วันอังคารที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

0502403 การแนะแนวและการให้คำปรึกษาในโรงเรียน กลุ่ม 3 (ดร.รังสรรค์ โฉมยา)

ให้นิสิตค้นคว้าเกี่ยวกับอาชีพ ที่ถือว่าเป็นอาชีพที่แปลก หายาก หรือไม่ค่อยมีในแถบจังหวัดมหาสารคาม เช่น อาชีพ ชิปปิ้ง (Shipping) พร้อมกับอธิบายลักษณะของอาชีพ การทำงาน ลักษณะบุคคลที่เหมาะสมกับอาชีพ ความเชี่ยวชาญ พร้อมกับยกตัวอย่างบุคคลที่ประกอบอาชีพดังกล่าว (หากมีตัวอย่าง) ส่งภายใน 25 กุมภาพันธ์ 2552

38 ความคิดเห็น:

piyatida กล่าวว่า...
ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ
นางสาวจุฬารัตน์ แจ้งเขว้า กล่าวว่า...

นางสาวจุฬารัตน์ แจ้งเขว้า 48010510189 4GS กลุ่มเรียนที่ 3

ชื่ออาชีพ สมุห์บัญชี Accountants, General
รหัสอาชีพ
1-10.10 (TSCO) 2411 (ISCO)
นิยามอาชีพ
ผู้ปฏิบัติงานอาชีพนี้ ได้แก่ ผู้ให้บริการทางการบัญชีแก่สถานประกอบกิจการธุรกิจบุคคล สถาบันเอกชนหรือหน่วยงานรัฐบาล รวมถึงการควบคุมดูแลการทำบัญชี และการตรวจสอบบัญชี การตรวจสอบ การรับรองความถูกต้อง และความครบถ้วนในการทำบัญชี และเอกสารทางการเงิน รายงานสถานการณ์การเงินต่อ เจ้าของกิจการ
ลักษณะของงานที่ทำ
ทำงานเกี่ยวกับการบัญชี และวางระบบงานทางบัญชี ในสถานประกอบกิจการ สถาบันเอกชน และหน่วยงานของรัฐบาล เก็บรวบรวมเรื่อง การเข้าเรื่อง และการทำบัญชี ตรวจสอบหลักฐานเกี่ยวกับการเงิน เช่น การฉ้อโกง ที่อาจเกิดขึ้นได้ การจ่ายค่าธรรมเนียมในการชำระความ การเลิกกิจการ และการล้มละลาย วิเคราะห์บันทึกต้นทุน ค่าวัตถุดิบ ค่าแรงงาน ค่าเสื่อมราคา ค่าสึกหรอของทรัพย์สิน และค่าโสหุ้ย เพื่อให้ทราบถึงต้นทุนของสินค้า และบริการ
ทำหรือตรวจสอบเงินได้พึงประเมิน เพื่อยื่นต่อเจ้าพนักงานประเมิน และส่งให้เจ้าหน้าที่ ผู้ประเมินภาษี จัดทำ และรับรองเอกสารทางการเงินเสนอต่อเจ้าหน้าที่ธุรการ คณะผู้อำนวยการ ผู้ถือหุ้น หรือสาธารณชน ตามที่กฎหมายได้กำหนดไว้ ให้คำแนะนำในเรื่องที่เกี่ยวกับการเงิน การบริหารงานบัญชี และการวางระบบงานบัญชี ช่วยวางนโยบาย และวิธีดำเนินการทางด้านงบประมาณ
ตรวจบัญชี และบันทึกทางการเงินต่างๆ ที่บันทึกไว้ในสมุดบัญชี เช่น บัญชีประจำวัน หรือบัญชีรายวัน เพื่อให้เชื่อแน่ว่าการบันทึกจำนวนเงิน และรายการต่างๆ ลงในสมุดบัญชีเป็นไปโดยถูกต้อง
อาจทำหน้าที่เป็นผู้ชำระบัญชีในกรณีที่เลิกล้มกิจการ หรือเป็นผู้แทน ผู้ตัดสิน หรือผู้ชี้ขาดในเรื่องที่ต้องการเจรจา หรือการตัดสินเกี่ยวกับการบัญชี อาจควบคุมผู้ปฏิบัติงานประจำอื่นๆ อาจเชี่ยวชาญในงานบัญชีสาขาใดสาขาหนึ่งโดยเฉพาะ เช่น บัญชีต้นทุน บัญชีภาษี หรือการวางระบบงานบัญชี และอาจมีชื่อเรียกตามความเชี่ยวชาญนั้นๆ ตรวจสอบความถูกต้องของการโอนรายการต่างๆ จากบัญชีรายวันไปลงบัญชีแยกประเภท นับเงินสดและตรวจสอบยอดเงินในธนาคาร หรือหลักทรัพย์ที่ซื้อขาย ตรวจดูเช็คเงินสด เพื่อสอบยอดเงิน ลายเซ็น การขีดฆ่า และวันที่สั่งจ่ายเข้าบัญชีเงินสด
สอบรายการในบัญชีรายวัน และบัญชีแยกประเภทกับใบเสร็จจ่ายเงินสด ใบเสร็จซื้อของและ ใบเสร็จแสดงค่าใช้จ่าย ตรวจสอบรายการสิ่งของ ตรวจสอบความถูกต้องของยอดเงิน
อาจทำเอกสารทางการเงินให้แก่ลูกค้า เช่น เอกสารแสดงกำไร และขาดทุน และงบดุล หรือรายงานแสดงรายการต่างๆ โดยละเอียด เช่น ต้นทุน สินทรัพย์ หนี้สิน ปริมาณการขายกำไรสุทธิ และค่าเสื่อม
สภาพการจ้างงาน
ผู้ที่ทำงานในหน่วยงานภาครัฐ หรือภาคเอกชนจะได้รับเงินเดือนตามวุฒิการศึกษาและ ประสบการณ์ในการทำงาน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของบริษัท หรือองค์กรที่จ้างงานสมุห์บัญชี เนื่องจากผู้ที่จะประกอบอาชีพนี้ จะต้องมีประสบการณ์ในงานบัญชีมาบ้างจึงจะทำงานในตำแหน่งสมุห์บัญชีได้ดี ดังนั้นค่าตอบแทนจึงไม่มีข้อกำหนดที่แน่นอนตายตัวค่าจ้างที่ได้รับโดยเฉลี่ยมี ดังนี้

วุฒิการศึกษา เงินเดือน
ราชการ เอกชน
ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง 5,600 9,500-12,000
ปริญญาตรี 7,500 12,000-18,000

