตอร์เน็ตส่งถึง กองบรรณาธิการได้อย่างรวดเร็ว รวมทั้งภาพถ่ายที่ถ่ายด้วยกล้องดิจิตอลซึ่งสามารถเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์พกพา และอินเตอร์เน็ตได้เช่นกัน นอกเหนือจากการส่งข่าวด้วยเครื่องโทรสาร โทรศัพท์และวิทยุสื่อสาร
นักหนังสือพิมพ์ที่ได้รับมอบหมายให้ทำข่าวสำคัญๆ จะได้รับอุปกรณ์และเครื่องมือสื่อสาร ที่ทันสมัยทุกชนิด เพื่อให้สามารถส่งข่าวให้ทันเวลาหรือเหตุการณ์
นักหนังสือพิมพ์ต้องปฏิบัติตนภายในกรอบของหน้าที่ ความรับผิดชอบ และจรรยาบรรณ นักหนังสือพิมพ์โดย ปฏิบัติงานดังนี้
1. หาข่าวและรายงานข่าวด้วยความซื่อตรงและสุภาพ ไม่ละเว้นการเสนอข้อเท็จจริงอันเป็นสาระประโยชน์และไม่บิดเบือนข้อเท็จจริงด้วยประการใดๆ
2. ปฏิบัติการเพื่อให้ได้มาซึ่งข่าว ภาพและเอกสารต่างๆด้วยวิธีการอันชอบธรรม
3. แสดงตนเองว่าเป็นผู้แทนหนังสือพิมพ์ก่อนสัมภาษณ์บุคคลใดบุคคลหนึ่ง ด้วยความมุ่งหมาย ในการนำเรื่องนั้นมาตีพิมพ์ โฆษณา
4. ส่งรายงานข่าวให้บรรณาธิการพิจารณาเพื่อพิมพ์เผยแพร่ต่อไป
5. อาจต้องทำงานในต่างจังหวัด หรือต่างประเทศ หรือในสถานที่ที่มีอันตราย หรือมีความไม่ปลอดภัย

3.ลักษณะของบุคคลที่เหมาะกับอาชีพ (ความต้องการด้านบุคลากร) 1. สำเร็จการศึกษาในสาขาสื่อสารมวลชน วารสารศาสตร์ นิเทศศาสตร์ หรือสาขาที่เกี่ยวข้อง คือเฉพาะสายงานที่สำคัญ เช่น เศรษฐกิจการเงินการธนาคารซึ่อาจรับผู้ที่สำเร็จการศึกษาสาขานั้นโดยตรง
2. มีความสนใจความเคลื่อนไหวของเหตุการณ์ และสถานการณ์ของประเทศและโลก
3. มีความสนใจ ตั้งใจ รักในอาชีพขวนขวายหาความรู้ และค้นคว้าหาข้อมูลความจริงของข่าว ในทางลึก และทางกว้าง
4. มีความรู้ภาษาต่างประเทศ สามารถใช้คอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์สื่อสารทุกชนิด
5. มีทัศนคติที่ดี มีความเป็นกลาง มีความยุติธรรม และพร้อมที่จะถูกตรวจสอบจากประชาชนผู้บริโภค
6. สามารถเข้าใจสถานการณ์ คาดการณ์สถานการณ์รวมทั้งสามารถวิเคราะห์เหตุการณ์ หรือข่าวที่เกิดขึ้น ได้อย่างถูกต้องแม่นยำ สมเหตุสมผล และเป็นไปในลักษณะของการ สร้างสรรค์ และประเทืองความรู้แก่ประชาชน
7. มีความรับผิดชอบสูง ซื่อสัตย์ มีสัจจะ สุขุมรอบคอบ ละเอียดถี่ถ้วน
8. มีความกล้าหาญอดทน มีความมั่นใจในตนเอง ไม่ท้อถอยในงานที่ต้องรับผิดชอบ
9. สามารถเดินทางไปทำข่าวได้ทุกหนทุกแห่งทั่วโลก
10. มีสุขภาพแข็งแรง
11. มีสังคมและมนุษยสัมพันธ์ที่ดี สามารถสร้างความสัมพันธ์กับแหล่งข่าว และเป็นที่ไว้วางใจของแหล่งข่าวในการเสนอข่าว สามารถเก็บรักษาความลับที่มาของแหล่งข่าว อันอาจทำให้เกิดอันตรายต่อแหล่งข่าวได้
12. ปฏิบัติตนตามจรรยาบรรณของนักหนังสือพิมพ์โดยส่งเสริมภราดรภาพ ละเว้นการถือเอาประโยชน์ของเพื่อนสมาชิก ไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนในการปฏิบัติหน้าที่ ไม่รับสินจ้างรางวัลหรือผลประโยชน์ใดๆ อันเป็นเครื่องจูงใจไม่ให้เคารพต่อหน้าที่ และวิชาชีพของตน รักษา และส่งเสริมเกียรติคุณ และชื่อเสียงแห่งความเป็นนักหนังสือพิมพ์ไว้เป็นอย่างดี อันเป็นจรรยาบรรณของนักหนังสือพิมพ์ที่กำหนดขึ้นโดยสมาคม นักข่าวและนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย พ.ศ. 2498 แก้ไขเพิ่มเติม 2507 และต้องมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องสิทธิมนุษยชนอย่างลึกซึ้ง

4.ระดับรายได้ และความก้าวหน้า รวมไปถึงสวัสดิการที่เกี่ยวกับอาชีพ
นักหนังสือพิมพ์ ที่มีความสามารถมีรายได้หรือเงินเดือน รวมทั้งค่ายานพาหนะเป็นค่าตอบแทน ค่อนข้างสูง นอกเหนือจากสวัสดิการ และโบนัสซึ่งขึ้นอยู่กับผลประกอบการขององค์กร และนโยบายธุรกิจของเจ้าของสื่อแต่ละองค์กร โดยทั่วไปนักหนังสือพิมพ์ที่มีวุฒิการศึกษา ระดับปริญญาตรี จะได้รับเงินเดือน ขั้นต้นประมาณ 8,500 -9,000 บาท โดยจะได้รับค่ายานพาหนะประจำเดือน อีกคนละ 3,000 - 4,000 บาท ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาวะค่าครองชีพในแต่ละปี ถ้ามีความสามารถในการถ่ายภาพด้วยจะได้รับค่าถ่ายภาพ หรือค่าเช่าซื้อลิขสิทธิ์ภาพในอัตราภาพละประมาณ 500 - 2,500 บาท หรืออาจสูงกว่านี้ขึ้นอยู่กับความสำคัญ ของภาพ หรือประเทศที่ต้องการซื้อภาพ
โอกาสความก้าวหน้าในอาชีพ
ในการประกอบอาชีพนักหนังสือพิมพ์ นักหนังสือพิมพ์ ที่มีความสามารถจะมีโอกาสเจริญเติบโต ก้าวหน้าไปตามลำดับคือหัวหน้าข่าว บรรณาธิการสายข่าว จนถึงบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ หรืออาจได้รับความ ไว้วางใจจากเจ้าของสื่อ และนักข่าวให้ดำรงตำแหน่งบรรณาธิการผู้พิมพ์ ผู้โฆษณา ซึ่งมีความ รับผิดชอบสูงมากเท่ากับ ผู้เป็นเจ้าของกิจการ
ในกรณีที่นักหนังสือพิมพ์ มีความสามารถเฉพาะตัว คือใช้ภาษาต่างประเทศได้ ก็มีโอกาสก้าวไปสู่การทำงานในสำนักข่าวต่างประเทศ นอกจากนี้นักหนังสือพิมพ์ อาจพัฒนาจากการเขียนข่าวมาเป็น นักเขียน นักประพันธ์ ที่ต้องใช้จินตนาการ และทักษะการเขียน และภาษาสูงกว่าการเขียนข่าว นับเป็นการก้าวหน้าและการพัฒนาฝีมือไปอีกระดับหนึ่ง

5.วิธีการเข้าสู่อาชีพ (การศึกษา, สาขาที่เกี่ยวข้อง, วิชา, วุฒิการศึกษา)สำเร็จการศึกษาตามหลักสูตรมัธยมศึกษาตอนปลายหรือเทียบเท่า สมัครเข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาในคณะต่างๆ ดังที่กล่าวมา และยังต้องมีความรู้ในภาษาไทยและภาษาอังกฤษเป็นอย่างดี มีความสามารถในการถ่ายทอด มีความสนใจทางด้านศิลปะการสื่อสารความหมายประเภทต่างๆ รักการอ่าน การเขียน มีความรู้ทั่วไป

6.มหาวิทยาลัยหรือสถานศึกษาที่เปิดสอน
คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ภาควิชาวารสารสนเทศ
มหาวิทยาลัยกรุงเทพ
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
คณะมนุษย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
คณะมนุษย์ศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา
และมหาวิทยาลัยอื่นๆทั้งของรัฐบาลและเอกชน

7.ความต้องการของตลาดแรงงานจุดเปลี่ยนของวงการสื่อมวลชนของประเทศไทยนั้นสวนกระแสกับภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวของประเทศอย่างสิ้นเชิง นับตั้งแต่ปี 2537 เป็นต้นมา สื่อภาคเอกชนต่างแข่งขันกันในเชิงปริมาณและคุณภาพ อีกทั้ง ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีทำให้วงการสื่อมวลชนมีการแข่งขันกันสูงและเข้มข้นเพื่อแย่งชิงความเป็นใหญ่ในการเสนอข่าวอันเป็นวิธีการหนึ่งของการขยายฐานการตลาด
อุปกรณ์การสื่อสารในปัจจุบันสามารถส่งข่าวได้รวดเร็วจากทุกมุมโลก อินเตอร์เน็ต และอีเมล ทำให้การเสนอข่าวเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ รวดเร็วและไร้พรมแดน การแข่งขันไม่ใช่เกิดขึ้น เฉพาะใน วงการหนังสือพิมพ์ไทยเท่านั้น ที่ต้องแข่งขันกันเอง แต่ยังต้องแข่งขันกับสื่ออื่นๆ ในประเทศ และหนังสือพิมพ์ต่างประเทศทั้งในด้านการแลกเปลี่ยนเนื้อหาข่าวและการซื้อขายข่าว ดังนั้นการรายงานข่าวในปัจจุบัน จึงมีความเป็นสากลมากขึ้นทั้งในระดับประเทศ ภูมิภาค และโลก จึงนับเป็นโอกาสอันดีของนักสื่อสารมวลชนรุ่นใหม่ๆที่มีความพร้อมมีความเข้าใจโลกในยุคโลกาภิวัตน์ จะสามารถปฏิบัติอาชีพนี้ได้อย่างกว้างขวางทั้งใน และนอกประเทศ
โอกาสในการมีงานทำในปัจจุบันของนักหนังสือพิมพ์มีให้เลือกมากมายสำหรับผู้ที่มี ความสามารถหลายด้าน ผู้ที่จะประกอบอาชีพนี้นอกจากจะต้องมีความสามารถในการเขียนข่าว เป็นภาษาไทยแล้ว ต้องมีความเข้าใจในภาษาต่างประเทศและภาษาคอมพิวเตอร์ด้วย เพราะในวงการนี้มีการซื้อข่าว ขายข่าวทั้งในประเทศ และต่างประเทศอีกทั้งสื่อสิ่งพิมพ์มีความจำเป็นต้องขยายฐานธุรกิจ และปรับตัวให้ก้าวทันการพัฒนาของธุรกิจสื่อสาขาโทรทัศน์ เคเบิ้ลทีวี และอินเตอร์เน็ตซึ่งก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว และเป็นสื่อที่ประชาชน กลุ่มหนึ่งสามารถเข้าถึงได้ง่ายเช่นกัน
นักหนังสือพิมพ์ที่มีคุณภาพ นอกจากจะได้รับการว่าจ้างจากสำนักข่าวต่างประเทศที่ตั้งขึ้นในประเทศ หนังสือพิมพ์ฉบับภาษาไทย ภาษาอังกฤษ ภาษาจีน และภาษาญี่ปุ่นแล้ว ยังมีโอกาสได้รับการ ว่าจ้างจากหนังสือพิมพ์ต่างประเทศด้วย ยิ่งกว่านั้นเพื่อให้สามารถแข่งขันกับสื่อประเภทอื่นได้ สื่อสิ่งพิมพ์ไทยได้ปรับกลยุทธ์การเสนอข่าวโดยส่งนักหนังสือพิมพ์ ออกทำข่าวในต่างประเทศมากขึ้นเช่นกัน ส่วนในประเทศ ก็ยังมีความต้องการ นักหนังสือพิมพ์สายพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ รวมทั้งสื่อที่เพิ่งเกิดอย่างอินเตอร์เน็ต และเว็บไซต์ของหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ

8.ตัวอย่างบุคคลที่อยู่ในอาชีพดังกล่าว (เรื่องราวโดยย่อ)
ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช
ประวัติ: ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช
เกิดเมื่อวันที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2454

เป็นบุตรคนที่สี่ของพลโท พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าคำรบ และหม่อมแดง ปราโมช

ได้รับการศึกษาชั้นต้นที่โรงเรียนวังหลัง ชั้นอนุบาลและชั้นประถมศึกษา
แล้วไปศึกษา ต่อที่โรงเรียนสวนกุหลาบจนถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 7
หลังจากนั้นได้เดินทางไปศึกษาต่อที่โรงเรียน Trent College ประเทศอังกฤษ และ The Queen's College มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด
และได้รับปริญญา B.A. Hons. ทาง Philosophy, Economics and Politics
“วิญญาณของนักหนังสือพิมพ์ คือ สัจธรรม และสาธารณประโยชน์ สิ่งใดที่ไม่มีสัจธรรม และไม่มุ่งหวังสาธารณประโยชน์ สิ่งนั้นก็ไม่มีวิญญาณของหนังสือพิมพ์” (คอลัมน์ปัญหาประจำวัน หนังสือพิมพ์สยามรัฐ ประจำวันที่ 24 เมษายน 2500) โวหารที่คมเฉียบและท้าทาย แฝงด้วยปรัชญาข้างต้น น้อยนักที่บรรดานักหนังสือพิมพ์ยุคนั้น จะไม่รู้ว่าเป็นโวหารของใคร ท่านผู้นี้ได้รับความเคารพ นับถือในฐานะ “ปราชญ์” ทั้งบทบาทของนักหนังสือพิมพ์ และนายกรัฐมนตรีคนที่ 13 ของประเทศไทย (มีนาคม 2518) หัวหน้าพรรคกิจสังคม “ผู้ปลุกกระแสความสำคัญของเสรีภาพ ภายใต้ระบอบประชาธิปไตย” ผ่านงานเขียนนับร้อยชิ้น และการบริหารประเทศ
ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช” ด้วยความเป็นอัจฉริยภาพด้านภาษาและการสื่อสาร โดยได้สั่งสมประสบการณ์ด้านหนังสือพิมพ์ตั้งแต่เรียนอยู่ประเทศอังกฤษ จากความถนัดและชอบเขียนหนังสือพิมพ์เคยเป็นบรรณาธิการหนังสือพิมพ์“สามัคคีสาร” ของสมาคมนักเรียนไทยในประเทศอังกฤษสมัยหนึ่ง ด้วยสำนวนโวหารและการจัดรูปเล่มของวารสารฉบับนี้ เป็นที่กล่าวขวัญถึงเป็นอย่างมาก และเมื่อกลับมาเมืองไทย ได้เขียน“สักวา”ลงหนังสือพิมพ์“เกียรติศักดิ์” และร่วมงานทำหนังสือพิมพ์“ลิเบอร์ตี้” ของส.เสถบุตร ก่อนที่จะร่วมก่อตั้ง หนังสือพิมพ์ “สยามรัฐ” กับ “สละ ลิขิตกุล” เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2493 มีม.ร.ว. คึกฤทธิ์ เป็นผู้อำนวยการ และ “สละ” เป็นบรรณาธิการ หนังสือพิมพ์สยามรัฐ ขณะนั้นมีเพียง 8 หน้า ไม่มีโฆษณา โดยม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ได้เขียนบทความ เรื่องยาวประจำฉบับทุกๆ วัน รวมหลายเรื่อง และหลายปี จนเป็นที่นิยมของผู้อ่านอย่างแพร่หลาย อาทิ เรื่องสามก๊กฉบับนายทุน ตอนโจโฉ ต่อด้วย ฮวนน้ำ เรื่อง นายกฯ ตลอดกาล เรื่อง บทความคือบทเขียนของบรรณาธิการ เรื่องเก็บเล็กผสมน้อย และสี่แผ่นดิน
โดยเฉพาะคอลัมน์ “ปัญหาประจำวัน” หนังสือพิมพ์สยามรัฐ เป็นข้อเขียนหนึ่งที่สะท้อนความปรีชาฉลาด และความรับผิดชอบในหน้าที่นักหนังสือพิมพ์ของผู้เขียน คอลัมน์นี้ นอกจากอธิบายไขข้อข้องใจของผู้อ่านในปัญหาต่างๆ ที่เขียนมาแล้ว ยังสอนผู้อ่านให้เข้าใจถึงความหมายของหนังสือพิมพ์ และความสำคัญของ “เสรีภาพ”ภายใต้ระบอบรัฐธรรมนูญ สิ่งที่ผู้อ่านได้รับพร้อมกันไปด้วย คือ ความสนุกหรือความขบขัน จากโวหารที่คมเฉียบ และท้าทาย อาทิ ตอบปัญหาเมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2500 (ซึ่งเป็นวันเลือกตั้ง กล่าวกันว่าสกปรกที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย)

จุฑามาศ กล่าวว่า...

นางสาวจุฑามาศ พัทโท รหัสนิสิต 48010510741 สาขาสังคมศึกษา ชั้นปีที่4 คณะศึกษาศาสตร์
1.ชื่ออาชีพ
ผู้พิพากษา Judges

2. ลักษณะของอาชีพ (การทำงาน)
เป็นผู้มีอำนาจอิสระในการพิจารณาอรรถคดีทั้งปวงควบคุมการดำเนินกระบวนการพิจารณาคดี ออกข้อกำหนดใดๆ เพื่อรักษาความเรียบร้อยในบริเวณศาลและเพื่อให้กระบวนการพิจารณาดำเนินต่อไป โดยเที่ยงธรรมและรวดเร็วไต่สวนหรือวินิจฉัยชี้ขาดคำร้องหรือคำขอไต่สวนมูลฟ้องในคดีอาญา ไต่สวนการชันสูตรศพในกรณีที่มีความตายเกิดขึ้นโดยการกระทำของเจ้าพนักงาน นั่งพิจารณาคดีและควบคุม นำสืบพยานหลักฐานของคี่ความตรวจบุคคล วัสดุ สถานที่หรือตั้งผู้เชี่ยวชาญใช้ดุลยพิจารณาวินิจฉัยซึ่งน้ำหนักพยานหลักฐานทั้งปวง พิจารณาพิพากษาชี้ขาดตัดสินคดีทั้งทางแพ่งและทางอาญาโดยยุติธรรมตามกฎหมาย
ตลอดจนบังคับคดีให้เป็นไปตามคำพิพากษา อาจมีอำนาจพิจารณาคดีต่างประเภทกัน ตามประเภทของศาล

3.ลักษณะของบุคคลที่เหมาะกับอาชีพ (ความต้องการด้านบุคลากร)
มีสัญชาติไทยโดยกำเนิด
ไม่เป็นผู้ถูกลงโทษไล่ออก ปลดออก หรือให้ออกจากราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานอื่นของรัฐ
อายุไม่ต่ำกว่า 25 ปีบริบรูณ์ เป็นนิติศาสตร์บัณฑิต หรือสอบไล่ได้ปริญญาหรือประกาศนียบัตรทางกฎหมายจากต่างประเทศ ซึ่ง ก.ต. เทียบไม่ต่ำกว่าปริญญาตรี เป็นผู้สำเร็จการศึกษาระดับเนติบัณฑิตยสภาจากสำนักเนติบัณฑิตยสภา
ผู้ที่จะประกอบอาชีพนี้ ควรเตรียมความพร้อมดังต่อไปนี้คือ : การดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาตามพระราช-บัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม พ.ศ. 2543 นั้น บุคคลผู้ประสงค์จะเข้า รับราชการเป็นผู้พิพากษามีได้ 3 ทางคือ
1. สมัครสอบคัดเลือก ต้องอายุไม่ต่ำกว่า 25 ปีบริบูรณ์
2. สมัครทดสอบความรู้ ต้องอายุไม่ต่ำกว่า 25 ปีบริบูรณ์
3. สมัครเข้ารับการคัดเลือกพิเศษต้องอายุไม่ต่ำกว่า 35 ปีบริบูรณ์
ผู้ที่จะเข้าเป็นผู้พิพากษาโดย 3 ทางดังกล่าวข้างต้น ตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม มาตรา 26 กำหนดว่าต้องมีคุณสมบัติ และไม่มีลักษณะต้องห้ามตามกฎหมาย เช่นต้องมีสัญชาติไทยโดยการเกิดไม่เป็นผู้ถูกลงโทษไล่ออก ปลดออก หรือให้ออกจากราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานอื่นๆของรัฐ เป็นต้น และสำหรับผู้สอบคัดเลือกตามข้อ1 ต้องมีคุณวุฒิ และได้ประกอบวิชาชีพทางกฎหมาย ดังต่อไปนี้
1. เป็นนิติศาสตร์บัณฑิต หรือสอบไล่ได้ปริญญา หรือประกาศนียบัตรทางกฎหมายจาก ต่างประเทศ ซึ่ง ก.ต. เทียบไม่ต่ำกว่าปริญญาตรี
2. สอบไล่ได้ตามหลักสูตรของสำนักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภา และ
3. ได้ประกอบวิชาชีพทางกฎหมายเป็น จ่าศาล รองจ่าศาล เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์
เจ้าพนักงานบังคับคดี หรือพนักงานคุมความประพฤติของศาลยุติธรรม พนักงานอัยการ นายทหารเหล่าพระธรรมนูญ ทนายความ หรือประกอบวิชาชีพอย่างอื่นที่เกี่ยวเนื่องกับกฎหมาย ตามที่ ก.ต.กำหนดเป็นเวลาไม่น้อยกว่าสองปีทั้งนี้ให้ ก.ต. มีอำนาจออกระเบียบกำหนด เงื่อนไขเกี่ยวกับการประกอบวิชาชีพนั้นๆ ด้วย
หลักเกณฑ์ และวิธีการสมัครสอบคัดเลือก ให้เป็นไปตามระเบียบที่ ก.ต. กำหนดโดยประกาศใน ราชกิจจานุเบกษา (พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม มาตรา 27)
ผู้สมัครทดสอบความรู้ตามข้อ 2 ต้องมีคุณวุฒิและได้ประกอบวิชาชีพดังต่อไปนี้
1. สอบไล่ได้ตามหลักสูตรของสำนักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภา
2. มีคุณวุฒิอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้
ก. สอบไล่ได้ปริญญาหรือประกาศนียบัตรทางกฎหมายจากต่างประเทศ โดยมีหลักสูตรเดียว ไม่น้อยกว่าสามปี ซึ่ง ก.ต. เทียบได้ไม่ต่ำกว่าปริญญาตรี หรือสอบได้ปริญญาเอกทางกฎหมายจากมหาวิทยาลัยในประเทศไทย ซึ่ง ก.ต. รับรอง
ข. สอบไล่ได้ปริญญา หรือประกาศนียบัตรทางกฎหมายจากต่างประเทศ โดยมีหลักสูตรเดียวไม่น้อยกว่าสองปี หรือหลายหลักสูตรรวมกันไม่น้อยกว่าสองปี ซึ่ง ก.ต. เทียบไม่ต่ำกว่าปริญญาตรี และได้ประกอบวิชาชีพตามที่ระบุไว้ตามมาตรา 27 (3) (ประกอบวิชาชีพเป็นจ่าศาล พนักงานอัยการ ฯลฯ เป็นเวลาไม่น้อยกว่าหนึ่งปี)
ค. สอบไล่ได้ปริญญาโททางกฎหมายจากมหาวิทยาลัยในประเทศไทย ซึ่ง ก.ต. รับรอง และได้ประกอบวิชาชีพตามที่ระบุไว้ในมาตรา 27(3) เป็นเวลาไม่น้อยกว่าหนึ่งปี
ง. เป็นนิติศาสตร์บัณฑิตชั้นเกียรตินิยม และได้ประกอบวิชาชีพเป็นอาจารย์ใน คณะนิติศาสตรในมหาวิทยาลัยของรัฐเป็นเวลาไม่น้อยกว่าห้าปี
จ. เป็นนิติศาสตร์บัณฑิต และเป็นข้าราชการศาลยุติธรรม ที่ได้ประกอบวิชาชีพทางกฎหมายในตำแหน่งตามที่ ก.ต. กำหนดเป็นเวลาไม่น้อยกว่าหกปี และเลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรมรับรองว่ามีความซื่อสัตย์สุจริต และมีความรู้ความสามารถดี และมีความประพฤติดีเป็นที่ไว้วางใจว่าจะปฏิบัติหน้าที่ข้าราชการตุลาการได้
ฉ. สอบไล่ได้ปริญญาโท หรือปริญญาเอกในสาขาวิชาที่ ก.ต. กำหนด และเป็นนิติศาสตร์บัณฑิต และได้ประกอบวิชาชีพตามที่ระบุไว้ในมาตรา 27 (3) หรือได้ประกอบวิชาชีพตามที่ ก.ต. กำหนดเป็นเวลาไม่น้อยกว่าสามปี หรือ
ช. สอบไล่ได้ปริญญาตรี หรือที่ ก.ต. เทียบไม่ต่ำกว่าปริญญาตรีในสาขาวิชาที่ ก.ต.กำหนดและได้ประกอบวิชาชีพตามที่ ก.ต. กำหนดเป็นเวลาไม่น้อยกว่าสิบปี จนมีความรู้ความเชี่ยวชาญในวิชาชีพนั้น และเป็นนิติศาสตร์บัณฑิต
ให้ ก.ต. มีอำนาจออกระเบียบกำหนดเงื่อนไขเกี่ยวกับการประกอบวิชาชีพตาม (2) (จ) (ฉ) และ (ช) ด้วยหลักเกณฑ์ และวิธีการสมัครทดสอบความรู้ให้เป็นไปตามระเบียบที่ ก.ต. กำหนด โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา (พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม มาตรา 28) ส่วนผู้สมัครเข้ารับการคัดเลือกพิเศษ ตามข้อ 3

4.ระดับรายได้ และความก้าวหน้า รวมไปถึงสวัสดิการที่เกี่ยวกับอาชีพ
ได้รับการบรรจุเป็น ข้าราชการตุลาการและแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง ผู้ช่วยผู้พิพากษาก่อนผู้ได้รับคะแนนต่ำลงมาตามลำดับแห่งบัญชีสอบคัดเลือก ผู้ประกอบอาชีพผู้พิพากษา จะมีบัญชีอัตราเงินเดือน และเงินประจำตำแหน่งข้าราชการตุลาการ แตกต่างตามประเภทศาล และตำแหน่ง
ผู้ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยผู้พิพากษาจะมีอัตราเงินเดือน 14,850 - 16,020 บาท
ผู้ดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาประจำศาลถึงอธิบดีผู้พิพากษา(ศาลชั้นต้น) จะมีอัตราเงินเดือน 21,800 - 57,190 บาท และมีเงินประจำตำแหน่งแตกต่างกันไป
ผู้ดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ภาคถึงประธานศาลอุทธรณ์ ผู้พิพากษาศาลฎีกา ถึงรองประธานศาลฎีกาจะมีอัตราเงินเดือน 57,190 - 62,000 บาท และมีเงินประจำตำแหน่งแตกต่างกันไป
ผู้ดำรงตำแหน่งประธานศาลฎีกา จะมีอัตราเงินเดือน 64,000 บาท และมีเงินประจำตำแหน่ง 50,000 บาท ทำงาน 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ อาจจะต้องเข้าเวรในวันเสาร์ วันอาทิตย์ และวันหยุด เพื่อทำหน้าที่ ลงนามคำสั่งในหมายศาล ในกรณีที่ต้องดำเนินทันทีไม่สามารถรอจนถึงวันทำการได้

5.วิธีการเข้าสู่อาชีพ (การศึกษา, สาขาที่เกี่ยวข้อง, วิชา, วุฒิการศึกษา)
1. สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีทางนิติศาสตร์
2. สอบไล่ได้ตามหลักสูตรของสำนักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตสภา
3. ประกอบวิชาชีพทางกฎหมายเป็นจ่าศาล เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ เจ้าพนักงานบังคับคดี
พนักงานคุมประพฤติ ทนายความ (ว่าความในศาลมาแล้ว 10 เรื่อง หรือประกอบอาชีพทางกฎหมายเป็นเวลาไม่น้องกว่า 2 ปี)

6.มหาวิทยาลัยหรือสถานศึกษาที่เปิดสอน
- คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
- คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
- คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีปทุม
- คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
- คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต
- คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร
- คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย
- คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
- คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
- คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ
- คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
- วิทยาลัยการเมืองการปกครอง มหาวิทยาลัยมหาสารคาม

7.ความต้องการของตลาดแรงงาน
มีตลาดแรงงานที่เกี่ยวข้องกับวิชาชีพกฎหมายมากมาย โดยเฉพาะภาคเอกชนนิยมจ้างผู้มีความรู้ด้านกฎหมาย รับผิดชอบเกี่ยวกับการบริหารบุคคล หรือสถาบันการเงิน สินเชื่อ เงินทุนหลักทรัพย์

8.ตัวอย่างบุคคลที่อยู่ในอาชีพดังกล่าว (เรื่องราวโดยย่อ)
หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช
ม.ร.ว.เสนีย์ เกิดที่โรงทหาร ในจังหวัดนครสวรรค์ เวลาใกล้รุ่ง เป็นโอรสใน พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าคำรบ กับหม่อมแดง (บุนนาค) ชื่อ "เสนีย์" หมายถึง ทหาร หรือ เสนาบดี ได้รับพระราชทานจากสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส สันนิษฐานว่า เนื่องจากเสด็จพ่อ (พระองค์เจ้าคำรบ) เป็นทหาร
การศึกษา
เริ่มศึกษาที่ โรงเรียนราชินี อัสสัมชัญ เทพศิรินทร์ และ สวนกุหลาบ ตามลำดับ จากนั้นได้เดินทาง ไปศึกษาต่อที่ โรงเรียนเทรนต์ (Trent College) ในเมือง นอตติงแฮมไชร์ ประเทศอังกฤษ และศึกษาต่อ ปริญญาตรี สาขานิติศาสตร์ ที่ วิทยาลัยวอร์สเตอร์ (Worcester College) มหาวิทยาลัยอ๊อกซฟอร์ด ประเทศอังกฤษ แล้วสำเร็จการศึกษาด้วยคะแนนระดับ เกียรตินิยมอันดับสอง หลังจากนั้น ก็เข้าศึกษาต่อที่สำนักเนติบัณฑิตอังกฤษ ณ สำนักเกรย์อินน์ ในกรุงลอนดอน ได้คะแนนเป็นที่หนึ่ง ได้รับรางวัลเป็นเงิน 300 กีนีย์ จากสำนักกฎหมายอังกฤษ (เกียรติประวัตินี้ ได้เล่าลือมาถึงเมืองไทย จนมีการเข้าใจว่า ได้รับเงินรางวัลพระราชทาน จากพระเจ้าแผ่นดินอังกฤษ ซึ่งไม่เป็นความจริง แต่คนส่วนใหญ่ก็ยังเข้าใจอย่างนั้น) และทางโรงเรียนเทรนด์ ได้ประกาศให้นักเรียน หยุดเรียนหนึ่งวัน เพื่อเป็นการระลึกถึง และได้เรียกวันนั้นว่า "วันเสนีย์" (Seni Day)
เมื่อเดินทางกลับมายังประเทศไทย ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ได้ศึกษาวิชากฎหมายไทยเพิ่มเติม จนกระทั่งได้รับเนติบัณฑิตไทย และเข้าฝึกงานที่ศาลฎีกาเป็นเวลา 6 เดือน จึงได้เป็นผู้พิพากษา
ชีวิตการทำงาน
- เป็นผู้พิพากษาศาลแพ่ง
- ผู้ช่วยกรรมการศาลฎีกาและ
- ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ ตามลำดับ
- ช่วงหลังของการรับราชการ ได้ย้ายไปกระทรวงการต่างประเทศ และไดัรับแต่งตั้งเป็นเอกอัครราชทูตไทยประจำสหรัฐอเมริกา ในปี พ.ศ. 2484 เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ญี่ปุ่นยกพลขึ้นบกเข้าสู่ประเทศไทย ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ได้ประกาศนโยบายเป็นอิสระ ไม่ขึ้นกับรัฐบาลในประเทศไทย จึงถูกตัดสัญชาติไทยจากรัฐบาล และได้รวบรวมคนไทยในต่างประเทศ จัดตั้งขบวนการเสรีไทยขึ้นเพื่อต่อต้านญี่ปุ่นอย่างลับ ๆ โดยปฏิบัติการติดต่อกับฝ่ายสัมพันธมิตร
- เป็นอาจารย์สอนวิชากฎหมายในมหาวิทยาลัยหลายแห่ง เช่น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นต้น และเป็นอาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยด้วย
- รับราชการถวายและเล่นดนตรีร่วมกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ประจำทุกวันศุกร์ ในวงลายคราม
- เป็นหัวหน้าทีมทนายความในคดีปราสาทเขาพระวิหาร พ.ศ. 2505 กับกัมพูชา ในศาลโลก

ชุลีพร กล่าวว่า...

นางสาว ชุลีพร สุวรรรโชคอิสาน รหัส 48010520520 คณะศึกษาศาสตร์ สาขาการศึกษาปฐมวัย ชั้นปีที่ 4ระบบพิเศษ
1.บทความเรื่อง อาชีพ นักแปล
ลักษณะอาชีพ ( การทำงาน)
นิยามอาชีพ
แปลข้อความที่พิมพ์หรือเขียนเป็นลายลักษณ์อักษรจากภาษาเดิมเป็นภาษาอื่น : แปลวรรณคดี บทความเชิงวิชาการ บทความในหนังสือพิมพ์หรือนิตยสาร เอกสารทางการเมือง และเอกสารเกี่ยวกับกฎหมาย จดหมายโต้ตอบ และข้อความที่พิมพ์หรือเขียนเป็นลายลักษณ์อักษรจากภาษาเดิมเป็นภาษาอื่น โดยการใช้ความรู้เดิม และความรู้ในภาษาต่างประเทศ และค้นหาคำแปลจากพจนานุกรมเท่าที่จำเป็น โดยปกติเชี่ยวชาญในภาษาใดภาษาหนึ่ง หรือเรื่องใดเรื่องหนึ่งโดยเฉพาะ และอาจมีชื่อเรียกตามงานที่ทำ
2.ลักษณะของอาชีพ (การทำงาน)
พนักงานแปล หน้าที่แปลข้อความที่พิมพ์หรือเขียนเป็นลายลักษณ์อักษร จากภาษาเดิมเป็นภาษาอื่นตั้งแต่หนึ่งภาษาขึ้นไป เช่น วรรณคดี บทความทางวิชาการ บทความในหนังสือพิมพ์หรือนิตยสาร เอกสารทางการเมืองและเอกสารเกี่ยวกับกฎหมาย จดหมายโต้ตอบ และข้อความที่พิมพ์หรือเขียนเป็นลายลักษณ์อักษร โดยการใช้ความรู้จากภาษาเดิม สำหรับผู้แปลหนังสือภาษาต่างประเทศโดยได้รับลิขสิทธิ์ ในการแปลเรียกว่า “นักแปล” อาจแปลหนังสือนวนิยาย หรือหนังสือ ที่ใช้เป็นบทเรียนในภาควิชาการบริหารและการตลาด ล่าม ทำหน้าที่แปลคำพูด หรือคำบรรยาย ในระหว่างการสนทนา หรือการบรรยายให้แก่บุคคลใดบุคคลหนึ่ง หรือหลายคนในเวลาเดียวกัน ผู้ปฏิบัติงานอาชีพนี้ อาจทำงานประจำในองค์กรต่างๆ เช่น สำนักงานทนายความและบริษัทที่ปรึกษากฎหมาย บริษัทอุตสาหกรรม บริษัทอุตสาหกรรมร่วมทุนกับบริษัทต่างชาติ บริษัทก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ ธนาคาร โดยทำหน้าที่ปฏิบัติงานอยู่ในสำนักงาน หรือในกรณีที่ทำหน้าที่ล่าม ต้องเดินทางออกไปปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่ทำงาน ในต่างจังหวัดหรือต่างประเทศและอาจต้องทำหน้าที่เลขานุการของผู้บริหารด้วยในการออกไปทำงานนอกสถานที่ งานที่ทำอาจมีความกดดันในเรื่องเวลาปฏิบัติงานพอสมควรคือชั่วโมงทำงานอาจนานจนกว่าการสนทนา การบรรยาย หรือการเจราจาธุรกิจจะเสร็จสิ้น สำหรับ ”นักแปล” ที่รับจ้างแปลงานให้กับบริษัทนำเข้าภาพยนตร์ต่างประเทศ บริษัทสื่อสิ่งพิมพ์และสำนักพิมพ์นั้นสามารถปฏิบัติงานที่บ้านได้ โดยนำงานต้นฉบับแปลส่งตามที่กำหนดกับผู้ว่าจ้างไว้ นักแปลต้องทำงานแข่งกับเวลา เพื่อให้งานแล้วเสร็จทันกำหนดเวลา
3.ลักษณะของบุคคลที่เหมาะกับอาชีพ (ความต้องการด้านบุคลากร)
ผู้ประกอบอาชีพนี้ต้องเตรียมความพร้อม โดยอาจมีความรู้ระดับปริญญาตรีหรือปริญญาโท สาขาอักษรศาสตร์ ศิลปศาสตร์ หรือสาขาที่เกี่ยวข้อง หรืออย่างน้อยมีความสามารถในการแปลอย่างช่ำชองทั้งสองภาษา
1. สนใจและรักในภาษาและมีความรู้ความชำนาญในภาษาของตนเองไม่น้อยไปกว่าต้นฉบับ
2. เป็นผู้มีความรู้ในภาษาต้นฉบับและภาษาที่ใช้ในการแปลดีพอ
3. เป็นผู้หมั่นค้นคว้าหาความรู้เพิ่มเติมอยู่เสมอ ทั้งในงานที่ทำและงานแขนงอื่นๆ
4. เป็นผู้มีวิจารณญาณ ในการแปล
5. เป็นผู้มีใจเปิดกว้างยอมรับข้อติติง จากทั้งเพื่อนร่วมงานและผู้ว่าจ้าง
6. เป็นผู้มีความละเอียดรอบคอบ และความละเอียดอ่อนในการแปล
4.ระดับรายได้ และความก้าวหน้า รวมไปถึงสวัสดิการที่เกี่ยวกับอาชีพ
สำหรับเจ้าหน้าที่ในองค์กรของรัฐบาล จะได้รับค่าตอบแทนการทำงานเป็นเงินเดือนตามวุฒิการศึกษาและอาจมีค่าวิชาชีพเพิ่มให้ ในภาคเอกชนจะได้รับการว่าจ้างในอัตราเงินเดือนที่มากกว่า 5 - 10 เท่าขึ้นไปตามความสามารถและความรับผิดชอบ
ผู้ประกอบอาชีพอิสระในการแปลหนังสือนวนิยายต่างประเทศ ค่าจ้างแปลโดยเฉลี่ยเป็นชิ้นงานตามความหนาของหนังสือ จะได้รับค่าจ้างแปลประมาณเล่มละ 30,000 - 80,000 บาท ซึ่งใช้เวลาแปลประมาณ 1 - 2 เดือน บางเล่มที่มีความเป็นวิชาการมากอาจได้รับค่าแปลมากกว่า 100,000 บาท และในกรณีถ้ามีการพิมพ์ซ้ำ ผู้แปลจะได้ค่าแปลเพิ่มขึ้นตามแต่เปอร์เซ็นต์ที่ตกลงไว้กับ ผู้ว่าจ้าง การแปลบทสารคดีจะได้รับค่าตอบแทนเป็นชิ้นงานประมาณ 5,000 - 7,000 บาทต่อเรื่อง หรือความยาวประมาณ 20 หน้า นอกจากนี้ ยังมีการแปลบทภาพยนตร์ต่างประเทศที่แพร่ภาพทางทีวีและฉายในโรงภาพยนตร์ ค่าแปลบทภาพยนตร์ทีวี ประมาณเรื่องละ 3,000 - 5,000 บาท การแปลบทภาพยนตร์จะได้รับค่าจ้างที่สูงพอสมควร ส่วนค่าจ้างแปลเอกสารธรรมดาในท้องตลาดทั่วไปหน้าละประมาณ 300 - 800 บาท ผู้ปฏิบัติงานอาชีพนี้ มีโอกาสก้าวหน้าทางด้านวิชาชีพในเรื่องของค่าจ้างและเงินเดือน อาจได้รับตำแหน่งต่างๆ ในองค์กรที่ต้องติดต่อกับต่างประเทศ จนถึงระดับผู้บริหารถ้าผู้แปลหรือล่ามมีความชำนาญพิเศษและมีประสบการณ์ในระดับสูงอาจทำงานกับองค์กรนานาชาติได้
5.วิธีการเข้าสู่อาชีพ (การศึกษา, สาขาที่เกี่ยวข้อง, วิชา, วุฒิการศึกษา)
สำหรับผู้จบปริญญาตรีสาขาวิชาใดก็ได้ แต่มีความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษทั้งการเขียนพูดแปล สามารถเข้ารับการอบรมหลักสูตรการแปลแบบมืออาชีพ ได้ในมหาวิทยาลัยต่างๆ หรือโครงการศึกษาต่อเนื่องของแต่ละมหาวิทยาลัย
6.มหาวิทยาลัยหรือสถานศึกษาที่เปิดสอน
มหาวิทยาลัยมหาสารคาม คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ เอก ภาษาต่างๆ เช่น เกาหลี ญี่ปุ่น อังกฤษ เวียดนาม เขมร ลาวทุกมหาวิทยาลัยที่เปิดสอนเกี่ยวกับภาษาต่างประเทศ
7.ความต้องการของตลาดแรงงาน
ปัจจุบันอาชีพนี้เป็นที่ต้องการของตลาดอย่างมาก เนื่องมาจากการเปิดการค้าเสรีและการสื่อสารไร้พรมแดน ทำให้ธุรกิจทุกวงการต้องหันมาส่งเสริมพนักงานทุกคนในองค์กรให้ใช้ภาษาอังกฤษได้เป็นอย่างน้อย นอกเหนือไปจากการจ้างพนักงานประจำทั้งนักแปลและล่าม ภาษาอังกฤษ ญี่ปุ่น จีน เยอรมันกันอย่างมากมายในช่วง 1 - 2 ปีที่ผ่านมา เช่น ธุรกิจอุตสาหกรรม วงการก่อสร้างงานสาธารณูปโภคระดับนานาชาติและบริษัทที่ปรึกษากฎหมาย เป็นต้น ดังนั้น ผู้ประกอบอาชีพนี้ จึงมีแนวโน้มเป็นที่ต้องการของตลาดแรงงานอย่างมาก เพราะบางบริษัทจ้างพนักงานแปลหรือล่ามที่สามารถใช้ภาษาต่างประเทศได้มากกว่า2 ภาษา และจะได้รับการพิจารณาเป็นพิเศษ ผู้ที่มีความสามารถด้านการแปลภาษาสามารถเลือกงานได้ตามที่ตนต้องการ ผู้ประกอบอาชีพนี้มีความมั่นใจในตนเองสูง และเป็นอาชีพอิสระอาจเลือกทำงานตามอุดมคติได้ เช่น ทำงานในองค์กรระหว่างประเทศในโครงการต่าง ๆ ได้ถ้าไม่ต้องการเป็นนักแปล หรือล่าม บรรณาธิการข่าวต่างประเทศอาจประกอบอาชีพนี้เป็นอาชีพเสริมนอกเหนืองานประจำ
8.ตัวอย่างบุคคลที่อยู่ในอาชีพดังกล่าว (เรื่องราวโดยย่อ)
คุณคณา คชา เป็นนามปากกาของนักเขียนวรรณกรรมเยาวชนฝีมือเยี่ยมคนหนึ่ง ซึ่งเป็นที่น่าเสียดายที่ชาวไทยยังไม่ค่อยรู้จักชื่อและงานของเธอมากนัก เพราะมัวแต่ไปทุ่มเทความสนใจให้กับเยาวชนต่างชาติเสียหมด ทั้งๆ ที่งานเขียนของเธอนั้นไม่ได้ด้อยฝีมือและคุณค่าไปกว่าวรรณกรรมเยาวชนแปลที่วางเด่นอยู่ตามชั้นหนังสือแนะนำเลยแม้แต่น้อย รางวัลชนะเลิศจากการประกวดวรรณกรรมเยาวชน รางวัลแว่นแก้ว ครั้งที่ 1 จากวรรณกรรมเยาวชนเรื่อง โลกใบนี้โคจรรอบกระทะกับหม้อเหล็ก เป็นเครื่องการันตีคุณภาพและฝีมือในการเขียนของเธอได้เป็นอย่างดี
ไปทำความรู้จักกับเธอกันดีกว่า..
แนะนำตัวเองสั้นๆ สักหน่อยค่ะ
ชื่อ คณาพร สัมฤทธิ์ล้วน นามสกุลเดิม คชา นามปากกาเลยตั้งไว้ว่า "คณา คชา" จบการศึกษาจากคณะมนุษยศาสตร์ สาขาวิชาภาษาอังกฤษ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ทำไมถึงชอบเขียนเรื่องเด็ก หรือวรรณกรรมเยาวชนคะ
เป็นคนชอบอ่านหนังสือวรรณกรรมเยาวชนมาก ชอบหนังสือแนวนี้เพราะเป็นหนังสือที่เล่นกับจินตนาการ ความสวยงามของชีวิต เป็นหนังสือที่อ่านแล้วให้ความรู้สึกที่รื่นรมย์ มีอารมณ์ขัน เมื่ออ่านมาก ๆ เข้าก็ถึงจุดหนึ่งที่ทำให้อยากเขียน
แล้วเริ่มต้นเขียนหนังสือด้วยการเขียนวรรณกรรมเยาวชนเลยหรือเปล่าคะ
คงต้องเล่าย้อนไปตั้งแต่ตอนเด็ก ๆ เลย เป็นคนฝันไว้ตั้งแต่เด็กว่าอยากเป็นนักเขียน เพราะตอนเด็ก ๆ จะอยู่กับพ่อสองคน แล้วไม่มีเพื่อนเล่น พ่อก็จะสนับสนุนให้อ่านหนังสือตลอด พอปิดเทอมทีก็จะไปยืมหนังสือจากร้านเช่าหนังสือเป็นตั้ง ๆ อ่านดะไปหมด อ่านเยอะมาก อ่านเยอะมากเข้าก็อยากเป็นนักเขียน แต่ตอนเด็ก ๆ จะไม่ค่อยได้อ่านวรรณกรรมเยาวชน เพราะหาอ่านยาก อ่านแต่นิยาย พอเริ่มต้นเขียน คงเหมือนนักเขียนทั่ว ๆ ไป ยังเขียนเรื่องยาว ๆ ไม่ได้ เริ่มจากเรื่องสั้น เขียนเรื่องสั้นเรื่องแรกตอนเรียนม.ปลาย ส่งไปที่ฟ้าเมืองไทย ของคุณอาจินต์ ปัญจพรรค์ ส่งไปได้ไม่กี่วัน คุณอาจินต์ ก็ส่งเรื่องสั้นกลับมาพร้อมกับจดหมายวิจารณ์ โอ้โห ดีใจมาก เป็นเรื่องที่ดีใจที่สุดตั้งแต่เขียนหนังสือมาเลย ว่าคุณอาจินต์เขียนถึงเรานะ ถึงเรื่องสั้นจะไม่ผ่าน แต่คุณอาจินต์วิจารณ์งานในแง่ที่ค่อนข้างดี นั่นคือบอกว่าเรามีแวว แล้วก็เป็นคนที่มีอารมณ์ขันดีมาก ก็เลยได้ใจ เขียนส่งไปอีกเรื่องหนึ่ง แต่คราวนี้หายต๋อมไป ก็ไม่ได้เขียนอีก หลังจากนั้นก็มีเขียนเล่าประสบการณ์สั้น ๆ ได้ลงที่แพรว พอเข้าเรียนมหาวิทยาลัยก็เขียนเรื่องสั้นส่งไปที่แพรวได้ตีพิมพ์ แต่เขียนแค่เรื่องเดียว ตอนเรียนมหาวิทยาลัยตอนนั้นเริ่มบ้าอ่านวรรณกรรมเยาวชนแล้ว เพราะมีแหล่งให้หาอ่าน หาซื้อ มีร้านหนังสือแซงแซวบุ๊คส์หน้ามหาวิทยาลัย ห้องสมุดของชมรมวรรณศิลป์ก็มีหนังสือเด็กเยอะ เริ่มเขียนวรรณกรรมเยาวชนแล้ว เรื่องแรกส่งไปสำนักพิมพ์เรจีน่า ไม่ผ่านหายต๋อมไปเลย ก็เฉย ๆ จนเรียนจบออกมาทำงาน มีรุ่นพี่แนะนำให้ไปรับเรื่องจากสำนักพิมพ์แปลนมาแปล หนังสือเล่มแรกเลยเป็นเรื่องแปล "นิทานแคนาดา" หลังจากนั้นก็เขียน วรรณกรรมเยาวชนเรื่อง "โม่น้อยผจญภัย" ตอนแรกไม่ได้ตั้งชื่อนี้ ตั้งชื่อว่า "เดินทางตามหาดวงจันทร์" ส่งไปที่สำนักพิมพ์ดอกหญ้า เพราะตอนนั้นดอกหญ้าพิมพ์วรรณกรรมเยาวชนออกมาเยอะมาก ปรากฏว่าพอส่งไปปุ๊ป ไม่กี่วัน บก. โทรมาหาเลย อยากเจอตัว บอกว่าชอบเรื่องนี้มาก จะพิมพ์ ก็เลยไปพบ ก็ได้คุยกัน บก. ขอให้เขียนเพิ่มอีกสักบทสองบทเพราะสั้นไปหน่อย แล้วก็อยากเปลี่ยนชื่อเรื่อง เพราะชื่อที่ตั้งไว้ไม่จูงใจ หนังสือที่เขียนเล่มแรกในชีวิตเลยเป็นเรื่องโม่น้อยผจญภัย แล้วเสียงสะท้อนกลับเรื่องนี้ก็ดีมาก (ทำท่าว่าจะดีที่สุด ตั้งแต่เขียนหนังสือมาด้วยซ้ำ) ทางสำนักพิมพ์จะคอยบอกว่า เออ.. คนวาดภาพประกอบ ชอบเรื่องเรานะ มีนักแปลวรรณกรรมเยาวชนบอกว่าชอบเรื่องเรา คณา คชานี่คือใคร ทำงานเกี่ยวกับเด็กหรือเปล่า หรือจนตอนนี้ก็ยังมีเสียงเล่าให้ได้ยินอยู่ว่า มีคนยังอ่านเรื่องนี้ให้ลูกเขาฟังก่อนนอนอยู่เลย แล้วก็มีสำนักพิมพ์บอกว่าสนใจจะพิมพ์ให้ใหม่ บอกว่า อ่านใหม่แล้วยังรู้สึกดีอยู่ แต่ตอนนี้เงียบ ๆ ไป ไม่รู้ว่ายังจะทำอยู่หรือเปล่า
จากนั้นก็เขียนมาเรื่อย เป็นวรรณกรรมเยาวชนทั้งหมด ตั้งแต่นิทานท้องฟ้า อาณาจักรบนเตียงนอน ผจญภัยในแดนเงา เด็กหญิงจ้าง ระบำใบไม้ หมู่บ้านพิลึก แล้วก็มีเขียนนิทานส่งให้หญิงไทย ส่วนเรื่องสั้นนาน ๆ จะเขียนสักเรื่อง เรื่องแปลมีทำอยู่เรื่อย ๆ เหมือนกัน หลังจากได้รางวัลแว่นแก้วยังเขียนเข้าประกวดในรายการอื่น ๆ อีกหรือเปล่าคะ
ถ้าเป็นวรรณกรรมเยาวชนไม่ส่งแล้ว แต่มีส่งสารคดีไปประกวดรางวัลนายอินทร์อวอร์ด พอดีมีเขียนเล่น ๆ เก็บไว้ เห็นประกาศก็เลยส่งประกวด แต่หายต๋อม ไม่ผ่าน คิดว่าการจัดการประกวดมีความสำคัญแค่ไหน และมีส่วนช่วยในการสร้างนักเขียนและนักอ่านได้มากแค่ไหน
มีส่วนช่วยในการสร้างนักเขียนนักอ่านพอสมควร แต่ที่สำคัญมากที่สุดคิดว่าอยู่ที่สำนักพิมพ์ แล้วก็การร่วมมือร่วมใจของคนในวงการหนังสือ ไม่ว่าจะสมาคม ชมรมต่าง ๆ นักวิจารณ์ มากกว่า จะพูดในแง่ของวรรณกรรมเยาวชนอย่างเดียวแล้วกัน เพราะงานประเภทอื่นแทบจะไม่ได้เขียน
เดี๋ยวนี้หาสนามวรรณกรรมเยาวชนยากมาก กลายเป็นว่าแต่ก่อนส่งเรื่องไปไม่นานก็จะได้รับการตีพิมพ์ แต่เดี๋ยวนี้ มักจะถูกดอง ข้ามเป็นปี ๆ โดยได้รับเหตุผลว่า สำนักพิมพ์ยังไม่พร้อม ในแง่การตลาดคิดว่าขายยาก ขอให้รอไปก่อน บางเรื่องรอจนลืมกันไปเลย ก่อนจะตอบมาว่า ไม่พิมพ์แล้ว เดี๋ยวนี้เจอแบบนี้เยอะมาก กลายเป็นคนว่าคนเขียนวรรณกรรมเยาวชนไม่มีสนาม อยากได้รับการตีพิมพ์จะต้องส่งประกวด เป็นอย่างนี้จริง ๆ อย่างเรื่องที่ได้รับรางวัลแว่นแก้ว คิดว่าถ้าไม่ได้ส่งประกวด ส่งไปตามสำนักพิมพ์ธรรมดา รับรองเลย ป่านนี้ก็ยังไม่ได้รับการพิมพ์หรอก ซึ่งแตกต่างจากแต่ก่อน งานเขียนวรรณกรรมเยาวชนคนไทย ได้รับการสนับสนุนมากกว่านี้ สังเกตแต่ก่อนจะมีพิมพ์เยอะกว่านี้ มีงานของสำนักพิมพ์ต้นอ้อ มีของดอกหญ้า แต่เดี๋ยวนี้ งานวรรณกรรมเยาวชนไทยที่จะได้พิมพ์ต้องผ่านการประกวดอย่างรางวัลนายอินทร์อวอร์ด รางวัลแว่นแก้ว ไม่มีสนาม
แล้วงานประกวดแบบนี้ เป็นการประกวดเพื่อทำตลาดของสำนักพิมพ์ รางวัลนายอินทร์อวอร์ดมีทุกปี รางวัลแว่นแก้วมีทุกสองปี ตอนแรกก็ตื่นเต้นดีหรอก พอมีหนังสือได้รางวัลมาก็ซื้ออ่าน แต่ตอนนี้เลิกซื้ออ่านไปแล้ว คนอื่นไม่รู้นะ แต่ตัวเองรู้สึกแบบนี้ ไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่ รู้สึกมันการตลาดเกินไป โดยส่วนตัวอยากให้เป็นลักษณะมีรางวัลจากหน่วยงานกลางมากกว่า เลือกจากหนังสือวรรณกรรมเยาวชนทั้งหมดที่ตีพิมพ์ในปีนั้นๆ มาให้รางวัลดีกว่า หรือจะเป็นรางวัลที่ตัดสินโดยจากนักอ่านกันโดยตรงแบบต่างประเทศก็ยิ่งดี คิดว่าทำแบบนี้จะเป็นการสนับสนุนการสร้างนักเขียน และนักอ่านมากกว่า
วงการวิจารณ์บ้านเราด้วย แทบจะไม่มีใครสนใจ พูดถึง เขียนถึงวรรณกรรมเยาวชนไทย คนเขียนวรรณกรรมเยาวชนบ้านเรา เป็นเหมือนประชากรชั้นสอง งานวรรณกรรมเยาวชนในมุมมองของนักเขียนประเภทอื่น และนักวิจารณ์ รวมทั้งคนทั่ว ๆ ไปด้วย จะมองว่าเป็นงานที่ง่าย เขียนไม่ยาก เจอมากับตัวเองเลย คือบ้านเราจะมองว่าเรื่องเกี่ยวกับเด็กเป็นเรื่องง่ายไปหมด เจอหน้าเพื่อนฝูง เพื่อนจะถามไถ่ยังเขียนเรื่องเด็กอยู่หรือเปล่า พอตอบว่ายังเขียนอยู่ เพื่อน ๆ ก็จะพูดทักกันว่า "เฮ้ย ทำไมไม่เขียนเรื่องประเภทอื่นบ้าง นิยงนิยาย" ทำนองเขียนทำไมวะ เรื่องเด็กน่ะ พอเจอเพื่อนที่อยู่ในวงการหนังสือ พอเพื่อนรู้ว่ายังเขียนเรื่องเด็กอยู่ ก็พูดออกมาว่า "เออดีวะ เขียนเรื่องเด็กง่ายดี" หรือนักเขียนเรื่องสั้นบางคนก็จะพูดถึงคนเขียนวรรณกรรมเด็กว่า "เขียนไปเถอะ ไม่ต้องดีอะไรมากมาย เดี๋ยวพ่อแม่ก็ซื้อให้ลูก ๆ อ่านเอง"
ก็ถ้าบ้านเรา โดยเฉพาะคนในวงการหนังสือด้วยกันเอง ยังไม่เห็นคุณค่าของวรรณกรรมเยาวชน ไม่สนับสนุนกันเท่าไหร่ ก็ยากที่จะมีงานดี ๆ ในบ้านเรา

มีความเห็นอย่างไรกับเรื่องที่เยาวชนไทยอ่านหนังสือน้อย (เฉลี่ยวันละ 4 นาที)
เป็นเพราะขาดการสนับสนุนที่ดีมากกว่า ครอบครัวขาดการสนับสนุน พอดีมีลูกเล็ก ๆ อยู่ ยังแปลกใจที่ว่าเด็กไทยอ่านหนังสือน้อย เพราะเด็กเล็ก ๆ นี่จะชอบหนังสือมาก จะเปิดดูรูปภาพชอบให้พ่อแม่เล่าเรื่องให้ฟัง
แล้วก็ห้องสมุดของโรงเรียน แทบจะไม่มีวรรณกรรมเยาวชนเลย ไม่รู้เดี๋ยวนี้เป็นไงนะ แต่สมัยก่อนน่ะ แทบจะไม่มีเลย ก็ถ้าไม่มีหนังสือสนุก ๆ ใกล้ตัวให้เด็กได้สัมผัส แล้วเด็กจะชอบอ่านหนังสือได้ยังไง โดยส่วนตัวคิดว่าเด็กชอบอ่านหนังสือสนุก ๆ ที่เหมาะกับวัยเขา เคยเจอหลานเพื่อนคนหนึ่ง ลองให้เขาอ่านเรื่องลิฟต์มหัศจรรย์ของโรอัลด์ ดาลห์ เขาไม่อ่านท่าเดียว บอกว่า มีแต่ตัวหนังสือ ไม่หนุกแน่เลย เขาชอบอ่านการ์ตูนมากกว่า เราก็พยายามจะบอกเขาว่าสนุกนะ จนลงทุนนั่งอ่านให้เขาฟังเลย ปรากฏว่าเขาชอบมาก นั่งฟังตาแป๋ว กระตือรือร้นร้องขอให้เราอ่านให้ฟังอีก นี่แสดงว่าเขาไม่ได้รับการสนับสนุน
ภาครัฐก็ไม่ได้สนับสนุนอะไร หนังสือแพงมากด้วย น่าจะถูกกว่านี้ หนังสือแพง คนก็มีปัญญาหาซื้ออ่านได้น้อยลง ห้องสมุดประชาชนใกล้บ้านก็ไม่มี ไม่มีการรณรงค์ให้อ่านหนังสือ มีน้อยมาก แล้วจะสู้สื่ออื่นได้ยังไง ที่รณรงค์ให้คนไทยเล่นกีฬาได้ ก็น่าจะรณรงค์ให้อ่านหนังสือได้

มีความเห็นอย่างไรก็กระแสวรรณกรรมแปลที่ทะลักเข้ามา
ส่วนตัวคิดว่าเป็นเรื่องที่ดี เป็นทางเลือกสำหรับคนอ่าน แต่สำนักพิมพ์ต่าง ๆ น่าจะมีส่วนรับผิดชอบกับสังคมบ้าง ไม่ใช่วรรณกรรมแปลขายได้ แล้วทำแต่วรรณกรรมแปล ละเลยวรรณกรรมของคนไทย ถ้าจะไม่ดีก็ตรงนี้ เดี๋ยวนี้เวลาเดินร้านหนังสือ บางทีนึกถึงนักเขียนเก่า ๆ ที่เคยชื่นชอบ อยากหางานใหม่ ๆ ของนักเขียนเหล่านี้มาอ่าน ปรากฏว่าแทบจะหาหนังสือของนักเขียนเก่า ๆ ที่มีคุณภาพไม่ได้เลย หนังสือของคนไทย กลายเป็นหนังสือตามกระแสแฟชั่นไปเสียเกือบหมด

สมัยนี้เข้าร้านหนังสือแล้วเจอแต่วรรณกรรมแปล คนบางกลุ่มก็เกิดอาการ "นิยมของนอก" ไม่อ่านงานเขียนของคนไทย
ตัวเองก็เป็น จะเลือกอ่านวรรณกรรมแปลก่อนของคนไทย เพราะรู้สึกว่างานนอกหลากหลายกว่า ช่างคิด มีมุมมองแปลก ๆ แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่อ่านงานของคนไทยเลย อ่าน แต่อ่านแล้วรู้สึกว่ามันไม่มีอะไรใหม่ แล้วช่วงหลังยังมีงานดี ๆ ของคนไทยออกมาน้อยอีก ยิ่งไปกันใหญ่เลย จริง ๆ ต้องมีปริมาณที่สมดุลกัน ต้องสนับสนุนงานของคนไทยที่มีคุณภาพออกมาด้วย ไม่ใช่คิดแต่ทางการตลาดกันอย่างเดียว ทำแต่หนังสือตามกระแสแฟชั่นอย่างเดียวก็แย่ โดยส่วนตัวยังเชื่อว่า คนไทยก็อยากอ่านงานของคนไทย เพราะยังไงซะ การเสพงานพวกนี้ เสพสิ่งที่เป็นเรื่องราวใกล้ตัว จะเข้าใจความคิดความอ่านกันได้ดีกว่า

คิดว่าน่าจะแก้ปัญหายังไงคะ
สำนักพิมพ์มีส่วนช่วยมาก ไม่ใช่ทำงานแปลแล้วขายได้ ก็ทำแต่งานแปลอย่างเดียว น่าจะคืนกำไรให้แก่สังคมไทยโดยการพิมพ์งานคนไทยบ้าง

อะไรคืองานวรรณกรรมเยาวชนที่ดี
งานวรรณกรรมเยาวชนที่ดี ต้องเป็นงานที่สื่อสารกับเยาวชนได้ ให้มุมมอง ให้แง่คิดที่ดีแก่เด็ก โดยส่วนตัวคิดว่าต้องสนุกด้วย

การเขียนวรรณกรรมเยาวชนยากไหมคะ
ส่วนตัวคิดว่าไม่ยาก เพราะชอบ แล้วก็ถนัด คิดว่าถ้าไปถามคนเขียนนวนิยาย ว่าเขียนนิยายยากมั้ย พวกนั้นก็คงตอบว่าไม่ยาก แต่สำหรับตัวเองคิดว่าเขียนนิยายยาก ขณะเดียวกัน พวกเขียนนิยายบางคนมาลองเขียนวรรณกรรมเยาวชนก็บ่นว่ายาก ขึ้นอยู่กับความถนัดและความชอบมากกว่า

ผลงานชิ้นต่อไป?
ตอนนี้เขียนเรื่องเกี่ยวกับลูกอยู่ เรื่อง "การเดินทางบนโลกใบกลม ๆ ของน้องเต้น" ยังไม่รู้ว่าจะมีใครพิมพ์ให้มั้ย ส่วนผลงานชิ้นต่อไป มีงานแปลเรื่อง the pushcart war (สงครามรถเข็น) ส่งไปให้ที่มติชน คิดว่าคงจะพิมพ์ให้ เพราะทางมติชนบอกกำลังทำเรื่องติดต่อขอลิขสิทธิ์อยู่ แล้วตอนนี้มีโครงเรื่องที่คิดจะเขียนเป็นวรรณกรรมเยาวชนอีกสองเรื่อง

อรนุช กล่าวว่า...

นางสาวอรนุช จำลองเพ็ง รหัสนิสิต 48010510152 ชั้นปีที่ 4 คณะศึกษาศาสตร์ สาขาวิทยาศาสตร์ทั่วไป

1.ชื่ออาชีพ
อาชีพ นักเขียนการ์ตูน
นักเขียนการ์ตูนจัดว่าเป็นศิลปินผู้สร้าง และเขียนหรือวาดภาพการ์ตูน จากจินตนาการหรือ จากแบบ สำหรับผู้ที่วาดภาพบุคคลหรือเหตุการณ์ ซึ่งโดยปกติมักเป็นภาพล้อ ( Caricature ) เพื่อใช้ประโยชน์ และสื่อสาร ในสื่อต่างๆ นั้นเรียกว่า ผู้เขียนภาพล้อเลียน ( Caricaturist )

2.ลักษณะของอาชีพ (การทำงาน)
นักเขียนการ์ตูนจะสร้างสรรค์ กำหนดลักษณะของตัวการ์ตูนแต่ละตัวตามวัตถุประสงค์ที่วางไว้ และวาดตัวการ์ตูนด้วยดินสอ ลงด้วยหมึก และสีตามต้องการด้วยสีจริง และสีจากโปรแกรมการวาดภาพด้วยคอมพิวเตอร์ ให้เข้ากับแนวเนื้อเรื่องที่วางกรอบไว้ เพื่อนำไปใช้พิมพ์แล้วจำหน่าย หรือด้วยวัตถุประสงค์ตามที่ผู้ว่าจ้างต้องการ
งานการ์ตูนสามารถนำมาใช้เป็นสื่อในการโฆษณารณรงค์โครงการ หรือประชาสัมพันธ์เพื่อรับใช้ชุมชน และสังคม ใช้เป็นสื่อทางพาณิชย์ หรือใช้เป็นสื่อสำหรับเรื่องราวที่อ่านเพลิดเพลินได้ทั้งเด็กผู้ใหญ่ และใช้ ส่งเสริมพัฒนาทักษะการอ่านของเด็ก และเยาวชน
ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา งานการ์ตูนได้รับการถ่ายทอดลงบนฟิล์มภาพยนตร์ โดยใช้ระบบคอมพิวเตอร์เข้ามาใช้ช่วยทำงานในส่วนที่ต้องมี รายละเอียด ซึ่งมีขั้นตอนหลายมิติ ตามกระบวนการผลิตและการถ่ายทำช่วยทำให้ภาพการ์ตูนเคลื่อนไหวเหมือนจริงและสวยงามมากขึ้น หรือที่เรียกว่าภาพเอนิเมชั่น (Animation) ซึ่งในการผลิตภาพยนตร์การ์ตูนต้องการนักวาดการ์ตูนมากขึ้น คือใช้ภาพประมาณ 16 - 24 ภาพในแต่ละท่วงท่าของการเคลื่อนไหว หรือปรับให้ทันสมัย ใช้เป็นต้นแบบประกอบในการวาดการ์ตูนการเล่นทางคอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต

3.ลักษณะของบุคคลที่เหมาะกับอาชีพ (ความต้องการด้านบุคลากร)
1. มีใจรักงานวาดการ์ตูน มีจินตนาการ
2. มีทักษะและฝีมือในการสร้างสรรค์ ลายเส้นการ์ตูน
3. มีความเพียร อดทน ความขยัน ซื่อสัตย์ ต่อตนเองและเวลา
4. เข้าใจสภาพเงื่อนไขทางธุรกิจ
5. เป็นคนสนใจใฝ่หาความรู้ทางด้านศิลปะ ไม่หยุดนิ่ง และช่างสังเกต

4.ระดับรายได้ และความก้าวหน้า รวมไปถึงสวัสดิการที่เกี่ยวกับอาชีพ
ผู้ปฏิบัติงานอาชีพนี้ จะได้เงินเดือนประจำ เงินรับเหมาเป็นเรื่อง และค่าตอบแทนเป็น แบบซื้อลิขสิทธ์ เงินจากการพิมพ์หนังสือการ์ตูนขายเอง หรือจากส่วนแบ่งจากยอดขายจากสำนักพิมพ์ที่นำการ์ตูนไปพิมพ์ และจัดจำหน่าย สำหรับนักการ์ตูนการเมืองจะได้ค่าเขียนรูปละประมาณ 2,000 - 4,000 บาท
นักเขียนการ์ตูนในส่วนของภาพยนตร์การ์ตูนอาจได้รับเงินค่าจ้าง วันละประมาณ 280 - 300 บาท บางแห่งอาจจ่ายเป็นเงินเดือนเดือนละประมาณ 8,500 บาท
นักเขียนการ์ตูนมีการทำงานค่อนข้างเป็นอิสระ เพราะทำงานเป็นชิ้นหรือรับเหมาทั้งงาน และต้องทำงานให้เสร็จทันเวลาตามข้อตกลง

5.วิธีการเข้าสู่อาชีพ (การศึกษา, สาขาที่เกี่ยวข้อง, วิชา, วุฒิการศึกษา)
เปิดกว้างสำหรับบุคคลทั่วไปและ ผู้ที่มีความรู้ความสามารถเกี่ยวข้องกับอาชีพผู้จบการศึกษาขั้นต่ำชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 - 6 มีความรู้พื้นฐานทางด้านศิลปะ สามารถเข้ารับการฝึกทักษะได้จากโรงเรียน วิทยาลัย และมหาวิทยาลัยที่เปิดสอนทางด้านนี้โดยเฉพาะหรือเรียนจากนักเขียนการ์ตูนมืออาชีพ ปัจจุบันเปิดสอนและอบรมกันเป็นที่แพร่หลาย หรือเข้ารับการศึกษาต่อในโรงเรียน วิทยาลัย และมหาวิทยาลัยที่เปิดสอนทางด้านนี้โดยเฉพาะ

6.มหาวิทยาลัยหรือสถานศึกษาที่เปิดสอน
มหาวิทยาลัยศิลปกร
มหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
มหาวิทยาลัยขอนแก่น
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
และมหาวิทยาลัยอื่นๆ

7.ความต้องการของตลาดแรงงาน
ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา นักวาดการ์ตูนไทยก็ได้รับการว่าจ้างจากสำนักพิมพ์ในประเทศญี่ปุ่นให้เป็นส่วนหนึ่งของทีมงานในการวาดภาพการ์ตูน ที่พิมพ์ออกจำหน่ายมีชื่อเสียงแพร่หลายไปทั่วโลกเช่นกันอย่างเช่น ดรากอนบอลล์ และสำนักพิมพ์ไทยเอง ก็ให้ความสนใจหาผู้ที่เขียนการ์ตูนที่มีเนื้อเรื่องตามตลาดต้องการ เป็นจำนวนมาก นับเป็นอีกก้าวหนึ่ง ของการ์ตูนไทยที่สามารถก้าวข้ามจากงานการ์ตูนภาพล้อเข้าสู่ธุรกิจสื่อการ์ตูน ปัจจุบัน บริษัทผลิตภาพยนตร์การ์ตูนเพื่อการส่งออก (เช่น ฮอลลีวู้ด) และ สำนักพิมพ์ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ต้องการผู้เขียนการ์ตูนที่นำเสนอการ์ตูนเป็นเรื่องๆ และเป็นแนวตามที่ตลาดต้องการสำหรับเด็ก และเยาวชนไทยเป็นจำนวนมาก แต่ผู้มีความสามารถในการเขียนการ์ตูนยังมีจำนวนจำกัด จึงเป็นโอกาสอันดีสำหรับผู้สนใจประกอบอาชีพนี้ จะได้เรียนรู้และฝึกหัดการเขียน เพื่อประกอบอาชีพนี้ต่อไป
ปัจจุบัน หนังสือการ์ตูนที่มีเนื้อหาเหมือนนวนิยายของต่างประเทศเป็นที่นิยมกัน แพร่หลายในหมู่เด็กนักเรียนและเยาวชนไทย ทางสำนักงาน ส่งเสริมวัฒนธรรมแห่งชาติ (สวช.) สังกัดกระทรวงศึกษาธิการจึงได้รณรงค์ให้มีการประกวดหนังสือการ์ตูน หรือนิตยสารการ์ตูนที่ผลิตโดยฝีมือคนไทย โดยมีการจัดมอบรางวัลสำหรับผู้วาดได้ดี มีเนื้อหาสร้างสรรค์ นอกจากนี้องค์กรเอกชน ที่ทำธุรกิจทางด้านบันเทิง ก็มีการจัดให้มีประกวดส่งเสริมการวาดภาพการ์ตูนกันเป็นที่แพร่หลาย
นับว่านักวาดภาพการ์ตูนไทยกำลังจะได้รับการส่งเสริมพัฒนาตั้งแต่ยังเป็นเด็กและ กำลังเริ่มต้นไปในทิศทางที่ดี เพราะเยาวชนไทยหันมาอ่านหนังสือการ์ตูนกันมากขึ้น และได้มีการแสดงออกทางด้านฝีมือกันมากขึ้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชประสงค์จัดทำพระราชนิพนธ์พระมหาชนกฉบับการ์ตูนเพื่อถ่ายทอดปรัชญา เรื่องราวของความเพียร ให้กับประชาชนทุกหมู่เหล่ารวมทั้งเยาวชนได้อ่านกันอย่างทั่วถึง ซึ่งโปรดให้วาดโดยชัย ราชวัตร นักเขียนการ์ตูนสังคม และการเมืองผู้มีชื่อ และทีมงาน นับเป็นนิมิตที่ดีของวงการการ์ตูนไทย และถือได้ว่าเป็นตัวอย่างของการ์ตูนไทยที่ประสบความสำเร็จ ซึ่งมีจำนวนพิมพ์ประมาณ 2 แสนฉบับ ในเวลาเพียง 2 เดือน จากการขยายตัวของสื่อ และสื่อมวลชนทำให้การ์ตูนได้รับความสนใจและได้รับการบรรจุเป็น หนึ่งในเนื้อหาสำหรับบริการความบันเทิง และเพลิดเพลินให้กับผู้อ่านหรือผู้ชมมากขึ้นเป็นลำดับ นับเป็นแนวโน้มที่ดีที่มีบริษัทต่างๆ ว่าจ้างนักเขียนการ์ตูนในองค์กรธุรกิจมากขึ้น
นอกจากนี้นักเขียนการ์ตูนยังสามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์จากตัวการ์ตูนออกมาเป็นตุ๊กตาผ้า หรือในรูปแบบพวงกุญแจ ของที่ระลึก ฯลฯ ตามที่ลูกค้าเสนอและว่าจ้างให้จัดทำเป็นสินค้าสำหรับแจกเป็นของชำร่วย เป็นต้น

8.ตัวอย่างบุคคลที่อยู่ในอาชีพดังกล่าว (เรื่องราวโดยย่อ)
โกโช อาโอยาม่า (「青山 剛昌」 Aoyama Gōshō – อะโอะยะมะ โกโช?)
ชื่อจริงนามสกุลจริง: โยชิมาสะ อาโอยาม่า
สถานะ: โสด เคยสมรสกับ อิซึมิ อาราอิ (มินามิ ทาคายาม่า สมาชิกวง TWO-MIX)ในวันที่ 5 พ.ค. 2005 และทั้งคู่หย่าในวันที่ 10 ธ.ค. 2007
เกิด: วันที่ 21 มิถุนายน ค.ศ.1963 เมืองไดเออิ จังหวัดทตโตริ ประเทศญี่ปุ่น
กรุ๊ปเลือด: B
สิ่งที่ชอบ: นวนิยายนักสืบ, ฟุตบอล, เบสบอล(ทีมไจแอนท์), เคนโด้, ซามูไรเรื่องนานะจินซามูไร, ซากุระซันจูโร่(มีกล่าวในโคนันเล่มที่33) ฯลฯ
อาหารที่ชอบ: ข้าวราดแกงกระหรี่
ของกินที่เกลียด: ลูกเกด
พี่น้อง: เป็นผู้ชาย 4 คน คนที่1 เป็นช่างเทคนิคในโรงไฟฟ้า, คนที่2 โกโช อาโอยาม่า, คนที่3 รับช่วงต่อกิจการอู่ซ่อมรถ, คนที่ 4 เป็นหมอ
คุณพ่อคุณแม่: ทั้งคู่เกลียดการ์ตูนมากๆ ถ้าเห็นอะไรที่เกี่ยวข้องกับการ์ตูนจะทำลายหมด (ตอนนี้คงเปิดใจบ้างแล้ว)
วัยเด็ก: โกโช อาโอยาม่า ชอบเล่นเป็นนักสืบและมีกลุ่มเพื่อนที่เล่นที่เล่นเป็นนักสืบด้วยกัน ช่วยกันคิดทริกต่างๆ มากมาย เวลาไปร้านหนังสือก็จะกวาดสายตาหาคำว่า “โฮมส์” หรือไม่ก็ “ยอดนักสืบ” อยู่เสมอ และเริ่มชื่นชอบเกี่ยวกับนักสืบมากขึ้นก็เมื่ออ่าน เชอล็อก โฮมส์ ตอนงานวิจัยสีเลือด (A Study in Scarlet) ซึ่งเป็นตอนแรกของโฮมส์ เคยชนะการประกวดภาพตอน ป.1 ชื่อภาพ “Yukiai War” ได้โชว์ที่ห้างสรรพสินค้า Tottori Daimaru
การศึกษา: โรงเรียนมัธยมปลายในยูระ, มหาวิทยลัยนิปปอน คณะศิลปกรรมศาสตร์

จุดเริ่มต้นการเป็นนักเขียนการ์ตูน
เรียนจบก็เป็นครูสอนศิลปะก่อนแต่เคยได้ร่วมงานกับ อาจารย์ อาเบะ ยูตากะ มาก่อนในสมัยเรียน ประสบการณ์ในครั้งนั้นมีผลกับผลงานของโกโชมากขนาดในโคนันมีการกล่าวถึงอาเบะ ยูตากะในโคนัน(เล่มแรกๆ)
ในปี1986 โกโชได้รับรางวัลนักเขียนหน้าใหม่จากการประกวดของโชกักกุกังครั้งที่19 จากผลงาน “รอหน่อยน่ะ(Chotto Matte)” เรื่องนี้ได้ตีพิมพ์ลงในนิตยสารโชนเน็น ซันเดย์และเป็นการเปิดตัวของโกโช อาโอยาม่า


วิศุทธิ์ พรนิมิตร OSK112 นักเขียนการ์ตูนไทยคนแรกที่ได้ตีพิมพ์ในประเทศญี่ปุ่น
OSK112 เป็นคนรุ่นใหม่ที่เรามองข้ามไม่ได้ วิศุทธิ์ พรนิมิตร หรือ "ตั้ม" เป็นนักวาดการ์ตูนชาวไทยที่เริ่มเป็นที่รู้จักมาตั้งแต่เขียนผลงานที่โดดเด่นไอเดียดีเป็นการ์ตูนเรื่องยาว ลายเส้นยุ่งๆ แบบ ชุด He She It

‘เหยียบจมูก’ คำคำนี้น่าจะอธิบายการปรากฏชื่อของ ‘ตั้ม-วิศุทธิ์ พรนิมิตร’ ในฐานะนักวาดการ์ตูนคนไทยในประเทศญี่ปุ่น เพราะอย่างที่รู้กันว่าญี่ปุ่นนั้นคือเมืองแห่งการ์ตูน ดังนั้น หากชายหนุ่มจากแดนสยามที่ไม่มีวัฒนธรรมเกี่ยวข้องกับการ์ตูนแต่ประการใด ทว่าสามารถเขียนการ์ตูนให้คนญี่ปุ่นอ่านได้ ฉะนั้น ‘เหยียบจมูก’ จึงดูเหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับกรณีนี้ -- ตั้มไปทำงานเขียนการ์ตูนอยู่ที่ญี่ปุ่นได้เกือบสองปีแล้ว แถมยังได้ทิ้งท้ายก่อนไปว่า..ไม่ดัง เขาไม่กลับ.. (หรือดังแล้วก็อาจไม่อยากกลับอยู่ดี...ฮา)

ผลงาน:

ล้วนเป็นการ์ตูนที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ทั้งลายเส้น มุมมองภาพ บทสนทนา และตัวละคร...

he she it ซึ่งเป็นผลงานที่ไม่เน้นลายเส้น แต่เน้นความคิดและองค์ประกอบต่างๆ ของเรื่องราว หลังจากที่เขียนในไทยได้ระยะหนึ่ง เขาได้เดินทางไปใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองโกเบ ใกล้โอซากาประเทศญี่ปุ่นเพื่อแสวงหาแรงบันดาลใจใหม่ๆ...

hesheit เล่ม 8 วิศุทธิ์ พรนิมิตร 150 บาท
hesheit เล่ม 7 วิศุทธิ์ พรนิมิตร 150 บาท
hesheit เล่ม 6 วิศุทธิ์ พรนิมิตร 150 บาท -- ‘ทำนายรักจากขี้’ ของ ‘วิศุทธิ์ พรนิมิตร’ มีในเรื่อง ‘คน lucky’ ของเล่มนี้
hesheit เล่ม 5 วิศุทธิ์ พรนิมิตร 150 บาท
hesheit เล่ม 4 วิศุทธิ์ พรนิมิตร 150 บาท
hesheit เล่ม 3 วิศุทธิ์ พรนิมิตร 150 บาท
hesheit เล่ม 2 วิศุทธิ์ พรนิมิตร 150 บาท
hesheit เล่ม 1 วิศุทธิ์ พรนิมิตร 150 บาท

hesheit เป็นการ์ตูนที่ตีพิมพ์เป็นตอนในนิตยสาร Katch กับ Manga Katch และ a day ซึ่งเพิ่งปิดตัวไปเพราะความขัดแย้งของผู้บริหาร นอกจากนี้ตั้มยังเป็นผู้วาดลวดลายเส้นสายการ์ตูนแสดงความรู้สึกที่มีต่อเบเกอรี่ มิวสิค เป็น Guest คนสุดท้ายของหนังสือ 375 F อุณหภูมิที่เหมาะสมสำหรับการอบขนมเป็นส่วนใหญ่ นิตยสารฉบับนี้จะออกมาทั้งหมด 10 เล่มด้วยกันมีระยะเวลาตั้งแต่เดือน มีนาคม-ธันวาคมด้วยกัน และ กับการทำงานของทีมงาน นิตยสารเล่มนี้ ที่ได้ทีมงานมืออาชีพจาก นิตยสาร a day ที่คอยรวบรวมเรื่องราว ความเป็นมาและเป็นไปของ เบเกอรี่มิวสิค เพื่อค้นคว้า สืบหา ทั้งข้อมูลและภาพเก่า ๆ นิตยสารนี้ถูกจัดทำขึ้นมาในรูปแบบเฉพาะกิจ ที่บันทึกเรื่องราวและเหตุการณ์ต่าง ๆของเบเกอรี่มิวสิค ตั้งแต่แรกเริ่มก่อตั้งบริษัท เรื่อยมาผ่านทั้งความสำเร็จ เผชิญกับปัญหาต่าง ๆของ ค่ายเพลงขนมปังดนตรีนี้ จนครบ 10 ปี และก็ต้องเปลี่ยนมือเจ้าของไปอีกเหมือนกัน

จากปากคำคนเขียน hesheit - วิศุทธิ์ พรนิมิตร (ตั้ม OSK112)

Hesheit ตอนนี้ไม่ได้ลงที่ไหนมาก่อน เพราะมันยาว 60 หน้า ลงฉบับรวมเล่มเลย ดิวเขาชอบ เคยทำอยู่บริษัทเดียวกัน เขาก็ขอไปทำเป็นงานเรียน ส่งอาจารย์ หนังออกมาก็ไม่เหมือนที่ผมเขียนซะทีเดียว จริงๆ แล้ว นางเอกมี 2 คน แต่เขาใช้คนเดียวแสดง 2 บท แล้วก็ปรับนิดหน่อย ในการ์ตูนมีโป๊ๆ เขาตัดออก โดยรวมก็เนื้อเรื่องเดียวกัน ทำไมถึงคิดเรื่องนี้ออกมาเหรอฮะ ถามยากจัง (หัวเราะ) ผมไม่ค่อยอยากพูดถึงเนื้อเรื่องน่ะ เพราะว่าบางทีคนอ่านแล้วเข้าใจไปอีกแบบแล้วสนุก ผมว่านั่นก็พอแล้วละ ไม่อยากพูดว่ามันคืออะไร อยากให้คนตีความเอาเองดีกว่าฮะ

แรงบันดาลใจที่วาดตอนนี้ออกมา...อย่างแรกก็คือเคยวาดแต่ตอนสั้นๆ เลยอยากลองวาดตอนยาวๆ ดู อย่างที่สองก็ชอบนึกเล่นๆ ว่า ถ้าเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้น แล้วจะเป็นยังไง (หัวเราะ) ก็คิดว่าถ้าเกิดเราเปิดประตูห้องนอนเข้าไป แล้วเจอคนที่ตรงสเปคแล้วเราจะทำยังไง แล้วถ้าเกิดมีแฟนแล้วล่ะ มันเริ่มจากคำถามนี้ (หัวเราะ) ชอบตั้งคำถาม แล้วให้การ์ตูนตอบให้ หรืออยากทำอะไรแล้วทำไม่ได้ ก็ให้การ์ตูนทำให้

นางสาวปลายทอง ใยไธสง กล่าวว่า...
ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ
นางสาวพรพิมล จ่าภา รหัส 48010511834 กล่าวว่า...

1.ชื่ออาชีพ
นักเคมี Chemist

2.ลักษณะของงานที่ทำ
ทำงานวิจัย พัฒนา ทดสอบ ทดลอง และวิเคราะห์เชิงปฏิบัติเกี่ยวกับส่วนประกอบ คุณสมบัติ และการเปลี่ยนแปลง อันอาจเกิดขึ้นได้ของสารเคมี
ค้นคว้าคุณสมบัติขั้นมูลฐานและโครงสร้างเซลล์ โครงสร้างโมเลกุล โครงสร้างอะตอมของสาร และการแปรรูปของสารที่อาจเกิดขึ้นได้
นำกฎ หลัก และวิธีการซึ่งรู้จักกันดีแล้วมาใช้ในการค้นหา และพัฒนาผลิตภัณฑ์เคมีชนิดใหม่ หรือเพื่อค้นคว้าหาประโยชน์ใหม่ๆ ที่จะได้จากผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่เดิม ตลอดจนการค้นหาวิธีการผลิตใหม่ๆ
นำกฎ หลัก และวิธีการที่รู้จักกันดีแล้วมาใช้ แก้ปัญหาทางอุตสาหกรรม เช่น การควบคุมคุณภาพ และการวิเคราะห์วัตถุดิบและผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป
อาจควบคุมการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ที่ทำงาน เกี่ยวกับการค้นคว้าในห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์ หรือทำงานในกรรมวิธีทางอุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับสารเคมี
ปฏิบัติงานทางเคมีในห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์ของโรงงาน หรือหน่วยงานอุตสาหกรรมต่างๆ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมเคมี เช่น ในด้านการควบคุมผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมให้ได้มาตรฐาน
ปฏิบัติงานทางอุตสาหกรรมเคมี ในด้านการผลิตและวิเคราะห์วัตถุดิบ

3.ระดับรายได้ และความก้าวหน้า รวมไปถึงสวัสดิ์การที่เกี่ยวกับอาชีพ
ผู้ปฏิบัติงานอาชีพนี้ได้รับค่าตอบแทนการทำงานเป็นเงินเดือนตามวุฒิการศึกษา นักเคมีที่สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีซึ่งไม่มีประสบการณ์ในการทำงานจะได้รับเงินเดือนในอัตราดังนี้
ประเภทองค์กร เงินเดือน
ราชการ 7,040
รัฐวิสาหกิจ 8,500
เอกชน 12,000 - 15,000

ทำงานสัปดาห์ละ 40 ชั่วโมง แต่อาจจะต้องทำงานวันเสาร์ วันอาทิตย์ และวันหยุด หรือทำงานล่วงเวลา ในกรณีที่ต้องการให้งานที่ได้รับมอบหมายเสร็จให้ทันต่อการใช้งาน
นอกจากผลตอบแทนในรูปเงินเดือนแล้ว ในภาครัฐจะได้รับสวัสดิการตามระเบียบของทางราชการ ส่วนในภาครัฐวิสาหกิจและภาคเอกชนอาจได้รับผลประโยชน์พิเศษอย่างอื่น เช่น ค่ารักษาพยาบาล เงินสะสม เงินช่วยเหลือสวัสดิการในรูปต่างๆ เงินโบนัส เป็นต้นโอกาสความก้าวหน้าในอาชีพ
ผู้ปฏิบัติหน้าที่เป็นข้าราชการในหน่วยงานปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์ทั่วไป หรือในสถาบันวิจัยทางวิทยาศาสตร์ ได้รับตำแหน่งและเลื่อนขั้นยศตามขั้นตอนของระบบราชการ การศึกษาต่อเพิ่มเติมจะช่วยให้เลื่อนขั้น เลื่อนตำแหน่งได้รวดเร็วและสามารถเป็นถึงผู้บริหารสูงสุดของหน่วยงานได้ ส่วนในภาคเอกชนนั้นขึ้นอยู่กับโครงสร้างการบริหารงานขององค์กร ซึ่งสามารถเป็นผู้จัดการโรงงาน ผู้จัดการด้านคุณภาพ หรือผู้จัดการฝ่ายขาย
นักเคมีสามารถประกอบธุรกิจส่วนตัว คือ เป็นเจ้าของร้านขายผลิตภัณฑ์เคมี สำหรับผู้ที่สามารถผลิตผลิตภัณฑ์เคมีหรือผลิตภัณฑ์อื่นโดยผ่านการทดสอบ และได้รับอนุญาตจากหน่วยราชการที่เกี่ยวข้อง สามารถจดลิขสิทธิ์การเป็นเจ้าของสูตรในผลิตภัณฑ์นั้น และผลิตเป็นสินค้าออกจำหน่ายในลักษณะ อุตสาหกรรมได้ เช่น เครื่องสำอาง ปุ๋ยเคมี เป็นต้น
สภาพการทำงาน
ผู้ประกอบอาชีพนักเคมีส่วนใหญ่ทำงานในห้องทดลอง เพื่อปฏิบัติงานด้านการทดสอบ และทดลองทางเคมีและสิ่งที่เกี่ยวข้องตามงานที่ได้รับมอบหมายหรือสูตรที่กำหนด เตรียมหรือควบคุมการผลิตผลิตภัณฑ์ทางเคมีตามสูตรที่รับรองกันแล้วทำการทดสอบผลิตภัณฑ์ทางเคมีต้องอยู่กับสารเคมีที่ต้องใช้ในการทดสอบ ซึ่งสารเคมีในห้องปฏิบัติการทดลองอาจจะทำปฏิกิริยาที่ทำให้เป็นอันตรายได้ ดังนั้นจึงต้องรู้จักวิธีใช้ และวิธีป้องกัน รวมทั้งปฏิบัติงานตามขั้นตอนตามระเบียบที่กำหนดไว้ ต้องทำงานในบริเวณที่กำหนด และเป็นบริเวณห้ามสูบบุหรี่หรือรับประทานอาหาร ต้องใช้อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล เช่น ถุงมือ หน้ากาก เป็นต้น

4.ลักษณะของบุคคลที่เหมาะกับอาชีพ
1. สำเร็จการศึกษาขั้นต่ำระดับปริญญาตรี คณะวิทยาศาสตร์ สาขาวิชาเคมี หรือสาขาวิชาที่เกี่ยวข้อง
2. ต้องมีความสนใจในวิชาวิทยาศาสตร์ เคมี ชีววิทยา และสามารถสอบได้คะแนนดีในวิชาเหล่านี้ ชอบการค้นคว้าทดลอง การใช้สติปัญญาในการวิเคราะห์
3. มีความคิดสร้างสรรค์ ชอบค้นคว้า
4. มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย
5. มีความแม่นยำ ใจเย็นและละเอียดรอบคอบ
6. มีความสามารถเป็นพิเศษในการสังเกต คิดอะไรมีระบบระเบียบ และสามารถแสดงผลการ ค้นคว้าออกมาได้ง่าย และชัดเจนทั้งการพูดและการเขียน
7. มีความเชื่อมั่นในตนเอง กล้าตัดสินใจ และสามารถแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้รวดเร็ว
8. มีเหตุผล และสามารถแสดงความคิดเห็นได้อย่างชัดเจน และได้ใจความ
9. มีความรู้ทางวิทยาศาสตร์ และคณิตศาสตร์เป็นอย่างดี
10. มีร่างกายแข็งแรง อดทน สามารถปฏิบัติงานในหน้าที่ได้ดี

5.วิธีการเข้าสู่อาชีพ
ผู้ที่จะประกอบอาชีพนี้ ควรเตรียมความพร้อมดังต่อไปนี้ : ผู้สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลายหรือเทียบเท่า ตามหลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการต้องผ่านการสอบคัดเลือกเพื่อเข้าศึกษาในสถาบันอุดมศึกษาที่มีหลักสูตร สาขาวิชาเคมีปฏิบัติ

6.มหาวิทยาลัยหรือสถานศึกษาที่เปิดสอน
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหิดล มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น และมหาวิทยาลัยรามคำแหง หลักสูตร 4 ปี สำเร็จการศึกษาได้วุฒิปริญญาตรี หรือศึกษาในสถาบันราชภัฏ หลักสูตร 3 ปี ซึ่งจะได้วุฒิอนุปริญญา หรือเข้าศึกษาสาขาวิชาเคมีปฏิบัติการปิโตรเคมี ในสถาบันราชมงคล นักศึกษาที่สำเร็จการศึกษา ได้รับอนุปริญญาเคมีปฏิบัติ สามารถเข้ารับราชการ หรือศึกษาต่อเพื่อทำปริญญาวิทยาศาสตร์บัณฑิต

7.ความต้องการของตลาดแรงงาน
แนวโน้มในตลาดแรงงานปัจจุบันมีความต้องการนักเคมีมากทั้งในวงการแพทย์ การเกษตร และอุตสาหกรรม เนื่องจากผู้สำเร็จการศึกษาทางด้านนี้มีจำนวนจำกัด
นักเคมียังมีโอกาสรับราชการเป็นนักวิทยาศาสตร์ทำงานในห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์ของหน่วยงานราชการ หรือทำงานในภาคเอกชนในสถานประกอบการอุตสาหกรรมเคมี เช่น เครื่องสำอาง ปุ๋ยเคมี ผลิตภัณฑ์สี ผลิตเครื่องดื่ม เป็นต้น
อาชีพที่เกี่ยวเนื่อง
นักเคมี (ชีววิทยา) หรือ นักชีวเคมี นักเคมี (อินทรีย์เคมี) นักเคมี(อนินทรีย์เคมี) นักเคมี (ฟิสิกส์) เภสัชกร นักเทคนิคการแพทย์
แหล่งข้อมูลอื่น ๆ
สถาบันศึกษาในสังกัดทบวงมหาวิทยาลัย การจัดประเภทมาตรฐานอาชีพ (ประเทศไทย)

8.ตัวอย่างนักเคมี
จอห์น ดาลตัน นักเคมีชาวอังกฤษ ตาบอดสี แต่เขาก็ค้นคว้าเรื่องของธาตุและสารประกอบไว้เป็นพื้นฐานให้แก่นักวิทยาศาสตร์รุ่นหลังได้ศึกษาต่อไป
ผลงานชิ้นสำคัญและสร้างชื่อเสียงให้กับเขาคือ ทฤษฎีอะตอมของสาร ซึ่งเปลี่ยนแปลงความคิดเกี่ยวกับธาตุ
ทฤษฎีอะตอมที่ดาลตันเสนอในปี พ.ศ. 2351 คือ
* สารทุกอย่างประกอบด้วยสิ่งที่มีขนาดเล็ก แบ่งแยกต่อไปไม่ได้ เรียกว่า อะตอม
* อะตอมของธาตุชนิดเดียวกันมีรูปร่างและน้ำหนักเท่ากัน แตกต่างจากอะตอมของธาตุชนิดอื่น ๆ
* อะตอมไม่สามารถสร้างขึ้นมาใหม่หรือทำลายได้
* เมื่อธาตุรวมตัวกันเป็นสารประกอบ อะตอมเหล่านั้นจะมารวมกันด้วย มีสัดส่วนคงที่และแตกต่างกันในแต่ละสารประกอบ
นอกจากนี้ดาลตันยังได้เริ่มคิดระบบการจัดเรียงธาตุให้เป็นหมู่ แม้ว่าความคิดบางอย่างของดาลตันจะไม่ถูกต้อง แต่ทฤษฎีของเขาก็ช่วยให้นักเคมีรุ่นใหม่สร้างตารางธาตุได้สร้างสำเร็จดาลตันมีเพื่อที่สนใจด้านอุตุนิยมวิทยาหลายคน เขาจึงหนมาสนใจเรื่องนี้ด้วย และออกสำรวจสภาพอากาศประจำวันอยู่เสมอ นานกว่า 40 ปี จนกระทั่งเสียชีวิตเขาเป็นนักอุตุนิยมวิทยาที่น่าทึ่งมาก ศึกษาจนพบว่าในอากาศประกอบด้วยออกซิเจน ไอน้ำ คาร์บอนไดออกไซด์และไนโตรเจนผสมกัน ไม่ได้แยกกันอยู่เป็นชั้น ๆ
ผลงานที่พัฒนาจากทฤษฎีของดาลตัน
ปี พ.ศ. 2406 จอห์น อเล็กซานเดอร์ นิวแลนด์ จัดหมวดหมู่ของธาตุโดยจัดเรียงตามมวลอะตอม แถวละ 7 ธาตุ ธาตุที่ 8 จะตรงกับธาตุที่ 1 ในแถวแรก เช่นปี พ.ศ. 2412 ดิมิทรี เมนเดเลเอฟ คิดตารางธาตุที่ใช้กันในปัจจุบันขึ้น โดยจัดเรียงตามมวลอะตอม

นางสาวปลายทอง ใยไธสง กล่าวว่า...
ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ
นางสาวปลายทอง ใยไธสง กล่าวว่า...
ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ
นางสาวปลายทอง ใยไธสง กล่าวว่า...

นางสาวปลายทอง ใยไธสง รหัสนิสิต 48010511904
สาขาการศึกษาพิเศษ คณะศึกษาศาตร์
อาชีพนักโภชนาการ
1.ชื่ออาชีพ
โภชนากร Nutritionists

2.ลักษณะของอาชีพ (การทำงาน)
ผู้ประกอบอาชีพนี้ ต้องเตรียมข้อมูลเกี่ยวกับคุณค่าของวัตถุดิบอาหาร ผลิตภัณฑ์ และแหล่งวัตถุดิบ และทำหน้าที่หลักดังนี้
1.แนะนำและให้ความรู้พื้นฐานในการแก้ปัญหาด้านสุขอนามัย เกี่ยวกับโภชนาการ และความปลอดภัยของอาหารที่บริโภคต่อสาธารณชน หรือผู้ประกอบกิจการ หรือผู้ผลิต
2.วิเคราะห์วิจัยคุณค่าทางอาหาร คุณสมบัติ สรรพคุณ และศักยภาพของอาหารที่ต้องการนำมาแปรรูป เช่น เนื้อสัตว์ พืช ผักและผลไม้ที่ต้องการนำมาประกอบอาหาร และแปรรูปใน ห้องปฏิบัติการทดลอง อาจใช้การทดลองทางเคมี เพื่อหาคุณค่ากรดหรือด่างในอาหาร หรือจำนวนสารผสมอาหารทางเคมี ที่สามารถใช้เจือปนในอาหารได้ หรือหาสารตกค้างต่างๆ จัดทำฉลากคุณค่าทางโภชนาการ
3.ทำหน้าที่เป็นวิทยากรในการสาธิตการประกอบอาหาร และการผลิตผลิตภัณฑ์อาหารที่ ใช้บริโภคการถนอมอาหาร การแปรรูป และคิดค้นวิธีการแปรรูปใหม่ๆ เพื่อเพิ่มคุณค่าผลิตผลการเกษตร เมื่อผลิตผลมีราคาต่ำ โดยนำเทคโนโลยีชาวบ้านหรือเทคโนโลยีที่เหมาะสมมาช่วยในกระบวนการผลิตให้ถูกอนามัยและปลอดภัย
4.จัดทำประมาณการต้นทุนการผลิต จัดหาแหล่งวัตถุดิบ และแหล่งตลาดที่เหมาะสม และให้ข้อมูลด้านการผลิตเพื่อการอุตสาหกรรม การส่งออก และการกีดกันทางการค้าจากสัญญาต่างๆ
5.เก็บรวบรวมข้อมูล และผลิตเอกสารเผยแพร่เกี่ยวกับโภชนาการให้กับกลุ่มผู้บริโภค หรือกลุ่มเป้าหมายให้ได้ทราบเพื่อสุขภาพที่ดี และให้ ความรู้ในการป้องกันการแพ้สารอาหารต่างๆ
ทำงานร่วมกับ เจ้าหน้าที่ต่างหน่วยงานทั้งภาครัฐ และภาคเอกชน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายในการทำงาน เช่น นักวิทยาศาสตร์การอาหาร นักเทคโนโลยีอาหาร (Food Technologist)นักวิทยาศาสตร์สาขาจุลชีวะ และนักวิชาการเกษตร
สภาพการทำงาน ผู้ประกอบอาชีพนี้ อาจทำงานในโรงพยาบาล โรงแรม สถานประกอบกิจการอาหารสำเร็จรูป สถานประกอบการทางด้านอาหารเสริม ในศูนย์ถ่ายทอดเทคโนโลยีเพื่อการเกษตรชุมชนทุกจังหวัด โรงงานผลิตน้ำผลไม้ แเละเครื่องดื่ม บริษัทยาและเคมีภัณฑ์ ซูเปอร์มาร์เก็ตขนาดใหญ่ เป็นต้น ผู้ปฏิบัติงานอาชีพนี้ จะปฏิบัติงานในห้องเรียนห้องเตรียมอาหาร ห้องปฏิบัติการทดลอง หรือมีการออกแนะนำให้คำปรึกษานอกพื้นที่ ในชุมชน อำเภอ และ ต่างจังหวัด หรือในห้องทดลองในโรงงานอุตสาหกรรมผลิตอาหารและเครื่องดื่ม ซึ่งมีการใช้อุปกรณ์ และเครื่องมือทางเทคโนโลยีการอาหาร การใช้คอมพิวเตอร์เข้าช่วยในการปฏิบัติงาน ตรวจวัดค่าอาหาร และการบันทึก
สภาพการทำงาน
ผู้ประกอบอาชีพนี้ อาจทำงานในโรงพยาบาล โรงแรม สถานประกอบกิจการอาหารสำเร็จรูป สถานประกอบการทางด้านอาหารเสริม ในศูนย์ถ่ายทอดเทคโนโลยีเพื่อการเกษตรชุมชนทุกจังหวัด โรงงานผลิตน้ำผลไม้ แเละเครื่องดื่ม บริษัทยาและเคมีภัณฑ์ ซูเปอร์มาร์เก็ตขนาดใหญ่ เป็นต้น ผู้ปฏิบัติงานอาชีพนี้ จะปฏิบัติงานในห้องเรียนห้องเตรียมอาหาร ห้องปฏิบัติการทดลอง หรือมีการออกแนะนำให้คำปรึกษานอกพื้นที่ ในชุมชน อำเภอ และ ต่างจังหวัด หรือในห้องทดลองในโรงงานอุตสาหกรรมผลิตอาหารและเครื่องดื่ม ซึ่งมีการใช้อุปกรณ์ และเครื่องมือทางเทคโนโลยีการอาหาร การใช้คอมพิวเตอร์เข้าช่วยในการปฏิบัติงาน ตรวจวัดค่าอาหาร และการบันทึก


3.ลักษณะของบุคคลที่เหมาะกับอาชีพ (ความต้องการด้านบุคลากร)
1.สำเร็จการศึกษาอย่างน้อยประโยควิชาชีพชั้นสูงทางด้านคหกรรมศาสตร์สาขาอาหาร และระดับปริญญาตรีสาขาโภชนาการ วิทยาศาสตร์การอาหาร หรือสาขาที่เกี่ยวข้องกับอาหาร
2.รักการประกอบอาหาร และวิเคราะห์ วิจัยอาหาร
3.มีความรู้ในการใช้ภาษาอังกฤษ ได้ดี
4.มีความเป็นผู้นำ และผู้ตามที่ดี
5.เป็นนักวางแผนงานที่ดี
6.มีมนุษยสัมพันธ์ดี เป็นนักประสานผลประโยชน์และประสานงานที่ดี
7. เป็นนักคิดค้นนวัตกรรมใหม่ในการผลิตและแปรรูปอาหาร

4. ระดับรายได้
ผู้ประกอบอาชีพนี้ อาจปฏิบัติหน้าที่ในภาครัฐบาล เช่น เคหกิจเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กรมพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงอุตสาหกรรม
ผู้ประกอบอาชีพนี้ในภาคเอกชนอาจมีชื่อเรียกแตกต่างกันไปตามตำแหน่งหน้าที่ และสาขาที่มีความเชี่ยวชาญ หรือหน้าที่ในโครงการต่างๆ ที่ได้รับการว่าจ้าง ภาคธุรกิจเอกชน องค์กรพัฒนาเอกชน หรือองค์กรระหว่างประเทศ จะได้รับอัตราค่าจ้างขั้นต้น เป็นเงินเดือน โดยประมาณดังนี้

ประเภทองค์กร เงินเดือน
ราชการ 6,360
เอกชน 8,500-10,000

ในส่วนเอกชนอาจได้รับโบนัส และสิทธิพิเศษอื่น ๆ ตามผลประกอบการของบริษัท
โอกาสความก้าวหน้าในอาชีพ
ผู้ปฏิบัติงานอาชีพนี้ในภาครัฐ ถ้ามีความสามารถ หรือได้รับการอบรม หรือศึกษาเพิ่มเติม จะได้รับการ เลื่อนขั้น จนถึงตำแหน่งผู้อำนวยการได้
สำหรับในภาคเอกชนเมื่อมีประสบการณ์ มีความสามารถและมีความรู้หรือได้รับการอบรมในเรื่องของระบบควบคุมคุณภาพ และการจัดทำระบบ HACCP อาจได้รับการเลื่อนขั้นเลื่อนชั้นตามสายงานในองค์กรคือเป็นผู้อบรมระบบการจัดการ HACCP ผู้จัดการแผนกวิเคราะห์ข้อมูล ผู้จัดการ ผู้อำนวยการโรงงานผลิต อุตสาหกรรม
อาชีพที่เกี่ยวเนื่อง
ครู - อาจารย์ นักวิชาการ นักวิจัย และพัฒนา(Research & Development) นักการตลาด ตัวแทนการขาย หรือผู้ประสานงานโครงการระหว่างประเทศ

5. วิธีการเข้าสู่อาชีพ (การศึกษา, สาขาที่เกี่ยวข้อง, วิชา, วุฒิการศึกษา)
ควรเตรียมความพร้อมดังต่อไปนี้ : เมื่อสำเร็จการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายสายอาชีพ อาจศึกษาต่อในวิทยาลัยของกรมอาชีวศึกษา ส่วนผู้สำเร็จมัธยมการศึกษาตอนปลายสายสามัญอาจศึกษาต่อในระดับปริญญาตรี ในคณะคหกรรมศาสตร์ สาขาอาหาร และโภชนาการ สถาบันเทคโนโลยี ราชมงคล วิทยาเขตเทคนิคกรุงเทพฯ หรือสาขาที่เกี่ยวข้อง

6.มหาวิทยาลัยหรือสถานศึกษาที่เปิดสอน
•มหาวิทยาลัยมหิดล ปริญญาโท สาขาโภชนาวิทยา
•มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ปริญญาโท สาขาโภชนาศาสตร์ศึกษา
•สาขาวิชาอาหารและโภชนาการ คณะเทคโนโลยีคหกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร
•มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตบางเขน วิทยาเขตกำาศาสตร์แพงแสน และวิทยาเขตศรีราชา
•หลักสูตรวิทยาศาสตร์บัณฑิต สาขาวิชาโภชนาการและการกำหนดอาหาร
คณะสหเวชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
•มหาวิทยาลัยขอนแก่น
•มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมาสาขาโปรแกรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการอาหาร
•คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการอาหาร มหาวิทยาลัยราชมงคลล้านนาลำปาง
•มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา พิษณุโลก
•สถาบันเทคโนโลยี ราชมงคล วิทยาเขตเทคนิคกรุงเทพฯ
• มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

7. ความต้องการของตลาดแรงงาน
ปัจจุบันนี้ อาชีพโภชนากรกำลังเป็นที่ต้องการ ในการผลิตอาหารในชุมชนตามเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อให้ชุมชนพึ่งตนเองได้ โดยใช้วัตถุดิบและภูมิปัญาในท้องถิ่น เช่น อาหารและเครื่องดื่มที่ผลิตจากสมุนไพร การหมักดอง เชื่อม หรือการทำเครื่องสำอางจากผลิตภัณฑ์พื้นบ้านก็เข้าข่ายการยกระดับเกณฑ์มาตรฐานคุณภาพของ ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวเช่นกัน และยังต้องขออนุญาตผลิต และจำหน่ายจากคณะกรรมการอาหารและยาอีกด้วย นับเป็นการช่วยส่งเสริมให้ผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่ผลิตจากชุมชนมีมาตรฐานและมีความปลอดภัยต่อผู้บริโภค และมีความสามารถในการแข่งขันเพื่อการส่งออกสู่ตลาดโลกได้มากขึ้น ซึ่งคาดว่าจะมีตลาดแรงงาน ทั่วประเทศรองรับผู้ที่สำเร็จการศึกษาในสาขาดังกล่าว
ในสถานการณ์การส่งออกสินค้าอาหารไทยได้ขยายตัวมากขึ้น เนื่องจากประเทศไทยมีศักยภาพสูงในการผลิตสินค้าอาหาร มีพื้นฐานทางด้านเกษตรกรรมที่มั่นคง ผลผลิตการเกษตรเพียงพอที่จะใช้เป็นวัตถุดิบในการแปรรูปเป็นสินค้าอาหาร มูลค่าการส่งออกสูงในระดับต้นคือประมาณ 300,000 ล้านบาท รัฐบาลไทยจึงจำเป็นต้องดูแลไม่ให้เกิดผลกระทบต่อการส่งออกและเพื่อให้การส่งออกขยายตัวเพิ่มขึ้น ไทยต้องดูแล ในมาตรการทางสุขอนามัย มาตรการด้านสิ่งแวดล้อม เทคโนโลยีการตัดต่อทางพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิต (GMOs) และใบรับรองสุขอนามัยพืช ด้วยเหตุนี้กระทรวง สาธารณสุขจึงได้ออกกฎหมายให้มีการใช้หลักเกณฑ์วิธีการที่ดีในการผลิตอาหาร (Good Manufacturing Practice หรือ GMP) ซึ่งเป็นระบบประกันคุณภาพพื้นฐาน สำหรับโรงงานผลิตอาหารที่ช่วยป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นกับผลิตภัณฑ์อาหาร และทำให้สินค้านั้นมี คุณภาพ และปลอดภัยในการบริโภคอาหาร และสอดคล้องกับกระแสการค้าของโลกในปัจจุบัน ซึ่งผู้ประกอบกิจการอาหารทุกแห่งเพื่อการบริโภคในประเทศและเพื่อการส่งออกได้ตระหนักถึงกระบวนการในการผลิตที่มีคุณภาพ ดังนั้น เพื่อยกระดับคุณภาพผลิตภัณฑ์อาหารและเพื่อให้ได้เปรียบในเชิงแข่งขัน จึงต้อง มีการว่าจ้างบุคลากรที่มีความรู้ในด้านโภชนาการ วิทยาศาสตร์การอาหาร และเทคโนโลยีการอาหาร เข้าทำงานในตำแหน่งหน้าที่ต่างๆ มากขึ้น
ผู้ที่สำเร็จการศึกษาทางด้านนี้ สามารถทำธุรกิจของตนเองทางด้านอาหารที่ใช้ต้นทุนน้อยหรือสามารถรวมกลุ่มเป็นชมรม เพื่อนำโครงการและงบประมาณที่ต้องการผลิตผลิตภัณฑ์ เสนอของบประมาณการลงทุนจากธนาคารเพื่อการเกษตร โดยเจาะเฉพาะกลุ่มผู้บริโภคที่มีการตื่นตัวเรื่องสุขภาพกันมากขึ้น เช่น ผลิตอาหารจากผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ ผลิตอาหารแปรรูป ผลิตน้ำผักและผลไม้ หรือคิดค้นกรรมวิธี ผลิตใหม่ จากวัสดุ ท้องถิ่น เป็นต้น


8.ตัวอย่างบุคคลที่อยู่ในอาชีพดังกล่าว (เรื่องราวโดยย่อ)
ดร.เอิร์ล เมนเดลล์ R.Ph.,M.H.,Ph.D.เป็น เภสัชกรและนักโภชนาการอันดับ 1 ของโลก
ท่านรับผิดชอบ และริเริ่มการปฏิวัติทางโภชนาการ ท่านเขียน หนังสือเกี่ยวกับอาหารเสริมจำนวน 48 เล่ม Vitamin Bible For The 21stCentury เป็นหนังสือโภชนาการที่ขายดีที่สุด มากถึงกว่า 10 ล้านเล่ม และแปลเป็นภาษาต่างๆ ถึง 32 ภาษาใน 54 ประเทศทั่วโลก
ดร. เอิร์ล เมนเดลล์ จบปริญญาตรีทางเภสัชศาสตร์, ปริญญาโททางสมุนไพรและปริญญาเอกทางโภชนาการ ได้รับรางวัลประกาศเกียรติคุณจาก President Award from the National Nutritional Foods Association (NNFA)ได้รับเชิญเพื่อแบ่งปันภารกิจ ความรู้ และความเข้าใจ ที่สามารถเข้าถึงคนนับล้าน เช่น
รายการ The OprahWinfriy Show, Live With Regis and Kathy Lee, Good Morning America, The David Letterman Show และ CNN นอกเหนือจากนี้ยังร่วมรายการสัมภาษณ์วิทยุ แลโทรทัศน์ กว่า 300 ครั้ง ในแต่ละปี
ดร.เอิร์ล เมนเดลล์ ได้ศึกษาและวิจัยพบว่าผลโกจิให้คุณค่าทางโภชนาการมากที่สุด มีโพลีแซคคาไรด์ 4 ชนิดที่มีเฉพาะในผลโกจิเท่านั้น ซึ่งทำหน้าที่สั่งการและควบคุมระบบภูมิคุ้มกันทางชีววิทยาที่สำคัญที่สุดของร่างกาย และเสริมประสิทธิภาพการทำงานและการสื่อสารของเซลล์ทุกเซลล์ในร่างกายให้คุณประโยชน์กับร่างกายได้ 38 ประการ อาทิ ชะลอความชรา , ควบคุมน้ำตาลในเลือด , เสริมสร้างการทำงานของหัวใจ เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันร่างกาย,ป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง, เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของระบบเลือด เป็นต้น
ในปี 2546 หลังจากทำการศึกษาและวิเคราะห์ผลโกจิอย่างถี่ถ้วนเป็นเวลาแปดปี ดร. เมนเดลล์ และทีมค้นคว้าวิจัยก็ได้ค้นพบความลับของผลโกจิ คือ มีสาระสำคัญอยู่สี่ตัวคือ (LBP-1, LBP-2, LBP-3, LBP-4) ซึ่งทำหน้าที่เหมือนเป็นโมเลกุลหลักในร่างกาย เมื่อเกิดการทำงานร่วมกันแล้วจะทำหน้าที่เป็นตัวควบคุมและนำพาคำสั่งต่างๆ ซึ่งเซลล์ของร่ากายใช้ในการติดต่อสื่อสารถึงกัน ผลลัพธ์ที่ได้คือระบบการทำงานของทั่วทั้งร่างกายจะเป็นไปอย่างสมบูรณ์แบบ

siriporn_4en กล่าวว่า...

นางสาวศิริพร โพธิ์แสง
รหัส 48010520328
4EN

บทความเรื่องอาชีพมัคคุเทศก์ (Guides)

1.ชื่ออาชีพ
อาชีพมัคคุเทศก์ Guides, Sightseeing Guides Travel Guides

2.ลักษณะของอาชีพ (การทำงาน)
ผู้ปฏิบัติงานอาชีพนี้ จะต้องศึกษา ค้นคว้า หาข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่นำเที่ยว รวมทั้งความรู้ด้าน ประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ จารีตประเพณี วัฒนธรรม วางแผนกำหนดเส้นทาง จัดกำหนดการนำเที่ยว ให้เหมาะสมกับฤดูกาล และระยะเวลา ติดต่อสถานที่พักแรม หรือเตรียมอุปกรณ์เพื่อการพักแรมในสถานที่ ที่จะนำเที่ยว
นำนักท่องเที่ยวชมสถานที่ และบรรยายให้นักท่องเที่ยวได้ทราบความเป็นมาของสถานที่ และท้องถิ่น แหล่งธรรมชาติที่น่าชม และน่าสนใจ ภูมิประเทศ ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม จารีตประเพณี ความเป็นอยู่ของประชาชน
จัดการพักแรม และดูแลให้ความสะดวกสบาย ความปลอดภัยแก่นักท่องเที่ยวในระหว่างการนำเที่ยว โดยพยายามจัดการให้บริการที่ต้องสร้างความพอใจ และประทับใจให้กับนักท่องเที่ยวทุกคนอย่างทั่วถึงและต้องมีจรรยาบรรณทางวิชาชีพ
อาชีพมัคคุเทศก์ จัดแบ่งออกเป็นกลุ่มตามกลุ่มของนักท่องเที่ยว คือ มัคคุเทศก์พาเที่ยวภายในประเทศ (Domestic) มัคคุเทศก์ท้องถิ่น และมัคคุเทศก์นำเที่ยวชาวต่างประเทศ (Inbound) นอกจากนี้ ยังแบ่งกลุ่มมัคคุเทศก์ตามลักษณะของการท่องเที่ยว เช่น มัคคุเทศก์เดินป่า มัคคุเทศก์ทางทะเล มัคคุเทศก์ศิลปวัฒนธรรม เป็นต้น

3. ลักษณะของบุคคลที่เหมาะกับอาชีพ (ความต้องการด้านบุคลากร)
ผู้ประกอบอาชีพนี้ ต้องมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้
1. พูดภาษาต่างประเทศได้อย่างน้อย คือ ภาษาอังกฤษ
2. มีความรู้ทั่วไป และเป็นผู้ที่ขวนขวายหาความรู้สม่ำเสมอ
3. รักการเดินทางท่องเที่ยว และงานบริการ ปรับตัวได้ และเป็นนักแก้ไขปัญหาได้ดีใน ทุกสถานการณ์
4. มีความยืดหยุ่น ประนีประนอม และมีลักษณะอบอุ่นโอบอ้อมอารีเป็นที่ไว้วางใจของ ผู้เดินทางร่วมไปด้วย
5. มีความเป็นผู้นำ มีความกล้า มีความรอบคอบและไม่ประมาท
6. มีทัศนะคติดี ร่าเริง มีความเสียสละซื่อสัตย์ ซื่อตรง และอดทน
7. สุขภาพร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ มีไหวพริบและปฏิภาณดี
8. มีความคิดสร้างสรรค์ มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี
9. เป็นนักสื่อสารที่ดี รักการอธิบาย และการบรรยายความรู้ต่าง ๆ
10. เป็นนักจัดเก็บข้อมูลที่ดี ทั้งข้อมูลการ ท่องเที่ยว ความนิยมของลูกค้า และรายชื่อลูกค้าที่เป็นนักท่องเที่ยว
ผู้ที่จะประกอบอาชีพนี้ ควรเตรียมความพร้อมดังต่อไปนี้ : มัคคุเทศก์ท้องถิ่น เป็นผู้ที่มีวุฒิการศึกษาตั้งแต่ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ขึ้นไป หรือเทียบเท่า และได้รับการอบรม เพิ่มเติม เพื่อรับวุฒิบัตรพัฒนาฝีมือแรงงาน(วพร.) เป็นเวลา 320 ชั่วโมง หรือ 40 วัน มัคคุเทศก์ภายในประเทศ และมัคคุเทศก์นำเที่ยวชาวต่างประเทศ เป็นผู้มีพื้นฐานการศึกษาระดับมัธยมศึกษาปีที่ 6 ขึ้นไปต้องเข้ารับการอบรม และมีใบอนุญาตเป็นมัคคุเทศก์จากสถาบันที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยให้การรับรอง หรือ มหาวิทยาลัยที่เปิดสอนคณะ หรือสาขาวิชาธุรกิจ การท่องเที่ยว

4.ระดับรายได้ และความก้าวหน้า รวมไปถึงสวัสดิการที่เกี่ยวกับอาชีพ
ผู้ประกอบอาชีพมัคคุเทศก์ได้รับค่าตอบแทนการทำงานเป็นเงินเดือนประจำ หรือ ค่าจ้างเป็นเที่ยวในการพานักท่องเที่ยวออกไปท่องเที่ยว ซึ่งจะคิดค่าจ้างเป็นรายวันเฉลี่ยประมาณวันละ 1,500-3,000 บาท และอาจจะได้รับค่าตอบแทนถึง 100,000 บาทเป็นค่านายหน้าจากบริษัท หรือร้านที่นักทัศนาจรมา ซื้อของที่ระลึก หรือเข้าชมการแสดงในสถานที่ท่องเที่ยว ตามที่แต่ละแห่งได้ตั้งค่านายหน้าไว้
ผู้ทำงานมัคคุเทศก์มีกำหนดเวลาทำงานที่ไม่แน่นอน ขึ้นอยู่กับโครงการ และแผนการนำเที่ยว ซึ่งกำหนดไว้ในแต่ละรายการ ผู้ปฏิบัติงานนี้จะต้องผ่านการอบรมวิชาชีพมัคคุเทศก์ และมีความรู้ภาษาต่างประเทศซึ่งสามารถใช้งานได้ดี

โอกาสความก้าวหน้าในอาชีพนี้
ความก้าวหน้าในอาชีพนี้ไม่ได้วัดกันที่ตำแหน่ง แต่สามารถวัดได้จากความสามารถทางด้านภาษา ความอดทน ความเป็นมืออาชีพ ดังนั้น ผู้ที่สนใจต้องการประกอบอาชีพนี้สามารถติดต่อได้ที่บริษัท จัดท่องเที่ยว เมื่อมีประสบการณ์ และสร้างเครือข่ายข้อมูลทางด้านการท่องเที่ยวได้มาก และสร้างพันธมิตรทางธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องก็สามารถเปิดบริษัทเองได้ถ้าอยู่ในต่างจังหวัดสามารถ เปิดสำนักงานของตนเองได้แต่จะต้องสำรวจพื้นที่ที่ตนอยู่ และจังหวัดใกล้เคียงว่ามีแหล่งทรัพยากร การท่องเที่ยวที่น่าสนใจ และจัดเป็นรูปแบบการเดินทางได้หรือไม่ จากนั้นก็จัดทำโฮมเพจ เสนอบริการ ขึ้นเว็บไซต์ตรงสู่ผู้สนใจ โดยปรึกษากับบริษัทที่ปรึกษาการทำพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ได้ โดยใช้บ้านเป็นสำนักงาน
อาชีพที่เกี่ยวเนื่อง จัดกลุ่มท่องเที่ยวแบบอิสระที่ตนมีความรู้ความชำนาญทั้งภายในประเทศ และต่างระเทศ เช่น ทัวร์ศิลปวัฒนธรรม ทัวร์เกษตรกรรม เป็นต้น
เปิดสถานที่ให้คำแนะนำการท่องเที่ยว จำหน่ายตั๋วเครื่องบิน ให้บริการยานพาหนะ เช่น รถยนต์ รถจักรยานยนต์ รถจักรยานภูเขา เรือเช่า หรือสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ที่จำเป็น ให้กับนักเดินทาง และนักท่องเที่ยวจัดหา เป็นต้นหรือจำหน่ายสินค้าของที่ระลึกที่น่าสนใจ หรือหายากในประเทศ จัดศูนย์บริการข้อมูลการท่องเที่ยวท้องถิ่น จัดที่พักแรมเดินทางในแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ จัดพิมพ์หนังสือคู่มือ การท่องเที่ยว และพิมพ์ภาพโปสการ์ดแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ ที่นักท่องเที่ยวสนใจ

แหล่งข้อมูลอื่น ๆ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และการท่องเที่ยวประจำจังหวัด สมาคมมัคคุเทศก์แห่งประเทศไทย สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงานทั่วประเทศ เวบไซต์ เกี่ยวกับบ้านพัก โรงแรม การจัดประเภทมาตรฐานอาชีพ (ประเทศไทย)

5.วิธีการเข้าสู่อาชีพ (การศึกษา, สาขาที่เกี่ยวข้อง, วิชา, วุฒิกาศึกษา)
ผู้ที่จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนต้นและตอนปลาย สายศิลป์ภาษา หรือเทียบเท่าหลักสูตรการศึกษา เป็นการศึกษาทั้งทางด้านทฤษฎีควบคู่ไปกับการฝึกปฏิบัติ และได้รับการอบรม เพิ่มเติม เพื่อรับวุฒิบัตรพัฒนาฝีมือแรงงาน(วพร.) เป็นเวลา 320 ชั่วโมง หรือ 40 วัน มัคคุเทศก์ภายในประเทศ และมัคคุเทศก์นำเที่ยวชาวต่างประเทศ

6.มหาวิทยาลัยหรือสถานศึกษาที่เปิดสอน
มีมหาวิทยาลัยมากมายที่เปิดสอน อาทิเช่น
- จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
- มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
- มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์
- มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
- มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
- มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย
- มหาวิทยาลัยรังสิต
- มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
- มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่

7.ความต้องการของตลาดแรงงาน
อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทย ทำเงินรายได้ให้ประเทศมากที่สุด และในปี2543 จะนำเงินเข้าประเทศได้ประมาณ 3 แสนล้านบาท โดยได้เปิดตลาดเพื่อส่งเสริมการขาย และการท่องเที่ยวของประเทศไทยในต่างประเทศของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และผู้ประกอบการธุรกิจ การท่องเที่ยว ส่วนในประเทศได้เน้นการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว และศักยภาพในทุกด้านของทุกจังหวัด เพื่อส่งเสริม และรองรับคนไทยให้เที่ยวในประเทศไทยมากขึ้น โดยเน้นทั้ง ประวัติศาสตร์ โบราณสถาน วัฒนธรรม ประเพณีของทุกจังหวัด และทัวร์สิ่งแวดล้อม หรืออีโคทัวริสซึ่ม
แนวโน้มของคนในยุคปัจจุบันเมื่ออยู่ในสังคมใหม่จะแสวงหาวันหยุดที่ใกล้ชิดธรรมชาติ และความเงียบสงบ นักท่องเที่ยวต่างประเทศปัจจุบันจะเลือกเที่ยวในประเทศที่มีการจัดการและรักษา สิ่งแวดล้อม และสภาพทางนิเวศวิทยาที่ดีเท่านั้น อาจจะจัดเป็นทัวร์สุขภาพธรรมชาติบำบัด หรือรูปแบบการอบรมสัมมนาเนื้อหาทางพุทธศาสนา และทำสมาธิ การได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับชาวบ้านเพื่อเรียนรู้ ภูมิปัญญา และวัฒนธรรมท้องถิ่นของชาวบ้านเป็นต้น ซึ่งประเทศไทยมีศักยภาพที่จะจัดเป็นเส้นทางสำหรับนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ได้ ดังนั้น บุคคลผู้สนใจประกอบอาชีพนี้สามารถเปิดการให้บริการ โดยสามารถจัดเป็นธุรกิจการท่องเที่ยวแบบเฉพาะกลุ่มของตนเองขึ้นบนเว็บไซต์ออนไลน์เสนอให้ผู้สนใจทั่วโลกเลือกพิจารณารูปแบบการท่องเที่ยวได้
อนึ่ง องค์การท่องเที่ยวโลกได้มีการสนับสนุนกำหนดให้ วันที่ 27 กันยายนของทุกปี เป็นวันท่องเที่ยวโลก โดยมีวัตถุประสงค์ให้ประชาคมโลกตระหนักถึงความสำคัญของการท่องเที่ยวที่มี ต่อวัฒนธรรม การเมือง และเศรษฐกิจของประเทศและโลกโดยรวม การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยก็ได้สนับสนุนอุตสาหกรรมนี้เพราะเล็งเห็นถึงความมีศักยภาพในการเป็นประตูไปสู่การท่องเที่ยว อินโดจีน หรือภูมิภาค เข้าสู่ จีน พม่า ลาว เขมร และเวียดนาม ซึ่งนับว่าอาชีพมัคคุเทศก์เป็นอาชีพสำคัญส่วนหนึ่งในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่จะมีส่วนในการพัฒนาอุตสาหกรรมนี้ให้ได้มาตรฐานแล้วเป็น ผู้ส่งเสริมการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอีกด้วย เนื่องจากผู้บริโภคหรือนักท่องเที่ยวสนใจที่จะเลือกบริโภค ในประเทศที่อนุรักษ์สิ่งแวดล้อมเท่านั้นโอกาสการมีงานทำเป็นมัคคุเทศก์จึงค่อนข้างมีมากและมีโอกาสความ ก้าวหน้าในอาชีพ แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความรอบรู้ ความสามารถ และจรรยาบรรณในวิชาชีพของมัคคุเทศก์
แม้ว่ารัฐบาลจะมีนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างไรก็ตาม แต่ถ้าขาดมัคคุเทศก์ที่มีคุณภาพ ก็ไม่สามารถทำให้นโยบายดังกล่าวสัมฤทธิ์ผลได้ จึงได้มีการส่งเสริม และพัฒนาอาชีพนี้ โดย ในปี 2543 การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยได้จัดให้มีรางวัลพิเศษขึ้น คือ "มัคคุเทศก์ไทยดีเด่น " ในงานไทยแลนด์ทัวริสซึ่มอวอร์ด 2000 อันถือว่าเป็นงานยอดเยี่ยมของอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ที่กระตุ้นให้ผู้ประกอบธุรกิจ และผู้เกี่ยวข้องให้ความร่วมมือในการอนุรักษ์ และพัฒนาทรัพยากรการ ท่องเที่ยว ทั้งทางวัฒนธรรมและธรรมชาติ ตลอดจนจัดการบริการให้มีมาตรฐาน

8.ตัวอย่างบุคคลที่อยู่ในอาชีพดังกล่าว (เรื่องราวโดยย่อ)
คุณธรณินทร์ ตรีวิทย์
ผมเกิด เติบโต เข้ารับการศึกษาในระดับต่างๆ และประกอบอาชีพการงานครั้งแรกๆ ในกรุงเทพมหานครโดยตลอด เกิดที่โรงพยาบาลหัวเฉียว ย่านยศเส เมื่อเดือนกันยายน ปีพุทธศักราช 2509
พอผมได้เข้ามหาวิทยาลัยโอกาสดีๆ ก็เลยมีเข้ามาในชีวิตมากมาย ได้ศึกษา ได้ค้นหา ได้สำรวจ ลองผิดลองถูก ที่สำคัญ คือการได้เดินทางท่องเที่ยวไปในเกือบทุกที่ๆ อยากไป มีโอกาสเลือกคบเพื่อนฝูงในทุกระดับชน และกิจกรรมต่างๆ ก็ทำให้ได้เริ่มทำงานที่ตนเองรัก
ปีพุทธศักราช 2528 ถึง 2529 เมื่อนักท่องเที่ยวต่างชาติจำนวนไม่น้อยหลั่งไหลเข้ามาสู่กรุงเทพฯ ผมกับเพื่อนๆ ก็ประพฤติตัวเป็นมัคคุเทศก์ เข้าไปพูดคุยทักทาย และนำเที่ยว ด้วยตนเองใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในย่านสนามหลวง ในแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ ครั้งนั้นเพียงหวังแค่ได้กินฟรีเที่ยวฟรีและได้ฝึกภาษา สนุกเป็นช่วงๆ เท่านั้น นอกจากนั้น ก็เพื่อจะได้มีเงินพอที่จะใช้ไปท่องเที่ยวตามแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ ที่อยากไปตั้งแต่ครั้งเรียนมัธยม แต่ไม่เคยมีโอกาสไปได้เหมือนคนอื่นเขา แต่ทั้งหมดนี้ผมก็ทำอยู่ได้ไม่นานครับ เพราะยังต้องเรียนหนังสือ และทำกิจกรรมในมหาวิทยาลัยอีกหลายอย่างด้วย
บริษัท พีแอนด์โอ รีเกล แทรเวล จำกัด (P&O Regale Travel) คือบริษัทแรกและบริษัทเดียว ที่ผมเข้าไปสมัครทำงานในหน้าที่ผู้จัดการทัวร์และมัคคุเทศก์ ทั้งๆ ที่ไม่มีประสบการณ์ด้านนี้มาก่อนเลย ใบอนุญาตเป็นมัคคุเทศก์ก็ไม่เคยมี ไม่เคยเข้ารับการอบรมมาก่อน เพียงแค่รู้ตัวว่ารักการเดินทาง เป็นนักเที่ยว นักกิจกรรม และนักบริการ บริษัทฯ เองก็ไม่ได้ประกาศรับพนักงานใหม่ แต่ก็ยังใจดีพอที่จะเรียกตัวผมไปสัมภาษณ์ด้วยภาษาอังกฤษในวันถัดมา ต้องขอขอบพระคุณ คุณอรพรรณ (นิธิการพิสิทธิ์) บุญทอง อดีตรองกรรมการผู้จัดการบริษัทฯ ที่เป็นผู้สัมภาษณ์ และมอบโอกาสแรกในการก้าวเข้าสู่อุตสาหกรรมบริการการท่องเที่ยวให้กับผมในทันที ณ บ่ายวันนั้น
ผมเริ่มต้นทำงานที่บริษัทฯ ในวันต้นเดือนถัดมา (ตุลาคม 2536) งานในหน้าที่ของพนักงานใหม่ที่ได้รับมอบหมายมา คือการช่วยเหลืองานของพนักงานรุ่นพี่ๆ (แต่อายุน้อยๆ) ในแผนกทัวร์ต่างประเทศ เรียกกันว่า แผนกเอาท์บาวด์ ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นจัดการงานเอกสาร การค้นคว้ารูปภาพ เรื่องราว ข่าวสาร รายละเอียดเกี่ยวกับแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ ที่ทางบริษัทฯ กำลังทำรายการเดินทางให้กับฝ่ายขายเพื่อนำไปเสนอขายให้กับลูกค้า สมัยนั้น อินเตอร์เน็ตยังไม่เป็นที่รู้จักแพร่หลาย จึงยังต้องค้นคว้าจากหนังสือและวิดีโอเทปในห้องสมุดของบริษัทฯ แบบเดิมๆ อยู่ งานอีกอย่างคือเก็บรวมรวมเอกสารการเดินทางของลูกค้าที่ตกลงเดินทางกับรายการของบริษัทฯ เตรียมเอกสารให้กับเจ้าหน้าที่แผนกวีซ่า เพื่อไปเดินเรื่องขอวีซ่าที่สถานทูตต่างๆ ตามรายการทัวร์แต่ละรายการ ช่วยเหลือผู้จัดการทัวร์และมัคคุเทศก์รุ่นพี่ดูแลลูกค้าในด้านต่างๆ ที่สนามบิน
……………………………………………

น.ส.นภาวรรณ ชุ่มนาเสียว กล่าวว่า...
ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ
นางสาวขวัญปะกิระคัง กล่าวว่า...

นางสาวขวัญ ปะกิระคัง รหัสนิสิต 48010510608
สาขาสังคมศึษา (So) คณะศึกษาศาสตร์

1. ชื่ออาชีพ
นักแนะแนว Counselor นักแนะแนวอาชีพ Vocational Guidance Counselor นักแนะแนวการศึกษา Student Personnel Conselor
นิยามอาชีพ
ผู้ปฏิบัติงานอาชีพ นี้ทำหน้าที่ให้คำปรึกษา แนะแนวเป็นรายบุคคลหรือเป็นกลุ่ม เพื่อช่วยให้บุคคลได้รู้จักตนเอง เข้าใจตนเอง เข้าใจผู้อื่น และสามารถช่วยเหลือตนเอง ปรับตนเอง แก้ไขปัญหา วางแผนศึกษาการประกอบอาชีพ และพัฒนาตนเองได้อย่างเหมาะสมด้วยวิธีการต่างๆ ที่จะช่วยให้บุคคลปรับตัวอยู่ในสังคมได้อย่างปกติสุข อาจมีชื่อเรียกตามหน้าที่ที่เชี่ยวชาญ
2.ลักษณะของอาชีพ (การทำงาน)
ผู้ปฏิบัติงานอาชีพนี้ แบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ
1. ผู้แนะแนวอาชีพ (Vocational Guidance Counsellor)
ผู้แนะแนวอาชีพจะปฏิบัติงานในลักษณะต่างๆ คือ
1.1 ให้บริการแนะแนวอาชีพแก่ นักเรียน นักศึกษา เป็นรายบุคคล หรือเป็นกลุ่มในด้าน ข้อมูลข่าวสารตลาดแรงงาน ข้อมูลอาชีพ ข้อมูลการฝึกงาน และตำแหน่งงานว่างในตลาดแรงงานให้เหมาะสมกับความรู้ ความสามารถ ความสนใจและค่านิยมของบุคคล กลุ่มนักเรียน และนักศึกษานั้นๆ เพื่อประกอบเป็นแนวทางในการตัดสินใจเลือกอาชีและประกอบอาชีพตลอดจนให้บริการแก่ประชาชนทั่วไปเป็นรายบุคคล หรือเป็นกลุ่มบุคคลที่สนใจเกี่ยวกับการทำงาน การศึกษา และฝึกอาชีพเพิ่มเติม
1.2 รวบรวม และบันทึกข้อมูลบุคคลที่ต้องการมีงานทำในเรื่องของระดับความรู้ ทักษะฝีมือ ประสบการณ์การทำงาน ฯลฯ รวมทั้งการทดสอบด้านจิตวิทยาเพื่อประเมินความสนใจแนวถนัด ความสามารถ และบุคลิกภาพ ซึ่งจะเป็นข้อมูลประกอบในการให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการศึกษา และการประกอบอาชีพของแต่ละบุคคล
1.3 ศึกษารวบรวมข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจและการประกอบอาชีพ เพื่อใช้เป็นฐานความรู้ในการให้บริการคำปรึกษา และข้อแนะนำแก่ผู้มีความสนใจในเรื่องการกำหนดเป้าหมายการศึกษาและการประกอบอาชีพที่สอดคล้องเหมาะสม
1.4 จัดส่งนักเรียน นักศึกษา ผู้ว่างงาน หรือผู้มาขอรับคำปรึกษา หรือผู้ต้องการคำแนะนำ ไปยังหน่วยบริการด้านสังคม หรือหน่วยบริการด้านวิชาชีพตามความสนใจของบุคคลหรือกลุ่มบุคคลเหล่านั้น
1.5 ให้คำปรึกษาแนะนำแก่บุคคลและกลุ่มบุคคลต่างๆ เกี่ยวกับปัญหาด้านเศรษฐกิจให้มีความเข้าใจในปัญหาเศรษฐกิจ สังคมและปัญหาทางอารมณ์ เพื่อให้สามารถแก้ไขปัญหา ของตนเอง
1.6 ศึกษา วิเคราะห์ วิจัย และติดตามผลดำเนินงาน เพื่อประเมินทางเทคนิคที่ใช้ในการให้คำปรึกษาแนะนำ
2. ผู้แนะแนวการศึกษา (Student Personnel Consellor) ทำหน้าที่คล้ายกับนักแนะแนวอาชีพ แต่แตกต่างกันที่ผู้ปฏิบัติหน้าที่นี้จะประจำอยู่ในโรงเรียน วิทยาลัย และมหาวิทยาลัย และกลุ่ม เป้าหมายในการแนะแนวโดยมีหน้าที่ ดังต่อไปนี้
1. ให้บริการแนะแนวเป็นรายบุคคลหรือเป็นกลุ่มแก่นักเรียน นักศึกษา ในโรงเรียนหรือวิทยาลัย เพื่อช่วยนักเรียน นักศึกษา ในการประเมินความสนใจ แนวถนัด ความสามารถ และบุคลิกลักษณะของตนเองสำหรับการวางแผนทางการศึกษา อาชีพ และการดำเนินชีวิตส่วนตัว
2. ดำเนินการไปตามแผนที่วางไว้ รวบรวม จัดระบบงาน และวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับตัวนักเรียน นักศึกษาเป็นรายบุคคลจากบันทึกการทดสอบ การสัมภาษณ์ และการเก็บข้อมูลที่เกี่ยวข้อง
3. ให้ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการศึกษา การอาชีพ และข้อมูลข่าวสารอื่นๆ ซึ่งจำเป็นสำหรับการตัดสินใจในเรื่องการศึกษา การประกอบอาชีพ การพัฒนาฝีมือแรงงาน การพัฒนาตนเอง และความเจริญก้าวหน้าในการทำงาน
4. ให้คำปรึกษาแนะนำแนวทางที่ให้นักเรียนเข้าใจและสามารถแก้ไขปัญหาส่วนตัว ปัญหาทางสังคม ปัญหาการศึกษา และตลอดจนการแก้ปัญหาครอบครัว และการประกอบอาชีพของคนในครอบครัว โดยอาจให้คำแนะนำและส่งต่อให้หน่วยงานที่มีหน้าที่ความ รับผิดชอบโดยตรงดำเนินการต่อไป
5. ในกรณีที่พบว่านักเรียนที่มารับคำแนะนำมีปัญหาที่ค่อนข้างซับซ้อนทางจิตใจ ก็จะส่งให้จิตแพทย์ช่วยดูแลต่อไป
6. ติดตามผลงาน เพื่อประเมินผลเกี่ยวกับเทคนิคต่างๆ ที่ใช้ในการให้คำปรึกษาแนะนำ
7. อาจทำงานวิจัย เกี่ยวกับการให้คำปรึกษาแนะนำ แก่นักเรียน นักศึกษา
8. อาจบริการหางานให้นักเรียน นักศึกษา ทำเพื่อช่วยเหลือทางด้านเศรษฐกิจ
9. หมั่นสำรวจและเก็บข้อมูลพฤติกรรมของคนไทยและทำงานวิจัย เพื่อนำมาใช้ประโยชน์ใน การแนะแนวการศึกษา ให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงทางพฤติกรรม เศรษฐกิจ และสังคม
3.ลักษณะของบุคคลที่เหมาะกับอาชีพ (ความต้องการด้านบุคลากร)
ผู้ประกอบอาชีพนี้ ทั้ง 2 ประเภท จะมีคุณสมบัติที่เหมือนกันดังนี้
1. สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีเป็นอย่างน้อย และมีความรู้ในเรื่องการแนะแนวอาชีพ และแนะแนวการศึกษา
2. เป็นผู้มีร่างกายและจิตใจที่สมบรูณ์ มีบุคลิกลักษณะเป็นที่น่าเลื่อมใส
3. มีความสุขุมรอบคอบ ใจเย็น ควบคุมสติอารมณ์ได้ดี หนักแน่น อดทน
4. มีความพร้อมในหน้าที่ มีความรับผิดชอบ เสียสละ เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม
5. มีทัศนคติที่ดี มีมนุษยสัมพันธ์ มีความสามารถในการปรับตนเองให้เข้ากับสภาพแวดล้อม และสถานการณ์ได้ในขณะปฏิบัติงาน
6. มีความซื่อสัตย์ มีความจริงใจ มีความเข้าใจ และให้ความอบอุ่นแก่ผู้มาขอคำปรึกษาแนะนำ
7. เป็นผู้เก็บรักษาความลับของผู้มาติดต่อได้ดี
8. เป็นคนมีเหตุผล สามารถวิเคราะห์เหตุการณ์และปัญหาได้ดี
9. มีความสามารถในการฟัง และการสื่อสาร และการถ่ายทอดได้ดี
10. มีความสนใจในเรื่องพฤติกรรมของมนุษย์ ใฝ่รู้ ขวนขวายหาความรู้ หมั่นรับการอบรมเพื่อให้ได้มีความรู้ใหม่ๆ มีความสนใจและมีความรู้เท่าทันต่อกระแสเหตุการณ์ปัจจุบัน เพื่อใช้ใน การวิเคราะห์ และแนะแนว
11. มีความสามารถ ในการนำทางด่วนข้อมูลข่าวสารมาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ในการแนะแนว
ผู้ที่จะประกอบอาชีพนี้ ควรเตรียมความพร้อมดังต่อไปนี้คือ : สำหรับผู้สนใจที่ประกอบอาชีพนี้ เมื่อสำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลายหรือเทียบเท่าแล้วควรศึกษาต่อในระดับปริญญาตรี สาขาจิตวิทยาสาขาเอกการแนะแนว จิตวิทยาการปรึกษา หรือจิตวิทยาคลีนิกในคณะครุ-ศาสตร์ และคณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ คณะศึกษาศาสตร์มหาวิทยาลัยนเรศวรมหาวิทยาลัยรามคำแหง มหาวิทยาลัยศิลปากร มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ คณะมนุษย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ คณะสังคมศาสตร์มหาวิทยาลัยพายัพ คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ หรือสถาบันราชภัฎ
4.โอกาสความก้าวหน้าในอาชีพ
ผู้ประกอบอาชีพนี้ในส่วนราชการ นักแนะแนวจะได้รับการเลื่อนตำแหน่งตามระบบราชการ คือตำแหน่งหัวหน้างานแนะแนว ควรศึกษาและเข้ารับการอบรมเพิ่มเติมเพื่อความก้าวหน้าในวิชาชีพ
สำหรับภาคเอกชน การเลื่อนตำแหน่งและการขึ้นเงินเดือนค่อนข้างจะรวดเร็วกว่าภาคราชการ ถ้าปฏิบัติงานประมาณ 3 ปี จะได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นผู้ช่วยผู้จัดการ ผู้จัดการ และอาจเป็นรองผู้อำนวยการอย่างไรก็ดีควรจะเข้ารับการศึกษาเพิ่มเติมเช่นกัน
5.วิธีการเข้าสู่อาชีพ (การศึกษา, สาขาที่เกี่ยวข้อง, วิชา, วุฒิการศึกษา)
สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลายหรือเทียบเท่าแล้วควรศึกษาต่อในระดับปริญญาตรี สาขาจิตวิทยาสาขาเอกการแนะแนว จิตวิทยาการปรึกษา หรือจิตวิทยาคลีนิกในคณะครุ-ศาสตร์ และคณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ คณะศึกษาศาสตร์มหาวิทยาลัยนเรศวรมหาวิทยาลัยรามคำแหง มหาวิทยาลัยศิลปากร มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ คณะมนุษย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ คณะสังคมศาสตร์มหาวิทยาลัยพายัพ คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ หรือสถาบันราชภัฎ
6.มหาวิทยาลัยหรือสถานศึกษาที่เปิดสอน
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
มหาวิทยาลัยนเรศวร
มหาวิทยาลัยรามคำแหง
มหาวิทยาลัยศิลปากร
มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
มหาวิทยาลัยพายัพ
มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ
มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ หรือสถาบันราชภัฎ
7.ความต้องการของตลาดแรงงาน
ผู้ประกอบอาชีพแนะแนวอาชีพและแนะแนวการศึกษาเป็นที่ต้องการมากในสังคมไทยปัจจุบัน ซึ่งในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม แห่งชาติฉบับที่ 8 และ 9 เน้นด้านการพัฒนาบุคลากรของประเทศ เพื่อให้ประเทศมีศักยภาพในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ตลอดจนการแข่งขันระหว่างประเทศ นักแนะแนวทั้ง 2 ประเภท สามารถดึงบุคลิกภาพและศักยภาพของเยาวชนในวัยเรียนออกมาให้นักเรียนผู้ มารับการแนะแนวทราบถึงขีดความสามารถของตนเอง ในการเลือกศึกษาต่อให้ตรงกับอาชีพที่ตนเอง มีความสามารถและความถนัด ซึ่งจะสามารถช่วยยกระบบฐานรากการศึกษาไทยได้ในระดับหนึ่ง และเป็นการเตรียมความพร้อมแก่บุคลากรของประเทศให้สามารถก้าวได้ทันโลกในปัจจุบัน และอนาคต นักจิตวิทยา และ ครูแนะแนวมีบทบาทมากขึ้น โดยลำดับในการบำบัด รักษา ช่วยเหลือบรรเทาปัญหา และป้องกันปัญหา ในแง่ของการใช้ ศาสตร์ จิตวิทยา
8.ตัวอย่างบุคคลที่อยู่ในอาชีพดังกล่าว (เรื่องราวโดยย่อ)
ชื่อจริง: อุไรวรรณ
นามสกุล: ปฏิญญา
อาชีพ: รับราชการ
ตำแหน่ง: นักแนะแนวการศึกษาและอาชีพ
ประวัติย่อ: พ่อเป็นชาว อ.สทิงพระ จ.สงขลา แม่เป็นชาวอ.นาหม่อม จ.สงขลา มีบุตรสาว 2 คน จบปริญญาตรีบัญชี สถาบันเทคโนโลยีราชมงคลวิทยาเขตศรีวิชัย ทำงานแล้ว ส่วนอีกคน จบปริญญาตรีวิศวคอมพิวเตอร์ สถาบันเทคโนโลยี ราชมงคลธัญญบุรี ตัวดิฉันจบปริญญาตรี ครุศาสตร์บัณฑิต เป็นอาจารย์สอนบัญชี 15 ปี เป็นสมุห์บัญชี 3 ปี ปัจจุบันทำงานมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ 16 ปี ตำแหน่งนักแนะแนวการศึกษาและอาชีพ กองกิจการนักศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ ความสามารถพิเศษ ร้องเพลงได้ไพเราะ เป็นวิทยากรจัดกิจกรรมกลุ่มสัมพันธ์และสอนลีลาศ เป็นพิธีกรทั้งภายในและภายนอกมหาวิทยาลัย

น.ส.นภาวรรณ ชุ่มนาเสียว กล่าวว่า...

ชื่ออาชีพ เจ้าหน้าที่ควบคุมจราจรทางอากาศ Air Traffic Controller ลักษณะของงานที่ทำ 1. ตรวจสอบตารางการบินของสายการบินทุกสาย ที่แจ้งการขึ้นลงของเครื่องบินโดยสารที่มีข้อตกลงกันไว้ล่วงหน้า 2. ควบคุมการบินของอากาศยานภายในอาณาเขตที่กำหนด ทั้งการขึ้น และการลงสนามบิน เพื่อให้มีความปลอดภัยทั้งนักบิน เจ้าหน้าที่ประจำเครื่องบิน และผู้โดยสาร 3. สังเกตเรด้าแสดงตำแหน่งอากาศยาน เพื่อเตรียมการสั่งการกับนักบินในการนำเครื่องบินขึ้นหรือลง
4. ติดต่อทางวิทยุกับอากาศยานซึ่งอยู่ภายในบริเวณสนามบิน และสั่งการนำเครื่องบินขึ้นและลง และระดับความสูงของการบิน 5. แนะนำนักบินในการวิ่งเข้า/ออกในพื้นทางวิ่งรันเวย์ / แทกซี่ 6. ควบคุมการขึ้นลงของอากาศยานที่สนามบินโดยทางวิทยุ 7. ติดต่อกับอากาศยานในเส้นทางบินระหว่างท่าอากาศยาน สั่งงาน ให้คำแนะนำ และแจ้งข่าวสารต่างๆ แจ้งสภาพอากาศที่สนามบินและตามเส้นทางบิน 8. บันทึกรายงานข่าวที่ได้รับจากอากาศยาน คุณสมบัติของผู้ประกอบอาชีพ ผู้ที่ต้องการประกอบอาชีพเจ้าหน้าที่ควบคุมจราจรทางอากาศต้องมีคุณสมบัติ ดังนี้ 1. ได้รับอนุปริญญาในหลักสูตรการควบคุมจราจรทางอากาศ หรือ สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีและผ่านการอบรมหลักสูตร การควบ-คุมจราจรทางอากาศ 2. ใช้ภาษาติดต่อสื่อสารได้ดี ซึ่งส่วนใหญ่ใช้ภาษาอังกฤษ 3. มีความอดทน และสามารถควบคุมอารมณ์ในทุกสถานการณ์ได้ มีมนุษยสัมพันธ์ดี มีปฏิภาณไหวพริบดี มีสำนึกในความปลอดภัย และมีการตัดสินใจในการแก้ปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้รวดเร็ว และมีความสามารถเป็นทั้งผู้นำและผู้ตาม 4. มีความรับผิดชอบต่อตนเอง และผู้อื่นมีความกล้าหาญ สามารถตัดสินใจและแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้อย่างถูกต้อง และรวดเร็วมีความมั่นใจในตนเอง ละเอียดรอบคอบ มีความจำดี ช่างสังเกต หรือสำเร็จการศึกษาไม่ต่ำกว่าระดับประกาศนีบัตรวิชาชีพชั้นสูง
5. ในการปฏิบัติหน้าที่ต้องได้รับใบอนุญาตในการประกอบอาชีพนี้ รวมทั้งต้องผ่านการทดสอบทางจิตเวช ตามมาตรฐานจากสถาบันเวชศาสตร์การบินกรมแพทย์ทหารอากาศ ผู้ที่จะประกอบอาชีพนี้ นอกจากจะมี คุณสมบัติดังกล่าวแล้ว ควรเตรียมตัวเพื่อสอบคัดเลือกเมื่อผ่านการคัดเลือก แต่ยังไม่ได้รับการฝึกอบรมหลักสูตรควบคุมจราจรทางอากาศ จะได้รับส่งเข้าศึกษาต่อหลักสูตรการควบคุมจราจรทางอากาศ ในสถาบันการบินพลเรือน ซึ่งเป็นสถาบันที่ให้การอบรมแห่งเดียวในประเทศไทย ซึ่งใช้ระยะเวลาอบรมประมาณ 67 สัปดาห์ โดยต้องศึกษาหลักสูตรภาษาอังกฤษสำหรับเทคนิคการบิน (Aviation Technical English Course) ใช้เวลาอบรม 20 สัปดาห์ และหลักสูตรการควบคุมจราจรทางอากาศ (Air Traffic Control) อีก 47 สัปดาห์ นอกจากนี้ผู้ที่สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาปีที่ 6 หรือเทียบเท่าสามารถสมัครเข้าสอบคัดเลือกเข้าสถาบันการบินพลเรือน และเลือกศึกษาในหลักสูตรควบคุมจราจรทางอากาศ หลักสูตรนี้จะใช้เวลาการศึกษา 2 ปี ผู้สำเร็จการศึกษาจะได้รับอนุปริญญา และสามารถสมัครงานประกอบอาชีพเจ้าหน้าที่ควบคุมจราจรทางอากาศได้
สถานที่เปิดสอน สถาบันการบินพลเรือนเลขที่ 1032/355 ถนนพหลโยธิน แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร 10900 32/355 วิธีการเข้าสู่อาชีพ
คุณสมบัติทั่วไป 1 เป็นผู้ที่อยู่ในประเทศไทยอย่างถูกต้องตามกฎหมาย 2 ไม่เคยต้องโทษตามคำพิพากษาของศาลถึงที่สุดให้จำคุก เว้นแต่ในกรณีความผิดอันได้กระทำโดยประมาท หรือความผิดอันเป็นลหุโทษ 3 ไม่เคยถูกคัดชื่อออกหรือถูกไล่ออกจากสถานศึกษาใดๆ เพราะความผิดด้านความประพฤติ
4 ต้องไม่เป็นผู้มีโรค หรือความพิการที่สถาบันการบินพลเรือน เห็นว่าเป็นอุปสรรคต่อการศึกษา คุณสมบัติเฉพาะ
1 ผู้สมัครหลักสูตรเทคโนโลยีการบินบัณฑิต ได้แต้มระดับคะแนนเฉลี่ยสะสม (GPAX) ไม่ต่ำกว่า 2.25 และสำเร็จการศึกษาหลักสูตรมัธยมศึกษาตอนปลาย (ม. 6) หรือเทียบเท่า ทุกแผนการเรียน
2 ผู้สมัครหลักสูตรการบินบัณฑิต ได้แต้มระดับคะแนนเฉลี่ยสะสม (GPAX) ไม่ต่ำกว่า 2.25 และสำเร็จการศึกษาหลักสูตรมัธยมศึกษาตอนปลาย (ม. 6) หรือเทียบเท่า แผนการเรียนวิทยาศาสตร์-คณิตศาสตร์
3 ผู้สมัครหลักสูตรการบำรุงรักษาอากาศยาน หลักสูตรการบำรุงรักษาเครื่องวัดประกอบการบิน และหลักสูตรการบำรุงรักษาเครื่องสื่อสารการบิน ได้แต้มระดับคะแนนเฉลี่ยสะสม (GPAX) ไม่ต่ำกว่า 2.25 และสำเร็จการศึกษาอย่างใดอย่างหนึ่ง ต่อไปนี้ 3.1 หลักสูตรมัธยมศึกษาตอนปลาย (ม. 6) หรือเทียบเท่า แผนการเรียนวิทยาศาสตร์-คณิตศาสตร์ หรือ
3.2 หลักสูตรระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) โดยมีคุณสมบัติดังนี้
- ผู้สมัครหลักสูตรการบำรุงรักษาอากาศยาน รับจากผู้สำเร็จการศึกษาสาขาวิชาช่างยนต์ สาขาวิชาช่างกลโรงงาน สาขาวิชาเครื่องกล หรือสาขาวิชาอื่นที่เกี่ยวข้อง
- ผู้สมัครหลักสูตรการบำรุงรักษาเครื่องวัดประกอบการบิน และหลักสูตรการบำรุงรักษาเครื่องสื่อสารการบิน รับจากผู้สำเร็จการศึกษาสาขาวิชาช่างไฟฟ้ากำลัง ช่างอิเล็กทรอนิกส์ หรือสาขาวิชาอื่นที่เกี่ยวข้อง
4 ผู้สมัครหลักสูตรเทคโนโลยีการบินบัณฑิต (ต่อเนื่อง)
4.1 สำเร็จการศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูงหรือเทียบเท่า หรือระดับอนุปริญญาหรือเทียบเท่า หรือปริญญาชั้นใดชั้นหนึ่ง
หรือเทียบเท่าจากสถาบันอุดมศึกษา หรือ
4.2 สำเร็จการศึกษาในหลักสูตรประกาศนียบัตรการควบคุมการจราจรทางอากาศ (ATC) หรือหลักสูตรสื่อสารการบิน (CO) หรือ
หลักสูตรการบำรุงรักษาเครื่องวัดประกอบการบิน (AI) หรือหลักสูตรการบำรุงรักษาอากาศยาน (AM) หรือหลักสูตรการบำรุงรักษาเครื่องสื่อสารการบิน (CM) จากสถาบันการบินพลเรือน
5 ผู้สมัครหลักสูตรการบินบัณฑิต สาขาวิชาอิเล็กทรอนิกส์การบิน (ต่อเนื่อง)
5.1 สำเร็จการศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง หรือ ระดับอนุปริญญา หรือ เทียบเท่า ในสาขาวิชาอิเล็กทรอนิกส์ อิเล็กทรอนิกส์โทรคมนาคม ไฟฟ้า โทรคมนาคมคอมพิวเตอร์ หรือสาขาอื่นที่เกี่ยวข้อง หรือปริญญาตรีในสาขาที่เกี่ยวข้อง หรือ
5.2 สำเร็จการศึกษาในหลักสูตรประกาศนียบัตร หลักสูตรการบำรุงรักษา- เครื่องสื่อสารการบิน (CM) หรือ หลักสูตรการบำรุงรักษาเครื่องวัดประกอบการบิน (
โอกาสในการมีงานทำ
เจ้าหน้าที่ควบคุมจราจรทางอากาศที่ปฏิบัติหน้าที่นี้มานานจนมีความชำนาญและหากได้รับการ อบรมในหลักสูตรวิชาชีพชั้นสูงขึ้นไปจะสามารถเลื่อนขั้นไปจนถึงตำแหน่งหัวหน้า หากมีความสามารถในการบริหาร และมีคุณสมบัติตามเงื่อนไขสามารถได้เลื่อนขึ้นจนถึงตำแหน่งสูงสุดคือผู้บริหารขององค์กร
โอกาสความก้าวหน้าในอาชีพ
เจ้าหน้าที่ควบคุมจราจรทางอากาศที่ปฏิบัติหน้าที่นี้มานานจนมีความชำนาญและหากได้รับการ อบรมในหลักสูตรวิชาชีพชั้นสูงขึ้นไปจะสามารถเลื่อนขั้นไปจนถึงตำแหน่งหัวหน้า หากมีความสามารถในการบริหาร และมีคุณสมบัติตามเงื่อนไขสามารถได้เลื่อนขึ้นจนถึงตำแหน่งสูงสุดคือผู้บริหารขององค์กร
อาชีพที่เกี่ยวเนื่อง
เจ้าหน้าที่สื่อสารการบิน เจ้าหน้าที่อำนวยการบิน
รายได้
การทำงานในขั้นต้นในช่วง 3 เดือนแรกจะเป็นการฝึกอบรม (Intensive Course) ซึ่งเป็นช่วงทดลองงานด้วย
เมื่อครบ 3 เดือนจะมีการทดสอบ ถ้าผ่านจะได้รับการบรรจุเป็นพนักงาน อยู่ในตำแหน่ง
เจ้าหน้าที่บริหารงานทั่วไป อัตราเงินเดือนในช่วงนี้จะเริ่มที่ 11,860 และเมื่อได้รับการบรรจุแล้ว
จะถูกส่งไปอบรมที่ สถาบันการบินพลเรือน อีก 8 เดือน และจะมีสอบวัดผลอีกเพื่อเลือก
ศูนย์ควบคุมการบินและหอบังคับการบิน (ผู้ที่สอบผ่านคะแนนสูงที่สุดจะมีสิทธิเลือกก่อน) และ
จะถูกเลื่อนตำแหน่งเป็น เจ้าหน้าที่ข้อมูลการบิน อัตราเงินเดือนช่วงนี้จะเริ่มที่ 13,540
หลังจากนั้นจะทำการฝึกที่ ศูนย์ควบคุมการบินหรือหอบังคับการบิน นั้นๆ อีก 1 ปี จะมีการสอบวัดผล จาก
เจ้าหน้าที่กรมการขนส่งทางอากาศ เมื่อผ่านจะได้เป็น เจ้าหน้าที่ควบคุมการจราจรทางอากาศ โดยทำหน้าที่เป็น Aerodrome Controller ซึ่งทำหน้าที่อยู่ในบริเวณสนามบิน ดูแลการขึ้นลงของเครื่องบิน รอบๆ สนามบิน
เมื่อมาถึงตำแหน่งนี้ อัตราเงินเดือนจะเริ่มที่ 20,750 พร้อมกับค่าวิชาชีพ
หลังจากนั้นจะมีการสอบเพื่อเลื่อนขั้นอีก ไม่กำหนดระยะเวลา ในการสอบขึ้นอยู่กับความสามารถ ซึ่งมีอยู่ 2
ระดับคือ Approach Control (ควบคุมในระยะ 30-50 ไมล์ รอบสนามบิน) และ Area Control
(ควบคุมทั่วน่านฟ้าประเทศไทย) เมื่อสอบผ่านจะมีค่า License อีกต่างหาก

การทำงานของ ATC จะมีลักษณะการทำงานเป็นกะ โดยทำ 2 วัน หยุด 2 วัน วันล่ะ 12 ชั่วโมง ทำ 2 ชั่วโมง พัก 1
ชั่วโมง และ ในขณะ 2 ชั่วโมงที่ทำงานจะเป็น Controller 1 ชั่วโมง และ Assistant 1 ชั่วโมง
อัตรารายได้ของ ATC ไม่แน่นอน ขึ้นอยู่กับความสามารถในการสอบ License รวมถึง
ศูนย์ควบคุมการบินที่ประจำอยู่ ATC จะมีรายรับจาก OT ค่อนข้างสูง
ซึ่งอาจมีค่าเทียบเท่ากับเงินเดือนที่ได้รับในแต่ละเดือน แต่ ATC
ในตอนเริ่มจะมีอัตราเงินเดือนค่อนข้างต่ำ และ จะเริ่มสูงขึ้นเมื่อผ่านไปสัก 2 ปี เมื่อได้ค่าวิชาชีพ และ
จะสูงเพิ่มขึ้นอีกเมื่อสามารถสอบได้ License อัตราค่าวิชาชีพ และ License ตอนนี้พึ่งมีการปรับใหม่ แต่ไม่ต่ำกว่า 10,000 และ License ATC
ตัวอย่างบุคคลที่อยู่ในอาชีพ
นันทภัค อักษรกิจ เจ้าหน้าที่ควบคุมจราจรทางอากาศอาวุโส ประจำศูนย์ควบคุมจราจรทางอากาศ (Area Control Centre) ที่รับผิดชอบควบคุมจราจรทางอากาศตามเส้นทางการบินทั่วประเทศไทย ซึ่งกว่าจะได้มาทำหน้าที่นี้นั้น นันทภัคเล่าว่าเธอต้องผ่านการฝึกฝนและทดสอบอย่างหนัก นับตั้งแต่การคัดเลือกตรวจสุขภาพร่างกายและจิตใจ รวมทั้งความถนัดเฉพาะด้านต่องานในเบื้องต้น ณ สถาบันเวชศาสตร์การบิน กรมแพทย์ทหารอากาศ จากนั้นต้องสอบสัมภาษณ์เพื่อตรวจสอบความเหมาะสม ซึ่งสิ่งที่เน้นนอกจากบุคลิกภาพและทัศนคติแล้ว “เสียง” คือสิ่งที่สำคัญซึ่งกว่าจะได้มาทำหน้าที่นี้นั้น นันทภัคเล่าว่าเธอต้องผ่านการฝึกฝนและทดสอบอย่างหนัก นับตั้งแต่การคัดเลือกตรวจสุขภาพร่างกายและจิตใจ รวมทั้งความถนัดเฉพาะด้านต่องานในเบื้องต้น ณ สถาบันเวชศาสตร์การบิน กรมแพทย์ทหารอากาศ จากนั้นต้องสอบสัมภาษณ์เพื่อตรวจสอบความเหมาะสม ซึ่งสิ่งที่เน้นนอกจากบุคลิกภาพและทัศนคติแล้ว “เสียง” คือสิ่งที่สำคัญ ลองหลับตานึกภาพการสื่อสารระหว่างดีเจกับผู้ฟังรายการวิทยุ แล้วจะเข้าใจว่าเพราะเหตุใด ความถูกต้องในการใช้เสียงของผู้ปฏิบัติงานด้านควบคุมจราจรทางอากาศที่ต้องสื่อสารกับนักบินจึงมีความสำคัญนัก “นักบินก็เหมือนกับผู้ที่ต้องการคนนำทาง เขาบินอยู่บนฟ้ามองเห็นแต่ก้อนเมฆ ก็มีเรานี่ล่ะเป็นผู้คอยนำทางให้เขา” เจ้าหน้าที่ควบคุมจราจรทางอากาศท่านหนึ่งกล่าว หลังจากเข้าเป็นพนักงานแล้ว เจ้าหน้าที่ทุกคนจะต้องได้รับการอบรมหลักสูตร Intensive Air Traffic Control Service course เพื่อดูศักยภาพและแรงจูงใจ หรือเรียกว่าการ Screen out ในเบื้องต้นเป็นเวลา 3 เดือน ซึ่งหากขาดความพร้อมและเหมาะสม ก็จะต้องถูกคัดออกโดยไม่มีเงื่อนไข ผู้ที่ผ่านขั้นตอนนี้ไปได้จะถูกส่งเข้าไปฝึกอบรมหลักสูตร Air Traffic Control License Rating (ATC-LR) เป็นเวลา 8 เดือน“ไปอบรมเพื่อให้เรารู้ว่าประเทศไทยเรามีพื้นที่แค่ไหน มีกี่เส้นทางบิน แต่ละเส้นทางบินมีความสูงหรือว่าระยะทางเท่าไร รู้ทั้งหมดของพื้นที่ประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่อันตราย (Danger Area) ซึ่งเป็นบริเวณฝึกของทหาร พื้นที่หวงห้าม หน่วยงานที่เราต้องประสานงานเกี่ยวข้อง จึงจำเป็นต้องส่งเจ้าหน้าที่ไปเรียนในภาคทฤษฎีทั้งหมดก่อน” หลังจากนั้นนันทภัคก็เข้ารับการพัฒนาต่อในหลักสูตรเจ้าหน้าที่ข้อมูลการบิน ณ ส่วนกลาง“เจ้าหน้าที่ข้อมูลการบินจะเป็นคนที่เตรียมข้อมูลเอกสารการบินจากแผนการบินต่างๆ ให้กับเจ้าหน้าที่ควบคุมจราจรทางอากาศ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องทหาร เครื่องบินพาณิชย์ หรือว่าวีไอพี เจ้าหน้าที่ข้อมูลการบินก็จะต้องสะสมประสบการณ์จากตรงนั้น คือสังเกตแผนการบิน ค่อยๆ สะสมไปจนกระทั่งจดจำรายละเอียดต่าง ๆ ได้อย่างแม่นยำ เพราะวันหนึ่งเจ้าหน้าที่ข้อมูลการบินก็ต้องขึ้นมาเป็นเจ้าหน้าที่ผู้ช่วยควบคุมจราจรทางอากาศ” “ระหว่างช่วงที่เป็นเจ้าหน้าที่ข้อมูลการบินนี่ใช้เวลาประมาณ 2-3 ปี สะสมประสบการณ์มาจนกระทั่งวันหนึ่งที่เรามาเป็นผู้ช่วยฯ เราสามารถรู้แล้วว่าเครื่องบินเครื่องแบบนี้ความเร็วเท่าไร บางอย่างมันต้องสะสมมา จนกระทั่งมาเป็นผู้ช่วยฯ ก็ต้องเรียนตลอด ฝึกปฏิบัติงานและทดสอบประเมินผล” รวมทั้งยังต้องสอบใบอนุญาตจากกรมขนส่งทางอากาศ เพื่อเป็นเจ้าหน้าที่ควบคุมจราจรทางอากาศประจำหอบังคับการบิน “การทำงาน ณ จุดนี้ ต้องมีการเรียนรู้เพื่อพัฒนาตัวเองให้ก้าวสู่ในระดับที่สูงขึ้นอยู่ตลอด ไม่มีการอยู่เฉยๆ แล้วเลื่อนขั้น ต้องสอบเพื่อทดสอบความรู้ตลอด” นันทภัคเล่า นับได้ว่า กว่าจะได้เจ้าหน้าที่ควบคุมจราจรทางอากาศคนหนึ่งนั้นไม่ง่าย ต้องใช้เวลาเกือบ 6 ปีทีเดียว

ปองขวัญ ศรีทอง กล่าวว่า...