นอกจากค่าตอบแทนเป็นเงินเดือนแล้ว ในภาครัฐวิสาหกิจ และภาคเอกชนอาจได้รับค่าตอบแทนในรูปแบบอื่น เช่น ค่ารักษาพยาบาล เงินสะสม เงินช่วยเหลือสวัสดิการในรูปต่างๆ เงินโบนัส ค่าล่วงเวลาเป็นต้น
ผู้ปฏิบัติงานอาชีพนี้ โดยปกติทำงานวันละ 8 ชั่วโมง หรือสัปดาห์ละ 40-48 ชั่วโมง และอาจต้องทำงานล่วงเวลา เมื่อมีความจำเป็นเร่งด่วน
สภาพการทำงาน
สมุห์บัญชีทำงานในสถานที่ทำงานที่มีสภาพการทำงานเป็นสำนักงานที่มีอุปกรณ์ และ สิ่งอำนวยความสะดวก เช่น สำนักงานทั่วไปในการทำงานจะต้องใช้เครื่องคิดเลข หรืออาจจะมีเครื่องคอมพิวเตอร์ เพื่อใช้ช่วยงานบันทึกรายการ และการทำบัญชีในรูปต่างๆ
คุณสมบัติของผู้ประกอบอาชีพ
ประกอบอาชีพนี้ต้องมีคุณสมบัติดังนี้
- มีคุณวุฒิไม่ต่ำกว่าอนุปริญญาหรือประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) ทางการบัญชี หรือเทียบเท่า หรือมีคุณวุฒิปริญญาตรีทางการบัญชี บริหารธุรกิจ หรือเทียบเท่า จากสถาบันการศึกษาซึ่งทบวงมหาวิทยาลัยรับรอง
- มีความซื่อสัตย์ในหน้าที่ เนื่องจากทำงานเกี่ยวกับการเงิน
- มีความรับผิดชอบต่อวิชาชีพ ในการนำเสนอข้อมูลทางบัญชีที่เชื่อถือได้ ถูกต้อง รวดเร็ว และมีประโยชน์อย่างแท้จริงในการตัดสินใจ
- มีความรอบคอบ วิจารณญาณ เพื่อพิจารณาหาหลักปฏิบัติที่เหมาะสม และส่งผลกระทบในด้านลบให้น้อยที่สุดแก่หน่วยงาน หรือองค์กรที่เกี่ยวข้อง
- รับผิดชอบในการพัฒนาตนเอง และให้ความร่วมมือในการพัฒนาวิชาชีพ และสังคม
- รับผิดชอบในการวิเคราะห์จัดหาระบบวิธีการ และรูปแบบบัญชีที่ดี เหมาะสม และเอื้ออำนวยให้เกิดประสิทธิภาพในการใช้ทรัพยากรอย่างเกิดประโยชน์สูงสุด
- สามารถใช้คอมพิวเตอร์มีประสบการณ์ในด้านโปรแกรมเกี่ยวกับการทำบัญชี มีความรู้ภาษาอังกฤษตามสมควร มีความรู้ระบบภาษีของไทย
ตามประกาศกรมทะเบียนการค้า ซึ่งกำหนดคุณสมบัติ และเงื่อนไขของการเป็นผู้ทำบัญชี พ.ศ. 2543 ไว้ดังนี้ ตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายบัญชี สมุห์บัญชี หัวหน้าแผนกบัญชี หรือ ผู้ดำรงตำแหน่งที่เรียกชื่ออย่างอื่นซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบเช่นเดียวกับผู้ดำรงตำแหน่งดังกล่าว กรณีที่เป็นพนักงานของผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชีจะจัดอยู่ในกลุ่มผู้ทำบัญชี
ผู้ทำบัญชีต้องมีคุณวุฒิดังต่อไปนี้
1. ผู้ทำบัญชีของห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน และบริษัทจำกัด ที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยซึ่ง ณ. วันเปิดบัญชีในรอบปีบัญชีที่ผ่านมามีทุนจดทะเบียนไม่เกิน 5,000,000 บาท มีสินทรัพย์รวมไม่เกิน 30,000,000 บาท และมีรายได้รวมไม่เกิน 30,000,000 บาท ต้องมีคุณวุฒิไม่ต่ำกว่าอนุปริญญา หรือประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) ทางการ-บัญชีหรือเทียบเท่าจากสถาบันการศึกษา ซึ่งทบวงมหาวิทยาลัย หรือคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) หรือกระทรวงศึกษาธิการเทียบว่าไม่ต่ำกว่าอนุปริญญา หรือประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) ทางการบัญชี
2. ผู้ทำบัญชีของผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชีดังต่อไปนี้
- ห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน และบริษัทจำกัดที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยซึ่ง ณ. วันเปิดบัญชีในรอบปีบัญชีที่ผ่านมามีทุนจดทะเบียน หรือสินทรัพย์รวม หรือรายได้รวมรายการใดรายการหนึ่ง เกินกว่าที่กำหนดไว้ใน ข้อ 1
- บริษัทมหาชนจำกัดที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย
- นิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายต่างประเทศที่ประกอบธุรกิจในประเทศไทย
- กิจการร่วมค้าตามประมวลรัษฎากร
- ผู้ประกอบกิจการธนาคาร เงินทุนหลักทรัพย์ เครดิตฟองซิเอร์ ประกันชีวิต ประกันวินาศภัย