นางสาวปองขวัญ ศรีทอง รหัสนิสิต 48010510765 ชั้นปีที่ 4 สาขาสังคมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์

1.ชื่ออาชีพ นักจัดรายการวิทยุ, ดีเจ D.J. (Disc Jockey) รหัสอาชีพ 17920 (TSCO) 3472 (ISCO)
นิยามอาชีพ นักจัดรายการวิทยุเป็นผู้ทำหน้าที่ดำเนินการ รายการเผยแพร่ความรู้ ความบันเทิง หรือสารคดีแก่ผู้ฟังทางสถานีวิทยุกระจายเสียง
2.ลักษณะของอาชีพ (การทำงาน) นักจัดรายการวิทยุ หรือ(ดีเจ ซึ่งย่อมาจาก Disc Jockey หมายถึงผู้จัดรายการเพลงประกอบความรู้เกี่ยวกับเพลงหรือเรื่องอื่นๆ ซึ่งอยู่ในความสนใจของผู้ฟัง ในสถานที่ฟังเพลง) ควรเป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถตรงกับรายการที่จัดและ ตรงกับนโยบายของสถานีวิทยุกระจายเสียงและจัดรายการให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย เช่น กลุ่มผู้ทำงานทั่วไป นักเรียน นักศึกษา หรือกลุ่มพ่อบ้านแม่บ้าน เกษตรกร ผู้สูงวัย หรือ ชุมชนท้องถิ่น นักจัดรายการวิทยุควรศึกษาค้นคว้าหาความรู้เกี่ยวกับเพลงที่จะเปิดให้ผู้ฟังตลอดจนความรู้เรื่องอื่นๆที่จะนำมาใช้ประกอบการเปิดเพลง เพื่อให้ผู้ฟังได้รับทั้งความรู้และความเพลิดเพลิน ซึ่งควรจะตรงกับกลุ่มผู้ฟังเช่น กลุ่มผู้ฟังเป็นเกษตร ก็ควรให้ความรู้ทางการเกษตร เพื่อให้กลุ่มผู้ฟังได้เป็นสมาชิกถาวรติดตาม รายการตลอดไป รายการที่จัดอาจเป็นรายการที่มีกำหนดเวลาแน่นอนหรือเป็นรายการที่ให้บริการตลอดวัน เช่น รายการกรีนเวฟ หรือรายการอยู่เป็นเพื่อนคุยกับนักศึกษาที่ดูหนังสือดึกๆ หรือรายการโชว์ดึก โดยมีหัวข้อคุยเป็นประเด็นเรื่องราวตามกระแสเหตุการณ์บ้านเมืองและโลกแทรกไว้ในรายการ หรือรายการเพื่อสุขภาพ รายการเพื่อผู้บริโภค รายการเพื่อการศึกษา การทบทวนข้อสอบของนักเรียนเพื่อเตรียม สอบเอ็นทรานซ์ การตอบปัญหาสุขภาพจิตสำหรับผู้ฟังที่มีปัญหาคับข้องใจหรืออาจเป็นรายการสายด่วน เพื่อช่วยเหลือความเดือดร้อน โดยนักจัดรายการวิทยุจะเปิดเพลง สลับการให้ความรู้หรือการตอบปัญหา หรือสนทนากับสมาชิกที่เป็นผู้ฟังตามช่วงเวลาที่เหมาะสม เพื่อมิให้เกิดความเบื่อหน่ายแก่บุคคลทั่วไป นักจัดรายการหรือดีเจที่ได้รับความสนใจ ในปัจจุบัน มักจะเป็นดีเจที่จัดรายการให้กลุ่มนักเรียน และนักศึกษาวัยรุ่น โดยให้ความรู้ทั่วไป สลับกับการเปิดเพลงประกอบหรือรายการบันเทิงหรือเป็นรายการเพลงล้วน ๆ

3.ลักษณะของบุคคลที่เหมาะกับอาชีพ (ความต้องการด้านบุคลากร)
พูดจาฉะฉาน สามารถพูดคนเดียวได้ แก้ปัญหาเฉพาะหน้าดี ตรงต่อเวลา ไม่มองโลกในแง่ร้าย ออกเสียงคำควบกล้ำถูกต้อง และต้องมีใบอนุญาตการเป็นผู้ประกาศรายการวิทยุจากกรมประชาสัมพันธ์
ความต้องการด้านบุคลากร ในสายงานอาชีพนี้ก็ต้องการเป็นจำนวนมากเพราะเป็นอาชีพต้องใช้ความสามารถพิเศษ ในเรื่องการพูด และการใช้ภาษา




4.ระดับรายได้ และความก้าวหน้า รวมไปถึงสวัสดิการที่เกี่ยวกับอาชีพ
นักจัดรายการ วิทยุอาจเป็นพนักงานประจำองค์กร หรือเป็นนักจัดรายการวิทยุอิสระซึ่ง สามารถบริหารการจัดเวลาไปเป็นนักจัดรายการให้สถานีอื่นได้ด้วยเช่นกัน อัตราค่าจ้างขั้นต่ำโดยทั่วไปคิดเป็น รายชั่วโมง ตั้งแต่ชั่วโมงละ 200 บาทจนถึงชัวโมงละ 1,500 บาท อาจทำงานวันละ 3 ชั่วโมง หรือทำงาน ประมาณเดือนละ 20 วัน มีสวัสดิการ และประกันสุขภาพ นักจัดรายการวิทยุอิสระจะต้องมีเงินทุนในการซื้อเวลาจากสถานีวิทยุกระจายเสียงตามอัตรา ที่กำหนด หรือตามแต่จะตกลงกัน ซึ่งรายได้ที่ได้รับอาจได้จากการติดต่อขอค่าโฆษณาจากบริษัทห้างร้าน เพื่อประชาสัมพันธ์ผลิตภัณฑ์ สลับในรายการ หรืออาจจะได้รับการว่าจ้างจากบริษัทห้างร้านโดยตรงก็ได้ โดยการให้ค่าตอบแทนการทำงานตามแต่จะตกลงกัน โดยเฉลี่ยประมาณเดือนละ 10,000 บาท ความก้าวหน้าในการทำงานนักจัดรายการวิทยุหรือดีเจในบางรายการเป็นทั้งผู้จัดรายการ และเป็นผู้หาโฆษณาสินค้า เพื่อสนับสนุนรายการของตนเอง อาจพัฒนาทักษะและความรู้ความสามารถเป็นผู้เขียนบทวิทยุหรือโทรทัศน์เป็นนักเขียน เพราะจากการจัดรายการจะมีข้อมูลที่สะสมไว้ใช้ในการทำงานอาชีพที่เกี่ยวข้องได้เป็นจำนวนมากตำแหน่งอาจไม่มีการเลื่อนขึ้นแต่มีรายได้มากขึ้นและมีชื่อเสียงมากขึ้น อาชีพนี้จัดว่าเป็นผู้ที่มีอิทธิพลทางด้านความคิดต่อผู้ฟังมาก ดังนั้นจึงสามารถที่จะโน้มน้าวประชาชน ให้เกิดความสนใจ และสั่งซื้อผลิตภัณฑ์นั้น ดังนั้น จึงอาจมีรายการวิทยุเป็นของตนเอง หรือสามารถเป็น ผู้ผลิตรายการวิทยุ รายการต่างๆ เพื่อป้อนให้กับ ผู้เช่าช่วงสถานี ปัจจุบัน เจ้าของสินค้าเห็นความสำคัญถึงสื่อโฆษณาทางวิทยุ เนื่องจากวิทยุเป็นสื่อที่สามารถ พกพาไปได้ทุกแห่งหน และเข้าถึงทุกกลุ่มเป้าหมาย การโฆษณาสินค้าโดยผ่านรายการทางสถานีวิทยุ จึงสามารถเพิ่มยอดขายได้ ดังนั้น อาชีพนักจัดรายการจึงเป็นที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่สนใจจะใช้เป็นงานประจำ หรือเป็นอาชีพเสริม
5.วิธีการเข้าสู่อาชีพ (การศึกษา, สาขาที่เกี่ยวข้อง, วิชา, วุฒิการศึกษา)
ผู้ประกอบอาชีพนี้ควรมีคุณสมบัติดังนี้
1. สำเร็จการศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) จนถึงปริญญาตรี สาขาวิชาวิทยุกระจายเสียงหรือสาขาวิชาวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์
2. มีประกาศนียบัตรผู้ประกาศจากกรมประชาสัมพันธ์ ได้รับการฝึกอบรมจากสมาคมวิทยุ โทรทัศน์ แห่งประเทศไทย และผ่านการสอบได้รับประกาศนียบัตร ผู้ประกาศจากกรมประชาสัมพันธ์ โดยสมัครสอบด้วยตนเอง หรือผ่านสถาบันการศึกษาที่สังกัดอยู่
3. มีความสามารถเขียนบทวิทยุด้วยตนเอง
4. ต้องเป็นผู้ที่ออกเสียงควบกล้ำในภาษาไทยได้ชัดเจน มีน้ำเสียงน่าฟัง สุภาพ
5. ต้องมีจรรยาบรรณทางวิชาชีพ และมีความเข้าใจเรื่องสิทธิมนุษยชนเป็นอย่างดี
ผู้ที่จะประกอบอาชีพนี้ ควรเตรียมความพร้อมดังต่อไปนี้ คือ : สำเร็จการศึกษามัธยมศึกษาตอนปลายหรือเทียบเท่า และเลือกศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาหลักสูตรปริญญาตรี คณะนิเทศศาสตร์ มนุษยศาสตร์ สังคมศาสตร์สาขาที่เกี่ยวข้อง ถ้าจบการศึกษาระดับอุดมศึกษาที่ไม่ตรงตามวิชาชีพก็ควรสมัครสอบเพื่อได้รับประกาศนียบัตร ผู้ประกาศจากกรมประชาสัมพันธ์ได้เช่นกัน
นอกจากนี้ยังต้องเป็นคนชอบพูดคุย ชอบค้นคว้าหาความรู้ทั่วไป และมีอารมณ์ดี เป็นผู้รับฟังที่ดี เมื่อมีผู้สอบถามเข้ามาทางโทรศัพท์ มีความคิดสร้างสรรค์ มีทัศนะคติที่ดี มีความสามารถตัดสินใจ แก้ปัญหา เฉพาะหน้าได้ เมื่อมีสถานการณ์ที่ไม่พึงประสงค์ในการออกอากาศ และเป็นผู้มีระเบียบวินัยในการเตรียม รายการล่วงหน้า

6.มหาวิทยาลัยหรือสถานศึกษาที่เปิดสอน
 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
 มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
 มหาวิทยาลัยขอนแก่น
 มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
 มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิต
 มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานคร
 มหาวิทยาลัยกรุงเทพ


7.ความต้องการของตลาดแรงงาน

ปัจจุบัน นโยบายขององค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทยได้จัดให้มีวิทยุชุมชน ความต้องการ นักจัดรายการของสถานีวิทยุ จึงกระจายไปทุกจังหวัดทั่วประเทศ ทั้งภาค AM และ FM นอกจากนี้บริษัทและองค์กรเอกชนที่ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับสื่อโฆษณาทางวิทยุและโทรทัศน์ธุรกิจการบันเทิง หรือมูลนิธิต่างๆเป็นผู้รับเช่าช่วงเวลาสถานีจากหน่วยงานราชการ สถานีวิทยุของมหาวิทยาลัย เพื่อนำมาจัดดำเนินการและเผยแพร่รายการ ใช้เป็นสื่อประชาสัมพันธ์สินค้าของตนเอง ให้ครบวงจร ทั้งนี้ผู้เช่าช่วงสถานีต้องจัดทำผังรายการภายใต้กรอบนโยบาย และวัตถุประสงค์ของเจ้าของสถานี เช่น บริษัทผลิตเทปเพลง บริษัทจัดฉายภาพยนตร์จากทั้งในและต่างประเทศ หรือการให้บริการสังคมอย่าง เช่น สถานีวิทยุรายการ จ.ส. 100 รายการร่วมด้วยช่วยกัน เป็นต้น ทำให้มีการจ้างงาน ในอาชีพนี้เพิ่มขึ้น


8.ตัวอย่างบุคคลที่อยู่ในอาชีพดังกล่าว (เรื่องราวโดยย่อ)
วิริฒิพา ภักดีประสงค์ หรือคนทั่วไปรู้จักในนาม วีเจวุ้นเส้น ผู้จัดรายการ แชนแนล วี ไทยแลนด์ และพิธีกรรายการผู้หญิงถึงผู้หญิงสวย และติดอันดับผู้หญิงเซ็กซี่ 25 คนแรกของประเทศไทย โดยนิตยสาร FHM
ชื่ออื่นๆ : วุ้นเส้น , woonsen
วันเกิด : 01/04/1981
ที่เกิด : Thailand
ปัจจุบันอยู่ที่ : 16/120 ซอย 3 ถนนวิภาวดี 58 บางเขน หลักสี่ กรุงเทพฯ 10210
ส่วนสูง : 161

ประวัติย่อ :: จบมัธยมโรงเรียนราชินีบน ปริญญาตรีคณะนิเทศศาสตร์ เอกโฆษณา มหาวิทยาลัยกรุงเทพ เข้าสู่วงการบันเทิงตั้งแต่เรียนอยู่ชั้นปีที่ 2 ด้วยการไปสมัคร VJ Search รุ่นที่ 2
เป็นคนเฉยๆ นิ่งๆ ไม่ค่อยกล้าแสดงออก เป็น VJ ที่พูดน้อยที่สุด2 ปีที่ผ่านมาสนุก ตื่นเต้น เป็นงานที่ต้องคิดต้องฝึกแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ยึดหลักเป็นตัวของตัวเอง เป็นธรรมชาติ และมีวินัย วันว่างพักผ่อนด้วยการไปฟิตเนส นวดสปา ดูหนังประเภทเนื้อหาไม่เครียด ชอบแบบโรแมนติกคอมเมดี้ ดาราคนโปรด เจนนิเฟอร์ อนิสตัน พงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง และพิยดา อัครเศรณี กีฬาโปรดคือ วอลเลย์บอล อาหารอิตาเลียน อนาคตจะทำงานที่ทำอยู่อีกสักพักแล้วจะไปเรียนต่อด้านแฟชั่นดีไซน์ที่อังกฤษ
ผู้ชายในอุดมคติ : ขอให้เป็นคนอารมณ์ดีตลอดเวลา เพื่อเวลาเสียใจหรือมีปัญหาอะไรก็สามารถทำให้ยิ้มได้ ให้คำปรึกษาได้ทุกเรื่อง เป็นได้ทุกอย่างของเรา ไม่ชอบคนขี้เก๊ก ชอบคนง่ายๆ สบายๆ ติดดินหน่อย
ผลงานของวุ้นเส้น : VJ Channal [V] Thailand UBC ช่อง 48 ทุกวันพุธเที่ยง และ 5 โมงเย็น และรายการสด ละครพยัคฆ์ร้าย 6 แผ่นดิน และตะลุยโรงหมอ สำหรับการเป็นวีเจและดารา เจ้าตัวบอกต่างกันมากเลย ในละครเล่นเป็นคนอื่นไม่ใช่ตัวเรา คือเป็นใครไม่รู้ซึ่งต่างจากตัวเอง ผลงานเรื่องแรกรู้สึกว่าเล่นไม่ดี เนื่องจากไม่ได้เรียนการแสดงมาก่อน
ผลงานแสดงที่ผ่านมา
Bridge to Terabithia(2007) ...ให้เสียง เลสลี่(ไทย)
อาถรรพ์แก้บนผี(2004) ...ปิ่น
ข้อมูลจาก : http://www.nangdee.com

วรรณวิษา ปินะสา กล่าวว่า...

นางสาววรรณวิษา ปินะสา รหัส 48010511658 4EC กลุ่ม 4

1. ชื่ออาชีพ : วิศวกรไฟฟ้าทั่วไป Electrical Engineer, General

2. ลักษณะของอาชีพ
ออกแบบระบบไฟฟ้าและอุปกรณ์กับส่วนประกอบทางไฟฟ้า รวมทั้งการวางแผน และการควบคุมการผลิต การก่อสร้าง การติดตั้ง การทดสอบ การใช้ การบำรุงรักษา การวิจัย การพัฒนา การเปลี่ยนแปลงแก้ไข และการซ่อม การจัดให้มีการใช้พลังงาน ไฟฟ้าอย่างมีประสิทธิภาพ และการอนุรักษ์พลังงาน : วางแผนผังระบบไฟฟ้าและอุปกรณ์ต่าง ๆ ; จัดทำตารางปฏิบัติงาน เขียนแบบร่าง แบบวาด และแผนทางไฟ เตรียมข้อมูลและรายละเอียดในการทำงาน และระบุวิธีการผลิต การก่อสร้าง การติดตั้ง วัสดุ และเครื่องมือที่จะต้องใช้ : ประมาณค่าแรงงาน ค่าวัสดุ ค่าผลิต ค่าก่อสร้าง ค่าติดตั้ง และค่าดำเนินการ ; ทดสอบเพื่อประเมินคุณภาพ ประสิทธิภาพ ลักษณะการปฏิบัติงานที่ตรงตามรายละเอียดที่ระบุไว้ความปลอดภัยตามเกณฑ์มาตรฐาน และมาตรฐานอื่น ๆ ; วางแผนและควบคุมการใช้และการบำรุงรักษาระบบและอุปกรณ์ไฟฟ้า รวมถึงการให้คำแนะนำและการฝึกอบรมการปฏิบัติงานทางวิศวกรรมไฟฟ้า
1. ศึกษารายละเอียดเกี่ยวกับงานที่ต้องปฏิบัติ
2. ออกแบบระบบไฟฟ้า และอิเล็กทรอนิกส์และอุปกรณ์กับส่วนประกอบทาง ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์
3. เตรียมข้อมูลและรายละเอียดในการทำงาน และระบุวิธีการผลิต การก่อสร้าง การติดตั้ง วัสดุ และเครื่องมือที่ต้องใช้ ประมาณค่าแรง ค่าวัสดุ ค่าผลิต ค่าก่อสร้าง ค่าติดตั้ง และค่าดำเนินการ
4. วางแผนและควบคุมการผลิต การก่อสร้าง การติดตั้ง การทดสอบ การใช้ การบำรุงรักษา การพัฒนา การเปลี่ยนแปลง แก้ไข และการซ่อม
5. วางแผนผังระบบไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์กับอุปกรณ์ต่างๆ
6. จัดทำตารางปฏิบัติงานเขียนแบบร่าง แบบวาด และแผนทางไฟ
7. ทำการตรวจตราและทดสอบเพื่อประเมินคุณภาพ ประสิทธิภาพ ลักษณะการปฏิบัติงานที่ตรงตามรายละเอียดที่ระบุไว้ ความปลอดภัย ตามเกณฑ์มาตรฐาน และมาตรฐานอื่นๆ
8. วางแผนและควบคุมการใช้ การบำรุงรักษาระบบและอุปกรณ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ขนาดใหญ่ เช่นสถานีวิทยุกระจายเสียง สถานีพลังงาน
9. ให้คำแนะนำและทำการฝึกอบรมเจ้าหน้าที่เกี่ยวกับการปฏิบัติงานทางวิศวกรรมไฟฟ้า


ผู้ปฏิบัติงานอาชีพนี้จะทำงานในที่มีสภาพเหมือนที่สถานที่ทำงานทั่วไป คือเป็นสำนักงานที่มีอุปกรณ์ สิ่งอำนวยความสะดวกเช่นสำนักงานทั่วไปแต่โดยลักษณะงานที่จะต้องควบคุมงานการติดตั้ง การตรวจตรา การทดสอบ และการซ่อมบำรุงระบบไฟฟ้า ในสถานประกอบกิจการให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด จึงจำเป็นต้องทำงานนอกสถานที่ด้วย โดยผู้ปฏิบัติงานในระดับวางแผนจะทำงานในภาคสนามร้อยละ 30 และในสำนักงานร้อยละ 70

3. ลักษณะของบุคคลที่เหมาะกับอาชีพ
ผู้ปฏิบัติงานอาชีพนี้ ควรมีคุณสมบัติ ดังนี้
1. วุฒิการศึกษาระดับปริญญาตรี สาขาวิศวกรรมไฟฟ้า คณะวิศวกรรมศาสตร์
2. ร่างกายแข็งแรง ไม่เป็นโรคที่เป็นอุปสรรคต่องานอาชีพ เช่นตาบอดสี
3. มีความอดทน ขยันหมั่นเพียร สามารถทำงานกลางแจ้ง
4. มีความคิดริเริ่ม สร้างสรรค์ ชอบการคิดคำนวณ มีความละเอียดรอบคอบ
5. มีความเป็นผู้นำ และมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี 6. มีความมั่นใจในตนเองสามารถแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้ ผู้ที่จะประกอบอาชีพนี้ ควรเตรียมความพร้อมดังต่อไปนี้: ผู้สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมปีที่ 6 หรือเทียบเท่าที่ประสงค์จะประกอบอาชีพนี้ จะต้องสมัครสอบคัดเลือกเข้าศึกษาต่อในสาขาวิศวกรรมไฟฟ้า คณะวิศวกรรมศาสตร์ หลักสูตร 4 ปี ในสถาบันอุดมศึกษาสังกัดทบวงมหาวิทยาลัยหรือผู้สำเร็จการศึกษาประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) ศึกษาต่อ ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) หลักสูตร 2 ปี ประเภทวิชาช่างอุตสาหกรรมสาขาวิชาช่างไฟฟ้ากำลัง ในสถานศึกษาสังกัดกรมอาชีวศึกษา สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล วิทยาลัยเทคโนโลยีอุตสาหกรรม หรือสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ และเข้าศึกษาต่อระดับปริญญาตรี หลักสูตร 2 ปี สาขาวิศวกรรมไฟฟ้า คณะวิศวกรรมศาสตร์ ในสถาบันเทคโนโลยีราชมงคลหรือสถาบันการศึกษาที่เปิดสอนระดับปริญญาตรีและรับโอนหน่วยกิตของผู้สำเร็จการศึกษาระดับ ปวส. เข้าศึกษาต่อในระดับปริญญาตรี เมื่อสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีแล้ว สามารถที่จะขอหรือสอบเพื่อรับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพวิศวกรรมได้เพื่อใช้เป็นหลักฐานในการประกอบอาชีพได้ที่กองวิชาชีพวิศวกรรมควบคุมสังกัด กระทรวงมหาดไทย

4. ระดับรายได้และความก้าวหน้า
ผู้ปฏิบัติงานอาชีพนี้ ได้รับค่าตอบแทนการทำงานเป็นเงินเดือนตามวุฒิการศึกษา และอาจจะมีค่าวิชาเพิ่มให้สำหรับผู้ที่มีประสบการณ์ อัตราเงินเดือนโดยทั่วไปในหน่วยงานราชการเดือนละ 7,260 บาท ในภาคเอกชนเดือนละ 12,000 - 15,000 บาท ขึ้นอยู่กับความรู้ความสามารถของผู้ปฏิบัติ งานและภารกิจขององค์กรธุรกิจนั้นๆ และจะได้รับการเลื่อนขั้นเงินเดือนตามอัตราที่องค์การธุรกิจกำหนดไว้เป็นมาตรฐาน ถ้าทำงานในหน่วยงานของรัฐจะ ได้รับการเลื่อนขั้นเงินเดือน ประจำปีตามบัญชีอัตราเงินเดือนที่กำหนดไว้ผู้ปฏิบัติงานอาชีพนี้โดยปกติปฏิบัติงาน
วันละ 8 ชั่วโมง อาจต้องทำงาน วันเสาร์ วันอาทิตย์ และวันหยุดในกรณีที่ต้องการให้งานที่ได้รับมอบหมายเสร็จให้ทันต่อการใช้งาน อัตราเงินเดือนของผู้ประกอบอาชีพนี้ในภาคเอกชนขึ้นอยู่กับประสบการณ์ ความสามารถและความชำนาญงาน นอกจากค่าตอบแทนในรูปเงินเดือนแล้วอาจได้รับค่าตอบแทนในรูปอื่นๆ เช่น ค่ารักษาพยาบาล เงินสะสม เงินช่วยเหลือสวัสดิการใน รูปต่างๆ
เงินโบนัส ค่าล่วงเวลา เป็นต้น

5. วิธีเข้าสู่อาชีพ
สายช่างโดยตรง เช่น ช่างไฟฟ้า ช่างอิเล็กทอนิกส์
สายวิทย์-คณิต
วุฒิการศึกษา วศ.บ. ไฟฟ้า / คอ.บ. ไฟฟ้า / อส.บ. ไฟฟ้า

6. มหาวิทยาลัยที่เปิดสอน
วิทยาลัยพระมงกุฎเกล้า วิทยาลัยภาคกลางนครสวรรค์
วิทยาลัยการชลประทาน กรมชลประทาน มหาวิทยาลัยนเรศวร
มหาวิทยาลัยมหิดล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินร์วิโรฒน์
มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช มหาวิทยาลัยขอนแก่น
มหาวิทยาลัยศิลปากร มหาวิทยาลัยพระจอมเกล้าฯ ธนบุรี
มหาวิทยาลัยสยาม มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต
มหาวิทยาลัยบูรพา มหาวิทยาลัยกรุงเทพ
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
มหาวิทยาลัยรามคำแหง มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ มหาวิทยาลัยเซนต์จอห์น
มหาวิทยาลัยรังสิต มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี มหาวิทยาลัยศรีปทุม
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานคร มหาวิทยาลัยวงชวลิตกุล



7. ความต้องการของตลาดแรงงาน
ผู้ปฏิบัติงานอาชีพนี้ สามารถรับราชการ หรือทำงานในรัฐวิสาหกิจ เช่น การไฟฟ้านครหลวง การไฟฟ้าฝ่ายผลิต เป็นต้น หรือทำงานในสถานประกอบกิจการ โรงงานอุตสาหกรรม บริษัทรับเหมาติดตั้งและซ่อมบำรุงระบบไฟฟ้าทั่วไปหรือประกอบธุรกิจส่วนตัว
เนื่องจากภาวะวิกฤติทางเศรษฐกิจทำให้การลงทุนในภาคอุตสาหกรรมและการก่อสร้างของสถานประกอบกิจการต่างๆ ต้องชะลอ หรือชะงักไป การลงทุนในการขยายกำลังการผลิตลดลง งานการติดตั้งระบบไฟฟ้าในสถานประกอบกิจการต่างๆ ลดลง มีผลกระทบต่อกลุ่มผู้ประกอบอาชีพนี้ทำให้ความต้องการวิศวกรไฟฟ้าที่รับงานติดตั้งระบบไฟฟ้าในสถานประกอบกิจการคงที่ แต่ยังมีงานซ่อมบำรุงระบบไฟฟ้าในสถานประกอบกิจการทั่วไปที่ยังต้องการใช้ผู้ประกอบอาชีพนี้อยู่ รวมทั้งโครงการสาธารณูปโภคใหญ่ๆ เช่น รถไฟฟ้า (BTS) รถไฟฟ้าใต้ดิน ที่อยู่ระหว่างดำเนินการ เมื่อแล้วเสร็จจะมีความต้องการบุคลากรทางด้านนี้เข้าทำงาน
เมื่อภาวะเศรษฐกิจฟื้นตัว สถานประกอบกิจการ หรือโรงงานต่างๆ ขยายตัวขึ้น และการลงทุนในการก่อสร้างเพิ่มขึ้น การขยายโรงงานผลิตไฟฟ้าย่อยในภาคเอกชนเพิ่มขึ้น เช่น โรงงานไฟฟ้าย่อยราชบุรี เป็นต้น คาดว่าความต้องการวิศวกรไฟฟ้าในตลาดแรงงานจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
โอกาสความก้าวหน้าในอาชีพ
วิศวกรไฟฟ้าที่รับราชการสามารถได้รับการเลื่อนขั้นและตำแหน่งได้จนถึงระดับสูงสุดในสายงานตามเงื่อนไขระเบียบราชการ และผู้ที่ทำงานในสถานประกอบกิจการหรือในโรงงาน อุตสาหกรรมทั่วไปก็จะได้รับการเลื่อนขั้นและเงินเดือนตามความสามารถและประสบการณ์จนถึงระดับผู้บริหาร สำหรับผู้ที่ทำงานในบริษัทรับเหมาในการ ติดตั้งระบบไฟฟ้า เมื่อมีประสบการณ์และมีความชำนาญจะสามารถทำงานในตำแหน่งผู้จัดการ โครงการที่มีระดับ จำแนกตามขนาดของสถานประกอบกิจการและความยากง่ายของงานในแต่ละโครงการ สำหรับผู้ที่มีประสบการณ์และมีเงินทุนมากพอก็สามารถที่จะประกอบธุรกิจส่วนตัวโดยเป็นที่ปรึกษาในการออกแบบและติดตั้งระบบไฟฟ้าในสถานประกอบกิจการ หรือรับเหมาติดตั้งและซ่อมบำรุงระบบไฟฟ้าตามสถานประกอบกิจการทั่วไป








8. ตัวอย่างบุคคลที่อยู่ในอาชีพวิศวกรไฟฟ้า

วิศวกรรมไฟฟ้า







นายชำนาญ ห่อเกียรติ
สมาชิก ว.ส.ท. หมายเลข 1/022121 อายุ 58 ปี
การศึกษาสูงสุดปริญญาเอก ด้านวิศวกรรมไฟฟ้า จากUniversity of Missouri – Rolla
ปัจจุบันเป็นอาจารย์ประจำภาควิชา วิศวกรรมไฟฟ้าสอนทั้งปริญญาโท ปริญญาเอก
ที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
ผลงานด้านวิชาการ
จัดทำหนังสือวิศวกรรมไฟฟ้าแรงสูง, ระบบไฟฟ้ากำลัง I และ II, การป้องกันฟ้าฝ่าสำหรับ
อาคารก่อสร้าง,โรงจักรไฟฟ้า, เทคนิคการส่องสว่าง ถาม-ตอบไฟฟ้ากำลังและบทความ
วิชาการอื่นอีกไม่น้อยกว่า 30 เรื่อง
ผลงานด้านการออกแบบ
ออกแบบระบบไฟฟ้ากำลังและงานออกแบบเฉพาะแสงสว่างและเสียง อาคารพาณิชย์ โรงงาน สำนักงาน โรงพยาบาล โรงแรม ที่อยู่อาศัยมากกว่า 100 โครงการ
ผลงานดีเด่นที่เป็นประโยชน์ต่อองค์กรและประเทศชาติ
เป็นประธานจัดทำมาตรฐานการติดตั้งไฟฟ้าสำหรับประเทศไทยโดยรวมมาตรฐานของการไฟฟ้าฝ่ายผลิต การไฟฟ้า ส่วนภูมิภาค มาใช้เป็นมาตรฐานเดียวของประเทศไทย
การอุทิศตนเพื่อ ว.ส.ท.
เป็นประธานกรรมการและกรรมการสาขาวิศวกรรมไฟฟ้า ประธานกรรมการจัดทำมาตรฐานระบบแจ้งเหตุเพลิงไหม้,มาตรฐานฟ้าฝ่าสำหรับสิ่งปลูกสร้างและเป็นเลขาธิการ ว.ส.ท. และงานอื่น ๆ มากกว่า 10 ปี

นางสาวรัชนี วรรณพรามย์ กล่าวว่า...

นางสาวรัชนี วรรณพรามย์ รหัส 48010511669 สาขาการศึกษาปฐมวัย

1. ชื่ออาชีพ
อาชีพนักรังสีเทคนิค
2. ลักษณะงาน
วิชาชีพรังสีเทคนิค เป็นวิชาชีพที่รับผิดชอบโดยตรงต่อการให้บริการทางเทคนิคในการตรวจวิเคราะห์และรักษาด้วยเครื่องมือทางรังสี รวมทั้งการป้องกันอันตรายจากรังสีแก่ผู้ป่วยหรือผู้มารับบริการทางเทคนิค ในการตรวจวิเคราะห์และรักษาด้วยเครื่องมือทางรังสี แบ่งงานออกเป็น 3 ลักษณะงาน คือ
1. งานทางรังสีวินิจฉัย
2. งานทางรังสีรักษา
3. งานทางเวชศาสตร์นิวเคลียร์
3. คุณสมบัติของผู้ประกอบอาชีพ
1. ประพฤติและปฏิบัติต่อผู้ป่วยตามหลักวิชาที่ถูกต้อง ด้วยคุณธรรมและจริยธรรม
1.มีความสามารถในการพัฒนาความรู้ ความสามารถ ทั้งจากการศึกษา ค้นคว้า ฝึกอบรมวิจัย และประสบการณ์จากการทำงานให้มีความทันสมัยอยู่เสมอ
3. สามารถปรับตัวในการทำงานเป็นกลุ่ม เนื่องจากงานรังสีเทคนิค เป็นงานที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากบุคลากรทางการแพทย์ต่างสาขา เช่น รังสีแทพย์ พยาบาล นักฟิสิกส์การแพทย์เป็นต้น
4. สามารถถ่ายทอดความรู้ ให้คำปรึกษาให้แก่นักศึกษา ผู้ร่วมงาน หรือบุคลากรสาขาอื่น และประชาชนทั่วไปได้อย่างถูกต้อง
5. สามารถบริการและจัดระบบการทำงานในหน่วยงาน ให้คำแนะนำการกำหนดรายละเอียดเกี่ยวกับเครื่องมือ และอุปกรณ์ทางรังสีได้ทุกชนิด
6. สุขุมรอบคอบ ขยันหมั่นเพียร มีความเป็นระเบียบ
7. ซื่อสัตย์ต่อตนเอง และรายงานผลที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริง การเตรียมตัวเข้าสู่อาชีพ

4. ระดับรายได้และความก้าวหน้า/สวัสดิการที่เกี่ยวกับอาชีพ
นักรังสีเทคนิคสามารถประกอบอาชีพนี้ ได้ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน สำหรับผู้ที่สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี ได้รับค่าจ้าง เป็นเงินเดือนขั้นต้นโดยประมาณดังนี้
อัตราเงินเดือน
ประเภทองค์กร อนุปริญญา ปริญญาตรี
ราชการ 5,550 6,360
รัฐวิสาหกิจ 7,210
เอกชน 7,000 8,000

สำหรับผู้ปฏิบัติงานรับราชการ อาจได้รับเงินค่าล่วงเวลาหรือเบี้ยเวรสำหรับการปฏิบัติงานล่วงเวลาวันละ1 ผลัดๆ ละ 8 ชั่วโมง ประมาณ 400 บาท และสามารถใช้เวลานอกราชการ วันหยุดเสาร์-อาทิตย์ ทำงานในโรงพยาบาลเอกชน หรือคลีนิคต่างๆ ได้ เพื่อหารายได้เสริมคืออาจได้รับรายได้ประมาณวันละ 800 - 1,000 บาท
ส่วนผู้ที่ประกอบอาชีพนี้ในสถานประกอบการเอกชน ถ้าเป็นโรงพยาบาล ปัจจุบันจะไม่ค่อยมี ค่าล่วงเวลา เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจที่ถดถอยและการจัดระบบบริหารงานอย่างมีประสิทธิภาพ

โอกาสความก้าวหน้าในอาชีพ
สำหรับความก้าวหน้าในอาชีพนี้ ในส่วนงานของโรงพยาบาล หรือหน่วยงานในภาครัฐ จะมีโอกาสเจริญเติบโตก้าวหน้าไปตามลำดับ นักรังสีเทคนิค ระดับ 1 - 3 จนถึงหัวหน้างานรังสีวิทยา ซึ่งก็เป็นไปตามระบบการทำงานของแต่ละหน่วยงาน เมื่อเลื่อนตำแหน่งเป็นผู้บริหารระดับกลาง จะได้รับเงินประจำตำแหน่งประเภทวิชาชีพเฉพาะอีกเดือนละ 3,500 บาท และผู้บริหารระดับสูง อีกเดือนละ 5,600 - 15,600 บาท
สำหรับภาคเอกชน จะได้รับตำแหน่งความก้าวหน้าตามสายงานบริหารขององค์กรที่วางไว้ และถ้าทำหน้าที่พนักงานขายเครื่องมือแพทย์จะได้รับเงินเดือนประจำขั้นต้นประมาณ 10,000 -14,000 บาท และ รับค่านายหน้าการขายตามเป้าหมายที่ตั้งไวั ตามเงื่อนไขและความสามารถในการขายส่วนมากจะรับผู้มี รถยนต์เป็นของตนเอง

5. วิธีการเข้าสู่อาชีพ
คุณสมบัติของผู้ประกอบอาชีพ
สำหรับผู้สนใจประกอบอาชีพนี้ ต้องมีคุณสมบัติดังนี้
1. สำเร็จการศึกษาอย่างน้อยอนุปริญญา สาขารังสีเทคนิค จนถึงปริญญาตรี คณะวิทยาศาสตร์ สาขารังสีการแพทย์
2. มีสุขภาพแข็งแรง
3. มีความรู้ความเชี่ยวชาญในงานที่รับผิดชอบ
4. มีความรู้ภาษาอังกฤษ
ผู้สนใจอาชีพนี้ควรเตรียมความพร้อมดังนี้คือ :เมื่อสำเร็จการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายหรือเทียบเท่าแล้ว สามารถเลือกศึกษาในระดับอนุปริญญา หลักสูตร 2 - 3 ปี จากโรงเรียนรังสีเทคนิค คณะแพทย์ศาสตร์ ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล
การศึกษาระดับปริญญาตรีสามารถเข้ารับการศึกษาต่อได้ที่ศิริราชพยาบาล คณะแพทย์ศาสตร์ สาขารังสีการแพทย์ หรือมหาวิทยาลัยรามคำแหง คณะวิทยาศาสตร์ สาขารังสีการแพทย์ คณะเทคนิคการแพทย์สาขาวิชารังสีเทคนิค มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ คณะเทคนิคการแพทย์ สาขาวิชารังสีเทคนิค โครงการจัดตั้งคณะสหเวชศาสตร์ สาขารังสีเทคนิค มหาวิทยาลัยนเรศวร ซึ่งผู้สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีสามารถ ทำหน้าที่ตรวจ SpecIal X-Ray และอ่านผลวินิจฉัยการตรวจได้

6. มหาวิทยาลัยที่หรือสถานศึกษาที่เปิดสอน

1. ภาควิชารังสีเทคนิค คณะเทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
2. ภาควิชารังสีเทคนิค คณะเทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลัยมหิดล
3. คณะสหเวชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
4. คณะสหเวชศาสตร์ สาขารังสีเทคนิค มหาวิทยาลัยนเรศวร
5. มหาวิทยาลัยรามคำแหง
7. ความต้องการของตลาดแรงงาน
แนวทางในการประกอบอาชีพ
1. ผู้ที่จบปริญญาวิทยาศาสตร์บัณฑิต (รังสีเทคนิค) สามารถเข้าทำงานในตำแหน่งนักรังสีเทคนิค หรือนักรังสีการแพทย์ ทั้งในหน่วยงานของรัฐและเอกชน ในปัจจุบันนี้ยังมีความขาดแคลนนักรังสีเทคนิคอยู่มาก โดยเฉพาะในโรงพยาบาลเอกชน ซึ่งมีเครื่องมือทางรังสีที่ทันสมัยเช่น MRI, CT จึงต้องการนักรังสีเทคนิคในการควบคุมการใช้เครื่องมือเหล่านี้ได้อย่างถูกต้อง ปลอดภัยทั้งต่อผู้ปฏิบัติงานและผู้ป่วย ตลอดทั้งได้รับผลการตรวจวินิจฉัยที่ถูกต้อง
2. ศึกษาต่อในระดับปริญญาโทและเอก ทั้งในและต่างประเทศในสาขาวิชาต่าง ๆ เช่น ฟิสิกส์การแพทย์ วิทยาศาสตร์รังสี นิวเคลียร์เทคโนโลยี กายวิภาคศาสตร์ สรีรวิทยา รังสีชีววิทยา ชีวเคมี การป้องกันอันตรายจากรังสี เป็นต้น
3.สามารถเข้าทำงานในตำแหน่งอาจารย์ในสถาบันที่มีการเรียนการสอน ด้านรังสีเทคนิค
โอกาสในการมีงานทำ
ในวงการแพทย์ปัจจุบันยังมีความต้องการ นักรังสีเทคนิค เนื่องจากเป็นอาชีพที่ต้องใช้ความรู้ ความชำนาญ เฉพาะด้านทางวิทยาศาสตร์เป็นงานทางด้านเทคนิค โดยเฉพาะความต้องการของผู้ประกอบอาชีพนี้ในภาคเอกชนมีในระดับปานกลาง

8. ตัวอย่างบุคคลที่อยู่ในอาชีพนี้

1. ประวัติส่วนตัว
ชื่อ – นามสกุล นายประโชติ อินทร์ถาวร รหัสนักศึกษา 2329706
นักศึกษาเก่าคณะ แพทยศาสตร์ ภาควิชารังสีวิทยา (ประกาศนียบัตร รังสีเทคนิค)
วัน/เดือน/ปีเกิด 16 มิถุนายน 2497 อายุ 52 ปี
สถานที่ที่ติดต่อ งานบริการการศึกษา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
โทรศัพท์ / มือถือ 06 - 9579373 E-mail prachote.i@psu.ac.th

2. ประวัติการศึกษา
ปริญญาตรี เทคโนโลยีทางการศึกษา วิทยาลัยครูสงขลา พ.ศ. 2528
ประกาศนียบัตร รังสีเทคนิค ภาควิชารังสี คณะแพทยศาสตร์ ม.สงขลานครินทร์ พ.ศ. 2525
มัธยมศึกษา โรงเรียนศึกษาผู้ใหญ่ดรุณศึกษา พ.ศ. 2522

3. ประวัติการทำงาน และประสบการณ์
1. เจ้าหน้าที่ธุรการ 1 ภาควิชาพยาธิวิทยา คณะแพทยศาสตร์ ม.สงขลานครินทร์ พ.ศ. 2523
2. เจ้าหน้าที่รังสีเทคนิค 2 ภาควิชารังสีวิทยา คณะแพทยศาสตร์ ม.สงขลานครินทร์ พ.ศ. 2526
3. เจ้าหน้าที่รังสีเทคนิค 3 ภาควิชารังสีวิทยา คณะแพทยศาสตร์ ม.สงขลานครินทร์ พ.ศ. 2537
4. นักวิชาการศึกษา 3 ภาควิชารังสีวิทยา คณะแพทยศาสตร์ ม.สงขลานครินทร์ พ.ศ. 2529
5. นักวิชาการศึกษา 4 ภาควิชารังสีวิทยา คณะแพทยศาสตร์ ม.สงขลานครินทร์ พ.ศ. 2532
6. นักวิชาการศึกษา 5 ภาควิชารังสีวิทยา คณะแพทยศาสตร์ ม.สงขลานครินทร์ พ.ศ. 2536
7. นักวิชาการศึกษา 6 ภาควิชารังสีวิทยา คณะแพทยศาสตร์ ม.สงขลานครินทร์ พ.ศ. 2538
8. นักวิชาการศึกษา 6 หัวหน้าหน่วยทะเบียน คณะวิทยาศาสตร์ ม.สงขลานครินทร์ พ.ศ.2549

วิบูลย์ลักษณ์ ผิดผาด กล่าวว่า...

นางสาววิบูลย์ลักษณ์ ผิดผาด คณะศึกษาศาสตร์ สาขาการศึกษาปฐมวัย 4EC ระบบพิเศษ กลุ่ม4 เหมี่ยวเหมียว
1.ชื่ออาชีพงานด้านการประชาสัมพันธ์
2.ลักษณะของอาชีพ(การทำงาน)
ข่าวเพื่อการประชาสัมพันธ์ หรือมักที่นิยมเรียกว่า ข่าวแจก นั้นเป็นงานหลักที่สำคัญของ อาชีพประชาสัมพันธ์ กล่าวคือ ข่าวประชาสัมพันธ์เป็นเครื่องมือในการถ่ายทอดข้อมูลต่างๆ ของหน่วยงานเผยแพร่ ไปยังกลุ่มประชาชนกลุ่มเป้าหมาย โดยผ่านสื่อหรือช่องทางต่างๆ ตามความเหมาะสม ฉะนั้น ข่าวการประชาสัมพันธ์ จึงอาจเป็นทั้งข่าว ที่เผยแพร่ผ่านทาง หนังสือพิมพ์ นิตยาสาร วิทยุ และโทรทัศน์ได้ทั้งสิ้น โดยทั่วไปแล้วนักประชาสัมพันธ์ ตามหน่วยงานต่างๆ นิยมที่จะส่งข่าวประชาสัมพันธ์ทางหนังสือพิมพ์มากกว่าสื่ออื่นๆเนื่อง จากสามารถเผยแพร่ไปยังประชาชนได้อย่างกว้างขวางกว่าสื่ออื่นๆ เนื่องจากสื่ออื่นๆ เช่น นิตยาสาร หรือวิทยุนั้น กลุ่มเป้าหมายเป็นกลุ่มเฉพาะเจาะจงที่ เลือก อ่านนิตยาสารนั้น หรือเลือกสถานีรับฟังวิทยุ ส่วนโทรทัศน์นั้นเป็นสื่อประชาสัมพันธ์ เผยแพร่ได้น้อย นอกจากเป็นงานใหญ่เกี่ยวข้องกับประชาชนมาก หรือเผยแพร่ในลักษณะ การโฆษณา เพื่อการประชาสัมพันธ์ อย่างไรก็ตามหากเป็นหน่วยงานที่มีความสำคัญมาก ข่าวประชาสัมพันธ์ ก็จำเป็นต้องถูกเผยแพร่ผ่านทางสื่อมวลชนทุกชนิด

ก่อนอื่นเราน่าจะมาทำความเข้าใจเกี่ยวกับงานด้านการประชาสัมพันธ์ดีกว่า
- เป็นงานที่ต้องเริ่มจากความรักในงานนี้
- เป็นงานที่ต้องอาศัยความร่วมมือ
- เป็นงานที่ทำอย่างต่อเนื่องไม่มีวันจบสิ้น
- เป็นงานที่ต้องได้รับการยอมรับจากทุกฝ่าย
- เป็นงานที่ใช้การสื่อสารสองทาง
- เป็นงานที่ต้องทำความเข้าใจกับกลุ่มเป้าหมายและสิ่งแวดล้อม
- เป็นงานที่เป็นเครื่องทางการบริหารและการจัดการขององค์กร
- เป็นงานที่ต้องทำทั้งเชิงรุก เชิงรับ
- เป็นงานที่สร้างภาพลักษณ์
- เป็นงานที่ต้องใช้เวลากว่าจะเกิดผล
3.ลักษณะของบุคคลที่เหมาะกับอาชีพ(ความต้องการทางด้านบุคคล)
ผู้ที่จะเข้ามาทำหน้าที่นี้จะต้อง มีใจรักในงานประชาสัมพันธ์ การทำอะไรก็ตามเมื่อเริ่มจากความรักมันก็จะทำให้เกิดแรงจูงใจ แรงผลักดันทำงานนั้นๆ ออกมาให้ดีที่สุด ดังนั้นผู้ที่มีความสนใจงานด้านนี้ลองตอบคำถามเหล่านี้ดูว่า คุณเหมาะสมกับงานนี้รึเปล่า
1.1 ชอบติดต่อพบปะกับผู้อื่น
1.2 ชอบการอธิบาย การพูดเพื่อการสร้างสรรค์
1.3 ชอบคิดหลายๆด้านหลายๆทางไม่ยอมแพ้ในการคิด
1.4 ชอบทำงานงานหนักอย่างต่อเนื่อง
1.5 ชอบงานขอความร่วมมือกับบุคคลอื่น
1.6 ชอบหรือเต็มใจรับคำติชม หรือวิพากษ์วิจารณ์
1.7 ชอบบริการคนอื่น
1.8 ชอบแสดงความคิดเห็น และรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น
1.9 ชอบทำงานเพื่อคนอื่นมิใช่เพื่อตนเอง
1.10 ชอบวิเคราะห์หาเหตุผลในการแก้ปัญหา
หากตอบว่าใช่เกินกว่า 7 ข้อ แสดงว่าความรัก ความชอบในงานด้านนี้พอเป็นพื้นฐานในการก้าวไปสู่วิชาชีพนี้ได้ กับบุคคลภายนอกด้วยค่ะ


4.ระดับรายได้และความก้าวหน้ารวมไปถึงสวัสดิการที่เกี่ยวกับอาชีพ
- ความมั่นคงทางรายได้
รายได้ค่อนข้างมั่นคง เพราะนักประชาสัมพันธ์เป็นทรัพยากรบุคคล ต้องใช่สมองในการคิด ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ต่างๆ แต่มันก็เกี่ยวกับเศรษฐกิจด้วยเช่นกัน ว่าตอนนั้นเศรษฐกิจเป็นยังไงและต้องขึ้นอยู่กับผลงานด้วย ที่สำคัญ ผลงานเป็นตัวแจ้งเกิดและแจ้งตายได้อีกด้วย แล้วก็ดูเรื่องความสามารถว่าคุ้มไหม ที่สร้างรายได้ให้กับบริษัท ส่วนการพัฒนาก็เกี่ยว คนเราต้องมีการพัฒนาอยู่ตลอดเวลา
อาชีพนักประชาสัมพันธ์ไม่ได้โดดเด่นไปกว่าคนอื่น แต่ก็แนวโน้มดีขึ้นเรื่อยๆ เพราะทุกวันนี้จะสังเกตว่า ในองค์กรผู้เป็นหัวหน้างานค่าตัวก็จะสูง จากนั้นก็ไล่ระดับลงมา ตามตำแหน่งของการทำงานด้าย หลายๆ องค์กรจะให้เงินเดือนเริ่มต้นที่ 9,000 บาท เป็นอย่างต่ำสำหรับวุฒิปริญญาตรี หากใครมีความสามารถด้านภาษา ก็อาจจะเป็น 10,000 ต้นๆ และหากใครมีประสบการณ์ในการทำงานมาก็จะปรับเงินเดือนให้ตามความเหมาะสมค่ะ

โอกาสก้าวหน้าทางอาชีพประชาสัมพันธ์
ขึ้นอยู่กับปัจจัยด้วยว่าเศรษฐกิจดีหรือไม่ดี บริษัทมีความต้องการที่จะใช้นักประชาสัมพันธ์ขนาดไหน และที่สำคัญ ขึ้นอยู่ที่ความสามารถของแต่ละคนว่ามีศักยภาพมากน้อยแค่ไหน ที่บริษัทต้องการ ขึ้นอยู่กับตัวเราเอง ในเรื่องของความคิด พฤติกรรม เช่นความไว้ใจ เราต้องทำให้คนที่รับเราไว้ใจในตัวเรา ต้องรักและจริงใจในงานที่ทำ ดูแลบุคลิกให้ดูดีอยู่เสมอ คนที่จะรู้จักพัฒนาการทำงานของตนเองขึ้นไปเรื่อยๆไม่ใช่ว่า อยู่อย่างไรก็อย่างนั้น หากไม่พัฒนาก็ไม่มีความก้าวหน้าอย่างแน่นอน
นอกจากที่แหม่มบอกกล่าว (อย่างคร่าวๆ) จากด้านบนนั้น ยังมีอีกหลายสิ่งที่มีผลต่อการทำงานด้านประชาสัมพันธ์ และก็ควรที่จะศึกษาเป็นข้อมูลเบื้องต้นไว้อีกด้วย อาทิ
- คุณสมบัติที่ดีของนักประชาสัมพันธ์
- ภาระหน้าที่ของนักประชาสัมพันธ์
- จริยธรรม และจรรยาบรรณของนักประชาสัมพันธ์
- บุคลิกภาพของนักประชาสัมพันธ์
และสิ่งทีนักศึกษาที่ใกล้จะเป็นบัณฑิตควรศึกษาเอาไว้ เพื่อหน้าที่การงานในวันข้างหน้า อาทิ เช่น
- โอกาสการเข้าทำงานของนักศึกษาที่จบทางด้านการประชาสัมพันธ์โดยตรง
- คุณสมบัติที่ไม่เพียงพอของนักประชาสัมพันธ์ที่เพิ่งสำเร็จการศึกษา
- ความรู้ที่เรียนมากับการปฏิบัติงานจริง
- สิ่งที่องค์กรคาดหวังกับนักประชาสัมพันธ์รุ่นใหม่
- ข้อบกพร่องของนักศึกษาที่พบขณะเข้าฝึกงาน
- ภาระหน้าที่ของบัณฑิตจบใหม่
5.วิธีการเข้าสู่อาชีพ(การศึกษา สาขาที่เกี่ยวข้อง วิชา วุฒิการศึกษา)
- การเข้าสู่วิชาชีพและแนวโน้มการพัฒนาวิชาชีพการประชาสัมพันธ์
นักประชาสัมพันธ์ใหม่ควรเข้ามาสู่ตลาดแรงงานด้านความคิดที่เป็นระบบสามารถใช้สติปัญญาได้อย่างฉลาดเฉลียวเพื่อจะเข้ามาเสริมงานด้านการวิจัยให้เกิดขึ้นในหน่วยงานของตนเหตุผลก็เพื่อยกระดับฐานะของงานประชาสัมพันธ์ที่ตนเองจะดำเนินการและเพื่อสร้างความยอมรับให้กับหน่วยงานระดับเหนือขึ้นไปที่ต้องอาศัยงานการประชาสัมพันธ์ในการตัดสินใจบริหารงานด้านต่างๆ
สำหรับบัณฑิตที่กำลังจะเข้าสู่ตลาดแรงงาน การที่จะสามารถเข้าสู่ตลาดแรงงานได้ทันที และทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพเพื่อความรุ่งเรืองทางวิชาชีพของตนเองนั้น การเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ การมีจิตใจมีความคิดสร้างสรรค์ย่อมช่วยบัณฑิตเหล่านั้นได้มาก นอกจากนั้นเขาควรเป็นผู้ที่มีระบบเป็นของตนเอง มีความรับผิดชอบสูง ไม่เป็นผู้ที่ปล่อยโอกาสผ่านไปโดยไม่ฉกฉวยมาทำประโยชน์ต่อกิจการงานของเขา พวกเขาจะต้องเพิ่มพูนประสบการณ์ชีวิตทุกแง่มุม ซึ่งอาจช่วยให้เกิดความเจนจัดต่อสังคมมากขึ้น และในวงวิชาชีพประชาสัมพันธ์ที่ต้องอาศัย

- การแข่งขันเพื่อจะได้รับเข้าทำงานในสาขาการประชาสัมพันธ์ในปัจจุบัน
ทุกสาขาอาชีพ ทุกตำแหน่งย่อมมีการแข่งขันกันสูงอยู่แล้ว ฉะนั้นก็ต้องวัดกันที่ความรู้ ความสามารถของแต่ละคน ส่วนในด้านการประชาสัมพันธ์อยู่ในระดับที่สูงพอสมควร เพราะในปัจจุบันงานประชาสัมพันธ์เป็นงานที่มีความสำคัญต่อองค์กรหรือหน่วยงานเป็นอย่างมาก
ปัจจัยหรือหลักเกณฑ์ที่จะกล่าวต่อไปนี้มีผลมากน้อยแค่ไหนต่อการพิจารณารับบุคคลเข้าทำงานในด้านการประชาสัมพันธ์ หลายท่านคงอยากทราบกันแล้ว เรามาเริ่มกันเลยดีกว่า

- สาขาวิชาที่สำเร็จการศึกษา
ไม่จำเป็นว่าต้องจบสาขานี้เท่านั้นถึงจะทำงานประชาสัมพันธ์ได้ แต่ถ้าจบมาทางนี้โดยตรงก็ดีเพราะคนที่จบทางนี้มาโดยตรงก็จะมีพื้นฐานและความรู้เฉพาะทางมากกว่าหลายๆคนก็ไม่ได้จบประชาสัมพันธ์มาหลายคนสามารถประยุกต์จากสิ่งที่ชอบได้ มันขึ้นกับว่าเราชอบอะไรมากกกว่าและเราก็สามารถอยู่กับมันได้ แต่เวลาไปสมัครงานจริงๆ บางบริษัทก็จะระบุไว้เลยว่าต้องจบสาขานี้ แต่บางบริษัทก็จะดูจากประสบการณ์ในการทำงานที่ผ่านมา

- สถาบันการศึกษา
สิ่งสำคัญขึ้นอยู่กับแต่ละองค์กรว่ามีข้อกำหนดเรื่องสถาบันการศึกษารึเปล่า ถ้าเป็นองค์กรใหญ่ๆ (บางองค์กร) เขาก็จะเลือกสถาบันที่มีชื่อเสียงอยู่แล้วเพราะมีมาตรฐานมีคนรู้จักและให้การยอมรับ แต่สถาบันเล็กๆ ไม่ใช่ว่าไม่มีมาตรฐานนะก็มีเหมือนกัน ซึ่งถ้าจบจากมหาลัยที่ดังๆทางด้านประชาสัมพันธ์ พื้นฐานจะแน่นกว่า และได้เรียนรู้มากกว่า

- ผลการเรียน / เกรดเฉลี่ย
ขึ้นอยู่กับองค์กรอีกเหมือนกัน บางองค์กรเคร่งมากเรื่องเกรดเฉลี่ย แต่บางองค์กรจะเน้นเรื่องประสบการณ์การทำงาน และเรื่องอื่นๆ หลายองค์ประกอบ ไม่ว่าจะเป็น บุคลิกภาพ ความมั่นใจในตัวเอง กิจกรรมที่ทำในสมัยเรียน ทักษะด้านคอมพิวเตอร์ ทักษะด้านภาษา สรุปรวมๆกัน ถ้าคนที่พื้นฐานIQน้อยไม่สนใจเรื่องพวกนี้ก็จะลำบาก และถ้าเป็นคนที่ได้เกียตรินิยมบางครั้งอาจจะเป็นคนหยิ่งเกินไปและมุ่งแต่ตำราเรียนมากเกินไป ควรเลือกคนแบบพอดีๆพอเหมาะเหมือนกับเศรษฐกิจพอเพียงเลย

- รูปร่าง-หน้าตา
เป็นแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้นนะ จริงๆมันอยู่ที่ความสามารถมากกว่า ที่สำคัญนั้นอยู่ที่บุคลิกภาพ บุคลิกการแต่งตัวมากกว่าว่าถูกกาลเทศะไปงานไหนควรแต่งตัวอย่างไร บุคลิก สำคัญที่สุด ดูดี เพื่อให้มีความน่าเชื่อถือ แต่ถ้ามองอีกมุมหน้าตาก็อาจจะมีส่วนอยู่ในการไปขอความช่วยเหลือจากใคร อะไรยังไงประมานนี้ บางคนเราเห็นก็ไม่อยากคุยด้วยแล้ว แต่เราทำงานด้านนี้เราก็ต้องเก็บความรู้สึกไว้ แต่ว่าถ้าสวยแล้วไม่มีสมองก็ไม่มีประโยชน์

- เพศ
เรื่องเพศไม่เกี่ยวเท่าไหร่ แต่ก็มีความแตกต่างกันบ้าง การทำงานด้านประชาสัมพันธ์ต้องใช้ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย แต่บุคลากรผู้ชายจะหายากมาก เพราะว่าคนส่วนใหญ่ต้องคิดว่านักประชาสัมพันธ์ต้องเป็นผู้หญิงเพราะว่ามีความอ่อนน้อมมากกว่าผู้ชายอย่างพวกเพศที่ 3 แต่ผู้หญิงอาจจะได้เปรียบมากกว่านิดนึง เพราะ ผู้หญิงมีความอ่อนน้อมถ่อมตน มีบุคลิกที่ดีมากกว่าผู้ชาย เช่นการวางตัว

- ประสบการณ์การทำงาน
มีผลต่อการรับพิจารณาในการทำงานอย่างแน่นอน เพราะต้องมีประสบการณ์ในการทำงาน และส่วนมากก็จะไม่รับเด็กจบใหม่ ถึงจะรับแต่ก็น้อยมาก และต้องเก่งภาษา คนที่มีประสบการณ์มักจะแก้ไขเหตุการณ์ต่างๆได้รวดเร็ว แต่ว่าเมื่อเข้าไปทำงานแล้ว แต่ละที่นโยบายการทำงานก็แตกต่างกันออกไป มันก็เท่ากับว่าทุกคนเริ่มจากศูนย์ แต่ถ้ามีประสบการณ์มาก่อน มันก็ช่วยให้เราสามารถปรับตัวเข้ากับการทำงานขององค์กรได้เร็วขึ้น และเค้าจะรู้งานมากกว่า

- ความสามารถด้านภาษา
ในสภาวะปัจจุบันภาอังกฤษมีความจำเป็นมาก ประชาสัมพันธ์เป็นหน้าตาขององค์กร ต้องสื่อสารข้อความไม่ว่าจะภาษาใดออกไปให้ชัดเจน และถูกต้อง มันมีความจำเป็นมากในเรื่องของภาษา ซึ่งถ้ามีความสามารถทางด้านภาษาอังกฤษและภาษาอื่นๆด้วยเนี่ย ก็ถือว่ามีโอกาสเหนือกว่าองค์กรอื่นในการที่จะทำงานหรือว่าสื่อสาร กับบุคคลภายนอกด้วยค่ะ
6.มหาวิทยาลัยหรือสถานศึกษาที่เปิดสอน
มหาวิทยาลัยศรีปทุมคณะนิเทศศาสตร์ (หลักสูตรนิเทศศาสตร์บัณฑิต)สาชาวิชาการประชาสัมพันธ์
มหาวิทยาลัยกรุงเทพ คณะนิเทศศาสตร์ ภาควิชาประชาสัมพันธ์
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คณะนิเทศศาสตร์ ภาควิชาการประชาสัมพันธ์ (PR & AD)
มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม นิเทศศาสตร์ ( การประชาสัมพันธ์ )


7.ความต้องการของตลาดแรงงาน
- ความต้องการบุคลากรด้านการประชาสัมพันธ์ในปัจจุบัน
ยังต้องการสูงมาก เพราะปัจจุบันธุรกิจมีการแข่งขันกันมากขึ้น ก็เป็นธรรมดาที่แต่ละองค์กรต้องการสร้างภาพลักษณ์ที่ดี และส่งข้อมูลของตนไปยังประชาชนให้เป็นที่รู้จัก ให้รู้ว่าเราทำอะไรอยู่ และการทำการประชาสัมพันธ์เป็นสื่อที่มีราคาถูก ไม่ใช้ทุนสูง แต่มีคุณภาพในการพรีเซ็นเตอร์ตัวเอง อาศัยความสัมพันธ์ที่ดีกับสื่อ งานประชาสัมพันธ์เป็นสิ่งที่ทุกองค์กรต้องการ ธุรกิจมันเติบโตมากขึ้นนักประชาสัมพันธ์ก็ต้องการเยอะเพราะการประชาสัมพันธ์มันได้ผลกว้างกว่า
8.ตัวอย่างบุคคลที่อยู่ในอาชีพดังกล่าว(เรื่องราวโดยย่อ)
คุณสิริพันธ์ พรสมพล
สถานที่ทำงาน : แกรมมี่ โกลด์
ตำแหน่ง : PR (ประชาสัมพันธ์)
ประสบการณ์ในทำงาน 7 ปี
การศึกษา :ปริญญาตรี คณะ นิเทศศาสตร์ สาขา ประชาสัมพันธ์ โทโฆษณา
มหาวิทยาลัยกรุงเทพ

อรนุช กล่าวว่า...

นางสาวอรนุช มะทา รหัสนิสิต EC 48020520533 ระบบพิเศษ
1.อาชีพนักวิทยาศาสตร์
2.ลักษณะงาน
นักวิทยาศาสตร์ หมายถึง บุคคลที่มีความสามารถและเขี่ยวชาญด้านสาขาต่างๆทางวิทยาศาสตร์โดยเฉพาะ ฉะนั้นผู้ที่ทำงานด้านนี้ต้องมีความสามารถเฉพาะตัวในวิทยาศาสตร์สาขาใดสาขาหนึ่ง เช่น นักฟิสิกส์ ,นักเคมี, นักชีววิทยา
1. นักฟิสิกส์ ต้องศึกษาเกี่ยวกับการสอบสวนปรากฏการณ์ทางฟิสิกส์ ทำงานวิจัย ทดสอย ทดลอง และวิเคราะห์เพิ่ม นำกฏทางฟิสิกส์ในแขนงตาสงๆ ที่ตนถนัดและเชี่ยวชาญในแขนงใดแขนงหนึ่ง เช่น กลศาสตร์ ความร้อน แสง เสียง ไฟฟ้า แม่เหล็กอิเล็กทรอนิกส์ อะตอม และนิวเคลี มาใช้ในงานอุตสาหกรรม ทางการแพทย์
2. นักเคมี ต้องศึกษาและปฏิบัติงานในด้านวิจัย พัฒนา ทดสอบ ทดลอง และวิเคราะห์ส่วนประกอบและการเปลี่ยนแปลงอันเกิดขึ้นได้ของสารในทางเคมีในแขนงใดแขนงหนึ่ง เช่น อินทรียเคมี อนินทรียเคมี และชีวเคมี เพื่อนำมาใช้งาน ทางอุตสาหกรรม ทางการแพทย์ การเกษตร
3. นักชีววิทยา ต้องศึกษาปฏิบัตงานด้านวิจัยในแขนงวิชาชีววิทยา สัตวแพทย์ พฤกษ์ศาสตร์ และงานอื่นๆที่เกี่ยวข้องในห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์ หรือโดยปฏิบัติงานในสนาม แล้วนำสิ่งที่ค้นพบต่างๆมาใช้สำหรับป้องกันโรค หรือบำรุงรักษา ส่งเสริมสุขภาพอนามัยให้กับชีวิต สัตว์และพืช รวมถึงการศึกษาเกี่ยวกับกำเนิด พัฒนาการ โครงสร้าง สรีรวิทยา การกระจายกรรมพันธุ์ สิ่งแวดล้อม ความสัมพันธ์ ภายในระหว่างกัน การจัดประเภทและรูปการมูลฐานของชีวิตพืชและสัตว์ การศึกษากรรมวิธีทางเคมีที่เกี่ยวกับสัตว์และพืช และนำสิ่งที่ค้นพบมาใช้แก้ปัญหาเกี่ยวกับการรักษาโรค งานทางอุตสาหกรรม และอื่นๆ
3.คุณลักษณะของผู้ประกอบอาชีพ
1. มีความรู้ทางวิทยาศาสตร์เป็นอย่างดี โดยเฉพาะทางฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา
2. มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ช่างซักถาม มีเหตุผล สนใจและมีความรู้ทางคณิตศาสตร์
3. มีความเชื่อมั่นในตนเอง กล้าตัดสินใจ และแก้ปัญหาต่างๆได้อย่างรวดเร็วและฉับพลัน
4. มีความจำแม่นยำและมีความละเอียดรอบคอบเป็นอย่างดี เพราะถ้าไม่มีอาจเกิดผลเสียและเกิดอันตรายในการปฏิบัติงานในห้องทดลอง
4.ระดับรายได้และโอกาสก้าวหน้าในอาชีพ
รายได้ของนักวิทยาศาสตร์ ที่ประสบความสำเร็จว่าหากแบ่งเป็นสามช่วง นักวิทยาศาสตร์ในช่วงต้นของอาชีพ (30-40ปี) มีเงินเดือนได้ถึง 50,000 ซึ่งประกอบด้วยส่วนของเงินเดือน เงินค่าตอบแทนนักวิจัย เงินประจำตำแหน่ง ฯลฯ
นักวิทยาศาสตร์ช่วงกลาง อายุ 40-50 ปี อาจได้รับค่าตอบแทนราว 80,000 บาท เมื่อโครงการวิจัยใหญ่ขึ้น และสามารถรับได้หลายโครงการ และเมื่อเป็นระดับ Professional อาจได้ค่าตอบแทนมากกว่า 145,000 บาท จะได้ค่าตอบแทนจากเป็นที่ปรึกษาโครงการ หรือของบริษัทหน่วยงานเอกชน
ทั้งนี้ไม่รวมถึงเงินวิจัยที่สามารถนำไปใช้ซื้ออุปกรณ์ สารเคมี ออกเก็บตัวอย่างภาคสนาม จัดการประชุม อีกเป็นแสนเป็นล้าน
บัณฑิต พสวท.ส่วนมากใช้ทุนครบ 10 ปีก็ทำงานเป็นนักวิจัยต่อ เพราะนี่คืออาชีพที่ชาว พสวท.อยากเป็น มีเงินจ้างให้เรียน จบมาก็มีเงินให้ทำงานวิจัยได้ตามที่ต้องการ ค่าตอบแทนก็อยู่ในระดับที่ดี
6.การศึกษาและการฝึกอบรม
เมื่อจบ ม.ปลายสายวิทยาศาสต์ ศึกษาต่อในคณะวิทยาศาสตร์ 4 ปี ทั้งมหาวิทยาลัยของรัฐและเอกชนหลายแห่ง
7.ความต้องการของตลาดแรงงาน
1. เข้ารับราชการในกรม กอง และองค์การต่างๆ เช่น กรมวิทยาศาสตร์, กรมทรัพยากรธรณี, กรมประมง , กรมชลประทาน , กรมปศุสัตว์, กรมศุลกากร, สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์แห่งประเทศไทย, องค์การแก้ว , องค์เชื้อเพลิง,กรมพลังงานทหาร,กรมสรรพาวุธ
2. เป็นครู-อาจารย์ สอนวิชาวิทยาศาสตร์ ในโรงเรียน , วิทยาลัย, มหาวิทยาลัย
3. เป็นนักวิชาการ ปฏิบัติงานในมหาวิทยาลัย, สถาบันวิจัยเกี่ยวกับการแพทย์, การเกษตร, อุตสาหกรรมผลิตเครื่องดื่ม อาหารและยา เป็นต้น
และสามารถศึกษาต่อระดับปริญญาโท-เอกได้ ทั้งในและต่างประเทศ
8.บุคคลตัวอย่าง
โรเบิร์ต บอยล์ : Robert Boyle นักวิทยาศาสตร์ สาขาเคมี
โรเบิร์ต บอยล์ : Robert Boyle

เกิด วันที่ 26 มกราคม ค.ศ. 1627 ที่เมืองมันสเตอร์ (Munster) ประเทศไอร์แลนด์ (Ireland)
เสียชีวิต วันที่ 30 ธันวาคม ค.ศ. 1691 กรุงลอนดอน (London) ประเทศอังกฤษ (England)
ผลงาน - ตั้งกฎของบอยล์ (Boyle's Law) ว่าด้วยเรื่องความดันอากาศ
โรเบิร์ต บอยล์ เป็นนักเคมีคนสำคัญที่สุดคนหนึ่งของโลก ด้วยนักวิทยาศาสตร์ผู้นี้เป็นผู้บุกเบิกงานด้านเคมีอย่างจริงจัง ผลงานของเขามีประโยชน์มากต่อวงการวิทยาศาสตร์ เป็นต้นว่า กรค้นพบธาตุ การเผาไหม้ของโลหะ อีกทั้งเขาเป็นผู้ปรับปรุงเทอร์มอมิเตอร์ให้มี ประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และประดิษฐ์หลอดแก้วสุญญากาศ ไม่เฉพาะงานด้านเคมีเท่านั้นที่สร้างชื่อเสียงให้กับโรเบิร์ต โรเบิร์ต บอยล์ งานด้านฟิสิกส์เขาก็มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะเรื่องกฎของบอยล์ (Boyle’s Law) เป็นทฤษฎีที่สร้างคุณประโยชน์มากมาย และเป็นรากฐานของการประดิษฐ์เครื่องยนต์ชนิดต่าง ๆ หลายชนิดเช่น เครื่องจักรไอน้ำ เครื่องพ่นลม เครื่องยนต์ที่ใช้แรงกดดันของก๊าซและเครื่องยนต์แบบจุดระเบิดภายใน

โรเบิร์ต บอยล์
โรเบิร์ต บอยล์ เกิดเมื่อวันที่ 26 มกราคม ค.ศ. 1627 ที่เมืองมันสเตอร์ ประเทศไอร์แลนด์ โรเบิร์ต บอยล์เป็นบุตรชายคนสุดท้ายของท่านเอิร์ลแห่งคอร์ด (Earl of Cord) ซึ่งเป็นขุนนางผู้มั่งคั่ง ทำให้โรเบิร์ต บอยล์มีโอกาสได้รับการศึกษาที่ดี และมีโอกาสได้ศึกษาค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์ได้อย่างเต็มที่เนื่องจากบิดาของเขาก็ชื่นชอบเรื่องวิทยาศาสตร์เช่นกัน โรเบิร์ต บอยล์ได้รับการศึกษาขั้นต้นที่วิทยาลัยอีตัน (Eton College) ซึ่งเป็นโรงเรียนประจำที่มีชื่อเสียงที่สุดในประเทศอังกฤษ ที่โรงเรียนนี้เขาได้ศึกษาภาษาอังกฤษ ละติน และฝรั่งเศส นอกจากนี้เขาได้เรียนภาษากรีก และฮิบรูด้วย เมื่อโรเบิร์ต บอยล์อายุได้ 14 ปี บิดาของเขาได้ส่งเขาไปเรียนภาษาอิตาลี ที่ประเทศอิตาลี ระหว่างที่โรเบิร์ต บอยล์ได้เรียนที่ประเทศอิตาลี เขามีโอกาสได้อ่านหนังสือวิทยาศาสตร์เล่มหนึ่งชื่อว่า เรื่องประหลาดของนักดาราศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ ที่เขียนโดยกาลิเลโอ กาลิเลอี (Galileo Galilei) นักดาราศาสตร์ชาวอิตาลี ทำให้เขามีความสนใจในเรื่องวิทยาศาสตร์ และตั้งใจว่าจะต้องเรียนต่อในวิชาวิทยาศาสตร์ต่อไป โรเบิร์ต บอยล์เดินทางกลับประเทศไอร์แลนด์ในปี ค.ศ. 1644 ปรากฏว่าบิดาของเขาเสียชีวิตพร้อมกับทิ้งมรดกเป็นที่ดิน และปราสาทในสตอลบริดจ์เซทไซร์ (Stallbridge Doe Setshire) ไว้ให้เขา โรเบิร์ต บอยล์ได้เดินทางกลับไปที่ประเทศอังกฤษอีกครั้งหนึ่ง เพื่อศึกษาต่อในวิชาวิทยาศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยอ็อกซฟอร์ด (Oxfoerd University)
หลังจากจบการศึกษา โรเบิร์ต บอยล์ได้กลับบ้านและทำการทดลองค้นคว้าอย่างจริงจัง งานชิ้นแรดที่โรเบิร์ต บอยล์ให้ความสนใจคือ ผลึกเพราะโรเบิร์ต บอยล์ต้องการหาส่วนประกอบของธาตุต่าง ๆ จากการศึกษาโรเบิร์ต บอยล์พบว่า ผลึกบางชนิดเกิดจากส่วนผสมและสารประกอบทางเคมีบางชนิด ต่อมาเขาเริ่มศึกษาเกี่ยวกับเครื่องวัดความกดอากาศ จากผลงานของนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงหลายท่าน โดยเริ่มต้นจากเทอร์มอมิเตอร์ของกาลิเลโอ แต่เทอร์มอมิเตอร์ชนิดนี้ใช้น้ำในการวัดซึ่งยังวัดอุณหภูมิได้ไม่ถูกต้องแม่นยำนัก โรเบิร์ต บอยล์ได้นำเทอร์มอมิเตอร์ของกาลิเลโอมาปรับปรุงให้มีประสิทะภาพมากขึ้นโดยใช้ปรอทแทนน้ำ
ต่อมาโรเบิร์ต บอยล์ได้ทำการค้นคว้าเกี่ยวกับความกดอากาศ ซึ่งเป็นเรื่องที่กำลังถกเถียงกันอยู่ในเวลานั้นว่า อากาศมีน้ำหนักหรือไม่และสภาพไร้อากาศหรือสุญญากาศเป็นไปได้หรือไม่ ในปี ค.ศ. 1657 โรเบิร์ต บอยล์ได้อ่านหนังสือของนักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมันท่านหนึ่งชื่อว่าออตโต ฟอน เกริเก (Otto von Guericke) เกี่ยวกับเครื่องสูบอากาศที่เขาประดิษฐ์ขึ้น โรเบิร์ต บอยล์ได้นำเครื่องสูบอากาศของเกริเกมาใช้ในการทดลองเกี่ยวกับความดันอากาศ โดยร่วมมือกับโรเบิร์ต ฮุค (Robert Hooke) และในปี ค.ศ. 1659 เขาก็สามารถปรับปรุงเครื่องสูบอากาศของเกริเกให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และได้นำเครื่องสูบอากาศนี้มาใช้ในการทดลองเกี่ยวกับความสัมพันธ์ ระหว่างก๊าซกับความดัน นอกจากนี้เขาได้สร้างห้องทดลองสุญญากาศขึ้นด้วย


เกจวัดความดันบมานอมิเตอร์ ตัวอย่างการประยุกต์พื้นฐานกฎของบอยล์
ในการทดลองครั้งแรกโรเบิร์ต บอยล์ได้นำบารอมิเตอร์ใส่ลงไปในห้องทดลองสุญญากาศ จากนั้นเขาจึงใช้เครื่องสูบอากาศสูบอากาศในห้องทดลองออกทีละน้อย ๆ ปรากฏว่าปรอทในบารอมิเตอร์สูงขึ้นเรื่อย ๆ ยิ่งสูบอากาศออกไปมากเท่าไรปรอทก็ยิ่งสูงขึ้นนอกจากนี้โรเบิร์ต บอยล์ยังได้แขวนนาฬิกาไว้ในห้องนั้น เมื่อนาฬิกามีเสียงดังขึ้นเพียงครั้งเดียวก็หายไป แสดงให้เห็นว่าเมื่อไม่มีอากาศเสียงก็ไม่สามารถดังได้ จากการทดลองครั้งนี้โรเบิร์ต บอยล์สรุปว่าอากาศมีแรงดัน และเสียงไม่สามารถเดินทางได้ในที่ที่ไม่มีอากาศ ผลจากการทดลองครั้งนี้โรเบิร์ต บอยล์ได้นำมาตั้งเป็นกฎชื่อว่า กฎของบอยล์ (Boyle’s Law) (Boyle's Law) กฎนี้กล่าวว่า ถ้าปริมาตรของก๊าซคงที่ อุณหภูมิของก๊าซจะเปลี่ยนแปลงไปเป็นปฏิภาคกลับกันกับความดัน หรือถ้าปริมาตรของก๊าซคงที่ ความดันคงที่ อุณหภูมิก็จะคงที่ สามารถสรุปกฎข้อนี้ได้ว่าปริมาตรของก๊าซจะเพิ่ม - ลด ในอัตราส่วนที่เท่ากันเสมอ เช่น ถ้าเพิ่มความกดดันขึ้นเป็น 1 เท่า ปริมาตรของอากาศจะลดลง 1 เท่า แต่ถ้าเพิ่มความกดดันเป็น 2 เท่า ปริมาตรของอากาศจะลดลงเป็น 2 เท่า ซึ่งกฎของโรเบิร์ต บอยล์เป็นกฎที่ได้รับการยกย่องกันมากในวงการฟิสิกส์ โรเบิร์ต บอยล์ได้ตีพิมพ์ผลงานชิ้นนี้ในปี ค.ศ. 1660 โดยใช้ชื่อหนังสือว่า New Experiment
Physic Mechanical, Touching the spring of the Air, and its Effects เมื่อหนังสือเผยแพร่ออกไปกลับได้การ ตอบรับที่ไม่ดีนัก คนส่วนใหญ่มักเห็นว่ากฎของโรเบิร์ต บอยล์เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
ดังนั้นเขาจึงทำแสดงการทดลองครั้งใหญ่เพื่อแสดงให้คนได้เห็นความจริงข้อนี้ โดยการสร้างหลอดแก้วรูปตัวเจที่มีขนาดความสูงถึง 12 ฟุต ส่วนปลายที่งอขึ้นมีความสูง 5 ฟุต ปิดทางส่วนปลายไว้ แล้วนำไปติดตั้งไว้บริเวณบันไดบ้านของเขา จากนั้นจึงเริ่มทำการทดลองโดยการเทปรอทใส่ลงในหลอดแก้ว ในขั้นต้นปริมาณปรอทอยู่ในระดับที่เท่ากันทั้ง 2 ข้าง จากนั้นจึงเทปรอทเข้าไปในส่วนบนแล้วรีบผิดฝา และทำซ้ำเหมือนเช่นนั้นอีกหลายครั้งจนเห็นได้ชัดเจนว่าปรอทในข้างที่งอขึ้นมีระดับของปรอท สูงกว่าอีกด้านหนึ่ง ผลการทดลองครั้งนี้ทำให้ผู้ที่มาเฝ้าดูการทดลองครั้งนี้เห็นและเข้าใจในกฎของโรเบิร์ต บอยล์
ในปี ค.ศ. 1661 โรเบิร์ต บอยล์ได้เขียนหนังสือขึ้นเล่มหนึ่งชื่อว่า The Sceptical Chemist ซึ่งมีเนื้อหาต่อต้านทฤษฎีของอาริสโตเติลในเรื่องของส่วนประกอบของธาตุต่าง ๆ อาริสโตเติลกล่าวว่าธาตุทั้งหลายในโลกประกอบไปด้วย ดิน น้ำ ลม และไฟ รวมถึงทฤษฎีของพาราเซลลัสที่ว่าธาตุประกอบไปด้วย ปรอท กำมะถัน และเกลือ โรเบิร์ต บอยล์มีความเชื่อว่าธาตุทั้งหลายในโลก ประกอบไปด้วยสารประกอบที่แตกต่างกัน ซึ่งต้องได้รับการทดสอบเสียก่อนจึงจะรู้ได้ว่าธาตุชนิดนั้นประกอบไปด้วยสารชนิดใดบ้าง ไม่ใช่ตามทฤษฎีของอาริสโตเติลและพาราเซลลัส หนังสือของโรเบิร์ต บอยล์เล่มนี้ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก เนื่องจากผู้คนที่เคยมี ความเชื่อถือในทฤษฎีเก่าของอาริสโตเติล เมื่อได้อ่านหนังสือของโรเบิร์ต บอยล์แล้วก็มีความคิดที่เปลีรี่ยนไป ต่อมานักวิทยาศาสตร์รุ่นหลังได ้นำวิธีการของโรเบิร์ต บอยล์ไปทดลอง ก็สามารถค้นพบธาตุใหม่ ๆ อีกจำนวนกว่า 100 ชนิด
โรเบิร์ต บอยล์ไม่ได้หยุดยั้งการค้นคว้าของเขาเพียงเท่านี้ เขายังทำการทดลองวิทยาศาสตร์ในแขนงอื่น ๆ อีกหลายสาขา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับไฟฟ้าสถิตและเสียง ในเรื่องของความเร็วของเสียงตั้งแต่ต้นกำเนิดจนถึงปลายทาง และโครงสร้างของผลึกต่าง ๆ ส่วนวิชาเคมีโรเบิร์ต บอยล์ก็ยังให้ความสนใจและทำการทดลองค้นคว้าอยู่เสมอ ซึ่งการทดลองครั้งหนึ่งของโรเบิร์ต โรเบิร์ต บอยล์ เกือบทำให้เขาค้นพบก๊าซออกซิเจน แต่เขาก็พบว่าสัตว์รวมถึงมนุษย์ด้วยไม่สามารถขาดอากาศได้ เพราะเมื่อใดที่ขาดอากาศก็จะต้องเสียชีวิต และกำมะถัน ก็ไม่สามารถลุกไหม้ในสภาพสุญญากาศได้
ในปี .ศ. 1666 โรเบิร์ต บอยล์ได้ตีพิมพ์หนังสือออกมาเล่มหนึ่งชื่อว่า Hydrostatics Paradoxes ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับความถ่วง จำเพาะของวัตถุ โรเบิร์ต บอยล์ได้ศึกษาเกี่ยวกับอะตอมของสาร เขาได้สรุปสมบัติอะตอมของสารไว้ว่า อะตอมของสารต่างชนิดกันจะมีการเคลื่อนที่แตกต่างกัน และได้ตีพิมพ์ผลงานออกมาอีกเล่มหนึ่งชื่อว่า Original of Forms Qualities According to the Corpuscular Philosophy
โรเบิร์ต บอยล์เป็นนักวิทยาศาสตร์ที่มีความสามารถในหลายสาขา ไม่ว่าจะเป็นเคมี เขาก็ได้รับการยกย่องให้เป็นบิดาแห่งวิชาเคมี ด้านฟิสิกส์ก็ได้รับการยกย่องมากจากการค้นพบกฎของบอยล์ (Boyle’s Law) และการประดิษฐ์เครื่องมือวิทยาศาสตร์อย่างเทอร์มอมิเตอร์ และบารอมิเตอร์ โรเบิร์ต บอยล์ใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับการค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์ จนกระทั่งเขาเสียชีวิตในวันที่ 30 ธันวาคม ค.ศ. 1691 ที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ

อรนุช กล่าวว่า...

นางสาวอรนุช มะทา รหัสนิสิต EC 48020520533 ระบบพิเศษ
1.อาชีพนักวิทยาศาสตร์
2.ลักษณะงาน
นักวิทยาศาสตร์ หมายถึง บุคคลที่มีความสามารถและเขี่ยวชาญด้านสาขาต่างๆทางวิทยาศาสตร์โดยเฉพาะ ฉะนั้นผู้ที่ทำงานด้านนี้ต้องมีความสามารถเฉพาะตัวในวิทยาศาสตร์สาขาใดสาขาหนึ่ง เช่น นักฟิสิกส์ ,นักเคมี, นักชีววิทยา
1. นักฟิสิกส์ ต้องศึกษาเกี่ยวกับการสอบสวนปรากฏการณ์ทางฟิสิกส์ ทำงานวิจัย ทดสอย ทดลอง และวิเคราะห์เพิ่ม นำกฏทางฟิสิกส์ในแขนงตาสงๆ ที่ตนถนัดและเชี่ยวชาญในแขนงใดแขนงหนึ่ง เช่น กลศาสตร์ ความร้อน แสง เสียง ไฟฟ้า แม่เหล็กอิเล็กทรอนิกส์ อะตอม และนิวเคลี มาใช้ในงานอุตสาหกรรม ทางการแพทย์
2. นักเคมี ต้องศึกษาและปฏิบัติงานในด้านวิจัย พัฒนา ทดสอบ ทดลอง และวิเคราะห์ส่วนประกอบและการเปลี่ยนแปลงอันเกิดขึ้นได้ของสารในทางเคมีในแขนงใดแขนงหนึ่ง เช่น อินทรียเคมี อนินทรียเคมี และชีวเคมี เพื่อนำมาใช้งาน ทางอุตสาหกรรม ทางการแพทย์ การเกษตร
3. นักชีววิทยา ต้องศึกษาปฏิบัตงานด้านวิจัยในแขนงวิชาชีววิทยา สัตวแพทย์ พฤกษ์ศาสตร์ และงานอื่นๆที่เกี่ยวข้องในห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์ หรือโดยปฏิบัติงานในสนาม แล้วนำสิ่งที่ค้นพบต่างๆมาใช้สำหรับป้องกันโรค หรือบำรุงรักษา ส่งเสริมสุขภาพอนามัยให้กับชีวิต สัตว์และพืช รวมถึงการศึกษาเกี่ยวกับกำเนิด พัฒนาการ โครงสร้าง สรีรวิทยา การกระจายกรรมพันธุ์ สิ่งแวดล้อม ความสัมพันธ์ ภายในระหว่างกัน การจัดประเภทและรูปการมูลฐานของชีวิตพืชและสัตว์ การศึกษากรรมวิธีทางเคมีที่เกี่ยวกับสัตว์และพืช และนำสิ่งที่ค้นพบมาใช้แก้ปัญหาเกี่ยวกับการรักษาโรค งานทางอุตสาหกรรม และอื่นๆ
3.คุณลักษณะของผู้ประกอบอาชีพ
1. มีความรู้ทางวิทยาศาสตร์เป็นอย่างดี โดยเฉพาะทางฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา
2. มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ช่างซักถาม มีเหตุผล สนใจและมีความรู้ทางคณิตศาสตร์
3. มีความเชื่อมั่นในตนเอง กล้าตัดสินใจ และแก้ปัญหาต่างๆได้อย่างรวดเร็วและฉับพลัน
4. มีความจำแม่นยำและมีความละเอียดรอบคอบเป็นอย่างดี เพราะถ้าไม่มีอาจเกิดผลเสียและเกิดอันตรายในการปฏิบัติงานในห้องทดลอง
4.ระดับรายได้และโอกาสก้าวหน้าในอาชีพ
รายได้ของนักวิทยาศาสตร์ ที่ประสบความสำเร็จว่าหากแบ่งเป็นสามช่วง นักวิทยาศาสตร์ในช่วงต้นของอาชีพ (30-40ปี) มีเงินเดือนได้ถึง 50,000 ซึ่งประกอบด้วยส่วนของเงินเดือน เงินค่าตอบแทนนักวิจัย เงินประจำตำแหน่ง ฯลฯ
นักวิทยาศาสตร์ช่วงกลาง อายุ 40-50 ปี อาจได้รับค่าตอบแทนราว 80,000 บาท เมื่อโครงการวิจัยใหญ่ขึ้น และสามารถรับได้หลายโครงการ และเมื่อเป็นระดับ Professional อาจได้ค่าตอบแทนมากกว่า 145,000 บาท จะได้ค่าตอบแทนจากเป็นที่ปรึกษาโครงการ หรือของบริษัทหน่วยงานเอกชน
ทั้งนี้ไม่รวมถึงเงินวิจัยที่สามารถนำไปใช้ซื้ออุปกรณ์ สารเคมี ออกเก็บตัวอย่างภาคสนาม จัดการประชุม อีกเป็นแสนเป็นล้าน
บัณฑิต พสวท.ส่วนมากใช้ทุนครบ 10 ปีก็ทำงานเป็นนักวิจัยต่อ เพราะนี่คืออาชีพที่ชาว พสวท.อยากเป็น มีเงินจ้างให้เรียน จบมาก็มีเงินให้ทำงานวิจัยได้ตามที่ต้องการ ค่าตอบแทนก็อยู่ในระดับที่ดี
6.การศึกษาและการฝึกอบรม
เมื่อจบ ม.ปลายสายวิทยาศาสต์ ศึกษาต่อในคณะวิทยาศาสตร์ 4 ปี ทั้งมหาวิทยาลัยของรัฐและเอกชนหลายแห่ง
7.ความต้องการของตลาดแรงงาน
1. เข้ารับราชการในกรม กอง และองค์การต่างๆ เช่น กรมวิทยาศาสตร์, กรมทรัพยากรธรณี, กรมประมง , กรมชลประทาน , กรมปศุสัตว์, กรมศุลกากร, สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์แห่งประเทศไทย, องค์การแก้ว , องค์เชื้อเพลิง,กรมพลังงานทหาร,กรมสรรพาวุธ
2. เป็นครู-อาจารย์ สอนวิชาวิทยาศาสตร์ ในโรงเรียน , วิทยาลัย, มหาวิทยาลัย
3. เป็นนักวิชาการ ปฏิบัติงานในมหาวิทยาลัย, สถาบันวิจัยเกี่ยวกับการแพทย์, การเกษตร, อุตสาหกรรมผลิตเครื่องดื่ม อาหารและยา เป็นต้น
และสามารถศึกษาต่อระดับปริญญาโท-เอกได้ ทั้งในและต่างประเทศ
8.บุคคลตัวอย่าง
โรเบิร์ต บอยล์ : Robert Boyle นักวิทยาศาสตร์ สาขาเคมี
โรเบิร์ต บอยล์ : Robert Boyle

เกิด วันที่ 26 มกราคม ค.ศ. 1627 ที่เมืองมันสเตอร์ (Munster) ประเทศไอร์แลนด์ (Ireland)
เสียชีวิต วันที่ 30 ธันวาคม ค.ศ. 1691 กรุงลอนดอน (London) ประเทศอังกฤษ (England)
ผลงาน - ตั้งกฎของบอยล์ (Boyle's Law) ว่าด้วยเรื่องความดันอากาศ
โรเบิร์ต บอยล์ เป็นนักเคมีคนสำคัญที่สุดคนหนึ่งของโลก ด้วยนักวิทยาศาสตร์ผู้นี้เป็นผู้บุกเบิกงานด้านเคมีอย่างจริงจัง ผลงานของเขามีประโยชน์มากต่อวงการวิทยาศาสตร์ เป็นต้นว่า กรค้นพบธาตุ การเผาไหม้ของโลหะ อีกทั้งเขาเป็นผู้ปรับปรุงเทอร์มอมิเตอร์ให้มี ประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และประดิษฐ์หลอดแก้วสุญญากาศ ไม่เฉพาะงานด้านเคมีเท่านั้นที่สร้างชื่อเสียงให้กับโรเบิร์ต โรเบิร์ต บอยล์ งานด้านฟิสิกส์เขาก็มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะเรื่องกฎของบอยล์ (Boyle’s Law) เป็นทฤษฎีที่สร้างคุณประโยชน์มากมาย และเป็นรากฐานของการประดิษฐ์เครื่องยนต์ชนิดต่าง ๆ หลายชนิดเช่น เครื่องจักรไอน้ำ เครื่องพ่นลม เครื่องยนต์ที่ใช้แรงกดดันของก๊าซและเครื่องยนต์แบบจุดระเบิดภายใน

โรเบิร์ต บอยล์
โรเบิร์ต บอยล์ เกิดเมื่อวันที่ 26 มกราคม ค.ศ. 1627 ที่เมืองมันสเตอร์ ประเทศไอร์แลนด์ โรเบิร์ต บอยล์เป็นบุตรชายคนสุดท้ายของท่านเอิร์ลแห่งคอร์ด (Earl of Cord) ซึ่งเป็นขุนนางผู้มั่งคั่ง ทำให้โรเบิร์ต บอยล์มีโอกาสได้รับการศึกษาที่ดี และมีโอกาสได้ศึกษาค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์ได้อย่างเต็มที่เนื่องจากบิดาของเขาก็ชื่นชอบเรื่องวิทยาศาสตร์เช่นกัน โรเบิร์ต บอยล์ได้รับการศึกษาขั้นต้นที่วิทยาลัยอีตัน (Eton College) ซึ่งเป็นโรงเรียนประจำที่มีชื่อเสียงที่สุดในประเทศอังกฤษ ที่โรงเรียนนี้เขาได้ศึกษาภาษาอังกฤษ ละติน และฝรั่งเศส นอกจากนี้เขาได้เรียนภาษากรีก และฮิบรูด้วย เมื่อโรเบิร์ต บอยล์อายุได้ 14 ปี บิดาของเขาได้ส่งเขาไปเรียนภาษาอิตาลี ที่ประเทศอิตาลี ระหว่างที่โรเบิร์ต บอยล์ได้เรียนที่ประเทศอิตาลี เขามีโอกาสได้อ่านหนังสือวิทยาศาสตร์เล่มหนึ่งชื่อว่า เรื่องประหลาดของนักดาราศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ ที่เขียนโดยกาลิเลโอ กาลิเลอี (Galileo Galilei) นักดาราศาสตร์ชาวอิตาลี ทำให้เขามีความสนใจในเรื่องวิทยาศาสตร์ และตั้งใจว่าจะต้องเรียนต่อในวิชาวิทยาศาสตร์ต่อไป โรเบิร์ต บอยล์เดินทางกลับประเทศไอร์แลนด์ในปี ค.ศ. 1644 ปรากฏว่าบิดาของเขาเสียชีวิตพร้อมกับทิ้งมรดกเป็นที่ดิน และปราสาทในสตอลบริดจ์เซทไซร์ (Stallbridge Doe Setshire) ไว้ให้เขา โรเบิร์ต บอยล์ได้เดินทางกลับไปที่ประเทศอังกฤษอีกครั้งหนึ่ง เพื่อศึกษาต่อในวิชาวิทยาศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยอ็อกซฟอร์ด (Oxfoerd University)
หลังจากจบการศึกษา โรเบิร์ต บอยล์ได้กลับบ้านและทำการทดลองค้นคว้าอย่างจริงจัง งานชิ้นแรดที่โรเบิร์ต บอยล์ให้ความสนใจคือ ผลึกเพราะโรเบิร์ต บอยล์ต้องการหาส่วนประกอบของธาตุต่าง ๆ จากการศึกษาโรเบิร์ต บอยล์พบว่า ผลึกบางชนิดเกิดจากส่วนผสมและสารประกอบทางเคมีบางชนิด ต่อมาเขาเริ่มศึกษาเกี่ยวกับเครื่องวัดความกดอากาศ จากผลงานของนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงหลายท่าน โดยเริ่มต้นจากเทอร์มอมิเตอร์ของกาลิเลโอ แต่เทอร์มอมิเตอร์ชนิดนี้ใช้น้ำในการวัดซึ่งยังวัดอุณหภูมิได้ไม่ถูกต้องแม่นยำนัก โรเบิร์ต บอยล์ได้นำเทอร์มอมิเตอร์ของกาลิเลโอมาปรับปรุงให้มีประสิทะภาพมากขึ้นโดยใช้ปรอทแทนน้ำ
ต่อมาโรเบิร์ต บอยล์ได้ทำการค้นคว้าเกี่ยวกับความกดอากาศ ซึ่งเป็นเรื่องที่กำลังถกเถียงกันอยู่ในเวลานั้นว่า อากาศมีน้ำหนักหรือไม่และสภาพไร้อากาศหรือสุญญากาศเป็นไปได้หรือไม่ ในปี ค.ศ. 1657 โรเบิร์ต บอยล์ได้อ่านหนังสือของนักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมันท่านหนึ่งชื่อว่าออตโต ฟอน เกริเก (Otto von Guericke) เกี่ยวกับเครื่องสูบอากาศที่เขาประดิษฐ์ขึ้น โรเบิร์ต บอยล์ได้นำเครื่องสูบอากาศของเกริเกมาใช้ในการทดลองเกี่ยวกับความดันอากาศ โดยร่วมมือกับโรเบิร์ต ฮุค (Robert Hooke) และในปี ค.ศ. 1659 เขาก็สามารถปรับปรุงเครื่องสูบอากาศของเกริเกให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และได้นำเครื่องสูบอากาศนี้มาใช้ในการทดลองเกี่ยวกับความสัมพันธ์ ระหว่างก๊าซกับความดัน นอกจากนี้เขาได้สร้างห้องทดลองสุญญากาศขึ้นด้วย


เกจวัดความดันบมานอมิเตอร์ ตัวอย่างการประยุกต์พื้นฐานกฎของบอยล์
ในการทดลองครั้งแรกโรเบิร์ต บอยล์ได้นำบารอมิเตอร์ใส่ลงไปในห้องทดลองสุญญากาศ จากนั้นเขาจึงใช้เครื่องสูบอากาศสูบอากาศในห้องทดลองออกทีละน้อย ๆ ปรากฏว่าปรอทในบารอมิเตอร์สูงขึ้นเรื่อย ๆ ยิ่งสูบอากาศออกไปมากเท่าไรปรอทก็ยิ่งสูงขึ้นนอกจากนี้โรเบิร์ต บอยล์ยังได้แขวนนาฬิกาไว้ในห้องนั้น เมื่อนาฬิกามีเสียงดังขึ้นเพียงครั้งเดียวก็หายไป แสดงให้เห็นว่าเมื่อไม่มีอากาศเสียงก็ไม่สามารถดังได้ จากการทดลองครั้งนี้โรเบิร์ต บอยล์สรุปว่าอากาศมีแรงดัน และเสียงไม่สามารถเดินทางได้ในที่ที่ไม่มีอากาศ ผลจากการทดลองครั้งนี้โรเบิร์ต บอยล์ได้นำมาตั้งเป็นกฎชื่อว่า กฎของบอยล์ (Boyle’s Law) (Boyle's Law) กฎนี้กล่าวว่า ถ้าปริมาตรของก๊าซคงที่ อุณหภูมิของก๊าซจะเปลี่ยนแปลงไปเป็นปฏิภาคกลับกันกับความดัน หรือถ้าปริมาตรของก๊าซคงที่ ความดันคงที่ อุณหภูมิก็จะคงที่ สามารถสรุปกฎข้อนี้ได้ว่าปริมาตรของก๊าซจะเพิ่ม - ลด ในอัตราส่วนที่เท่ากันเสมอ เช่น ถ้าเพิ่มความกดดันขึ้นเป็น 1 เท่า ปริมาตรของอากาศจะลดลง 1 เท่า แต่ถ้าเพิ่มความกดดันเป็น 2 เท่า ปริมาตรของอากาศจะลดลงเป็น 2 เท่า ซึ่งกฎของโรเบิร์ต บอยล์เป็นกฎที่ได้รับการยกย่องกันมากในวงการฟิสิกส์ โรเบิร์ต บอยล์ได้ตีพิมพ์ผลงานชิ้นนี้ในปี ค.ศ. 1660 โดยใช้ชื่อหนังสือว่า New Experiment
Physic Mechanical, Touching the spring of the Air, and its Effects เมื่อหนังสือเผยแพร่ออกไปกลับได้การ ตอบรับที่ไม่ดีนัก คนส่วนใหญ่มักเห็นว่ากฎของโรเบิร์ต บอยล์เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
ดังนั้นเขาจึงทำแสดงการทดลองครั้งใหญ่เพื่อแสดงให้คนได้เห็นความจริงข้อนี้ โดยการสร้างหลอดแก้วรูปตัวเจที่มีขนาดความสูงถึง 12 ฟุต ส่วนปลายที่งอขึ้นมีความสูง 5 ฟุต ปิดทางส่วนปลายไว้ แล้วนำไปติดตั้งไว้บริเวณบันไดบ้านของเขา จากนั้นจึงเริ่มทำการทดลองโดยการเทปรอทใส่ลงในหลอดแก้ว ในขั้นต้นปริมาณปรอทอยู่ในระดับที่เท่ากันทั้ง 2 ข้าง จากนั้นจึงเทปรอทเข้าไปในส่วนบนแล้วรีบผิดฝา และทำซ้ำเหมือนเช่นนั้นอีกหลายครั้งจนเห็นได้ชัดเจนว่าปรอทในข้างที่งอขึ้นมีระดับของปรอท สูงกว่าอีกด้านหนึ่ง ผลการทดลองครั้งนี้ทำให้ผู้ที่มาเฝ้าดูการทดลองครั้งนี้เห็นและเข้าใจในกฎของโรเบิร์ต บอยล์
ในปี ค.ศ. 1661 โรเบิร์ต บอยล์ได้เขียนหนังสือขึ้นเล่มหนึ่งชื่อว่า The Sceptical Chemist ซึ่งมีเนื้อหาต่อต้านทฤษฎีของอาริสโตเติลในเรื่องของส่วนประกอบของธาตุต่าง ๆ อาริสโตเติลกล่าวว่าธาตุทั้งหลายในโลกประกอบไปด้วย ดิน น้ำ ลม และไฟ รวมถึงทฤษฎีของพาราเซลลัสที่ว่าธาตุประกอบไปด้วย ปรอท กำมะถัน และเกลือ โรเบิร์ต บอยล์มีความเชื่อว่าธาตุทั้งหลายในโลก ประกอบไปด้วยสารประกอบที่แตกต่างกัน ซึ่งต้องได้รับการทดสอบเสียก่อนจึงจะรู้ได้ว่าธาตุชนิดนั้นประกอบไปด้วยสารชนิดใดบ้าง ไม่ใช่ตามทฤษฎีของอาริสโตเติลและพาราเซลลัส หนังสือของโรเบิร์ต บอยล์เล่มนี้ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก เนื่องจากผู้คนที่เคยมี ความเชื่อถือในทฤษฎีเก่าของอาริสโตเติล เมื่อได้อ่านหนังสือของโรเบิร์ต บอยล์แล้วก็มีความคิดที่เปลีรี่ยนไป ต่อมานักวิทยาศาสตร์รุ่นหลังได ้นำวิธีการของโรเบิร์ต บอยล์ไปทดลอง ก็สามารถค้นพบธาตุใหม่ ๆ อีกจำนวนกว่า 100 ชนิด
โรเบิร์ต บอยล์ไม่ได้หยุดยั้งการค้นคว้าของเขาเพียงเท่านี้ เขายังทำการทดลองวิทยาศาสตร์ในแขนงอื่น ๆ อีกหลายสาขา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับไฟฟ้าสถิตและเสียง ในเรื่องของความเร็วของเสียงตั้งแต่ต้นกำเนิดจนถึงปลายทาง และโครงสร้างของผลึกต่าง ๆ ส่วนวิชาเคมีโรเบิร์ต บอยล์ก็ยังให้ความสนใจและทำการทดลองค้นคว้าอยู่เสมอ ซึ่งการทดลองครั้งหนึ่งของโรเบิร์ต โรเบิร์ต บอยล์ เกือบทำให้เขาค้นพบก๊าซออกซิเจน แต่เขาก็พบว่าสัตว์รวมถึงมนุษย์ด้วยไม่สามารถขาดอากาศได้ เพราะเมื่อใดที่ขาดอากาศก็จะต้องเสียชีวิต และกำมะถัน ก็ไม่สามารถลุกไหม้ในสภาพสุญญากาศได้
ในปี .ศ. 1666 โรเบิร์ต บอยล์ได้ตีพิมพ์หนังสือออกมาเล่มหนึ่งชื่อว่า Hydrostatics Paradoxes ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับความถ่วง จำเพาะของวัตถุ โรเบิร์ต บอยล์ได้ศึกษาเกี่ยวกับอะตอมของสาร เขาได้สรุปสมบัติอะตอมของสารไว้ว่า อะตอมของสารต่างชนิดกันจะมีการเคลื่อนที่แตกต่างกัน และได้ตีพิมพ์ผลงานออกมาอีกเล่มหนึ่งชื่อว่า Original of Forms Qualities According to the Corpuscular Philosophy
โรเบิร์ต บอยล์เป็นนักวิทยาศาสตร์ที่มีความสามารถในหลายสาขา ไม่ว่าจะเป็นเคมี เขาก็ได้รับการยกย่องให้เป็นบิดาแห่งวิชาเคมี ด้านฟิสิกส์ก็ได้รับการยกย่องมากจากการค้นพบกฎของบอยล์ (Boyle’s Law) และการประดิษฐ์เครื่องมือวิทยาศาสตร์อย่างเทอร์มอมิเตอร์ และบารอมิเตอร์ โรเบิร์ต บอยล์ใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับการค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์ จนกระทั่งเขาเสียชีวิตในวันที่ 30 ธันวาคม ค.ศ. 1691 ที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ

นานา กล่าวว่า...