- ผู้ประกอบธุรกิจซึ่งได้รับการส่งเสริมการลงทุนตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน ต้องมีคุณวุฒิไม่ต่ำกว่าปริญญาตรี ทางการบัญชี หรือเทียบเท่าจากสถาบันการศึกษา ซึ่งทบวงมหาวิทยาลัย หรือคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) หรือกระทรวงศึกษาธิการเทียบว่าไม่ต่ำกว่าปริญญาตรีทางการบัญชี และผู้ทำบัญชีต้องเข้ารับการอบรมความรู้เกี่ยวกับวิชาชีพบัญชี อย่างน้อยหนึ่งครั้งในทุกรอบ 3 ปี จากสถาบันวิชาชีพบัญชี หรือสถาบันการศึกษา หรือหน่วยงานที่อธิบดีกรมทะเบียนการค้าให้ความเห็นชอบ ทั้งนี้ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และระยะเวลาที่อธิบดีฯประกาศกำหนด ตามประกาศกำหนดคุณสมบัติและเงื่อนไขของการเป็นผู้ทำบัญชี
หลักเกณฑ์ ดังกล่าวข้างต้นเป็นข้อกำหนดของกรมทะเบียนการค้าที่ครอบคลุมเฉพาะบริษัทหรือนิติบุคคล ไม่รวมถึงผู้ทำบัญชีของภาคราชการหรือรัฐวิสาหกิจ
ผู้ที่จะประกอบอาชีพนี้ควรเตรียมความพร้อมคือ
ต้องเป็นผู้ที่สำเร็จการศึกษา ระดับมัธยมศึกษา ปีที่6 สาขาวิทยาศาสตร์ หรือประกาศนียบัตรวิชาชีพจากสถานศึกษาที่กระทรวงศึกษาธิการรับรอง วิทยฐานะสอบคัดเลือกเข้าศึกษาต่อระดับอุดมศึกษาในคณะพาณิชย์ศาสตร์ และการบัญชี หรือ คณะบริหารธุรกิจ สาขาวิชาบัญชี สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล สถาบันราชภัฎฯ หรือสถานศึกษาสังกัดทบวงมหาวิทยาลัย หลักสูตรการศึกษา 4 ปี สำเร็จการศึกษาประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) ศึกษาต่อ ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) หลักสูตร 2 ปี ประเภทวิชาการบัญชี วิชาการบริหารธุรกิจ สาขาวิชาบัญชี ในสถานศึกษาสังกัดกรมอาชีวศึกษา สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล หรือสถาบันราชภัฎฯ หรือเข้าศึกษาต่อระดับปริญญาตรี หลักสูตร 2ปี ในสถาบันเทคโนโลยีราชมงคล หรือสถาบันการศึกษาที่เปิดสอนระดับปริญญาตรี และรับโอนหน่วยกิตของผู้สำเร็จการศึกษาระดับ ปวส. เข้าศึกษาต่อในระดับปริญญาตรี
โอกาสในการมีงานทำ
ผู้ที่มีความสามารถในการเป็นสมุห์บัญชี สามารถประกอบอาชีพในหน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ สถานประกอบกิจการ สถาบันเอกชน หรือธุรกิจส่วนตัว เนื่องจากการดำเนินธุรกิจเกือบทุกด้านจำเป็นที่จะต้องมีนักบัญชี และสมุห์บัญชีไว้เพื่อทำงานด้านบัญชี ปัจจุบันการดำเนินธุรกิจได้เจริญก้าวหน้า และขยายตัวออกไปอย่างกว้างขวาง ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่าอาชีพสมุห์บัญชียังคงเป็นที่ต้องการของตลาดแรงงานทั้งในหน่วยงานของรัฐบาล เอกชน หรือธุรกิจส่วนตัว
โอกาสความก้าวหน้าในอาชีพ
ผู้ประกอบอาชีพสมุห์บัญชี สามารถที่จะประกอบอาชีพในสถานที่ต่างๆ ได้หลายแห่งทั้งที่เป็นหน่วยงานของราชการ รัฐวิสาหกิจ บริษัท ห้างร้านต่างๆ และได้รับการเลื่อนขั้น ตำแหน่งไปได้จนถึงตำแหน่งหัวหน้าและหากมีวุฒิการศึกษา และมีความสามารถในการบริหารงานจะสามารถเลื่อนขั้นได้จนถึงระดับบริหารในหน่วยงานนั้น
นอกจากนี้ยังสามารถที่จะรับงานบัญชีไปทำที่บ้านได้ และเมื่อทำงานจนมีความพร้อม และคุณสมบัติตามที่คณะกรรมการควบคุมการประกอบวิชาชีพสอบบัญชี (ก.บช.) กำหนดไว้ก็มีสิทธิที่จะสอบเป็นผู้สอบบัญชีรับอนุญาตได้ ผู้ที่สำเร็จการศึกษาด้านบัญชีที่ต้องการความก้าวหน้าควรต้องหาประสบการณ์การทำงานให้มาก เพื่อประโยชน์ต่อการประกอบอาชีพ รวมทั้งควรสนใจเข้าฝึกอบรมในสาขาอาชีพให้มากขึ้น
โดยปกติพนักงานบัญชีจะต้องมีประสบการณ์ 4 - 5 ปีจึงได้เลื่อนตำแหน่งเป็นสมุห์บัญชี จากนั้นจะได้เลื่อนขั้นเป็นผู้ช่วยผู้จัดการ และผู้จัดการ สำหรับผู้จัดการที่มีความสามารถ อาจจะได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นผู้บริหารระดับสูงต่อไปซึ่งการเลื่อนขั้น และตำแหน่งจะอยู่ที่ความสามารถ และประสบการณ์ในการทำงาน
อาชีพที่เกี่ยวเนื่อง
นอกจากจะทำงานในด้านบัญชีโดยตรงแล้วยังอาจจะไปทำงานอื่นๆ ที่สอดคล้องกับวิชาชีพที่เรียนมา เช่น ทำงานในหน้าที่ที่เกี่ยวกับงบประมาณ การเงิน งานธนาคาร บริษัทประกันภัย ประกอบอาชีพอิสระ โดยเป็นผู้สอบบัญชีรับอนุญาต หรือเป็นอาจารย์สอนบัญชีในวิทยาลัย และมหาวิทยาลัยต่างๆ เป็นต้น

Sutida Srijarus กล่าวว่า...

นางสาวสุธิดา ศรีจรัส
48010510138 GS

อาชีพที่แปลกที่บ้านของข้าพเจ้าไม่มีอาชีพนี้คือ อาชีพ : นักกีฏวิทยา ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
นิยามอาชีพ
ศึกษาค้นคว้าและวิจัยเกี่ยวกับแมลง การเจริญเติบโต โครงสร้าง กระบวนการและระบบต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการดำรงชีวิตของแมลง และความสัมพันธ์ระหว่างแมลงกับชีวิตพืชและชีวิตสัตว์ และช่วยควบคุม แก้ไขปัญหา และป้องกันกำจัดแมลงศัตรูทางการเกษตร เช่น แมลงศัตรู ธัญพืช พืชไร่ นา พืชสวน ไม้ยืนต้น ป่าไม้ แมลงทำลายผลผลิตในโรงเก็บ และแมลงพาหะนำโรคมาสู่พืช : ดำเนินการศึกษาวิจัยเพื่อพัฒนาเทคนิคใหม่ๆ ในการควบคุมหรือกำจัดแมลงในพื้นที่ที่ได้รับความเสีย หายและป้องกันการแพร่ระบาดของแมลงที่เป็นอันตรายในพื้นที่ทำการเกษตร โดยใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมและสอดคล้องกับสภาพแวดล้อม พัฒนาและปรับปรุงสารฆ่าแมลง วิธีการเพาะปลูกและวิธีการทางด้านชีวภาพของแมลง ศึกษาและวิจัยอิทธิพลของปัจจัยต่างๆ ในสภาพแวดล้อมและสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ที่มีผลต่อการเจริญเติบโตและการแพร่ระบาดของแมลงเพื่อเป็นแนวทางในการป้องกันกำจัดศัตรูพืช และให้ความรู้ความเข้าใจในหลักการจัดการศัตรูพืช ศึกษาเกี่ยวกับทฤษฎีและหลักการในการระบุและให้ชื่อแมลง วิวัฒนาการ การจัดหมวดหมู่ การวางรูปแบบ การวิเคราะห์ชนิดและการวินิจฉัยลำดับอนุกรมของแมลง รวมทั้งศึกษาวิวัฒนาการของรูปร่าง ลักษณะและกายวิภาคของแมลง ตลอดจนศึกษาวิจัยเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตต่างๆ ที่เป็นศัตรูธรรมชาติของแมลงและวัชพืช และเชื้อจุลินทรีย์ที่ทำให้เกิดโรคกับแมลง วิธีการใช้สิ่งมีชีวิตต่างๆ และเชื้อจุลินทรีย์ในการควบคุมแมลงศัตรูพืช
ลักษณะของงานที่ทำ
แมลงเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีจำนวนและชนิดมากที่สุดในโลก ถึงประมาณ 30 ล้านชนิด ความสำคัญของแมลงคืออยู่ในห่วงโซ่อาหารของโลก มีความสำคัญต่อระบบนิเวศวิทยา เป็นสัตว์ที่ทำให้โลกสมดุล ผู้ประกอบอาชีพนี้ จึงได้มีการศึกษา วิเคราะห์ วิจัย ค้นคว้าเรื่องประโยชน์ของแมลงมากขึ้น ดังนั้น ผู้ประกอบอาชีพนี้มีหน้าที่สำคัญๆ ดังนี้คือ
1. ศึกษาเกี่ยวกับทฤษฎีและหลักการในการระบุและให้ชื่อแมลง แหล่งที่อยู่อาศัย วงจรชีวิตของแมลงแล้วจัดทำระบบฐานข้อมูลหมวดหมู่ การวางรูปแบบ การวิเคราะห์ชนิดและการวินิจฉัยลำดับอนุกรมวิธานแมลง เพื่อสนับสนุนกลุ่มงาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
2. ศึกษาและวิจัยอิทธิพลของปัจจัยต่างๆ ในสภาพแวดล้อมต่างๆ ที่มีผลต่อวงจรชีวิต การเจริญเติบโต และตลอดจนการแพร่ระบาดของแมลง เพื่อเป็นแนวทางในการป้องกันกำจัดศัตรูพืช
3. ศึกษาวิจัยเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตต่างๆ ที่เป็นศัตรูธรรมชาติของแมลง วัชพืช และเชื้อจุลินทรีย์ที่ทำให้เกิดโรคกับแมลง วิธีการใช้สิ่งมีชีวิตต่างๆ และเชื้อจุลินทรีย์ในการควบคุมแมลงศัตรูพืช หรือใช้ศัตรูทางธรรมชาติในการกำจัดแมลงศัตรูพืช
4. พัฒนา ตรวจวิเคราะห์ วินิจฉัย และทดสอบ ปรับปรุงสารป้องกันกำจัดแมลง แก้ไขสารพิษตกค้างในพืชผักผลไม้ และหาแนวทางปฏิบัติที่ปลอดภัยเพื่อให้ได้ผลผลิตที่มี คุณภาพ ปลอดภัยแก่ผู้บริโภค และไม่ทำลายระบบนิเวศวิทยา 5. ติดตามตรวจสอบข้อมูลการระบาดของแมลงในพื้นที่ ทั้งในประเทศ และประเทศที่เป็นคู่ค้าพืชผลการเกษตร เมื่อเกิดการระบาดของแมลง
6. วิเคราะห์ความเสี่ยงศัตรูพืชกักกันจากผลิตผลการเกษตร ที่นำเข้าจากต่างประเทศ ให้ได้ตามมาตรฐานสุขอนามัยพืชนานาชาติ
7. ให้คำแนะนำปรึกษา พัฒนามาตรการใหม่ๆ โดยใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม ในการป้องกันความเสียหายของพืช ผลไม้ ไม้ดอกส่งออก จากแมลงต่างๆ แก่เกษตรกร เช่น นักวิชาการ กรมวิชาการเกษตรได้วิจัยวิธีการกำจัดแมลงวันทอง ในผลไม้ก่อนส่งออก ด้วยการอบไอน้ำ ณ อุณหภูมิที่เหมาะสม ซึ่งมีหลายประเทศที่ยอมรับมาตรการนี้ เป็นต้น
8. เผยแพร่ และให้คำปรึกษาในการกำจัดศัตรูพืช การใช้และการลดสารเคมี ผสมผสานกับภูมิปัญญาและเทคโนโลยีชาวบ้านอย่างถูกวิธี แก่เกษตรกร
9. ให้ความรู้แก่ประชาชนทั่วไปเกี่ยวกับข้อมูลต่างๆ ของแมลง รวมถึงเรื่องกฎหมายห้ามจับและป้องกันการลักลอบจับแมลงอนุรักษ์ และแมลงที่สวยงามหายาก ในเขตอนุรักษ์ เช่น แมลงอนุรักษ์ตามสนธิสัญญาไซเตส (CITES) ซึ่งมีถิ่นที่อยู่อาศัยในประเทศไทย 13 ชนิด คือ ด้วงกว่างดาว ด้วงคีมยีราฟ ด้วงดินขอบทองแดง ด้วงดินปีกแผ่น ผีเสื้อกลางคืนค้างคาว ผีเสื้อกลางคืนหางยาว ผีเสื้อไกเซอร์ ผีเสื้อถุงทอง ผีเสื้อนางพญา ผีเสื้อภูฐาน ผีเสื้อรักแร้ขาว ผีเสื้อหางดาบน้ำตาลไหม้ ผีเสื้อหางติ่งสะพายเขียว
สภาพการจ้างงาน
ผู้ประกอบอาชีพนี้ ในภาคราชการ จะได้รับค่าตอบแทนเป็นเงินเดือนตามวุฒิการศึกษา และสวัสดิการต่างๆ ตามระเบียบเงินเดือนของคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน
ภาคราชการ ภาคเอกชน
วุฒิการศึกษาปริญญาตรี 7,260 8,000 – 12,000 บาท
วุฒิการศึกษาปริญญาโท 8,870 15,000 – 20,000 บาท
สำหรับในภาคเอกชนที่อยู่ในหน่วยของการตลาด การขาย และส่งเสริมการขาย ผู้ประกอบอาชีพนี้อาจได้ค่าตอบแทนเป็นเปอร์เซ็นต์จาก ยอดการขายผลิตภัณฑ์สารเคมีที่ใช้ในการเกษตรต่างๆ ที่นอกเหนือจากเงินเดือน ซึ่งขึ้นอยู่กับข้อตกลงกับผู้ประกอบการหรือผู้ว่าจ้า ง ผู้มียานพาหนะเป็นของตนเองจะได้รับการพิจารณาเป็นพิเ ศษ และสามารถเบิกค่าน้ำมันรถตามการใช้จริง หรือเหมาจ่าย
สภาพการทำงาน