นางสาวอารีย์ เจียมรัมย์
รหัสนิสิต 48010520516
สาขาการศึกษาปฐมวัยชั้นปีที่ 4 (ระบบพิเศษ)
กลุ่ม 4
1.ชื่ออาชีพ : จิตรกร, ศิลปินภาพวาด
2.ลักษณะของอาชีพ
เมื่อลูกค้ามีความต้องการให้ผู้ประกอบอาชีพนี้วาดภาพตามประเภทของงานที่ศิลปินมีความถนัดและเชี่ยวชาญ โดยผู้ประกอบอาชีพนี้ จะปฏิบัติดังนี้
- รับฟังความต้องการของลูกค้า ว่าต้องการภาพประเภทใด ชื่อภาพอะไร และจะประดับภาพไว้ที่ไหน จากนั้นจึงให้คำปรึกษาแนะนำแก่ลูกค้า
-ศึกษาข้อมูล รายละเอียดของงาน ถ้าเป็นงานชิ้นใหญ่ อาจต้องร่างภาพตัวอย่างให้ดูเพื่อรับฟังความคิดเห็น
- ศึกษาสถานที่ที่ลูกค้าต้องการติดตั้งภาพ เพื่อกำหนดขนาดของภาพและจำนวนภาพ
- สรรหาวัตถุดิบ หรือแสวงหาแหล่งวัสดุต่างๆ มาใช้ในการประกอบการทำงาน
- เสนอประมาณราคา ค่าวัสดุ ค่าจ้างวาดภาพพร้อมกับกำหนดเวลาการทำงาน
- ลงมือวาดภาพ ถ้าภาพใหญ่มากลูกค้าอาจขอชมผลงานเป็นระยะ
- ช่วยให้คำแนะนำลูกค้าในเรื่องของกรอบรูปภาพ และประเภทของวัสดุที่เหมาะสมสอดคล้องกับอาคาร
สถานที่ติดตั้ง และรสนิยมของลูกค้า
- ให้คำแนะนำเรื่องการติดตั้งภาพให้เหมาะสม เพื่อทำให้อาคารหรือสถานที่ติดตั้งมีบรรยากาศตรงตามที่ลูกค้าต้องการ และเป็นที่พึงพอใจของผู้พบเห็น
3.ลักษณะของบุคคลที่เหมาะกับอาชีพ
- มีความคิดสร้างสรรค์
- มีความตั้งใจอดทน มีความรับผิดชอบสูง ประมาณ 2 – 6 เดือน หรืองานบางประเภทอาจใช้เวลาเป็นปีๆ จึงจะแล้วเสร็จ
- มีมนุษยสัมพันธ์ดี
- ขยันค้นคว้า ศึกษาหาข้อมูลทั้งในด้านวิชาชีพ และด้านการตลาด
- มีความรู้จริงในวิชาชีพ สรรค์สร้างผลงานให้มาตรฐาน
- มีใจเปิดกว้าง ยืดหยุ่น
- มีความเป็นนักประชาสัมพันธ์

4.ระดับรายได้และความก้าวหน้า
จิตรกรที่เพิ่งเริ่มงาน อาจได้รับอัตราค่าจ้างวาดรูปขนาดเล็กตั้งแต่ราคาประมาณรูปละ 1,500 – 3,000 บาท สำหรับศิลปินที่ได้รับรางวัลจากงานประกวดบ้างแล้วอาจขายภาพได้ตั้งแต่ราคาประมาณ 5,000 บาทขึ้นไป ศิลปินที่มีชื่อเสียงอาจตั้งราคาภาพไว้ที่ 10,000 บาทขึ้นไป ส่วนภาพขนาดใหญ่อาจมีราคาประมาณ 100,000 บาทขึ้นไป ตามขนาดของภาพ เนื้อเรื่อง รายละเอียดในการวาดภาพ สถานที่ติดตั้งภาพ ชื่อเสียงและฝีมือของจิตรกร
แกลลอรี่ เป็นสถานที่หนึ่งที่รับภาพต่างๆ ไปจำหน่ายให้กับนักท่องเที่ยวหรือผู้ชอบภาพเขียนทั่วไป ภาพเขียนที่ได้รับความนิยมจะขึ้นอยู่กับกระแสสถานการณ์ และความชื่นชอบของลูกค้า ปัจจุบันคนไทยมีความสนใจจัดหาภาพไปประดับในบ้านเรือน อาคาร สำนักงานมากขึ้น ภาพเขียนจะมีผู้สนใจซื้อ ต่อเมื่อฐานะของผู้ซื้อมีความพร้อม และเมื่อภาวะเศรษฐกิจของประเทศดีขึ้น ผู้ที่เพิ่งประกอบอาชีพนี้ และมีฝีมือในการวาดภาพอาจได้รับเงินเดือนประจำจากแกลลอรี่โดยอาจมีข้อตกลง เช่น ผลิตงานให้แกลลอรี่แห่งนั้นแห่งเดียว
ตัวแทนจำหน่าย เป็นอีกอาชีพหนึ่งที่เข้ามาช่วยให้จิตรกรมีโอกาสขายภาพได้มากขึ้น โดยนำผลงานของจิตรกรประเภทต่างๆ ไปเสนอให้ลูกค้าเลือกชม ถ้าลูกค้าพอใจผลงานของจิตรกรก็จะมีการจ้างให้วาดภาพหรือซื้อขายเกิดขึ้น โดยดีลเลอร์จะได้รับผลตอบแทนประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์ หรือตามข้อตกลง
จิตรกรอาจได้รับการว่าจ้างจากลูกค้าให้ออกแบบภาพ เพื่อไปเป็นส่วนประกอบการผลิตสินค้าที่ทำให้สินค้านั้นมีมูลค่าเพิ่ม ดังนั้นราคาในการออกแบบต้นฉบับ จึงขึ้นอยู่กับเงื่อนไขการตกลงซึ่งอาจต้องใช้ข้อกฎหมายมาประกอบในการทำสัญญาว่าจ้างให้ชัดเจน
ถ้าผู้ประกอบอาชีพนี้ ถ้าประกอบอาชีพอิสระ จะไม่มีสวัสดิการค่ารักษาพยาบาลใดๆ ดังนั้น จึงควรระมัดระวังในขณะปฏิบัติงาน เช่น การขึ้นไปวาดภาพในที่สูงๆ และควรบริหารจัดการการเงินที่ได้รับมาอย่างเหมาะสมเพื่อใช้ผลิตงานสำหรับการแสดงผลงานของตนเองอย่างต่อเนื่องต่อไป
5.วิธีการเข้าสู่อาชีพ
ผู้ที่จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนต้น หรือเทียบเท่า อาจเข้าศึกษาต่อในสายประโยควิชาชีพ ในโรงเรียนหรือวิทยาลัยของรัฐและเอกชนทั่วประเทศ ที่มีการเรียนการสอนวิชาสถาปัตยกรรม ช่างศิลป์ วิจิตรศิลป์ และสามารถศึกษาต่อจนถึงระดับประโยควิชาชีพชั้นสูง
สำหรับผู้จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ควรเข้าเรียนต่อในระดับอุดมศึกษาโดยสามารถเลือกคณะจิตรกรรม ศิลปกรรม สถาปัตยกรรม อุตสาหกรรมศิลป์ ของสถาบันการศึกษาและมหาวิทยาลัยทั่วภูมิภาคที่มีการเปิดสอน เป็นต้น
ประชาชนทั่วไปที่สนใจประกอบอาชีพนี้อาจเข้ารับการอบรมหลักสูตรการวาดภาพจาก วิทยาลัยช่างศิลป์ หรือมหาวิทยาลัยต่างๆ หรือองค์กรวัฒนธรรมระหว่างประเทศต่างๆ ทั้งในกรุงเทพและต่างจังหวัดที่เปิดอบรมทุกภาคฤดูร้อน หรือในช่วงเวลาพิเศษ จากนั้นอาจติดต่อขอให้อาจารย์หรือศิลปินผู้หนึ่งผู้ใดเป็นครูผู้สอนแนะนำเป็นส่วนตัว เพื่อขอคำแนะนำติชมในการพัฒนาทักษะ ฝีมือ และแหล่งในการศึกษาหาความรู้อย่างถูกวิธีต่อไป
โอกาสในการมีงานทำ
สภาวะเศรษฐกิจของไทยในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา องค์กรภาครัฐได้มีการสนับสนุนส่งเสริมศิลปินโดยการจัดการประกวดแข่งขันตราสัญลักษณ์และจิตรกรรมสาขาต่างๆ มากขึ้น อีกทั้งยังมีการทำประชาสัมพันธ์งานเหล่านี้อย่างทั่วถึง ดังนั้นจึงมีลูกค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศจากองค์กรขนาดใหญ่ ภาครัฐและเอกชนให้ความสนใจว่าจ้างและหาซื้อภาพจากศิลปินไทยไปประดับเพื่อส่งเสริมความสวยงาม ความเป็นเอกลักษณ์ ของสถานที่ทำงานซึ่งสามารถบ่งบอกฐานะ รสนิยมและความสนใจทางวัฒนธรรมของผู้บริหารองค์กร หรืออาจได้รับการว่าจ้างให้ออกแบบตราสัญลักษณ์ต่างๆ ขององค์กรมากขึ้น ปัจจุบันได้มีการรวบรวมประวัติและผลงานของผู้ประกอบอาชีพนี้ที่มีชื่อเสียงไว้ค่อนข้างสมบูรณ์ซึ่งสะดวกต่อการค้นหาของลูกค้า ดังนั้นผู้สนใจประกอบอาชีพนี้อาจหาช่องทางแนะนำผลงานภาพวาดหรืองานศิลปกรรมต่างๆ ของตน ด้วยการประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อพาณิชยกรรมอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อให้ผู้สนใจหาซื้อผลงานด้วยการสั่งซื้อทางเว็บไซต์

6.มหาวิทยาลัยหรือสถานศึกษาที่เปิดสอน
มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
มหาวิทยาลัยกรุงเทพ
มหาวิทยาลัยเกริก
มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต
มหาวิทยาลัยขอนแก่น
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
มหาวิทยาลัยชินวัตร
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
มหาวิทยาลัยเซนต์จอห์น
มหาวิทยาลัยทักษิณ
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานคร
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
มหาวิทยาลัยนเรศวร
มหาวิทยาลัยบูรพา
มหาวิทยาลัยพายัพ
มหาวิทยาลัยมหิดล
มหาวิทยาลัยแม่โจ้
มหาวิทยาลัยรังสิต
มหาวิทยาลัยรัชต์ภาคย์
มหาวิทยาลัยรามคำแหง
มหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งเอเซีย
มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์
มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
มหาวิทยาลัยศรีปทุม
มหาวิทยาลัยศิลปากร
มหาวิทยาลัยสงขลานคริทร์
มหาวิทยาลัยสยาม
มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย
มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ
มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ
มหาวิทยาลัยอิสเทิร์นเอเซีย
มหาวิทยาลัยเอเซียอาคเนย์
มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี


7.ความต้องการของตลาดแรงงาน
สำหรับผู้เริ่มประกอบอาชีพนี้ การประชาสัมพันธ์ผลงานของตนเองเป็นสิ่งจำเป็น ดังนั้นจึงควรบริหารการจัดเก็บข้อมูลแฟ้มภาพของตนเองให้ทันสมัยอยู่เสมอ โดยอาจใช้ระบบคอมพิวเตอร์เข้าช่วยจัดเก็บรวบรวมผลงานที่สามารถนำเสนอประชาสัมพันธ์ต่อลูกค้า ผู้สนใจทั่วไป หรือสื่อมวลชน หรืออาจติดต่อเว็บไซต์ที่จัดขายสินค้าในหมวดศิลปะภาพวาด
การเข้าร่วมแสดงผลงานกับจิตรกรที่ประสบความสำเร็จ หรือจัดงานแสดงภาพวาดของตนเองโดยอาจขอความสนับสนุนจากองค์กรของรัฐ เอกชน หรือสื่อมวลชนที่ให้ความสนใจอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยเพิ่มโอกาสการขายงานหรือภาพวาดได้มากขึ้น
ผู้ประกอบอาชีพนี้ในสถาบันการศึกษา หรือรับราชการเป็นอาจารย์สอนในภาควิชาสาขาต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เมื่อทำงานได้ระยะหนึ่ง สามารถลาศึกษาต่อในระดับปริญญาโท หรือปริญญาเอก เพื่อก้าวขึ้นไปสู่สายงานบริหาร เช่น เป็นหัวหน้าหน่วยงาน ผู้อำนวยการ ถ้าเป็นอาจารย์อาจได้รับเลื่อนตำแหน่งเป็นหัวหน้าภาควิชา จนถึงคณบดี
8.ตัวอย่างบุคคลในอาชีพ
อ.เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์
อ.เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์เกิดที่หมู่บ้านเล็กๆ ยากจน ไม่มีไฟฟ้า ชื่อบ้านร่องขุ่น จังหวัดเชียงราย พ่อชื่อ ฮั่วชิว แซ่โค้ว (เปลี่ยนเป็นนายไพศาล) แม่เป็นคนอำเภอพะเยา (อดีตเป็นอำเภอหนึ่งของจังหวัดเชียงราย) ชื่อ พรศรี อยู่สุข แม่ไม่ยอมเปลี่ยนนามสกุลจนบัดนี้
หมอตำแยในหมู่บ้านดึงออกมาจากแม่เมื่อวันอังคารที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๔๗๘ แม่บอกว่าเวลาประมาณ ๒ ทุ่ม หรือเช้าๆ ไม่แน่ใจเพราะกูจำไม่ได้มันหมายคน คน อ.เป็นคนที่ ๓
อ.ตอนเป็นเด็กค่อนข้างเกเร และดื้อ เคยถูกแม่ตบเลือดอาบคาโอ่งน้ำ เพราะเอามีดไล่แทงพี่ชาย แต่ชอบวาดรูปมากตั้งแต่จำความได้ ไม่สนใจเรื่องอื่นใดนอกจากเล่นสนุกเอามันส์ไว้ก่อน กับเขียนรูป เรียนหนังสือห่วยแตก ตก ป.๓ พอโตหน่อย ตกป.๖ เพราะไม่ชอบเรียนวิชาอื่น สมุดเรียนมีแต่รูปวาดทั้งเล่ม อายุ ๘ ขวบพ่อแม่ผมย้ายไปอยู่ในตัวเมืองเชียงราย อ.เข้าเรียนโรงเรียนดรุณศึกษา ท่านดีใจมาก เพราะจะได้ไปดูเขาเขียนรูปที่โรงหนัง ท่านจะไปทุกวันหลังเลิกเรียน ช่วยล้างพู่กัน ซื้อโอเลี้ยง จนได้วาดรูปตัวประกอบ สุดท้ายพระเอก นางเอก
ปี ๒๕๒๔ – ๒๕๒๖ อ.ได้มีโอกาสเดินทางไปต่างประเทศโดยทุนของสถาบันและองค์กรต่างๆ หลายครั้ง เมื่อครั้งที่ท่านไปประเทศอังกฤษ ได้มีโอกาสไปเห็นโบสถ์ไทยๆ ซึ่งสร้างโดยรัฐบาลนายกฯเกียงศักดิ์ ท่านจึงเสนอตัวเพื่อขอเขียนรูปถวายเป็นพุทธบูชาโดยไม่คิดค่าจ้างร่วมกับเพื่อนรุ่นน้องชื่อปัญญา วิจินธนสาร ผมอุทิศตนอยู่ ๔ ปี ด้วยความยากลำบาก
ผลงานที่เห็นได้ชัดในทุกวันนี้และเป็นที่ประทับใจของผู้พบเห็น คือ วัดร่องขุ่น
วัดร่องขุ่น ตำบลป่าอ้อดอนชัย อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย

THE END

อุษาวรรณ กล่าวว่า...

นางสาวอุษาวรรณ อุบลขาว รหัสนิสิต 48010511899 สาขาการศึกษาพิเศษ ชั้นปีที่ 4
คณะศึกษาศาสตร์

1. อาชีพ แพทย์ศาสตร์เวชศาสตร์ฟื้นฟู
ความหมายของ "เวชกรรมฟื้นฟู" (Definition)
เวชกรรมฟื้นฟู คือ การบริการทางการแพทย์ในการส่งเสริมป้องกัน รักษา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการฟื้นฟูสมรรถภาพให้กับผู้ป่วย ผู้พิการผู้ที่มีความบกพร่องทางร่างกาย สติปัญญาการเรียนรู้ การสื่อความหมายและจิตใจโดยใช้บุคลากรผู้เชี่ยวชาญหลายสาขาด้านเวชกรรมฟื้นฟูในการร่วมกันให้การบำบัดรักษาโดยมีเป้าหมายสำคัญเพื่อปรับสภาพให้บุคคลนั้นสามารถนำศักยภาพที่เหลืออยู่มาดำรงชีวิตในครอบครัว สังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างเหมาะสม โดยเป็นภาระต่อสังคมน้อยที่สุดและมีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศอย่างเต็มภาคภูมิ
2. ลักษณะของอาชีพ

กิจกรรมการให้บริการของแพทย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู
1. ตรวจวินิจฉัยรักษาและวางแผนฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ป่วยแบบผู้ป่วยนอก
2. ตรวจวินิจฉัยรักษาและวางแผนฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ป่วยแบบผู้ป่วยใน
3. ตรวจวินิจฉัยรักษาฟื้นฟูสมรรถภาพผู้พิการโดยเฉพาะผู้พิการทางกายและการเคลื่อนไหว
4. การฉีดยาเฉพาะที่เพื่อรักษาอาการปวดและการอักเสบ
5. การฉีดยาเฉพาะที่เพื่อลดอาการเกร็งของกล้ามเนื้อ
6. การตรวจวินิจฉัยกล้ามเนื้อและระบบประสาทด้วยเครื่อง EMG
7. การตรวจประเมินการทำงานของระบบปัสสาวะด้วยวิธี Cystometry
8. ฝึกการควบคุมการขับถ่ายปัสสาวะที่มีสาเหตุจากความผิดปกติของระบบประสาท
9. ฝึกการควบคุมการขับถ่ายอุจจาระที่มีสาเหตุมาจากความผิดปกติของระบบประสาท
10. การออกเอกสารรับรองความพิการ
11. คลินิกพิเศษทางเวชกรรมฟื้นฟู
11.1 คลินิกกลุ่มอาการปวด (Pain Clinic)
11.2 คลินิกฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ป่วยแขน - ขาขาด (Amputee clinic)
11.3 คลินิกกระตุ้นพัฒนาการเด็ก (Early Intervention and developmental training)
11.4 คลินิกฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ป่วยโรคหัวใจ (Cardiac Rehabilitation)
11.5 คลินิกฟื้นฟูสมรรถภาพผู้สูงอายุ (Geriatric Rehabilitation)
11.6 คลินิกฝังเข็ม (Acupuncture)
11.7 คลินิกฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ป่วยบาดเจ็บจากการกีฬา (Rehabilitation in Sport Injury)
11.8 คลินิกฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ป่วยอัมพาต (Rehabilitation in Neuromuscular
3. ลักษณะของบุคคลที่เหมาะสมกับอาชีพ
สำเร็จการศึกษาทางสาขาวิชาแพทย์ศาสตร์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางที่ได้รับการศึกษาฝึกอบรมในสาขาเวชศาสตร์ฟื้นฟู และมีความรู้ความสามารถพิเศษในด้านต่อไปนี้
1) ความรู้ความสามารถในการวินิจฉัยโรค วินิจฉัยความพิการและความทุพพลภาพ (Diagnosis of Disease, Impairment) ที่ต้องการรักษาทางเวชศาสตร์ฟื้นฟู โดย
1.1 การซักประวัติและการตรวจร่างกายอย่างละเอียดสมบูรณ์
1.2 การประเมินระดับความสามารถของผู้ป่วย
1.3 การส่งตรวจชันสูตร (Investigation)
1.4 การแปลผลการตรวจชันสูตรพื้นฐานทางเคมีและทางรังสีวิทยา
1.5 พิจารณาการตรวจพิเศษที่เหมาะสม
1.6 การแปลผลการตรวจพิเศษ เช่น Electromyography, Nerve conduction study, Psychology, Cardiopulmonary system, Speech and Language pathology, Audiology และ prevocational assessment ได้
2) สามารถให้การตรวจวินิจฉัยโดยวิธี Electrodiagnosis Study
3) สามารถให้การรักษา ป้องกันความพิการและฟื้นฟูสมรรถภาพให้แก่ผู้ป่วยได้
3.1 ตั้งเป้าหมายการรักษาเฉพาะรายบุคคลทั้งในระยะสั้นและระยะยาวรวมถึง การฝึกอาชีพที่เหมาะสมกับความพิการ
3.2 วางแผนดำเนินการรักษาและฟื้นฟูสมรรถภาพได้อย่างถูกต้อง
3.3 ป้องกันเหตุที่จะทำให้เกิดการเสียหน้าที่และอาการแทรกซ้อน
3.4 สามารถปฏิบัติงานโดยใช้เครื่องมือทางเวชศาสตร์ฟื้นฟู
3.4.1 Physical Modalities
3.4.2 Occupational modalities
3.4.3 Therapeutic Exercise, Manipulationa and Massage
3.5 สามารถพิจารณาสั่งใช้ (prescription) ตรวจสอบ (Check up) และฝึกการใช้ (Training) กายอุปกรณ์เสริมและกายอุปกรณ์เทียม
3.6 สามารถเลือกใช้เครื่องช่วยการเคลื่อนไหว (Mobility Aid) ที่เหมาะสมกับความสามารถของผู้ป่วยและผู้พิการได้
3.7 พิจารณาความจำเป็นและเหมาะสมในการใช้อุปกรณ์เครื่องช่วยอื่น ๆ สำหรับคนพิการด้านการเคลื่อนไหว

4.ระดับรายได้ สภาพการจ้างงาน และการทำงาน
ประสบการณ์ในการทำงานมีอัตราเงินเดือน ดังนี้



วุฒิการศึกษา ปริญญาตรี ปริญญาโท ปริญญาเอก
ราชการ 8,190 9,500-10,500 15,000-16,000
รัฐวิสาหกิจ 9,040 10,500-12,000 23,000-24,500
เอกชน 10,600 21,000-22,000 28,000-30,000
โดยทำงานสัปดาห์ละ 40 ชั่วโมง อาจต้องมาทำงานวันเสาร์ วันอาทิตย์ และวันหยุด จะต้องมีการจัดเวรอยู่ประจำโรงพยาบาล นอกจากผลตอบแทนในรูปเงินเดือนแล้วในภาครัฐวิสาหกิจและเอกชนอาจได้รับผลตอบแทนในรูปอื่น เช่น ค่ารักษาพยาบาล เงินสะสม เงินช่วยเหลือสวัสดิการในรูปต่างๆ เงินโบนัส เป็นต้น สำหรับผู้ที่สำเร็จการศึกษาวิชาแพทย์สามารถประกอบธุรกิจส่วนตัวโดยรายได้ที่ได้รับขึ้นอยู่กับความสามารถ และความอุตสาหะผู้ประกอบอาชีพแพทย์จะปฏิบัติงานในโรงพยาบาล หรือสถานพยาบาล โดยตรวจคนไข้ในที่อยู่ในความรับผิดชอบทุกวันและต้องตรวจคนไข้นอกที่เข้ามารับการรักษา อาจถูกเรียกตัวได้ทุกเวลาเพื่อทำการรักษาคนไข้ให้ทันท่วงที ต้องพร้อมเสมอที่จะสละเวลาเพื่อรักษาคนไข้ ในที่ทำงานก็จะพบเห็น คนเจ็บ คนป่วยและคนตาย แพทย์จึงต้องมีจิตใจที่เข้มแข็ง เพราะหากมีจิตใจที่อ่อนไหวต่อสิ่งที่ได้พบเห็นจะมีผลกระทบต่อการปฏิบัติงานได้

5.วิธีการเข้าสู่อาชีพ (การศึกษา, สาขาที่เกี่ยวข้อง, วิชา, วุฒิการศึกษา)
แนวทางในการศึกษา
ผู้ที่จะประกอบอาชีพนี้ ควรสำเร็จหลักสูตรมัธยมศึกษาตอนปลายหรือประกาศนียบัตรอื่นที่กระทรวงศึกษาธิการเทียบเท่าและสามารถสอบผ่านวิชาต่างๆ ในการคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษาในสถาบันอุดมศึกษาคือวิสามัญ 1 คณิตศาสตร์ กข. เคมี ฟิสิกส์ ชีววิทยา ภาษาอังกฤษ กข. และความถนัดทางการแพทย์ หรือเคยช่วยปฎิบัติงานในโรงพยาบาลของรัฐครบตามเกณฑ์ที่กำหนด คือ ประมาณ อย่างน้อย 10 วัน ตลอดจนการสอบสัมภาษณ์และการตรวจร่างกาย เมื่อผ่านการทดสอบจึงมีสิทธิเข้าศึกษาแพทย์โดยมีสถาบันที่เปิดสอนวิชาการแพทย์ระดับปริญญาหลายแห่งในสังกัดทบวงมหาวิทยาลัย เช่น มหาวิทยาลัยมหิดล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นต้น ผู้ที่จะเรียนแพทย์จะต้องมีฐานะทางการเงินพอสมควร เพราะค่าใช้จ่ายในการเรียนวิชาแพทย์ค่อนข้างสูงและใช้เวลานานกว่าการเรียนวิชาชีพอื่นๆ รวมทั้งต้องเสียค่าบำรุงการศึกษา ค่าตำราวิชาการแพทย์และ ค่าอุปกรณ์ต่างๆ (ไม่น้อยกว่า 1 ล้านบาทเศษต่อคน)
หลักสูตรวิชาการแพทย์ระดับปริญญาตรีตามปกติใช้เวลาเรียน 6 ปี ในสองปีหลักสูตร การเรียนจะเน้นหนักด้านวิทยาศาสตร์ทั่วไปที่เป็นพื้นฐานสำคัญ ต่อจากนั้นจึงเรียนต่อวิชาการแพทย์โดยเฉพาะอีก 4 ปี เมื่อสำเร็จได้รับใบอนุญาตประกอบเวชกรรมของแพทยสภา

6.มหาวิทยาลัยหรือสถานศึกษาที่เปิดสอน
สถาบันที่เปิดสอนวิชาการแพทย์
กลุ่มสถาบันแพทยศาสตร์แห่งประเทศไทย
1 - คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น วิทยาลัยแพทยศาสตร์กรุงเทพมหานครและวชิรพยา บาล
2 - วิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้า
3 - คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
4 - คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
5 - คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร
6 - คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
7- คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล
8 - คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
9 - คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
10 - คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
11 - คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต
12 - คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น

7.ความต้องการของตลาดแรงงาน
แนวโน้มความต้องการของตลาดแรงงานการป้องกันโรคภัยของมนุษย์วิชาชีพที่เกี่ยวกับ วิทยาศาสตร์สุขภาพจึงเป็นที่ต้องการมากเป็นอันดับหนึ่ง จนต้องจัดประเภทเป็นสาขาวิชาชีพที่ขาดแคลน ซึ่งจะได้รับเงิน เพิ่มพิเศษนอกเหนือจากเงินเดือน เช่น แพทย์ เทคนิคการแพทย์ รังสีวิทยา เป็นต้น เพราะกำลังการผลิตในแต่ละปีไม่เพียงพอแก่ความต้องการ เช่น แพทย์มีอัตราบรรจุ ปีละ 3,000 ตำแหน่ง ไม่รวมความต้องการของโรงพยาบาลเอกชน แต่สามารถ ผลิตได้เพียงปีละ 900 คน เท่านั้น

โอกาสในงานและความก้าวหน้าในอาชีพ
อาชีพแพทย์เป็นอาชีพที่มีเกียรติ และเป็นอาชีพที่มีการเสียสละสูง สามารถรับราชการโดยทำงานในโรงพยาบาล สถานพยาบาล สถานีอนามัยหรือหน่วยงานการแพทย์ของกระทรวง ทบวง กรมที่จัดขึ้นเพื่อบริการประชาชนและเจ้าหน้าที่ หรือทำงานในโรงพยาบาลเอกชน และยังสามารถทำรายได้พิเศษด้วยการเปิดคลินิกส่วนตัวเพื่อรับรักษาคนไข้นอกเวลาทำงานประจำได้ด้วย
แนวโน้มของตลาดแรงงานสำหรับอาชีพนี้ยังคงมีอยู่ สามารถหางานทำได้ง่าย เนื่องจากประเทศไทยยังขาดแคลนแพทย์อยู่เป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะในต่างจังหวัด และชนบทที่ห่างไกลจากความเจริญในตัวเมือง
ผู้ประกอบอาชีพแพทย์ ที่มีความชำนาญและประสบการณ์จะได้เลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่งจนถึงระดับผู้บริหาร สำหรับผู้ที่มีความชำนาญและมีทีมงานที่มีความสามารถ รวมทั้งมีเงินทุนจำนวนมากก็สามารถเปิดโรงพยาบาลได้ แพทย์ที่มีความชำนาญเฉพาะทางอาจได้รับการว่าจ้างให้ไปทำงานในโรงพยาบาล หรือสถานพยาบาลหลายแห่ง ทำให้ได้รับรายได้มากขึ้น
8 . บุคคลตัวอย่างที่อยู่ในอาชีพดังกล่าว
ชื่อ อ.นพ. ชนินทร์ ลีวานนท์
ภาควิชา เวชศาสตร์ฟืนฟู คณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล
อายุ 45 ปี ตอนนี้กำลัง ทำวิจัยเรื่อง แนะท่านอน "ตะแคงขวา" หลับสบายที่สุด ดีต่อสุขภาพ และประสบผลสำเร็จจนเป็นที่ยอมรับและรู้จัก ในข่าวและหนังสือ ต่างๆ
นพ.ชนินทร์ กล่าวว่า สำหรับท่านอนที่ดีที่สุด เมื่อเทียบกับท่านอนอื่น ๆ คือ ท่านอนตะแคงขวา เพราะจะช่วยให้หัวใจเต้นสะดวก และอาหารจากกระเพาะจะถูกบีบลงลำไส้เล็กได้ดี ทั้งยังช่วยบรรเทาอาการปวดหลังได้เป็นอย่างดีอีกด้วย ส่วนท่านอนตะแคงซ้ายซึ่งจะช่วยลดอาการปวดหลังได้ แต่ควรกอดหมอนข้าง และพาดขาไว้เพื่อป้องกันอาการชาที่ขาซ้ายจากการนอนทับเป็นเวลานาน อย่างไรก็ตาม ท่านอนตะแคงซ้ายอาจทำให้เกิดลมจุกเสียดบริเวณลิ้นปี่ เนื่องจากอาหารที่ยังย่อยไม่หมดในช่วงก่อนเข้านอนคั่งค้างในกระเพาะอาหาร ส่วนท่านอนคว่ำเป็นท่าที่ทำให้หายใจติดขัด ทั้งยังทำให้ปวดต้นคอ เพราะต้องเงยหน้ามาทางด้านหลังหรือบิดหมุนไปข้างใดข้างหนึ่งเป็นเวลานาน ดังนั้น ถ้าจำเป็นต้องนอนคว่ำจึงควรใช้หมอนรองใต้ทรวงอก เพื่อป้องกันอาการปวดเมื่อยต้นคอ.

วรรณภา กล่าวว่า...

นางสาว วรรณภา สุวรรณี รหัส 48010520527 สาขาการศึกษาปฐมวัย คณะศึกษาศาสตร์
ระบบพิเศษ (วุ้นเส้น)
บทความเรื่องอาชีพ
ชื่ออาชีพ : นักธรณีวิทยาทั่วไป
นิยามอาชีพ
ศึกษาและสำรวจทางธรณีวิทยาทั่วไปในด้านโครงสร้างและประวัติของเปลือกโลก ทำการวิจัย การก่อรูปร่าง และการผุพังทำลายของหินชนิดต่างๆ วิเคราะห์วิจัยซากสัตว์และพืชดึกดำบรรพ์ การเกิดของสินแร่ต่างๆ รวมถึงผลกระทบทางด้านธรณีวิทยาที่มีต่อสิ่งแวดล้อม สิ่งก่อสร้างต่างๆ และชุมชน ประยุกต์ใช้วิชาการธรณีวิทยาให้เกิดประโยชน์ถูกต้องตามหลักวิชาการ และเกิดผลดีแก่การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ จัดทำรายงาน แผนที่ และแผนผังของบริเวณที่ได้สำรวจแล้ว รวมทั้งปรับปรุงแก้ไขปัญหาทางวิชาการ หรือถ่ายทอดความรู้ทางวิชาการธรณีวิทยา

ลักษณะของงานที่ทำ
โดยเหตุที่ธรณีวิทยาเป็นเรื่องของโลก ที่เราทุกคนอาศัยอยู่ ดังนั้น วิชาธรณีวิทยาจึงเป็นพื้นฐานที่สามารถประยุกต์ใช้ในด ้านต่างๆ อย่างกว้างขวาง และมีความสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ อย่างมาก งานหลักๆ ของนักธรณีวิทยามีดังนี้
1. สำรวจ ศึกษา และวิจัย ซึ่งจะเน้นหนักไปทางใดก็จะขึ้นอยู่กับภารกิจขององค์ก รต้นสังกัด เช่น กรมทรัพยากรธรณี กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มีหน้าที่สำรวจหาข้อมูลทางธรณีวิทยา
พื้นฐาน ธรณีวิทยาแหล่งแร่ หรือข้อมูลในรูปแบบอื่น เพื่อใช้ประกอบการกำหนดนโยบาย และแนวทางในการบริหารจัดการทรัพยากรธรณี เช่น การประเมินความเหมาะสมในการสงวน อนุรักษ์ ฟื้นฟู และวางแผนการใช้ประโยชน์อย่างชาญฉลาด รวมถึงการสำรวจเพื่อประเมินความเสี่ยงจากแผ่นดินไหว โคลนถล่ม หรือหลุมยุบ เป็นต้น นักธรณีวิทยาของกรมชลประทาน ก็จะใช้ความรู้ทางธรณีวิทยาและวิศวกรรมธรณีในการสำรว จและประเมินความเหมาะสมในการสร้างเขื่อน ฝาย หรือระบบชลประทาน ส่วนนักธรณีวิทยาในกรมทรัพยากร น้ำบาดาล ก็จะเน้นการสำรวจค้นหาแหล่งน้ำบาดาลเพื่อการอุปโภค บริโภค การวางแผนการใช้ เพื่อมิให้เกิดผลกระทบ เช่น ปัญหาแผ่นดินทรุด ที่เกิดขึ้นในบริเวณกรุงเทพมหานคร และใกล้เคียง
2. เผยแพร่และประชาสัมพันธ์ ให้ความรู้แก่สาธารณชน ในรูปของการอธิบายปรากฏการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ เช่น ผลไม้หิน ทรายดำ หรือเพชรพญานาค หรือการให้ความรู้เกี่ยวกับแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชา ติ เช่น ออบหลวง หอนางอุสา ลานหินปุ่ม–ลานหินแตก แพะเมืองผี ว่าเกิดขึ้นจากกระบวนการทางธรรมชาติอย่างไร มีลักษณะต่างๆ ที่น่าสนใจอย่างไร เป็นต้น ซึ่งเมื่อได้รู้ถึงความละเอียดอ่อน หรือเปราะบางของธรรมชาติแล้ว ก็จะทำให้คนเราเกิดความหวงแหน มีแรงจูงใจที่จะทำนุบำรุงรักษาสิ่งต่างๆ เหล่านี้ไว้
3. บทบาทของนักธรณีวิทยาภาคเอกชนก็มีลักษณะเช่นเดียวกัน แต่มีทิศทางการทำงานตามเป้าหมายเชิงธุรกิจของบริษัทน ั้นๆ เช่น นักธรณีวิทยาในงานปิโตรเลียมจะทำหน้าที่สำรวจค้นหาแห ล่งก๊าซธรรมชาติ และน้ำมัน เพื่อนำมาใช้เป็นพลังงาน บางบริษัทจะประยุกต์ใช้ความรู้เพื่อการออกแบบฐานรากส ิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ ไม่ว่าจะเป็น สนามบิน อุโมงค์รถไฟฟ้า อาคารสูง หรือค้นหาแหล่งแร่เพื่อทำเหมืองแร่ ผลิตปูนซีเมนต์ เซรามิกและแก้ว หรือแหล่งแร่ที่จะนำมาปูพื้นบ่อฝังกลบขยะป้องกันการร ั่วซึม แร่ที่จะมาดูดซับของเสียต่างๆ
4. ประมวลข้อมูลจากวิชาชีพอื่นๆ หลายสาขาอาชีพ เช่น นักเศรษฐศาสตร์ วิศวกร นักวิทยาศาสตร์ในสาขาอื่น รวมทั้งข้อมูลที่เกี่ยวข้องจากหลายด้าน เช่น เมื่อสำรวจพบแหล่งแร่หรือแหล่งปิโตรเลียมในพื้นที่หน ึ่ง จะต้องพิจารณาว่ามีปริมาณมากพอจะนำมาใช้ประโยชน์ได้ห รือไม่ ความคุ้มทุนทางเศรษฐศาสตร์มีมากน้อยแค่ไหน ต้นทุนทางสังคม วัฒนธรรมชุมชนและสิ่งแวดล้อมมีมากน้อยเพียงใด ทั้งนี้ เพื่อประเมินความเหมาะสมในการใช้ประโยชน์พื้นที่อย่า งรอบด้าน และให้เกิดประโยชน์กับประเทศชาติสูงสุด หรือบางกรณีก็อาจพิจารณาว่า ไม่เหมาะสมที่จะนำมาใช้ ควรเก็บสำรองไว้สำหรับอนาคต
5. ออกปฏิบัติงานสำรวจ โดยศึกษาข้อมูลขั้นแรกจากภาพถ่ายดาวเทียมและภาพถ่ายท างอากาศ ก่อนเข้าปฏิบัติงานในพื้นที่ การวางแผนออกสำรวจและวิจัยแต่ละครั้งจึงมีความสำคัญย ิ่ง และต้องทำด้วยความรอบรู้และรอบคอบ สำหรับการสำรวจเพื่อค้นหาแหล่งแร่ น้ำบาดาล หรือน้ำมันโดยทั่วไปต้องปฏิบัติตามขั้นตอนดังนี้
5.1 สังเกต ศึกษา ตรวจวัด บันทึก ลักษณะภูมิประเทศ ชนิดหิน ลักษณะและความสัมพันธ์ของหินต่างๆ ที่พบในการปฏิบัติงาน
5.2 สำรวจธรณีเคมี หรือธรณีฟิสิกส์ หรืออาจมีการขุดหลุมทดลอง การเจาะสำรวจ การวิเคราะห์ตัวอย่าง ซึ่งอาจวิเคราะห์ด้วยตนเอง หรือส่งหน่วยงานวิเคราะห์เพื่อหาองค์ประกอบทางเคมี หรือคุณสมบัติทางกายภาพของแร่ หิน น้ำบาดาล หรือน้ำมัน
5.3 จัดทำแผนที่ธรณีวิทยาให้ถูกต้อง อธิบายให้ละเอียด และชัดเจนตามวัตถุประสงค์ของงาน
5.4 วิเคราะห์ข้อมูล แปลความหมายข้อมูล จัดทำแผนที่ธรณีวิทยา แผนภาพ รูปถ่าย
5.5 สรุปผล เสนอรายงานการสำรวจและข้อเสนอแนะ เพื่อการเผยแพร่ และการสื่อสารกับหน่วยงานอื่น หรือเพื่อเก็บรวบรวมไว้ให้ผู้สนใจค้นคว้าศึกษาต่อไปอ ย่างต่อเนื่อง เพราะหลายๆ กรณีงานชิ้นใดชิ้นหนึ่งไม่สามารถดำเนินการเสร็จสิ้นไ ด้ในครั้งเดียว เพราะอาจไม่ได้ข้อสรุปที่ชัดเจนในขั้นตอนนี้ เนื่องจากหลักฐานต่างๆ ยังไม่เพียงพอ หรือไม่ครบถ้วน และประเด็นสำคัญอยู่ที่การตั้งข้อสันนิษฐาน และแปลความหมายของข้อมูล ซึ่งจะเป็นการผสมผสานของศาสตร์และศิลป์ ทั้งนี้เพราะสิ่งต่างๆ ที่เราศึกษานั้น เกิดก่อนเราเกือบทั้งสิ้น คือไม่มีใครได้เห็
ปรากฏการณ์ขณะเกิด ดังนั้น ผู้ประกอบอาชีพนี้จึงต้องใช้จินตนาการบนพื้นฐานของข้ อมูลที่มีอยู่ โดยเปรียบเทียบกับสิ่งที่มองเห็น และเกิดขึ้นในปัจจุบัน หลายๆ กรณี ข้อมูลชุดเดียวกันแต่นักธรณีวิทยาแต่ละคนแปลความหมาย ไม่ตรงกัน ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับความรู้เฉพาะทาง และประสบการณ์ของนักธรณีวิทยาแต่ละคน อาจมีการถกเถียงกันทางด้านวิชาการเพื่อค้นหา หรือพิสูจน์โดยการนำข้อสรุปที่ได้มาลองใช้ว่า สามารถใช้ได้ หรือเป็นจริงตามนั้นหรือไม่

สภาพการจ้างงาน
การว่าจ้างนักธรณีวิทยา จะมีความแตกต่างค่อนข้างมากระหว่าง ผู้จบการศึกษาระดับปริญญาตรีที่เข้าทำงานในภาครัฐกับ ในภาคเอกชน โดยผู้รับราชการจะได้รับค่าจ้างเริ่มต้นที่เดือนละ 7,260 บาท พร้อมทั้งสวัสดิการต่างๆ ตามระเบียบของราชการ ส่วนในกรณีปฏิบัติงานกับภาคเอกชน ซึ่งเป็นกิจการร่วมทุนขนาดใหญ่ที่ดำเนินการสำรวจแหล่ งพลังงานและทรัพยากรเหมืองแร่ต่างๆ จะได้รับอัตราเงินเดือนเริ่มต้นประมาณ 20,000 – 29,000 บาทต่อเดือน โดยอัตราค่าจ้างจะแตกต่างตามประสบการณ์การทำงานที่ผ่ านมา รวมทั้งสวัสดิการต่างๆ ค่อนข้างดีเป็นพิเศษโดยเฉพาะในเรื่องการประกันชีวิตส ุขภาพและโบนัส (พิเศษ) ประจำปี

สภาพการทำงาน
ผู้ประกอบอาชีพนี้ ในช่วงแรกๆ อาจต้องออกปฏิบัติงานในภาคสนามตามหน้าที่ที่ได้รับมอ บหมาย ซึ่งเป็นหัวใจหลักของการทำงาน การทำงานในภาคสนามมีทั้งที่เป็นช่วงสั้นๆ หรือยาวเป็นเดือนๆ และเนื่องจากไม่สามารถนำเอาสิ่งที่ต้องวิจัยศึกษา มาทำการทดลองให้เห็นได้ชัดในห้องปฏิบัติการทดลอง เช่นเดียวกับในวิชาวิทยาศาสตร์พื้นฐานสาขาอื่นๆ ดังนั้น ภาคสนามจึงเปรียบเหมือนห้องปฏิบัติการทดลอง และห้องสมุดของนักธรณีวิทยา
การเดินทางไปปฏิบัติงานสำรวจในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ ในบริเวณป่าเขา อาจต้องอยู่ในภาวะเสี่ยงภัยจากธรรมชาติหรือเหตุการณ์ ที่ไม่คาดคิด อาจต้องเข้าพื้นที่โดยอาศัยการเดินเท้าเมื่อยานพาหนะ เข้าไม่ถึง ดังนั้น ผู้ประกอบอาชีพนี้ ควรต้องมีการเตรียมความพร้อมทั้งทางด้านร่างกาย ข้อมูลข่าวสาร การประสานงานกับเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ดูแลรับผิดชอบใน พื้นที่บริเวณที่ต้องทำการสำรวจ เตรียมจัดหาคนในชุมชนพื้นที่ที่มีมนุษยสัมพันธ์ดี เป็นผู้ช่วย เพราะความคุ้นเคยและความชำนาญในเส้นทาง เพื่อช่วยให้การปฏิบัติหน้าที่ สำเร็จลุล่วง อีกทั้งยังลดการเสี่ยงอันตรายอันอาจเกิดขึ้นได้จากกา รไม่รู้จักกันหรือไม่เข้าใจกัน
อุปกรณ์เครื่องมือและเทคโนโลยีพื้นฐานที่ต้องใช้ ในการออกสำรวจแต่ละครั้ง มีแผนที่จากกรมแผนที่ทหาร ภาพถ่ายดาวเทียม ภาพถ่ายทางอากาศ ฆ้อนธรณี เข็มทิศ เครื่องมือหาตำแหน่งด้วยดาวเทียม (Global Positioning System) แว่นขยาย อุปกรณ์ทดลองทางเคมีอย่างง่ายๆ เช่น น้ำกรดเจือจาง ถุงใส่ตัวอย่าง ปากกาเขียนป้าย ฆ้อนปอนด์ กล้องถ่ายภาพ และรถยนต์ที่เป็นพาหนะ หากปฏิบัติงานเรื่องที่มีความเฉพาะ อาจต้องใช้เครื่องมืออื่นๆ เพิ่มเติม

คุณสมบัติผู้ประกอบอาชีพ
1. เพศหญิง หรือเพศชาย
2. จบการศึกษาระดับปริญญาตรีคณะวิทยาศาสตร์ สาขาวิชาธรณีวิทยา
3. ชอบการเดินทาง และสนใจการผจญภัย หรือการค้นพบสิ่งใหม่ๆ ที่ท้าทาย
4. เป็นคนช่างสังเกต ถี่ถ้วน และหากสามารถวาดภาพได้ดี ก็จะมีส่วนช่วยการทำงาน
5. มีมนุษยสัมพันธ์ดี มีปฏิภาณไหวพริบ
6. เป็นคนที่มีจินตนทัศน์

ผู้ที่สนใจในอาชีพนี้ ควรเตรียมความพร้อมดังนี้
ผู้ที่จบการศึกษาระดับมัธยมการศึกษาตอนปลาย สายวิทยาศาสตร์ หรือเทียบเท่า ควรศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษา คณะวิทยาศาสตร์ สาขาธรณีวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

โอกาสในการมีงานทำ
แผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติฉบับที่ 9 ได้ให้ความสำคัญกับการปรับปรุงการจัดการให้เกิดความส มดุลระหว่างการใช้ประโยชน์กับการอนุรักษ์ฟื้นฟู เพื่อให้มีการนำทรัพยากรธรรมชาติไปใช้ประโยชน์อย่างย ั่งยืน ตลอดจนให้มีการศึกษาวิจัยที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได ้จริง
ผู้ประกอบอาชีพนี้ สามารถรับราชการ ปฏิบัติงานในหน่วยงานของรัฐบาล เช่น กรมทรัพยากรน้ำบาดาล กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ กระทรวงอุตสาหกรรม กรมชลประทาน กรมพัฒนาที่ดิน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กรมศุลกากร กรมทางหลวง กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ กรมการพลังงานทหาร หรือสถาบันวิจัยต่างๆ
สำหรับการว่าจ้างผู้ประกอบอาชีพนี้ จะขึ้นอยู่กับความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ หากเศรษฐกิจเติบโตดีจะมีการลงทุนเพื่อสำรวจ วิจัย ในภาครัฐ ทางด้านสาธารณูปโภค และสาธารณูปการในส่วนของภาคเอกชน ผู้ที่ว่าจ้างงานจะเป็นบรรษัทปิโตรเลียม หรือบริษัทน้ำมันระหว่างประเทศ บริษัทอุตสาหกรรมการทำเหมืองแร่ เหมืองหินต่างๆ และบริษัทที่เป็นอุตสาหกรรมต่อเนื่อง บริษัทที่ปรึกษาทางด้านธรณีวิทยา วิศวกรรมธรณี สิ่งแวดล้อม น้ำบาดาล ดังนั้น ผู้ประกอบอาชีพนี้จึงยังคงเป็นที่ต้องการของผู้ว่าจ้ างทั้งในประเทศและต่างประเทศ

โอกาสความก้าวหน้าในอาชีพ
ผู้ประกอบอาชีพนี้ จะได้เลื่อนตำแหน่งตามความสามารถ อาจได้เลื่อนตำแหน่งถึงผู้อำนวยการ อธิบดี หรือปลัดกระทรวง ทั้งนี้เมื่อประกอบอาชีพในระยะหนึ่ง ควรศึกษาหาความรู้ต่อในระดับปริญญาโท หรือจนถึงปริญญาเอก

อาชีพที่เกี่ยวเนื่อง
ที่ปรึกษาบริษัทที่ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับการสำรวจแหล ่งแร่ น้ำมันปิโตรเลียม หรือบริษัทที่ประกอบกิจการก่อสร้างด้านคมนาคมและสาธา รณูปโภคขนาดใหญ่ เจ้าของสถานประกอบกิจการ นักธุรกิจด้านการก่อสร้าง

นางสาวธนารัชฏ์ สุทธสิงห์ กล่าวว่า...
ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ
นางสาวธนารัชฏ์ สุทธสิงห์ กล่าวว่า...

นางสาวธนารัฏ์ สุทธสิงห์ รหัสนิสิต 48010511664 Ec
1. อาชีพ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย Security Officer ; Guard
2. ลักษณะของอาชีพผู้ปฏิบัติงานอาชีพนี้มีหน้าที่หลัก ดังนี้
1. ดูแลรักษาความปลอดภัยประจำวันโดยการตรวจยาม เขียนรายงานบันทึกเหตุการณ์ประจำวัน ทุกครั้งตามเวลาที่ออกตรวจตามจุดตรวจต่างๆ ทุกชั่วโมง
2. ควบคุมการผ่านเข้า/ออกของบุคคลทั้งภายในองค์กร และภายนอกองค์กร ที่ได้รับการ ว่าจ้าง ทำการแลกบัตรผู้เข้ามาติดต่อ ลงบันทึกประจำวัน และอาจตรวจดูบุคคลเข้า/ออกได้จากจอภาพโทรทัศน์วงจรปิด
3. ป้องกันการโจรกรรมที่อาจเกิดขึ้น หรือวินาศกรรม อัคคีภัย
4. ติดต่อเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเมื่อเกิดเหตุ เช่น หัวหน้ายาม ผู้บริหารผู้รับผิดชอบ และเจ้าหน้าที่ตำรวจสายตรวจ เพื่อเข้ามาทำการรับผิดชอบตรวจค้นตามกฎหมาย
5. ตรวจดู ประตูอาคาร หน้าต่าง รั้วให้อยู่ในสภาพมั่นคงปลอดภัย ความผิดปกติต่างๆ เช่น ท่อน้ำแตก เพลิงไหม้
6. อาจปฏิบัติงานอื่นๆ เช่น เปิดอาคารทำงานในช่วงเช้า และปิดในช่วงงานเลิก
7. ถ้าเป็นสถานที่ราชการสำคัญ บริษัทบางแห่ง หรือศูนย์การค้า เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยอาจต้องดูแลรถยนต์ที่เข้ามาจอดของผู้มาติดต่อ หรือ ลูกค้า และแลกเปลี่ยนบัตรสำหรับ ผู้มาติดต่อหรือใช้บริการ
3. ลักษณะของบุคคลที่เหมาะกับอาชีพ
1. ระดับวุฒิการศึกษาขั้นต่ำของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยโดยทั่วไปรับผู้ที่จบการศึกษา ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6
2. ผ่านการเกณฑ์ทหารถือสัญชาติไทยฯ
3. มีความสูงไม่ต่ำกว่า 160-165 เซนติเมตร อายุระหว่าง 23-40 ปี
4. มีระเบียบวินัยดี ร่างกายแข็งแรง มีความอดทน
5. ช่างสังเกต มีไหวพริบ และปฏิภาณดี
6. มีความซื่อสัตย์
หลังจากผ่านการรับสมัครแล้วทางบริษัทจะฝึกอบรมให้ผู้ปฏิบัติงานให้เข้าใจในหน้าที่ต่างๆ ให้สอดคล้องกับสถานประกอบกิจการประมาณ3-5 วัน เช่น ในเรื่องของการมีมนุษยสัมพันธ์ ศิลปะการป้องกันตัว การปฏิบัติหน้าที่เฉพาะ และการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า ฯลฯ
4. ระดับรายได้ และความก้าวหน้า รวมไปถึงสวัสดิการที่เกี่ยวข้อง
ผู้ปฏิบัติงานที่มีความสามารถจะได้รับเลื่อน จากรักษาความปลอดภัย (รปภ.) เป็นรองหัวหน้าชุด และเป็นหัวหน้าชุด ตามลำดับ
ควรหมั่นศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม นอกเหนือจากอาชีพที่ปฏิบัติอยู่เพื่อความก้าวหน้า อาจได้รับ ข้อเสนอจากองค์กรอื่นไปเป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยแบบพนักงานประจำให้กับบริษัทห้างร้านที่มี สวัสดิการ และสิทธิพิเศษเหมือนกับพนักงานประจำทั่วไป ซึ่งดีกว่าบริษัทบริการรักษาความปลอดภัย และอาจได้ค่าตอบแทนเดือนละประมาณตั้งแต่ 7,000-12,000 บาท ไม่รวมโบนัส
5. วิธีการเข้าสู่อาชีพ
ไม่จำกัดวุฒิการศึกษา แต่ผู้ที่จะประกอบอาชีพนี้ ควรเตรียมความพร้อม โดยการฝึกฝนร่างกายให้มีความแข็งแรงสมบูรณ์ ปรับเปลี่ยนเวลาการนอนให้มีความยืดหยุ่น เพื่อเข้าทำงานในเวลากลางคืนได้ตลอดเวลา ตลอดจนฝึกฝน กฎระเบียบและวินัยในลักษณะเดียวกันกับข้าราชการทหาร หรือตำรวจ
6. ความต้องการของตลาดแรงงาน
ผู้ปฏิบัติงานในอาชีพนี้ ถ้าเป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยระดับต้น อาจได้ค่าจ้างเป็นรายวัน ตั้งแต่วันละประมาณ 180 ถึง 217 บาทต่อวัน หรือประมาณเดือนละ 5,400-5,500 บาทโดยปฏิบัติงาน 8-9 ชั่วโมงต่อวัน มีการทำงานเป็นกะสัปดาห์ละ 6 วัน มีสวัสดิการ และประกันสังคมตามกฎหมายแรงงาน
ผู้ว่าจ้างในการทำงานจะมีทั้งหน่วยงานราชการ หน่วยงานเอกชน บริษัทดูแลรักษาความปลอดภัยและองค์กรธุรกิจ โดยมีเงื่อนไขการทำงานที่แตกต่างกันไปถ้าเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่ทำงานกับบริษัทห้างร้าน หรือองค์กรจะทำงาน วันละ 8-9 ชั่วโมง มีค่าล่วงเวลา โบนัส และผลประโยชน์อย่างอื่นเหมือนกับพนักงานทั่วไป
ปัจจุบันมีการแข่งขันการเปิดบริษัทรักษาความปลอดภัยกันมาก ทำให้มีการแข่งขัน การตัดราคา การบริการเพื่อเสนอให้สถานประกอบกิจการได้พิจารณา อีกทั้งภาวะเศรษฐกิจถดถอยทำให้อาชีพเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยได้รับการว่าจ้างน้อยลง อนึ่งผู้จบการศึกษาสูงอย่างเช่น ประโยควิชาชีพ และประโยควิชาชีพชั้นสูง จนถึงนักศึกษาที่มีความขยัน และต้องการหารายได้พิเศษเพื่อใช้เป็นทุนการศึกษาก็ได้หันมาสมัครงานปฏิบัติอาชีพนี้กันพอสมควรโดยทำงานในลักษณะงานบางเวลา
7. ตัวอย่างบุคคลที่อยู่ในอาชีพดังกล่าว
พนักงานรักษาความปลอดภัยดีเด่น



รปภ.สมพงษ์ จันทร์แจ้ง

นางสาวรัตน์ติกูล กองท่งมน (4MED) กล่าวว่า...

ชื่อนางสาวรัตน์ติกูล กองทุ่งมน
รหัส 48010510405 สาขาวิชาคณิตศาสตร์
ชั้นปีที่ 4 (4 MED)
บทความเรื่อง นักโบราณคดี

1.ชื่ออาชีพ : อาชีพนักโบราณคดี
นักโบราณคดีต่างจากนักประวัติศาสตร์ตรงที่ นักโบราณคดีศึกษาอดีตจากโบราณสถานโบราณวัตถุเป็นหลัก
2.ลักษณะของอาชีพ
นักโบราณคดีปฏิบัติงานเกี่ยวกับการศึกษาค้นคว้าของโบราณ ประวัติของคน ,วัตถุ, สิ่งของ ซึ่งอาจจะเป็นโบราณวัตถุที่มีอายุ 100 ปีขึ้นไป หรือไม่ถึงร้อยปีแต่เป็นสิ่งดีงามควรแก่การรักษาไว้ นักโบราณคดีจะใช้หลักการสันนิษฐานประกอบการอธบายเรื่องราวความเป็นอยู่ของคนในอดีตได้ ทำให้เห็นคุณค่าความสำคัญของโบราณในอดีต นักโบราณคดีอาจเป็นผู้ดูแลรักษา ซ่อมแซมโบราณวัตถุ โบราณสถานให้คงไว้ต่อไป เพื่อให้เกิดความผูกพันและภูมิใจในชาติ
3.ลักษณะของบุคคลที่เหมาะกับอาชีพ (ความต้องการด้านบุคลากร)
1. ชอบศิลปะ สนใจในด้านของประวัติศาสตร์ มีความละเอียดรอบคอบ ช่างสังเกต ช่างจดจำ สนใจเกี่ยวกับเรื่องราวประวัติความเป็นมาของชนชาติต่างๆ
รักการอ่าน ชอบค้นคว้า มีหลักการและเหตุผล
2. มีความละเอียดรอบคอบ ช่างสังเกต ช่างจดจำ
3. สนใจเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ ความเป็นมาของชาติต่างๆ
4. รักการอ่าน ชอบค้นคว้า มีหลักการและเหตุผล
5. ชอบศิลปะ สนใจในด้านของประวัติศาสตร์ มีความละเอียดรอบคอบ ช่างสังเกต ช่างจดจำ สนใจเกี่ยวกับเรื่องราวประวัติความเป็นมาของชนชาติต่างๆ
รักการอ่าน ชอบค้นคว้า มีหลักการและเหตุผล
6. ต้องมีความอดทน และไม่มีโรคประจำตัว ที่เป็นอันตรายเพราะนักโบราณคดีจะต้องออกภาคสนาม ต้องอยู่กับดินกับทราย
เพื่อไปสำรวจขุดค้นประวัติศาสตร์ในที่ต่างๆ และจะต้องปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมในที่ต่างๆ ให้ได้
7. ที่สำคัญคือ ต้องมีจรรยาบรรณ มีความซื่อสัตย์ ไม่บิดเบือนข้อมูลที่ขุดค้นพบได้ ไม่ค้าของเ่ก่า เพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่ขุดค้นพบถือเป็นสมบัติของแผ่นดิน
รวมทั้งไม่สนับสนุนให้มีการค้าของเก่าด้วย

4.ระดับรายได้ และความก้าวหน้า รวมไปถึงสวัสดิการที่เกี่ยวกับอาชีพ
รายได้ของนักโบราณคดีขึ้นอยู่ตามวุฒิการศึกษาและอายุการทำงานราชการ
โอกาสก้าวหน้าในอาชีพ
1. รับราชการในกรมศิลปากร
2. ค้นคว้าวิจัยเกี่ยวกับโบราณคดี
3. นักขุดค้นทางโบราณคดี
4. ทำงานในพิพิธภัณฑสถาน
5. มัคคุเทศก์
6. อาจารย์สอนประวัติศาสตร์
7. ทำงานบริษัทเอกชน ประกอบธุรกิจส่วนตัว
หรือศึกษาต่อระดับปริญญาโท-เอก ทั้งในและนอกประเทศ
5.วิธีการเข้าสู่อาชีพ (การศึกษา, สาขาที่เกี่ยวข้อง, วิชา, วุฒิการศึกษา)
การศึกษาและการฝึกอบรม ต้องจบ ม.ปลายสายศิลป์ สนใจด้านภาษาศาสตร์ สังคมศาสตร์ และโบราณคดี ศึกษาต่อคณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร
6. มหาวิทยาลัยหรือสถานศึกษาที่เปิดสอน
ในประเทศไทย มีมหาวิทยาลัยแห่งเดียวที่เปิดสอนคณะโบราณคดีโดยตรง คือ ศิลปากร
7. ความต้องการของตลาดแรงงาน
กรมศิลปากร ต้องการผลิตนักโบราณคดี และนักนิรุกติศาสตร์ภาษาศาสตร์ เพื่อมาอ่านเอกสาร จารึกโบราณ ควบคู่กับการศึกษาศิลปะวัฒนธรรมของมนุษยชาติ ทั้งในและต่างประเทศ คณะนี้เน้นหนักไปทางวิชาการและวิชาฃีพทางนักวิจัย เฉพาะทาง จึงมักสำเร็จการศึกษาออกไปทำงานในกรมศิลปากรและสถาบันวิจัยหรืออาจารย์มหาวิทยาลัยเป็นส่วนใหญ่


8. ตัวอย่างบุคคลที่อยู่ในอาชีพดังกล่าว (เรื่องราวโดยย่อ)
เซอร์อาเธอร์ จอห์น อีแวนส์ นักโบราณคดีผู้มีชื่อเสียงของอังกฤษผู้ขุดค้นวังนอสซัสบนเกาะครีตประเทศกรีก อีแวนส์เกิดที่เมืองแนชมิลลส์ ประเทศอังกฤษ เข้าศึกษาขั้นต้นที่โรงเรียนแฮโรว์และเข้าศึกษาระดับมหาวิทยาลัยที่วิทยาลัยบราเซโนสมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด และมหาวิทยาลัยกอตติงเก็นประเทศเยอรมันี ก่อนที่อีแวนส์จะเริ่มงานที่เกาะครีต นักโบราณคดีชื่อ มิโนส คาโลไคไนโนส ได้เปิดหลุมขุดค้นข้องเก็บของที่วังนอสซัสแล้วสองห้องเมื่อ พ.ศ. 2347 แต่รัฐบาลตุรกีได้ยับยั้งการขุดค้นนี้ไว้ก่อนงานขุดค้นจะแล้วเสร็จ อีแวนส์ได้ถอดรหัสที่จารึกบนตราที่ทำด้วยหินบนเกาะครีตในปีเดียวกันและเมื่อครีตได้ประกาศเอกราชเมื่อ พ.ศ. 2443 อีแวนส์ได้ซื้อบริเวณซากวังนอสซัสและเริ่มงานขุดค้น เซอร์อาเธอร์ อีแวนส์ได้ค้นพบ แผ่นดินเผาจากการขุดค้นมากถึง 3,000 แผ่นและเริ่มงานคัดลอกและถอดระหัส และจากการคัดลอกและถ่ายทอดนี้เป็นที่ชัดเจนว่าข้อความบนแผ่นดินเผาเป็นบทเขียนที่มากกว่าหนึ่งบท จากหลักฐานของเซรามิกและและวิชาการลำดับชั้นหิน (stratigraphy) อีแวนส์สรุปว่าอารยธรรมบนเกาะครีตมีมาก่อนอารยธรรมที่เป็นที่รับรู้เมื่อเร็วนี้โดยนักโบราณคดี-นักผจญภัยชื่อไฮน์ริช ชรีมานน์เป็นผู้เปิดเผย คืออารยธรรมไมซีนี (Mycenaeและไทรีนส์ (Tiryns)
ซากโบราณที่วังนอสซัสแผ่กว้างเป็นเนื้อที่มากถึง 12.5 ไร่ และมีลักษณะความวกวนที่ทำให้อีแวนศนึกถึงเขาวงกตที่มีกล่าวไว้ในเรื่องปรัมปราของกรีกที่สร้างโดยกษัตริย์ไมโนสเพื่อซ่อนพระโอรสประหลาด (monstrous child - คนศีรษะวัว) ดังนั้น อีแวนส์จึงตั้งชื่ออารยธรรมที่เคยมีอยู่ที่พระราชวังยิ่งใหญ่นี้ว่า "อารธรรมมิโนน (Minoan Civilization) เมื่อถึง พ.ศ. 2446 งานขุดค้นวังนอสซัสแล้วเสร็จลงเกือบทั้งหมด เผยให้เห็นความก้าวหน้าของเมืองที่เต็มไปด้วยงานศิลปะและตัวอย่างงานเขียนจำนวนมาก ภาพที่เขียนบนผนังมีภาพวัวเป็นจำนวนมากทำให้อีแวนส์สรุปว่าชาวมิโนนบูชาวัวอย่างแน่นอน อีแวนส์ได้รับบรรดาศักดิ์เมื่อ พ.ศ. 2454 จากผลงานด้านโบราณคดีและได้มีการจัดสร้างอนุสาวรีย์ของเขาทั้งที่นอสซัสและที่พิพิธภัณฑ์แอชโมลีนในปี พ.ศ. 2456 เซอร์อีแวนส์ได้ใช้เงินส่วนตัวจำนวน 100 ปอนด์เพื่อเพิ่มทุนการศึกษาที่ร่วมกันตั้งโดยมหาวิทยาลัยลอนดอนและสมาคมโบราณคดีให้เพิ่มเป็นสองเท่าเพื่อเป็นอนุสรณ์แก่ออกัสตัส โวลลาสตัน แฟรงค์ผู้ได้ทุนในปีนั้นได้แก่มอร์ติเมอร์ วีลเลอร์
เซอร์อาเธอร์ อีแวนส์สมควรที่จะได้รับการจดจำจากความดื้อดึงในการยึดครีตเป็นศูนย์กลางที่นำไปสู่การโต้เถียงที่ไม่มีความเป็นมิตรระหว่างอีแวนส์กับนักโบราณคดีบนแผ่นดินใหญ่ คือคาร์ล เบลเจนและอลัน วาซ

นางสาวญาณิศา พลที กล่าวว่า...

นางสาวญาณิศา พลที รหัส 48010510782 สาขาสังคมศึกษา ชั้นปีที่ 4 คณะศึกษาศาสตร์

1.ชื่ออาชีพ นักชีววิทยา (Biologist)

2.ลักษณะของงานที่ทำ
1. ศึกษาในห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์ หรือจากของจริงตามธรรมชาติ เกี่ยวกับกำเนิด พัฒนาการ โครงสร้างและสรีรวิทยา การกระจายกรรมพันธุ์ สิ่งแวดล้อม ความสัมพันธ์ภายในระหว่างกัน การจัดประเภทและรูปการมูลฐานของชีวิตพืชและสัตว์ และนำสิ่งที่ค้นพบมาใช้แก้ปัญหาทางยารักษาโรค การเกษตร และปัญหาอื่นๆ ซึ่งมีผลกระทบกระเทือนต่อชีวิต
2. วางแผนการทดลอง เดินทางไปศึกษาที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติของพืชและสัตว์ หรือเก็บรวบรวม ตัวอย่างต่างๆ เพื่อมาศึกษาในห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์
3. ผ่าและศึกษาตัวอย่างโดยใช้กล้องจุลทรรศน์ เคมีภัณฑ์ วิธีการถ่ายภาพ วัตถุและอุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์อื่นๆ
4. ให้ชื่อ จัดประเภท และเก็บรักษาตัวอย่างไม่ให้เสียหาย
5. เตรียมตัวอย่างที่เก็บรวบรวมได้มาให้ชื่อและศึกษาถึงพัฒนาการของโรคต่างๆ และศึกษาเพื่อใช้ในวัตถุประสงค์อื่นๆ
6. ทำการวิเคราะห์เชิงสถิติในข้อมูลที่ได้จากการทดลองและทำรายงานผลการวิเคราะห์
7. อาจทำการทดลองเกี่ยวกับพืชและสัตว์ของตนเอง อาจนำผลที่ได้จากการทดลองมาใช้ให้เป็นประโยชน์เชิงเศรษฐกิจแก่ชีวิตมนุษย์

3.ลักษณะของบุคคลที่เหมาะสมกับอาชีพ
ผู้ประกอบอาชีพนี้ควรมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้
1. สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีคณะวิทยาศาสตร์ สาขาวิชาชีววิทยาหรือสาขาวิชาที่เกี่ยวข้อง
2. มีความรู้ความสามารถในการใช้ภาษาอย่างเหมาะสมแก่การปฏิบัติหน้าที่ ทั้งอ่านและเขียน
3. มีความสามารถในการศึกษาหาข้อมูล วิเคราะห์ปัญหา และสรุปเหตุผล
4. มีความสามารถในการเป็นผู้นำและผู้ตาม
5. สามารถเดินทางไปปฏิบัติงานในต่างจังหวัด
6. มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีต่อบุคลากรในองค์กรและชุมชน
7. มีความสนใจในวิชาวิทยาศาสตร์ เคมีและชีววิทยา และสามารถสอบได้คะแนนดีในวิชาเหล่านี้ชอบการค้นคว้าทดลอง การใช้ปัญญาในการวิเคราะห์
8. มีความคิดสร้างสรรค์ ชอบค้นคว้า
9. มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย
10. มีความแม่นยำ ใจเย็นและละเอียดรอบคอบ
11. มีความสามารถเป็นพิเศษในการสังเกต คิดอะไรมีระบบระเบียบ และสามารถแสดงผลการ ค้นคว้าออกมาได้ง่าย และชัดเจนทั้งการพูดและการเขียน
12. มีความเชื่อมั่นในตนเอง กล้าตัดสินใจ และสามารถแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้รวดเร็ว
13. มีความรู้ทางวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์เป็นอย่างดี
14. มีร่างกายแข็งแรง อดทน สามารถปฏิบัติงานในหน้าที่ได้ดี

4.ระดับรายได้
ผู้ปฏิบัติงานอาชีพนี้ได้รับค่าตอบแทนการทำงานเป็นเงินเดือนตามวุฒิการศึกษา นักชีววิทยาที่สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีซึ่งไม่มีประสบการณ์ในการทำงานจะได้รับเงินเดือนในอัตรา ดังนี้
ประเภทองค์กร เงินเดือน
ราชการ 7,040
รัฐวิสาหกิจ 8,500
เอกชน 12,000 - 15,000
ทำงานสัปดาห์ละ 40 ชั่วโมง แต่อาจจะต้องทำงานวันเสาร์ วันอาทิตย์ และวันหยุด หรือทำงาน ล่วงเวลา ในกรณีที่ต้องการให้งานที่ได้รับมอบหมายเสร็จทันต่อการใช้งาน
นอกจากผลตอบแทนในรูปเงินเดือนแล้วในภาครัฐวิสาหกิจ และภาคเอกชนอาจได้รับผลประโยชน์พิเศษอย่างอื่น เช่น ค่ารักษาพยาบาล เงินสะสม เงินช่วยเหลือสวัสดิการในรูปต่างๆ เงินโบนัส เป็นต้น

5.วิธีการเข้าสู่อาชีพ
ผู้ที่จะประกอบอาชีพนี้ ควรเตรียมความพร้อมดังต่อไปนี้ เมื่อสำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย หรือเทียบเท่าตามหลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการ ผ่านการสอบคัดเลือกเพื่อเข้าศึกษาในสถาบันอุดมศึกษาที่มีหลักสูตรสาขาวิชาชีววิทยา และจุลชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ เช่น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น หลักสูตร 4 ปี สำเร็จการศึกษาได้ วุฒิปริญญา

6.มหาวิทยาลัยที่เปิดสอน
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย , มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
มหาวิทยาลัยมหาสารคาม , มหาวิทยาลัยขอนแก่น
มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี , มหาวิทยาลัยศิลปากร
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ , มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง , มหาวิทยาลัยรังสิต
มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ , มหาวิทยาลัยบูรพา
มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ , มหาวิทยาลัยทักษิณ
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี , มหาวิทยาลัยมหิดล
มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ , มหาวิทยาลัยนเรศวร

7.ความก้าวหน้าในการทำงาน
ผู้ปฏิบัติงานอาชีพนี้ ถ้ารับราชการในหน่วยงานปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์ หรือในสถาบันวิจัยทางวิทยาศาสตร์จะได้รับการเลื่อนตำแหน่ง และเลื่อนขั้นตามระบบราชการ การศึกษาต่อเพิ่มเติมจะช่วยให้เลื่อนขั้น เลื่อนตำแหน่งได้รวดเร็วขึ้นและสามารถเป็นถึงผู้บริหารสูงสุดของหน่วยงานได้ ส่วนในภาคเอกชนนั้นขึ้นอยู่กับโครงสร้างการบริหารงานขององค์กร ซึ่งสามารถเป็น ผู้จัดการโรงงาน ผู้จัดการงานวิจัย ผู้ที่ปฏิบัติงานอาชีพนี้ที่มีประสบการณ์ในการทำงานและมีความสามารถในการสอน อาจจะได้รับเชิญเป็นวิทยากรบรรยายพิเศษ

8.ตัวอย่างบุคคลที่อยู่ในอาชีพดังกล่าว
ศาสตราจารย์ ดร.ทศพร วงศ์รัตน์ เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านอนุกรมวิธานปลา ได้รับพระราชทานทุนมูลนิธิอานันทมหิดลไปศึกษาต่อจนจบปริญญาเอกในเชิงอนุกรมวิธานปลาจากมหาวิทยาลัยลอนดอน ประเทศอังกฤษ ได้รับราชการเป็นอาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อปี พ.ศ. 2524 และต่อมาในปี พ.ศ. 2526 เป็น Postdoctoral Fellow ทำหน้าที่สอนวิชามีนวิทยาและหลักอนุกรมวิธานสัตว์ที่พิพิธภัณฑ์แห่งชาติออสเตรเลีย เมืองซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย และที่ สถาบันสมิธโซเนียน กรุงวอชิงตัน ดีซี ประเทศสหรัฐอเมริกา
ศ.ดร.ทศพร มีงานเขียนที่ได้ตีพิมพ์เป็นหนังสือ ตำรา และงานค้นคว้าวิจัยอย่างต่อเนื่องรวมกว่า 40 เรื่อง งานประเภทสารคดี สิ่งแวดล้อมและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกว่า 100 เรื่อง และยังมีผลงานเป็นภาพวาดปลาเพื่อใช้ประกอบงานวิจัยกว่า 300 ภาพ ซึ่งภาพวาดดังกล่าวได้รับการเผยแพร่อ้างอิงไปทั่วโลก เป็นผู้ค้นพบและได้ตีพิมพ์เผยแพร่ชื่อวิทยาศาสตร์ที่ตั้งขึ้นเองสำหรับปลาชนิดใหม่จากหลายน่านน้ำของโลกรวม 38 ชนิด (Species) และชื่อของอาจารย์ยังได้รับการตั้งเป็นชื่อวิทยาศาสตร์ของปลา
ศ.ดร.ทศพร เป็นผู้ริเริ่มและก่อตั้งพิพิธภัณฑ์ปลาทะเลขึ้นในกรมประมง และพิพิธภัณฑสถาน ธรรมชาติวิทยาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผลงานชิ้นสำคัญที่สุด คือ งานความหลากหลายทางธรรมชาติวิทยาเกี่ยวกับปลาหลังเขียว - ปลาแมวและปลากะตักที่ปรากฏอยู่ในงานชุด " FAO Species Identification Guide for Fisheries Purposes " เรื่อง " The Living Marine Resources of the Western Central Pacific " Vol.3 หน้า 1698 – 1821 ซึ่งจัดพิมพ์โดยองค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ กรุงโรม ในปี พ.ศ. 2542 นอกจากนี้ ศ. ดร. ทศพร วงศ์รัตน์ ยังได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้า ฯ แต่งตั้งให้เป็นราชบัณฑิต สาขาวิชาสัตววิทยา ประเภทวิทยาศาสตร์ชีวภาพ สำนักวิทยาศาสตร์ราชบัณฑิตยสถาน ในปี พ.ศ. 2532 เป็นศาสตราจารย์ในสาขาสัตววิทยา ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในปี พ.ศ. 2535 และได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ไทยที่ได้รับ พระราชทานขั้นสูงสุด คือ มหาวชิรมงกุฏ และประถมาภรณ์ช้างเผือก รวมทั้งได้รับการประกาศเกียรติคุณจาก สภาวิจัยแห่งชาติให้เป็นนักวิจัยดีเด่นแห่งชาติ สาขาเกษตรศาสตร์และชีววิทยา ประจำปี พ.ศ. 2537 และในปี พ.ศ. 2538 ได้รับเลือกให้เป็นบุคคลดีเด่นประจำปีของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ปัจจุบัน เกษียณอายุแล้ว เป็นผู้อำนวยการพิพิธภัณฑสถานธรรมชาติวิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

นางสาวพรทิวา ใบแสน กล่าวว่า...