ผู้ประกอบอาชีพนี้ ปฏิบัติงานทั้งในสำนักงาน ห้องปฏิบัติการ และการออกพื้นที่ ในเขตที่ตนเองรับผิดชอบ อาจต้องทำงานอยู่ในห้องปฏิบัติการเป็นเวลาหลายเดือน เพื่อทดลองกรรมวิธีในการกำจัดแมลงต่างๆ จนกว่าจะมั่นใจว่าผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรนั้นปลอดจากแมลง หรือสารเคมีที่จะใช้นั้นปลอดภัยต่อสุขภาพของเกษตรกรและผู้บริโภค ขณะปฏิบัติงานอาจต้องใส่เครื่องแบบปฏิบัติงาน และหรือถุงมือ
สำหรับผู้ประกอบอาชีพนี้ที่รับราชการต้องไปทำงานที่ด่านกักกันพืช บริเวณท่าอากาศยาน เพื่อตรวจหาแมลงก่อนส่งผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรออกและหรือนำเข้าจากต่างประเทศ และต้องประสานงานกับกระทรวงต่างๆ รวมทั้งหน่วยงานต่างประเทศที่เกี่ยวข้อง
คุณสมบัติของผู้ประกอบอาชีพ
1. เพศหญิง หรือเพศชาย จบการศึกษาปริญญาตรีวิทยาศาสตร์บัณฑิต หรือวุฒิการศึกษาปริญญาโท ภาควิชากีฏวิทยา
2. มีความมุ่งมั่นตั้งใจทำงาน และสนใจในอาชีพ
3. มีระเบียบวินัย สามารถปฏิบัติงานได้ตามลำพัง ในการออกพื้นที่ทั้งในประเทศและต่างประเทศ
4. มีมนุษยสัมพันธ์ สามารถประสานงานและร่วมงานกับบุคคลที่เกี่ยวข้อง
5. เป็นคนขวนขวายศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม ทั้งในด้านวิชาชีพและความรู้ทั่วไป
6. มีความรู้ด้านภาษาอังกฤษอย่างดี ทั้งพูดและเขียน
7. สามารถใช้โปรแกรมต่างๆ ทางคอมพิวเตอร์ ในการทำงานได้เป็นอย่างดี
8. มีจริยธรรม และจรรยาบรรณในการประกอบอาชีพ
ผู้ที่สนใจในอาชีพนี้ ควรเตรียมความพร้อมดังนี้
ผู้ที่จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย สายวิทยาศาสตร์ หรือเทียบเท่า ควรสอบคัดเลือกเข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาที่เปิดการสอนด้านวิทยาศาสตร์ทางแมลง เช่น คณะเกษตรศาสตร์ ภาควิชากีฏวิทยา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ หรือมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และมหาวิทยาลัยขอนแก่น เป็นต้น นอกจากนี้ควรมีความสนใจในเรื่องแมลง รักธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
โอกาสในการมีงานทำ
องค์การการค้าโลก (World Trade Organization) ได้กำหนดบังคับใช้มาตรการสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช (Agreement of the Application of Sanitary and Phytosanitary Measures, SPS Agreement) กับประเทศสมาชิก เพื่อป้องกันมิให้เกิดการใช้มาตรการกีดกัน อีกทั้งประเทศคู่ค้าสินค้าเกษตรที่สำคัญ เช่น สหรัฐฯ ญี่ปุ่น เกาหลี ฯลฯ ต่างก็มีมาตรฐานผลิตภัณฑ์สินค้าเกษตรที่ให้ความสำคัญ กับสุขอนามัยและคุณภาพชีวิตของผู้บริโภค ดังนั้นไทยในฐานะผู้ส่งออกสินค้าเกษตรรายใหญ่ของโลก จึงควรที่จะต้องดูแลงานทางด้านกีฏวิทยา ซึ่งเป็นงานหลักที่มีความสำคัญต่ออนาคตการส่งออกพืชผล ผัก ผลไม้ ไม้ตัดดอก และเมล็ดธัญพืช
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จึงมีนโยบายและใช้มาตรการต่างๆ เพื่อลดการใช้สารเคมีในกำจัดแมลงและศัตรูพืช โดยสนับสนุนส่งเสริมการทำการเกษตรแบบยั่งยืนที่ปลอดภัยจากสารพิษ โดยเผยแพร่ถ่ายทอดความรู้สู่ชุมชนเกษตรกร และประชาชนทุกระดับทั่วประเทศ ในเรื่องการกำจัดศัตรูพืชแบบผสมผสาน ซึ่งนักกีฏวิทยา เป็นผู้หนึ่งที่จะต้องปฏิบัติงานในด้านนี้ เพื่อหาวิธีลดการใช้สารเคมีให้น้อยที่สุด ตลอดจนค้นคว้ากรรมวิธีการผลิตพืชผักปลอดสารพิษ และการตรวจสอบสารพิษตกค้าง ในผลผลิตให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล หรือไม่เกินค่าความปลอดภัยตามเกณฑ์ขององค์การอนามัยโ ลก และเกษตรกรแห่งสหประชาชาติ ดังนั้น จึงนับว่าเป็นโอกาสอันดีสำหรับผู้สนใจประกอบอาชีพนี้ ต่อไปในอนาคต
โอกาสความก้าวหน้าในอาชีพ
ผู้ประกอบอาชีพนี้ ทั้งในภาครัฐและเอกชน ควรศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับข้อกฎหมายและสนธ ิสัญญาระหว่างประเทศต่างๆ เรื่องการค้าผลิตผลทางการเกษตร ซึ่งช่วยเพิ่มโอกาสในการปรับเลื่อนตำแหน่งถึงขั้นสูง สุดขององค์กรหรือสถานประกอบกิจการได้ สำหรับภาคราชการการปรับเลื่อนตำแหน่งจะขึ้นอยู่กับการพิจารณาความสามารถและผลงานทางด้านวิชาการ
อาชีพที่เกี่ยวเนื่อง
นักวิชาการ อาจารย์ วิทยากร มัคคุเทศก์ท่องเที่ยวทางการเกษตร มัคคุเทศก์นำดูแมลงและผีเสื้อในป่า ผู้ประกอบกิจการขายสารเคมีป้องกันศัตรูพืช เจ้าหน้าที่ผู้แนะนำสินค้าอุปกรณ์และผลิตภัณฑ์ทางการ เกษตร ผู้เชี่ยวชาญทางด้านแมลงที่ให้คำปรึกษาแนะนำกับบริษัทเคมีภัณฑ์ทางการเกษตร หรือบริษัทผู้ส่งออกพืชผลทางการเกษตร เกษตรกรไบโอหรือการทำเกษตรแบบชีวภาพ ผู้จัดนำเสนอความรู้ทางด้านเกษตรทางสถานีวิทยุโทรทัศ น์ ผู้เชี่ยวชาญในการให้คำปรึกษาทางด้านคลินิกพืชทางวิทยุ หรือสื่อสิ่งพิมพ์ ธุรกิจฟาร์มเพาะผีเสื้อและแมลง ผู้เขียนหนังสือเกี่ยวกับแมลง และผีเสื้อ เป็นต้น
แหล่งข้อมูลอื่นๆ
กองกีฏวิทยาและสัตววิทยา กรมวิชาการเกษตร, พิพิธภัณฑ์แมลง กองกีฏวิทยาและสัตววิทยา
กรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ www.doa.go.th (http://www.doa.go.th/), www.moac.go.th (http://www.moac.go.th/)
ข้อมูลศูนย์วิจัยและพัฒนากีฏวิทยาอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
คณะเกษตรศาสตร์ ภาควิชากีฏวิทยา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ http://aggie.kps.ku.ac.th/ento
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ www.cmu.ac.th (http://www.cmu.ac.th/)
มหาวิทยาลัยขอนแก่น www.kku.ac.th (http://www.kku.ac.th/)
นิตยสาร หนังสือพิมพ์จัดหางาน และเว็บไซต์จัดหางาน