นางสาวพรทิวา ใบแสน คณะศึกษาศาสตร์ สาขาภาษาไทย ( TH ) รหัสนิสิต 48010511265
1.ชื่ออาชีพ
อาชีพ วิศวกรโยธาทั่วไป Civil Engineer
2.ลักษณะของอาชีพ (การทำงาน)
อาชีพวิศวกรโยธาทั่วไปมีหน้าที่วางแผน จัดระบบงาน และควบคุมงานสร้างถนน สะพาน อุโมงค์ และสิ่งอำนวยความสะดวกในการขนส่งต่างๆ ทำงานเกี่ยวกับการก่อสร้างอาคาร ตลอดจนการติดตั้ง การใช้และการบำรุงรักษาระบบไฮดรอลิกและระบบสาธารณสุขอื่นๆ พิจารณาโครงการ และทำงานสำรวจเพื่อหาสถานที่ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการ ก่อสร้าง สำรวจและประเมินลักษณะ และความหนาแน่นของการจราจรทางอากาศ ทางบก และทางน้ำเพื่อพิจารณาว่าจะมีผลต่อโครงการอย่างไรบ้าง สำรวจดูพื้นผิวดินและใต้ผิวดินว่าจะมีผลต่อการก่อสร้างอย่างใด และเหมาะสมที่จะรองรับสิ่งก่อสร้างเพียงใด ปรึกษาหารือในเรื่องโครงการกับผู้ชำนาญงานสาขาอื่นๆ เช่น วิศวกรไฟฟ้า หรือวิศวกรช่างกล วางแผนผังรากฐาน ท่อสายไฟท่อต่างๆ และงานพื้นดินอื่นๆ คำนวณความเค้น ความเครียด จำนวนน้ำ ผลอันเนื่องมาจากความแรงของลมและอุณหภูมิ ความลาด และเหตุอื่นๆ เตรียมแบบแปลนรายงานก่อสร้าง และจัดทำประมาณการวัสดุและประมาณการราคา เลือกชนิดของเครื่องมือขนย้ายดิน เครื่องชักรอก เครื่องจักรกล และเครื่องมืออื่นๆ ที่จะใช้ในงานก่อสร้าง จัดทำตารางปฏิบัติงานและควบคุมให้การปฏิบัติงานเป็นไปตามแผนที่วางไว้ ทดสอบ และตรวจดูโครงสร้างทั้งเก่า และใหม่ ตลอดจนวางแผนและจัดระบบงานซ่อม
3.ลักษณะของบุคคลที่เหมาะกับอาชีพ (ความต้องการด้านบุคลากร)
ผู้ประกอบอาชีพนี้ ต้องมีคุณสมบัติ ดังนี้
1. สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี สาขาวิศวกรรมโยธา
2. เป็นผู้ที่มีความคิดสร้างสรรค์ มุ่งมั่น ค้นคว้าอย่างต่อเนื่องเพื่อหาวิธีที่ประหยัดและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
3. มีวิสัยทัศน์และสนใจกับเหตุการณ์ ข่าวสารที่เกิดขึ้นตลอดเวลา รับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นและมีจรรยาบรรณของวิศวกร
4. มีความอดทนและเข้มแข็งทั้งร่างกายและจิตใจ มีอารมณ์เยือกเย็น มีความคิดสุขุม
5. มีลักษณะเป็นผู้นำ ทั้งนี้งานส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับการควบคุมคนเป็นจำนวนมาก
6. มีพื้นฐานความรู้ทางวิทยาศาสตร์ ฟิสิกส์ ภาษาอังกฤษและคณิตศาสตร์เป็นอย่างดี
7. ผู้ประกอบอาชีพวิศวกรในทุกสาขาควรจะมีใบประกอบวิชาชีพวิศวกรรมเพื่อใช้ในการรับรองสำหรับการประกอบอาชีพ ซึ่งต้องมี คุณสมบัติ และวุฒิการศึกษาตามข้อกำหนด โดยจะขอรับใบอนุญาตได้ที่ กองวิชาชีพวิศวกรรมควบคุม สังกัดกระทรวงมหาดไทย
4.ระดับรายได้ สภาพการจ้างงานและความก้าวหน้า รวมไปถึงสวัสดิการที่เกี่ยวกับอาชีพวิศวกรโยธาทั่วไป
ผู้ประกอบอาชีพนี้ ได้รับค่าตอบแทนการทำงานเป็นเงินเดือน ตามวุฒิการศึกษา โดยวิศวกรโยธาที่ไม่มีประสบการณ์ในการทำงานจะได้รับเงินเดือนในอัตรา ดังนี้
ประเภทองค์กร เงินเดือน
ราชการ 7,260
รัฐวิสาหกิจ 7,210
เอกชน 12,000 – 18,000
ทำงานสัปดาห์ละ 40 ชั่วโมง อาจจะต้องมาทำงานวันเสาร์ อาทิตย์ หรือวันหยุด อาจจะต้องทำงานล่วงเวลา ในกรณีที่ต้องการให้งานที่ได้รับมอบหมายเสร็จให้ทันต่อการใช้งาน นอกจากผลตอบแทนในรูปเงินเดือนแล้วในภาครัฐวิสาหกิจและภาคเอกชนอาจได้รับผลตอบแทนในรูปอื่น เช่น ค่ารักษาพยาบาล เงินสะสม เงินช่วยเหลือสวัสดิการในรูปต่างๆ เงินโบนัส เป็นต้น
สภาพการทำงาน
สถานที่ทำงานของวิศวกรโยธาจะมีสภาพเหมือนที่ทำงานทั่วไป คือ เป็นสำนักงานที่มีอุปกรณ์ สิ่งอำนวยความสะดวกเช่นสำนักงานทั่วไป แต่โดยลักษณะงานที่จะต้องควบคุมงานสำรวจ ก่อสร้าง หรือซ่อมแซมจึงจำเป็นที่จะต้องตรวจดูงานนอกสถานที่ในบางครั้ง เนื่องจากต้องควบคุมดูแลงานให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด สำหรับงานหรือสถานที่ทำงานที่เสี่ยงต่อความไม่ปลอดภัย ในการทำงาน วิศวกรโยธาจึงต้องใช้อุปกรณ์คุ้มครองส่วนบุคคลในขณะปฏิบัติงาน
โอกาสในการมีงานทำ
สำหรับแหล่งจ้างงานวิศวกรโยธา โดยทั่วไปจะเป็นสถานประกอบการทั่วไป หรือ หน่วยงานราชการและรัฐวิสาหกิจ เนื่องจากภาวะวิกฤติเศรษฐกิจที่ประเทศกำลังประสบปัญหาอยู่ในช่วงนี้ ทำให้การลงทุนเพื่อขยายตัวชะงักไป การก่อสร้างอาคารสำหรับการพักอาศัยหรือสำหรับเป็นอาคารสำนักงานจะไม่ค่อยมีโครงการใหญ่ๆหรือโครงการใหม่เกิดขึ้นมากนักแต่จะยังคงมีโครงการงานการก่อสร้าง สิ่งอำนวยความสะดวกในการขนส่งต่าง ๆ เช่น ถนนสะพานทางหลวง แนวโน้มความต้องการของตลาด แรงงานในภาคอุตสาหกรรม ขณะนี้ยังคงที่ตามภาวะทางเศรษฐกิจของประเทศ และกำลังมีการดำเนินงานก่อสร้างสาธารณูปโภคโครงการใหญ่ๆ เช่นรถไฟฟ้าใต้ดิน ซึ่งยังมีความต้องการบุคลากรด้านนี้และคาดว่าจะมีการแข่งขันเพื่อเข้าทำงานสูง เนื่องจากมีแรงงานเก่าที่ค้างอยู่และมีแรงงานใหม่ที่เพิ่งสำเร็จการศึกษาเข้าสู่ตลาดแรงงานเมื่อภาวะเศรษฐกิจดีขึ้นประเทศไทยที่กำลังอยู่ระหว่างการพัฒนาจะกลับฟื้นตัวและขยายการลงทุนขึ้นอีก ฉะนั้นงานสำหรับวิศวกรโยธาจะกลับมาเป็นที่ต้องการในตลาดแรงงานอีกตามอัตราการขยายตัวของอาคารก่อสร้างและการพัฒนาประเทศ โดยการลงทุนในการก่อสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกในการขนส่งต่างๆ
โอกาสความก้าวหน้าในอาชีพนี้
ผู้ที่สำเร็จการศึกษาด้านวิศวกรโยธาหากทำงานเพิ่มประสบการณ์ และได้รับ การอบรมในวิชาที่เกี่ยวข้องและมีความสามารถในการบริหาร ก็สามารถเลื่อนขั้นเป็น ผู้บริหารโครงการได้สำหรับผู้ที่ศึกษาเพิ่มเติมถึงขั้นปริญญาโทหรือปริญญาเอก สามารถที่จะเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยทั่วไปได้
อาชีพที่เกี่ยวเนื่อง
วิศวกรโยธา (ก่อสร้างอาคาร)
วิศวกรโยธา (ก่อสร้างถนนและทางหลวง)
วิศวกรโยธา (ก่อสร้างท่าอากาศยาน)
วิศวกรโยธา (ก่อสร้างทางรถไฟ)
วิศวกรรถไฟ
วิศวกรโยธา (สุขาภิบาล)
วิศวกรสุขาภิบาล
5.วิธีการเข้าสู่อาชีพ ( การศึกษา , สาขาที่เกี่ยวข้อง , วิชา , วุฒิการศึกษา )
ผู้ที่จะประกอบอาชีพนี้ ควรเตรียมความพร้อมดังต่อไปนี้
ต้องเป็นผู้ที่สำเร็จการศึกษาในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย สาขาวิทยาศาสตร์หรือประกาศนียบัตรวิชาชีพจากสถานศึกษาที่กระทรวงศึกษาธิการรับรองวิทยฐานะ เพื่อเข้าศึกษาต่อระดับอุดมศึกษาระยะเวลาการศึกษา 4 ปี เมื่อสำเร็จการศึกษาแล้วจะได้ปริญญาวิศวกรรมศาสตร์บัณฑิต (วศ.บ.)ในสาขาวิศวกรโยธา หรือ เป็นผู้สำเร็จการศึกษาในระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง ที่ศึกษาเกี่ยวกับทางด้านช่างจากสถานศึกษาที่กระทรวงศึกษาธิการรับรองวิทยฐานะ เพื่อเข้าศึกษาต่อระดับอุดมศึกษาระยะเวลาการศึกษา 2 ปี (หลักสูตรต่อเนื่อง) เมื่อสำเร็จการศึกษาแล้วจะได้ปริญญาวิศวกรรมศาสตร์บัณฑิต (วศ.บ.) ในสาขาวิศวกรโยธา
6.มหาวิทยาลัยหรือสถานศึกษาที่เปิดสอน
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี
สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล
สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหาร ลาดกระบัง
มหาวิทยาลัยรังสิต
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
มหาวิทยาลัยขอนแก่น
7.ความต้องการของตลาดแรงงาน
ในปัจจุบัน ประเทศไทยก้าวเข้าสู่การเป็นประเทศอุตสาหกรรมใหม่ รัฐบาลได้สนับสนุน การพัฒนาอุตสาหกรรมเพื่อให้ประเทศพึ่งตนเองได้ การสร้างและปรับปรุง โรงงาน ที่อยู่อาศัย ระบบการขนส่ง สาธารณูปโภคต่าง ๆ จึงเป็นสิ่งจำเป็น
ดังนั้นจึงเกิดความต้องการวิศวกรโยธาที่มีความชำนาญในการออกแบบ การควบคุมการก่อสร้าง การจัดระบบการขนส่งและการพัฒนาแหล่งน้ำขึ้นมาเพื่อพัฒนาประเทศชาติให้มีความเจริญรุ่งเรือง
8.ตัวอย่างบุคคลที่อยู่ในอาชีพดังกล่าว (เรื่องราวโดยย่อ)
นายสุรพล พงษ์ไทยพัฒน์ วิศวกรใหญ่ กรมโยธาธิการและผังเมือง
วัน เดือน ปี เกิด : วันที่ 13 พฤศจิกายน 2490
เครื่องราช : ประถมมาภรณ์ช้างเผือก
ตำแหน่ง : วิศวกรใหญ่ ( วิศวกรวิชาชีพ 10 วช. ( วิศวกรรมโยธา ) )
ประวัติการศึกษา :
- วิศวกรรมศาสตร์บัณฑิต สาขาวิศวกรรมโยธา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
- นิติศาสตร์บัณฑิต มหาวิทยาลัยรามคำเเหง
- รัฐประศาสนศาสตร์มหาบัณฑิตมหาบัณฑิต สาขาบริหารรัฐกิจ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์
ประวัติการรับราชการ :
- เข้ารับราชการเมื่อ 28 พฤษภาคม 2514
- พ.ศ.2525วิศวกรโยธา 6 กองก่อสร้าง กรมโยธาธิการ
- พ.ศ.2529 วิศวกรโยธา 7 กองก่อสร้าง กรมโยธาธิการ
- พ.ศ.2535เจ้าหน้าที่บริหารงานช่าง 8 สำนักงานโยธาธิการจังหวัดมหาสารคามช่วยราชการก่อสร้าง
- พ.ศ.2535 เจ้าหน้าที่บริหารงานช่าง 8 สำนักงาน โยธาธิการจังหวัดหาสารคามช่วยราชการสำนักงานคณะกรรมการควบคุมอาคาร กรมโยธาธิการ
- พ.ศ.2537 วิศวกรโยธา 8 สำนักงานคณะกรรมการควบคุมอาคาร กรมโยธาธิการ
- พ.ศ.2540 วิศวกรวิชาชีพ 8 สำนักงานคณะกรรมการควบคุมอาคารกรมโยธาธิการ
- พ.ศ.2542 นายช่างใหญ่ ด้านควบคุมอาคาร ( วิศวกรวิชาชีพ 9 วช.) กรมโยธาธิการ
- พ.ศ.2546 ผู้อำนวยการสำนักควบคุมเเละตรวจสอบอาคาร ( วิศวกรวิชาชีพ 9 (วิศวกรรมโยธา)กรมโยธาธิการเเละผังเมือง
- พ.ศ.2548 รักษาการในตำเเหน่งวิศวกรใหญ่ กรมโยธาธิการเเละผังเมือง
ประวัติการฝึกอบรม / ดูงาน :
- ผู้บังคับบัญชาระดับกลาง (โยธาธิการ) รุ่นที่5
- อบรมหลักสูตรวิทยากร รุ่นที่ 3
- สัมมนา เรื่อง วิธีการควบคุมการใช้ประโยชน์ที่ดินเเละอาคาร
- อบรมการพัฒนาการบริหารราชการเเนวใหม่ของกระทรวงมหาดไทย รุ่นที่1
- อบรมหลักสูตรบริหารงานช่างระดับสูง รุ่นที่ 1
- ประชุมเชิงปฎิบัติการเกี่ยวกับการจัดการภัยพิบัติ
- สัมมนา เรื่อง การเเสวงหาวิสัยทัศน์เเละการบริหารโดยเเหวกวงล้อมของระบบราชการ
- อบรมการเมืองเเละการบริหาร รุ่นที่ 3
- ศึกษาดูงานการบริหารงานพัฒนาที่อาศัย รุ่นที่ 6 ณ ประเทศอินโดนีเซีย
- ศึกษาดูงานด้านสุขาภิบาลเเละสิ่งเเวดล้อม ณ ประเทศสวิตเซอร์เเลนด์ สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมันเเละออสเตรีย
- ศึกษาดูงานเทคโนโลยีการออกเเบบอาคารประสิทธิภาพสูง ณ ประเทศสหรัฐอเมริกา
- ศึกษางานเทคโนโลยีการออกเเบบอาคารให้ประโยชน์สูงสุด ณ ประเทศญี่ปุ่น
- ศึกษาดูงานการผังเมืองของ 3 รัฐ ณ ประเทศสหรัฐอเมริกา
- ศึกษาดูงานการตรวจสอบอาคารด้านการป้องกันอัคคีภัย เเละการป้องกันคลื่นสึนามิ ณ ประเทศสหรัฐอเมริกา
- อบรมสัมมนา เรื่อง Building Code( Performance Based) ณ ประเทศออสเตรีย

วรณี กล่าวว่า...

นางสาว วรณี อนันเต่า รหัส 48010512021 สาขา เทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา
1.อาชีพ ตำรวจ
2. ลักษณะของอาชีพ
- สายสอบสวน มีอำนาจหน้าที่ในการสืบสวน สอบสวน คดีอาญาที่เกิดภายในเขตพื้นที่ ที่รับผดชอบและการทำสำนวนคดีอาญา
- สายปราบปราม มีอำนาจหน้าที่ในการป้องกัน และปราบปราม อาชญากรรมที่เกิดขึ้นภายในเขตท้องที่ที่รับผิดชอบ ทั้งนี้โดยยึดหลักข้อบังคับของกระทรวงมหาดไทย 4 ประการ
1. รักษาความสงบเรียบร้อยทั้งภายในและภายนอกเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน
2. รักษากฎหมายที่เกี่ยวกับ การะกระทำผิดทางอาญา
3. บำบัดทุกข์ บำรุงสุขให้แก่ประชาชน
4. ดูแลรักษาผลประโยชน์ของสาธารณะ
3. คุณสมบัติ
1. บุคลิกภาพดี ร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ มีนิสัยโอบอ้อมอารีเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่
2. พร้อมที่จะผจญภัยรักษาความยุติธรรม
3. ต้องมีความรักในอาชีพที่จะรับใช้และให้บริการแก่ประชาชน
4. โอกาสและความก้าวหน้า
- รับราชการในกรมตำรวจ เป็นนายตำรวจใจชั้นสัญญาบัตร ยังมีโอกาสเลื่อนขั้น เลื่อนตำแหน่งในระดับที่สูง ยิ่งขึ้น ตาม ความสามารถและสายงานที่เข้าไปปฏิบัติหน้าที่อยู่และโอกาสในการศึกษาต่อมีทั้งภายในและภายนอกประเทศ
ยศและเงินเดือนแต่ละระดับ
รองสารวัตร ร้อยตำรวจตรี - ร้อยตำรวจเอก เงินเดือน 7,260 - 20,304 บาท
8 ปี
สารวัตร พันตำรวจตรี - พันตำรวจโท เงินเดือน 11,460 - 25,180 บาท
5 ปี
รองผู้กำกับการ พันตำรวจโท เงินเดือน 14,100 - 30,710 บาท
4 ปี
ผู้กำกับการ พันตำรวจเอก เงินเดือน 17,310 - 43,440 บาท เงินประจำตำแหน่ง 5,600 บาท
3 ปี
เงินค่าตอบแทน 5,600 บาท
รองผู้บังคับการ พันตำรวจเอก(พิเศษ) เงินเดือน 21,260 - 46,280 บาท เงินประจำตำแหน่ง 10,000 บาท
5 ปี
เงินค่าตอบแทน 10,000 บาท’
ผู้บังคับการ พลตำรวจตรี เงินเดือน 26,140 - 54,730 บาท เงินประจำตำแหน่ง 14,500 บาท
เงินค่าตอบแทน 14,500 บาท
สำหรับตำแหน่งพนักงานสอบสวน จะมีเงินประจำตำแหน่งเดือนละ 3,500 บาท และเงินค่าตอบแทน
การสอบสวนคดีอาญา สำนวนละ 500 - 1,500 บาท
ยศตำรวจในทุกชั้นยศ จะได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง สำหรับยศชั้นนายพลจะทรง
พระกรุณาโปรดเกล้าฯให้เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท

สิทธิและสวัสดิการที่ข้าราชการตำรวจจะได้รับจากทางราชการ ที่สำคัญ ได้แก่
1.บ้านพัก 6.ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์
2.ค่ารักษาพยาบาล ตนเอง ภรรยา บุตร บิดาและมารดา 7.สมาชิกฌาปนกิจสงเคราะห์
3.เบิกค่าเล่าเรียนบุตร ฯลฯ
4.เบิกค่าเช่าบ้าน
5.สมาชิก กบข.

5. วิธีเข้าสู่อาชีพ
จบการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 สายวิทยาศาสตร์ (ต้องสอบผ่านทุกรายวิชา)
ศึกษาต่อโรงเรียนเตรียมทหาร เลือกเรียนนายร้อยตำรวจที่โรงเรียนนายร้อยตำรวจ อำเภอสามพราน จังหวัด นครปฐม

6. มหาลัยที่เปิดสอน
มหาวิทยาลัยรามคำแหง
และโรงเรียนตำรวจทุกแห่ง
7. ความต้องการของตลาดแรงงาน
- เป็นที่ทราบกันดีว่าตำรวจมีหน้าที่ดูแลทุกข์สุขของประชาชน เมื่อประชาชนเพิ่มมากขึ้นประเทศก็ต้องการตำรวจมากขึ้นเป็นเงาตามตัวเพื่อจะได้ให้ความดุแลป้องกันและปราบปรามภัยไม่ให้เกิดขึ้น จึงแสดงว่าอาชีพตำรวจยังเป็นที่ต้องการอยู่ต่อไป
8. ตัวอย่างบุคคล
พล.ต.ต.ขุนพันธรักษ์ราชเดช มือปราบหนังเหนียว ฆราวาสจอมขมังเวท บุรุษร่างเล็กนัยต์ตาคมดุดุจตา เสือหนวดเขี้ยวคิ้วหนา ประหนึ่งนักรบกล้าบางระจัน นามนายจัน หนวดเขี้ยว ผิวคมเข้มอย่างบุรุษเมืองใต้ทั้งหลาย เสียงทุ้มกังวานอย่างมีตบะอำนาจ ลักษณะพิเศษสุดเช่นนั้นคือวีรบุรุษนักรบของกรมตำรวจ ผู้มีนามว่า พลตำรวจตรีขุนพันธรักษ์ราชเดช วีรบุรุษคนใต้ผู้พิชิตสิงห์เหนือเสือใต้และผู้ร้ายหฤโหดในแผ่นดินมาแล้วอย่างโชกโชน ชื่อของขุนพันธรักษ์ราชเดช กลายเป็นชื่อที่ผู้คนในแผ่นดินเรียกขานฉายานามไว้มากมายไม่ว่าเขาจะถูกส่งไปอยู่ที่ใด เลือดเนื้อและวิญญาญของเขาคือ ผู้พิทักษ์สันติราษฏร์ อดีตนักเรียนนายร้อยทำการ จากโรงเรียน นายร้อยตำรวจห้วยจระเข้ สามพราน รุ่น พ.ศ. 2472

เกษดาพร บุญยืน กล่าวว่า...

นางสาวเกษดา บุญยืน รหัส 48010510605
สาขาสังคมศึกษา ชั้นปีที่ 4 คณะศึกษาศาสตร์

1.นักอาชญาวิทยา Criminologist
2.ลักษณะของอาชีพ
นักอาชญาวิทยา ทำงานเกี่ยวเนื่องกับงานในลักษณะที่เป็น สหวิทยาการ คือการผสมผสาน ทางด้านสังคมวิทยา จิตวิทยา กฎหมาย และทัณฑวิทยา ซึ่งนักอาชญวิทยาจะต้องทำงานทางวิชาการ วิจัย การสอนการปฏิบัติ และทำหน้าที่เป็น ผู้วิเคราะห์หากฎเกณฑ์ ว่ามีสาเหตุอะไรบ้าง ซึ่งเป็นสิ่งผลักดันให้ผู้นั้นกระทำผิดกฎหมายอาญา ศึกษาค้นคว้าถึงสาเหตุปัญหาอาชญากรรม ลักษณะประเภทของอาชญากรรม วิธีบำบัดแก้ไขและป้องกันอาชญากรรม และทำหน้าที่ควบคุมและแก้ไขผู้กระทำผิด รวมทั้งกระบวนการยุติธรรมที่ใช้กับอาชญากรรม เพื่อให้ทุกคนในสังคมอยู่ร่วมกันโดยปกติสุข
ดังนั้น ในทางปฏิบัติการใช้บทกำหนดโทษตามกฎหมายอาญา อันนำผู้กระทำผิดไปสู่การดำเนินการควบคุม และป้องกันอาชญากรรมจึงเป็นหน้าที่อันสำคัญของนักอาชญาวิทยา และเป็นงานที่ตำรวจ นักกฎหมาย นักสังคมวิทยา จิตแพทย์ นักจิตวิทยา ผู้พิพากษาศาลคดีเด็กฯ พนักงานคุมประพฤตินักทัณฑวิทยา นักสังคมสงเคราะห์ นักสังคมวิทยา จิตแพทย์ ตำรวจ แพทย์ และนักวิทยาศาสตร์ จำเป็นจะต้องใช้ในกระบวนการยุติธรรม
ผู้ประกอบอาชีพนี้ ในกระบวนการยุติธรรม คือตำรวจ อัยการ ศาล และกรมราชทัณฑ์ใช้ ความรู้ด้านนี้ดำเนินการตามหน้าที่ ในการปฏิบัติหน้าที่คือ
1. ในส่วนของตำรวจ ใช้ในการวิเคราะห์หาต้นเหตุของการก่ออาชญากรรม สืบสวน สอบสวนวิธีการกระทำผิดของคนร้าย อันนำไปสู่การสืบสวนจับกุมผู้กระทำผิดมาลงโทษซึ่งเป็นอาชีพที่ค่อนข้างเสี่ยงในการปฏิบัติงาน
2. สำหรับอัยการและศาลจะใช้ความรู้ด้านนี้ในการวินิจฉัยถึงเจตนาและสาเหตุแห่งการกระทำผิดว่าเกิดจากอะไรกันแน่ ตั้งใจจงใจ กระทำผิด หรือการประมาท เลินเล่อ ถูกบังคับข่มขืนใจให้กระทำผิดหรือเหตุอื่นๆ อันนำไปสู่การพิพากษาลงโทษหนักเบาตามเจตนาการทำผิดที่แท้จริง
3. กรมราชทัณฑ์จะใช้ความรู้ในด้านนี้ ในการประมวลและวิเคราะห์สถิติต่างๆ ของผู้ก่ออาชญากรรมทั่วประเทศ ตลอดจนวิจัยปัญหาต่างๆ เช่น ปัญหาของเรือนจำ และพฤติกรรม ผู้ต้องขัง สาเหตุของการติดยาเสพติด การหลบหนีจากเรือนจำ ฯลฯ อาจต้องคลุกคลีกับงานอาชญากรรมในที่คุมขัง ซึ่งเป็นอาชีพที่ค่อนข้างมีความเสี่ยง
4. นักอาชญาวิทยาสามารถประกอบอาชีพ ในการเป็นนักวิชาการ อาจารย์มหาวิทยาลัย และในองค์กรพัฒนาเอกชน

3.ลักษณะของบุคคลที่เหมาะกับอาชีพนักอาชญาวิทยา
ผู้สนใจประกอบอาชีพนักอาชญาวิทยาควรมีคุณสมบัติดังนี้
1. สำเร็จการศึกษาปริญญาโทในคณะที่ เปิดสอนสาขาวิชาดังกล่าว
2. มีความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับเหตุการณ์ปัจจุบันในด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมโดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศไทย
3. มีความสามารถในการศึกษาหาข้อมูล วิเคราะห์ปัญหาและสรุปเหตุผล
4. มีความรู้ความสามารถในการใช้ภาษา และถ่ายทอดอย่างเหมาะสม
5. มีความสนใจในพฤติกรรมของมนุษย์

4.ระดับรายได้ และความก้าวหน้า รวมไปถึงสวัสดิการที่เกี่ยวกับอาชีพ
ผู้ประกอบอาชีพเป็นนักอาชญาวิทยาส่วนมากจะอยู่ในสายงานของกระบวนการยุติธรรมจึงมีโอกาส ในการเลื่อนตำแหน่งในหน้าที่การงาน และถ้ารับราชการเป็นข้าราชการตำรวจก็จะได้รับการเลื่อนยศตามระเบียบของทางราชการ และมีโอกาสก้าวหน้า ไปตามสายงานในอาชีพตามลำดับ
ผู้สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจ ซึ่งศึกษาวิชาอาชญาวิทยาเป็นภาคบังคับ ในส่วนของข้าราชการพลเรือนจะต้องสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทของภาควิชาสังคมศาสตร์ และมนุษยศาสตร์ คณะรัฐศาสตร์คณะนิติศาสตร์ สาขาอาชญาวิทยา หรือวิชาเอกการบริหารงานยุติธรรม ส่วนมากจะประกอบอาชีพรับราชการในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมราชทัณฑ์ ในตำแหน่ง นักทัณฑวิทยา 3 ที่มีคุณสมบัติเฉพาะตำแหน่ง คือสำเร็จปริญญาโท หรือ เทียบได้
ไม่ต่ำกว่านี้ทางจิตวิทยาสังคม สังคมวิทยาอาชญาวิทยา หรือทัณฑวิทยา องค์กรพัฒนาเอกชน ครู-อาจารย์ ผู้ปฏิบัติงานนี้ที่สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโท จะได้รับเงินเดือนขั้นต้นตามวุฒิการศึกษาคือประมาณ 6,360 - 7,040 บาท ส่วนในองค์พัฒนาเอกชนอาจให้เงินเดือนตามวุฒิการศึกษา และประสบการณ์ในตำแหน่งที่ประกาศรับสมัคร

5.วิธีการเข้าสู่อาชีพ (การศึกษา, สาขาที่เกี่ยวข้อง, วิชา, วุฒิการศึกษา)
ผู้ที่จะประกอบอาชีพนี้ ควรเตรียมความพร้อมดังนี้คือ : เนื่องจากในระดับปริญญาตรียังไม่มีการเปิดสอนดังนั้นผู้สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี หรือผู้ที่กำลังทำงานเกี่ยวข้องกับงานกระบวนการ ยุติธรรม ต้องการนำความรู้ด้านอาชญาวิทยาซึ่งนักสังคมวิทยามองว่าเป็นวิชาสาขาหนึ่งของสังคมวิทยาไปปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้อง ในหน้าที่ให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น สามารถเข้ารับการศึกษาต่อได้ในการศึกษาระดับปริญญาโทของสถาบันต่างๆที่เปิดสอน

6.มหาวิทยาลัยหรือสถานศึกษาที่เปิดสอน
1. การศึกษาระดับปริญญาโทของภาควิชาสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ สาขาอาชญาวิทยา มหาวิทยาลัยมหิดล
2. คณะรัฐศาสตร์ สาขาวิชาสังคมวิทยา (อาชญาวิทยา) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
3. คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ หลักสูตรปริญญาโทสาขาการบริหารงานยุติธรรมมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
4. บัณฑิตวิทยาลัยสาขารัฐศาสตร์ หมวดบริหารงานยุติธรรม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
5. คณะรัฐประศาสนศาสตร์สาขาวิชาเอกบริหารงานยุติธรรมสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า)

7.ความต้องการของตลาดแรงงาน
ในตลาดแรงงานต้องการผู้ที่จบการศึกษาทางด้านนี้โดยตรง เพราะว่าหลักสูตรระดับปริญญาตรีไม่มีการเปิดสอนในสาขานี้

8.ตัวอย่างบุคคลที่อยู่ในอาชีพดัง
รศ.อัษฎางค์ ปาณิกบุตร
การศึกษา
- ประถมศึกษาจากโรงเรียนเทศบาลวัดช่างแสง อำเภอปทุมวัน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
- มัธยมศึกษาจากโรงเรียนวัดเทพศิรินทร์ รุ่น 97 – 99
- ปริญญาตรีรัฐศาสตร์ การปกครองมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
- ปริญญา”อาชญาวิทยา จาก California State University at Long Beach
- ประกาศนียบัตรโรงเรียนสงครามจิตวิทยา รุ่มที่ 21
- ประกาศนียบัตร “Socialism : Theory & Pravtice” University of Belgrade , Yugoslavia
- ประกาศนียบัตร “การบริหารงานพัฒนาที่อยู่อาศัย รุ่นที่ 18” การเคหะแห่งชาติ
- ประกาศนียบัตร “การพัฒนานักบริหารการเมือง” พรรคพลังธรรม
- ประกาศนียบัตร “Japan Deniocratic Political and Administrative System” จาก Japan International Cooperation
Agency (JICA) กรุงโตเกียวประเทศญี่ปุ่น
ผลงานด้านการเขียน
- ตำราเรียนวิชาปัญหาสังคม (SOI 60) ปัจจุบันไม่ได้ใช้แล้ว
- ตำราเรียนวิชาอาชญาวิทยาและทัณฑวิทยา (LA 406) เขียนเฉพาะส่วนทัณฑวิทยาของคณะนิติศาสตร์
- คำบรรยายวิชาการบริหารงานตำรวจ(PS468) เขียนเฉพาะส่วนบทบาทหน้าที่ของตำรวจที่มีต่อสังคม
- บทความคำสอนวิชาสัมมนาการเมืองและการปกครองท้องถิ่น
- บทความในหนังสือพิมพ์และวารสารเป็นจำนวนมาก
- หนังสือ “แนวคิดในการปฏิรูปการเมือง” จัดพิมพ์โดยสินักนโยบายศึกษา (2540)
- ตำราประกอบวิชา PS490 โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยรามคำแหง (2540)
- ตำราอ่านประกอบวิชา PS706 โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยรามคำแหง (2542)(ส่วนการเมือง)
- วิจัยเรื่อง “Sugar Trade of Thailand” 1984 ได้รับทุนจาก International Development Research Center” ประเทศ
แคนาดา (ร่วมกับอาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์อีก 1 คน)
ผลงานด้านการปฏิบัติและการบริหาร
- ผู้ช่วยคณะบดีฝ่ายกิจการนักศึกษา (2516-18)
- ประธานสภาอาจารย์ (2519-20)
- กรรมการสภามหาวิทยาลัยผู้ทรงคุณวุฒิ (2523-25)(เลือกตั้ง)
- อนุกรรมการข้าราชการพลเรือนในมหาวิทยาลัย (2525-28) (เลือกตั้ง 2 สมัย)
- คณะบดีคณะรัฐศาสตร์ (2528-2530) (เลือกตั้ง)
- รองอธิการบดีฝ่ายบริหาร (2532-34)
- เป็นประธาน รองประธาน และคณะกรรมการชุดต่างๆของมหาวิทยาลัยหลายคณะ
- รักษาการในตำแหน่ง อธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหง 15 กุมภาพันธ์ 2541 – 1 กันยายน 2541
- อดีตกรรมการการรถไฟแหงประเทศไทย
- อดีตกรรมการคณะกรรมการปฏิรูปการเมือง (2538-39)
- กรรมาธิการวิสามัญร่างพระราชบัญญัติทบวงมหาวิทยาลัย แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2534
- กรรมาธิการวิสามัญร่างพระราชบัญญัติสภาตำบล และองค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ. 2532
- กรรมาธิการวิสามัญศึกษา แนวทางแก้ไขรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2534
- กรรมาธิการวิสามัญพิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2534 แก้ไขเพิ่มเติม 2538
- กรรมาธิการวิสามัญพิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญฯมาตรา 211
- อดีตประธานที่ปรึกษานโยบายรัฐธรรมนูญช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (นายชำนิ ศักดิเศรษฐ์)
- อดีตที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการการทรวงมหาดไทย (นายอุดร ตันติสุนทร)
- อดีตที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม (นางสุดารัตน์ เกยุราพันธ์)
- อดีตที่ปรึกษาและชำนาญการประจำคณะกรรมาธิการปกครอง สภาผู้แทนราษฎร 1 สมัย (2520-2538)
- อดีตผู้ชำนาญการประจำกรรมาธิการ เยาวชน สตรีและผู้สูงอายุ (2539-41)
- (ปัจจุบัน) ผู้ชำนาญการประจำคณะกรรมาธิการทหาร สภาผู้แทนราษฎร
- (ปัจจุบัน) กรรมาธิการวิสามัญปฏิรูประบบราชการวุฒิสภา
- (งานอดิเรก)เขียนบทความในหนังสือพิมพ์และวารสาร
- (งานอดิเรก)เป็นวิทยากรให้ความรู้แก่สถาบันต่างๆและประชาชน
- (งานอดิเรก)อดีตนักฟุตบอลและหัวหน้าทีมของฟุตบอลชาติไทย ตั้งแต่ พ.ศ. 2501-2510

ปุ๋ย SO กล่าวว่า...

นางสาวแสงดาว โชติผาด ปุ๋ย รหัส 48010510724 SO
1.นักภาษาศาสตร์
2.ลักษณะอาชีพ
นักภาษาศาสตร์เป็นนักวิเคราะห์และสังเคราะห์ ลักษณะงานของนักภาษาศาสตร์มีหลากหลาย เช่น ศึกษาค้นคว้า เกี่ยวกับรากศัพท์ ลักษณะโครงสร้างของภาษา วิจัยภาษาสอนภาษา อรรถบำบัด เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ที่ทำงาน เกี่ยวกับภาษา การวางแผนภาษาการบัญญัติศัพท์ ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาษาสมัยใหม่กับภาษาโบราณ จัดทำ พจนานุกรม จัดระบบประเภทของภาษาช่วยงานบำบัดผู้มีปัญหาในการออกเสียงการแปลภาษาด้วยคอมพิวเตอร์ การเรียนการสอนภาษาต่างประเทศ การใช้ภาษาเพื่อการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ และการสืบจับคนร้ายโดยใช้ แผ่นภาพคลื่นเสียง(Spectrograph)

3.คุณสมบัติของผู้ประกอบอาชีพ
1. ถนัดและสนใจเรื่องต่าง ๆ เกี่ยวกับภาษาโดยเฉพาะภาษาไทยและภาษาต่างประเภทภาษาใดภาษาหนึ่งที่ตนเองมีความถนัด
2. สามารถใช้ภาษาในการติดต่อกับผู้อื่นได้ดี
3. สามารถวิเคราะห์ปัญหาทางภาษาด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์
4.ช่างสังเกต ช่างวิเคราะห์ มีความละเอียดรอบคอบ
5.ทำงานเป็นระบบ มีระเบียบ
6.มีมนุษยสัมพันธ์ดี

4.แนวทางในการประกอบอาชีพ
ความต้องการแรงงานยังเป็นที่ต้องการอีกมาก ทั้งภาครัฐบาล ภาครัฐวิสาหกิจและภาคเอกชน เพราะผู้ที่มีความรู้ทางภาษาศาสตร์ จะช่วยงานด้านการพัฒนาได้เป็นอย่างมาก เพราะจะเป็นผู้มีส่วนสำคัญในการติดต่อสัมพันธ์กับต่างประเทศ
1.ประกอบอาชีพรับราชการ
2.ทำงานเอกชน เช่น เป็นผู้อ่านข่าว
3.ประกอบธุรกิจส่วนตัว ล่าม นักเขียน นักแปล
4.งานวิจัยทางด้านภาษา เช่น ศึกษาวิจัยภาษาชนกลุ่มน้อยเพื่อประโยชน์ในการพัฒนาชนบท หรืองานฝึกผู้มีปัญหา ในด้านการออกเสียงและการพูด
5.ศึกษาต่อปริญญาโทและเอก ในประเทศและต่างประเทศ

5.การเตรียมตัวเข้าสู่อาชีพ
ผู้มีความถนัดและสนใจด้านภาษาศาสตร์และเข้าศึกษาต่อในคณะอักษรศาสตร์คณะโบราณคดี คณะมนุษยศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ ในสถาบันต่าง ๆในบางสถาบันมีการฝึกภาคสนามด้วย หลังจากที่จบการศึกษา ระดับปริญญาตรี ยังไม่สามารถจัดได้ว่า ผู้เรียนเป็นนักภาษาศาสตร์ นักภาษาศาสตร์ต้องได้รับการศึกษาเกี่ยวกับ ทฤษฎีและวิธีการในการศึกษาในแง่มุมต่าง ๆ ซึ่งจะต้องใช้เวลาในการศึกษาระดับปริญญาโท 2 ปี หรือปริญญาเอก 5 ปี หลังจากนี้แล้วเมื่อเข้าทำงานก็จะสามารถสร้างความชำนาญเฉพาะในอาชีพได้ สำหรับการรับนิสิตปริญญาโทของ ภาควิชาภาษาศาสตร์ จุฬาฯ ปีละประมาณ 15-20 คน ปริญญาเอก ไม่เกินปีละ 5 คน เข้าศึกษาต่อได้โดยการสอบเข้า

6.มหาวิทยาลัยหรือสถานศึกษาที่เปิดสอน
1.หาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
2.จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
3.มหาวิทยาลัยศิลปกรรม
4.มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
5.หาวิทยาลัยมหิดล
6.มหาวิทยาลัยกรุงเทพ
7.มหาวิทยาลัยรังสิต

7.ความต้องการของตลาดแรงงาน
ความต้องการแรงงานยังเป็นที่ต้องการอีกมาก ทั้งภาครัฐบาล ภาครัฐวิสาหกิจและภาคเอกชน เพราะผู้ที่มีความรู้ทางภาษาศาสตร์ จะช่วยงานด้านการพัฒนาได้เป็นอย่างมาก เพราะจะเป็นผู้มีส่วนสำคัญในการติดต่อสัมพันธ์กับต่างประเทศ ประกอบอาชีพรับราชการ ทำงานเอกชน เช่น ผู้อ่านข่าว ประกอบธุรกิจส่วนตัว ล่าม นักเขียน นักแปล งานวิจัยทางด้านภาษา เช่น ศึกษาวิจัยภาษาชนกลุ่มน้อยเพื่อ
ประโยชน์ในการพัฒนาชนบท หรืองานฝึกผู้ที่มีปัญหาในการออกเสียง
สำหรับค่าตอบแทนก็ต้องขึ้นอยู่กับงานและความสามารถของนักภาษาศาสตร์ด้วย เพราะงานสามารถประกอบด้วยหลากหลายทั้งรัฐ เอกชน หรือธุรกิจส่วนตัว เป็นสาขาที่เปิดกว้างได้ในหลายสาขาอาชีพแล้วแต่ผู้ที่สนใจในหน่วยงานด้านใด

8.บุคคลตัวอย่าง
ศาสตราจารย์ ดร. คุณหญิงสุริยา รัตนกุล เป็นนักภาษาศาสตร์ชั้นนำของไทยในปัจจุบัน ท่านผลิตงานวิจัยทางด้านภาษาศาสตร์ โดยศึกษาภาษาท้องถิ่นต่างๆ ในประเทศไว้เป็นจำนวนมาก ผลงานการวิจัยของท่านได้รับการยอมรับในแวดวงนักภาษาศาสตร์อย่างกว้างขวาง นอกจากนี้ ท่านยังเป็นอาจารย์ถวายพระอักษรภาษาฝรั่งเศสแด่ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ในระหว่างปี พ.ศ. 2513-2521
ท่านได้สมรสกับดร.พินิจ รัตนกุล มีบุตร 2 คนคือ ผู้ช่วยศาสตราจารย์สุทธพร รัตนกุล อาจารย์วิทยาลัยศาสนศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล และนายแพทย์ พิทยะ รัตนกุลผู้ซึ่งได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานนามทั้งสองคน
ประวัติการศึกษา
อักษรศาสตร์บัณฑิต (เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง) จากคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ปริญญาเอก จากมหาวิทยาลัยปารีส ประเทศฝรั่งเศส
ประวัติการทำงาน
พ.ศ. 2513 - 2517 อาจารย์ประจำคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
พ.ศ. 2517 - 2524 ผู้อำนวยการโครงการศูนย์ศึกษาวิจัยภาษาและวัฒนธรรมเอเชียอาคเนย์ มหาวิทยาลัยมหิดล
พ.ศ. 2524 จนถึงปัจจุบัน สถาบันวิจัยภาษาและวัฒนธรรมเพื่อพัฒนาชนบท มหาวิทยาลัยมหิดล (เคยดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการ 2 วาระ)
รองอธิการบดีฝ่ายสร้างเครือข่ายภายในและระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยมหิดล และยังเป็นอาจารย์พิเศษให้กับ วิทยาลัยศาสนศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล และที่ปรึกษาคณบดี คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล

น.ส. ยุพดี สาระพิมล กล่าวว่า...

นางสาวยุพดี สาระพิมล รหัส 48010511668 สาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย (EC)ชั้นปีที่ 4 ระบบปกติ คณะศึกษาศาสตร์

1. ชื่ออาชีพ นักเศรษฐศาสตร์
2. ลักษณะของอาชีพ (การทำงาน)
1. ศึกษา วิเคราะห์ วิจัย จัดทำรายงาน และวางแผนงาน เพื่อส่งเสริมพัฒนา และแก้ปัญหาทางศรษฐกิจ เกี่ยวกับการผลิต การจำหน่ายสินค้า และบริการ การลงทุน แรงงาน
2. ศึกษากรรมวิธีทั้งหมดที่เกี่ยวกับการดำรงชีพของมนุษย์ และจัดหาสิ่งต่างๆ มาบำบัดความต้องการของมนุษย์ ซึ่งได้แก่ ผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่อยู่อาศัย บริการ หรือการบันเทิง ตลอดจนการศึกษาสิ่งที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ หรือสิ่งที่ช่วยให้การพัฒนาเศรษฐกิจบรรลุผลสำเร็จ
3. ค้นหาวิธีเก็บรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลเชิงสถิติ และข้อมูลทางเศรษฐกิจ รวบรวม และตีความข้อมูลดังกล่าว
4. จัดทำรายงาน และวางแผนงานตามผลการศึกษางานทางเศรษฐกิจ และตามข้อมูลที่ได้ตีความและวิเคราะห์แล้ว
5. ให้คำปรึกษาแนะนำ แก่หน่วยงานประกอบธุรกิจอุตสาหกรรมของเอกชนหรือหน่วยงานรัฐบาลในเรื่องต่างๆ เช่น ประสิทธิภาพของการทำงานการตลาดและปัญหาเกี่ยวกับการเงิน เป็นต้น
6. อาจเชี่ยวชาญทางเศรษฐกิจสาขาใดสาขาหนึ่ง เช่น เศรษฐกิจการเกษตรเศรษฐกิจการคลัง หรือเศรษฐกิจอุตสาหกรรม การค้าระหว่างประเทศ การแรงงาน หรือราคา หรือเชี่ยวชาญในเรื่องการเก็บภาษีอากร หรือ การวิจัยตลาดและอาจมีชื่อเรียกตามความเชี่ยวชาญ
7. ศึกษา วิเคราะห์ วิจัย วางแผน เก็บรวบรวมข้อมูล ให้คำปรึกษาแนะนำแก่หน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องกับที่มาของรายได้ รายจ่าย การพัฒนาทรัพยากรธรรมชาติ การผลิต การบริโภคสินค้าและบริการ เพื่อการส่งเสริม พัฒนา และแก้ปัญหาเศรษฐกิจ

3. ลักษณะของบุคคลที่เหมาะกับอาชีพ (ความต้องการด้านบุคลากร)
นักเศรษฐศาสตร์ ต้องมีคุณสมบัติ ดังนี้
1. สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีคณะเศรษฐศาสตร์ หรือสาขาวิชา ที่เกี่ยวข้อง
2. มีความรู้และเข้าใจภาษาอังกฤษได้ดี และสามารถใช้คอมพิวเตอร์ได้ มีความถนัดและสนใจด้านคณิตศาสตร์ และสังคมศาสตร์
3. มีบุคลิกดี มีความสามารถในการเจรจาต่อรองและประนีประนอมได้ดี
4. มีวิสัยทัศน์กว้างไกล มีใจกว้าง ยอมรับฟังการติชมจากผู้อื่น
5.ซื่อสัตย์สุจริต ซื่อตรงต่อความคิดเห็นของตนเอง เสนอข้อคิดเห็นเชิงสร้างสรรค์ และเป็นกลาง
8. รักความเป็นธรรม ไม่เอารัดเอาเปรียบผู้อื่น

4. ระดับรายได้และความก้าวหน้าและสวัสดิการเกี่ยวกับอาชีพ
ผู้ที่ทำงานในหน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ จะได้รับเงินเดือนตามวุฒิการศึกษา ส่วนในภาคเอกชนจะได้รับเงินเดือนตามวุฒิการศึกษาและประสบการณ์ในการทำงาน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของบริษัทหรือองค์กรที่จ้างงาน ซึ่งไม่มีข้อกำหนดที่แน่นอนตายตัว สำหรับผู้ที่มีวุฒิการศึกษาระดับปริญญาตรีซึ่งไม่มีประสบการณ์ ถ้ารับราชการจะได้รับเงินเดือนขั้นต่ำ 7,260 บาทต่อเดือน และสำหรับภาคเอกชนจะได้รับค่าตอบแทนขั้นต่ำ
9,500 – 12,000 บาทต่อเดือน
นอกจากค่าตอบแทนเป็นเงินเดือนแล้วในภาครัฐวิสาหกิจและภาคเอกชนอาจได้รับผลประโยชน์พิเศษอย่างอื่น เช่น ค่ารักษาพยาบาล เงินสะสม เงินช่วยเหลือ สวัสดิการในรูปแบบต่างๆ เงินโบนัส ค่าล่วงเวลา เป็นต้น ผู้ปฏิบัติงานอาชีพนี้ มีชั่วโมงทำงานโดยปกติวันละ 8 ชั่วโมง หรือสัปดาห์ละ 40 ชั่วโมงและอาจต้องทำงานล่วงเวลา หรือวันเสาร์ วันอาทิตย์ หรือวันหยุด เมื่อมีความจำเป็นเร่งด่วนต้องทำงานให้เสร็จตามกำหนดเวลา

5. วิธีการเข้าสู่อาชีพ (การศึกษา,สาขาที่เกี่ยวข้อง ,วิชา,วุฒิการศึกษา)
ผู้ที่สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย หรือเทียบเท่าตามหลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการสามารถสอบคัดเลือกเข้าศึกษาต่อคณะเศรษฐศาสตร์ หรือสาขาวิชาที่เกี่ยวข้องใน สถาบันอุดมศึกษาในสังกัดทบวงมหาวิทยาลัย หลักสูตร 4 ปี
6. มหาวิทยาลัย/สถานศึกษาที่เปิดสอน
1. มหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์
2. มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
3. ธรรมศาสตร์
4. รามคำแหง
5. สุโขทัยธรรมาธิราช
6. เชียงใหม่
7. แม่โจ้
8. สุโขทัยธรรมาธิราช
9. เชียงใหม่
10. ทักษิณ
11. สงขลานครินทร์
12. กรุงเทพ
13. เกริก
14. ธุรกิจบัณฑิต
15. รังสิต
16. ศรีปทุม
17. สยาม
18. หอการค้าไทย
19. ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
20. สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง
21. มหาวิทยาลัยวงษ์ชวลิตกุล
22. มหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งเอเชีย Asian University
23. มหาวิทยาลัยฮาวล์

7. ความต้องการของตลาดแรงงาน
สามารถประกอบอาชีพเป็นพนักงานในธนาคาร พนักงานในองค์การระหว่างประเทศ เจ้าของธุรกิจส่วนตัว นักวิจัย นักวิชาการด้านธุรกิจการค้าและเศรษฐกิจ สถาบันการเงินทั่วไป อาจารย์ในสถาบันอุดมศึกษา ในตลาดแรงงานยังมีความต้องการ นักเศรษฐศาสตร์อีกมาก เพื่อพัฒนาธุรกิจของหน่วยงานและประเทศให้สามารถพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศและสามารถแข่งขันทางการค้าในภาวะเศรษฐกิจโลกที่เปลี่ยนแปลงไปให้ทันต่อเหตุการณ์ เวลา และถูกต้อง เนื่องจากทุกประเทศมีจุดมุ่งหมายให้มีรายได้เข้าประเทศให้มากที่สุด เพื่อให้ประชากรมีการกินดีอยู่ดี และสร้างประเทศให้มั่งคั่ง การแข่งขันทางการค้าและมาตรการกีดกันทางการค้าจึงมีความเข้มข้นและรุนแรงมากขึ้นโดยลำดับ ซึ่งจะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจ
โดยรวมของประเทศ นอกจากนี้นักเศรษฐศาสตร์สามารถเปลี่ยนแปลงตำแหน่ง หน้าที่ และหน่วยงานที่ตนปฏิบัติได้เสมอ อาจจะเป็นนักวิเคราะห์ระบบ นักวิจัย และนักวางแผนทางเศรษฐกิจ เป็นต้น
โอกาสความก้าวหน้าในอาชีพ
ผู้ประกอบอาชีพนี้ สามารถประกอบอาชีพได้หลายประเภท ในสถานที่ต่างๆ ได้หลายแห่งทั้งที่เป็นหน่วยงานของราชการ รัฐวิสาหกิจ สถาบันการเงิน บริษัท ห้างร้านต่างๆ องค์กรพัฒนาเอกชน และได้รับการเลื่อนตำแหน่งจนถึงตำแหน่งหัวหน้างาน หัวหน้าฝ่าย ผู้จัดการฝ่าย ผู้อำนวยการ ผู้จัดการใหญ่ในภาคเอกชน ส่วนในภาครัฐ ถ้ามีการศึกษาในระดับที่สูงกว่าระดับ ปริญญาตรี มีประสบการณ์ และมีความสามารถในการบริหารงานจะสามารถเลื่อนขั้น เลื่อนตำแหน่งจนถึงระดับบริหารสูงสุดในหน่วยงานนั้น โดยทั่วไปผู้ที่มีโอกาสได้รับการศึกษาต่อในระดับปริญญาโทและปริญญาเอก สาขาเศรษฐศาสตร์ หรือวิชาการบริหารธุรกิจก็สามารถเลื่อนวิทยฐานะหรือตำแหน่งงานที่สูงขึ้นได้อย่างรวดเร็ว หรืออาจเป็นอาจารย์สอนในมหาวิทยาลัยที่เปิดสอนสาขาวิชา เศรษฐศาสตร์
8. ตัวอย่างบุคคลที่อยู่ในอาชีพดังกล่าว (เรื่องราวโดยย่อ)
ดร.วีรพงษ์ รามางกูร
เขาเป็นนักเศรษฐศาสตร์คนเดียวในสังคมไทยที่ทรงอิทธิพลที่สุดในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา "ความคิด" ของเขาเป็นสิ่งที่สัมผัสได้เสมอ แต่นั่นย่อมมิใช่ปัจจัยเดียวของ "อิทธิพล" ทั้งมวลของเขา
ยิ่งไปกว่านั้นเขาอาจจะได้ชื่อว่าเป็น "เทคโนแครต" คนสุดท้ายที่มีภูมิหลังและเส้นทางชีวิตและการทำงานด้านนโยบายของ รัฐ มีความต่อเนื่องภายใต้ระบบการเมืองไทย จากยุคกึ่งเปิดกึ่งปิดไปสู่ระบบเปิด "ผมทำงานตั้งแต่ปี 2523 คงทนที่สุด ต่อเนื่องที่สุด และเห็นมากที่สุด" เขาเองก็ยอมรับอย่างนั้น
ดร.วีรพงษ์ รามางกูร เริ่มมีบทบาทใน ด้านนโยบายเศรษฐกิจ ตั้งแต่เป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ในยุคพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ที่ถือเป็นนายกรัฐมนตรีที่ดำรงตำแหน่ง ต่อเนื่องยาวนานที่สุดคนหนึ่งในการเมืองไทย (2523-2531) และจากนั้นวีรพงษ์ก็มีโอกาสดำรงตำแหน่งทางการเมืองเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง และรองนายกรัฐมนตรี ปัจจุบันก็ยังเป็นที่ปรึกษาอย่างไม่เป็นทางการ ของทีมทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน "ปกติเขามาประชุมกับทีมที่ปรึกษา สัปดาห์ละ 1 ครั้ง" พันศักดิ์ วิญญรัตน์ ประธานที่ปรึกษานโยบายนายกรัฐมนตรี (ทักษิณ ชินวัตร) บอกว่าอย่างนั้น นอกจากนี้เวลาที่มีการประชุมเรื่องนโยบายสำคัญก็เข้าร่วมด้วย
"เวลามีการพรีเซ็นต์งานนโยบายเศรษฐกิจสำคัญก็ไปด้วย ไม่มีตำแหน่งอะไร ไปในฐานะนายวีรพงษ์" วีรพงษ์ รามางกูร ก็ว่าไว้อย่างนั้น ทั้งนี้จากนี้ไปเขาตั้งใจว่าจะไม่เข้าร่วมบริหารงานด้านการเมืองโดยตรงอีกแล้ว โดยเขาบอกว่า ทำมานานแล้ว และจากนี้ไปก็จะให้ความเห็นในเรื่องนโยบายเศรษฐกิจตามที่เห็นสมควร "จากนี้ก็ทำงานหากินไป เก็บสตางค์ให้ลูกให้เมีย"
ดร.วีรพงษ์ เป็นตัวอย่างคนที่มาจากฐานรากของสังคมที่เติบโตในหน้าที่การงาน เริ่มต้นจากความเป็นคนเรียนเก่ง ภายใต้ระบบการศึกษาของไทย ดังนั้นดูเหมือนเขาจะไม่ให้ความสำคัญในการวิตกวิจารณ์ระบบการศึกษาไทย เช่นที่ผู้คนทั่วไปกำลังทำกัน
ดร.วีรพงษ์ รามางกูร เป็นอาจารย์เศรษฐมิติคนแรกๆ ของไทย (จบปริญญา โท-เอก ทางเศรษฐศาสตร์ University of Pennsylvania, U.S.A.) ทำให้เขาต้องเดินสายสอนหนังสือหลายมหาวิทยาลัย เป็นที่รู้จักกันมากทีเดียว จนถึงเป็นคณบดีคณะเศรษฐ ศาสตร์ จุฬาฯ ด้วยวัยยังไม่ถึง 40 ปี ทำให้เขาได้เข้าร่วมอยู่ในงานด้านนโยบายของรัฐบาล ซึ่งถือเป็นช่วงประสบการณ์ที่สำคัญที่สุดของชีวิต ทำให้เขาได้มีโอกาสทำงานอีก มากมายในชีวิต ไม่ว่าทางการเมืองจนถึงชีวิต ที่สบายๆ ในปัจจุบัน
"เป็นที่ปรึกษานายกฯ ป๋าเปรมตั้งให้เป็นกรรมการระดับชาติหลายคณะ เข้าร่วมประชุมคณะรัฐมนตรีด้วย บางครั้งป๋าก็เรียกให้แสดงความเห็น เราไม่ได้เป็นรัฐมนตรี ไม่ ได้เป็นข้าราชการ อาศัยบารมีนายกฯ ทำให้ คนเกรงใจพอสมควร" เขากล่าวสรุปถึงบทบาทในช่วงนั้น ซึ่งเป็นที่รู้กันว่าเขานั่งในคณะกรรมการด้านนโยบายเศรษฐกิจหลายชุด ไม่ว่าจะเป็นกรรมการธนาคารชาติ หรือสภาพัฒนฯ
เรื่องราวบทบาทสำคัญของเขาในฐานะที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจที่มีบทบาทต่อเนื่องที่สุด และได้รับความไว้วางใจอย่างมาก เป็นที่เล่าขานและสื่อได้เขียน ถึงเรื่องนี้มามากแล้วในช่วง 10 ปีมานี้ โดยเฉพาะบทบาทในการตัดสินใจลด ค่าเงินในช่วงปี 2527 อันพิสูจน์ว่าเป็น การตัดสินใจที่สำคัญในการแก้ปัญหา เศรษฐกิจในระยะเวลาต่อมา ซึ่งตัวเขาเองก็ภูมิใจในบทบาทนี้อย่างมาก เสมอมา แม้กระทั่งการสนทนาล่าสุด กับ "ผู้จัดการ" เขายังเน้นว่า "จังหวะ ดีที่ได้รับโอกาสทำงานกับป๋าเปรม สำคัญมาก" เมื่อถูกยุให้เขียนเรื่องราว ครั้งนั้นเป็นหนังสือเล่ม เขาย้ำว่า "8 ปีครึ่ง มีเรื่องทุกอาทิตย์เป็นความ สำเร็จของประเทศไทย จากวิกฤติมา เป็นฟองสบู่"
วันนี้เขามีตำแหน่งสำคัญทางธุรกิจหลายตำแหน่งโดยเฉพาะเป็นประธานคณะกรรม การบริหารบริษัทแอดวานซ์อะกริโกร ของกลุ่มเกษตรรุ่งเรือง และเป็นที่ปรึกษาธนาคารกรุงเทพ ทำให้มีการพบปะกับพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เป็นประจำเดือนละครั้งในที่ประชุมนั่นด้วย เขาบอกว่าเขาไม่เคยคิดมาก่อนว่ารายได้จากการทำงานเอกชนจะมีมากมายเพียงนี้ จากประสบการณ์ใหม่นี้ทำให้เขามีความเข้าใจธุรกิจในมิติที่กว้างมากขึ้น ในสายตานักเศรษฐศาสตร์ มหภาค โดยเขามีพื้นฐานความเชื่อว่านักธุรกิจสามารถปรับตัวได้ดีในสถานการณ์ต่างๆ ทั้งมี ความคิดยืดหยุ่นกับเห็นใจนักธุรกิจมากขึ้น "ทฤษฎีสมัยใหม่ บอกว่าคนที่ให้กับสังคมคือคนที่สร้างเนื้อสร้างตัว คนที่เอา จากสังคมคือคนบริโภค... ผมดูนายทุนไทยเมื่อเปรียบเทียบนายทุนฝรั่ง นายทุนไม่ค่อยใช้เงินนัก มีเงินแล้วลงทุนต่อ เวลาเศรษฐกิจตกก็หมดตัว ที่จะมีเกาะสวาท หาดสวรรค์ มีเรือบินส่วนตัว มีเรือยอชต์แพงๆ ผมไม่เห็นมี มีบ้างแต่ไม่ถึงระดับเศรษฐีฝรั่ง เพราะฉะนั้น เอาล่ะ! พออยู่กันได้" นี่คือความคิดของเขาที่พอจับได้

kaskaka กล่าวว่า...

นางสาวเกษสุดา ไผ่โสภา สาขาวิชาภาษาไทย รหัส 48010511210 ชั้นปีที่ 4 คณะศึกษาศาสตร์
1. ชื่ออาชีพ ช่างสำรวจ Surveyor
นิยามอาชีพ ผู้ปฏิบัติงานอาชีพนี้ ได้แก่ ผู้ควบคุมและทำการสำรวจพื้นดินและท้องน้ำ เพื่องานทำแผนที่หรือแผนภูมิงานก่อสร้าง งานเหมืองแร่ หรือเพื่องานอื่นๆ โดยการกำหนดสถานที่ตั้ง และวาดภาพแสดงลักษณะภูมิประเทศรวมถึงการสำรวจบริเวณพื้นดินและท้องน้ำ การสำรวจบริเวณทะเล และเหมืองแร่ และการสำรวจประเภทอื่นๆ เป็นผู้ช่วยนักสำรวจเกี่ยวกับการใช้ และดูแลรักษาเครื่องมือต่างๆ ในขณะปฏิบัติงาน ช่วยแปลข้อมูลที่ได้จากงานสนาม และทำงานอื่นๆที่คล้ายคลึงกัน
2. ลักษณะของอาชีพ(การทำงาน)
1. ควบคุม และทำการสำรวจพื้นดิน และท้องน้ำ เพื่อการทำแผนที่หรือแผนภูมิ งานก่อสร้าง งานเหมืองแร่ หรืองานอื่นๆ โดยกำหนดสถานที่ตั้ง
2. วาดภาพแสดงลักษณะภูมิประเทศ ตรวจสอบบันทึก แผนที่ แผนผัง โฉนด และเอกสารที่เกี่ยวข้องตลอดจนทำการคำนวณเบื้องต้น ซึ่งจำเป็นสำหรับงานสำรวจ
3. ตรวจสอบ และปรับกล้องรังวัด หรือกล้องทำแผนที่เข็มทิศ โต๊ะสำรวจ และเครื่องมือสำรวจอื่นๆ
4. สำรวจ และสั่งงานผู้ช่วย เพื่อให้การปฏิบัติงานตรงตามสถานที่ที่กำหนด และเพื่อความแน่นอนเกี่ยวกับการวัดระหว่างจุดต่างๆ ความสูงชัน เส้นและมุม ความสูงต่ำของพื้นดิน และข้อมูลที่เกี่ยวกับพื้นผิวดิน พื้นที่ใต้ดิน และพื้นที่ใต้ท้องน้ำ
5. ทำการคำนวณเพื่อตรวจสอบความถูกต้องของสิ่งที่วัดได้
6. บันทึกการใช้มาตรการต่างๆ และการคำนวณ รวมทั้งการเขียนแบบร่างพื้นที่บริเวณที่ทำการสำรวจ
7. จัดทำแบบวาดโดยละเอียด และทำรายงาน
3. ลักษณะของบุคคลที่เหมาะกับอาชีพ(ความต้องการด้านบุคคล)
คุณสมบัติของผู้ประกอบอาชีพ มีดังนี้
1. สำเร็จการศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ และประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง
2. มีร่างกายแข็งแรง สามารถทำงานหนักได้
3. มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ชอบการคิดคำนวณ และงานทดลอง
4. มีความเป็นผู้นำ มีมนุษยสัมพันธ์ดี
5. มีความเชื่อมั่น แก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ดี
6. มีความละเอียดรอบคอบ ชอบการบันทึก
7. สามารถวิเคราะห์ และตัดสินใจแก้ปัญหาที่เกิดจากการทำงานได้
ผู้ที่จะประกอบอาชีพนี้ ควรเตรียมความพร้อมดังนี้คือ: ผู้สนใจประกอบอาชีพนี้ในระดับช่างฝีมือต้องสำเร็จการศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ(ปวช.) สาขาวิชาช่างสำรวจจากสถานศึกษาสังกัดกรม อาชีวศึกษา หรือสถาบันเทคโนโลยีราชมงคล หรือ
สำเร็จการศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) สาขาวิชาช่างสำรวจจากสถานศึกษาสังกัดกรมอาชีวศึกษา หรือสาขาวิชาช่างกลโรงงานจากสถานศึกษาสังกัดสถาบันเทคโนโลยีราชมงคลสำหรับผู้เข้าสู่ตลาดแรงงานใหม่ที่มีอายุตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไป เมื่อสำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาปีที่ 3 หรือเทียบเท่าขึ้นไป และเข้ารับการฝึกในสถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน หรือศูนย์พัฒนาฝีมือแรงงานจังหวัดเป็นเวลา 10 เดือน และส่งไปฝึกงานในสถานประกอบการ 4 เดือน รวมระยะเวลาฝึกทั้งหมด 14 เดือน จึงจะได้รับวุฒิบัตรพัฒนาฝีมือแรงงาน (วพร.) แนวการฝึกเน้นภาคปฏิบัติ 70% ความรู้ความสามารถที่ จำเป็น ได้แก่ อ่านแบบ เขียนแบบก่อสร้าง เทคนิคการก่อสร้าง อาคารขนาดเล็ก การสำรวจรังวัด หลักการบริหารงานก่อสร้าง การประมาณราคาและการปฏิบัติงานควบคุมงานก่อสร้างทั้งในห้องเรียน โรงฝึกงานและออกฝึกในสถานการณ์จริงบริเวณสถานที่ก่อสร้าง
4. ระดับรายได้และความกว้าหน้ารวมไปถึงสวัสดิการที่เกี่ยวกับอาชีพ
ช่างสำรวจที่สำเร็จการศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง ที่ไม่มีประสบการณ์จะได้รับเงินเดือนโดยประมาณดังนี้
วุฒิการศึกษา เงินเดือน
ราชการ เอกชน
ประกาศนียบัตรวิชาชีพ 4,700 4,500-5,500
ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง 5,740 5,500-6,500

สำหรับงานเอกชนนั้น อัตราเงินเดือนขึ้นอยู่กับความสามารถ ความชำนาญงาน และวุฒิการศึกษาของแต่ละบุคคล นอกเหนือจากเงินเดือน และค่าจ้างประจำแล้ว อาจได้รับผลประโยชน์พิเศษอย่างอื่นในรูปของสวัสดิการต่างๆ เช่น ค่ารักษาพยาบาล ค่าเล่าเรียนบุตร โบนัส บำเหน็จ บำนาญ
ผู้ปฏิบัติงานอาชีพนี้ทำงานสัปดาห์ละ 40 ชั่วโมง อาจจะต้องทำงานวันเสาร์ วันอาทิตย์ และวันหยุด หรือต้องทำงานล่วงเวลา ในกรณีที่ต้องการให้งานติดตั้งหรือซ่อมบำรุงเครื่องจักรให้ทันการใช้งาน
โอกาสความก้าวหน้าในอาชีพ
ผู้ประกอบอาชีพช่างสำรวจที่มีประสบการณ์และความชำนาญ จะได้รับการเลื่อนขั้น เลื่อนตำแหน่งขึ้นไปจนถึงระดับหัวหน้างาน และสำหรับผู้ที่สนใจที่จะศึกษาต่อเพื่อปรับ วิทยฐานะให้สูงขึ้น เพื่อประโยชน์ในการประกอบอาชีพต่อไป มีแนวทางในการศึกษาต่อ ดังนี้
ผู้สำเร็จการศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ(ปวช.) ศึกษาต่อระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) หลักสูตร 2 ปี ประเภทวิชาช่างอุตสาหกรรม หรือสาขาวิชาที่เกี่ยวข้องในสถานศึกษาสังกัดกรมอาชีวศึกษา หรือสถาบันเทคโนโลยีราชมงคล หรือวิทยาลัยเทคโนโลยีอุตสาหกรรม สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือหรือ ระดับปริญญาตรี หลักสูตร 4 ปี คณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาวิชาวิศวกรรมโยธาสถาบันเทคโนโลยีราชมงคล หรือสถานศึกษาสังกัดทบวงมหาวิทยาลัย เช่น มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่นมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี เป็นต้น ผู้สำเร็จการศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) ศึกษาต่อ ระดับปริญญาตรี ต่อเนื่อง 3-3 ปีครึ่ง สาขาวิชาวิศวกรรมโยธา คณะวิศวกรรมศาสตร์ หรือสถานศึกษาสังกัดสถาบันเทคโนโลยีราชมงคล หรือระดับปริญญาตรีต่อเนื่อง 2-3 ปี สาขาวิชาวิศวกรรมโยธา คณะวิศวกรรมศาสตร์ ในสถานศึกษาสังกัดสถาบันเทคโนโลยีราชมงคล
5. วิธีการเข้าสู่อาชีพ(การศึกษา, สาขาที่เกี่ยวข้อง, วิชา, วุฒิการศึกษา)
ผู้สนใจประกอบอาชีพนี้ในระดับช่างฝีมือต้องสำเร็จการศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ(ปวช.) สาขาวิชาช่างสำรวจจากสถานศึกษาสังกัดกรม อาชีวศึกษา หรือสถาบันเทคโนโลยีราชมงคล หรือ สำเร็จการศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) สาขาวิชาช่างสำรวจจากสถานศึกษาสังกัดกรมอาชีวศึกษา หรือสาขาวิชาช่างกลโรงงานจากสถานศึกษาสังกัดสถาบันเทคโนโลยีราชมงคลสำหรับผู้เข้าสู่ตลาดแรงงานใหม่ที่มีอายุตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไป เมื่อสำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาปีที่ 3 หรือเทียบเท่าขึ้นไป และเข้ารับการฝึกในสถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน หรือศูนย์พัฒนาฝีมือแรงงานจังหวัดเป็นเวลา 10 เดือน และส่งไปฝึกงานในสถานประกอบการ 4 เดือน รวมระยะเวลาฝึกทั้งหมด 14 เดือน จึงจะได้รับวุฒิบัตรพัฒนาฝีมือแรงงาน (วพร.) แนวการฝึกเน้นภาคปฏิบัติ 70% ความรู้ความสามารถที่ จำเป็น ได้แก่ อ่านแบบ เขียนแบบก่อสร้าง เทคนิคการก่อสร้าง อาคารขนาดเล็ก การสำรวจรังวัด หลักการบริหารงานก่อสร้าง การประมาณราคาและการปฏิบัติงานควบคุมงานก่อสร้างทั้งในห้องเรียน โรงฝึกงานและออกฝึกในสถานการณ์จริงบริเวณสถานที่ก่อสร้าง
6. มหาวิทยาลัยหรือสถานที่เปิดสอน
สถานศึกษาสังกัดกรม อาชีวศึกษา
1. มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล
2. วิทยาลัยเทคนิคพิษณุโลก
3. วิทยาลัยเทคนิคนิคมมหาสารคาม
ฯลฯ
7. ความต้องการของตลาดแรงงาน
นายจุฑาธวัช อินทรสุขศรี ปลัดกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่ากระทรวงแรงงานได้ให้สถานบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทสวิจัยถึงความต้องการของตลาดซึ่งพบว่าประเทศไทยยังมีความต้องการแรงอยู่ประมาณ7-8 แสนคน ขณะที่แรงงานหลบหนีเข้าเมืองกว่าล้านคน และด้วยเหตุที่ประเทศกำลังขาดแรงงาน กระทรวงแรงงานจึงได้นำแรงงานเหล่านี้มาทำงานตามความต้องการของตลาดแรงงานไปพลางก่อนจึงจะส่งกลับ ซึงชุดแรกนี้จะมีประมาณ 5 แสนคน โดยจะมีการต่ออายุให้ทุกปี ส่วนที่เหลืออีก 2 แสนคนนั้นกระทรวงแรงงานจะมาดูว่าตลาดแรงงานมีความต้องการจริงหรือไม่ เพราะไม่อยากส่งแรงงานไปเกินความต้องการ
อย่างไรก็ตามความต้องการของตลาดแรงงานนั้น ในถาคใต้จะมีความต้องการแรงงานมากมี่สุด ซึ่งเหตุผลของการขาดแคลนแรงงานในถาคใต้น่าจะมาจากปัยหาความมั่นคงเป็นหลัก ทั้งนี้กระทรวงแรงงานเปิดแรงงานต่างด้าวมาขึ้นทะเบียนแรงงานได้อยู่แล้วโดยจะเปิดเป็นชุดๆซึ่งชุด แรกจะเปิดใหเริ่มต่อออายุในเดือนกุมภาพันธ์นี้
ปลัดกระทรวงแรงงาน กลาวด้วว่า แรงงานต่างด้าว ที่เข้ามาทำงานในประเทสไทยจะมีแรงงานที่ถูกกฎหมายและผิดกฎหมายวึ่งแรงงานที่ถูกกฎหมายส่วนให่จะเป็นแรงงานเกี่ยวกับช่างฝีมือที่กระทรวงแรงงานอนุญาตให้เข้ามาทำงานได้ตามความต้องการของตลาดหรืดตามความจำเป็น
8. ตัวอย่างบุคคลที่อยู่ในอาชีพดังกล่าว(เรื่องราวโดยย่อ)
คุณนาถฤดี เพียรเจริญ
สำหรับพี่แรงบันดาลใจให้พี่มาเรียนทางด้านวิศวฯ ก็คือคุณพ่อ คุณพ่อพี่จบจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พี่เลยได้รับแรงบันดาลใจจากการที่ได้เห็นคุณพ่อทำงาน เวลาที่ท่านไปต่างจังหวัด ไปออก Field เราก็ติดไปด้วย รู้สึกว่างานทางด้านนี้ดูน่าสนใจดี
ตอนเริ่มต้นเข้าปี 1 ได้เริ่มเรียนทางด้าน Chemical Engineering ซึ่งตอนนั้นไม่ได้เลือกเพราะที่จุฬาฯสมัยนั้น เค้าใช้วิธีการแบ่งตามเกรด และคะแนนที่พี่เข้าไปเนี่ยก็ถือว่าอยู่ในระดับค่อนข้างใช้ได้ เลยถูกคัดเลือกให้ไปเรียนแผนกเคมี เรียนไปได้ซัก 1 ปี ตอนนั้นแผนก Petroleum Engineering เป็นแผนกใหม่เพิ่งเปิดไปได้เพียงรุ่นเดียว ของรุ่นพี่นี่ถือว่าเป็นรุ่นที่ 2 ซึ่งพอดีไปได้ข้อมูลในเรื่องปิโตรเลียมจากการได้ไปพูดคุยกับรุ่นพี่ เพื่อน ๆ แล้วก็ได้ไปปรึกษาอาจารย์ทางแผนกปิโตรเลียมตอนนั้นด้วย เราคิดว่ามันก็น่าสนใจ ดูน่าจะมีอนาคต เมื่อเรียนจบพี่เริ่มต้นทำงานที่ ปตท.สผ. โดยตอนเริ่มต้นได้ไปทำงานทางแผนก Production ซึ่งตอนนั้นที่ ปตท.สผ. Drilling & Production จะเป็นแผนกเดียวกัน พี่ก็เข้าไปทำทั้ง 2 อย่าง โดยเริ่มต้นเข้าไปทำทาง Production ก่อน แล้วต่อมาก็ไปทำทาง Drilling หลังจากทำงานกับทาง ปตท.สผ. มาประมาณ 4 ปีจึงย้ายมาทำงานกับบริษัทยูโนแคลไทยแลนด์ ตอนที่พี่มาเริ่มทำงานกับยูโนแคลจะเริ่มจาก Reservoir Engineer ซึ่งเป็นลักษณะงานที่จะดูเกี่ยวกับการประเมินปริมาณสำรองของก๊าซธรรมชาติ ปริมาณกักเก็บใต้ดินเป็นอย่างไร รวมทั้งการ Forecast ว่าเราจะผลิตได้ขนาดไหน ทำงาน 24 ชั่วโมง บางทีเที่ยงคืน ตีสามก็ต้องลุกมา อีกอย่างหนึ่งที่พี่คิดว่าจะเป็นจุดสำคัญสำหรับหัวหน้างานเกือบทุกคน ก็คือ ต้องเป็นคนที่กล้าแสดงออกที่ถูกต้อง เช่นหากเรามีความคิดที่เราคิดว่าน่าจะดี น่าจะเป็นประโยชน์ เราอยากจะเสนอความคิดอันนั้น ซึ่งแม้ว่าอาจจะขัดแย้งกับความคิดของคนอื่นเราก็ควรหาโอกาสจะแสดงความเห็นอันนั้นไป แต่เวลาจะแสดงความเห็นก็ต้องให้เหมาะสม ให้สุภาพ คือไม่ใช่ว่าเราจะไปทะเลาะเบาะแว้งกับใคร แต่ว่าอย่าปิดกั้นความคิดของตัวเอง

ทิวานันท์ วิชาญ กล่าวว่า...

นางสาวทิวานันท์ วิชาญ รหัสนิสิต 48010511235 คณะศึกษาศาสตร์ สาขาภาษาไทย ชั้นปีที่4

1.ชื่ออาชีพ
ศัลยแพทย์ (Surgeon)
2.ลักษณะของอาชีพ (การทำงาน)
วินิจฉัยโรคและให้การรักษาโรค การบาดเจ็บและอาการอื่นๆ ด้วยวิธีการอายุรกรรมหรือศัลยกรรม แก่ผู้ป่วย ผู้ได้รับบาดเจ็บ หรือทุพพลภาพ และหญิงมีครรภ์ ทำการผ่าตัดใหญ่และผ่าตัดเล็กชนิดต่างๆ เพื่อรักษาอาการบาดเจ็บ โรค หรือความผิดปกติของร่างกายมนุษย์ วินิจฉัยโรค สั่งยา และให้การรักษาทางศัลยกรรม ในความผิดปกติในร่างกาย และจิตใจของมนุษย์ ทำการวิจัยปัญหาทางแพทย์และปฏิบัติงานที่ต้องใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ รวมถึงการตรวจร่างกาย การวินิฉัยโรค การสั่งยา การผ่าตัดเล็ก และการรักษาอาการบาดเจ็บของโรค และอาการ ผิดปกติต่างๆ ทำการผ่าตัดใหญ่และผ่าตัดเล็กชนิดต่างๆ เพื่อรักษาอาการบาดเจ็บ โรค หรือความผิดปกติ ทำงานเฉพาะการให้คำแนะนำและรักษาทางยาหรือทางผ่าตัดเกี่ยวกับโรคหรือความผิดปกติเฉพาะอย่าง ตรวจค้นโรคและความผิดปกติต่างๆ ของมนุษย์ เพื่อทราบลักษณะแก่นแท้สมติฐาน อาการแสดงผลของโรค และความผิดปกตินั้นๆ ช่วยกำหนดวิธีการรักษา ตรวจร่างกายมนุษย์หรือวัตถุจากร่างกายมนุษย์ หรือวัตถุพยานอื่นๆ ที่เกี่ยวกับทางการแพทย์ เพื่อค้นหาและชันสูตรเหตุของความผิดปกติในร่างกาย

3.ลักษณะของบุคคลที่เหมาะกับอาชีพ(ความต้องการด้านบุคลากร)
1.สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีคณะแพทยศาสตร์
2.ขยันสนใจในการศึกษาหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์และภาษาอังกฤษเป็นอย่างดี
3.มีสุขภาพสมบูรณทั้งร่างกายและจิตใจไม่พิการหรือทุพพลภาพ ปราศจากโรค (อันเป็นอุปสรรคต่อการศึกษา)
4.สามารถอุทิศตนยอมเสียสละเวลาและความสุขส่วนตนเพื่อช่วยเหลือผู้อื่นที่เดือดร้อนจากการเจ็บป่วย มีจิตใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ไม่รังเกียจผู้เจ็บป่วย มีความเมตตา และมีความรักในเพื่อนมนุษย์ มีความเสียสละที่จะเดินทางไปรักษาพยาบาล ผู้คนในชุมชนทั่วประเทศ
5. มีมารยาทดี สามารถเข้ากับบุคคลอื่นได้ ทุกระดับ มีความอดทน อดกลั้น และมีความกล้าหาญ
6. มีความซื่อสัตย์ในวิชาชีพของตน มีคุณธรรมและจริยธรรมทางการแพทย์ไม่ใช้ความรู้ทางวิชาการ ของตนไปหลอกลวงหรือทำลายผู้อื่นๆ

4.ระดับรายได้และความก้าวหน้ารวมไปถึงสวัสดิการที่เกี่ยวกับอาชีพ

ผู้ประกอบอาชีพนี้ได้รับรายได้เป็นเงินเดือนตามวุฒิการศึกษาตำแหน่งศัลยแพทย์ที่สำเร็จ การศึกษาและไม่มีประสบการณ์ในการทำงานมีอัตราเงินเดือน ดังนี้
หน่วยงาน
วุฒิการศึกษา ราชการ รัฐวิสาหกิจ เอกชน
ปริญญาตรี 8,190 9,500-10,500 15,000-16,000
ปริญญาโท 9,040 15,000-12,000 23,000- 24,500
ปริญญาเอก 10,600 21,000-22,000 28,000-30,000
นอกจากผลตอบแทนในรูปเงินเดือนแล้วในภาครัฐวิสาหกิจและเอกชนอาจได้รับผลตอบแทนในรูปอื่น เช่น ค่ารักษาพยาบาล เงินสะสม เงินช่วยเหลือสวัสดิการในรูปต่างๆ เงินโบนัส เป็นต้น สำหรับผู้ที่จบการศึกษาแพทย์สามารถประกอบธุรกิจส่วนตัวโดยมีรายได้ขึ้นอยู่กับความสามารถและความอุตสาหะ
โอกาสความก้าวหน้าในอาชีพ
ผู้ที่ประกอบอาชีพศัลยแพทย์ ที่มีความชำนาญและประสบการณ์ จะได้เลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่งจนถึงระดับผู้บริหาร หากมีความสามารถในการบริหาร หรืออาจจะประกอบธุรกิจส่วนตัวโดยเปิดคลินิก รับรักษาคนไข้ทั่วไป นอกเวลาทำงานเป็นรายได้พิเศษ สำหรับผู้ที่มีความชำนาญมีความสามารถ มีชื่อเสียง คนไข้จะแนะนำกันต่อไป และหากมีทีมงานที่มีความสามารถ รวมทั้งมีเงินทุนจำนวนมากก็สามารถเปิดโรงพยาบาลได้เช่นกัน
ปัจจุบันการผ่าตัดไม่ได้ทำเพื่อการบำบัดรักษาอย่างเดียว ยังมีการผ่าตัดเพื่อเสริมความงามหรือเพื่อช่วยบรรเทาความพิการ เช่น ศัลยกรรมพลาสติก หรือศัลยกรรมเพื่อความงาม ซึ่งกำลังเป็นที่นิยม เพราะค่านิยมในด้านความงามได้เปลี่ยนไปจากเดิมที่ปล่อยให้ร่างกาย ใบหน้า รูปร่าง ให้เป็นไปตามธรรมชาติ ก็นิยมที่จะผ่าตัดเปลี่ยนแปลงให้สวยงดงามตามที่ต้องการ โดยการผ่าตัดหรือการเสริมความงามอื่นๆ โดยเฉพาะปัจจุบันมีเทคโนโลยีใหม่มาช่วยในการศัลยกรรมทำให้การผ่าตัดที่เป็นเรื่องยากและอันตราย กลายเป็นเรื่องง่ายและอันตรายน้อยลง

5.วิธีการเข้าสู่อาชีพ
ผู้สำเร็จหลักสูตรมัธยมศึกษาตอนปลายหรือประกาศนียบัตรอื่นที่กระทรวงศึกษาธิการเทียบเท่าและสามารถสอบผ่านวิชาต่างๆ ในการคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษาในสถาบันอุดมศึกษา คือวิสามัญ 1 คณิตศาสตร์ กข. เคมี ฟิสิกส์ ชีววิทยา ภาษาอังกฤษ กข. และความถนัดทางการแพทย์ ตลอดจนการสอบสัมภาษณ์และการตรวจร่างกาย เมื่อผ่านการทดสอบจึงมีสิทธิ์เข้าศึกษาแพทย์

6.มหาวิทยาลัยหรือสถานศึกษาที่เปิดสอน
1.มหาวิทยาลัยมหิดล
2.จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
3.มหาวิทยาลัยขอนแก่น
4.มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
5.วิทยาลัยแพทยศาสตร์กรุงเทพมหานครและวชิรพยาบาล
6.มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒน์
ฯลฯ

7.ความต้องการของตลาดแรงงาน
ศัลยแพทย์เป็นอาชีพที่มีรายได้ดี สามารถรับราชการโดยทำงานในโรงพยาบาล สถานีอนามัยหรือหน่วยงานฝ่ายการแพทย์ของกระทรวง ทบวงกรมต่างๆหรือทำงานในโรงพยาบาลเอกชนทั่วไป นอกจากนี้ยังสามารถมีรายได้พิเศษด้วยการเปิดคลินิกส่วนตัวรับรักษาคนไข้นอกเวลาทำงานประจำได้อีก และแนวโน้มของตลาดแรงงานสำหรับอาชีพนี้ยังคงมีอยู่ เนื่องจากประเทศไทยยังขาดแคลนศัลยแพทย์อยู่เป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะในต่างจังหวัดและชนบทที่ห่างไกลจากความเจริญในตัวเมือง

8.ตัวอย่างบุคคลที่อยู่ในอาชีพดังกล่าว
สิระ บุณยะรัตเวช
ท่านศาสตราจารย์เปรม บุรี, ท่านหัวหน้าภาควิชาศัลยศาสตร์–ศาสตราจารย์กฤษฎารัตนโอฬาร, เพื่อนศัลยแพทย์ร่วมอาชีพทุกท่านและท่านผู้มีเกียรติทั้งหลาย ผมขอขอบคุณที่ได้เชิญให้มาบรรยายในปาฐกถา เปรม บุรีครั้งที่สองในวันนีผมถือว่าเป็นเกียรติอย่างสูงและมีความเต็มใจที่รับมาบรรยายโดยเหตุผลสองประก ารประการที่หนึ่งผมมีความรักเคารพอาจารย์หมอเปรมมาตั้งแต่ได้เป็นลูกศิษย์เมื่อสมัยผมเป็นนัก เรียนแพทย์จนกระทั่งถึงทุกวันนี้ และประการที่สอง ผมมีความรักในวิชาชีพของผม ดังนั้นถ้ามีโอกาสใดที่ผมอาจจะเป็นประโยชน์กับวิชาชีพนี้ ผมฉวยโอกาสนั้นทำให้ทันทีโดยไม่ลังเลใจเลย
ผมได้มีโอกาสร่วมทำงานกับอาจารย์หมอเปรมมาหลายครั้งหลายคราวนับตั้งแต่ได้จบ เป็นแพทย์มาอาจารย์หมอเปรมและผมได้ประดิษฐ์เครื่อง heart - lung machine ที่คงจะเป็นเครื่องแรกในประเทศไทยโดยได้ประดิษฐ์เมื่อประมาณพศ. ๒๔๙๙ - ๒๕๐๐ เราประดิษฐ์และทำเครื่องมือเองทั้งหมดอย่างครบถ้วนโดยใช้ motor ขับให้ pump ซึ่งขอให้ช่างกลโรงพยาบาลศิริราชช่วยกลึงเหล็กให้เป็นไปตามที่เราควบคุมอยู่ ตลอดเวลา และใช้ ท่อ plastic ที่ผมไปเดินหาซื้อจากเวิ้งนครเขษม แล้วเคลือบด้วย silicone solution ที่อาจารย์หมอเปรมหามาจากเมืองนอก เราออกแบบลอกเลียน heart-lung machine จากรูปในวารสารการแพทย์และเมื่อสำเร็จลงแล้วก็ได้ทดลองกับสุนัขหลายตัว และผมจำได้ว่าสุนัขตัวสุดท้ายได้รอดชีวิตเป็นปรกติดีหลังจากได้ใช้ heart-lung machine ที่เราประดิษฐ์เองนี้
run เป็นเวลาหลายชั่วโมง และนอกจากนี้เรายังได้ทดสอบการทำ hypothermia ในสุนัข โดยใช้ pump ของเรานี้เอาเลือดจากสุนัขมาทำให้เย็นหลายครั้งด้วยกันจนกระทั่งมีความมั่นใ จว่าสามารถทำได้และให้ความปลอดภัยอย่างเต็มที่จึงได้ทำการผ่าตัดโดยใช้ hypothermia เป็นครั้งแรกในประเทศไทยกับคนไข้ที่เป็น aneurysm ของ abdominal aorta เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๑ เราได้รายงานในที่ประชุมวิชาการของโรงพยาบาลศิริราชเมื่อปลายปี ๒๕๐๑ ก่อนที่ผมจะเดินทางไปศึกษาที่ประเทศอังกฤษ
วันหนึ่ง สองสามปีก่อนที่โรงพยาบาลรามาธิบดีจะเปิด ผมยังจำได้อย่างชัดเจนถึงคำพูดของอาจารย์หมอเปรมที่ได้กล่าวว่า “เมื่อคืนหมออารีเขามาขอร้องให้ผมเป็นหัวหน้าภาควิชาศัลยศาสตร์ของโรงเรียนแ พทย์ใหม่ ผมอยากให้หมอไปทำงานด้วยกันกับผม” คำพูดของท่านนั้นทำให้ผมมีความภูมิใจมากและได้ตอบรับคำกับท่านทันที โรงเรียนแพทย์ใหม่ที่อาจารย์หมอเปรมพูดถึงได้แก่คณะแพทยศาสตร์รามาธิบดีนี้เ องผมเป็นคนที่โชคดีที่ได้มีโอกาสทำงานในวิชาชีพนี้อย่างยาวนานจนถึงปัจจุบัน และได้มีโอกาสพบและทำงานใกล้ชิดกับศัลยแพทย์ที่มีชื่อเสียงทั้งในเมืองไทยแล ะต่างประเทศหลายท่าน ในวันนี้ผมอยากจะนำคุณสมบัติที่ดีของท่านเหล่านั้นมาบรรยายให้ทุกคนได้พิจาร ณา เพื่อที่จะได้จดจำคุณสมบัติที่ดีไว้ปฏิบัติเป็นตัวอย่างต่อไป ศัลยแพทย์ที่ผมจะได้เอ่ยนามในการบรรยายนี้ได้เป็น hero และ role model ของผมมาตลอดจนกระทั่งถึงทุกวันนี้และผมอยากจะให้ท่านทั้งหลายได้ทราบคุณสมบั ติที่ดีเหล่านี้และนำไปพิจารณาเป็นประโยชน์ต่อไป
ก่อนอื่นผมจะต้องขอกล่าวถึงลักษณะจำเพาะของศัลยแพทย์เสียก่อน

สุพรรณี หมู่เพชร กล่าวว่า...