นิดหนึ่ง กล่าวว่า...

น.ส.นิตยา คำสิงห์ 48010510193 (GS)
อาชีพMonkey Man

อาชีพแปลกๆที่จะมาแนะนำในวันนี้รับรองไม่มีในแถบบ้านเราเพราะเกิดที่ประเทศอินเดีย ผู้คนที่นั้นเรียกว่า Monkey Man มีหน้าที่ในการควบคุมและข่มขู่ฝูงลิงไม่ให้ทะเลาะกันหรือทำร้ายนักท่องเที่ยว Monkey Man จะแต่งตัวเหมือนลิง
คุณสนมบัติ ไม่จำกัดวุฒิการศึกษา เพศชาย รูปร่างสูงใหญ่
รายได้วันละ 7 เหรียญ สนใจไหมค่ะ มีคลิปการทำงานให้ดูด้วยที่ http://seedang.com/stories/35030

กัลยา สมน้อย กล่าวว่า...

นางสาวกัลยา สมน้อย รหัส 48010510002 4GS กลุ่มเรียนที่ 3
ได้เสนออาชีพเกี่ยวกับวิศวกรรมปิโตรเลียม ดังนี้
... วิศวกรรมปิโตรเลียม …
วิศวกรปิโตรเลียม คือ วิศวกรผู้ทำงานเกี่ยวกับ การเจาะและการผลิต น้ำมันหรือก๊าชธรรมชาติขึ้นมาจากแหล่งกักเก็บใต้ผิวดิน ลักษณะงานมีทั้งภาคออกแบบ ศึกษา วางแผน และภาคสนาม ได้แก่
หมวดธรณีวิทยา เรียนทางด้านธรณีวิทยาทั่วไป และธรณีวิทยาของแหล่งปิโตรเลียม เพื่อจะได้เข้าใจถึงโครงสร้าง และลักษณะของแหล่งกักเก็บปิโตรเลียมประเภทต่าง ๆ
หมวดเจาะหลุม เรียนการออกแบบหลุมปิโตรเลียม วิธีการเจาะ การป้องกันการพลุ่งของปิโตรเลียม การลงอุปกรณ์ที่ใช้ในหลุม และการวิเคราะห์ข้อมูลที่เก็บบันทึกระหว่างหรือหลังการเจาะ
หมวดการผลิต เรียนอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ใช้ในการผลิต การกระตุ้นการผลิต การผลิตโดยแรงดันธรรมชาติ การช่วยการผลิตเมื่อแรงดันลดลง การคำนวณการไหลของปิโตรเลียมในท่อผลิตและท่อส่ง
หมวดแหล่งกักเก็บ เรียนรู้ลักษณะและคุณสมบัติต่าง ๆ ของปิโตรเลียมและแหล่งกักเก็บ การไหลของปิโตรเลียมเข้าสู่หลุม การคำนวณปริมาณสำรอง การลดลงของอัตราการผลิต การผลิตขั้นทุติยภูมิโดยการอัดน้ำแทนที่
วิศวกรปิโตรเลียมกับนักปิโตรเคมี
ก่อนอื่น ต้องทำความเข้าใจก่อนว่าอุตสาหกรรมปิโตรเลียมเป็นอุตสาหกรรมต่อเนื่อง แบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ upstream กับ downstream สำหรับ upstream นั้น เริ่มตั้งแต่ การสำรวจ การขุดเจาะ และการผลิตปิโตรเลียม ในการสำรวจนั้นจะใช้นักธรณีฟิสิกส์เป็นหลัก ในการเจาะและผลิตปิโตรเลียมนั้นจะใช้วิศวกรปิโตรเลียม เมื่อน้ำมันหรือก๊าซถูกขนส่งมาถึงโรงกลั่นแล้ว ช่วงนี้จะเรียกว่า downstream วิศวกรเคมีจะทำหน้าที่กลั่นปิโตรเลียมออกเป็นองค์ประกอบต่างๆ จากนั้น นักปิโตรเคมีจะนำส่วนประกอบที่ได้จากการกลั่นไปผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น เม็ดพลาสติก และ PVC เป็นต้น


หลักสูตรของวิศวกรรมปิโตรเลียมกับปิโตรเคมีต่างกันอย่างไร
วิศวกรรมปิโตรเลียมจะเน้นหนักไปทาง คณิตศาสตร์และฟิสิกส์ เรียนเคมีน้อยมาก ที่เรียนก็ออกไปทาง physical chemistry เสียส่วนใหญ่ ส่วนทางด้านปิโตรเคมี จะมีเรียนด้านเคมีและเคมีอินทรีย์ เสียส่วนใหญ่
จบไปแล้วจะมีงานทำไหม
ที่ผ่านมา 2-3 ปี นิสิตที่จบไปมีงานทำมากกว่า 95% ซึ่งตลาดงานช่วงนี้ยังดีอยู่มาก ยังมีความต้องการวิศวกรปิโตรเลียมอยู่อีก เนื่องจากมีการพัฒนาแหล่งปิโตรเลียมขึ้นมาเรื่อย ๆ อีกทั้งบริษัทน้ำมันหลาย ๆ แห่ง รับคนไทยทดแทนตำแหน่งชาวต่างชาติมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ปริมาณงานจะค่อนข้างขึ้นอยู่กับราคาน้ำมัน ถ้าน้ำมันราคาตก ก็จะหางานยากกว่าปกติ
เอ! แล้วเงินเดือนเท่าไร
ที่ผ่านมาอยู่ในระดับ 25,000 - 35,000 บาท สำหรับ base salary ถ้าออก field ก็มีเงินพิเศษให้อีก หลายคนบริษัทจองตัวล่วงหน้าถึง 4 เดือนก่อนจบ แถมให้ sign-up bonus อีกนับแสนบาท บางคนได้ทำงานกับบริษัทต่างชาติ ซึ่งส่งไปทำงานต่างประเทศ เงินเดือนก็เกือบ ๆ 2 แสนบาท

จบวิศวกรรมปิโตรเลียมแล้วไปทำอย่างอื่นได้หรือไม่
ต้องขอตอบว่า ค่อนข้างยาก เพราะวิศวกรรมปิโตรเลียมเป็นอะไรที่เฉพาะเจาะจง จะนำสิ่งที่เรียนมาไปประยุกต์ใช้กับสาขาอื่นได้ค่อนข้างน้อย
ถ้าไม่จบวิศวกรรมปิโตรเลียมจะทำงานในอุตสาหกรรมปิโตรเลียมได้หรือไม่
ตอบว่าได้ แต่จะไม่ได้ดูแลการเจาะ การผลิตปิโตรเลียมโดยตรง อาจมีหน้าที่ในการดูแลงาน operations บางอย่าง หรือการใช้เครื่องมือบางชนิดที่เกี่ยวข้องกับการเจาะและผลิตปิโตรเลียม ผู้ที่อยู่ใกล้ชิดกับอุตสาหกรรมปิโตรเลียมก็มีนักธรณีวิทยา นักธรณีฟิสิกส์ วิศวกรเครื่องกล วิศวกรเคมี วิศวกรไฟฟ้า และวิศวกรสิ่งแวดล้อม
ผู้หญิงทำงานด้านนี้ได้หรือไม่
ผู้หญิงก็สามารถทำงานใน field นี้ได้เหมือนกัน ไม่มีปัญหา งานบางอย่างผู้หญิงทำได้ดีกว่าผู้ชายเสียอีก อย่างไรก็ตาม จำนวนวิศวกรปิโตรเลียมที่เป็นผู้หญิงมีจำนวนค่อนข้างน้อย