น.ส. สุพรรณี หมู่เพชร รหัส 48010511876 กลุ่ม 4

พนักงานขาย Sale man
1.ชื่ออาชีพ
พนักงานขาย Sale man
2.ลักษณะของอาชีพ ( การทำงาน )
1.การแสวงหาลูกค้าและการพิจารณาคุณสมบัติของลูกค้า
ลูกค้าผู้คาดหวัง (Prospect) คือบุคคลหรือธุรกิจที่มีโอกาสในการที่จะมาซื้อผลิตภัณฑ์ ดังนั้นผู้คาดหวังอาจหมายถึงนิติบุคคล สถาบัน หรือบุคคลธรรมดาที่มีคุณสมบัติเพียงพอและมีศักยภาพที่จะมาซื้อสินค้า หรือใช้บริการของกิจการและเมื่อผู้คาดหวังซื้อผลิตภัณฑ์ก็จะเปลี่ยนสภาพมาเป็นลูกค้า
วิธีการแสวงหาลูกค้าผู้คาดหวัง
งานแสวงหาลูกค้าผู้คาดหวังจะต้องดำเนินงานอย่างมีหลักเกณฑ์ ต้องมีการเก็บข้อมูลที่ถูกต้องและสัมพันธ์กับผลิตภัณฑ์ที่ขาย และมีการกำหนดแผนงาน รวบรวมรายชื่อลูกค้าผู้คาดหวังอย่างสม่ำเสมอ แหล่งที่มาของรายชื่อลูกค้าผู้คาดหวังมักจะมาจากแหล่งต่างๆ ดังต่อไปนี้คือ
1. การสอบถาม (Inquiries)
กิจการเป็นจำนวนมากที่ได้ลูกค้าใหม่จากการที่ลูกค้าเหล่านั้นสอบถามเข้ามาทางบริษัทเอง ซึ่งอาจจะเป็นการติดต่อมาทางจดหมาย โทรศัพท์ หรือติดต่อด้วยตนเอง และส่วนมากจะติดต่อสอบถามมาเนื่องมาจากการโฆษณาของกิจการ หรือจากการได้รับจดหมายตรงหรือแคตตาล็อก

2. โซ่ไม่มีปลาย (Endless Chain Method)
ลักษณะของเทคนิคโซ่ไม่มีปลายนี้ จะเป็นการแนะนำต่อๆ ไปของลูกค้าของพนักงานขาย นับเป็นแหล่งที่มาของรายชื่อลูกค้าที่ใหญ่และนิยมใช้มากที่สุดแหล่งหนึ่ง เนืองจากวิธีนี้เป็นลักษณะของการได้รายชื่อลูกค้าอย่างต่อเนื่องอยู่ตลอดเวลา โดยการให้ลูกค้าใหม่หรือลูกค้าเก่าแนะนำรายชื่อเพื่อน หรือคนรู้จักที่มีศักยภาพในการที่จะซื้อผลิตภัณฑ์ได้ให้แก่พนักงานขาย เหมาะสำหรับใช้กับการขายผลิตภัณฑ์ที่มีราคาต่อหน่วยสูง หรือขายบริการประเภทต่างๆ เช่น ประกันชีวิต เป็นต้น

3. ศูนย์อิทธิพล (Center of Influence Method)
วิธีนี้เป็นวิธีที่คล้ายกับโซ่ไม่มีปลาย เพียงแต่ศูนย์อิทธิพลที่พนักงานขายจะติดต่อด้วยนั้น จะต้องเป็นผู้ที่มีอิทธิพลทางด้านความคิดเห็นต่อลูกค้าผู้คาดหวัง ตังอย่างของศูนย์อิทธิพลได้แก่ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน นักวิศวกร ครูอาจารย์ บุคคลที่มีชื่อเสียง เป็นต้น เมื่อพนักงานขายสามารถเข้าถึงบุคคลทีเป็นศูนย์อิทธิพลได้ ย่อมนำไปสู่การติดต่อกับบุคคลอื่นได้ และมีโอกาสเป็นไปได้มากที่จะขายผลิตภัณฑ์นั้นได้

4. งานนิทรรศการและการแสดง (Exhibitions and Demonstration)
เป็นการแสวงหาลูกค้าโดยการหาจากประชาชนที่เข้าชมนิทรรศการหรืองานแสดงสนค้าที่จัดขึ้น และได้แสดงความสนใจในผลิตภัณฑ์นั้นๆ เป็นวิธีที่จะได้ลูกค้าคาดหวังที่มีโอกาสเป็นลูกค้าได้ง่าย เนื่องจากพวกเขามีความสนใจเป็นพื้นฐานในผลิตภัณฑ์นั้นอยู่แล้ว
5. รายชื่อ (List)
พนักงานขายสามารถหารายชื่อลูกค้าผู้คาดหวังด้วยตนเองได้โดยวิธีการค้นหารายชื่อจากแหล่งต่างๆ เช่น สมุดโทรศัพท์ สมาชิกของสโมสรต่างๆ หนังสืออนุสรณ์ของสถานการศึกษา สมาคมศิษย์เก่า รายชื่อผู้ถือบัตรเครดิตจากสถาบันการเงิน รายงานการประชุมประจำปีของบริษัทต่างๆ เป็นต้น
6. เพื่อนและคนรู้จัก (Friends and Acquaintances)
เป็นวิธีที่แสวงหาลูกค้าผู้คาดหวังโดยการขอรายชื่อจากเพื่อน คนคุ้นเคย หรือญาติมิตรของพนักงานขายเอง เป็นแหล่งที่เหมาะสำหรับพนักงานขายที่เพิ่งทำอาชีพการขายใหม่ ที่ยังไม่รู้จักแหล่งอื่นในการหาลูกค้าผู้คาดหวัง ซึ่งมักจะเป็นแหล่งที่ได้รับความช่วยเหลือเป็นอย่างดี
7. การตระเวนหาลูกค้า (cold-canvass Method)
เป็นเทคนิคการแสวงหาลูกค้าที่พนักงานขายบางประเภทนิยมใช้กันอยู่ โดยการตระเวนหาลูกค้าไปตามแหล่งของผู้คาดหวังในเขตที่ตนเองรับผิดชอบอยู่ โดยไม่มีการสำรวจหรือวางแผนล่วงหน้า พนักงานขายจะไม่มีข้อมูลใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับลูกค้าที่เข้าพบแต่ประการใด และเมื่อลูกค้าผู้คาดหวังคนใดที่ไม่ใช่เป็นผู้ซื้อก็จะถูกคัดออกไป วิธีนี้เหมาะสำหรับการขายผลิตภัณฑ์ง่าย
8. วิธีอื่นๆ (Other Method)
ได้แก่ การใช้จดหมายหรือโทรศัพท์ การสังเกตส่วนตัว การค้นหาชื่อจากสื่อมวลชน หรือการใช้วิธีหาข้อมูลจากบุคคลทั่วไป เช่น พนักงานเก็บค่าไฟ บุรุษไปรษณีย์ คนส่งหนังสือพิมพ์ เสมียนพิมพ์ดีด คนเฝ้าลิฟต์ ช่างเสริมสวย เป็นต้น
การพิจารณาคุณสมบัติของลูกค้าผู้คาดหวัง (Qualifying Prospects)
การพิจารณาคุณสมบัติของลูกค้าผู้คาดหวัง คือการค้นหาข้อมูลและรายละเอียดต่างๆ ของลูกค้าผู้คาดหวังเพิ่มเติมก่อนการเข้าพบ เพื่อพิจารณาว่าลูกค้าผู้คาดหวังนั้น มีความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหนที่ซื้อผลิตภัณฑ์ของเรา หรือผู้ที่มีคุณสมบัติตรงกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่กำหนดขึ้นมานั้น ไม่ใช่ทั้งหมดที่มาเป็นลูกค้าหรือผู้ซื้อผลิตภัณฑ์ของเรา ลูกค้าผู้คาดหวังบางคนเท่านั้นที่จะมีโอกาสมาเป็นลูกค้าของเรา ผู้คาดหวังที่มีคุณสมบัติคือ ลูกค้าผู้ซึ่งมีความสามรถ โดยทั่วไป คุณสมบัติของลูกค้าผู้คาดหวังจะต้องมี คือ
1. มีความต้องการในผลิตภัณฑ์ที่กิจการจำหน่ายอยู่
2. ต้องมีความสามรถในการจ่าย
3. ต้องมีอำนาจในการตัดสินใจซื้อ
4. ต้องสามารถเข้าไปทำการเสนอขายได้
5. ต้องมีคุณสมบัติอื่นๆ ตรงตามเงื่อนไขที่กิจการกำหนด หรือต้องมีความพร้อมที่จะซื้อ
3.ลักษณะของบุคคลที่เหมาะกับอาชีพ
1. เป็นคนที่มีความเชื่อมั่นในตัวเองสูง
2. เป็นคนที่มีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดี
3. มีความรับผิดชอบ มีระเบียบวินัยสูง มีความอดทน
4. ใจกว้างสามารถรับฟังคำติชมของบุคคลอื่นได้
5. ไม่จำเป็นว่าต้องเรียนจบสูงหรือจบอะไรมาเพราะว่าทุกคนสามารถทำอาชีพนี้ได้
6. มีใจรักในการให้บริการ การขายสินค้า
4. ระดับรายได้
รายได้หลักของพนักงานขายนี้จะเริ่มต้นที่ประมาณ 7,000 – 8,500 บาท และยังจะได้จากค่าคอมมิสชั่น คือ ค่าที่เราขายของได้อีกต่างหากพูดง่ายๆคือเปอเซ็นต์ที่เราต้องได้จากการขายของ
5.วิธีเข้าสู่อาชีพ (การศึกษา, สาขาที่เกี่ยวข้อง, วิชา, วุฒิการศึกษา)
หากเป็นแค่พนักงานขายทั่วไปนั้นไม่จำเป็นต้องจบการศึกษาในระดับปริญญาตรีเพียงแค่จบการศึกษาขั้นพื้นฐานตามหลักของกระทรวงศึกษาธิการก็เพียงพอแล้วเพียงแต่เรามีประสบการณ์เราก็สามารถทำงานพนักงานขายได้แล้ว แต่หากว่าเราต้องการทำงานในตำแหน่งที่สูงๆแล้วเราก็จำเป็นต้องจบการศึกษาในระดับปริญญาตรีเป็นอย่างน้อย ในสาขาวิชา การตลาด ซึ่งเปิดสอนในทุกมหาวิทยาลัย
6.มหาวิทยาลัยหรือสถานศึกษาที่เปิดสอน
คณะบริหารและการจัดการ ภาควิชาสาขาการตลาด มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา
และมหาวิทยาลัยเกือบทุกแห่งของประเทศไทย


7.ความต้องการของตลาดแรงงาน
ความต้องการของตลาดแรงงานของงานอาชีพนี้นั้นค่อนข้างเยอะเหมือนกันเพราะว่าสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ใหม่ๆทุกวันนี้นั้นมีออกมาใหม่ๆเยอะมากมายจนล้นตลาดซึ่งแต่ละอย่างนั้นก็ต้องแข่งขันกันโฆษณาเพื่อแสดงให้เห็นว่าสินค้าของตนนั้นดีกว่าของคนอื่นดังนั้นทางเจ้าของผลิตภัณฑ์นั้นย่อมต้องการบุคคลอาชีพนี้เพื่อที่จะแนะนำหรือขายสินค้าของตนให้ได้มากที่สุด
8.บุคคลตัวอย่างที่ประกอบอาชีพนี้
น.ส.กิตลัดดา หมู่หัวนา
จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา คณะการจัดการ สาขาการตลาดประกอบอาชีพพนักงานขายของตัวแทนจำหน่ายของ TOSHIBA ตั้งแต่จบการศึกษาปริญญาตรี ปัจจุบันมีเงินเดือน 9,500 ยังไม่รวมเงินค่าคอมมิชชั่น หรือค่าจากการที่เราขายของได้ทางบริษัทจะจ่ายเป็นพิเศษให้กับเรา

สุพรรณี หมู่เพชร กล่าวว่า...

น.ส. สุพรรณี หมู่เพชร รหัส 48010511876 กลุ่ม 4
คณะศึกษาศาสตร์ เอก การศึกษาพิเศษ

พนักงานขาย Sale man
1.ชื่ออาชีพ
พนักงานขาย Sale man
2.ลักษณะของอาชีพ ( การทำงาน )
1.การแสวงหาลูกค้าและการพิจารณาคุณสมบัติของลูกค้า
ลูกค้าผู้คาดหวัง (Prospect) คือบุคคลหรือธุรกิจที่มีโอกาสในการที่จะมาซื้อผลิตภัณฑ์ ดังนั้นผู้คาดหวังอาจหมายถึงนิติบุคคล สถาบัน หรือบุคคลธรรมดาที่มีคุณสมบัติเพียงพอและมีศักยภาพที่จะมาซื้อสินค้า หรือใช้บริการของกิจการและเมื่อผู้คาดหวังซื้อผลิตภัณฑ์ก็จะเปลี่ยนสภาพมาเป็นลูกค้า
วิธีการแสวงหาลูกค้าผู้คาดหวัง
งานแสวงหาลูกค้าผู้คาดหวังจะต้องดำเนินงานอย่างมีหลักเกณฑ์ ต้องมีการเก็บข้อมูลที่ถูกต้องและสัมพันธ์กับผลิตภัณฑ์ที่ขาย และมีการกำหนดแผนงาน รวบรวมรายชื่อลูกค้าผู้คาดหวังอย่างสม่ำเสมอ แหล่งที่มาของรายชื่อลูกค้าผู้คาดหวังมักจะมาจากแหล่งต่างๆ ดังต่อไปนี้คือ
1. การสอบถาม (Inquiries)
กิจการเป็นจำนวนมากที่ได้ลูกค้าใหม่จากการที่ลูกค้าเหล่านั้นสอบถามเข้ามาทางบริษัทเอง ซึ่งอาจจะเป็นการติดต่อมาทางจดหมาย โทรศัพท์ หรือติดต่อด้วยตนเอง และส่วนมากจะติดต่อสอบถามมาเนื่องมาจากการโฆษณาของกิจการ หรือจากการได้รับจดหมายตรงหรือแคตตาล็อก

2. โซ่ไม่มีปลาย (Endless Chain Method)
ลักษณะของเทคนิคโซ่ไม่มีปลายนี้ จะเป็นการแนะนำต่อๆ ไปของลูกค้าของพนักงานขาย นับเป็นแหล่งที่มาของรายชื่อลูกค้าที่ใหญ่และนิยมใช้มากที่สุดแหล่งหนึ่ง เนืองจากวิธีนี้เป็นลักษณะของการได้รายชื่อลูกค้าอย่างต่อเนื่องอยู่ตลอดเวลา โดยการให้ลูกค้าใหม่หรือลูกค้าเก่าแนะนำรายชื่อเพื่อน หรือคนรู้จักที่มีศักยภาพในการที่จะซื้อผลิตภัณฑ์ได้ให้แก่พนักงานขาย เหมาะสำหรับใช้กับการขายผลิตภัณฑ์ที่มีราคาต่อหน่วยสูง หรือขายบริการประเภทต่างๆ เช่น ประกันชีวิต เป็นต้น

3. ศูนย์อิทธิพล (Center of Influence Method)
วิธีนี้เป็นวิธีที่คล้ายกับโซ่ไม่มีปลาย เพียงแต่ศูนย์อิทธิพลที่พนักงานขายจะติดต่อด้วยนั้น จะต้องเป็นผู้ที่มีอิทธิพลทางด้านความคิดเห็นต่อลูกค้าผู้คาดหวัง ตังอย่างของศูนย์อิทธิพลได้แก่ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน นักวิศวกร ครูอาจารย์ บุคคลที่มีชื่อเสียง เป็นต้น เมื่อพนักงานขายสามารถเข้าถึงบุคคลทีเป็นศูนย์อิทธิพลได้ ย่อมนำไปสู่การติดต่อกับบุคคลอื่นได้ และมีโอกาสเป็นไปได้มากที่จะขายผลิตภัณฑ์นั้นได้

4. งานนิทรรศการและการแสดง (Exhibitions and Demonstration)
เป็นการแสวงหาลูกค้าโดยการหาจากประชาชนที่เข้าชมนิทรรศการหรืองานแสดงสนค้าที่จัดขึ้น และได้แสดงความสนใจในผลิตภัณฑ์นั้นๆ เป็นวิธีที่จะได้ลูกค้าคาดหวังที่มีโอกาสเป็นลูกค้าได้ง่าย เนื่องจากพวกเขามีความสนใจเป็นพื้นฐานในผลิตภัณฑ์นั้นอยู่แล้ว
5. รายชื่อ (List)
พนักงานขายสามารถหารายชื่อลูกค้าผู้คาดหวังด้วยตนเองได้โดยวิธีการค้นหารายชื่อจากแหล่งต่างๆ เช่น สมุดโทรศัพท์ สมาชิกของสโมสรต่างๆ หนังสืออนุสรณ์ของสถานการศึกษา สมาคมศิษย์เก่า รายชื่อผู้ถือบัตรเครดิตจากสถาบันการเงิน รายงานการประชุมประจำปีของบริษัทต่างๆ เป็นต้น
6. เพื่อนและคนรู้จัก (Friends and Acquaintances)
เป็นวิธีที่แสวงหาลูกค้าผู้คาดหวังโดยการขอรายชื่อจากเพื่อน คนคุ้นเคย หรือญาติมิตรของพนักงานขายเอง เป็นแหล่งที่เหมาะสำหรับพนักงานขายที่เพิ่งทำอาชีพการขายใหม่ ที่ยังไม่รู้จักแหล่งอื่นในการหาลูกค้าผู้คาดหวัง ซึ่งมักจะเป็นแหล่งที่ได้รับความช่วยเหลือเป็นอย่างดี
7. การตระเวนหาลูกค้า (cold-canvass Method)
เป็นเทคนิคการแสวงหาลูกค้าที่พนักงานขายบางประเภทนิยมใช้กันอยู่ โดยการตระเวนหาลูกค้าไปตามแหล่งของผู้คาดหวังในเขตที่ตนเองรับผิดชอบอยู่ โดยไม่มีการสำรวจหรือวางแผนล่วงหน้า พนักงานขายจะไม่มีข้อมูลใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับลูกค้าที่เข้าพบแต่ประการใด และเมื่อลูกค้าผู้คาดหวังคนใดที่ไม่ใช่เป็นผู้ซื้อก็จะถูกคัดออกไป วิธีนี้เหมาะสำหรับการขายผลิตภัณฑ์ง่าย
8. วิธีอื่นๆ (Other Method)
ได้แก่ การใช้จดหมายหรือโทรศัพท์ การสังเกตส่วนตัว การค้นหาชื่อจากสื่อมวลชน หรือการใช้วิธีหาข้อมูลจากบุคคลทั่วไป เช่น พนักงานเก็บค่าไฟ บุรุษไปรษณีย์ คนส่งหนังสือพิมพ์ เสมียนพิมพ์ดีด คนเฝ้าลิฟต์ ช่างเสริมสวย เป็นต้น
การพิจารณาคุณสมบัติของลูกค้าผู้คาดหวัง (Qualifying Prospects)
การพิจารณาคุณสมบัติของลูกค้าผู้คาดหวัง คือการค้นหาข้อมูลและรายละเอียดต่างๆ ของลูกค้าผู้คาดหวังเพิ่มเติมก่อนการเข้าพบ เพื่อพิจารณาว่าลูกค้าผู้คาดหวังนั้น มีความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหนที่ซื้อผลิตภัณฑ์ของเรา หรือผู้ที่มีคุณสมบัติตรงกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่กำหนดขึ้นมานั้น ไม่ใช่ทั้งหมดที่มาเป็นลูกค้าหรือผู้ซื้อผลิตภัณฑ์ของเรา ลูกค้าผู้คาดหวังบางคนเท่านั้นที่จะมีโอกาสมาเป็นลูกค้าของเรา ผู้คาดหวังที่มีคุณสมบัติคือ ลูกค้าผู้ซึ่งมีความสามรถ โดยทั่วไป คุณสมบัติของลูกค้าผู้คาดหวังจะต้องมี คือ
1. มีความต้องการในผลิตภัณฑ์ที่กิจการจำหน่ายอยู่
2. ต้องมีความสามรถในการจ่าย
3. ต้องมีอำนาจในการตัดสินใจซื้อ
4. ต้องสามารถเข้าไปทำการเสนอขายได้
5. ต้องมีคุณสมบัติอื่นๆ ตรงตามเงื่อนไขที่กิจการกำหนด หรือต้องมีความพร้อมที่จะซื้อ
3.ลักษณะของบุคคลที่เหมาะกับอาชีพ
1. เป็นคนที่มีความเชื่อมั่นในตัวเองสูง
2. เป็นคนที่มีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดี
3. มีความรับผิดชอบ มีระเบียบวินัยสูง มีความอดทน
4. ใจกว้างสามารถรับฟังคำติชมของบุคคลอื่นได้
5. ไม่จำเป็นว่าต้องเรียนจบสูงหรือจบอะไรมาเพราะว่าทุกคนสามารถทำอาชีพนี้ได้
6. มีใจรักในการให้บริการ การขายสินค้า
4. ระดับรายได้
รายได้หลักของพนักงานขายนี้จะเริ่มต้นที่ประมาณ 7,000 – 8,500 บาท และยังจะได้จากค่าคอมมิสชั่น คือ ค่าที่เราขายของได้อีกต่างหากพูดง่ายๆคือเปอเซ็นต์ที่เราต้องได้จากการขายของ
5.วิธีเข้าสู่อาชีพ (การศึกษา, สาขาที่เกี่ยวข้อง, วิชา, วุฒิการศึกษา)
หากเป็นแค่พนักงานขายทั่วไปนั้นไม่จำเป็นต้องจบการศึกษาในระดับปริญญาตรีเพียงแค่จบการศึกษาขั้นพื้นฐานตามหลักของกระทรวงศึกษาธิการก็เพียงพอแล้วเพียงแต่เรามีประสบการณ์เราก็สามารถทำงานพนักงานขายได้แล้ว แต่หากว่าเราต้องการทำงานในตำแหน่งที่สูงๆแล้วเราก็จำเป็นต้องจบการศึกษาในระดับปริญญาตรีเป็นอย่างน้อย ในสาขาวิชา การตลาด ซึ่งเปิดสอนในทุกมหาวิทยาลัย
6.มหาวิทยาลัยหรือสถานศึกษาที่เปิดสอน
คณะบริหารและการจัดการ ภาควิชาสาขาการตลาด มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา
และมหาวิทยาลัยเกือบทุกแห่งของประเทศไทย


7.ความต้องการของตลาดแรงงาน
ความต้องการของตลาดแรงงานของงานอาชีพนี้นั้นค่อนข้างเยอะเหมือนกันเพราะว่าสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ใหม่ๆทุกวันนี้นั้นมีออกมาใหม่ๆเยอะมากมายจนล้นตลาดซึ่งแต่ละอย่างนั้นก็ต้องแข่งขันกันโฆษณาเพื่อแสดงให้เห็นว่าสินค้าของตนนั้นดีกว่าของคนอื่นดังนั้นทางเจ้าของผลิตภัณฑ์นั้นย่อมต้องการบุคคลอาชีพนี้เพื่อที่จะแนะนำหรือขายสินค้าของตนให้ได้มากที่สุด
8.บุคคลตัวอย่างที่ประกอบอาชีพนี้
น.ส.กิตลัดดา หมู่หัวนา
จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา คณะการจัดการ สาขาการตลาดประกอบอาชีพพนักงานขายของตัวแทนจำหน่ายของ TOSHIBA ตั้งแต่จบการศึกษาปริญญาตรี ปัจจุบันมีเงินเดือน 9,500 ยังไม่รวมเงินค่าคอมมิชชั่น หรือค่าจากการที่เราขายของได้ทางบริษัทจะจ่ายเป็นพิเศษให้กับเรา

นางสาวสุขสรรค์ หมุ่ยศรี (ซัน) กล่าวว่า...

นางสาวสุขสรรค์ หมุ่ยศรี 48010511673 4EC
1.ชื่ออาชีพ
วิศวกรอุตสาหการ Industrial Engineer
ร2.หัสอาชีพ
0-28.10 (TSCO) 2149 (ISCO)
3.นิยามอาชีพ
ผู้ปฏิบัติงานอาชีพนี้ ทำหน้าที่วิเคราะห์วางแผน ออกแบบ และควบคุมงานตามแผนการผลิต รวมทั้งวิธีการควบคุมการทำงาน และต้นทุนการผลิต และวิธีทำงานโดยปลอดภัย เพื่อให้ประสิทธิภาพ การผลิตสูงขึ้น

4.ลักษณะของงานที่ทำ
1. ออกแบบ วิเคราะห์วิธีการผลิต และปรับปรุงกระบวนการต่างๆ ทางอุตสากรรม เช่นการผลิต การจัดการและการตลาดใช้ระบบที่มีความสัมพันธ์ระหว่างคน วัสดุ อุปกรณ์ และเครื่องจักร ซึ่งจะนำพื้นฐานความรู้ด้านวิทยาศาสตร์การจัดการมาใช้ เป็นต้น
2. ตรวจสอบสถิติต่างๆ เช่น สถิติการขายผลผลิตและวัสดุที่สิ้นเปลือง เป็นต้น รวมทั้งศึกษา แผนผังของโรงงานผลิต นำเครื่องจักรใหม่ๆมาใช้เปลี่ยนแปลง ปรับปรุง และดัดแปลงเครื่องจักรเพื่อให้มีประสิทธิภาพในการผลิตสูงขึ้น
3. จัดวางเครื่องจักร และสายงานเพื่อให้ได้ปริมาณผลผลิตสูงที่สุด โดยให้คุณภาพของผลิตภัณฑ์ต้นทุน ความปลอดภัย และปัจจัยอื่นๆ คงที่
4. แก้ไขปัญหาที่เกี่ยวข้องกับหลักการทางเศรษฐศาสตร์ในการใช้เงิน วัสดุ เวลา กำลังการผลิตของคนงานและเครื่องจักรที่ใช้ในการผลิต
5. ตรวจดูกรรมวิธีการผลิตในโรงงานอุตสาหกรรม ตรวจงานในฝ่ายผลิต วางระเบียบ และประสานงานระหว่างฝ่ายสำนักงานกับฝ่ายโรงงานแนะนำวิธีการต่างๆ ที่จะเพิ่มประสิทธิภาพ การผลิตให้สูงขึ้น ริเริ่ม และวางแนวทางในการดำเนินงานที่จะเพิ่มผลผลิตของสถานประกอบการ
6. ศึกษา และพิจารณากำหนดหน้าที่การงานให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด ตรวจสอบและกำหนดระดับอัตราค่าจ้างที่สมดุลย์กับค่าของงานที่คนงานทำในลักษณะเดียวกัน อาจศึกษาลักษณะหน้าที่งานที่ทำเฉพาะอย่าง และแนะนำวิธีปรับปรุงการทำงานให้ดีขึ้น
7. อาจทำงานเป็นลูกจ้างขององค์การใดองค์การหนึ่ง หรือทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาอิสระให้แก่ องค์การที่ต้องการคำปรึกษาแนะนำ และความช่วยเหลือ
8. วิศวกรอุตสาหการอาจแบ่งสาขาเฉพาะออกได้เป็นวิศวกรรมการจัดการระบบข้อมูลคอมพิวเตอร์ วิศวกรรมการปฏิบัติงานของมนุษย์ วิศวกรรมความปลอดภัยการวิจัยการปฏิบัติงาน และวิศวกรรมการผลิตอุตสาหกรรม
5.ระดับรายได้
ผู้ปฏิบัติงานอาชีพนี้ได้รับค่าตอบแทนการทำงานเป็นเงินเดือนตามวุฒิการศึกษาตำแหน่งวิศวกรอุตสาหการที่สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีและไม่มีประสบการณ์ในการทำงานจะได้รับเงินเดือน ในอัตรา ดังนี้
ประเภทองค์กร เงินเดือน
ราชการ 6,360
รัฐวิสาหกิจ 7,210
เอกชน 12,000 - 18,000

โดยปกติทำงานสัปดาห์ละ 40 ชั่วโมง แต่อาจจะต้องทำงานวันเสาร์ อาทิตย์ และวันหยุด หรือทำงานล่วงเวลาในกรณีที่ต้องการให้งานที่ได้รับมอบหมายเสร็จให้ทันต่อการใช้งาน
6.สภาพการทำงาน
สถานที่ทำงานของวิศวกรอุตสาหการจะมีสภาพเหมือนที่ทำงานทั่วไป คือเป็นสำนักงานที่มีอุปกรณ์สิ่งอำนวยความสะดวก เช่น สำนักงานทั่วไป แต่โดยลักษณะงานที่จะต้องควบคุมงานการผลิต จึงจำเป็นที่จะต้องตรวจดูงานในโรงงานที่ทำการผลิตอย่างสม่ำเสมอ เนื่องจากต้องควบคุมดูแลงานการผลิตให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด สำหรับงานหรือสถานที่ทำงานที่เสี่ยงต่อความไม่ปลอดภัยในการทำงาน วิศวกรอุตสาหการจะต้องใช้อุปกรณ์คุ้มครองส่วนบุคคลในขณะปฏิบัติงาน
7.คุณสมบัติของผู้ประกอบอาชีพ
ผู้ประกอบอาชีพนี้ ต้องมีคุณสมบัติ ดังนี้
1. ต้องเป็นผู้ที่สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี คณะวิศวกรรมศาสตร์บัณฑิต (วศ.บ.)
2. เป็นผู้ที่มีความคิดสร้างสรรค์ มุ่งมั่นค้นคว้าอย่างต่อเนื่องเพื่อหาวิธีที่ประหยัด และ มีประสิทธิภาพมากขึ้น
3. มีวิสัยทัศน์ และสนใจกับเหตุการณ์ข่าวสารที่เกิดขึ้นตลอดเวลารับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น และมีจรรยาบรรณของวิศวกร
4. มีความอดทน และเข้มแข็งทั้งร่างกาย และจิตใจ มีอารมณ์เยือกเย็น มีความคิดสุขุม
5. มีลักษณะเป็นผู้นำ ทั้งนี้งานส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับการควบคุมคนเป็นจำนวนมาก
6. มีพื้นฐานความรู้ทางวิทยาศาสตร์ ฟิสิกส์ ภาษาอังกฤษและคณิตศาสตร์เป็นอย่างดี
8.ผู้สนใจประกอบอาชีพนี้ สามารถเตรียมความพร้อมเข้าสู่อาชีพดังนี้ :
สำเร็จการศึกษาในระดับมัธยมศึกษาตอนปลายสาขาวิทยาศาสตร์ หรือประกาศนียบัตรวิชาชีพจากสถานศึกษาที่กระทรวงศึกษาธิการรับรองวิทยฐานะ เพื่อเข้าศึกษาต่อระดับอุดมศึกษา ระยะเวลาการศึกษา 4 ปี เมื่อสำเร็จการศึกษาแล้วจะได้ปริญญาวิศวกรรมศาสตร์บัณฑิต (วศ.บ.) ในสาขาที่เรียน หรือ
สำเร็จการศึกษาในระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง ที่ศึกษาเกี่ยวกับทางด้านช่าง จากสถานศึกษาที่กระทรวงศึกษาธิการรับรองวิทยฐานะ เพื่อเข้าศึกษาต่อระดับอุดมศึกษา ระยะเวลาการศึกษา 2 ปี (หลักสูตรต่อเนื่อง) เมื่อสำเร็จการศึกษาแล้วจะได้ปริญญาวิศวกรรมศาสตร์บัณฑิต (วศ.บ.) ในสาขาที่เรียน
9.โอกาสในการมีงานทำ
เนื่องจากอุตสาหกรรมภายในประเทศกำลังอยู่ระหว่างการเร่งพัฒนาประสิทธิภาพการผลิต เพื่อให้สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ และผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเห็นความสำคัญของวิศวกรอุตสาหการมากขึ้น ฉะนั้นงานสำหรับวิศวกรสาขานี้จึงยังมีอยู่อย่างกว้างขวาง แนวโน้มความต้องการของตลาดแรงงานที่เพิ่มขึ้นตามภาวะการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ การขยายตัวของโรงงานต่างๆ และการพัฒนากระบวนการผลิตสำหรับหน่วยงานราชการก็อาจจะยังต้องการวิศวกรอุตสาหการ เพื่อให้ทำหน้าที่ตรวจสอบการใช้เครื่องจักร เครื่องมือ และอุปกรณ์การผลิต
10.โอกาสความก้าวหน้าในอาชีพ
ผู้ที่สำเร็จการศึกษาทางด้านวิศวกรอุตสาหการ หากทำงานเพิ่มประสบการณ์และได้รับการอบรมในวิชาที่เกี่ยวข้อง และมีความสามารถในการบริหารก็สามารถที่จะได้รับการเลื่อนขั้นเป็นผู้บริหารใน สถานประกอบการอุตสาหกรรมได้ หรือสามารถทำธุรกิจส่วนตัวโดยทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาในการวางแผนงานการผลิต แก้ไขปรับปรุง กระบวนการผลิต และการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต
สำหรับผู้ที่ศึกษาเพิ่มเติมถึงขั้นปริญญาโท หรือ ปริญญาเอก สามารถที่จะเป็นอาจารย์ใน มหาวิทยาลัยทั่วไปได้
11.มหาวิทยาลัยที่เปิดสอนหรือสถานศึกษาที่เปิดสอน
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ
มหาวิทยาลัยนเรศวร
มหาวิทยาลัยรามคำแหง
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
มหาวิทยาลัยศิลปากร
มหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
มหาวิทยาลัยศรีปทุม
มหาวิทยาลัยเอเชียอาคเนย์
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิต
สถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
12.ตัวอย่างบุคคลในอาชีพ
ศาสตราจารย์หลวงอนุสาสน์ ยันตรกรรม (เล็ก บุญญะศิริ) เป็นหัวหน้าภาควิชาวิศวกรรมคนแรกของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
โดย เริ่มสอนในปี 2485

พาวรรณ ย่องเหล่ายูง กล่าวว่า...

นางสาวพาวรรณ ย่องเหล่ายูง
รหัสนิสิต 48010510080 สาขาวิทยาศาสตร์ทั่วไป ชั้นปีที่4 คณะศึกษาศาสตร์
บทความเรื่องจักษุแพทย์ Ophthalmologist
ชื่ออาชีพ
จักษุแพทย์ Ophthalmologist
นิยามอาชีพ
ผู้ปฏิบัติงานอาชีพนี้ ได้แก่ ผู้ตรวจสายตาและสั่งให้ทำแว่นตา หรือให้การรักษาตาด้วยวิธีการ ให้ยา หรือการผ่าตัด สั่งประกอบแว่นตาให้ผู้ป่วย รวมถึงการตรวจสายตาเพื่อให้ทราบ ข้อบกพร่อง โดยใช้เครื่องมือ และวิธีการทดสอบต่างๆ หรือสั่งขนาดของเลนซ์สำหรับประกอบแว่นตา หรือให้คำแนะนำในการฝึกสายตาตามความจำเป็น หรือเพื่อรักษาสายตาให้ดีขึ้น
ลักษณะของงานที่ทำ
1. ตรวจสายตา และสั่งให้ทำแว่นตา หรือให้การรักษาตาด้วยวิธีการให้ยาหรือผ่าตัด
2. ตรวจสายตาให้ทราบข้อบกพร่องโดยใช้เครื่องมือ และวิธีการทดสอบต่างๆ
3. สั่งขนาดของเลนซ์สำหรับประกอบแว่นตา
4. ให้คำแนะนำในการฝึกสายตาตามความจำเป็นเพื่อรักษาสายตาให้ดีขึ้น
5. ตรวจตา วัดสายตา วัดความดันตา ตรวจดูกระจกตา ความลึกของช่องหน้าลูกตาลักษณะม่านตาปฏิกริยาต่อแสงสว่าง ตรวจดูจอประสาทตา
6. อธิบายให้ผู้ป่วยและญาติ หรือคนใกล้ชิด ได้เข้าใจถึงลักษณะของโรคตาการกำเนิดโรค แนวทางเลือกในการรักษา
7. สำหรับผู้ป่วยที่ต้องรับการผ่าตัดต้องตรวจตาและร่างกายทั่วไป และอธิบายการดำเนินการรักษา ข้อดีข้อเสียจากการผ่าตัด และผลหลังการผ่าตัดวิธีการปฏิบัติตัวก่อนและหลังการผ่าตัด ภาวะแทรกซ้อนจากยาชาหรือยาสลบ
8. จักษุแพทย ์ต้องติดตามผลแทรกซ้อนจากการให้ยา เช่นกลุ่มสเตียรอยด์ กลุ่มยาที่มีผลต่อไตบางตัว
9. เก็บรักษาบันทึกเกี่ยวกับผู้ป่วยที่ได้ตรวจโรคตาที่เป็น และการรักษาที่ได้ให้หรือสั่ง
สถาบันที่เปิดสอนวิชาการแพทย์
กลุ่มสถาบันแพทยศาสตร์แห่งประเทศไทย
1 - คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น วิทยาลัยแพทยศาสตร์กรุงเทพมหานครและวชิรพยา บาล
2 - วิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้า
3 - คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
4 - คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
5 - คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร
6 - คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
7- คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล
8 - คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
9 - คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
10 - คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
11 - คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต
12 - คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
สภาพการจ้างงาน
ผู้ประกอบอาชีพนี้ได้รับค่าตอบแทนเป็นเงินเดือนตามวุฒิการศึกษา ผู้สำเร็จการศึกษาวิชาการแพทย์ซึ่งไม่มีประสบการณ์ในการทำงาน ได้รับเงินเดือนในอัตรา ดังนี้
วุฒิการศึกษา
หน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ เอกชน
ปริญญาตรี 8,190 9,500 -10,500 15,000 - 16,000
ปริญญาโท9,040 15,000 -12,000 23,000 - 24,500
ปริญญาเอก 10,600 21,000-22,000 28,000-30,000

ทำงานสัปดาห์ละ 40 ชั่วโมง อาจต้องมาทำงานวันเสาร์ วันอาทิตย์ และวันหยุด อาจจะต้องมีการจัดเวรอยู่ประจำโรงพยาบาล นอกจากผลตอบแทนในรูปเงินเดือนแล้วในภาครัฐและภาคเอกชนอาจได้รับผลประโยชน์พิเศษอย่างอื่น เช่น ค่ารักษาพยาบาล เงินสะสม เงินช่วยเหลือสวัสดิการ ในรูปต่างๆ เงินโบนัส เป็นต้น สำหรับผู้ที่สำเร็จการศึกษาวิชาแพทย์สามารถประกอบธุรกิจส่วนตัว โดยรายได้ที่ได้รับขึ้นอยู่กับความสามารถและความอุตสาหะ
สภาพการทำงาน
ปฏิบัติงานในโรงพยาบาล หรือสถานพยาบาล โดยตรวจคนไข้ในที่อยู่ในความรับผิดชอบทุกวันและต้องตรวจคนไข้นอกที่เข้ามารับการรักษา ผู้ที่เป็นแพทย์อาจถูกเรียกตัวได้ทุกเวลา เพื่อทำการรักษาคนไข้ให้ทันท่วงที ผู้ที่เป็นแพทย์ต้องพร้อมเสมอที่จะสละเวลาเพื่อรักษาคนไข้
ในสถานที่ทำงานจะต้องพบเห็น คนเจ็บ คนป่วย และคนตาย จึงต้องมีจิตใจที่เข้มแข็ง เพราะหากมีจิตใจที่อ่อนไหวต่อสิ่งที่ได้พบเห็นจะมีผลกระทบต่อการปฏิบัติงานได้
คุณสมบัติของผู้ประกอบอาชีพ
1. สำเร็จการศึกษาทางวิชาแพทย์ และมีความรู้ทางจักษุเป็นการเฉพาะ
2. ขยันสนใจในการศึกษาหาความรู้ทางวิทยาการแพทย์ วิทยาศาสตร์ และภาษาอังกฤษ เป็นอย่างดี
3. มีสุขภาพสมบูรณ์ ทั้งร่างกาย และจิตใจไม่พิการหรือทุพพลภาพ ปราศจากโรค
4. สามารถอุทิศตนยอมเสียสละเวลาและความสุขส่วนตัว เพื่อช่วยเหลือผู้อื่นที่เดือดร้อน จากการเจ็บป่วย มีจิตใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ไม่รังเกียจผู้เจ็บป่วย มีความเมตตา และมีความรัก ในเพื่อนมนุษย์ มีความเสียสละที่จะเดินทางไปรักษาพยาบาลผู้คนในชุมชนทั่วประเทศ
5. มีมารยาทดี สามารถเข้ากับบุคคลอื่นได้ทุกระดับ มีความอดทน อดกลั้น และมีความกล้าหาญ
6. มีความซื่อสัตย์ในวิชาชีพของตนมีคุณธรรมและจริยธรรมทางการแพทย์ ไม่ใช้ความรู้ ทางวิชาการของตนไปหลอกลวงหรือทำลายผู้อื่นๆ
ผู้ที่จะประกอบอาชีพนี้ ควรเตรียมความพร้อมดังต่อไปนี้ : ผู้สำเร็จหลักสูตรมัธยมศึกษาตอนปลายหรือประกาศนียบัตรอื่นที่กระทรวงศึกษาธิการเทียบเท่าและสามารถสอบผ่านวิชาต่างๆ ในการคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษาในสถาบันอุดมศึกษา คือวิสามัญ 1 คณิตศาสตร์ กข. เคมี ฟิสิกส์ ชีววิทยา ภาษาอังกฤษ กข. และความถนัดทางการแพทย์ ตลอดจนการสอบสัมภาษณ์และการตรวจร่างกาย เมื่อผ่านการทดสอบจึงมีสิทธิเข้าศึกษาแพทย์ โดยมีสถาบันที่เปิดสอนวิชาการแพทย์ระดับปริญญาหลายแห่งในสังกัดทบวงมหาวิทยาลัย เช่น มหาวิทยาลัยมหิดล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นต้น ผู้ที่จะเรียนแพทย์ต้องมีฐานะทางการเงินดีพอสมควร เพราะค่าใช้จ่ายในการเรียนวิชาแพทย์ค่อนข้างสูง (ไม่น้อยกว่า 1 ล้าน บาทเศษต่อคน) และใช้เวลานานกว่าการเรียนวิชาชีพอื่นๆ
หลักสูตรวิชาการแพทย์ระดับปริญญาตรีตามปกติใช้เวลาเรียน 6 ปี ในสองปีแรกของหลักสูตร การเรียนจะเน้นหนักด้านวิทยาศาสตร์ทั่วไปที่เป็นพื้นฐานสำคัญ ต่อจากนั้นจึงเรียนต่อวิชาการแพทย์ โดยเฉพาะอีก 4 ปี เมื่อสำเร็จได้รับใบอนุญาตประกอบเวชกรรมของแพทยสภา มีสิทธิประกอบอาชีพแพทย์ได้ตามกฎหมาย
โอกาสในการมีงานทำ
จักษุแพทย์ สามารถรับราชการโดยทำงานในโรงพยาบาล สถานพยาบาล สถานีอนามัยหรือ หน่วยงานการแพทย์ของกระทรวง ทบวง กรมที่จัดขึ้นเพื่อบริการประชาชน และเจ้าหน้าที่หรือทำงาน ในโรงพยาบาลเอกชน นอกจากนี้ยังสามารถทำรายได้พิเศษด้วยการเปิดคลีนิคส่วนตัวเพื่อรับรักษาคนไข้นอกเวลาทำงานประจำได้อีก แนวโน้มของตลาดแรงงานสำหรับอาชีพนี้ยังคงมีอยู่ ดังนั้นจักษุแพทย์สามารถหางานทำได้ง่าย เนื่องจากประเทศไทยยังขาดแคลนจักษุแพทย์อยู่เป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะในต่างจังหวัดและชนบทที่ห่างไกลจากความเจริญในตัวเมือง
โอกาสความก้าวหน้าในอาชีพ
จักษุแพทย์ ที่มีความชำนาญและประสบการณ์จะได้เลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่งจนถึงระดับผู้บริหาร หากมีความสามารถในการบริหาร หรืออาจประกอบธุรกิจส่วนตัวโดยเปิดคลีนิครับรักษาคนไข้ทั่วไป หรือทำงานพิเศษนอกจากงานประจำ ทำให้ได้รับรายได้พิเศษ สำหรับผู้ที่มีความชำนาญและมีทีมงานที่มีความสามารถ รวมทั้งมีเงินทุนจำนวนมากก็สามารถเปิดโรงพยาบาลได้
จักษุแพทย์ที่มีความชำนาญเฉพาะทาง อาจได้รับการว่าจ้างให้ไปทำงานในโรงพยาบาล หรือสถานพยาบาลหลายแห่ง ทำให้ได้รับรายได้มากขึ้น
อาชีพที่เกี่ยวเนื่อง
อายุรแพทย์ ผู้ตรวจวัดสายตา และผู้เตรียมเลนซ์ประกอบแว่นตา

ปิยะวุฒิ มะสีกา กล่าวว่า...

นายปิยะวุฒิ มะสีการหัสนิสิต 48010510067
สาขาวิชา วิทยาศาสตร์ทั่วไป คณะศึกษาศาสตร์
1.ชื่ออาชีพ
วิศวกรการบิน ; วิศวกรเครื่องกล (อากาศยาน) Mechanical engineer (aeronautical)
2.ลักษณะของอาชีพ (การทำงาน)
ผู้ปฏิบัติงานอาชีพนี้ได้แก่ ผู้ทำงานเกี่ยวกับการออกแบบเครื่องบิน เครื่องยนต์ เครื่องจักร และอุปกรณ์จักรกลต่างๆ วางแผน และควบคุมการผลิต การติดตั้ง การใช้ และการซ่อม ตรวจตรา และทดสอบ ทำการวิจัยและให้คำแนะนำทางเทคนิคต่างๆ
1. ออกแบบเครื่องบิน เครื่องยนต์ เครื่องจักร และอุปกรณ์เครื่องจักรกล ที่เกี่ยวกับเครื่องบิน
2. วางแผนและควบคุมการผลิต การติดตั้ง การใช้และการซ่อมเครื่องบิน หรืออุปกรณ์ที่เกี่ยวกับ การบิน
3. กำหนดแบบของเครื่องบินและสร้างอากาศยาน รวมทั้งคำนวณต้นทุน และวิธีการผลิต ออกแบบและคำนวณทางคณิตศาสตร์ จัดทำรายการแสดงรายละเอียดเกี่ยวกับการสร้างเครื่องบิน
4. วางแผนเกี่ยวกับวิธีการผลิต และควบคุมงานด้านเทคนิคการผลิต ควบคุมการติดตั้ง การบำรุงรักษา และการซ่อมเครื่องบิน อุปกรณ์จักรกล ทดสอบอุปกรณ์จักรกลเกี่ยวกับความปลอดภัยประสิทธิภาพและความถูกต้องตรงตามรายละเอียดที่กำหนดไว้
5. ออกแบบและสร้างเฉพาะลำตัวเครื่องบิน ปีก เกียร์ สำหรับบังคับอากาศยานเวลาขึ้น และลง ใบพัด เครื่องยนต์ หรือส่วนประกอบอื่นๆ
6. อาจชำนาญในการออกแบบ หรือการวางแผน หรือการควบคุมงานทางวิศวกรรมการบินช่วงใดช่วงหนึ่ง เช่น การผลิต การติดตั้ง หรือการซ่อมบำรุง
3.ลักษณะของบุคคลที่เหมาะกับอาชีพ (ความต้องการด้านบุคลากร)
1. สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีวิศวกรรม สาขาวิชาวิศวกรรมการบิน และอากาศยาน
2. มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ และมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี
3. มีความละเอียดรอบคอบและช่างสังเกต
4. รักงานช่างและสนใจด้านเครื่องกล วิศวกรรม
5. ชอบงานบุกเบิก สามารถทำงานต่างจังหวัดได้
6. ออกแบบเครื่องจักรกลได้ดี สามารถควบคุมการประกอบติดตั้งเครื่องจักร
7. มีใจชอบในงานประดิษฐ์ คิดค้น มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์
ผู้ประกอบอาชีพนี้ ทำงานในสถานที่ทำงานที่มีสภาพเหมือนสถานที่ทำงานทั่วไป คือเป็นสำนักงานที่มีอุปกรณ์ สิ่งอำนวยความสะดวกเช่นสำนักงานทั่วไป มีอุปกรณ์ช่วยในการออกแบบ เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์ และโดยลักษณะงานที่จะต้องควบคุมงานการติดตั้ง และซ่อมบำรุงเครื่องอากาศยาน จึงจำเป็นจะต้องใช้เวลาในการควบคุมดูแลงานในโรงงานประกอบการผลิต และการซ่อมบำรุงค่อนข้างมาก และสม่ำเสมอเนื่องจากต้องตรวจสอบ และดูแลให้เครื่องยนต์ เครื่องจักร และอุปกรณ์ในอากาศยานสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อความปลอดภัยของผู้ปฏิบัติงาน และผู้โดยสาร ผู้ประกอบอาชีพนี้อาจจะต้องถูกเรียกตัวทำงานเป็นกรณีพิเศษเมื่อมีปัญหาเครื่องบินขัดข้อง ซึ่งการทำงานนี้อาจเป็นการให้บริการแก่สายการบินอื่น ที่เข้ามาใช้ท่าอากาศยานของประเทศ
4.ระดับรายได้ และความก้าวหน้า รวมไปถึงสวัสดิการที่เกี่ยวกับอาชีพ
ผู้ปฏิบัติงานอาชีพนี้ ได้รับค่าตอบแทนการทำงานเป็นเงินเดือน ตามวุฒิการศึกษา โดยผู้ไม่มีประสบการณ์ในการทำงานจะได้รับเงินเดือนในอัตรา ดังนี้
ประเภทองค์กร เงินเดือน
ราชการ 6,360
รัฐวิสาหกิจ 7,210
เอกชน 12,000 - 15,000

ส่วนใหญ่ทำงานสัปดาห์ละ 40 ชั่วโมง อาจต้องทำงานวันเสาร์ วันอาทิตย์ และวันหยุดหรือทำงานล่วงเวลาในกรณีที่ต้องการให้งานที่ได้รับมอบหมายเสร็จให้ทันต่อการใช้งานนอกจากผลตอบแทนในรูปเงินเดือนแล้วในภาครัฐวิสาหกิจและภาคเอกชนอาจได้รับผลประโยชน์พิเศษอย่างอื่น เช่น ค่ารักษาพยาบาล เงินสะสม เงินช่วยเหลือสวัสดิการในรูปต่างๆ เงินโบนัส เป็นต้น
5.วิธีการเข้าสู่อาชีพ (การศึกษา, สาขาที่เกี่ยวข้อง, วิชา, วุฒิการศึกษา)
ผู้ที่จะประกอบอาชีพนี้ ควรเตรียมความพร้อมดังต่อไปนี้คือ : ผู้สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลายสาขาวิทยาศาสตร์จากสถานศึกษาที่กระทรวงศึกษาธิการรับรองวิทยฐานะ สมัครสอบคัดเลือกเพื่อเข้าศึกษาต่อระดับอุดมศึกษาในคณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาวิชาวิศวกรรมการบิน และอากาศยานเป็นหลักสูตรปริญญาตรีร่วมนานาชาติ 2 ปริญญา International Double Program เป็นโครงการที่เปิดสอนโดยศึกษาที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตบางเขนเป็นระยะเวลา 3 ปี แล้วไปศึกษาต่อมหาวิทยาลัยRMIT ประเทศออสเตรเลีย เป็นระยะเวลา 2 ปีครึ่ง รวมทั้งสิ้น 5 ปีครึ่ง เมื่อสำเร็จการศึกษาจะได้รับปริญญาวิศวกรรมศาสตร์บัณฑิต สาขาวิศวกรรมการบิน และอากาศยาน ของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และได้รับปริญญา B.Eng (Aerospacce Engineering) และ BBA (Business Administration) จาก RMIT University ในปัจจุบัน มีเพียงมหาวิทยาลัยเกษตรศาตร์เพียงสถาบันเดียวที่เปิดสอนสาขาวิชานี้
6.มหาวิทยาลัยหรือสถานศึกษาที่เปิดสอน
คณะวิศวกรรมการบินและอวกาศ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
สำหรับคณะวิศวกรรมการบินและอวกาศ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ได้เปิดหลักสูตรขึ้นทั้งหมด 4 หลักสูตรคือ
1. หลักสูตร วิศวกรรมศาสตร์บัณฑิต สาขา วิศวกรรมการบินและอวกาศ (B.Eng.Aerospace Engineering)
2. หลักสูตร สองปริญญานานาชาติ (B.Eng.Aerospace Engineering & B.Bus.Manangement)
3. หลักสูตร วิทยาศาสตรบัณฑิต สาขา เทคโนโลยีการบิน (B.S. Aviation Technology)
4. หลักสูตร วิทยาศาสตรบัณฑิต สาขา การจัดการการบิน (B.S. Aviation Management)
7.ความต้องการของตลาดแรงงาน
สำหรับแหล่งจ้างงานวิศวกรการบิน โดยทั่วไปจะเป็นสถานประกอบกิจการบริการการบิน ซึ่ง จำเป็นต้องมีงานซ่อมบำรุงอากาศยานของรัฐวิสาหกิจหรือบริษัทเอกชน ซึ่งในประเทศไทยมีจำนวนไม่มากนัก ได้แก่ บริษัทการบินไทย จำกัด(มหาชน) บริษัทบางกอกแอร์เวย์ ซึ่งมีความต้องการผู้ปฏิบัติอาชีพนี้โดยตรงน้อยมากในปัจจุบัน ประเทศไทยยังไม่มีโครงการประกอบหรือผลิตเครื่องบิน เนื่องจากต้องใช้ต้นทุนสูงมากและไม่คุ้มค่าในการลงทุนด้านนี้แต่ในคณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาวิศวกรการบิน มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์สามารถประกอบเครื่องเฮลิคอร์ปเตอร์เพื่อการใช้งานได้ แต่มีจำนวนไม่มากนัก ดังนั้นเครื่องบินจึงต้องนำเข้าจากประเทศที่ผลิต ซึ่งบริษัทผู้ผลิตจะส่งวิศวกรการบินมาให้บริการดูแลในการส่งมอบเครื่องบิน แต่ก็มีการจ้างวิศวกรการบิน หรือวิศวกรในสาขาอื่นที่เกี่ยวข้องที่เป็นคนไทย ในการบำรุงรักษาและซ่อมเป็นการประจำ เพื่อให้เครื่องบินมีสภาพพร้อมในการบินตามตารางเวลา รวมทั้งเพื่อการให้บริการแก่สายการบินอื่น ที่มีปัญหาขัดข้องเกิดขึ้นในท่าอากาศยานในประเทศไทยอาชีพนี้จึงอยู่ในความต้องการตลาดแรงงานน้อยมาก การจ้างงานวิศวกรการบินจึงเป็นการจ้างงานเพื่อทำการบำรุงรักษาซ่อมเครื่องยนต์และอากาศยานเป็นสำคัญ
โอกาสความก้าวหน้าในอาชีพ
ผู้สำเร็จการศึกษาด้านวิศวกรรมเครื่องกลอากาศยาน ถ้าหากได้มีการศึกษาอบรมเพิ่มเติมหรือผ่านการทำงานจนมีประสบการณ์มากขึ้น และมีความสามารถในการบริหารก็จะได้รับการเลื่อนขั้นเป็นผู้บริหารงานหรือเป็นผู้อำนวยการ หรือผู้จัดการในสายงานนั้นได้ หรือสามารถประกอบธุรกิจส่วนตัว โดยเป็นผู้แทนจำหน่ายอุปกรณ์ที่เกี่ยวกับเครื่องจักรกลอากาศยาน สำหรับผู้ที่ศึกษาเพิ่มเติมถึงขั้นปริญญาโท หรือ ปริญญาเอก สามารถที่จะเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยที่มีการสอนสาขาวิชานี้ได้
อาชีพที่เกี่ยวเนื่อง
วิศวกรเครื่องกล(เครื่องจักรและเครื่องมือ) วิศวกรเครื่องกล(เรือ) วิศวกรเครื่องกล(อากาศยาน) วิศวกรเครื่องกล(รถยนต์) วิศวกรเครื่องกล(หม้อน้ำและอุปกรณ์) วิศวกรเครื่องกล(ความร้อน การระบายอากาศ และการทำความเย็น) วิศวกรเครื่องกล(การบำรุงรักษา) วิศวกรเครื่องกล(โครงสร้าง)




8.ตัวอย่างบุคคลที่อยู่ในอาชีพดังกล่าว (เรื่องราวโดยย่อ)
ออร์วิล และ วิลเบอร์ ไรท์
ออร์วิล ไรท์
เกิดวันที่ 19 สิงหาคม ค.ศ. 1871 ที่เมืองเดย์ตัน (Da6ton) มลรัฐโอไฮโอ (Ohio) ประเทศอเมริกา (United State of America)
เสียชีวิต 30 กรกฎาคม ค.ศ.1948 ที่เมืองเดย์ตัน (Da6ton) มลรัฐโอไฮโอ(Ohio) ประเทศอเมริกา (United State of America)
วิลเบอร์ ไรท์
เกิดวันที่ 16 เมษายน ค.ศ. 1867 เมืองบิลล์ วิลลี่ (Milk Willie) มลรัฐอินเดียนา (Indiana) ประเทศอเมริกา (United State of America)
วันที่เสียชีวิต 30พฤษภาคม ค.ศ.1912 ที่เมืองเดย์ตัน (Da6ton) มลรัฐโอไฮโอ (Ohio) ประเทศอเมริกา (United State of America)
มนุษย์เราใฝ่ฝันที่จะบินได้เหมือนนกมานานแล้ว โดยนักวิทยาศาสตร์ในอดีตหลายคน อาทิเช่น ลิโอนาโด ดาวินชี, ออตโต ลิเลียนทาล ได้คิดประดิษฐ์เครื่องร่อนช่วยในการบินขึ้น แต่บุคคลที่ประสบความสำเร็จในการประดิษฐ์เครื่องบินได้เป็นบุคคลแรกคือ สองพี่น้องตระกูลไรท์
ออร์วิล และ วิลเบอร์ ไรท์ เป็นบุตรของเสมียนในเมืองเล็กๆชื่อ เดตันในรัฐโอไฮโอ วิลเบอร์ ไรท์ ผู้เป็นพี่ชายเกิดในปี 1867 ส่วนออร์วิล คนน้องเกิดในปี 1871 ทั้งสองมีแรงบันดาลใจเกี่ยวกับการบินตั้งแต่ได้รับของขวัญเป็นเครื่องร่อนเล็กๆ ซึ่งสองคนพี่น้องแปลกใจว่าเครื่องร่อนนั้นเป็นอย่างไร
ต่อมาในปี 1895 หลังจากที่ทั้งคู่จบการศึกษาและร่วมกันเปิดร้านซ่อมจักรยานนั้น พี่น้องคู่นี้ได้อ่านบทความที่เขียนโดยนักสร้างเครื่องร่อนชาวเยอรมัน ชื่อ ออตโต ลิเลียนทาล บทความนี้ทำให้เขาประหลาดใจเหมือนเมื่อเขาทั้งสองเป็นเด็ก จึงตัดสินใจที่จะสร้างเครื่องยนต์ที่บินได้และบรรทุกคนได้ด้วย
หลังจากทั้งสองพี่น้องได้ศึกษาและทดลองถึงการลอยตัวของว่าวและเครื่องร่อนจนรู้สาเหตุแล้วจึงได้สร้างเครื่องร่อนขนาดใหญ่พอที่จะบรรทุกคนขึ้นไปได้หนึ่งคนเป็นครั้งแรกและให้ชื่อมันว่า คิตตี้ ฮอร์ค (Kitty Hawk) โดยทำการทดลองร่อนที่เนินเขาในรัฐแคลโรไล เหนือที่มีลมแรง การทดลองประสบผลสำเร็จ ทั้งคู่จึงได้สร้างเครื่องร่อนอีกหลายลำและเพิ่มระยะทางการบินให้มากขึ้น
ในปี ค.ศ. 1902 ทั้งคู่จึงคิดค้นหาวิธีที่จะทำให้เครื่องร่อนบินได้ไกลและมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยคิดที่จะใส่เครื่องยนต์ให้กับเครื่องร่อนนั้น พอปลายปี 1903 เครื่องบินลำแรกของโลกได้ถูกสร้างขึ้น โดย วิลเบอร์ ไรท์ และออร์วิล เอาเครื่องยนต์ขนาด 12 แรงม้าใส่เข้ากับเครื่องร่อน คิตตี้ ฮอร์ค ซึ่งใช้หมุนใบพัด 2 ข้าง และตั้งชื่อให้มันว่า ฟลาย เออร์ โดย วิลเบอร์เป็นผู้ที่ทดลองขึ้นบินเป็นคนแรก
ในการทดลองบินเป็นครั้งแรกนั้น ฟลายเออร์ยกตัวลอยขึ้นจากพื้นดิน หมุนไปรอบๆแล้วตกลงพื้น ต้องเสียเวลาซ่อม 2 วัน ทั้งคู่จึงทำการทดลองต่อไปใหม่ โดยคราวนี้ เออร์วิลเป็นผู้อยู่บนเครื่องเขาพยามอีกครั้ง ฟลายเออร์ลอยขึ้นสูงจากพื้นดิน 3 เมตร ใช้ความเร็ว 48 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และบินไปได้ไกล 36 เมตร
พี่น้องตระกูลไรท์ได้ทำการทดลองบินอีกครั้งในเช้าวันต่อมาจนกระทั้งลมกระโชกทำให้เครื่องพลิกคว่ำแล้วพังไปในที่สุด เขาจึงกลับไปทำงานที่ร้านจักรยานต่อ และทำการทดลองอีกครั้ง ในปีค.ศ. 1905 โดยสร้างเครื่องบินอีก 3 ลำ และทำการบินได้ครั้งละ 30 นาทีในแต่ละครั้ง
น่าประหลาดใจที่ไม่มีใครแสดงความสนใจในสิ่งที่พวกเขาทำมากนัก เพียงไม่กี่คนที่เฝ้าดูพวกเขาทำการบิน ไม่มีแม้แต่การรายงานข่าวในหนังสือพิมพ์ คนทั่วไปไม่คิดว่าการบินจะเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ ใน ปีค.ศ. 1908 เขาได้ทำการบินต่อหน้าสาธารณชน โดยมีผู้โดยสารขึ้นไปคนหนึ่งบินไปเกือบ 30 นาที และกลายเป็นผู้ที่มีชื่อเสียง เขาได้ทำการสาธิตการบินทั้งยุโรปและอเมริกา ในปีค.ศ. 1909 ทั้งคู่เป็นวีรบรุษของปวงชนแทนที่จะเป็นช่างซ่อมจักรยานที่ไม่มีใครรู้จัก เขาได้ตั้งโรงานผลิตเครื่องบินและได้รับความสำเร็จ ในทันที
ออร์วิลและวิลเบอร์ได้รับชัยชนะที่งดงามด้วยกันจนกระทั้ง ปีค.ศ. 1912 วิลเบอร์เป็นไข้ไทฟอยด์และถึงแก่กรรม ออร์วิล ทำงานด้วยตัวเองต่อไป แต่เขาคิดถึงน้องชายเขามากเกินไปจนไม่รู้สึกสนุกกับงานที่ทำนัก แม้ว่าเขาจะมีชีวิตอยู่ถึงปีค.ศ. 1948 แต่เขาเลิกบินหลังจากที่วิลเบอร์ถึงแก่กรรมไป 3 ปี
จากผลงานการประดิษฐ์เครื่องบิน และบินบนอากาศได้เป็นครั้งแรก จึงนับว่าออร์วิล และ วิลเบอร์ ไรท์ เป็นนักวิศวกรการบินคนแรก

วรรณวิษา ปินะสา กล่าวว่า...

ประวัติส่วนตัว

ชื่อ นางสาววรรณวิษา ปินะสา
ชื่อเล่น นู๋แดง
วันเกิด วันพฤหัสบดี ที่ 22 พฤษภาคม 2529
อายุ 22 ปี
บิดา ชื่อ นายเบียด ปินะสา
มารดา ชื่อ นางกรม ปินะสา
มีพี่น้องร่วมบิดามารดา 2 คน ดิฉันเป็นบุตรคนที่ 2 มีพี่ชาย 1 คน
สถานที่เกิด 73 หมู่ 6 บ้านโคกเพิ่ม ตำบลหัวดง อำเภอนาดูน จังหวัดมหาสารคาม 44180
บ้านพัก 75/380 หมู่บ้านเอื้ออาทร การศึกษา
จบชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านโคกเพิ่มโคกกลาง ตำบลหัวดง อำเภอนาดูน
จังหวัดมหาสารคาม
จบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6โรงเรียนนาดูนประชาสรรค์ อำเภอนาดูน จังหวัดมหาสารคาม
ปัจจุบันกำลังเรียน สาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย (EC) ชั้นปีที่ 4
ภาควิชาหลักสูตรและการสอน คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
รหัสนิสิต 48010511658 กลุ่มเรียนที่ 4
วันพฤหัสบดี 13.00-15.00 น.
T. 08-4279-2968
อาหารที่ชอบ ต้มยำ ส้มตำ ปลาเผา ไก่ย่าง ข้าวเหนียว ฯลฯ
สัตว์ที่ชอบ ปลาทอง ปลาหางนกยุง
แหล่งท่องเที่ยวที่ชอบภูเขา
คติประจำใจ ....ทำวันนี้ให้ดีที่สุด......

เล่าเรื่องคร่าว ๆ ค่ะอาจารย์

หนูมีอะไรจะเล่าให้อาจารย์ฟัง คือว่าตั้งแต่หนูจำความได้ ตอนที่หนูอยู่ชั้นอนุบาล หนูเรียนโรงเรียนบ้านโคกเพิ่มโคกกลาง เป็นโรงเรียนที่เปิดสอนตั้งแต่ชั้นอนุบาลจนถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ตอนหนูเรียนอนุบาลหนูจะเป็นเด็กที่ตัวใหญ่กว่าเพื่อน ๆ ในห้องเลยค่ะ เวลาที่คุณครูแจกนมตอนนั้นที่หนูเรียนจะได้กินนมที่อาจารย์ชงให้กินเป็นนมร้อน ๆ เวลาที่คุณครูแจกนมคุณครูก็จะว่าหนูตัวใหญ่แล้วจะกินนมด้วยหรอ ถ้าจะกินต้องไปเข้าแถวอยู่ท้ายแถว ให้เพื่อน ๆ ที่ตัวเล็ก ๆ เข้าแถวอยู่ข้างหน้านะ ทีนี้หนูก็ต้องทำตามที่คุณครูท่านสั่ง ให้เพื่อน ๆ เข้าข้างหน้าก่อน หนูก็คิดในใจกว่าทำไมคุณครูต้องทำอย่างนี้กับหนูด้วย แต่หนูก็เข้าใจคุณครูนะคะ หนูไม่ว่าคุณครูหรอกค่ะ และอีกเรื่องที่จำได้ตอนอยู่อนุบาลตอนที่นอนกลางวันค่ะ ตอนนั้นหนูจะเป็นเด็กที่นอนกลางวันยากมาก ๆ เลยค่ะคือว่ามันจะหลับยากมาก แล้วคุณครูประจำชั้นก็จะคอยว่าและเตือนอยู่เสมอ ๆ และก็บอกว่าถ้าเธอไม่นอนครูก็จะตีเธอนะพร้อมกับเพื่อน ๆ ในห้องด้วย พอคุณครูบอกไปคู่หนึ่ง ก็ไม่เชื่อคุณครู คุณครูเลยเดินมาหาตรงที่หนูนอนอยู่แล้วคุณครูก็เอานิ้วมือของคุณครูมาบิดตรงสะดือของหนูและเพื่อน ๆ ที่ไม่ยอมนอนกัน และนับตั้งแต่นั้นมาเพื่อน ๆ และหนูก็จะพยายามหลับตาลงถึงแม้จะนอนไม่หลับแต่ก็ต้องหลับตาม เวลาที่คุณครูเดินตรวจดูว่าเด็กคนไหนที่ไม่ยอมนอน พอเดินมาถึงตรงที่หนูนอนอยู่หนูก็จะรี่ตาดูและมองคุณครูว่าท่านจะทำอะไร จากนั้นคุณครูก็เดินผ่านไป
พอขึ้นชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 อยู่ที่โรงเรียนคุณครูก็สั่งให้จัดกลุ่มนั่งให้นั่งเป็นกลุ่มกลุ่มละ 5 คน แล้วก็จะให้เพื่อน ๆ ในห้องได้คัดเลือกหัวหน้า 1 คน และรองหัวหน้าอีก 2 คน หนูก็ได้รับคัดเลือกเป็นหัวหน้า เป็นตัวแทนของทุกคนในห้อง หนูก็ภาคภูมิใจที่เพื่อนๆ ให้หนูเป็นหัวหน้าห้อง หน้าที่ของหัวหน้าห้องก็ต้องคอยดูเลยความประพฤติของเพื่อนๆ ในห้องแทนครูเวลาที่คุณครูไม่อยู่และคอยแนะนำและสอนเพื่อนเวลาที่เพื่อนไม่รู้หนังสือ เป็นที่ปรึกษา และ
คอยเก็บรวบรวมการบ้านไปส่งคุณครูที่โต๊ะ เวลาที่เพื่อน ๆ ไม่กวาดห้องตอนเช้าหนูก็จะคอยกวาดห้องทำความสะอาดแทน เวลาที่เพื่อนเห็นหนูกวาดอยู่ก็จะคอยมากวาดช่วยเสมอ และพอกลับบ้านมาก็คอยช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน เช่น กวาดบ้าน รดน้ำต้นไม่ ตัดน้ำใส่ตุ่มให้เต็ม และก็จะไปช่วยป้าและลุงขายของที่ร้านด้วย
พอขึ้นชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ขณะที่เรียนวิชา กพอ คุณครูก็ให้ปลูกผักแล้วแบ่งเป็นกลุ่ม ๆ ละ 5-6คน กลุ่มพวกหนูก็ปลูกผักบุ้ง เวลาที่ผักบุ้งเติบโตขึ้นมางดงามมากกลุ่มเพื่อนบางกลุ่มก็จะอิจฉาแล้วก็จะคอยมาแกล้งอยู่เสมอ เช่น มาเยียบผักบุ้งบ้างหล่ะ มาถอนผักบุ้งบ้างหล่ะ แต่พอถามว่าใครทำก็ไม่มีใครรับผิดชอบเลย แต่กลุ่มพวกหนูก็ไม่คิดที่จะเอาผิดกับใคร พอกลับมาบ้านก็มาเล่าให้พ่อกับแม่ฟัง พ่อกับแม่ก็ไม่ว่าอะไรเลย แค่บอกว่าอย่าคิดโกรธเพื่อนคนที่เขาทำนะจงให้อภัยเขา แล้วก็จะทำให้ตัวเราไม่คิดมาก ไม่ปวดหัว ไม่เจ็บใจ ปล่อยวาง....
พอขึ้นชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ช่วงนี้เป็นช่วงที่ต้องคัดเลือกประธานนักเรียน พี่ชายหนูก็ลงสมัครประธานเหมือนกับคนอื่น มีลงสมัคร 3 คน หนูก็ต้องไปช่วยพี่ชายหาเสียงอยู่ตั้งอาทิตย์หนึ่ง รู้สึกเหนื่อย แต่ก็ต้องทำเพื่อพี่ชายของตนเอง และพอถึงวันเลือกตั้งรู้สึกตื่นเต้นว่าพี่ชายเราจะได้เป็นประธานหรือไม่ และพอผลประกาศออกมาแล้วก็
ปรากฏว่าพี่ชายของหนูได้เป็นประธานแล้ว รู้สึกดีใจมาก ๆ เหมือนได้เป็นประธานเสียเอง
พอขึ้นชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 จะพูดถึงตอนที่หัดดำนาตอนแรก ที่พ่อและแม่สอนให้ รู้สึกดีใจที่ได้หัดดำนา ถึงแม้จะเหนื่อยแต่ก็ต้องทน มันเป็นอาชีพที่พ่อแม่ทำมาตั้งนานแล้วและเป็นอาชีพหลักของครอบครัวด้วย ถึงแสงแดดจะร้อง เหงื่อจะออกมากแค่ไหนก็ต้องทน หลังสู่ฟ้า หน้าสู้ดิน ก็ต้องทน สถานการณ์นี้สอนให้เราอดทนต่อความ
เหน็จเหนื่อย ลำบากก็ต้องทน พยายามทำให้ดีที่สุด
พอขึ้นชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ช่วงนี้จะหัดทำงานประดิษฐ์ เช่น งานใบตอง งานแกะสลัก ฯลฯ หนูก็จะหัดทำงานใบตองหนูจะไม่ค่อยชอบ เพราะทำไม่เป็น ฝีมือไม่ค่อยดี ทำไม่สวยเลย แต่ถ้าเป็นงานแกะสลัก เช่นแกะสลักมะละกอ แตงโม หนูจะชอบมากและก็ทำได้ดีเลยทีเดียว และอีกอย่างที่ลืมไม่ได้เลยในช่วงชั่วโมงทำอาหารก่อนเที่ยงกลุ่มของหนูทำผัดเผ็ดปลาดุก พวกผู้ชายก็จะหัดปลา ส่วนพวกผู้หญิงก็จะคอยทำประกอบอาหาร ขณะที่หนูกำลังทำอาหารอยู่นั้นเป็นช่วงที่เพื่อนอีกคนหนึ่งกำลังจะเทปลาใส่กระทะ ในจานที่ใส่ปลาอยู่มันก็มีน้ำด้วยขณะที่เทลงไปนั้น ไฟก็ได้ลุกไหม้กระทะไฟขึ้นสูงมาก หนูและเพื่อน ๆ ก็พากันตกใจ และก็พากันหัวเราะในสิ่งที่ตนเองทำไป ตลกมากเลยค่ะนึกถึงภาพตอนนั้นก็ยังอดหัวเราะตัวเองไม่ได้ อิอิ....
พอขึ้นชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ช่วงนี้เป็นช่วงกำลังคิดว่าจะเรียนต่อที่ไหนดีและต้องตั้งใจเรียนให้มาก ๆ คุณครูก็ชอบที่จะถามว่าจะไปเรียนต่อที่ไหน แล้วโตขึ้นอยากเป็นอะไร หนูก็จะบอกว่าจะเรียนอยู่ที่โรงเรียนนาดูนประชาสรรค์ อยู่ในตัวอำเภอ เพราะเป็นโรงเรียนที่อยู่ไม่ไกลจากบ้านมากนักแค่ 5 กิโลเมตรเท่านั้น และโตขึ้นหนูคิดตอนนั้นว่าโตขึ้นหนูอยากเป็นตำรวจ เพราะชุดสวยใส่แล้วเท่ดี และต้องจับผู้ร้ายด้วย หนูชอบมาก ๆ ค่ะ ช่วงนั้นก็จะทำกิจกรรมหลากหลายอย่าง เช่น เข้าแข่งขันการตอบคำถามวิชาการทางวิทยาศาสตร์ อยู่ที่เขตการศึกษา 2 ของจังหวัดมหาสารคาม หนูและเพื่อนอีกคนก็ได้เข้าร่วมการตอบคำถามนี้ด้วย ผลการแข่งขันปรากฏว่า หนูและเพื่อน ๆ ได้รับรางวัลชนะเลิศของเขตการศึกษาเขต 2 จากนั้นก็ได้เข้ามาแข่งขันที่ตัวจังหวัดทุกเขตเข้ามาแข่งขันกันในตัวจังหวัดมหาสารคาม ผลปรากฏว่า กลุ่มของพวกหนูได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 หนูภาคภูมิใจมากที่ได้สร้างชื่อเสียงให้กับโรงเรียนของหนู
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ต้องสอบคัดเลือกห้องว่าจะได้อยู่ห้องไหนหนูก็ได้มาสอบกับเขาด้วย หนูได้อยู่ห้อง 1 เพราะหนูทำข้อสอบไม่ได้จึงได้ไปอยู่ห้อง 1เพื่อน ๆ ห้อง 1 น่ารักมาก มีอะไรก็ช่วยกัน ถึงแม้จะเป็นห้องที่เรียนหนังสือไม่เก่ง ซน แต่ทุกคนในห้องก็รักกันมาก และสิ่งที่ลืมไม่ได้ตอนนั้นเป็นชั่วโมงคณิตศาสตร์ เพื่อน ๆ ในห้องไม่ชอบอาจารย์สอนคณิตฯเลยท่านเป็นคนที่ดุมาก เพื่อน ๆ ในห้องจึงคิดที่จะแกล้งอาจารย์โดยการเอาหมามุ่ยมาใส่ที่โต๊ะอาจารย์ พออาจารย์มาแล้วนั่งลงไปที่โต๊ะก็รู้สึกคันขึ้นมาทันที เพื่อน ๆ ก็พากันหัวเราะชอบใจ อาจารย์ก็ต่อว่า ว่าใครเอาอะไรมาใส่ที่โต๊ะทำไมรู้สึกคันจัง ตอนนั้นเพื่อน ๆ แกล้งอาจารย์จนต้องได้เข้าโรงพยาบาลเลย
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ช่วงนี้เป็นช่วงที่ต้องย้ายห้องหนูเรียนดีขึ้นก็ได้มาอยู่ห้องที่เก่งที่สุดในโรงเรียนคือห้อง 4 ม.2/4 อาจารย์ให้เลื่อนห้องมาอยู่ห้อง 4 ก็ได้เจอเพื่อนมากมายมีเพื่อนใหม่ ก็ได้พูดคุยกับเพื่อน ๆ รู้สึกสนุกดี ไม่นานก็สนิทกับเพื่อน ๆ ในห้อง 4 นี้ การเดินทางไป-กลับบ้านโรงเรียนโดยรถมอเตอร์ไซน์ไปกับน้องอีกคนหนึ่ง อยู่ที่บ้านก็ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน แล้วก็ช่วยป้าขายของด้วย ป้าก็ให้ค่าขนมมาโรงเรียนทุกวัน ๆ ละ 20 บาท แต่หนูก็ภาคภูมิใจมากที่ไม่ต้องขอตังค์แม่ใช้เลย แต่ก็มีบางครั้งที่ต้องขอตังค์แม่ก็แค่ตอนที่ต้องซื้อหนังสือ หรืออยากได้เสื้อผ้าใหม่ ๆ แต่เป็นค่าขนมค่ากับข้าวจะได้ตังค์จากป้า
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ช่วงนี้เป็นช่วงที่ต้องคิดว่าจะต้องเรียนที่ไหน จะเรียนต่อที่โรงเรียนเดิม หรือจะไปเรียนที่วาปีปทุม หรือจะเรียนสายอาชีพ เมื่อปรึกษาพ่อแม่ ลุงป้า น้าอา ญาติพี่น้องดูแล้วก็ให้เรียนที่โรงเรียนเดิม เพราะเรียนที่เดิมก็ดีอยู่แล้วไม่ต้องไปไกล แต่ถ้าเรียนที่วาปีฯ ก็ต้องเดินทางอีกไกล เรียนที่ไหนก็เหมือนกัน และช่วงที่เข้าค่ายลูกเสือเนตรนารี รู้สึกสนุกที่ได้เข้าค่ายนี้ ได้เรียนรู้ถึงความสามัคคี ความร่วมมือร่วมใจระหว่างกลุ่มของตนเอง และได้คบเพื่อนใหม่ ๆ อีกมากมาย ได้ร่วมทุกข์ร่วมสุขไปด้วยกัน ตอนเข้าค่ายเป็นอะไรที่หนูชอบมาก ๆ ค่ะ
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ชั้นนี้ต้องสอบเข้าเรียนต่อและต้องสอบเอาห้องว่าจะได้อยู่ห้องไหน ถ้าใครที่เรียนดีตั้งแต่ ม. 3 อยู่ที่ 1-10 ก็จะได้โควต้าเข้าเรียนและอยู่ห้องที่เก่งคือห้อง 1 หนูก็เรียนไม่เก่งไม่ได้ที่ 1-10 จึงไม่ได้โควตานี้
แต่หนูก็ได้มาสอบ หนูก็ได้ที่ 2 อาจารย์บอกว่าถ้าใครสอบได้ที่ 1 จะได้เงิน 500 บาท แต่หนูได้ที่ 2 หนูจึงไม่ได้เงิน 500 บาท แต่หนูก็ไม่เสียดายหรอกค่ะ ภูมิใจมากกว่าที่ได้ที่ 2 เพื่อน ๆ สอบแข่งขันกันมากมายได้ที่ 2 ก็ถือว่าเก่งแล้ว
ทีนี้หนูก็ได้อยู่ห้อง 1 เข้าเรียน ม. 4 ได้พบเจอเพื่อน ๆ มากมายต่างก็มาเรียนมาคนละที่แต่ก็ต้องมาเรียนโรงเรียนเดียวกันห้องเดียวกัน ทุกคนก็ปรับตัวเข้าหากันได้ด้วยดี
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ตอนอยู่ ม. 5 ได้ทำงานพิเศษในช่วงตอนปิดเทอม คือได้ไปทำงานที่กรุงเทพฯ ไปทำงานกับน้า คือ เย็บผ้า ชุดนอน เสื้อต่าง ๆ ตามสมัยนิยม ตอนระหว่างการเดินทางรู้สึกตื่นเต้นมากที่จะได้ไปกรุงเทพฯครั้งแรก ระหว่างทางก็เห็นสิ่งต่าง ๆ มากมาย เช่น เห็นภูเขา แม่น้ำกว้าง ๆ ตลาดที่ใหญ่ ๆ ฯลฯ หนูก็ทำงานจนกว่าจะเปิดเทอมก็ 2 เดือนกว่า ๆ ขณะที่เย็บผ้าอยู่ก็ได้เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ขณะเย็บผ้า ผู้คนที่อยู่ในละแวกนั้นมากมายมีแต่คนอีสานทั้งนั้นพูดภาษาอีสานกันหมดเลย
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ช่วงนี้เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อต้องคิดว่าจะเรียนอะไรดี เลือกเรียนที่คณะอะไร ที่มหาวิทยาลัยอะไรดี ต้องเตรียมตัวสอบเอ็นทรานต์ เลือกโควตาเข้ามหาวิทยาลัย ตอนมาสอบก็สอบที่โงเรียนผดุงนารีและสารคามพิทยาคม ตอนนั้นหนูได้โควตาเรียนที่มหาวิทยาลัยขอนแก่น วิทยาการคอมฯ และได้ที่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม สาขาปฐมวัย หนูก็เลือกที่จะเรียนครูเพราะเป็นอาชีพที่ชอบอยู่แล้วและพ่อแม่ญาติพี่น้องก็อยากให้เป็นครู
และที่สำคัญอยู่ใกล้พ่อแม่ด้วย
เข้าเรียนมหาวิทยาลัยมหาสารคาม ชั้นปีที่ 1 สาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย เข้าเรียนมาใหม่ก็ได้พบเจอเพื่อน ๆ มากมาย ต่างก็มาจากจังหวัดต่าง ๆ ในภาคอีสาน ที่มาเรียนด้วยกัน และได้เข้าร่วมกิจกรรมรับน้องของมหาวิทยาลัยอยู่ที่ส่วนกลางจากนั้นก็มาของคณะ การรับน้องทำให้เกิดความสามัคคี รู้จักกัน สนิทกัน ร่วมทุกข์ร่วมสุขกัน มีร้องไห้ เสียใจ ยิ้มแย้ม ดีใจ ได้เรียนรู้อะไรมากมายในเข้าร่วมกิจกรรมการรับน้องในครั้งนี้ค่ะ
ชั้นปีที่ 2 ตอนที่เรียนอยู่ปี 2 ยังคิดอยากจะย้ายเอกเพราะรู้สึกไม่ชอบเรียนปฐมวัย เพราะตอนแรกนึกว่าเรียนปฐมวัยเกี่ยวกับการสอนเด็กประถมและพอเรียนแล้วจึงรู้ว่าสอนเด็กอนุบาล แต่ต่อมาเมื่อได้ฝึกหัดสอน และออกไปที่โรงเรียนอนุบาลก็รู้สึกว่ารักการเรียนสาขานี่เสียแล้ว รักเด็กอนุบาล เพราะ เด็กน่ารัก ไร้เดียงสา เชื่อฟังคุณครู ทำให้หนูไม่อยากย้ายเอกเลย หนูเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยมหาสารคามนี้หนูไม่ได้พักที่หอใน แต่หนูพักอยู่กับป้าที่บ้านในเมืองหนูจึงไม่ได้เรียนรู้การเป็นเด็กหอว่าเป็นอย่างไร เพื่อนก็มีแต่ที่เรียนห้องเดียวกัน สาขาเดียวกัน มีรู้สักคนก็แค่เรียนสิชาเลือกด้วยกันที่ ม. ใหม่ แต่ก็ไม่สนิทกันเท่าไร ได้ไปเข้าค่ายครูอาสาที่บ้านพองหนีบ ที่จังหวัดเลย เป็นหมู่บ้านที่อยู่ห่างไกลความเจริญมาก พวกเราก็ได้ไปสร้างห้องสมุด และจัดทำสื่อการศึกษาให้กับเด็ก ๆ ที่โรงเรียนบ้านพองหนีบ
ชั้นปีที่ 3 ปีนี้ได้ไปเที่ยวที่ภูกระดึงกับเพื่อน ๆ 5 คน สนุกมากเพราะเราขับรถมอเตอร์ไซน์ไปกันเอง ขับจากมหาสารคาม – เลย ตอนแรกว่าจะไปเที่ยวที่ภูเรือ แต่กว่าจะไปถึงก็กลัวว่าจะค่ำก่อนจึงขึ้นไปเที่ยวที่ภูกระดึงแทน เดินขึ้นภูกระดึง ซำแรก ก็รู้สึกเหนื่อยแล้ว กว่าจะถึงซำสุดท้ายก็เกือบตาย เหนื่อยมากมากค่ะ แต่ภาพและบรรยากาศดีมาก สวย สมกับที่เหน็จเหนื่อยค่ะ พาไปที่น้ำตกก็สวยมาก ที่น้ำตกน้ำเย็นมากเลยค่ะ เล่นน้ำกับเพื่อนๆ สนุกมากเลยค่ะ ไปที่ภูกระดึงตอนนั้นยังไปไม่ถึงผาหล่มสักเลย แต่ก็นัดกับเพื่อนอีกว่าปีหน้า ปี 51 นี้จะต้องไปถึงผาหล่มสักให้ได้เลย
ชั้นปีที่ 4-ปัจจุบัน ได้ไปเที่ยวที่จังหวัดอุบลราชธานี ในช่วงตอนเข้าพรรษาที่ผ่านมาไปเที่ยวดูการแห่เทียนเข้าพรรษาที่ยิ่งใหญ่และสวยงามมาก เทียนสูงใหญ่มากและสวย ๆ ทั้งนั้น และก่อนเข้าพรรษาก็ได้ไปเที่ยวที่อำเภอพิบูรณ์ฯ ที่นั่นมีแหล่งท่องเที่ยวมากมาก เช่น วัดกู่แก้ว เป็นวัดที่สวยงามมาก และได้ไปเที่ยวที่โขงเจียม ข้ามไปแม่น้ำโขงไปลาว ค่าผ่านทาง 10 บาท เข้าไปที่ลาว รู้สึกว่าที่ลาวมีความเป็นเอกลักษณ์ของลาวมากไม่ว่าจะเป็นคำพูด ภาษา วัฒนธรรม การแต่งกาย สินค้าอยู่ที่ลาวถูกมากเพราะเป็นสินค้าที่หนีภาษีไม่ว่าจะเป็น เหล้า บุหรี่ โทรศัพท์ CD/VCD เพลงต่าง ๆ ฯลฯ พอมาลงเรือก็ไปดูแม่น้ำสองสี คือ จะเป็นแม่น้ำมูลกับแม่น้ำโขงไหลมารวมกันที่แม่น้ำโขงจึงเกิดแม่น้ำสองสีขึ้น ออกจากโขงเจียมก็ไปเที่ยวต่อที่น้ำตกสร้อยสวรรค์ น้ำตกสวยมากเลยค่ะ เมื่อเข้าพรรษาดูแห่เทียนเสร็จก็กลับบ้านที่มหาสารคาม
จากที่เล่ามาเป็นส่วนหนึ่งเท่านั้นที่หนูจำได้และเป็นความทรงจำที่ดีต่อหนู หากหนูพิมพ์ผิดหรือขาดตก
บกพร่องประการใดก็ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะคะ


ขอบคุณค่ะ
นางสาววรรณวิษา ปินะสา รหัส 48010511658
ชั้นปีที่ 4 กลุ่มเรียนที่ 4 สาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม

นางสาวสุขสรรค์ หมุ่ยศรี (ซัน) กล่าวว่า...