เมื่อเรียนจบแล้ว ต้องทำงานอยู่บนแท่นเจาะหรือแท่นผลิต เสมอไปหรือไม่
ส่วนใหญ่วิศวกรปิโตรเลียมจะไม่ได้ทำงานที่แท่นเจาะหรือแท่นผลิตตลอดเวลา งานส่วนมากจะอยู่ภาคพื้นดินที่บริษัท จะออก site งานบ้างเป็นครั้งคราว มีบางส่วนที่จะต้องออก offshore เป็นประจำ เวลาเดินทางไปแท่น ก็จะไปได้ 2 วิธี คือ นั่งเรือ หรือ นั่งฮอลิคอปเตอร์
จบแล้วทำงานที่ไหนได้บ้าง
(1) ราชการ หรือ หน่วยงานในกำกับของรัฐ ได้แก่ กองเชื้อเพลิง กรมทรัพยากรธรณี , กรมพลังงานทหาร, อาจารย์มหาวิทยาลัย
(2) บริษัทน้ำมัน ได้แก่ ปตท. สำรวจและผลิต, Thai Shell, Unocal, Chevron
(3) บริษัทเกี่ยวเนื่องกับอุตสาหกรรมน้ำมัน บริษัทจำพวก service companies ได้แก่ Schlumberger, Halliburton, Baker Hugh, BJ Service, Scientific Drilling และอื่น ๆ

จบวิศวกรรมปิโตรเลียมแล้วไปทำอย่างอื่นได้หรือไม่
ต้องขอตอบว่า ค่อนข้างยาก เพราะวิศวกรรมปิโตรเลียมเป็นอะไรที่เฉพาะเจาะจง จะนำสิ่งที่เรียนมาไปประยุกต์ใช้กับสาขาอื่นได้ค่อนข้างน้อย






จบแล้วค่ะเกี่ยวกับอาชีพ วิศวกรรมปิโตรเลียม

tiwaporn srichola กล่าวว่า...

ทิวาพร ศรีโชละ
48010510932

อาชีพที่กำลังได้รับความนิยมในญี่ปุ่น เรียกง่ายๆ ว่า 'บริการแยกคู่' หรือ 'กำจัดคู่' โฆษณาของธุรกิจประเภทนี้มักใช้ข้อความทำนองว่า " สามีกำลังทำผิดต่อคุณใช่ไหม ภรรยาคุณมีชู้ใช่ไหม คุณอยากทิ้งคู่รักใช่รึเปล่า บริษัทของเราจะช่วยจัดการปัญหาให้อย่างเงียบๆ โดยคุณไม่จำเป็นต้องออกหน้า " การจัดการปัญหาอย่างสุขุมรอบคอบเป็นสิ่งที่ชาวญี่ปุ่นให้ความสำคัญเมื่อเกิดความขัดแย้ง การหย่าร้างเป็นเรื่องยาก และน่าอาย คู่สามีภรรยาส่วนใหญ่ลังเลที่จะฟ้องหย่า ส่วนการทะเลาะเสียงดัง และการร้องห่มร้องไห้ก็ไม่ใช่อุปนิสัยของชาวญี่ปุ่น เมื่อเป็นเช่นนั้น ทางเลือกอีกทาง คือจ้างให้คนอื่นทำแทน มาซารุ นาคามูระ เจ้าของบริษัทกำจัดคู่ เจอาร์ไอ ในโตเกียวเผยว่า มีคนจำนวนมากไม่เต็มใจจะเผชิญหน้ากับปัญหาด้วยตนเอง และต้องการให้คนอื่นแก้ปัญหาให้ เมื่อได้รับการว่าจ้าง เขามักหาหลักฐานด้วยการดักฟัง วิธีง่ายๆ คือวางโทรศัพท์มือถือทิ้งไว้ในห้อง และปล่อยให้มันบันทึกเสียงสนทนาของเป้าหมาย บริษัทกำจัดคู่ส่วนใหญ่เป็นบริษัทนักสืบเอกชนที่แตกไลน์มาทำงานด้านนี้ "โดยปกติแล้วงานจะจบลง เมื่อเราสามารถรวบรวมหลักฐานพิสูจน์ว่าสามีของลูกค้ามีชู้ แต่ปัจจุบัน ลูกค้าต้องการมากกว่านั้น พวกเขาอยากให้เราช่วยตัดความสัมพันธ์ให้ด้วย" นาซูยะ โยชิ วัย 23 ปี แห่งบริษัท เจอาร์ไอ กล่าว บริษัทเช่นนี้ผุดตัวขึ้นมากมายในญี่ปุ่น พบได้ง่ายในอินเทอร์เน็ต และสมุดโทรศัพท์หน้าเหลือง
แต่ค่าธรรมเนียมใช้บริการค่อนข้างแพง เริ่มที่ชั่วโมงละ 100 ดอลลาร์ สำหรับงานสืบค้นเบื้องต้น แต่หากต้องการบริการช่วย 'ทำให้แตกหัก' อาจเสียค่าใช้จ่ายราว 5,000-20,000 ดอลลาร์ และหากเป็นกรณีที่ยุ่งยากมากๆ ค่าจ้างอาจสูงถึง 100,000 ดอลลาร์แต่ละงานอาจใช้เวลาราว 3 เดือน บริษัทเหล่านี้ต้องมีการวางแผนงาน ซึ่งบางครั้งอาจสลับซับซ้อน เช่น ใช้วิธีสร้างข่าวลือในละแวกบ้าน เพื่อให้สามีลูกค้ายอมปรับปรุงพฤติกรรม หรือให้บริการจัดฉากกับสามีที่อยากทิ้งภรรยาจ้าง ด้วยการวางแผนให้ภรรยาลูกค้า บังเอิญพบชายหนุ่มหน้าตาดี มีเสน่ห์ ซึ่งแน่นอนที่หลังจากเธอตกหลุมรักเขา และถูกสามีฟ้องหย่าแล้ว ชายหน้าตาดีผู้นั้นจะหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ขณะภรรยาที่โดนสามีนอกใจคนหนึ่ง เล่าว่า เธอต้องการยุติความสัมพันธ์กับสามี แต่รู้ว่าเขาจะปฏิเสธ เธอจึงจ่ายเงินให้บริษัทแห่งหนึ่งส่งสาวสวยอย่าง ทาคาโกะ ไปยั่วยวนสามีเธอ "มันง่ายมากหากเป้าหมายเป็นผู้ชาย พวกเขาแทบไม่เคยปฏิเสธ พูดได้ว่า ฉันประสบความสำเร็จถึง 85-90% แต่ผู้หญิงจะช่างสงสัยมากกว่า" ทาคาโกะเล่าถึงงานของเธอ ทาคาโกะเคยเป็นนางแบบและนักแสดงมาก่อน คุณสมบัติของเธอเหมาะกับงานด้านนี้มาก เธอสมัครเข้าทำงานกับบริษัท เลดี้ ซีเครต เซอร์วิส และได้รับมอบหมายงานแรกให้เกลี้ยกล่อมสามีลูกค้าให้ยอมแยกทางกับภรรยา "เรากลายเป็นชู้รักกัน จากนั้น ฉันก็หักอกเขา มันราบรื่นมาก" ทาคาโกะ กล่าว สองปีถัดมา ทาคาโกะยังทำงานลักษณะนี้ให้ลูกค้าอีกหลายสิบราย "ฉันรู้สึกดีที่ลูกค้าได้รับในสิ่งที่พวกเขาต้องการ มันเป็นความพอใจของฉัน และอาชีพนี้ทำเงินดีมาก

nAdOizE กล่าวว่า...