นางสาวสุขสรรค์ หมุ่ยศรี สาขา EC กลุ่ม 4
รหัส 48010511673

อัตชีวประวัติ
ตั้งแต่ที่จำความได้ จำได้ว่าเวลานั้นอยู่ชั้นอนุบาลหนึ่ง ก็อายุประมาณห้าขวบได้ ข้าพเจ้าเกิดและโตที่บ้านเลขที่เก้า บ้านนาขนวน อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ คลอดโดยหมอตำแย น้ำหนักแรกเกิดสามพันกรัม พี่สาวยายตั้งชื่อให้ว่า สุขสรรค์ เพราะจะได้มีแต่ความสุข แม่บอกว่าข้าพเจ้าเป็นเด็กที่เลี้ยงง่าย กินง่าย ไม่ค่อยงอแง เมื่อตอนอยู่ชั้นอนุบาลจำได้ว่าเวลานั้นตาเป็นผู้ใหญ่บ้าน มีอยู่ครั้งหนึ่ง ฉันเคยไปเล่นไมโครโฟนของตา แล้วตะโกนผ่านไมค์ถามพี่ข้างบ้านว่ากินข้าวหรือยัง แล้วกินกับอะไร ซึ่งตอนนั้นคนทั้งหมู่บ้านคงได้ยินกันหมด ข้าพเจ้าและลูกพี่ลูกน้องมักจะมาเล่นด้วยกันเสมอเพราะอายุห่างกันก็ประมาณปีสองปีเท่านั้น เรามักจะสมมุติตัวเองเป็นครูและนักเรียน เล่นขายของบ้าง เล่นซ่อนแอบบ้าง แต่งตัวเหมือนผู้ใหญ่ มักจะเอาผ้าขนหนูมาทำเป็นผมให้มันยาวๆ ทุกๆวันฉันและแม่จะปั่นจักรยานไปนาเสมอ ครอบครัวของข้าพเจ้าอยู่รวมกันห้าคน มีตา ยาย แม่ และข้าพเจ้า ส่วนพ่อนั้นตั้งแต่จำความได้ฉันก็เห็นพ่อนอนอยู่ที่นาเสมอ เวลาถึงฤดูทำนาเป็นสิ่งที่ข้าพเจ้าชอบมาก เพราะช่วงนี้จะเป็นช่วงปิดเทอม เพราะแต่ก่อนจะมีสามเทอมและช่วงทำนาก็จะปิดเทอม ซึ่งต่างจากปัจจุบันนี้ ข้าพเจ้ามักจะวิ่งเล่นตามทุ่งนาซึ่งจะเต็มไปด้วยน้ำและก็จะมีหอยเยอะมากๆข้าพเจ้าก็จะเก็บหอยมาให้พ่อกับแม่ต้มจิ้มกินกับน้ำพริกในตอนเที่ยง พ่อกับแม่จะดำนา ถอนกล้า ส่วนข้าพเจ้าก็จะวิ่งเล่นอย่างสนุกสนาน บางทีก็จะนอนค้างที่นาอยู่หลายวันเพราะต้องตื่นแต่เช้ามาทำนา เวลากลับบ้านแม่จะเป็นคนปั่นจักรยาน ส่วนข้าพเจ้าก็จะนั่งซ้อนท้าย เส้นทางกลับบ้านก็จะมีดวงอาทิตย์ดวงใหญ่มาก ประมาณเท่ากระด้งได้ ข้าพเจ้าก็จะชอบมองและจะถามแม่ว่า ทำไมดวงอาทิตย์ถึงวิ่งตามเราล่ะแม่ เราไปทางไหนมันก็จะวิ่งตามเราไปทางนั้น แม่ก็บอกว่ามันไม่ได้วิ่งตามเรานะ มันก็อยู่ของมันที่เดิมนั่นแหละ แต่ข้าพเจ้าก็ไม่เข้าใจอยู่ดี พอตอนกลางคืนก็จะเห็นดวงจันทร์ ซึ่งมันก็วิ่งตามเราอีก และก็ยังมีกระต่ายอยู่บนนั้นด้วย ข้าพเจ้าก็จะถามแม่ว่าทำไมมีกระต่ายอยู่บนนั้น แม่ก็จะเล่าให้ฟังเกี่ยวกับตำนานของกระต่าย ข้าพเจ้าก็ฟังแม่เล่าอย่างเพลิดเพลิน แต่พอโตขึ้น ได้เรียนเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ ก็ได้เข้าใจในสิ่งที่ตัวเองสงสัย ชีวิตสมัยเป็นเด็กเวลานั้นก็จะเหมือนเด็กบ้านนอกทั่วไป พอเสาร์อาทิตย์ก็จะชวนกันไปหาปลา หาเขียดกับเพื่อนๆตามหนอง คลอง บึงต่างๆ บางทีก็จะไปหาจิ้งหรีดในตอนกลางคืนกับพ่อ ไปย่ำโคลนเพื่อหาแมงกระชอนบ้าง หาตั๊กแตนตามหญ้าหรือหาในช่วงที่เกี่ยวข้าว ก็จะนำต้นข้าวมาทำปี่เป่าเล่น พอเกี่ยวข้าวเสร็จก็จะช่วยพ่อกับแม่เก็บมัดข้าวขึ้นรถเพื่อเก็บไปกองไว้รอเอาไว้นวดข้าว บางทีมีรถผู้แทนหาเสียงวิ่งผ่านมาเขาก็จะวางขนมไว้ให้ข้างทาง ข้าพเจ้าก็จะวิ่งไปเก็บเอาอย่างรวดเร็ว ตาของข้าพเจ้าค่อนข้างจะเป็นคนที่เข้มงวดในเรื่องการเลี้ยงดู ข้าพเจ้าจึงไม่ค่อยมีอิสระบ้างในบางเรื่อง เวลาข้าพเจ้าจะไปเที่ยวกับเพื่อนก็จะไม่ค่อยได้ไป มีงานในหมู่บ้านก็จะไม่ค่อยได้ไป เวลาจะไปตลาดหรือเข้าเมืองก็จะขอยากมากๆ นับครั้งได้เลยว่าไปตลาดกี่ครั้ง เวลาข้าพเจ้าเข้าเมืองก็จะตื่นเต้นมากๆ เป็นอะไรที่แปลกใหม่สำหรับข้าพเจ้า มีอยู่เหตุการณ์หนึ่ง วันนั้นมีหมอลำมาแสดงที่หมู่บ้านของข้าพเจ้า เพื่อนๆก็จะนัดกันไป ข้าพเจ้าก็ขอทางบ้าน แต่ตาไม่อนุญาต ข้าพเจ้าก็จะทะเลาะกับตา ข้าพเจ้าก็ร้องไห้แล้วก็วิ่งขึ้นไปบนบ้านแล้วก็นอนร้องไห้จนหลับไป ทุกคนในบ้านคิดว่าข้าพเจ้าหนีไปเที่ยวจึงออกตามหาข้าพเจ้าแต่ก็ไม่เจอ จนมาพบข้าพเจ้านอนอยู่ในห้อง ซึ่งข้าพเจ้าก็ยังโกรธอยู่นะ ข้าพเจ้าก็บอกว่าแม่ไม่เชื่อใจหนูเหรอ ถ้าไม่ให้ไปหนูก็จะไม่ไป ซึ่งข้าพเจ้าก็เสียใจที่ทุกคนคิดว่าข้าพเจ้าหนีเที่ยว ข้าพเจ้าและลูกพี่ลูกน้องก็ประมาณห้าคนมักจะมาเล่นด้วยกันเสมอ มีอยู่ครั้งหนึ่ง มีงูเขียวขึ้นมาบนบ้าน งูตัวนี้มักจะมาตอนเช้า พอตอนกลางคืนก็จะไปที่อื่น พวกเราก็จะเล่นกันแผลงๆ โดยเอาไม้ลำปอยาวๆไปแหย่งูให้ตกลงมาจากขื่อของบ้าน แต่มันก็ไม่ตกซักที พอเราแหย่งูทีไร เราทุกคนก็จะวิ่งหนีเพราะกลัวว่างูจะตกลงมา แต่มันก็ไม่ตกซักที ซึ่งเราก็เล่นเกือบทุกวันนะ แต่มันก็ไม่ตกซักที แล้วทีนี้งูตัวนั้นก็ไม่รู้หายไม่ไหน ไม่เคยเห็นอีกเลย สงสัยคงจะกลัวพวกเราแน่ๆเลย มีสิ่งที่ท้าท้ายข้าพเจ้ามากอย่างหนึ่งในตอนเด็กๆคือ หมู่บ้านของข้าพเจ้าจะมีคนบ้าอยู่หนึ่งคนเป็นผู้หญิง คนบ้ามักจะไล่ตีเด็กๆเสมอ เพราะว่าเด็กๆมักจะไปล้อและแกล้งคนบ้า คนบ้าก็มักจะไล่ตี พวกเราก็จะวิ่งหนีด้วยความสนุกสนานและก็กลัวด้วยเพราะคนบ้ามักจะมีไม้เป็นอาวุธ แต่ข้าพเจ้าก็ไม่เคยถูกตีสักครั้ง คนบ้าคนนี้มักจะเข้าไปในโรงเรียนเสมอ จนบางทีข้าพเจ้าและเพื่อนๆต้องวิ่งหนีเป็นประจำเพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะกัน มีอยู่ครั้งหนึ่งคนบ้าคนนี้มาอาละวาดในห้องเรียนเพราะเพื่อนในห้องไปด่าและก็ว่าคนบ้า ข้าพเจ้าและเพื่อนๆต่างวิ่งหนีกันเพื่อเอาตัวรอด เพราะคนบ้าถือไม้กวาดอยู่ มีเพื่อนผู้ชายโดนตีหนึ่งคน เพื่อนคนนั้นก่อนจะโดนตีเขาจะตะโกนให้เพื่อนคนอื่นๆมาหลบอยู่ใต้โต๊ะเรียน เขาบอกว่าปลอดภัยแน่ แต่ข้าพเจ้าก็วิ่งหนีออกจากห้องไป ส่วนเพื่อนคนนั้นโดนตีจนหัวปูดและก็วิ่งร้องไห้ออกมา ดีนะที่ข้าพเจ้าไม่เชื่อตามที่เขาบอก ไม่งั้นคงต้องหัวปูดแน่ๆ ต่อมาไม่นานครอบครัวของข้าพเจ้าก็มีสมาชิกเพิ่มอีกหนึ่งคน แม่กำลังจะมีน้องให้ข้าพเจ้า ก่อนวันที่แม่จะคลอด ข้าพเจ้าบอกกับญาติทุกคนว่า ถ้าหากแม่คลอดน้องให้ปลุกข้าพเจ้าด้วย พอข้าพเจ้าตื่นขึ้นมาในตอนเช้าก็ไม่เห็นแม่ เพราะแม่ไปโรงพยาบาลในตอนใกล้จะสว่าง แต่ไม่มีใครปลุกข้าพเจ้าเลยสักคน ปรากฏว่าข้าพเจ้าได้น้องผู้หญิง ข้าพเจ้าเข้าเรียนชั้นอนุบาลหนึ่งที่โรงเรียนประจำหมู่บ้าน เรียนจนจบชั้นประถมศึกษาปีที่หก ชีวิตสมัยชั้นประถมศึกษามีเหตุการณ์และประสบการณ์ที่ดีมากมาย เมื่อนึกย้อนไปถึงเวลานั้นก็จะมีแต่สร้างรอยยิ้มให้กับข้าพเจ้าเสมอ ตอนอยู่อนุบาลจะได้เงินไปโรงเรียนวันละสองบาท ห่อข้าวไปกินเอง พอขึ้นชั้นประถมก็เพิ่มขึ้นมาเป็นห้าบาท ห่อข้าวไปกินเอง ข้าพเจ้าเป็นเด็กที่หน้าตาน่ารักหรือไม่นั้นไม่รู้นะแต่ข้าพเจ้าเป็นที่รักของเพื่อนๆมาก ไม่ได้เข้าข้างตัวเองนะ แต่มันเป็นความจริง ข้าพเจ้าเป็นเด็กที่เรียนดีและเก่งคนหนึ่ง ครูไม่ต้องสอนให้ยาก เพราะข้าพเจ้าสอนง่าย เข้าใจง่าย ตอนเรียนอยู่ชั้นอนุบาลข้าพเจ้าก็ได้เรียนรู้เกี่ยวกับความรักด้วย คงจะเป็นความรักแบบเด็กๆ อันที่จริงข้าพเจ้าก็ไม่ได้ชอบเด็กผู้ชายคนนั้นนะ แต่ก่อนนอนกลางวันของทุกวันเขามักจะถือหมอนมานอนข้างๆข้าพเจ้าเสมอ ข้าพเจ้าก็มักจะเดินหนีและไม่นอนข้างๆกับเขาแต่เขาก็ยังตามข้าพเจ้าตลอด ก็เป็นอะไรที่ตลกเหมือนกัน ข้าพเจ้ามักจะได้ทำกิจกรรมค่อนข้างเยอะ เป็นตัวแทนของโรงเรียนในการแข่งขันตอบปัญหาทางวิชาการเสมอ โดยเฉพาะวิชาคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ เป็นนักกีฬาของโรงเรียนก็จะเป็นนักกรีฑาและนักฟุตบอลหญิง เวลาแข่งกีฬาสีก็มักจะวิ่งได้ที่หนึ่งเสมอ ไปแข่งขันตอบปัญหาส่วนมากจะไม่ค่อยติดอันดับหนึ่งถึงสามแต่จะอยู่ลำดับกลางๆซะส่วนมาก เคยประกวดมารยาทไทยก็ได้รองอันดับสอง ซึ่งกว่าจะฝึกได้ก็เล่นเอาเหนื่อยเหมือนกัน เคยไปแข่งขันฟุตบอลก็ได้อันดับหนึ่งของตำบล ซึ่งจะเป็นกีฬาระดับตำบล ก็จะมีการแข่งขันเพื่อคัดเลือกให้เหลือสามทีมสุดท้ายที่จะต้องชิงรางวัลชนะเลิศในวันจริง ก็จะมีการแข่งขันรอบคัดเลือก โดยไปตามโรงเรียนต่างๆ มีเหตุการณ์ที่ข้าพเจ้าจำได้แม่นมากๆคือข้าพเจ้าแข่งขันเตะฟุตบอลกับโรงเรียนหนึ่ง และเวลานั้นข้าพเจ้ากำลังจะเตะฟุตบอลเข้าประตู แต่ขาดันเตะไปโดนขาของผู้รักษาประตู ข้าเจ้าล้มลงและลุกขึ้นไม่ได้เลย ขยับขาก็เจ็บ ทุกคนไม่รู้ว่าข้าพเจ้าเจ็บขามาก ข้าพเจ้าร้องไห้และก็นอนอยู่ตรงนั้นอยู่นามมากกว่าเพื่อนจะพาออกจากสนาม แปลกใจมากๆคนรักษาประตูที่โดนเตะไม่เป็นไรเลย ไม่เจ็บขาหรือว่ามีอาการเจ็บเลย ซึ่งก็ทำให้ข้าพเจ้ายังสงสัยมาจนถึงทุกวันนี้ นอกจากนี้ข้าพเจ้าก็เคยเป็นตัวแทนในการประกวดร้องเพลงด้วย เป็นเรื่องที่บังเอิญมากกว่า เพราะความจริงคนที่ต้องร้องเพลงไม่ใช่ข้าพเจ้า แต่ที่ข้าพเจ้าได้เป็นตัวแทนก็มีอยู่ว่า วันที่ตัวแทนที่ต้องร้องเพลงซ้อมร้องเพลงอยู่นั้น ข้าพเจ้าก็ไปดูเขาร้องเพลง เวลาเขารองไม่ถูก ข้าพเจ้าก็มักจะพูดว่ามันไม่ได้ร้องใช่แบบนี้ ร้องไม่ถูกนะ ข้าพเจ้าก็จะสอดแทรกและติอยู่แบบนี้บ่อยมาก และก็จะร้องเพลงนั้นไปด้วย เพลงที่ร้องคือเพลงพระราชนิพนธ์สายฝน จนอาจารย์เห็นแววการร้องดี จึงให้เป็นตัวแทนในการร้องเพลง และก็ได้ร้องใส่หอกระจายเสียงของโรงเรียนด้วย ก็เขินๆอยู่เหมือนกัน แต่ในวันที่แข่งขันจริงข้าพเจ้าก็เกิดอาการเป็นไข้ จึงไม่ได้ไปร้องเพลงเพราะไปไม่ไหวจริงๆจึงพลาดโอกาสตรงนั้นไป ข้าพเจ้ากับเพื่อนๆมักจะเดินไปโรงเรียนเป็นกลุ่มใหญ่เสมอ เมื่อถึงใกล้ถึงวันแข่งขันกีฬา คุณครูก็จะนัดซ้อมกีฬาทุกๆเช้า ก็จะไปซ้อมตั้งแต่ตีห้า เพื่อนที่อยู่ท้ายหมู่บ้านก็จะเป็นคนที่ต้องตื่นเป็นคนแรกและก็ปลุกคนอื่นๆมาเรื่อยๆแล้วก็จะเดินไปด้วยกันทุกวัน คุณครูก็จะให้วิ่งเพื่อเป็นการอบอุ่นร่างกายก่อน แต่บังเอิญว่าเส้นทางที่เราต้องวิ่งผ่านมันเป็นวัดและเป็นที่เผาศพด้วย ก่อนวิ่งข้าพเจ้ากับเพื่อนก็จะมีข้อตกลงกันว่า ถ้ากากวิ่งผ่านวัดนะทุกคนต้องรอกันนะ ห้ามวิ่งหนีกันโดยเด็ดขาด ทุกคนก็รับปาก พอวิ่งมาถึงตรงนั้น เหมือนกับว่าคำสัญญาที่เคยพูดไว้ทุกคนจะลืมกันหมด ไม่มีใครรอใครเลยซักคน ทุกคนต่างวิ่งหนีโดยไม่คิดชีวิต ก็จะมีเสียงเพื่อนๆพูดขึ้นว่า ผีผี ผี ทุกคนก็ต้องวิ่งกันอย่างรวดเร็ว พอวิ่งผ่านตรงนั้นมาได้ก็จะเหนื่อยและก็หัวเราะกันอย่างสนุกสนาน และก็จะเป็นแบบนี้ทุกครั้ง ไม่ว่าจะวิ่งผ่านบ่อยแค่ไหนก็ยังไม่หายกลัวสักที มีอยู่ช่วงหนึ่งข่าวบอกว่าจะมีฝนดาวตก ข้าพเจ้ากับเพื่อนๆก็จะนัดกันไปนอนที่บ้านเพื่อนที่ใกล้โรงเรียนที่สุดเพื่อรอไปดูฝนดาวตก ก็มีคุณครูไปดูด้วยสองคน พอถึงเวลาตีสามทุกคนก็จะออกไปโรงเรียนพร้อมกัน ก็จะนอนดูฝนดาวตกที่สนามหญ้าของโรงเรียน ฝนดาวตกสวยมากๆ แล้วก็มีเยอะด้วย ดาวบนท้องฟ้าก็สวย เต็มท้องฟ้าไปหมด เราก็ช่วยกันนับ แต่จำไม่ได้แล้วว่านับได้กี่ดวง หมู่บ้านของข้าพเจ้าเป็นหมู่บ้านที่ค่อนข้างใหญ่ ทุกวันขึ้นปีใหม่จะมีวงดนตรีลูกทุ่งมาเล่นเสมอ ก็จะมีฉายหนังกลางแปลง ชิงช้าสวรรค์ ก็จะจัดงานที่วัด มีอยู่ปีหนึ่งที่พิเศษกว่าทุกปี คือคณะหมอลำให้เด็กๆเต้นเพื่อเป็นการเปิดการแสดง ข้าพเจ้าก็ร่วมเต้นด้วย ทั้งตื่นเต้นและก็สนุกมากๆ แล้วก็ได้เงินด้วยยี่สิบบาท แม่บอกว่าถ้าอยากได้เงินทำไมไม่บอก แม่จะได้เอาให้ แต่ข้าพเจ้าก็บอกท่านว่าข้าพเจ้าไม่อยากได้เงิน แต่ข้าพเจ้าอยากเต้นต่างหากล่ะ ข้าพเจ้าอยากจะเล่าถึงเหตุการณ์ต่อไปนี้ เพราะเป็นสิ่งที่ข้าพเจ้าประทับใจมากๆ แต่มันก็เป็นวินาทีแห่งชีวิตที่ข้าพเจ้าเกือบสูญเสียพ่อไป คุณครูบอกว่าการสูบบุหรี่เป็นอันตรายต่อร่างกาย นักเรียนทุกคนต้องช่วยกันบอกพ่อนะว่ามันอันตราย ข้าพเจ้าก็อยากให้พ่อเลิกสูบบุหรี่จึงไปเล่าให้พ่อฟังและขอร้องให้พ่อเลิกสูบบุหรี่ ก็ทำอยู่หลายครั้งจนพ่อตัดสินใจเลิก แต่พ่อเลิกสูบแบบไม่ค่อยเป็นค่อยไป เลิกสูบเอาดื้อๆ เช้าวันเกิดเหตุตาก็ลงไปนาและก็ไม่เห็นพ่อ ก็ขึ้นไปดูพ่อบนบ้านก็เห็นว่าพ่อไม่สบาย ก็ขึ้นมาบอกว่าพ่อไม่สบาย ซื้อยาไปให้ด้วยและก็ไปดูหน่อย ตาบอกว่าพ่อลุกไม่ได้ ข้าพเจ้าก็บอกว่าพาพ่อไปหาหมอนะ ตาก็บอกว่าจะพาไปทำไม ไม่ได้เป็นอะไรมากหรอก ทุกคนต่างก็เป็นห่วงพ่อ เพราะพ่อไม่เคยป่วยแบบนี้มาก่อน ทุกคนจึงลงไปดูพ่อที่นา ส่วนข้าพเจ้าต้องอยู่บ้าน แม่และลุงก็ไปดูพ่อ ปรากฏว่าพ่ออาการหนักมาก ต้องรีบพาไปหาหมอ ข้าพเจ้าเห็นลุงอุ้มพ่อไปหาหมอก็ร้องไห้ แม่ก็ร้องไห้เพราะกลัวว่าพ่อจะเป็นอะไรไป พอทุกคนกลับมาบ้าน แม่ก็บอกว่าพ่อปลอดภัยแล้ว หมอบอกว่าเป็นอาการลงแดงของคนที่เลิกสูบบุหรี่ ข้าพเจ้ารู้สึกรักพ่อมากๆ ที่ทำเพื่อข้าพเจ้า ตั้งแต่นั้นมาข้าพเจ้าก็พยายามหาวิธีให้พ่อเลิกสูบบุหรี่อย่างถูกต้อง ก็ทำอยู่นาน แต่ก็ไม่อยากบังคับพ่อมากไป จึงตามใจพ่อ ปัจจุบันนี้พ่อก็ยังสูบบุหรี่อยู่ ก่อนที่จะจบประถมศึกษาปีที่หก เด็กประถมหกทุกคนก็ต้องร่วมกันทำอะไรบางอย่างเพื่อเป็นที่ระลึกให้กับโรงเรียน ซึ่งพวกเราก็ได้ร่วมกันสร้างสนามวอลเล่ย์บอล ซึ่งทุกคนก็ช่วยกันอย่างสนุกสนาน ทั้งถือถังปูน ตักทราย ตักหิน จำได้ว่าวันนั้นฝนรินเล็กน้อยแล้วเราก็ร่วมกันรับประทานอาหารในตอนเย็น เป็นมื้อที่เพื่อนๆทุกคนมีความสุขมากก่อนที่ทุกคนจะจบการศึกษา


พอจบชั้นประถมหก ข้าพเจ้าก็เข้าศึกษาต่อที่โรงเรียนกันทรลักษ์วิทยา ซึ่งเป็นโรงเรียนประจำอำเภอ ก่อนที่ข้าพเจ้าจะจบประถมหก ข้าพเจ้าเคยถูกเสนอชื่อเพียงคนเดียวของโรงเรียนให้ไปเรียนที่โรงเรียนเฉลิมพระเกียรติที่อยู่ในตัวจังหวัดศรีสะเกษ แต่เพราะค่าเทอมและค่าเล่าเรียนที่แพงเกินไป ข้าพเจ้าจึงไม่มีโอกาสได้ไปเรียน ข้าพเจ้าสอบเข้าที่โรงเรียนกันทรลักษ์วิทยาได้พร้อมกับเพื่อนโรงเรียนเดียวกันอีกหกคน ข้าพเจ้าและเพื่อนอีกห้าคนได้อยู่ห้องสิบ ส่วนเพื่อนอีกคนอยู่ห้องหก ส่วนมากเด็กห้องสิบซึ่งเป็นห้องสุดท้ายจะมีแต่เด็กนอกเขตเทศบาล เพื่อนๆในห้องของข้าพเจ้าน่ารักมากๆ ข้าพเจ้าดีใจที่ได้อยู่ห้องนี้ ห้องข้าพเจ้ามักจะมีวีรกรรมที่ทำเอาครูปวดหัวไปตามๆกัน เพราะมักจะมีเรื่องให้ถูกด่าอยู่เสมอ ข้าพเจ้ากับกลุ่มเพื่อนไม่ค่อยดื้อ ส่วนมากเพื่อนในกลุ่มเดียวกันจะเป็นคนไม่ค่อยพูด ออกจะเรียบร้อยด้วยซ้ำ ครูบอกว่าห้องสิบถึงแม้จะไม่ใช่เด็กในเมืองแต่ว่าผลการเรียนของทุกคนน่าพอใจและสูงทีเดียว เพราะส่วนมากก็จะเป็นเด็กเก่งที่อยู่บ้านนอกมารวมตัวกัน ข้าพเจ้าได้รู้จักเพื่อนที่มาจากต่างหมู่บ้าน ต่างตำบลมากมาย ข้าพเจ้าตื่นเต้นกับการมาเรียนในเมืองมาก เห็นอะไรก็แปลกใหม่และตื่นตาไปซะหมด แต่หลังจากนั้นไม่นานก็เริ่มชินและเห็นเป็นเรื่องปกติ ข้าพเจ้าได้เงินมาเรียนวันละยี่สิบบาท บางวันก็ขอเพิ่มบ้างเล็กน้อย มีครั้งหนึ่งก่อนเลิกเรียนก็เดินไปรอรถกับเพื่อนเพื่อกลับบ้านก็เก็บเงินได้ตามทางห้าบาทก็ดีใจมาก ก็นำเงินที่เก็บได้ไปซื้อลูกชิ้นห้าไม้ ไม้ละบาทมาเลี้ยงเพื่อนๆ ก็ได้กินกันคนละไม้ก็ไม่อิ่มนะ แต่ก็มีความสุข ข้าพเจ้าคิดว่าตัวเองเป็นคนที่เรียนเก่งวิชาคณิตศาสตร์นะ จึงตัดสินใจลงวิชาเลือกเพิ่มเติมเป็นวิชาคณิตศาสตร์ แต่ยิ่งเรียนก็ยิ่งไม่เข้าใจ รู้สึกว่ามันยากมาก ข้าพเจ้าก็พยายามถามเพื่อนที่เก่งกว่า ผลเกรดออกมา ได้เกรดหนึ่งเป็นวิชาเดียวที่ได้ วิชาคณิตศาสตร์หลักไม่ค่อยยากนะก็ทำได้ เราจึงได้ค้นพบความจริงว่าการศึกษาของแต่ละโรงเรียนนั้นต่างกัน เด็กในเมืองเขาก็จะมีแต่คนเก่งๆ ถึงแม้ว่าเราจะเก่งแถวบ้านนอก แต่เราก็สู้เด็กในเมืองไม่ได้ ผลการเรียนของ ม.1 ก็น่าพอใจเพราะได้สามต้นๆ ข้าพเจ้าจึงต้องพยายามให้มากขึ้นและผลการเรียนในระดับ ม.ต้น ก็น่าพอใจเท่าที่ควร ตาของข้าพเจ้าบอกว่าถ้าเรียนได้ไม่ต่ำกว่าสามจะให้รางวัล พอผลการเรียนออกมา ตาก็พอใจ แล้วตาก็เปิดบัญชีธนาคารให้ ข้าพเจ้าก็ดีใจมาก รางวัลที่ได้เหมือนเป็นแรงผลักดันให้ตั้งใจเรียนมากขึ้น และตาก็ฝากเงินให้กับข้าพเจ้าเรื่อยๆ ส่วนกิจกรรมในช่วง ม.ต้นไม่ค่อยได้ร่วมมากนัก ส่วนมากก็จะเรียนมากกว่า พอขึ้น ม.ปลายก็ได้ทำกิจกรรมมากขึ้น ตอนขึ้น ม.4 ข้าเจ้าก็ได้อยู่ห้องสี่ มีการเปลี่ยนแปลงระบบการศึกษาแบบใหม่ ซึ่งรุ่นนี้เป็นรุ่นแรก ก็เกิดความวุ่นวายกันพอสมควร เพราะไม่ได้แบ่งเรียนเป็นสายเหมือนก่อน ปัญหาที่เกิดขึ้นก็คือ นักเรียนเลือกวิชาเลือกที่จะเรียนไม่ถูก แต่ทางโรงเรียนก็ทำอะไรไม่ได้เหมือนกัน พอขึ้น ม.5 จึงกลับมาใช้แบบแบ่งสายเรียนแบบเดิม ข้าพเจ้าเลือกเรียน
สายวิทย์-คณิตฯ ทางโรงเรียนก็เปลี่ยนแปลงการใช้ห้องแบบใหม่โดยห้องที่เก่งที่สุดเป็นห้อง11 ข้าพเจ้าได้อยู่ห้องเก้า ก็ได้รู้จักเพื่อนใหม่เพิ่มขึ้น ส่วนเพื่อนเก่าตอนเรียน ม.ต้นและม.4 ก็ยังได้อยู่ด้วยกันและก็เป็นเพื่อนซี้ในกลุ่มเดียวกันเหมือนเดิม กิจกรรมในช่วง ม.ปลายได้มีโอกาสร่วมค่อนข้างเยอะกว่าช่วง
ม.ต้น ก็จะมีการลงสมัครสภานักเรียน ตอนแรกก็ไม่ได้อยากจะลงหรอก เพราะเราก็ไม่ได้เก่งหรือเป็นที่รู้จักของคนอื่นมากนัก แต่เพื่อนๆได้ยินมาว่าห้องเด็กเก่งเขาพูดดูถูกเรามา เพื่อนจึงเกิดแรงบันดาลใจที่จะลงสมัคร ก็เลยตัดสินใจลงสมัครดู ทุกๆเช้าก็จะมีการพบปะกับทุกคนหน้าเสาธง ก็กล้าๆ กลัวเหมือนกันเพราะต้องพูดต่อหน้าคนประมาณสามพันคนและก็เป็นครั้งแรกที่ได้พูดต่อหน้าคนเยอะๆแบบนี้ ก็มีการทำแผ่นปลิวหาเสียง พูดเสียงตามสาย มีการนำเพลงมาดัดแปลงเพื่อหาเสียงบ้าง ทุกพรรคต่างทำหน้าที่ของตนเองอย่างตั้งใจ พอถึงวันเลือกตั้งทุกคนต่างตื่นเต้นกันใหญ่ ข้าพเจ้าไม่กล้าไปดูการนับคะแนน ก็จะมีเพื่อนมาบอกว่าได้คะแนนเท่าไหร่ ก็ตื่นเต้นและก็รอลุ้นอย่างใจจดใจจ่อ ผลคะแนนที่ออกมาพรรคของข้าพเจ้าได้อันดับสุดท้าย บางคนก็ผิดหวังเล็กน้อย แต่ทุกคนก็ไม่ได้เสียใจ และต่างก็พูดว่ามันเป็นประสบการณ์ที่ดีที่เราได้ทำในสิ่งที่ท้าทายความสามารถของเรา และข้าพเจ้ากับเพื่อนๆต่างก็ยินดีกับพรรคที่ได้เพราะเขามีความเหมาะสมที่จะได้มากๆ การเรียนในระดับ ม.ปลายทำให้ข้าพเจ้าต้องขยันเพิ่มมากขึ้น เพราะเกรดเฉลี่ยที่ได้จะมีผลต่อการสมัครเข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษา ข้าพเจ้าจึงเริ่มเรียนพิเศษในวิชาคณิตศาสตร์และวิชาฟิสิกส์ ก็จะลงเรียนในวันเสาร์และอาทิตย์ คณิตศาสตร์ก็จะเรียนตอน ม.4 ส่วนวิชาฟิสิกส์ก็จะเรียนตั้งแต่ ม.4 จนถึง ม.6 ซึ่งก็ทำให้ข้าพเจ้าเข้าใจบทเรียนมากยิ่งขึ้น คนในหมู่บ้านบางคนมักจะพูดกับแม่ข้าพเจ้าว่า ทำไมต้องให้เรียนพิเศษด้วย คนที่เรียนพิเศษมีแต่คนที่เรียนไม่เก่งเท่านั้น เหมือนเขาจะว่าเราเรียนไม่เก่ง แต่ข้าพเจ้าก็ไม่โกรธ เพราะข้าพเจ้ารู้ตัวเองดีว่ากำลังทำอะไรอยู่ แต่คนที่ไปเรียนพิเศษส่วนมากที่ข้าพเจ้าเห็นจะมีแต่คนที่เรียนเก่งๆแล้วก็จะมีแต่เด็กห้องเก่งๆ การเรียนพิเศษทำให้ข้าพเจ้าเข้าใจบทเรียนมากยิ่งขึ้น ซึ่งก็ทำให้ผลการเรียนดีขึ้นด้วย ข้าพเจ้านับว่าเป็นคนที่โชคดีคนหนึ่งเพราะทางบ้านจะสนับสนุนในเรื่องการเรียน เพื่อนๆของข้าพเจ้าสมัยประถมก็จะแยกย้ายกันไปทำงานบ้าง มีครอบครัวบ้าง เรียนบ้าง ส่วนเพื่อนสมัยมัธยมก็จะเรียนกันเกือบจะทุกคน แม่เคยบอกกับข้าพเจ้าว่า ตอนสมัยเด็กๆแม่อยากเรียนหนังสือให้สูงๆ แต่เพราะตามีลูกเยอะ จึงต้องส่งให้เรียนเป็นบางคน ส่วนแม่ก็ได้เรียนแค่ ป. 4 ก็พออ่านออกเขียนได้ ส่วนพ่อไม่ได้เรียนหนังสือ แม่จึงอยากให้ข้าพเจ้าเรียนสูงๆ มีอาชีพที่ดีทำไม่ต้องมาเป็นชาวนาให้ลำบาก ข้าพเจ้าเคยถามแม่ว่า ทำไมหนูถึงรู้หนังสือล่ะแม่ โดยที่ครูไม่ต้องสอนแบบเคี่ยวเข็ญ หนูเห็นเพื่อนบางคน สอนเท่าไหร่ก็อ่านไม่ออก เขียนไม่ได้สักที แม่ก็บอกว่า ตอนเด็กๆตาเป็นคนสอน ก.ไก่ หนู เพราะตารู้หนังสือและเก่งด้วย ข้าพเจ้าจำได้ว่าตามฝาบ้านที่เป็นไม้มักจะมีข้อความเขียนไว้ด้วยถ่านอยู่หลายที่ ตามักจะเขียนไว้เสมอ มีที่ฝาประตูด้วย จำได้ว่า ตาเขียนไว้ว่า ความเกรงใจเป็นสมบัติของผู้ดี ตรองดูซิทุกคนก็มีหัวใจ เกิดเป็นคนถ้าหากไม่เกรงใจใคร คนนั้นไซร้ไร้คุณธรรมประจำตน ข้าพเจ้าก็มักจะอ่าน แล้วก็ร้องเป็นเพลงเสมอเพราะที่โรงเรียนก็สอนแบบนี้ และอีกข้อความหนึ่งคือ คบคนพาล พาลพาไปหาผิด คบบัณฑิต บัณฑิตพาไปหาผล .....มันก็จะมีต่ออีกนิดหน่อย แต่จำไม่ได้แล้ว ข้าพเจ้าเห็นทีไรก็จะอ่านเสมอ ข้าพเจ้าถามแม่ต่อว่า ทำไมตาถึงไม่ได้เป็นครูเหมือนกับพี่น้องคนอื่นล่ะ แม่บอกว่า เพราะตาเป็นพี่คนโตจึงต้องออกมาทำงานส่งให้น้องเรียน ข้าพเจ้าจึงไม่แปลกใจเลย ว่าทำไมตาจึงอยากให้ลูกหลานเรียนสูงๆ ตอนเรียน ม.ปลาย ข้าพเจ้าก็คิดไว้ว่าตัวเองจะเรียนสาขาไหน อยากเป็นอะไร ตอน ม.4 ก็อยากเป็นแบบหนึ่ง ม.5 ก็อยากเป็นอีกแบบหนึ่ง พอตอน ม.6 ก็เปลี่ยนไปอีกแบบหนึ่ง คณะที่ข้าพเจ้าอยากจะเรียนก็มี การเงินการธนาคาร เทคนิคการแพทย์ บริหาร บัญชี ซึ่งอยากจะเรียนมากๆ แล้วก็ถึงวันที่ต้องสอบประมาณเดือนตุลาคม เป็นช่วงโควตา ข้าพเจ้าคิดว่าตัวเองทำได้ไม่ค่อยดีเลย เพราะทำข้อสอบไม่ค่อยทันตามเวลา จึงเกิดการเดาอยู่หลายข้อ ผลคะแนนออกมาไม่ค่อยดีเท่าที่ควร แต่ข้าพเจ้าก็ไม่ได้คิดมาก จึงเลือกลงสาขาการเงินการธนาคารที่มหาวิทยาลัยอุบลฯ แต่ก็ไม่ได้ จึงตั้งใจที่จะทำให้ได้ช่วงสอบเอนทรานซ์ พอถึงช่วงสอบเอนทรานซ์ ผลคะแนนที่ได้ ก็น่าพอใจพอสมควร เพราะทำได้มากกว่าครั้งแรก ข้าพเจ้าก็คิดว่าจะลงคณะอะไรบ้าง พอดีช่วงนั้นมีการสมัครเรียนแบบแอดมิชชั่น ข้าพเจ้าก็ลงคณะเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยนเรศวร วิทยาเขตพะเยา ผลออกมาก็ได้ แต่คิดไปคิดมา ทั้งระยะทางก็ไกล การเดินทางก็คงจะมีปัญหา จึงตัดสินใจไม่ไปสัมภาษณ์ จึงรอสมัครช่วงเอนทรานซ์เลย ก่อนจะจบ ม.6 ข้าพเจ้าและเพื่อนๆเหมือนจะรักกันมากขึ้นกว่าเดิม มีการทำกิจกรรมร่วมกันมากขึ้น มีการถ่ายรูปเป็นที่ระลึก มีการเลี้ยงฉลอง บางคนก็ให้เพื่อนเขียนความรู้สึกลงในเสื้อนักเรียน บางคนก็ทำสมุดเฟรนชิป ก็จะนั่งจับกลุ่มที่โต๊ะหินอ่อนใต้ต้นไม้หน้าอาคารเรียนเล่าย้อนถึงเรื่องราวตั้งแต่ ม.ต้น บรรยากาศ ณ เวลานั้นเต็มไปด้วยความรักและมิตรภาพของเพื่อน วันที่จบการศึกษาซึ่งเป็นวันสุดท้ายที่ทุกคนจะได้เจอกัน บางคนก็โผเข้ากอดเพื่อนและร้องไห้ บางคนก็พูดอำลากัน ทั้งครูและนักเรียนต่างพูดคุยกันด้วยความรักและห่วงใย คำอวยพรของครูในวันนั้นก็ยังอยู่ในความทรงจำของข้าพเจ้า หลังจากจบมัธยม ข้าพเจ้าก็ได้มานั่งคิดเพื่อเลือกคณะที่จะเรียน มหาวิทยาลัยที่เลือกไว้ในใจก็มีทั้งมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ บูรพา ขอนแก่น มหาสารคาม นเรศวร ก็นำคะแนนที่ได้มาเทียบกับคะแนนของปีก่อน ความจริงอยากเรียนเทคนิคการแพทย์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ แต่เทียบคะแนนแล้วคงไม่ได้ จึงดูคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่นและมหาวิทยาลัยมหาสารคาม ดูสาขาคณิตศาสตร์และสังคมศาสตร์ คะแนนค่อนข้างจะใกล้เคียงกับมหาวิทยาลัยมหาสารคาม จึงตัดสินใจเลือกมหาวิทยาลัยมหาสารคาม แล้วก็ดูสาขาการศึกษาปฐมวัยด้วย คิดอยู่สองสามวันจึงตัดสินใจเลือก สาขาการศึกษาปฐมวัยอันดับหนึ่ง สาขาคณิตศาสตร์อันดับสอง ส่วนอันดับสามจำไม่ได้แล้วว่าเลือกอะไร ทุกคนในครอบครัวต่างตื่นเต้นกันทุกคน และแล้ววันที่รอคอยก็มาถึงผลออกมา ข้าพเจ้าสอบติดสาขาการศึกษาปฐมวัย ทุกคนก็ดีใจกันใหญ่ ข้าพเจ้าจึงมาสัมภาษณ์ตามที่ได้นัดหมาย วันนั้นรู้สึกว่าตื่นเต้นมากๆ ก็ได้เตรียมแฟ้มสะสมงานมาด้วย ข้าพเจ้าก็ค่อนข้างกังวลใจ เพราะเห็นบางคนแฟ้มหนามาก แต่ของเราเล็กนิดเดียว ในวันนั้นก็ได้เจอรุ่นพี่มากมาย พี่ๆก็แนะนำการสัมภาษณ์ให้ แล้วก็ได้เจอเพื่อนใหม่ด้วยซึ่งเพื่อนคนที่เจอกันวันนั้นก็กลายมาเป็นเพื่อนสนิทของข้าพเจ้า การสอบสัมภาษณ์ผ่านไปได้ด้วยดี ผลที่ออกมาข้าพเจ้าสอบผ่านและก็ได้มารายงานตัวและก็ย้ายเข้ามาอยู่ในหอพักของมหาวิทยาลัย ข้าพเจ้าก็ได้พักอยู่กับเพื่อนสนิท เพราะเราติดต่อกันตลอดเวลา ตั้งแต่หลังจากวันสอบสัมภาษณ์ หอพักที่พักอยู่คือ หอชวนชม เวลานั้นทุกอย่างยังไม่เรียบร้อยดี ของในห้องยังมีไม่ครบ ทางเข้าหอก็มีแต่โคลน หลังจากที่พ่อ แม่ น้องและญาติทุกคนที่มาส่งกลับบ้านไปหมดแล้ว ข้าพเจ้าก็ค่อนข้างรู้สึกเหงา จำได้ว่าตัวเองนอนร้องไห้คิดถึงบ้าน แล้วตอนเข้าปีหนึ่งก็มีโทรศัพท์เครื่องแรก จึงมักจะโทรกลับบ้านเสมอ ข้าพเจ้าพยามที่จะไม่คิดมาก พอดีช่วงนั้นก็มีการประชุมเชียร์พอดี ก็ทำให้ไม่เหงาเท่าไหร่ ข้าพเจ้าเข้าร่วมกิจกรรมทุกวัน ได้รู้จักเพื่อนใหม่ๆมากมาย จึงมีเพื่อนคุยมากขึ้น การรับน้องเวลานั้นเป็นอะไรที่สนุกมากๆ เป็นกิจกรรมที่สอนให้ได้เรียนรู้ชีวิตในอีกด้านหนึ่งที่ไม่เคยรู้มาก่อน มีทั้งรอยยิ้มเสียงหัวเราะและน้ำตา บางทีก็โกรธรุ่นพี่มากๆที่มาว๊ากเรา ในวันประชุมเชียร์ของคณะวันสุดท้ายข้าพเจ้าเห็นคนอื่นร้องไห้เพราะโดนรุ่นพี่ว๊าก ตอนแรกก็ไม่ได้ร้องไห้หรอก แต่รุ่นพี่ก็
ว๊ากเสียงดังมากขึ้น ทั้งที่เราก็ร้องเพลงเสียงดังมากๆ ร้องจนเสียงแหบแต่พี่ก็ยังว๊ากใส่เรา จนทำให้น้ำตาของข้าพเจ้าไหลออกมา ก็ร้องไห้อยู่นาน หลังจากนั้น รุ่นพี่ก็ให้กลับตา พอลืมตาขึ้นมา แล้วมองไปรอบๆ ก็เห็นรุ่นพี่ถือเทียนที่ส่องสว่างอย่างสวยงาม ความรู้สึกที่เคยโกรธรุ่นพี่ ก็หายไป เหลือไว้แต่ความประทับใจที่ไม่เคยลืมเลือน หากข้าพเจ้าไม่เข้าร่วมกิจกรรมคงจะพลาดโอกาสดีๆแบบนี้ไปและคงไม่อาจย้อนเวลากลับมาได้ หลังจากกิจกรรมประชุมเชียร์จบลงทุกอย่างก็เป็นการเรียนตามปกติ ก็จะมีกิจกรรมอื่นๆให้ทำเรื่อยๆ ในวันแรกของการเรียนก็ยังยุ่งอยู่กับการลงทะเบียนเรียน เพราะลงไม่เป็น จึงให้รุ่นพี่ลงให้ จากนั้นก็มาเรียนตามปกติ จำได้ว่า เพื่อนๆ สาขาปฐมวัยเยอะมากๆ ข้าพเจ้าก็ไปกับเพื่อนสนิท ข้าพเจ้าก็มีทั้งคนที่ชอบและไม่ชอบ แต่ก็เหมือนสวรรค์กลั่นแกล้ง ข้าพเจ้าต้องมาเจอกับคำที่มีคนกล่าวไว้ว่า เกลียดสิ่งไหนก็จะได้สิ่งนั้น ข้าพเจ้าต้องเจอกับตัวเอง เพราะคนที่ข้าพเจ้าไม่ค่อยชอบนั้นกลับกลายมาเป็นเพื่อนในกลุ่มของข้าพเจ้า หลังจากนั้นก็มีการตามหาพี่รหัสของตัวเอง นั่นก็ทำให้ข้าพเจ้ารู้ว่า เกลียดสิ่งไหนมักจะได้สิ่งนั้นอีกครั้งหนึ่ง เรื่องก็มีอยู่ว่า ก็เจอรุ่นพี่คนหนึ่ง แล้วข้าพเจ้าก็บอกกับเพื่อนว่า ไม่ถูกชะตาจังเลย ท่าทางก็ดูกวนๆ ขออย่าให้ได้เป็นพี่รหัสเลย หลังจากนั้นข้าพเจ้าก็ทราบชื่อพี่รหัส แล้วก็ออกตามหาเพื่อรายงานตัว ก็ไปถามรุ่นพี่คนอื่นๆที่เราเคยเห็น รุ่นพี่ก็บอกว่า น้องไม่รู้จักพี่....เหรอ หนูก็คิดในใจว่า จะรู้จักได้ไงก็เพิ่งเข้ามาเรียน แล้วพี่ก็ชี้ให้ดูว่าเป็นใคร ข้าพเจ้าก็ตกตะลึงกับสิ่งที่เห็นมาก เพราะพี่คนนั้นก็คือรุ่นพี่ที่เคยพูดไว้ว่าไม่ชอบแล้วก็ขออย่าได้พี่คนนี้เป็นพี่รหัสเลย ก็บ่นกับเพื่อนอยู่หลายวัน พอทำใจได้ก็ไปรายงานตัวกับพี่ พี่ก็ให้รายงานตัวแล้วก็มีการรับน้องบ้างนิดหน่อย แต่สำหรับปัจจุบันนี้ก็ไม่มีความรู้สึกนั้นแล้ว ก็เฉยๆมากกว่า การเรียนในปีหนึ่งก็ไม่ได้ยากหรือหนักมากมาย ก็เรียนแบบสบายๆ ผลการเรียนที่ได้ก็สูงพอสมควร พอขึ้นปีสองเนื้อหาก็เริ่มยากขึ้น ความขยันก็ลดน้อยลงกว่าแต่ก่อนทำให้ผลการเรียนต่ำกว่าปีหนึ่ง พอถึงช่วงปิดเทอมก็กลับบ้าน ช่วยพ่อกับแม่ทำสวน ในปีสองข้าพเจ้าก็ได้ร่วมกิจกรรมของคณะมากขึ้น จึงสมัครเข้าชมรมเชียร์ ตอนแรกก็ไม่กล้า เพราะคิดว่าเขาคงจะเอาแต่คนหน้าตาดี หุ่นดี แต่พี่ก็บอกว่าไม่จำเป็นเพราะงานที่ต้องทำก็มีหลายตำแหน่ง ข้าพเจ้าคิดว่าคงจะสนุกดี จึงตัดสินใจสมัครเป็นกรรมการชมรม ก็ได้ทำหน้าที่หลายอย่าง กิจกรรมของชมรมก็จะมีการฝึกร้องเพลงเพื่อซ้อมการเชียร์กีฬา ก็ต้องกลับดึกทุกวันเพราะต้องประชุมแล้วก็ซ้อมเชียร์ให้กับคนที่ต้องขึ้นสแตนเชียร์ มีเหนื่อยบ้าง ท้อบ้าง เพราะเกิดปัญหาขึ้นมากมายในระหว่างการดำเนินงาน บางทีก็รู้สึกแย่มากๆ แต่ข้าพเจ้าก็ใช้ความอดทนให้มากที่สุด ทุกอย่างก็ผ่านไปได้ด้วยดี นอกจากนี้ก็ได้เรียนรู้งานของสโมสรนิสิตด้วย ก็ได้เรียนรู้การทำงานตรงจุดนั้น ก็ทำให้ได้ประสบการณ์มามาก หลังจากการบริหารงานของชุดนี้หมดไป ข้าพเจ้าก็เลิกทำ กิจกรรมกีฬามหาวิทยาลัยก็สนุกเหมือนกันก็มีโอกาสได้ขึ้นสแตนเชียร์ทั้งปีหนึ่งและปีสองก็สนุกมากๆ และข้าพเจ้าก็ได้มีโอกาสไปเที่ยวพืชสวนโลกด้วย ก็ตื่นเต้นพอสมควร เพราะเป็นการไปเที่ยงภาคเหนือเป็นครั้งแรก ได้ไปเที่ยวพม่าที่จังหวัดเชียงราย ได้เห็นวัฒนธรรมและชีวิตของผู้คนซึ่งก็แตกต่างกันไป ได้ไปเที่ยวและนอนพักที่มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ซึ่งชอบมากๆ บรรยากาศก็ดี ได้สัมผัสความหนาวแบบหนาวสุดๆ ธรรมชาติที่เต็มไปด้วยภูเขาสีเขียวหลายลูก มีหมอกที่สวยงามในตอนเช้า ได้สัมผัสทางที่มีร้อยโค้งพันโค้งก็ทำเอาเวียนหัวและอยากจะอาเจียนมาก ได้ขึ้นไปบนดอยตุงและกางเตนท์นอนบนดอย มองลงมาเห็นเมืองเชียงใหม่ บรรยากาศสวยงามจริงๆ หลังจากนั้นก็ได้ไปเที่ยวพืชสวนโลกก็เป็นอะไรที่ตระการตาและยิ่งใหญ่จริงๆ ข้าพเจ้าได้ดูเพียงไม่กี่ส่วนเพราะค่ำก่อน แต่ก็ประทับใจจริงๆ แล้วช่วงปิดเทอมใหญ่ ก็ได้มีโอกาสไปออกค่ายที่บ้านพองหนีบ อำเภอภูกระดึง จังหวัดเลย ซึ่งเป็นค่ายแรกของข้าพเจ้า ไปเห็นหมู่บ้านครั้งแรกก็ไม่คิดว่าจะมีหมู่บ้านเลย เพราะเส้นทางที่เข้าไปมีแต่ภูเขา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของภูกระดึง ขนาดรถหกล้อยังแทบจะไปไม่ไหว จนทุกคนต้องลงจากรถเพื่อให้รถไม่หนักและวิ่งขึ้นทางชันได้ ค่ายนี้ได้สอนให้ข้าพเจ้าเรียนรู้สิ่งต่างๆมากมาย ถึงแม้วันแรกๆข้าพเจ้าอยากกลับมากๆแต่พอถึงวันสุดท้ายกลับร้องไห้ที่ต้องจากนักเรียนและพ่อฮัก แม่ฮักมา ก็ได้เพื่อนใหม่บ้าง และการออกค่ายครั้งนี้ก็เป็นแรงบันดาลใจที่อยากให้ไปออกค่ายอื่นๆด้วย พอขึ้นปีสามการเรียนก็หนักมากขึ้นแต่ก่อน ได้ออกไปโรงเรียนมากขึ้น ได้มีโอกาสสอนเด็กๆบ้าง ไปดูการเรียนการสอนบ้าง ก็ทำให้ได้เรียนรู้การเป็นครูมากยิ่งขึ้น เข้าใจเด็กและเรียนรู้จากเด็กในสิ่งที่ไม่รู้มากยิ่งขึ้น กิจกรรมของมหาวิทยาลัยก็ไม่ค่อยมีโอกาสได้ร่วมมากนัก กิจกรรมที่ได้ทำก็มี กีฬาคณะ งานวันศึกษาศาสตร์ และที่ชอบมากๆก็คงเป็นงานแฟนซีเพราะได้แต่งชุดแฟนซี ได้เห็นพี่น้องชาวศึกษาศาสตร์ที่ต่างแต่งชุดกันมาคนละแบบก็ทำให้สนุกสนานเพลิดเพลินดี ในช่วงปิดเทอมใหญ่ก็ได้มีโอกาสไปใช้ชีวิตอยู่กรุงเทพฯประมาณหนึ่งเดือน เพราะต้องไปดูแลหลาน ก็ได้เรียนรู้ชีวิตการเป็นคนกรุงอยู่พักหนึ่งก็มีความรู้สึกว่า เราคงจะมาอยู่แบบนี้ไม่ได้แน่ เพราะรู้สึกว่ามันวุ่นวาย ผู้คนก็มีเยอะเต็มไปหมด ชีวิตในต่างจังหวัดน่าอยู่กว่าตั้งเยอะ พอกลับมาบ้านก็ช่วยที่บ้านทำสวน เมื่อเปิดเทอมจึงกลับมาที่มหาวิทยาลัย ปีนี้ก็ได้อยู่ปีสี่แล้ว พอนึกย้อนไปรู้สึกว่าเวลามันช่างผ่านไปเร็วจริงๆ การเรียนในช่วงปีสี่นี้ก็ส่วนมากจะเป็นวิชาของสาขา วิชาเลือกก็จะมีบ้าง แต่ก็ไม่ได้เรียนหนักมาก ปีนี้ก็มีสิ่งใหม่ๆมากมาย ทั้งการได้รู้จักรุ่นน้องใหม่ ได้เป็นพี่คนโต มีน้องๆมาไหว้เราเพิ่มมากขึ้น มีการกู้ยืมระบบใหม่และในวันนี้ก็มีความสุขกับการเรียนเหมือนเดิม ชิวิตของการเป็นนิสิตก็ยังต้องดำเนินต่อไป




นางสาวสุขสรรค์ หมุ่ยศรี สาขา EC กลุ่ม 4 รหัส 48010511673

วรรณวิษา ปินะสา กล่าวว่า...

ประวัติส่วนตัว

ชื่อ นางสาววรรณวิษา ปินะสา
ชื่อเล่น นู๋แดง
วันเกิด วันพฤหัสบดี ที่ 22 พฤษภาคม 2529
อายุ 22 ปี
บิดา ชื่อ นายเบียด ปินะสา
มารดา ชื่อ นางกรม ปินะสา
มีพี่น้องร่วมบิดามารดา 2 คน ดิฉันเป็นบุตรคนที่ 2 มีพี่ชาย 1 คน
สถานที่เกิด 73 หมู่ 6 บ้านโคกเพิ่ม ตำบลหัวดง อำเภอนาดูน จังหวัดมหาสารคาม 44180
บ้านพัก 75/380 หมู่บ้านเอื้ออาทร การศึกษา
จบชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านโคกเพิ่มโคกกลาง ตำบลหัวดง อำเภอนาดูน
จังหวัดมหาสารคาม
จบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6โรงเรียนนาดูนประชาสรรค์ อำเภอนาดูน จังหวัดมหาสารคาม
ปัจจุบันกำลังเรียน สาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย (EC) ชั้นปีที่ 4
ภาควิชาหลักสูตรและการสอน คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
รหัสนิสิต 48010511658 กลุ่มเรียนที่ 4
วันพฤหัสบดี 13.00-15.00 น.
T. 08-4279-2968
อาหารที่ชอบ ต้มยำ ส้มตำ ปลาเผา ไก่ย่าง ข้าวเหนียว ฯลฯ
สัตว์ที่ชอบ ปลาทอง ปลาหางนกยุง
แหล่งท่องเที่ยวที่ชอบภูเขา
คติประจำใจ ....ทำวันนี้ให้ดีที่สุด......

เล่าเรื่องคร่าว ๆ ค่ะอาจารย์

หนูมีอะไรจะเล่าให้อาจารย์ฟัง คือว่าตั้งแต่หนูจำความได้ ตอนที่หนูอยู่ชั้นอนุบาล หนูเรียนโรงเรียนบ้านโคกเพิ่มโคกกลาง เป็นโรงเรียนที่เปิดสอนตั้งแต่ชั้นอนุบาลจนถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ตอนหนูเรียนอนุบาลหนูจะเป็นเด็กที่ตัวใหญ่กว่าเพื่อน ๆ ในห้องเลยค่ะ เวลาที่คุณครูแจกนมตอนนั้นที่หนูเรียนจะได้กินนมที่อาจารย์ชงให้กินเป็นนมร้อน ๆ เวลาที่คุณครูแจกนมคุณครูก็จะว่าหนูตัวใหญ่แล้วจะกินนมด้วยหรอ ถ้าจะกินต้องไปเข้าแถวอยู่ท้ายแถว ให้เพื่อน ๆ ที่ตัวเล็ก ๆ เข้าแถวอยู่ข้างหน้านะ ทีนี้หนูก็ต้องทำตามที่คุณครูท่านสั่ง ให้เพื่อน ๆ เข้าข้างหน้าก่อน หนูก็คิดในใจกว่าทำไมคุณครูต้องทำอย่างนี้กับหนูด้วย แต่หนูก็เข้าใจคุณครูนะคะ หนูไม่ว่าคุณครูหรอกค่ะ และอีกเรื่องที่จำได้ตอนอยู่อนุบาลตอนที่นอนกลางวันค่ะ ตอนนั้นหนูจะเป็นเด็กที่นอนกลางวันยากมาก ๆ เลยค่ะคือว่ามันจะหลับยากมาก แล้วคุณครูประจำชั้นก็จะคอยว่าและเตือนอยู่เสมอ ๆ และก็บอกว่าถ้าเธอไม่นอนครูก็จะตีเธอนะพร้อมกับเพื่อน ๆ ในห้องด้วย พอคุณครูบอกไปคู่หนึ่ง ก็ไม่เชื่อคุณครู คุณครูเลยเดินมาหาตรงที่หนูนอนอยู่แล้วคุณครูก็เอานิ้วมือของคุณครูมาบิดตรงสะดือของหนูและเพื่อน ๆ ที่ไม่ยอมนอนกัน และนับตั้งแต่นั้นมาเพื่อน ๆ และหนูก็จะพยายามหลับตาลงถึงแม้จะนอนไม่หลับแต่ก็ต้องหลับตาม เวลาที่คุณครูเดินตรวจดูว่าเด็กคนไหนที่ไม่ยอมนอน พอเดินมาถึงตรงที่หนูนอนอยู่หนูก็จะรี่ตาดูและมองคุณครูว่าท่านจะทำอะไร จากนั้นคุณครูก็เดินผ่านไป
พอขึ้นชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 อยู่ที่โรงเรียนคุณครูก็สั่งให้จัดกลุ่มนั่งให้นั่งเป็นกลุ่มกลุ่มละ 5 คน แล้วก็จะให้เพื่อน ๆ ในห้องได้คัดเลือกหัวหน้า 1 คน และรองหัวหน้าอีก 2 คน หนูก็ได้รับคัดเลือกเป็นหัวหน้า เป็นตัวแทนของทุกคนในห้อง หนูก็ภาคภูมิใจที่เพื่อนๆ ให้หนูเป็นหัวหน้าห้อง หน้าที่ของหัวหน้าห้องก็ต้องคอยดูเลยความประพฤติของเพื่อนๆ ในห้องแทนครูเวลาที่คุณครูไม่อยู่และคอยแนะนำและสอนเพื่อนเวลาที่เพื่อนไม่รู้หนังสือ เป็นที่ปรึกษา และ
คอยเก็บรวบรวมการบ้านไปส่งคุณครูที่โต๊ะ เวลาที่เพื่อน ๆ ไม่กวาดห้องตอนเช้าหนูก็จะคอยกวาดห้องทำความสะอาดแทน เวลาที่เพื่อนเห็นหนูกวาดอยู่ก็จะคอยมากวาดช่วยเสมอ และพอกลับบ้านมาก็คอยช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน เช่น กวาดบ้าน รดน้ำต้นไม่ ตัดน้ำใส่ตุ่มให้เต็ม และก็จะไปช่วยป้าและลุงขายของที่ร้านด้วย
พอขึ้นชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ขณะที่เรียนวิชา กพอ คุณครูก็ให้ปลูกผักแล้วแบ่งเป็นกลุ่ม ๆ ละ 5-6คน กลุ่มพวกหนูก็ปลูกผักบุ้ง เวลาที่ผักบุ้งเติบโตขึ้นมางดงามมากกลุ่มเพื่อนบางกลุ่มก็จะอิจฉาแล้วก็จะคอยมาแกล้งอยู่เสมอ เช่น มาเยียบผักบุ้งบ้างหล่ะ มาถอนผักบุ้งบ้างหล่ะ แต่พอถามว่าใครทำก็ไม่มีใครรับผิดชอบเลย แต่กลุ่มพวกหนูก็ไม่คิดที่จะเอาผิดกับใคร พอกลับมาบ้านก็มาเล่าให้พ่อกับแม่ฟัง พ่อกับแม่ก็ไม่ว่าอะไรเลย แค่บอกว่าอย่าคิดโกรธเพื่อนคนที่เขาทำนะจงให้อภัยเขา แล้วก็จะทำให้ตัวเราไม่คิดมาก ไม่ปวดหัว ไม่เจ็บใจ ปล่อยวาง....
พอขึ้นชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ช่วงนี้เป็นช่วงที่ต้องคัดเลือกประธานนักเรียน พี่ชายหนูก็ลงสมัครประธานเหมือนกับคนอื่น มีลงสมัคร 3 คน หนูก็ต้องไปช่วยพี่ชายหาเสียงอยู่ตั้งอาทิตย์หนึ่ง รู้สึกเหนื่อย แต่ก็ต้องทำเพื่อพี่ชายของตนเอง และพอถึงวันเลือกตั้งรู้สึกตื่นเต้นว่าพี่ชายเราจะได้เป็นประธานหรือไม่ และพอผลประกาศออกมาแล้วก็
ปรากฏว่าพี่ชายของหนูได้เป็นประธานแล้ว รู้สึกดีใจมาก ๆ เหมือนได้เป็นประธานเสียเอง
พอขึ้นชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 จะพูดถึงตอนที่หัดดำนาตอนแรก ที่พ่อและแม่สอนให้ รู้สึกดีใจที่ได้หัดดำนา ถึงแม้จะเหนื่อยแต่ก็ต้องทน มันเป็นอาชีพที่พ่อแม่ทำมาตั้งนานแล้วและเป็นอาชีพหลักของครอบครัวด้วย ถึงแสงแดดจะร้อง เหงื่อจะออกมากแค่ไหนก็ต้องทน หลังสู่ฟ้า หน้าสู้ดิน ก็ต้องทน สถานการณ์นี้สอนให้เราอดทนต่อความ
เหน็จเหนื่อย ลำบากก็ต้องทน พยายามทำให้ดีที่สุด
พอขึ้นชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ช่วงนี้จะหัดทำงานประดิษฐ์ เช่น งานใบตอง งานแกะสลัก ฯลฯ หนูก็จะหัดทำงานใบตองหนูจะไม่ค่อยชอบ เพราะทำไม่เป็น ฝีมือไม่ค่อยดี ทำไม่สวยเลย แต่ถ้าเป็นงานแกะสลัก เช่นแกะสลักมะละกอ แตงโม หนูจะชอบมากและก็ทำได้ดีเลยทีเดียว และอีกอย่างที่ลืมไม่ได้เลยในช่วงชั่วโมงทำอาหารก่อนเที่ยงกลุ่มของหนูทำผัดเผ็ดปลาดุก พวกผู้ชายก็จะหัดปลา ส่วนพวกผู้หญิงก็จะคอยทำประกอบอาหาร ขณะที่หนูกำลังทำอาหารอยู่นั้นเป็นช่วงที่เพื่อนอีกคนหนึ่งกำลังจะเทปลาใส่กระทะ ในจานที่ใส่ปลาอยู่มันก็มีน้ำด้วยขณะที่เทลงไปนั้น ไฟก็ได้ลุกไหม้กระทะไฟขึ้นสูงมาก หนูและเพื่อน ๆ ก็พากันตกใจ และก็พากันหัวเราะในสิ่งที่ตนเองทำไป ตลกมากเลยค่ะนึกถึงภาพตอนนั้นก็ยังอดหัวเราะตัวเองไม่ได้ อิอิ....
พอขึ้นชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ช่วงนี้เป็นช่วงกำลังคิดว่าจะเรียนต่อที่ไหนดีและต้องตั้งใจเรียนให้มาก ๆ คุณครูก็ชอบที่จะถามว่าจะไปเรียนต่อที่ไหน แล้วโตขึ้นอยากเป็นอะไร หนูก็จะบอกว่าจะเรียนอยู่ที่โรงเรียนนาดูนประชาสรรค์ อยู่ในตัวอำเภอ เพราะเป็นโรงเรียนที่อยู่ไม่ไกลจากบ้านมากนักแค่ 5 กิโลเมตรเท่านั้น และโตขึ้นหนูคิดตอนนั้นว่าโตขึ้นหนูอยากเป็นตำรวจ เพราะชุดสวยใส่แล้วเท่ดี และต้องจับผู้ร้ายด้วย หนูชอบมาก ๆ ค่ะ ช่วงนั้นก็จะทำกิจกรรมหลากหลายอย่าง เช่น เข้าแข่งขันการตอบคำถามวิชาการทางวิทยาศาสตร์ อยู่ที่เขตการศึกษา 2 ของจังหวัดมหาสารคาม หนูและเพื่อนอีกคนก็ได้เข้าร่วมการตอบคำถามนี้ด้วย ผลการแข่งขันปรากฏว่า หนูและเพื่อน ๆ ได้รับรางวัลชนะเลิศของเขตการศึกษาเขต 2 จากนั้นก็ได้เข้ามาแข่งขันที่ตัวจังหวัดทุกเขตเข้ามาแข่งขันกันในตัวจังหวัดมหาสารคาม ผลปรากฏว่า กลุ่มของพวกหนูได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 หนูภาคภูมิใจมากที่ได้สร้างชื่อเสียงให้กับโรงเรียนของหนู
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ต้องสอบคัดเลือกห้องว่าจะได้อยู่ห้องไหนหนูก็ได้มาสอบกับเขาด้วย หนูได้อยู่ห้อง 1 เพราะหนูทำข้อสอบไม่ได้จึงได้ไปอยู่ห้อง 1เพื่อน ๆ ห้อง 1 น่ารักมาก มีอะไรก็ช่วยกัน ถึงแม้จะเป็นห้องที่เรียนหนังสือไม่เก่ง ซน แต่ทุกคนในห้องก็รักกันมาก และสิ่งที่ลืมไม่ได้ตอนนั้นเป็นชั่วโมงคณิตศาสตร์ เพื่อน ๆ ในห้องไม่ชอบอาจารย์สอนคณิตฯเลยท่านเป็นคนที่ดุมาก เพื่อน ๆ ในห้องจึงคิดที่จะแกล้งอาจารย์โดยการเอาหมามุ่ยมาใส่ที่โต๊ะอาจารย์ พออาจารย์มาแล้วนั่งลงไปที่โต๊ะก็รู้สึกคันขึ้นมาทันที เพื่อน ๆ ก็พากันหัวเราะชอบใจ อาจารย์ก็ต่อว่า ว่าใครเอาอะไรมาใส่ที่โต๊ะทำไมรู้สึกคันจัง ตอนนั้นเพื่อน ๆ แกล้งอาจารย์จนต้องได้เข้าโรงพยาบาลเลย
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ช่วงนี้เป็นช่วงที่ต้องย้ายห้องหนูเรียนดีขึ้นก็ได้มาอยู่ห้องที่เก่งที่สุดในโรงเรียนคือห้อง 4 ม.2/4 อาจารย์ให้เลื่อนห้องมาอยู่ห้อง 4 ก็ได้เจอเพื่อนมากมายมีเพื่อนใหม่ ก็ได้พูดคุยกับเพื่อน ๆ รู้สึกสนุกดี ไม่นานก็สนิทกับเพื่อน ๆ ในห้อง 4 นี้ การเดินทางไป-กลับบ้านโรงเรียนโดยรถมอเตอร์ไซน์ไปกับน้องอีกคนหนึ่ง อยู่ที่บ้านก็ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน แล้วก็ช่วยป้าขายของด้วย ป้าก็ให้ค่าขนมมาโรงเรียนทุกวัน ๆ ละ 20 บาท แต่หนูก็ภาคภูมิใจมากที่ไม่ต้องขอตังค์แม่ใช้เลย แต่ก็มีบางครั้งที่ต้องขอตังค์แม่ก็แค่ตอนที่ต้องซื้อหนังสือ หรืออยากได้เสื้อผ้าใหม่ ๆ แต่เป็นค่าขนมค่ากับข้าวจะได้ตังค์จากป้า
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ช่วงนี้เป็นช่วงที่ต้องคิดว่าจะต้องเรียนที่ไหน จะเรียนต่อที่โรงเรียนเดิม หรือจะไปเรียนที่วาปีปทุม หรือจะเรียนสายอาชีพ เมื่อปรึกษาพ่อแม่ ลุงป้า น้าอา ญาติพี่น้องดูแล้วก็ให้เรียนที่โรงเรียนเดิม เพราะเรียนที่เดิมก็ดีอยู่แล้วไม่ต้องไปไกล แต่ถ้าเรียนที่วาปีฯ ก็ต้องเดินทางอีกไกล เรียนที่ไหนก็เหมือนกัน และช่วงที่เข้าค่ายลูกเสือเนตรนารี รู้สึกสนุกที่ได้เข้าค่ายนี้ ได้เรียนรู้ถึงความสามัคคี ความร่วมมือร่วมใจระหว่างกลุ่มของตนเอง และได้คบเพื่อนใหม่ ๆ อีกมากมาย ได้ร่วมทุกข์ร่วมสุขไปด้วยกัน ตอนเข้าค่ายเป็นอะไรที่หนูชอบมาก ๆ ค่ะ
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ชั้นนี้ต้องสอบเข้าเรียนต่อและต้องสอบเอาห้องว่าจะได้อยู่ห้องไหน ถ้าใครที่เรียนดีตั้งแต่ ม. 3 อยู่ที่ 1-10 ก็จะได้โควต้าเข้าเรียนและอยู่ห้องที่เก่งคือห้อง 1 หนูก็เรียนไม่เก่งไม่ได้ที่ 1-10 จึงไม่ได้โควตานี้
แต่หนูก็ได้มาสอบ หนูก็ได้ที่ 2 อาจารย์บอกว่าถ้าใครสอบได้ที่ 1 จะได้เงิน 500 บาท แต่หนูได้ที่ 2 หนูจึงไม่ได้เงิน 500 บาท แต่หนูก็ไม่เสียดายหรอกค่ะ ภูมิใจมากกว่าที่ได้ที่ 2 เพื่อน ๆ สอบแข่งขันกันมากมายได้ที่ 2 ก็ถือว่าเก่งแล้ว
ทีนี้หนูก็ได้อยู่ห้อง 1 เข้าเรียน ม. 4 ได้พบเจอเพื่อน ๆ มากมายต่างก็มาเรียนมาคนละที่แต่ก็ต้องมาเรียนโรงเรียนเดียวกันห้องเดียวกัน ทุกคนก็ปรับตัวเข้าหากันได้ด้วยดี
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ตอนอยู่ ม. 5 ได้ทำงานพิเศษในช่วงตอนปิดเทอม คือได้ไปทำงานที่กรุงเทพฯ ไปทำงานกับน้า คือ เย็บผ้า ชุดนอน เสื้อต่าง ๆ ตามสมัยนิยม ตอนระหว่างการเดินทางรู้สึกตื่นเต้นมากที่จะได้ไปกรุงเทพฯครั้งแรก ระหว่างทางก็เห็นสิ่งต่าง ๆ มากมาย เช่น เห็นภูเขา แม่น้ำกว้าง ๆ ตลาดที่ใหญ่ ๆ ฯลฯ หนูก็ทำงานจนกว่าจะเปิดเทอมก็ 2 เดือนกว่า ๆ ขณะที่เย็บผ้าอยู่ก็ได้เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ขณะเย็บผ้า ผู้คนที่อยู่ในละแวกนั้นมากมายมีแต่คนอีสานทั้งนั้นพูดภาษาอีสานกันหมดเลย
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ช่วงนี้เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อต้องคิดว่าจะเรียนอะไรดี เลือกเรียนที่คณะอะไร ที่มหาวิทยาลัยอะไรดี ต้องเตรียมตัวสอบเอ็นทรานต์ เลือกโควตาเข้ามหาวิทยาลัย ตอนมาสอบก็สอบที่โงเรียนผดุงนารีและสารคามพิทยาคม ตอนนั้นหนูได้โควตาเรียนที่มหาวิทยาลัยขอนแก่น วิทยาการคอมฯ และได้ที่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม สาขาปฐมวัย หนูก็เลือกที่จะเรียนครูเพราะเป็นอาชีพที่ชอบอยู่แล้วและพ่อแม่ญาติพี่น้องก็อยากให้เป็นครู
และที่สำคัญอยู่ใกล้พ่อแม่ด้วย
เข้าเรียนมหาวิทยาลัยมหาสารคาม ชั้นปีที่ 1 สาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย เข้าเรียนมาใหม่ก็ได้พบเจอเพื่อน ๆ มากมาย ต่างก็มาจากจังหวัดต่าง ๆ ในภาคอีสาน ที่มาเรียนด้วยกัน และได้เข้าร่วมกิจกรรมรับน้องของมหาวิทยาลัยอยู่ที่ส่วนกลางจากนั้นก็มาของคณะ การรับน้องทำให้เกิดความสามัคคี รู้จักกัน สนิทกัน ร่วมทุกข์ร่วมสุขกัน มีร้องไห้ เสียใจ ยิ้มแย้ม ดีใจ ได้เรียนรู้อะไรมากมายในเข้าร่วมกิจกรรมการรับน้องในครั้งนี้ค่ะ
ชั้นปีที่ 2 ตอนที่เรียนอยู่ปี 2 ยังคิดอยากจะย้ายเอกเพราะรู้สึกไม่ชอบเรียนปฐมวัย เพราะตอนแรกนึกว่าเรียนปฐมวัยเกี่ยวกับการสอนเด็กประถมและพอเรียนแล้วจึงรู้ว่าสอนเด็กอนุบาล แต่ต่อมาเมื่อได้ฝึกหัดสอน และออกไปที่โรงเรียนอนุบาลก็รู้สึกว่ารักการเรียนสาขานี่เสียแล้ว รักเด็กอนุบาล เพราะ เด็กน่ารัก ไร้เดียงสา เชื่อฟังคุณครู ทำให้หนูไม่อยากย้ายเอกเลย หนูเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยมหาสารคามนี้หนูไม่ได้พักที่หอใน แต่หนูพักอยู่กับป้าที่บ้านในเมืองหนูจึงไม่ได้เรียนรู้การเป็นเด็กหอว่าเป็นอย่างไร เพื่อนก็มีแต่ที่เรียนห้องเดียวกัน สาขาเดียวกัน มีรู้สักคนก็แค่เรียนสิชาเลือกด้วยกันที่ ม. ใหม่ แต่ก็ไม่สนิทกันเท่าไร ได้ไปเข้าค่ายครูอาสาที่บ้านพองหนีบ ที่จังหวัดเลย เป็นหมู่บ้านที่อยู่ห่างไกลความเจริญมาก พวกเราก็ได้ไปสร้างห้องสมุด และจัดทำสื่อการศึกษาให้กับเด็ก ๆ ที่โรงเรียนบ้านพองหนีบ
ชั้นปีที่ 3 ปีนี้ได้ไปเที่ยวที่ภูกระดึงกับเพื่อน ๆ 5 คน สนุกมากเพราะเราขับรถมอเตอร์ไซน์ไปกันเอง ขับจากมหาสารคาม – เลย ตอนแรกว่าจะไปเที่ยวที่ภูเรือ แต่กว่าจะไปถึงก็กลัวว่าจะค่ำก่อนจึงขึ้นไปเที่ยวที่ภูกระดึงแทน เดินขึ้นภูกระดึง ซำแรก ก็รู้สึกเหนื่อยแล้ว กว่าจะถึงซำสุดท้ายก็เกือบตาย เหนื่อยมากมากค่ะ แต่ภาพและบรรยากาศดีมาก สวย สมกับที่เหน็จเหนื่อยค่ะ พาไปที่น้ำตกก็สวยมาก ที่น้ำตกน้ำเย็นมากเลยค่ะ เล่นน้ำกับเพื่อนๆ สนุกมากเลยค่ะ ไปที่ภูกระดึงตอนนั้นยังไปไม่ถึงผาหล่มสักเลย แต่ก็นัดกับเพื่อนอีกว่าปีหน้า ปี 51 นี้จะต้องไปถึงผาหล่มสักให้ได้เลย
ชั้นปีที่ 4-ปัจจุบัน ได้ไปเที่ยวที่จังหวัดอุบลราชธานี ในช่วงตอนเข้าพรรษาที่ผ่านมาไปเที่ยวดูการแห่เทียนเข้าพรรษาที่ยิ่งใหญ่และสวยงามมาก เทียนสูงใหญ่มากและสวย ๆ ทั้งนั้น และก่อนเข้าพรรษาก็ได้ไปเที่ยวที่อำเภอพิบูรณ์ฯ ที่นั่นมีแหล่งท่องเที่ยวมากมาก เช่น วัดกู่แก้ว เป็นวัดที่สวยงามมาก และได้ไปเที่ยวที่โขงเจียม ข้ามไปแม่น้ำโขงไปลาว ค่าผ่านทาง 10 บาท เข้าไปที่ลาว รู้สึกว่าที่ลาวมีความเป็นเอกลักษณ์ของลาวมากไม่ว่าจะเป็นคำพูด ภาษา วัฒนธรรม การแต่งกาย สินค้าอยู่ที่ลาวถูกมากเพราะเป็นสินค้าที่หนีภาษีไม่ว่าจะเป็น เหล้า บุหรี่ โทรศัพท์ CD/VCD เพลงต่าง ๆ ฯลฯ พอมาลงเรือก็ไปดูแม่น้ำสองสี คือ จะเป็นแม่น้ำมูลกับแม่น้ำโขงไหลมารวมกันที่แม่น้ำโขงจึงเกิดแม่น้ำสองสีขึ้น ออกจากโขงเจียมก็ไปเที่ยวต่อที่น้ำตกสร้อยสวรรค์ น้ำตกสวยมากเลยค่ะ เมื่อเข้าพรรษาดูแห่เทียนเสร็จก็กลับบ้านที่มหาสารคาม
จากที่เล่ามาเป็นส่วนหนึ่งเท่านั้นที่หนูจำได้และเป็นความทรงจำที่ดีต่อหนู หากหนูพิมพ์ผิดหรือขาดตก
บกพร่องประการใดก็ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะคะ


ขอบคุณค่ะ
นางสาววรรณวิษา ปินะสา รหัส 48010511658
ชั้นปีที่ 4 กลุ่มเรียนที่ 4 สาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม

ชุลีพร กล่าวว่า...

นางสาว ชุลีพร สุวรรรโชคอิสาน รหัส 48010520520 ชั้นปีที่ 4
คณะศึกษาศาสตร์ สาขาการศึกษาปฐมวัย ระบบพิเศษ กลุ่มเรียนที่ 4 วันพฤหัสบดี
1.บทความเรื่อง อาชีพ นักแปล
ลักษณะอาชีพ ( การทำงาน)
นิยามอาชีพ
แปลข้อความที่พิมพ์หรือเขียนเป็นลายลักษณ์อักษรจากภาษาเดิมเป็นภาษาอื่น : แปลวรรณคดี บทความเชิงวิชาการ บทความในหนังสือพิมพ์หรือนิตยสาร เอกสารทางการเมือง และเอกสารเกี่ยวกับกฎหมาย จดหมายโต้ตอบ และข้อความที่พิมพ์หรือเขียนเป็นลายลักษณ์อักษรจากภาษาเดิมเป็นภาษาอื่น โดยการใช้ความรู้เดิม และความรู้ในภาษาต่างประเทศ และค้นหาคำแปลจากพจนานุกรมเท่าที่จำเป็น โดยปกติเชี่ยวชาญในภาษาใดภาษาหนึ่ง หรือเรื่องใดเรื่องหนึ่งโดยเฉพาะ และอาจมีชื่อเรียกตามงานที่ทำ
2.ลักษณะของอาชีพ (การทำงาน)
พนักงานแปล หน้าที่แปลข้อความที่พิมพ์หรือเขียนเป็นลายลักษณ์อักษร จากภาษาเดิมเป็นภาษาอื่นตั้งแต่หนึ่งภาษาขึ้นไป เช่น วรรณคดี บทความทางวิชาการ บทความในหนังสือพิมพ์หรือนิตยสาร เอกสารทางการเมืองและเอกสารเกี่ยวกับกฎหมาย จดหมายโต้ตอบ และข้อความที่พิมพ์หรือเขียนเป็นลายลักษณ์อักษร โดยการใช้ความรู้จากภาษาเดิม สำหรับผู้แปลหนังสือภาษาต่างประเทศโดยได้รับลิขสิทธิ์ ในการแปลเรียกว่า “นักแปล” อาจแปลหนังสือนวนิยาย หรือหนังสือ ที่ใช้เป็นบทเรียนในภาควิชาการบริหารและการตลาด ล่าม ทำหน้าที่แปลคำพูด หรือคำบรรยาย ในระหว่างการสนทนา หรือการบรรยายให้แก่บุคคลใดบุคคลหนึ่ง หรือหลายคนในเวลาเดียวกัน ผู้ปฏิบัติงานอาชีพนี้ อาจทำงานประจำในองค์กรต่างๆ เช่น สำนักงานทนายความและบริษัทที่ปรึกษากฎหมาย บริษัทอุตสาหกรรม บริษัทอุตสาหกรรมร่วมทุนกับบริษัทต่างชาติ บริษัทก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ ธนาคาร โดยทำหน้าที่ปฏิบัติงานอยู่ในสำนักงาน หรือในกรณีที่ทำหน้าที่ล่าม ต้องเดินทางออกไปปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่ทำงาน ในต่างจังหวัดหรือต่างประเทศและอาจต้องทำหน้าที่เลขานุการของผู้บริหารด้วยในการออกไปทำงานนอกสถานที่ งานที่ทำอาจมีความกดดันในเรื่องเวลาปฏิบัติงานพอสมควรคือชั่วโมงทำงานอาจนานจนกว่าการสนทนา การบรรยาย หรือการเจราจาธุรกิจจะเสร็จสิ้น สำหรับ ”นักแปล” ที่รับจ้างแปลงานให้กับบริษัทนำเข้าภาพยนตร์ต่างประเทศ บริษัทสื่อสิ่งพิมพ์และสำนักพิมพ์นั้นสามารถปฏิบัติงานที่บ้านได้ โดยนำงานต้นฉบับแปลส่งตามที่กำหนดกับผู้ว่าจ้างไว้ นักแปลต้องทำงานแข่งกับเวลา เพื่อให้งานแล้วเสร็จทันกำหนดเวลา
3.ลักษณะของบุคคลที่เหมาะกับอาชีพ (ความต้องการด้านบุคลากร)
ผู้ประกอบอาชีพนี้ต้องเตรียมความพร้อม โดยอาจมีความรู้ระดับปริญญาตรีหรือปริญญาโท สาขาอักษรศาสตร์ ศิลปศาสตร์ หรือสาขาที่เกี่ยวข้อง หรืออย่างน้อยมีความสามารถในการแปลอย่างช่ำชองทั้งสองภาษา
1. สนใจและรักในภาษาและมีความรู้ความชำนาญในภาษาของตนเองไม่น้อยไปกว่าต้นฉบับ
2. เป็นผู้มีความรู้ในภาษาต้นฉบับและภาษาที่ใช้ในการแปลดีพอ
3. เป็นผู้หมั่นค้นคว้าหาความรู้เพิ่มเติมอยู่เสมอ ทั้งในงานที่ทำและงานแขนงอื่นๆ
4. เป็นผู้มีวิจารณญาณ ในการแปล
5. เป็นผู้มีใจเปิดกว้างยอมรับข้อติติง จากทั้งเพื่อนร่วมงานและผู้ว่าจ้าง
6. เป็นผู้มีความละเอียดรอบคอบ และความละเอียดอ่อนในการแปล
4.ระดับรายได้ และความก้าวหน้า รวมไปถึงสวัสดิการที่เกี่ยวกับอาชีพ
สำหรับเจ้าหน้าที่ในองค์กรของรัฐบาล จะได้รับค่าตอบแทนการทำงานเป็นเงินเดือนตามวุฒิการศึกษาและอาจมีค่าวิชาชีพเพิ่มให้ ในภาคเอกชนจะได้รับการว่าจ้างในอัตราเงินเดือนที่มากกว่า 5 - 10 เท่าขึ้นไปตามความสามารถและความรับผิดชอบ
ผู้ประกอบอาชีพอิสระในการแปลหนังสือนวนิยายต่างประเทศ ค่าจ้างแปลโดยเฉลี่ยเป็นชิ้นงานตามความหนาของหนังสือ จะได้รับค่าจ้างแปลประมาณเล่มละ 30,000 - 80,000 บาท ซึ่งใช้เวลาแปลประมาณ 1 - 2 เดือน บางเล่มที่มีความเป็นวิชาการมากอาจได้รับค่าแปลมากกว่า 100,000 บาท และในกรณีถ้ามีการพิมพ์ซ้ำ ผู้แปลจะได้ค่าแปลเพิ่มขึ้นตามแต่เปอร์เซ็นต์ที่ตกลงไว้กับ ผู้ว่าจ้าง การแปลบทสารคดีจะได้รับค่าตอบแทนเป็นชิ้นงานประมาณ 5,000 - 7,000 บาทต่อเรื่อง หรือความยาวประมาณ 20 หน้า นอกจากนี้ ยังมีการแปลบทภาพยนตร์ต่างประเทศที่แพร่ภาพทางทีวีและฉายในโรงภาพยนตร์ ค่าแปลบทภาพยนตร์ทีวี ประมาณเรื่องละ 3,000 - 5,000 บาท การแปลบทภาพยนตร์จะได้รับค่าจ้างที่สูงพอสมควร ส่วนค่าจ้างแปลเอกสารธรรมดาในท้องตลาดทั่วไปหน้าละประมาณ 300 - 800 บาท ผู้ปฏิบัติงานอาชีพนี้ มีโอกาสก้าวหน้าทางด้านวิชาชีพในเรื่องของค่าจ้างและเงินเดือน อาจได้รับตำแหน่งต่างๆ ในองค์กรที่ต้องติดต่อกับต่างประเทศ จนถึงระดับผู้บริหารถ้าผู้แปลหรือล่ามมีความชำนาญพิเศษและมีประสบการณ์ในระดับสูงอาจทำงานกับองค์กรนานาชาติได้
5.วิธีการเข้าสู่อาชีพ (การศึกษา, สาขาที่เกี่ยวข้อง, วิชา, วุฒิการศึกษา)
สำหรับผู้จบปริญญาตรีสาขาวิชาใดก็ได้ แต่มีความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษทั้งการเขียนพูดแปล สามารถเข้ารับการอบรมหลักสูตรการแปลแบบมืออาชีพ ได้ในมหาวิทยาลัยต่างๆ หรือโครงการศึกษาต่อเนื่องของแต่ละมหาวิทยาลัย
6.มหาวิทยาลัยหรือสถานศึกษาที่เปิดสอน
มหาวิทยาลัยมหาสารคาม คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ เอก ภาษาต่างๆ เช่น เกาหลี ญี่ปุ่น อังกฤษ เวียดนาม เขมร ลาวทุกมหาวิทยาลัยที่เปิดสอนเกี่ยวกับภาษาต่างประเทศ
7.ความต้องการของตลาดแรงงาน
ปัจจุบันอาชีพนี้เป็นที่ต้องการของตลาดอย่างมาก เนื่องมาจากการเปิดการค้าเสรีและการสื่อสารไร้พรมแดน ทำให้ธุรกิจทุกวงการต้องหันมาส่งเสริมพนักงานทุกคนในองค์กรให้ใช้ภาษาอังกฤษได้เป็นอย่างน้อย นอกเหนือไปจากการจ้างพนักงานประจำทั้งนักแปลและล่าม ภาษาอังกฤษ ญี่ปุ่น จีน เยอรมันกันอย่างมากมายในช่วง 1 - 2 ปีที่ผ่านมา เช่น ธุรกิจอุตสาหกรรม วงการก่อสร้างงานสาธารณูปโภคระดับนานาชาติและบริษัทที่ปรึกษากฎหมาย เป็นต้น ดังนั้น ผู้ประกอบอาชีพนี้ จึงมีแนวโน้มเป็นที่ต้องการของตลาดแรงงานอย่างมาก เพราะบางบริษัทจ้างพนักงานแปลหรือล่ามที่สามารถใช้ภาษาต่างประเทศได้มากกว่า2 ภาษา และจะได้รับการพิจารณาเป็นพิเศษ ผู้ที่มีความสามารถด้านการแปลภาษาสามารถเลือกงานได้ตามที่ตนต้องการ ผู้ประกอบอาชีพนี้มีความมั่นใจในตนเองสูง และเป็นอาชีพอิสระอาจเลือกทำงานตามอุดมคติได้ เช่น ทำงานในองค์กรระหว่างประเทศในโครงการต่าง ๆ ได้ถ้าไม่ต้องการเป็นนักแปล หรือล่าม บรรณาธิการข่าวต่างประเทศอาจประกอบอาชีพนี้เป็นอาชีพเสริมนอกเหนืองานประจำ
8.ตัวอย่างบุคคลที่อยู่ในอาชีพดังกล่าว (เรื่องราวโดยย่อ)
คุณคณา คชา เป็นนามปากกาของนักเขียนวรรณกรรมเยาวชนฝีมือเยี่ยมคนหนึ่ง ซึ่งเป็นที่น่าเสียดายที่ชาวไทยยังไม่ค่อยรู้จักชื่อและงานของเธอมากนัก เพราะมัวแต่ไปทุ่มเทความสนใจให้กับเยาวชนต่างชาติเสียหมด ทั้งๆ ที่งานเขียนของเธอนั้นไม่ได้ด้อยฝีมือและคุณค่าไปกว่าวรรณกรรมเยาวชนแปลที่วางเด่นอยู่ตามชั้นหนังสือแนะนำเลยแม้แต่น้อย รางวัลชนะเลิศจากการประกวดวรรณกรรมเยาวชน รางวัลแว่นแก้ว ครั้งที่ 1 จากวรรณกรรมเยาวชนเรื่อง โลกใบนี้โคจรรอบกระทะกับหม้อเหล็ก เป็นเครื่องการันตีคุณภาพและฝีมือในการเขียนของเธอได้เป็นอย่างดี
ไปทำความรู้จักกับเธอกันดีกว่า..
แนะนำตัวเองสั้นๆ สักหน่อยค่ะ
ชื่อ คณาพร สัมฤทธิ์ล้วน นามสกุลเดิม คชา นามปากกาเลยตั้งไว้ว่า "คณา คชา" จบการศึกษาจากคณะมนุษยศาสตร์ สาขาวิชาภาษาอังกฤษ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ทำไมถึงชอบเขียนเรื่องเด็ก หรือวรรณกรรมเยาวชนคะ
เป็นคนชอบอ่านหนังสือวรรณกรรมเยาวชนมาก ชอบหนังสือแนวนี้เพราะเป็นหนังสือที่เล่นกับจินตนาการ ความสวยงามของชีวิต เป็นหนังสือที่อ่านแล้วให้ความรู้สึกที่รื่นรมย์ มีอารมณ์ขัน เมื่ออ่านมาก ๆ เข้าก็ถึงจุดหนึ่งที่ทำให้อยากเขียน
แล้วเริ่มต้นเขียนหนังสือด้วยการเขียนวรรณกรรมเยาวชนเลยหรือเปล่าคะ
คงต้องเล่าย้อนไปตั้งแต่ตอนเด็ก ๆ เลย เป็นคนฝันไว้ตั้งแต่เด็กว่าอยากเป็นนักเขียน เพราะตอนเด็ก ๆ จะอยู่กับพ่อสองคน แล้วไม่มีเพื่อนเล่น พ่อก็จะสนับสนุนให้อ่านหนังสือตลอด พอปิดเทอมทีก็จะไปยืมหนังสือจากร้านเช่าหนังสือเป็นตั้ง ๆ อ่านดะไปหมด อ่านเยอะมาก อ่านเยอะมากเข้าก็อยากเป็นนักเขียน แต่ตอนเด็ก ๆ จะไม่ค่อยได้อ่านวรรณกรรมเยาวชน เพราะหาอ่านยาก อ่านแต่นิยาย พอเริ่มต้นเขียน คงเหมือนนักเขียนทั่ว ๆ ไป ยังเขียนเรื่องยาว ๆ ไม่ได้ เริ่มจากเรื่องสั้น เขียนเรื่องสั้นเรื่องแรกตอนเรียนม.ปลาย ส่งไปที่ฟ้าเมืองไทย ของคุณอาจินต์ ปัญจพรรค์ ส่งไปได้ไม่กี่วัน คุณอาจินต์ ก็ส่งเรื่องสั้นกลับมาพร้อมกับจดหมายวิจารณ์ โอ้โห ดีใจมาก เป็นเรื่องที่ดีใจที่สุดตั้งแต่เขียนหนังสือมาเลย ว่าคุณอาจินต์เขียนถึงเรานะ ถึงเรื่องสั้นจะไม่ผ่าน แต่คุณอาจินต์วิจารณ์งานในแง่ที่ค่อนข้างดี นั่นคือบอกว่าเรามีแวว แล้วก็เป็นคนที่มีอารมณ์ขันดีมาก ก็เลยได้ใจ เขียนส่งไปอีกเรื่องหนึ่ง แต่คราวนี้หายต๋อมไป ก็ไม่ได้เขียนอีก หลังจากนั้นก็มีเขียนเล่าประสบการณ์สั้น ๆ ได้ลงที่แพรว พอเข้าเรียนมหาวิทยาลัยก็เขียนเรื่องสั้นส่งไปที่แพรวได้ตีพิมพ์ แต่เขียนแค่เรื่องเดียว ตอนเรียนมหาวิทยาลัยตอนนั้นเริ่มบ้าอ่านวรรณกรรมเยาวชนแล้ว เพราะมีแหล่งให้หาอ่าน หาซื้อ มีร้านหนังสือแซงแซวบุ๊คส์หน้ามหาวิทยาลัย ห้องสมุดของชมรมวรรณศิลป์ก็มีหนังสือเด็กเยอะ เริ่มเขียนวรรณกรรมเยาวชนแล้ว เรื่องแรกส่งไปสำนักพิมพ์เรจีน่า ไม่ผ่านหายต๋อมไปเลย ก็เฉย ๆ จนเรียนจบออกมาทำงาน มีรุ่นพี่แนะนำให้ไปรับเรื่องจากสำนักพิมพ์แปลนมาแปล หนังสือเล่มแรกเลยเป็นเรื่องแปล "นิทานแคนาดา" หลังจากนั้นก็เขียน วรรณกรรมเยาวชนเรื่อง "โม่น้อยผจญภัย" ตอนแรกไม่ได้ตั้งชื่อนี้ ตั้งชื่อว่า "เดินทางตามหาดวงจันทร์" ส่งไปที่สำนักพิมพ์ดอกหญ้า เพราะตอนนั้นดอกหญ้าพิมพ์วรรณกรรมเยาวชนออกมาเยอะมาก ปรากฏว่าพอส่งไปปุ๊ป ไม่กี่วัน บก. โทรมาหาเลย อยากเจอตัว บอกว่าชอบเรื่องนี้มาก จะพิมพ์ ก็เลยไปพบ ก็ได้คุยกัน บก. ขอให้เขียนเพิ่มอีกสักบทสองบทเพราะสั้นไปหน่อย แล้วก็อยากเปลี่ยนชื่อเรื่อง เพราะชื่อที่ตั้งไว้ไม่จูงใจ หนังสือที่เขียนเล่มแรกในชีวิตเลยเป็นเรื่องโม่น้อยผจญภัย แล้วเสียงสะท้อนกลับเรื่องนี้ก็ดีมาก (ทำท่าว่าจะดีที่สุด ตั้งแต่เขียนหนังสือมาด้วยซ้ำ) ทางสำนักพิมพ์จะคอยบอกว่า เออ.. คนวาดภาพประกอบ ชอบเรื่องเรานะ มีนักแปลวรรณกรรมเยาวชนบอกว่าชอบเรื่องเรา คณา คชานี่คือใคร ทำงานเกี่ยวกับเด็กหรือเปล่า หรือจนตอนนี้ก็ยังมีเสียงเล่าให้ได้ยินอยู่ว่า มีคนยังอ่านเรื่องนี้ให้ลูกเขาฟังก่อนนอนอยู่เลย แล้วก็มีสำนักพิมพ์บอกว่าสนใจจะพิมพ์ให้ใหม่ บอกว่า อ่านใหม่แล้วยังรู้สึกดีอยู่ แต่ตอนนี้เงียบ ๆ ไป ไม่รู้ว่ายังจะทำอยู่หรือเปล่า
จากนั้นก็เขียนมาเรื่อย เป็นวรรณกรรมเยาวชนทั้งหมด ตั้งแต่นิทานท้องฟ้า อาณาจักรบนเตียงนอน ผจญภัยในแดนเงา เด็กหญิงจ้าง ระบำใบไม้ หมู่บ้านพิลึก แล้วก็มีเขียนนิทานส่งให้หญิงไทย ส่วนเรื่องสั้นนาน ๆ จะเขียนสักเรื่อง เรื่องแปลมีทำอยู่เรื่อย ๆ เหมือนกัน หลังจากได้รางวัลแว่นแก้วยังเขียนเข้าประกวดในรายการอื่น ๆ อีกหรือเปล่าคะ
ถ้าเป็นวรรณกรรมเยาวชนไม่ส่งแล้ว แต่มีส่งสารคดีไปประกวดรางวัลนายอินทร์อวอร์ด พอดีมีเขียนเล่น ๆ เก็บไว้ เห็นประกาศก็เลยส่งประกวด แต่หายต๋อม ไม่ผ่าน คิดว่าการจัดการประกวดมีความสำคัญแค่ไหน และมีส่วนช่วยในการสร้างนักเขียนและนักอ่านได้มากแค่ไหน
มีส่วนช่วยในการสร้างนักเขียนนักอ่านพอสมควร แต่ที่สำคัญมากที่สุดคิดว่าอยู่ที่สำนักพิมพ์ แล้วก็การร่วมมือร่วมใจของคนในวงการหนังสือ ไม่ว่าจะสมาคม ชมรมต่าง ๆ นักวิจารณ์ มากกว่า จะพูดในแง่ของวรรณกรรมเยาวชนอย่างเดียวแล้วกัน เพราะงานประเภทอื่นแทบจะไม่ได้เขียน
เดี๋ยวนี้หาสนามวรรณกรรมเยาวชนยากมาก กลายเป็นว่าแต่ก่อนส่งเรื่องไปไม่นานก็จะได้รับการตีพิมพ์ แต่เดี๋ยวนี้ มักจะถูกดอง ข้ามเป็นปี ๆ โดยได้รับเหตุผลว่า สำนักพิมพ์ยังไม่พร้อม ในแง่การตลาดคิดว่าขายยาก ขอให้รอไปก่อน บางเรื่องรอจนลืมกันไปเลย ก่อนจะตอบมาว่า ไม่พิมพ์แล้ว เดี๋ยวนี้เจอแบบนี้เยอะมาก กลายเป็นคนว่าคนเขียนวรรณกรรมเยาวชนไม่มีสนาม อยากได้รับการตีพิมพ์จะต้องส่งประกวด เป็นอย่างนี้จริง ๆ อย่างเรื่องที่ได้รับรางวัลแว่นแก้ว คิดว่าถ้าไม่ได้ส่งประกวด ส่งไปตามสำนักพิมพ์ธรรมดา รับรองเลย ป่านนี้ก็ยังไม่ได้รับการพิมพ์หรอก ซึ่งแตกต่างจากแต่ก่อน งานเขียนวรรณกรรมเยาวชนคนไทย ได้รับการสนับสนุนมากกว่านี้ สังเกตแต่ก่อนจะมีพิมพ์เยอะกว่านี้ มีงานของสำนักพิมพ์ต้นอ้อ มีของดอกหญ้า แต่เดี๋ยวนี้ งานวรรณกรรมเยาวชนไทยที่จะได้พิมพ์ต้องผ่านการประกวดอย่างรางวัลนายอินทร์อวอร์ด รางวัลแว่นแก้ว ไม่มีสนาม
แล้วงานประกวดแบบนี้ เป็นการประกวดเพื่อทำตลาดของสำนักพิมพ์ รางวัลนายอินทร์อวอร์ดมีทุกปี รางวัลแว่นแก้วมีทุกสองปี ตอนแรกก็ตื่นเต้นดีหรอก พอมีหนังสือได้รางวัลมาก็ซื้ออ่าน แต่ตอนนี้เลิกซื้ออ่านไปแล้ว คนอื่นไม่รู้นะ แต่ตัวเองรู้สึกแบบนี้ ไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่ รู้สึกมันการตลาดเกินไป โดยส่วนตัวอยากให้เป็นลักษณะมีรางวัลจากหน่วยงานกลางมากกว่า เลือกจากหนังสือวรรณกรรมเยาวชนทั้งหมดที่ตีพิมพ์ในปีนั้นๆ มาให้รางวัลดีกว่า หรือจะเป็นรางวัลที่ตัดสินโดยจากนักอ่านกันโดยตรงแบบต่างประเทศก็ยิ่งดี คิดว่าทำแบบนี้จะเป็นการสนับสนุนการสร้างนักเขียน และนักอ่านมากกว่า
วงการวิจารณ์บ้านเราด้วย แทบจะไม่มีใครสนใจ พูดถึง เขียนถึงวรรณกรรมเยาวชนไทย คนเขียนวรรณกรรมเยาวชนบ้านเรา เป็นเหมือนประชากรชั้นสอง งานวรรณกรรมเยาวชนในมุมมองของนักเขียนประเภทอื่น และนักวิจารณ์ รวมทั้งคนทั่ว ๆ ไปด้วย จะมองว่าเป็นงานที่ง่าย เขียนไม่ยาก เจอมากับตัวเองเลย คือบ้านเราจะมองว่าเรื่องเกี่ยวกับเด็กเป็นเรื่องง่ายไปหมด เจอหน้าเพื่อนฝูง เพื่อนจะถามไถ่ยังเขียนเรื่องเด็กอยู่หรือเปล่า พอตอบว่ายังเขียนอยู่ เพื่อน ๆ ก็จะพูดทักกันว่า "เฮ้ย ทำไมไม่เขียนเรื่องประเภทอื่นบ้าง นิยงนิยาย" ทำนองเขียนทำไมวะ เรื่องเด็กน่ะ พอเจอเพื่อนที่อยู่ในวงการหนังสือ พอเพื่อนรู้ว่ายังเขียนเรื่องเด็กอยู่ ก็พูดออกมาว่า "เออดีวะ เขียนเรื่องเด็กง่ายดี" หรือนักเขียนเรื่องสั้นบางคนก็จะพูดถึงคนเขียนวรรณกรรมเด็กว่า "เขียนไปเถอะ ไม่ต้องดีอะไรมากมาย เดี๋ยวพ่อแม่ก็ซื้อให้ลูก ๆ อ่านเอง"
ก็ถ้าบ้านเรา โดยเฉพาะคนในวงการหนังสือด้วยกันเอง ยังไม่เห็นคุณค่าของวรรณกรรมเยาวชน ไม่สนับสนุนกันเท่าไหร่ ก็ยากที่จะมีงานดี ๆ ในบ้านเรา

มีความเห็นอย่างไรกับเรื่องที่เยาวชนไทยอ่านหนังสือน้อย (เฉลี่ยวันละ 4 นาที)
เป็นเพราะขาดการสนับสนุนที่ดีมากกว่า ครอบครัวขาดการสนับสนุน พอดีมีลูกเล็ก ๆ อยู่ ยังแปลกใจที่ว่าเด็กไทยอ่านหนังสือน้อย เพราะเด็กเล็ก ๆ นี่จะชอบหนังสือมาก จะเปิดดูรูปภาพชอบให้พ่อแม่เล่าเรื่องให้ฟัง
แล้วก็ห้องสมุดของโรงเรียน แทบจะไม่มีวรรณกรรมเยาวชนเลย ไม่รู้เดี๋ยวนี้เป็นไงนะ แต่สมัยก่อนน่ะ แทบจะไม่มีเลย ก็ถ้าไม่มีหนังสือสนุก ๆ ใกล้ตัวให้เด็กได้สัมผัส แล้วเด็กจะชอบอ่านหนังสือได้ยังไง โดยส่วนตัวคิดว่าเด็กชอบอ่านหนังสือสนุก ๆ ที่เหมาะกับวัยเขา เคยเจอหลานเพื่อนคนหนึ่ง ลองให้เขาอ่านเรื่องลิฟต์มหัศจรรย์ของโรอัลด์ ดาลห์ เขาไม่อ่านท่าเดียว บอกว่า มีแต่ตัวหนังสือ ไม่หนุกแน่เลย เขาชอบอ่านการ์ตูนมากกว่า เราก็พยายามจะบอกเขาว่าสนุกนะ จนลงทุนนั่งอ่านให้เขาฟังเลย ปรากฏว่าเขาชอบมาก นั่งฟังตาแป๋ว กระตือรือร้นร้องขอให้เราอ่านให้ฟังอีก นี่แสดงว่าเขาไม่ได้รับการสนับสนุน
ภาครัฐก็ไม่ได้สนับสนุนอะไร หนังสือแพงมากด้วย น่าจะถูกกว่านี้ หนังสือแพง คนก็มีปัญญาหาซื้ออ่านได้น้อยลง ห้องสมุดประชาชนใกล้บ้านก็ไม่มี ไม่มีการรณรงค์ให้อ่านหนังสือ มีน้อยมาก แล้วจะสู้สื่ออื่นได้ยังไง ที่รณรงค์ให้คนไทยเล่นกีฬาได้ ก็น่าจะรณรงค์ให้อ่านหนังสือได้

มีความเห็นอย่างไรก็กระแสวรรณกรรมแปลที่ทะลักเข้ามา
ส่วนตัวคิดว่าเป็นเรื่องที่ดี เป็นทางเลือกสำหรับคนอ่าน แต่สำนักพิมพ์ต่าง ๆ น่าจะมีส่วนรับผิดชอบกับสังคมบ้าง ไม่ใช่วรรณกรรมแปลขายได้ แล้วทำแต่วรรณกรรมแปล ละเลยวรรณกรรมของคนไทย ถ้าจะไม่ดีก็ตรงนี้ เดี๋ยวนี้เวลาเดินร้านหนังสือ บางทีนึกถึงนักเขียนเก่า ๆ ที่เคยชื่นชอบ อยากหางานใหม่ ๆ ของนักเขียนเหล่านี้มาอ่าน ปรากฏว่าแทบจะหาหนังสือของนักเขียนเก่า ๆ ที่มีคุณภาพไม่ได้เลย หนังสือของคนไทย กลายเป็นหนังสือตามกระแสแฟชั่นไปเสียเกือบหมด

สมัยนี้เข้าร้านหนังสือแล้วเจอแต่วรรณกรรมแปล คนบางกลุ่มก็เกิดอาการ "นิยมของนอก" ไม่อ่านงานเขียนของคนไทย
ตัวเองก็เป็น จะเลือกอ่านวรรณกรรมแปลก่อนของคนไทย เพราะรู้สึกว่างานนอกหลากหลายกว่า ช่างคิด มีมุมมองแปลก ๆ แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่อ่านงานของคนไทยเลย อ่าน แต่อ่านแล้วรู้สึกว่ามันไม่มีอะไรใหม่ แล้วช่วงหลังยังมีงานดี ๆ ของคนไทยออกมาน้อยอีก ยิ่งไปกันใหญ่เลย จริง ๆ ต้องมีปริมาณที่สมดุลกัน ต้องสนับสนุนงานของคนไทยที่มีคุณภาพออกมาด้วย ไม่ใช่คิดแต่ทางการตลาดกันอย่างเดียว ทำแต่หนังสือตามกระแสแฟชั่นอย่างเดียวก็แย่ โดยส่วนตัวยังเชื่อว่า คนไทยก็อยากอ่านงานของคนไทย เพราะยังไงซะ การเสพงานพวกนี้ เสพสิ่งที่เป็นเรื่องราวใกล้ตัว จะเข้าใจความคิดความอ่านกันได้ดีกว่า

คิดว่าน่าจะแก้ปัญหายังไงคะ
สำนักพิมพ์มีส่วนช่วยมาก ไม่ใช่ทำงานแปลแล้วขายได้ ก็ทำแต่งานแปลอย่างเดียว น่าจะคืนกำไรให้แก่สังคมไทยโดยการพิมพ์งานคนไทยบ้าง

อะไรคืองานวรรณกรรมเยาวชนที่ดี
งานวรรณกรรมเยาวชนที่ดี ต้องเป็นงานที่สื่อสารกับเยาวชนได้ ให้มุมมอง ให้แง่คิดที่ดีแก่เด็ก โดยส่วนตัวคิดว่าต้องสนุกด้วย

การเขียนวรรณกรรมเยาวชนยากไหมคะ
ส่วนตัวคิดว่าไม่ยาก เพราะชอบ แล้วก็ถนัด คิดว่าถ้าไปถามคนเขียนนวนิยาย ว่าเขียนนิยายยากมั้ย พวกนั้นก็คงตอบว่าไม่ยาก แต่สำหรับตัวเองคิดว่าเขียนนิยายยาก ขณะเดียวกัน พวกเขียนนิยายบางคนมาลองเขียนวรรณกรรมเยาวชนก็บ่นว่ายาก ขึ้นอยู่กับความถนัดและความชอบมากกว่า

ผลงานชิ้นต่อไป?
ตอนนี้เขียนเรื่องเกี่ยวกับลูกอยู่ เรื่อง "การเดินทางบนโลกใบกลม ๆ ของน้องเต้น" ยังไม่รู้ว่าจะมีใครพิมพ์ให้มั้ย ส่วนผลงานชิ้นต่อไป มีงานแปลเรื่อง the pushcart war (สงครามรถเข็น) ส่งไปให้ที่มติชน คิดว่าคงจะพิมพ์ให้ เพราะทางมติชนบอกกำลังทำเรื่องติดต่อขอลิขสิทธิ์อยู่ แล้วตอนนี้มีโครงเรื่องที่คิดจะเขียนเป็นวรรณกรรมเยาวชนอีกสองเรื่อง

ชุลีพร กล่าวว่า...

ชีวประวัติของข้าพเจ้า
ข้าพเจ้านางสาว ชุลีพร สุวรรณโชคอิสาน ชื่อเล่น แก้ว เกิดวันอาทิตย์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2529 ข้าพเจ้าอาศัยอยู่บ้านเลขที่ 89 ถ.อำมาตย์ ต.ในเมือง อ.เมือง จ.ขอนแก่น อยู่กับพ่อและแม่ มีน้องชายอีก 2 คน ข้าพเจ้าเป็นพี่คนโต พ่อกับแม่ประกอบอาชีพค้าขาย พ่อมีลักษณะเป็นคนใจร้อน ชอบว่าลูกค้าที่มาซื้อของ ส่วนแม่เป็นคนใจดี ใจเย็น แต่เข้มงวดบางเรื่อง ส่วนน้องหยกเรียนเก่ง ไม่ค่อยพูด น้องบีเอ็มจะดื้อ ซน ข้าพเจ้าตอนเด็กเรียนอยู่ที่โรงเรียนหัวเขียวเรียนไม่นานก็ย้ายไปเรียนที่โรงเรียนอนุบาลขอนแก่นข้าพเจ้าเรียนอนุบาลถึงประถมที่โรงเรียนอนุบาลขอนแก่นแทน ข้าพเจ้าเรียนตั้งแต่อนุบาล 2 ถึง ป.6 กับข้าวในโรงเรียนอร่อย ข้าพเจ้าชอบกินข้าวมันไก่ และไข่พะโล้ วันไหนมีข้าพเจ้ากิน 2 จาน ข้าพเจ้าขึ้นชั้น ป.5 มีเพื่อนสนิทชื่อ อ็อฟ เป็นคนที่น่ารัก เรียนเก่ง ข้าพเจ้าทำการบ้านไม่ได้ก็ถามอ็อฟ น้องชายของข้าพเจ้า 2 คนเรียนที่โรงเรียนอนุบาลขอนแก่นเวลาไปเรียนพ่อจะขับรถไปส่งพร้อมกันดุแล้วน่ารัก สนุกกับวัยเด็ก น้องหยกเป็นคนเรียนเก่งกว่าเพื่อน ภายในโรงเรียน น่าอยู่ คุณครูใจดี น่ารัก อาคารเรียนเป็นระเบียบ มีสนามหญ้าของเล่นเด็ก ข้าพเจ้าใกล้จบ ป.6 คุยกับอ็อฟว่าจะเข้าโรงเรียนไหนอ็อฟพูดว่าอยากเข้าโรงเรียนขอนแก่นวิทยายน ข้าพเจ้ากับอ็อฟก็สอบเข้าโรงเรียนขอนแก่นวิทยายนติดแล้วก็ได้อยู่ห้องเดียวกัน ข้าพเจ้าดีใจ เดินสำรวจรอบบริเวณโรงเรียน เรียนชั้น ป1-6 และม.1-6 ต่างกัน น้องหยกสอบเข้าโรงเรียนขอนแก่นวิทยายนได้ น้องหยกจะเรียนไล่กัน ส่วนน้องบีเอ็มสอบเข้าโรงเรียนขอนแก่นวิทยายนไม่ติดมีครูปราณีมาแนะนำว่าจะพาเข้าโรงเรียน แต่ต้องใช้เงินเป็นหมื่นพ่อกับแม่ก็หาเงินมาให้แล้ว น้องบีเอ็มก็ยังเข้าไม่ได้ ก็โทรหาครูปราณีไม่ติดครูปิดเครื่อง ไปบ้านครูก็ไม่อยู่ พ่อกับแม่ถูกครูหลอกเอาเงินไปฟรีพ่อกับแม่เสียใจ จะฟ้องตำรวจก็ฟ้องไม่ได้เพราะไม่มีหลักฐานปล่อยเลยตามเลย น้องบีเอ็มก็อยู่บ้านอ่านหนังสือเตรียมสอบปีหน้า ถึงปีหน้าก็ลองสอบอีกครั้งก็สอบเข้าได้ ดีใจกันทั้งบ้าน น้องบีเอ็มเรียนได้ 1 สัปดาห์เหตุการณ์ไปคาดฝันก็เกิดขึ้น โดยไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดคือวันนั้นเป็นวันเสาร์เพื่อนน้องก็มาชวนน้องไปปั่นเล่นพ่อกับแม่ก็ให้ไปพ่อบอกน้องว่าอย่าไปเล่นไกลนะเวลาผ่านไปได้ 1 ชั่วโมงก็มีตำรวจมาหาพ่อกับแม่ถึงบ้านบอกว่าน้องจมน้ำพ่อรีบตามตำรวจไปดูที่คลองชลประทานพอไปถึงเห็นแต่คนช่วยกันด่ำหาน้องได้ 30 นาทีก็เจอแล้วพาน้องขึ้นมาช่วยทุกอย่างก็ช่วยไม่ได้พ่อกับแม่ก็ไม่รู้ว่าน้องจะไปเล่นน้ำถ้ารู้ก็จะไม่ให้ไปทำพิธีตามศาสนา น้องเสียอายุ 13 ปีคุยกับญาติกัน ตกลงกันว่าจะเข้าเบ้า 3 ปีที่วัดศรีจันทร์ ข้าพเจ้าเรียนมาเรื่อยๆถึง ชั้น ม.3 ข้าพเจ้ากับอ็อฟต้องตัดสินว่าจะเรียนสายศิลป์ หรือ สายวิทย์ อ็อฟบอกว่าจะเรียนสายวิทย์ข้าพเจ้าอยากเรียนสายศิลป์แยกกันเรียนอ็อฟสอบติดห้อง ม.4/16 ข้าพเจ้าติดห้อง
ม.4/1 ก็เจอกัน คุยกันตลอดมา ส่วนน้องหยกก็เรียนต่อ ม.4 ที่โรงเรียนขอนแก่นวิทยายนน้องเรียนสายศิลป์ พ่อกับแม่ก็บอกว่าอยากเรียนอะไรก็เรียนตามใจลูก ช่วง ม.5-6 ข้าพเจ้ากับน้องบอกพ่อกับแม่ว่าจะเดินไปกลับโรงเรียนกับบ้าน พ่อจะได้ไม่ต้องลำบากไปส่ง โรงเรียนอยู่ใกล้บ้านแล้วก็โตๆกันแล้วภายในห้องเรียนของข้าพเจ้ารู้กับเพื่อนทุกคน สนิทกันมีอะไรก็ช่วยเหลือกัน ช่วง ม.6เป็นวัยที่สนุกสนาน ห้องของข้าพเจ้าชอบเล่นการพนัน เล่นปิงโก้ มีต้นทางคอยดูอาจารย์ อยู่วันหนึ่งครูแนะแนวจับได้ว่าเล่นการพนันกันครูเรียกไปตักเตือนว่ากล่าวเมื่องานวันปัจจิมนัดกันเลี้ยงร้องคาราโอเกะ พูดคุยกันว่าเรียนไหนติดอะไรกันบ้าง เพื่อนของข้าพเจ้าส่วนใหญ่ติดมหาวิทยาลัยมหาสารคามกันเยอะ ข้าพเจ้าสอบที่ มหาวิทยาลัยขอนแก่นไม่ติดแต่สอบติดที่มหาวิทยาลัยมหาสารคามก็เลยเรียนและเปลี่ยนอากาศที่เรียนใหม่ด้วย เข้าไปครั้งแรกมหาวิทยาลัยครั้งแรกดูแล้วใหญ่โตมองไปทางไหนตึกสีแดงทุกตึก น่าอยู่ และปี1ต้องโดนบังคับอยู่หอในข้าพเจ้าอยู่หอชงโคด้วยกิจกรรมเยอะ การใช้ชีวิตจากมหาวิทยาลัยกับโรงเรียนต่างกัน มหาวิทยาลัยไม่มีเคารพธงชาติบ้างวันก็ไม่มีเรียน ข้าพเจ้ากลับบ้านทุกอาทิตย์ ขึ้นปี2 มาสนิทกับเพื่อนทุกคนมีอะไรก็ช่วยเหลือกัน โทรตามเพื่อนไปเรียน ขึ้นปี3 เทอม1 ข้าพเจ้าย้ายของกลับบ้านแล้วไปเรียนค่อยนั่งรถไปกลับขอนแก่น-สารคาม จะได้ช่วยพ่อกับแม่ขายของด้วย ข้าพเจ้าต้องตื่นตี5 ทุกวันถ้าตื่นสายพ่อจะว่า ช่วงสิงหาคมถึงกลางเดือนแม่ไม่ค่อยสบาย ข้าพเจ้ากับพ่อบอกให้แม่ไปหาหมอแต่แม่ไม่ยอมไปแม่บอกว่าแม่ห่วงบ้าน ห่วงขายของ พูดเท่าไหร่แม่ก็ไม่ไป แล้วแม่ก็บ่นกับข้าพเจ้าว่ากินข้าวได้น้อยลง หายใจลำบาก วันนั้นเป็นวันพฤหัสบดีที่ 20 สิงหาคม พ.ศ.2550 ช่วงเวลาค่ำข้าพเจ้าปิดบ้านแล้วแม่เข้าห้องน้ำบ่อยมาก เวลา 22.30 น. แม่ลงมาเข้าห้องน้ำนานมากข้าพเจ้าเลยลงไปดูเห็นแม่ตะโกนบอกแก้วให้ไปบอกพ่อพาไปหาหมอ ข้าพเจ้ารีบปลุกพ่อตื่น ข้าพเจ้าใส่เสื้อกับกางเกงช่วยแม่พ่อก็เอารถพ่วงออกข้าพเจ้ารีบพาแม่เดินขึ้นรถไปถึงโรงพยาบาลหมอก็รีบพาแม่เข้าห้องตรวจข้าพเจ้ากับพ่อก็นั่งรอข้างนอกรอได้30นาทีหมอเดินออกมาว่าต้องให้แม่นอนที่โรงพยาบาลตรวจดูอาการ พยาบาลก็ลากรกเข็นออกมาเห็นแม่ต้องใส่เครื่องช่วยหายใจแม่พูดไม่ค่อยถัดลำบากเห็นแล้วข้าพเจ้าสงสารค่อยให้แต่กำลังใจแม่ข้าพเจ้ากับพ่อก็สลับกันนอนเฝ้าแม่ทุกวัน วันที่2แม่ก็พูดอะไรแปลกๆทำให้พ่อไม่สบายใจ แล้วแม่จะพูดอีกแต่พูดไม่ถนัดพูดแต่น้ำแดงและสั่งว่าถ้าแม่ตายไม่ต้องเผาแม่เด็ดขาดและบอกกับข้าพเจ้าว่าไม่ต้องเรียนต่อ วันต่อมาหมอบอกว่าแม่เป็นไต เบาหวานและหัวใจ พ่อบอกให้หมอรักษาแม่เต็มที่ แม่อยู่ได้ 2 สัปดาห์ แม่ก็เสียชีวิตเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม
พ.ศ. 2550 อายุ 53 ปี โทรบอกญาติที่ต่างๆ พ่อไปดูที่ที่บ้านสะอาดและตกลงว่าจะซื้อ นำศพแม่ไปทำพิธีที่วัดศรีจันทร์ไว้ 7 วัน เข้าวันที่ 6 ศพเบ้าเมื่อเอาน้องไปทำพิธีสวดวันหนึ่ง วันที่ 7 นำแม่กับน้องบีเอ็มไปฝังที่บ้านสะอาดทำพิธีฝัง เดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาวันที่31 ทำพิธีเปิดป้ายแม่และทำพิธีไหว้ ขึ้นปี 4 มาข้าพเจ้าตั้งใจเรียนมากขึ้น หน้าที่งานบ้านข้าพเจ้าต้องทำทุกอย่าง ช่วยพ่อขายของ
เรื่องเล่าจากประสบการณ์ชีวิตของข้าพเจ้าจบลงได้แม่ก็ไม่อยู่แล้ว ข้าพเจ้าก็ได้แต่คิดถึงแม่ แม่ไปสบายแล้วคนที่อยู่ต้องอดทนต่อสู้กับอุปสรรค แม่ก็คงมองดูเราอยู่บนฟ้า พ่อก็บ่นว่าแม่ไม่หน้าจากเราไปแล้ว เราแต่ละคนต้องทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด

นางสาว ชุลีพร สุวรรณโชคอิสาน
คณะศึกษาศาสตร์ สาขา การศึกษาปฐมวัย
EC 48010520520 ( ระบบพิเศษ )
กลุ่มเรียนที่ 4 วันพฤหัสบดี

ชุลีพร กล่าวว่า...

นางสาว ชุลีพร สุวรรรโชคอิสาน รหัส 48010520520 ชั้นปีที่ 4
คณะศึกษาศาสตร์ สาขาการศึกษาปฐมวัย ระบบพิเศษ กลุ่มเรียนที่ 4 วันพฤหัสบดี
1.บทความเรื่อง อาชีพ นักแปล
ลักษณะอาชีพ ( การทำงาน)
นิยามอาชีพ
แปลข้อความที่พิมพ์หรือเขียนเป็นลายลักษณ์อักษรจากภาษาเดิมเป็นภาษาอื่น : แปลวรรณคดี บทความเชิงวิชาการ บทความในหนังสือพิมพ์หรือนิตยสาร เอกสารทางการเมือง และเอกสารเกี่ยวกับกฎหมาย จดหมายโต้ตอบ และข้อความที่พิมพ์หรือเขียนเป็นลายลักษณ์อักษรจากภาษาเดิมเป็นภาษาอื่น โดยการใช้ความรู้เดิม และความรู้ในภาษาต่างประเทศ และค้นหาคำแปลจากพจนานุกรมเท่าที่จำเป็น โดยปกติเชี่ยวชาญในภาษาใดภาษาหนึ่ง หรือเรื่องใดเรื่องหนึ่งโดยเฉพาะ และอาจมีชื่อเรียกตามงานที่ทำ
2.ลักษณะของอาชีพ (การทำงาน)
พนักงานแปล หน้าที่แปลข้อความที่พิมพ์หรือเขียนเป็นลายลักษณ์อักษร จากภาษาเดิมเป็นภาษาอื่นตั้งแต่หนึ่งภาษาขึ้นไป เช่น วรรณคดี บทความทางวิชาการ บทความในหนังสือพิมพ์หรือนิตยสาร เอกสารทางการเมืองและเอกสารเกี่ยวกับกฎหมาย จดหมายโต้ตอบ และข้อความที่พิมพ์หรือเขียนเป็นลายลักษณ์อักษร โดยการใช้ความรู้จากภาษาเดิม สำหรับผู้แปลหนังสือภาษาต่างประเทศโดยได้รับลิขสิทธิ์ ในการแปลเรียกว่า “นักแปล” อาจแปลหนังสือนวนิยาย หรือหนังสือ ที่ใช้เป็นบทเรียนในภาควิชาการบริหารและการตลาด ล่าม ทำหน้าที่แปลคำพูด หรือคำบรรยาย ในระหว่างการสนทนา หรือการบรรยายให้แก่บุคคลใดบุคคลหนึ่ง หรือหลายคนในเวลาเดียวกัน ผู้ปฏิบัติงานอาชีพนี้ อาจทำงานประจำในองค์กรต่างๆ เช่น สำนักงานทนายความและบริษัทที่ปรึกษากฎหมาย บริษัทอุตสาหกรรม บริษัทอุตสาหกรรมร่วมทุนกับบริษัทต่างชาติ บริษัทก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ ธนาคาร โดยทำหน้าที่ปฏิบัติงานอยู่ในสำนักงาน หรือในกรณีที่ทำหน้าที่ล่าม ต้องเดินทางออกไปปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่ทำงาน ในต่างจังหวัดหรือต่างประเทศและอาจต้องทำหน้าที่เลขานุการของผู้บริหารด้วยในการออกไปทำงานนอกสถานที่ งานที่ทำอาจมีความกดดันในเรื่องเวลาปฏิบัติงานพอสมควรคือชั่วโมงทำงานอาจนานจนกว่าการสนทนา การบรรยาย หรือการเจราจาธุรกิจจะเสร็จสิ้น สำหรับ ”นักแปล” ที่รับจ้างแปลงานให้กับบริษัทนำเข้าภาพยนตร์ต่างประเทศ บริษัทสื่อสิ่งพิมพ์และสำนักพิมพ์นั้นสามารถปฏิบัติงานที่บ้านได้ โดยนำงานต้นฉบับแปลส่งตามที่กำหนดกับผู้ว่าจ้างไว้ นักแปลต้องทำงานแข่งกับเวลา เพื่อให้งานแล้วเสร็จทันกำหนดเวลา
3.ลักษณะของบุคคลที่เหมาะกับอาชีพ (ความต้องการด้านบุคลากร)
ผู้ประกอบอาชีพนี้ต้องเตรียมความพร้อม โดยอาจมีความรู้ระดับปริญญาตรีหรือปริญญาโท สาขาอักษรศาสตร์ ศิลปศาสตร์ หรือสาขาที่เกี่ยวข้อง หรืออย่างน้อยมีความสามารถในการแปลอย่างช่ำชองทั้งสองภาษา
1. สนใจและรักในภาษาและมีความรู้ความชำนาญในภาษาของตนเองไม่น้อยไปกว่าต้นฉบับ
2. เป็นผู้มีความรู้ในภาษาต้นฉบับและภาษาที่ใช้ในการแปลดีพอ
3. เป็นผู้หมั่นค้นคว้าหาความรู้เพิ่มเติมอยู่เสมอ ทั้งในงานที่ทำและงานแขนงอื่นๆ
4. เป็นผู้มีวิจารณญาณ ในการแปล
5. เป็นผู้มีใจเปิดกว้างยอมรับข้อติติง จากทั้งเพื่อนร่วมงานและผู้ว่าจ้าง
6. เป็นผู้มีความละเอียดรอบคอบ และความละเอียดอ่อนในการแปล
4.ระดับรายได้ และความก้าวหน้า รวมไปถึงสวัสดิการที่เกี่ยวกับอาชีพ
สำหรับเจ้าหน้าที่ในองค์กรของรัฐบาล จะได้รับค่าตอบแทนการทำงานเป็นเงินเดือนตามวุฒิการศึกษาและอาจมีค่าวิชาชีพเพิ่มให้ ในภาคเอกชนจะได้รับการว่าจ้างในอัตราเงินเดือนที่มากกว่า 5 - 10 เท่าขึ้นไปตามความสามารถและความรับผิดชอบ
ผู้ประกอบอาชีพอิสระในการแปลหนังสือนวนิยายต่างประเทศ ค่าจ้างแปลโดยเฉลี่ยเป็นชิ้นงานตามความหนาของหนังสือ จะได้รับค่าจ้างแปลประมาณเล่มละ 30,000 - 80,000 บาท ซึ่งใช้เวลาแปลประมาณ 1 - 2 เดือน บางเล่มที่มีความเป็นวิชาการมากอาจได้รับค่าแปลมากกว่า 100,000 บาท และในกรณีถ้ามีการพิมพ์ซ้ำ ผู้แปลจะได้ค่าแปลเพิ่มขึ้นตามแต่เปอร์เซ็นต์ที่ตกลงไว้กับ ผู้ว่าจ้าง การแปลบทสารคดีจะได้รับค่าตอบแทนเป็นชิ้นงานประมาณ 5,000 - 7,000 บาทต่อเรื่อง หรือความยาวประมาณ 20 หน้า นอกจากนี้ ยังมีการแปลบทภาพยนตร์ต่างประเทศที่แพร่ภาพทางทีวีและฉายในโรงภาพยนตร์ ค่าแปลบทภาพยนตร์ทีวี ประมาณเรื่องละ 3,000 - 5,000 บาท การแปลบทภาพยนตร์จะได้รับค่าจ้างที่สูงพอสมควร ส่วนค่าจ้างแปลเอกสารธรรมดาในท้องตลาดทั่วไปหน้าละประมาณ 300 - 800 บาท ผู้ปฏิบัติงานอาชีพนี้ มีโอกาสก้าวหน้าทางด้านวิชาชีพในเรื่องของค่าจ้างและเงินเดือน อาจได้รับตำแหน่งต่างๆ ในองค์กรที่ต้องติดต่อกับต่างประเทศ จนถึงระดับผู้บริหารถ้าผู้แปลหรือล่ามมีความชำนาญพิเศษและมีประสบการณ์ในระดับสูงอาจทำงานกับองค์กรนานาชาติได้
5.วิธีการเข้าสู่อาชีพ (การศึกษา, สาขาที่เกี่ยวข้อง, วิชา, วุฒิการศึกษา)
สำหรับผู้จบปริญญาตรีสาขาวิชาใดก็ได้ แต่มีความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษทั้งการเขียนพูดแปล สามารถเข้ารับการอบรมหลักสูตรการแปลแบบมืออาชีพ ได้ในมหาวิทยาลัยต่างๆ หรือโครงการศึกษาต่อเนื่องของแต่ละมหาวิทยาลัย
6.มหาวิทยาลัยหรือสถานศึกษาที่เปิดสอน
มหาวิทยาลัยมหาสารคาม คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ เอก ภาษาต่างๆ เช่น เกาหลี ญี่ปุ่น อังกฤษ เวียดนาม เขมร ลาวทุกมหาวิทยาลัยที่เปิดสอนเกี่ยวกับภาษาต่างประเทศ
7.ความต้องการของตลาดแรงงาน
ปัจจุบันอาชีพนี้เป็นที่ต้องการของตลาดอย่างมาก เนื่องมาจากการเปิดการค้าเสรีและการสื่อสารไร้พรมแดน ทำให้ธุรกิจทุกวงการต้องหันมาส่งเสริมพนักงานทุกคนในองค์กรให้ใช้ภาษาอังกฤษได้เป็นอย่างน้อย นอกเหนือไปจากการจ้างพนักงานประจำทั้งนักแปลและล่าม ภาษาอังกฤษ ญี่ปุ่น จีน เยอรมันกันอย่างมากมายในช่วง 1 - 2 ปีที่ผ่านมา เช่น ธุรกิจอุตสาหกรรม วงการก่อสร้างงานสาธารณูปโภคระดับนานาชาติและบริษัทที่ปรึกษากฎหมาย เป็นต้น ดังนั้น ผู้ประกอบอาชีพนี้ จึงมีแนวโน้มเป็นที่ต้องการของตลาดแรงงานอย่างมาก เพราะบางบริษัทจ้างพนักงานแปลหรือล่ามที่สามารถใช้ภาษาต่างประเทศได้มากกว่า2 ภาษา และจะได้รับการพิจารณาเป็นพิเศษ ผู้ที่มีความสามารถด้านการแปลภาษาสามารถเลือกงานได้ตามที่ตนต้องการ ผู้ประกอบอาชีพนี้มีความมั่นใจในตนเองสูง และเป็นอาชีพอิสระอาจเลือกทำงานตามอุดมคติได้ เช่น ทำงานในองค์กรระหว่างประเทศในโครงการต่าง ๆ ได้ถ้าไม่ต้องการเป็นนักแปล หรือล่าม บรรณาธิการข่าวต่างประเทศอาจประกอบอาชีพนี้เป็นอาชีพเสริมนอกเหนืองานประจำ
8.ตัวอย่างบุคคลที่อยู่ในอาชีพดังกล่าว (เรื่องราวโดยย่อ)
คุณคณา คชา เป็นนามปากกาของนักเขียนวรรณกรรมเยาวชนฝีมือเยี่ยมคนหนึ่ง ซึ่งเป็นที่น่าเสียดายที่ชาวไทยยังไม่ค่อยรู้จักชื่อและงานของเธอมากนัก เพราะมัวแต่ไปทุ่มเทความสนใจให้กับเยาวชนต่างชาติเสียหมด ทั้งๆ ที่งานเขียนของเธอนั้นไม่ได้ด้อยฝีมือและคุณค่าไปกว่าวรรณกรรมเยาวชนแปลที่วางเด่นอยู่ตามชั้นหนังสือแนะนำเลยแม้แต่น้อย รางวัลชนะเลิศจากการประกวดวรรณกรรมเยาวชน รางวัลแว่นแก้ว ครั้งที่ 1 จากวรรณกรรมเยาวชนเรื่อง โลกใบนี้โคจรรอบกระทะกับหม้อเหล็ก เป็นเครื่องการันตีคุณภาพและฝีมือในการเขียนของเธอได้เป็นอย่างดี
ไปทำความรู้จักกับเธอกันดีกว่า..
แนะนำตัวเองสั้นๆ สักหน่อยค่ะ
ชื่อ คณาพร สัมฤทธิ์ล้วน นามสกุลเดิม คชา นามปากกาเลยตั้งไว้ว่า "คณา คชา" จบการศึกษาจากคณะมนุษยศาสตร์ สาขาวิชาภาษาอังกฤษ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ทำไมถึงชอบเขียนเรื่องเด็ก หรือวรรณกรรมเยาวชนคะ
เป็นคนชอบอ่านหนังสือวรรณกรรมเยาวชนมาก ชอบหนังสือแนวนี้เพราะเป็นหนังสือที่เล่นกับจินตนาการ ความสวยงามของชีวิต เป็นหนังสือที่อ่านแล้วให้ความรู้สึกที่รื่นรมย์ มีอารมณ์ขัน เมื่ออ่านมาก ๆ เข้าก็ถึงจุดหนึ่งที่ทำให้อยากเขียน
แล้วเริ่มต้นเขียนหนังสือด้วยการเขียนวรรณกรรมเยาวชนเลยหรือเปล่าคะ
คงต้องเล่าย้อนไปตั้งแต่ตอนเด็ก ๆ เลย เป็นคนฝันไว้ตั้งแต่เด็กว่าอยากเป็นนักเขียน เพราะตอนเด็ก ๆ จะอยู่กับพ่อสองคน แล้วไม่มีเพื่อนเล่น พ่อก็จะสนับสนุนให้อ่านหนังสือตลอด พอปิดเทอมทีก็จะไปยืมหนังสือจากร้านเช่าหนังสือเป็นตั้ง ๆ อ่านดะไปหมด อ่านเยอะมาก อ่านเยอะมากเข้าก็อยากเป็นนักเขียน แต่ตอนเด็ก ๆ จะไม่ค่อยได้อ่านวรรณกรรมเยาวชน เพราะหาอ่านยาก อ่านแต่นิยาย พอเริ่มต้นเขียน คงเหมือนนักเขียนทั่ว ๆ ไป ยังเขียนเรื่องยาว ๆ ไม่ได้ เริ่มจากเรื่องสั้น เขียนเรื่องสั้นเรื่องแรกตอนเรียนม.ปลาย ส่งไปที่ฟ้าเมืองไทย ของคุณอาจินต์ ปัญจพรรค์ ส่งไปได้ไม่กี่วัน คุณอาจินต์ ก็ส่งเรื่องสั้นกลับมาพร้อมกับจดหมายวิจารณ์ โอ้โห ดีใจมาก เป็นเรื่องที่ดีใจที่สุดตั้งแต่เขียนหนังสือมาเลย ว่าคุณอาจินต์เขียนถึงเรานะ ถึงเรื่องสั้นจะไม่ผ่าน แต่คุณอาจินต์วิจารณ์งานในแง่ที่ค่อนข้างดี นั่นคือบอกว่าเรามีแวว แล้วก็เป็นคนที่มีอารมณ์ขันดีมาก ก็เลยได้ใจ เขียนส่งไปอีกเรื่องหนึ่ง แต่คราวนี้หายต๋อมไป ก็ไม่ได้เขียนอีก หลังจากนั้นก็มีเขียนเล่าประสบการณ์สั้น ๆ ได้ลงที่แพรว พอเข้าเรียนมหาวิทยาลัยก็เขียนเรื่องสั้นส่งไปที่แพรวได้ตีพิมพ์ แต่เขียนแค่เรื่องเดียว ตอนเรียนมหาวิทยาลัยตอนนั้นเริ่มบ้าอ่านวรรณกรรมเยาวชนแล้ว เพราะมีแหล่งให้หาอ่าน หาซื้อ มีร้านหนังสือแซงแซวบุ๊คส์หน้ามหาวิทยาลัย ห้องสมุดของชมรมวรรณศิลป์ก็มีหนังสือเด็กเยอะ เริ่มเขียนวรรณกรรมเยาวชนแล้ว เรื่องแรกส่งไปสำนักพิมพ์เรจีน่า ไม่ผ่านหายต๋อมไปเลย ก็เฉย ๆ จนเรียนจบออกมาทำงาน มีรุ่นพี่แนะนำให้ไปรับเรื่องจากสำนักพิมพ์แปลนมาแปล หนังสือเล่มแรกเลยเป็นเรื่องแปล "นิทานแคนาดา" หลังจากนั้นก็เขียน วรรณกรรมเยาวชนเรื่อง "โม่น้อยผจญภัย" ตอนแรกไม่ได้ตั้งชื่อนี้ ตั้งชื่อว่า "เดินทางตามหาดวงจันทร์" ส่งไปที่สำนักพิมพ์ดอกหญ้า เพราะตอนนั้นดอกหญ้าพิมพ์วรรณกรรมเยาวชนออกมาเยอะมาก ปรากฏว่าพอส่งไปปุ๊ป ไม่กี่วัน บก. โทรมาหาเลย อยากเจอตัว บอกว่าชอบเรื่องนี้มาก จะพิมพ์ ก็เลยไปพบ ก็ได้คุยกัน บก. ขอให้เขียนเพิ่มอีกสักบทสองบทเพราะสั้นไปหน่อย แล้วก็อยากเปลี่ยนชื่อเรื่อง เพราะชื่อที่ตั้งไว้ไม่จูงใจ หนังสือที่เขียนเล่มแรกในชีวิตเลยเป็นเรื่องโม่น้อยผจญภัย แล้วเสียงสะท้อนกลับเรื่องนี้ก็ดีมาก (ทำท่าว่าจะดีที่สุด ตั้งแต่เขียนหนังสือมาด้วยซ้ำ) ทางสำนักพิมพ์จะคอยบอกว่า เออ.. คนวาดภาพประกอบ ชอบเรื่องเรานะ มีนักแปลวรรณกรรมเยาวชนบอกว่าชอบเรื่องเรา คณา คชานี่คือใคร ทำงานเกี่ยวกับเด็กหรือเปล่า หรือจนตอนนี้ก็ยังมีเสียงเล่าให้ได้ยินอยู่ว่า มีคนยังอ่านเรื่องนี้ให้ลูกเขาฟังก่อนนอนอยู่เลย แล้วก็มีสำนักพิมพ์บอกว่าสนใจจะพิมพ์ให้ใหม่ บอกว่า อ่านใหม่แล้วยังรู้สึกดีอยู่ แต่ตอนนี้เงียบ ๆ ไป ไม่รู้ว่ายังจะทำอยู่หรือเปล่า
จากนั้นก็เขียนมาเรื่อย เป็นวรรณกรรมเยาวชนทั้งหมด ตั้งแต่นิทานท้องฟ้า อาณาจักรบนเตียงนอน ผจญภัยในแดนเงา เด็กหญิงจ้าง ระบำใบไม้ หมู่บ้านพิลึก แล้วก็มีเขียนนิทานส่งให้หญิงไทย ส่วนเรื่องสั้นนาน ๆ จะเขียนสักเรื่อง เรื่องแปลมีทำอยู่เรื่อย ๆ เหมือนกัน หลังจากได้รางวัลแว่นแก้วยังเขียนเข้าประกวดในรายการอื่น ๆ อีกหรือเปล่าคะ
ถ้าเป็นวรรณกรรมเยาวชนไม่ส่งแล้ว แต่มีส่งสารคดีไปประกวดรางวัลนายอินทร์อวอร์ด พอดีมีเขียนเล่น ๆ เก็บไว้ เห็นประกาศก็เลยส่งประกวด แต่หายต๋อม ไม่ผ่าน คิดว่าการจัดการประกวดมีความสำคัญแค่ไหน และมีส่วนช่วยในการสร้างนักเขียนและนักอ่านได้มากแค่ไหน
มีส่วนช่วยในการสร้างนักเขียนนักอ่านพอสมควร แต่ที่สำคัญมากที่สุดคิดว่าอยู่ที่สำนักพิมพ์ แล้วก็การร่วมมือร่วมใจของคนในวงการหนังสือ ไม่ว่าจะสมาคม ชมรมต่าง ๆ นักวิจารณ์ มากกว่า จะพูดในแง่ของวรรณกรรมเยาวชนอย่างเดียวแล้วกัน เพราะงานประเภทอื่นแทบจะไม่ได้เขียน
เดี๋ยวนี้หาสนามวรรณกรรมเยาวชนยากมาก กลายเป็นว่าแต่ก่อนส่งเรื่องไปไม่นานก็จะได้รับการตีพิมพ์ แต่เดี๋ยวนี้ มักจะถูกดอง ข้ามเป็นปี ๆ โดยได้รับเหตุผลว่า สำนักพิมพ์ยังไม่พร้อม ในแง่การตลาดคิดว่าขายยาก ขอให้รอไปก่อน บางเรื่องรอจนลืมกันไปเลย ก่อนจะตอบมาว่า ไม่พิมพ์แล้ว เดี๋ยวนี้เจอแบบนี้เยอะมาก กลายเป็นคนว่าคนเขียนวรรณกรรมเยาวชนไม่มีสนาม อยากได้รับการตีพิมพ์จะต้องส่งประกวด เป็นอย่างนี้จริง ๆ อย่างเรื่องที่ได้รับรางวัลแว่นแก้ว คิดว่าถ้าไม่ได้ส่งประกวด ส่งไปตามสำนักพิมพ์ธรรมดา รับรองเลย ป่านนี้ก็ยังไม่ได้รับการพิมพ์หรอก ซึ่งแตกต่างจากแต่ก่อน งานเขียนวรรณกรรมเยาวชนคนไทย ได้รับการสนับสนุนมากกว่านี้ สังเกตแต่ก่อนจะมีพิมพ์เยอะกว่านี้ มีงานของสำนักพิมพ์ต้นอ้อ มีของดอกหญ้า แต่เดี๋ยวนี้ งานวรรณกรรมเยาวชนไทยที่จะได้พิมพ์ต้องผ่านการประกวดอย่างรางวัลนายอินทร์อวอร์ด รางวัลแว่นแก้ว ไม่มีสนาม
แล้วงานประกวดแบบนี้ เป็นการประกวดเพื่อทำตลาดของสำนักพิมพ์ รางวัลนายอินทร์อวอร์ดมีทุกปี รางวัลแว่นแก้วมีทุกสองปี ตอนแรกก็ตื่นเต้นดีหรอก พอมีหนังสือได้รางวัลมาก็ซื้ออ่าน แต่ตอนนี้เลิกซื้ออ่านไปแล้ว คนอื่นไม่รู้นะ แต่ตัวเองรู้สึกแบบนี้ ไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่ รู้สึกมันการตลาดเกินไป โดยส่วนตัวอยากให้เป็นลักษณะมีรางวัลจากหน่วยงานกลางมากกว่า เลือกจากหนังสือวรรณกรรมเยาวชนทั้งหมดที่ตีพิมพ์ในปีนั้นๆ มาให้รางวัลดีกว่า หรือจะเป็นรางวัลที่ตัดสินโดยจากนักอ่านกันโดยตรงแบบต่างประเทศก็ยิ่งดี คิดว่าทำแบบนี้จะเป็นการสนับสนุนการสร้างนักเขียน และนักอ่านมากกว่า
วงการวิจารณ์บ้านเราด้วย แทบจะไม่มีใครสนใจ พูดถึง เขียนถึงวรรณกรรมเยาวชนไทย คนเขียนวรรณกรรมเยาวชนบ้านเรา เป็นเหมือนประชากรชั้นสอง งานวรรณกรรมเยาวชนในมุมมองของนักเขียนประเภทอื่น และนักวิจารณ์ รวมทั้งคนทั่ว ๆ ไปด้วย จะมองว่าเป็นงานที่ง่าย เขียนไม่ยาก เจอมากับตัวเองเลย คือบ้านเราจะมองว่าเรื่องเกี่ยวกับเด็กเป็นเรื่องง่ายไปหมด เจอหน้าเพื่อนฝูง เพื่อนจะถามไถ่ยังเขียนเรื่องเด็กอยู่หรือเปล่า พอตอบว่ายังเขียนอยู่ เพื่อน ๆ ก็จะพูดทักกันว่า "เฮ้ย ทำไมไม่เขียนเรื่องประเภทอื่นบ้าง นิยงนิยาย" ทำนองเขียนทำไมวะ เรื่องเด็กน่ะ พอเจอเพื่อนที่อยู่ในวงการหนังสือ พอเพื่อนรู้ว่ายังเขียนเรื่องเด็กอยู่ ก็พูดออกมาว่า "เออดีวะ เขียนเรื่องเด็กง่ายดี" หรือนักเขียนเรื่องสั้นบางคนก็จะพูดถึงคนเขียนวรรณกรรมเด็กว่า "เขียนไปเถอะ ไม่ต้องดีอะไรมากมาย เดี๋ยวพ่อแม่ก็ซื้อให้ลูก ๆ อ่านเอง"
ก็ถ้าบ้านเรา โดยเฉพาะคนในวงการหนังสือด้วยกันเอง ยังไม่เห็นคุณค่าของวรรณกรรมเยาวชน ไม่สนับสนุนกันเท่าไหร่ ก็ยากที่จะมีงานดี ๆ ในบ้านเรา

มีความเห็นอย่างไรกับเรื่องที่เยาวชนไทยอ่านหนังสือน้อย (เฉลี่ยวันละ 4 นาที)
เป็นเพราะขาดการสนับสนุนที่ดีมากกว่า ครอบครัวขาดการสนับสนุน พอดีมีลูกเล็ก ๆ อยู่ ยังแปลกใจที่ว่าเด็กไทยอ่านหนังสือน้อย เพราะเด็กเล็ก ๆ นี่จะชอบหนังสือมาก จะเปิดดูรูปภาพชอบให้พ่อแม่เล่าเรื่องให้ฟัง
แล้วก็ห้องสมุดของโรงเรียน แทบจะไม่มีวรรณกรรมเยาวชนเลย ไม่รู้เดี๋ยวนี้เป็นไงนะ แต่สมัยก่อนน่ะ แทบจะไม่มีเลย ก็ถ้าไม่มีหนังสือสนุก ๆ ใกล้ตัวให้เด็กได้สัมผัส แล้วเด็กจะชอบอ่านหนังสือได้ยังไง โดยส่วนตัวคิดว่าเด็กชอบอ่านหนังสือสนุก ๆ ที่เหมาะกับวัยเขา เคยเจอหลานเพื่อนคนหนึ่ง ลองให้เขาอ่านเรื่องลิฟต์มหัศจรรย์ของโรอัลด์ ดาลห์ เขาไม่อ่านท่าเดียว บอกว่า มีแต่ตัวหนังสือ ไม่หนุกแน่เลย เขาชอบอ่านการ์ตูนมากกว่า เราก็พยายามจะบอกเขาว่าสนุกนะ จนลงทุนนั่งอ่านให้เขาฟังเลย ปรากฏว่าเขาชอบมาก นั่งฟังตาแป๋ว กระตือรือร้นร้องขอให้เราอ่านให้ฟังอีก นี่แสดงว่าเขาไม่ได้รับการสนับสนุน
ภาครัฐก็ไม่ได้สนับสนุนอะไร หนังสือแพงมากด้วย น่าจะถูกกว่านี้ หนังสือแพง คนก็มีปัญญาหาซื้ออ่านได้น้อยลง ห้องสมุดประชาชนใกล้บ้านก็ไม่มี ไม่มีการรณรงค์ให้อ่านหนังสือ มีน้อยมาก แล้วจะสู้สื่ออื่นได้ยังไง ที่รณรงค์ให้คนไทยเล่นกีฬาได้ ก็น่าจะรณรงค์ให้อ่านหนังสือได้

มีความเห็นอย่างไรก็กระแสวรรณกรรมแปลที่ทะลักเข้ามา
ส่วนตัวคิดว่าเป็นเรื่องที่ดี เป็นทางเลือกสำหรับคนอ่าน แต่สำนักพิมพ์ต่าง ๆ น่าจะมีส่วนรับผิดชอบกับสังคมบ้าง ไม่ใช่วรรณกรรมแปลขายได้ แล้วทำแต่วรรณกรรมแปล ละเลยวรรณกรรมของคนไทย ถ้าจะไม่ดีก็ตรงนี้ เดี๋ยวนี้เวลาเดินร้านหนังสือ บางทีนึกถึงนักเขียนเก่า ๆ ที่เคยชื่นชอบ อยากหางานใหม่ ๆ ของนักเขียนเหล่านี้มาอ่าน ปรากฏว่าแทบจะหาหนังสือของนักเขียนเก่า ๆ ที่มีคุณภาพไม่ได้เลย หนังสือของคนไทย กลายเป็นหนังสือตามกระแสแฟชั่นไปเสียเกือบหมด

สมัยนี้เข้าร้านหนังสือแล้วเจอแต่วรรณกรรมแปล คนบางกลุ่มก็เกิดอาการ "นิยมของนอก" ไม่อ่านงานเขียนของคนไทย
ตัวเองก็เป็น จะเลือกอ่านวรรณกรรมแปลก่อนของคนไทย เพราะรู้สึกว่างานนอกหลากหลายกว่า ช่างคิด มีมุมมองแปลก ๆ แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่อ่านงานของคนไทยเลย อ่าน แต่อ่านแล้วรู้สึกว่ามันไม่มีอะไรใหม่ แล้วช่วงหลังยังมีงานดี ๆ ของคนไทยออกมาน้อยอีก ยิ่งไปกันใหญ่เลย จริง ๆ ต้องมีปริมาณที่สมดุลกัน ต้องสนับสนุนงานของคนไทยที่มีคุณภาพออกมาด้วย ไม่ใช่คิดแต่ทางการตลาดกันอย่างเดียว ทำแต่หนังสือตามกระแสแฟชั่นอย่างเดียวก็แย่ โดยส่วนตัวยังเชื่อว่า คนไทยก็อยากอ่านงานของคนไทย เพราะยังไงซะ การเสพงานพวกนี้ เสพสิ่งที่เป็นเรื่องราวใกล้ตัว จะเข้าใจความคิดความอ่านกันได้ดีกว่า

คิดว่าน่าจะแก้ปัญหายังไงคะ
สำนักพิมพ์มีส่วนช่วยมาก ไม่ใช่ทำงานแปลแล้วขายได้ ก็ทำแต่งานแปลอย่างเดียว น่าจะคืนกำไรให้แก่สังคมไทยโดยการพิมพ์งานคนไทยบ้าง

อะไรคืองานวรรณกรรมเยาวชนที่ดี
งานวรรณกรรมเยาวชนที่ดี ต้องเป็นงานที่สื่อสารกับเยาวชนได้ ให้มุมมอง ให้แง่คิดที่ดีแก่เด็ก โดยส่วนตัวคิดว่าต้องสนุกด้วย

การเขียนวรรณกรรมเยาวชนยากไหมคะ
ส่วนตัวคิดว่าไม่ยาก เพราะชอบ แล้วก็ถนัด คิดว่าถ้าไปถามคนเขียนนวนิยาย ว่าเขียนนิยายยากมั้ย พวกนั้นก็คงตอบว่าไม่ยาก แต่สำหรับตัวเองคิดว่าเขียนนิยายยาก ขณะเดียวกัน พวกเขียนนิยายบางคนมาลองเขียนวรรณกรรมเยาวชนก็บ่นว่ายาก ขึ้นอยู่กับความถนัดและความชอบมากกว่า

ผลงานชิ้นต่อไป?
ตอนนี้เขียนเรื่องเกี่ยวกับลูกอยู่ เรื่อง "การเดินทางบนโลกใบกลม ๆ ของน้องเต้น" ยังไม่รู้ว่าจะมีใครพิมพ์ให้มั้ย ส่วนผลงานชิ้นต่อไป มีงานแปลเรื่อง the pushcart war (สงครามรถเข็น) ส่งไปให้ที่มติชน คิดว่าคงจะพิมพ์ให้ เพราะทางมติชนบอกกำลังทำเรื่องติดต่อขอลิขสิทธิ์อยู่ แล้วตอนนี้มีโครงเรื่องที่คิดจะเขียนเป็นวรรณกรรมเยาวชนอีกสองเรื่อง

ชุลีพร กล่าวว่า...

ข้าพเจ้าชื่อนางสาววิบูลย์ลักษณ์ ผิดผาด ชื่อนี้ ข้าพเจ้าเคยสอบถามกับแม่ของข้าพเจ้าว่าใครเป็นคนตั้งชื่อนี้ให้แม่บอกว่าหมออิ๋มเป็นคนตั้งชื่อนี้ให้ เพราะหมอแกเปิดตำราแล้วบอกว่าความหมายดีแต่ความหมายว่าอะไรนั้นแม่บอกจำไม่ได้และ ณ ปัจจุบันนี้ข้าพเจ้าก็มิได้รู้ความหมายของชื่อตัวเองอยู่ดี ที่หมอตั้งชื่อให้นั้นอย่าเข้าใจผิดนะคะว่าข้าพเจ้าคลอดที่โรงพยาบาล ข้าพเจ้าคลอดอยู่ที่บ้านตัวเองนี่ละคะ และที่สำคัญข้าพเจ้าชอบชื่อนี้มากเลยค่ะเพราะรู้สึกว่าเท่าที่ผ่านมานั้นยังไม่มีใครที่ชื่อมาซ้ำกับข้าพเจ้าและอีกอย่างหนึ่งคือชื่อของข้าพเจ้านั้นยาวดีและก็เขียนยากด้วย ซึ่งคนส่วนมากเขียนชื่อข้าพเจ้าไม่ถูกถึงจะเป็นเพื่อนกันมานานแล้วก็ยังเขียนไม่ถูก พวกเขามักจะลืมใส่ ย์ นะคะ และเวลาที่ข้าพเจ้าคลอดนั้นตรงกับวันพฤหัสบดี ที่ 31 กรกฏาคม 2529 ปีขาล เวลาประมาณ ตี 5 น้ำหนักประมาณ 2,800 กรัม ข้าพเจ้าคลอดโดยใช้ขาออกไม่ได้เอาทางศีรษะออกมาเหมือนคนทั่วไปแต่แม่บอกว่าถึงข้าพเจ้าจะเอาขาออกมาก่อนข้าพเจ้าก็ไม่ได้คลอดยากนะคะ และเพราะสาเหตุนี้เองที่เวลาคนเขากินปลาแล้วก้างติดคอข้าพเจ้านี่แหละที่เขี่ยออกให้พวกเขา ข้าพเจ้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันได้ผลหรือเปล่าแต่ทุกครั้งที่เขากินปลาแล้วก้างติดคอก็มักจะมาให้ข้าพเจ้าเขี่ยออกให้( ก็คนเดิมนั่นแหละค่ะ)
ส่วนชื่อเล่นของข้าพเจ้าคือ เหมียว ชื่อนี้แม่เป็นคนตั้งให้ข้าพเจ้าเองเพราะแม่บอกว่าแม่เคยรู้จักกับเด็กผู้หญิงคนหนึ่งตอนที่แม่เป็นสาว เขาชื่อเหมียวนี่แหละเขาเป็นเด็กน่ารักมากค่ะทั้งหน้าตาและนิสัยใจคอและแม่ก็ชอบเด็กคนนี้มากและต่อมาพอแม่มีข้าพเจ้าก็เลยตั้งชื่อว่า เหมียว แต่ชื่อนี้ข้าพเจ้ารู้สึกว่าตัวเองไม่ชอบเอาซะเลย อย่างแรกคือข้าพเจ้าเกลียดแมว แล้วคนส่วนมากชอบเรียกข้าพเจ้าว่าแมวเหมียว ซึ่งข้าพเจ้าไม่ชอบมากเลยและอีกประการหนึ่งคือชื่อนี้ช้ำกับคนอื่นมากและมักทำให้ข้าพเจ้าหน้าแตกอยู่เรื่อยคิดแต่ว่าเพื่อนเรียกชื่อตัวเองแต่ที่ไหนได้เขาเรียกเหมียวไหนก็ไม่รู้
ปัจจุบันนี้ข้าพเจ้าอายุ 21 ปี และกำลังย่างเข้าสู่อายุ22 ปีอีกในไม่กี่วันข้างหน้านี้เองค่ะ และสัดส่วนของข้าพเจ้าคือ ส่วนสูงประมาณ 157 เซนติเมตร น้ำหนักอยู่ที่ 42 กิโลกรัม ( ส่วนหน้าอกและสะโพกไม่ได้วัดค่ะ) ซึ่งสัดส่วนที่ข้าพเจ้ามีความกลัดกลุ้มใจมากก็คือเรื่องของน้ำหนักนะค่ะ เพราะข้าพเจ้าอยากจะมีน้ำหนักอยู่ที่ อย่างน้อยก็48 กิโลกรัมและถ้าจะให้ดีก็ขอเป็นสักประมาณ 50 กิโลกรัมค่ะ และช่วงเวลาที่ผ่านมาข้าพเจ้าก็ได้ลองหาวิธีเพิ่มน้ำหนักมาหลายวิธีแล้วอาทิเช่น กินยาบำรุงเลือดจากหมอที่คลีนิคก็ขึ้นมาประมาณ 1-2 กิโลกรัม และเวลาผ่านไปน้ำหนักก็ยังคงเท่าเดิมโดยไม่มีการเพิ่มขึ้นอีก และอีกอย่างคือเริ่มที่จะเหม็นกลิ่นยาบำรุงเลือดแล้วก็เคยหยุดกินไป และต่อมาไม่นานนักพ่อกับแม่พาไปเข้าน้ำเกลือ2 ครั้งครั้งละ 1 กระปุก รู้สึกว่าไม่ได้ผลก็หยุดไปอีกเช่นกันและปัจจุบันนี้ก็ยังไม่ได้หาวิธีอื่นอีก
ภูมิลำเนาของข้าพเจ้าอยู่ที่บ้านเลขที่128 หมู่ที่4 บ้านโนนสะอาด ตำบลวังสามหมอ อำเภอวังสามหมอ จังหวัดอุดรธานี รหัสไปรษณีย์41280 สมาชิกครอบครัวของข้าพเจ้ามีทั้งหมด 5 คน ประกอบไปด้วย พ่อของข้าพเจ้า อายุได้ 43 ปี อาชีพ เกษตรและรับเหมาถมที่ดิน แม่ของข้าพเจ้า อายุได้ 41 ปี อาชีพ เกษตร และแม่บ้านค่ะ
และข้าพเจ้ามีพี่น้องทั้งหมด 3คน ซึ่งข้าพเจ้าเป็นลูกคนแรกและเป็นลูกผู้หญิงคนเดียว น้องอีก 2 คนเป็นน้องชายของข้าพเจ้าเอง ซึ่งน้องคนแรกนี้อายุ 19 ปีจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 แล้วออกมาขับรถบรรทุกที่บ้านเพราะที่บ้านไม่มีใครขับรถให้ ถ้าจ้างก็ไม่คุ้มค่าน้องชายก็เลยมาขับรถแทนพ่อซึ่งตอนนี้พ่อเป็นโรคปวดขาและหมอสั่งห้ามไม่ให้เพ่อขับรถหรือนั่งรถนานๆและน้องคนนี้พ่อฝึกหัดขับรถบรรทุกให้ตั้งแต่อายุ 9 ปี ซึ่งก็เป็นมาตั้งแต่อายุตอนนั้นเลยซึ่งครอบครัวที่บ้านทำการเกษตร ปลูกข้าวและปลูกอ้อยบางส่วนและก็รับเหมาถมที่ดินตามหมู่บ้านหรือคนมาจ้าง ส่วนน้องชายคนเล็กอายุ 15 ปี ขณะนี้กำลังศึกษาอยู่ในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่3
ส่วนข้าพเจ้าเองเรียนจบจากโรงเรียนอนุบาลชุมชนในหมู่บ้าน (ซึ่งปัจจุบันนี้ไม่มีแล้ว) และจบชั้นประถมศึกษาชั้นปีที่ 6 จากโรงเรียนสหราษฏร์วิทยานุสรณ์ และจบชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นที่โรงเรียนวังสามหมอวิทยาคาร และก็จบชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายที่โรงเรียนวังสามหมอวิทยาคารเช่นเดียวกัน
และในปัจจุบันนี้ข้าพเจ้ากำลังศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม คณะศึกษาศาสตร์ สาขาการศึกษาปฐมวัย ในระดับปริญญาตรี ชั้นปีที่4 ซึ่งก่อนที่จะเข้ามาศึกษาต่อคณะนี้และสาขานี้ข้าพเจ้ามิได้คิดไว้ก่อนเพราะในช่วงที่สอบ entrant ข้าพเจ้าอยากจะเรียนคณะพยาบาลศาสตร์เพราะข้าพเจ้าอยากจะเป็นนางพยาบาลแต่ข้าพเจ้าสอบไม่ติดทั้งที่ตอนแรกๆในตอนคะแนนรวมออกมาแล้วนั้นข้าพเจ้าเอามาเทียบกับปีที่แล้วซึ่งคะแนนของข้าพเจ้าก็สูงกว่าปีที่แล้วอยู่ประมาณ10กว่าคะแนนซึ่งข้าพเจ้าก็แอบดีใจว่าน่าจะได้แต่พอประกาศผลสอบออกมาข้าพเจ้า entrant ไม่ติดเพราะข้าพเจ้าลงคณะพยาบาลทั้งหมดเลยโดยที่ไม่ได้สนใจคณะอื่นและไม่ได้ลงคณะอื่นสำรองไว้ด้วย พ่อกับแม่ก็เลยบอกให้ข้าพเจ้าเรียนครูให้แก เรียนสาขาไหนก็ได้ที่เรียนจบแล้วได้เป็นครู ซึ่งตอนนั้นมีการประกาศรับสมัครนิสิต/นักศึกษาระบบพิเศษ ซึ่งเพื่อนของข้าพเจ้าโทรไปบอกข้าพเจ้าจึงเลือกคณะศึกษาศาสตร์ สาขาการศึกษาปฐมวัย โดยที่เพื่อนเป็นธุระให้ทั้งหมดเลยไม่ว่าจะเป็นการสมัคร ค่าใช้จ่าย เขาสำรองให้ก่อน แต่ข้าพเจ้าก็สอบได้ที่มหาวิทยาลัยราภัฏอุดรธานี คณะบัญชีอยู่นะคะและอีกอย่าง เพื่อนของข้าพเจ้าก็ไปเรียนที่นั่นกันเยอะเหมือนกันแต่แม่ของข้าพเจ้าไม่ให้ไปเรียนเพราะกลัวเรียนไม่จบแต่ให้มาเรียนที่สารคามแทนค่ะ ข้าพเจ้าก็เลยได้มาเรียนที่นี่
ในยามว่างข้าพเจ้าชอบทำกิจกรรมหลายอย่าง อย่างเช่น ฟังเพลง (เพลงลูกทุ่ง)และชอบเล่นอินเตอร์เน็ตอาทิเช่นสืบค้นหาภาพที่ขำๆดูคลายเครียด อ่านบทความเกี่ยวกับชีวิต และก็อ่านข่าวซุบซิบดาราบ้าง และอีกอย่างที่ข้าพเจ้าชอบมากก็คือชอบถักร้อยคือถักอะไรที่เล็กๆแล้วได้เร็วๆอาทิเช่นกระเป๋าหูรูดใส่เหรียญ ถักชุดตุ๊กตา เป็นต้น
และโทนสีที่ข้าพเจ้าชอบนั้นจะเป็นโทนสีที่ดูแล้วสบายตาไม่แจ๊ดมากเกินไป ส่วนมากแล้วก็จะชอบสีประมาณชมพูอ่อน สีขาว สีน้ำเงิน และสีเขียวเข้ม (มองดูแล้วเหมือนใบไม้แก่นะค่ะเย็นตาดี)
และอาหารจานโปรดก็คงจะหนีไม่พ้นส้มตำแล้วละค่ะ กินทุกมื้อก็ได้นะค่ะแต่ส้มตำก็ต้องอร่อยด้วยนะคะ ส้มตำส่วนมากที่กินก็ได้แก่ ตำลาว ตำซั่ว ตำป่า และตำไทยก็ประมาณนี้ละค่ะ
ส่วนเรื่องของกีฬานี้ข้าพเจ้าไม่ถนัดอะไรเลยสักอย่างค่ะ แต่ก็พอเล่นได้ อาทิเช่น กีฑา ในตอนที่เรียนอยู่ชั้นป.5 ข้าพเจ้าเคยเป็นตัว แทนของโรงเรียนไปแข่งขันระดับกลุ่ม ซึ่งโรงเรียนเข้าร่วมทั้งหมดนั้นมี 8 โรงเรียน แล้วข้าพเจ้าลงแข่งประเภทวิ่งผลัด 4x100เมตร ข้าพเจ้าเป็นคนผลัดที่2 แล้วได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ1 และในช่วงป.6 ข้าพเจ้าอยากจะเล่นวอลเล่ย์บอลก็เลยมาคัดนักกีฬากับเขาก็ได้เป็นตัวสำรองก็มีโอกาสได้ลงเล่น ซึ่งก็เป็นการ แข่งกีฬาระดับกลุ่มโรงเรียนเหมือนกันนี่แหละแล้วได้ลำดับที่ 3 ส่วนกีฬาอื่นก็ชอบเล่นและก็ไม่เก่งเหมือนกัน ก็คือ แบดมินตัน ส่วนกีฬาที่ชอบดูก็คือ บาสเกตบอล(ชายค่ะ)และก็บอลเลย์บอล(ชาย)เพราะส่วนมากกีฬาวอลเล่ย์บอลชายนั้นจะเอาแต่กระเทยลงแข่งซึ่งเป็นเกมที่น่าดูมากค่ะเพราะตบไปตบมา
และแนวหนังที่ข้าพเจ้าชอบดูก็ได้แก่ หนังแนวลี้ลับ แนวฆาตกรรม และก็ตลกเบาสมองแบบไม่มีสาระอะไรเลย


ชื่อนางสาววิบูลย์ลักษณ์ ผิดผาด เรียนกลุ่มที่ 4 วันพฤหัสบดี เวลา 13.00 น -15.00 น 4EC ระบบพิเศษ

ชุลีพร กล่าวว่า...

อัตชีวประวัติ
สวัสดีค่ะ อ.รังสรรค์ โฉมยา ดิฉันชื่อ น.ส.อารีย์ เจียมรัมย์ รหัสนิสิต 48010520516 ชั้นปีที่ 4 สาขาการศึกษาปฐมวัย (ระบบพิเศษ)ไม่ต้องสงสัยนะคะว่าทำไมต้องระบบพิเศษ เพราะเป็นคนชอบความพิเศษ กินก๋วยเตี๋ยวก็ต้องสั่งพิเศษ ซื้อของใช้ก็ต้องพิเศษ แล้วก็มันคงไม่แปลกที่หนูจะเรียนระบบพิเศษ ถูก ! หรือเปล่าคะ นี่แค่ออเดิร์บนะคะอาจารย์
ต่อจากนี้ไปจะเป็นประวัติของหนูพอสังเขป ที่สามารถจำได้ค่ะ
อันดับแรก อาจารย์มารู้จักชื่อหนูก่อนดีกว่า หนูคิดว่าอาจารย์ต้องอยากรู้ที่มาที่ไปของชื่อหนูแน่นอน เหตุเกิดขึ้นเพราะว่า วันที่หนูเกิดนั้นมีพยาบาลที่ทำคลอดชื่อว่า อารี และบังเอิญที่มันเป็นชื่อต้องตาต้องใจของคุณพ่อคุณแม่เข้าเพราะเมื่อทราบความหมายว่ามันคือหญิงผู้มีน้ำใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แก่เพื่อนมนุษย์ ส่วนนามสกุลก็เป็นอะไรที่บ่งบอกถึงภูมิลำเนาของหนูจริงๆ อาจารย์ลองทายดูสิคะว่าหนูเป็นคนจังหวัดอะไร ทายไม่ถูกล่ะสิ บอกให้ก็ได้ บุรีรัมย์ไงคะ ไม่เห็นจะยากเลย อ้อ! หนูลืมบอกไปว่าครอบครัวของหนูมีสมาชิก 4 คน มีคุณพ่อ คุณแม่ คุณน้อง และก็คุณหนู อุ๊ย! ไม่ใช่ ตัวหนูเองค่ะ หนูเป็นลูกคนโต เป็นความหวังของพ่อและแม่ เพราะท่านหวังว่าคงจะมีหนูที่เป็นลูกคนเดียวของบ้านเพราะหนูกับน้องอายุห่างกันตั้ง 10 กว่าปี พอหนูจะจำความได้ (แต่ที่จริงจำไม่ได้หรอกค่ะ พ่อกับแม่เล่าให้ฟังเลยทำเป็นจำได้ไปงั้น ๆ แหละ) มีความว่า ตอนหนูประมาณ 2-3 ขวบ พ่อกับแม่ไปดำนา แล้วขุดหลุมให้หนูอยู่ในหลุมเพราะหนูดื้อมาก ความลึกของหลุมประมาณหน้าอกของเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ เขียวๆ คนหนึ่งในตอนั้นแหละค่ะ ถ้าไม่ขุดหลุมให้อยู่เด็กคนนี้ก็จะไปนอนกลิ้งเกลือกในตมที่พ่อไถเพื่อทำนานั่นแหละค่ะ เพราะหนูเป็นลูกชาวนา อดีตก็เลยอยู่กับท้องไร่ท้องนาเสียส่วนใหญ่ หน้าตาเลยบ้านๆหน่อยนึง แต่วีรกรรมที่เป็นที่น่าจดจำจนทุกวันนี้คือ ตอนที่หนูอายุได้ 4 ขวบ มันเป็นอาการของการโกรธพ่อกับแม่ที่ไม่ควรเอาเยี่ยงอย่าง แต่ด้วยความที่เป็นเด็กในตอนนั้นจึงได้ทำไป สิ่งที่ทำก็คือ หนูใช้มีดอีโต้ไปฟันท้ายรถมอเตอร์ไซด์ และก็ยังเป็นรอยจารึกอยู่เท่าทุกวันนี้ และหนูก็ไม่เคยยอมรับหรอกค่ะว่าหนูเป็นคนทำ เพราะตอนนี้หนูออกจะเป็นคนเรียบร้อย ไม่มีวี่แววส่อถึงความดื้อ หรือว่ามึน เลยสักนิดเดียว พอหนูอายุได้ 7 ขวบหนูก็สามารถทำอะไรเองได้หลายอย่าง อาทิเช่น ปั่นจักรยานไปเรียนเองได้ตั้งแต่อยู่ ป.1 ทั้งๆที่ขาสั้นๆ เหี่ยนๆ ก็ยังปั่นจักรยานคันที่สูงๆไปเรียนได้ด้วยใจรัก และความเห่อไม่เข้าท่า แต่ก็ยังปันได้โดยที่ไม่ใช่ปัญหาเลยสักนิด และยังซักเสื้อผ้าเองด้วย แม่ชอบพูดอยู่เสมอว่าหนูเลี้ยงง่าย สอนนิดสอนหน่อยก็เป็นโดยที่ไม่ต้องพูดหลายๆครั้ง หนูเป็นที่รักของพ่อกับแม่มากเพราะหนูเป็นลูกคนเดียวของพ่อกับแม่ในตอนนั้น และไม่ค่อยทำให้พ่อกับแม่ลำบากใจ (แต่อันนี้หนูค่อนข้างไม่แน่ใจเท่าไหร่นะคะ) พอหนูขึ้น ป.4 ก็ได้ค้นพบสัจธรรมแห่งชีวิตว่า ความแน่นอนคือความไม่แน่นอน เพราะหนูไม่ใช่ลูกคนเดียวของพ่อกับแม่อีกต่อไปแล้ว แต่กำลังจะกลายเป็นพี่ กำลังจะมีน้อง และหนูก็ตื่นเต้นๆ มากๆที่จะได้มีน้องไว้เป็นเพื่อนเล่น และอีกอย่างช่วงนี้หนูกำลังหัดขับมอเตอร์ไซด์ใหม่ๆ หนูเป็นคนชอบขับรถ อาจารย์เชื่อไหมคะว่าหนูไม่ได้ให้ใครสอนขับรถ แต่หนูจะคอยสังเกตเวลาพ่อกับแม่ขับ และคอยฟังท่านเมื่อท่านบอกและแนะนำวิธีขับให้ ว่าต้องทำอย่างไรก่อนในอับดับแรก พอหนูรู้สึกมั่นใจหนูก็ขอพ่อกับแม่ขับรถเลย และอีกอย่างคือหนูไม่ได้รับอุบัติเหตุในการฝึกขับครั้งแรกเลย พอหัดขับรถแล้ว ก็เป็นการเลี้ยงน้องเพื่อช่วยแบ่งเบาภาระพ่อแม่ ยิ่งตอนนี้พ่อไปทำงาน กทม.หนูเลยต้องช่วยแม่ที่บ้าน การอยู่บ้าน 3 คนในตอนนั้นทำให้หนูเข้มแข็งขึ้นเยอะ และหัดเป็นผู้นำในเกือบทุกเรื่อง ยกเว้นเรื่องเดียวคือ เงิน (money) ซึ่งหน้าที่นี้ต้องยกให้คุณพ่อไปเลย หนูคิดว่าหนูเก่งมากเลยในตอนนั้นนะ ที่สามารถดูแลน้องได้ และช่วยแม่ทำงาน เช่นการซักผ้าอ้อมน้อง ตอนนั้นน่ะน้องตัวเล็กมาก นึกว่าจะไม่รอด ร้องไห้ก็เก่ง ร้องทั้งวันทั้งคืน ร้องจนน่ารำคาญ และหนูก็รำคาญเมื่อน้องร้องตอนดึกๆด้วย ผลคือหนูต้องทนจนกว่าน้องจะโต เฮ้อ! อนิจจา
พอหนูจบ ป.6 หนูก็เข้าไปเรียนที่ตัวอำเภอ ขับมอเตอร์ไซด์ไปเรียนเองด้วยนะ บ้านหนูห่างจากโรงเรียน 18 กม. แต่หนูก็ไม่เคยไปเรียนสายนะ และแล้วก็มาถึงการไปเรียนวันแรกในระดับมัธยมของหนู ก็ได้มีเหตุการณ์ที่น่าจดจำอีกครั้ง (again) วันนั้นหนูไปรับเพื่อนอีกคนหนึ่งที่บ้านห่างจากบ้านหนุประมาณ 5-6 กม.ได้ เพื่อนหนูขับรถไม่เป็นและทางเดียวกันไปด้วยกัน คนขับเลยเป็นหนู วินาทีนั้นหนุขับรถของหนูอยู่ดีๆ แล้วจู่จู่ ก็มีไอ้ด่าง 4 ขา (a dog) วิ่งเข้ามาใส่ล้อรถของหนู หนูเหยียบไปเต็มแรง (เหยียบหมานะคะ) ไม่ใช่เบรก แต่ยังโชคดีค่ะที่วันนั้นใส่ชุดพละ ถึงจะลงท่าไม่สวยแต่ก็ไม่น่าเกลียดเหมือนกระโปรง แต่สิ่งที่จำจนทุกวันนี้คือ หนูใส่รองเท้า PAN S1 และหนูมักจะมัดเชือกรองเท้าแบบหลวมๆ ตอนนั้นที่รถล้มรองเท้าได้หลุดออกและลอยขึ้นฟ้า และ........ตกลงมาที่........อาจารย์ลองทายสิคะว่าที่ไหนที่รองเท้าหล่น
....................ฟังเฉลยเลยดีกว่า
หล่นลงที่หัวสุนัขตัวนั้นแหละคะ อันที่จริงสุนัขไม่ได้โดนเหยียบ หนูเข้าใจผิด เพราะในตอนนั้นมันมึนๆอยู่ค่ะ ที่มันต้องล้มลงนอนราบกับพื้นเพราะรองเท้าคู่เก่ง PAN S1 ของหนูต่างหาก แต่ยังดีที่ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บสาหัส มีแคถลอกปอกเปิกแค่นั้นเองแต่ที่สุนัขตัวนั้นต้องนอนแน่นิ่งในเวลา 5 นาที เพราะมันซวยเองที่วิ่งไปทางที่รองเท้าหนูลอยไป เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า สวรรค์ไม่เคยเข้าข้างคนผิด วีรกรรมการขับรถชนสิ่งกีดขวางก็มักจะมีปีละครั้ง
จนกระทั่งมาถึงช่วง ม. ปลาย ที่ต้องเรียนหนักละเริ่มออกค่ายกับพี่ๆ ที่ มหาลัยต่างๆที่มาแนะแนว ตอนนั้นยังไม่รูว่าจะเรียนอะไรจนกระทั่ง ได้รู้จักกับรุ่นพี่ที่มาแนะแนว ในสาขาวิชา การศึกษาปฐมวัย ก็รู้สึกว่าชอบและได้เลือกเรียนในสาขาวิชานี้ พอมาสอบสัมภาษณ์ก็ยิ่งชอบมากยิ่งขึ้นเพราะได้รู้จัก และเข้าใจในสาขามากขึ้น จนตอนนี้หนูได้เป็นนิสิต มมส. อย่างภาคภูมิใจ ในคณะ และสาขาวิชาที่หนูปลื้มและประทับใจที่สุดและได้เรียนกับอาจารย์ ที่สอนเก่ง ทั้งอาจารย์ในสาขาวิชาเอก และสาขาวิชาอื่นๆ ที่สอนในหมวดวิชาศึกษาทั่วไป โดยเฉพาะได้มาเจออาจารย์นี่แหละ ที่สอนดี แล้วยังอารมณ์ดีอีก แถมยังมีศัพท์แปลกๆ มาให้ทราบเรื่อยๆ เช่น กระโปรงสมีเหอ เป็นต้น ยังไงน่ะ งง
แต่ยังไงก็อยากให้ทราบนะคะว่าหนูชอบที่อาจารย์เป็นคนอารมณ์ดี สอนสนุก ถึงจะลุกนั่งไม่ค่อยสบายก็ตาม (กลัวโดนจิก) เพราะโดยนิสัยส่วนตัวหนู เป็นคนรักสนุก ชอบเฮฮา และอยู่กับเพื่อนเยอะๆ และชอบอยู่คนเดียวบ้างในบางครั้งเพื่อมีเวลาคิดทบทวนสิ่งที่ทำไป และยังไม่ได้ทำ และจะมีความสุขมากๆที่ได้อยู่กับเพื่อนที่สนิทและมีความจริงใจต่อกัน การที่จะได้รับความจริงใจจากเพื่อนก็ต้องมีความจริงใจให้เพื่อนก่อนจริงไหมคะ เรื่องราวเกี่ยวกับประวัติที่จดจำได้ก็มีเพียงเท่านี้แหละค่ะ
สุดท้ายอยากบอกอาจารย์ว่า รักและเคารพเสมอค่ะ


น.ส. อารีย์ เจียมรัมย์ (นา)
48010520516 4EC (พิเศษ)