อาชีพนี้เป็นอาชีพที่แปลกที่สุดแห่งปี 2549 อาชีพหนึ่ง ซึ่งนักศึกษาสาวในสหรัฐอเมริกาก็พบวิธีการหาเงินรูปแบบใหม่ ด้วยการประกาศขายไข่จากรังไข่ผ่านทางอินเทอร์เน็ต โดยนักศึกษาที่มีคุณสมบัติสุขภาพดี แข็งแรง อายุต่ำกว่า 29 ปี และมีผลการเรียนดีเท่านั้นจึงจะได้รับการคัดเลือก ซึ่งในการขายแต่ละครั้งสาวๆ จะได้รับเงินราว 4 แสนบาททีเดียว อาชีพนี้ถือเป็นอาชีพที่มีความเสี่ยงมากสำหรับสุขภาพของผู้หญิง ซึ่งเมื่อแรกกับเงินที่ได้ไม่รู้ว่าจะคุ้มกันรึป่าว แต่ก็ถือได้ว่าเป็นอาชีพที่แปลกและน่าทึ่งมาก

piyatida กล่าวว่า...

นางสาวปิยธิดา ปราณีบุตร
48010510954
4EN



อาชีพพาณิชย์นาวี

สภาพการทำงานและสภาพแวดล้อมในการประกอบอาชีพชาวเรือ จัดเป็นอาชีพพิเศษเฉพาะอีกอาชีพหนึ่งซึ่งเมื่อสำเร็จการศึกษาแล้วส่วนใหญ่ก็จะประกอบอาชีพในกิจการที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจเรือเช่นประกอบอาชีพใน
เรือสินค้า เรือประมง บริษัทเรือรัฐวิสาหกิจหรือส่วนราชการที่เกี่ยวกับกิจการทางเรือ ฯลฯ
นักเรียนเดินเรือพาณิชย์เมื่อจบการศึกษาชั้นสูงสุด ส่วนใหญ่จะทำงานบริษัทเอกชน แต่มีบางส่วนที่เข้ารับราชการในหน่วยงานราชการซึ่งตรงกับสายงานที่เรียน เช่น กรมการขนส่งทางน้ำและพาณิชย์นาวี กรมประมง กรมศุลกากร การท่าเรือแห่งประเทศไทย ฯลฯ การเข้ารับราชการจะใช้ประกาศนียบัตรและคุณสมบัติที่จบจากศูนย์ฝึกพาณิชย์นาวี
รายได้ของคนประจำเรือ เมื่อเทียบกับคนทำงานบกที่มีความรู้ในระดับเดียวกัน จะมีรายได้สูงกว่าอย่างน้อย 2 - 3 เท่า สวัสดิการก็ดีกว่า ทั้งนี้เพื่อชดเชยกับสภาวะการทำงานที่ต้องออกจากบ้านเป็นเวลานานและทนต่อการตรากตรำในทะเลข้อเสียในขณะทำงานก็คือ มนุษย์เป็นสัตว์บกและสัตว์สังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งสังคมไทยมีความผูกพันกับครอบครัวมาก การเดินทางบ่อย ๆ และเวลาในการเดินทางแต่ละครั้งเป็นเวลานานวัน ย่อมทำให้เกิดความว้าเหว่ได้ง่าย อันตรายย่อมมีบ้าง ซึ่งเกิดจากภัยธรรมชาติและความประมาทเลินเล่อในขณะปฏิบัติงาน แต่การปฏิบัติงานในเรือนั้น มีอุปกรณ์เพื่อช่วยให้เกิดความปลอดภัยมากมาย เพื่อป้องกันผู้ปฏิบัติงาน สำหรับปัญหาเรื่องภัยธรรมชาติ ภายในเรือจะมีอุปกรณ์ช่วยชีวิตครบถ้วนตามข้อบังคับสากล ฉะนั้นอาชีพชาวเรือจึงเน้นหนักทางด้านความปลอดภัยเป็นหลักการประกอบอาชีพชาวเรือนั้น อาศัยประกาศนียบัตร ความรู้ความสามารถ และความชำนาญเป็นสำคัญ โอกาสที่จะก้าวหน้าจึงขึ้นอยู่กับความสามารถ และความชำนาญของแต่ละคนเป็นสำคัญ อาชีพชาวเรือและสถานที่ประกอบอาชีพ ส่วนใหญ่จะอยู่ห่างไกลจากสายตาของคนทั่วไป ดังนั้นคนส่วนมากจึงไม่ค่อยจะมีความรู้ความเข้าใจลักษณะการทำงานของชาวเรือ เมื่อไม่รู้ก็มักจะมีความ
วิตกกังวลเป็นธรรมดา โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับมนุษย์ซึ่งเป็นสัตว์บก ยากที่จะเข้าใจจนกว่าจะได้สัมผัสด้วยตนเอง สิ่งที่ควรนำมาพิจารณาก่อนตัดสินใจคือ
๑. การเมาคลื่น ถือเป็นเรื่องปกติสำหรับบางคนที่ลงเรือครั้งแรกๆ แต่ก็มีทางหายหรือคุ้นเคยได้ถ้ามีความอดทนเพียงพอและมีกำลังใจในการต่อสู้เพื่อความเป็นชาวเรือ
๒. ภัยอันตราย การคมนาคมทางน้ำจะมีความปลอดภัยค่อนข้างสูงเมื่อเปรียบเทียบกับการคมนาคมทางอื่น อันตรายแทบจะไม่เกิดขึ้นเลย ถ้าไม่ประมาท ทั้งนี้เพราะเรือในปัจจุบันมีขนาดใหญ่ มีเทคโนโลยีก้าวหน้าจึงทำให้มีความปลอดภัยสูง นอกจากนี้องค์การทางทะเลระหว่างประเทศได้
กำหนดมาตรการต่าง ๆ มาควบคุมดูแลด้านความปลอดภัยภายใต้อนุสัญญาต่าง ๆ หลายฉบับ รวมถึง
มาตรฐานการฝึกอบรมชาวเรือด้วย ซึ่งทั่วโลกจะใช้เป็นมาตรฐานเดียวกัน จึงทำให้มีความเชื่อมั่นได้ใน
ด้านความปลอดภัย
๓. ความรู้สึกว้าเหว่ เป็นความรู้สึกที่มีอิทธิพลค่อนข้างสูงสำหรับสังคมไทยซึ่งจะมีความผูกพัน
กับครอบครัวมาก แต่เมื่อพิจารณาถึงรายได้ที่สูงกว่าอาชีพบนบกในแต่ละระดับเดียวกันประมาณ
๒-๓ เท่า และการที่มีโอกาสไปเยือนดินแดนของประเทศต่าง ๆ ตามเส้นทางที่เรือแวะเข้าจอดเทียบท่า
ทำให้ได้เห็นโลกกว้างอันสวยงาม จึงเป็นอาชีพที่ท้าทาย การเริ่มต้นทำงานตั้งแต่อายุยังน้อยและไม่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือยจนเกินไป ก็จะมีเงินเหลือเฟือเพียงพอที่จะตั้งตัวได้ในระยะเวลาอันสั้นหลังจากนั้นอาจเปลี่ยนไปประกอบอาชีพอื่นที่ชอบหรือมีความต้องการได้
ในความเป็นจริงแล้ว บนเรือสินค้าขนาดใหญ่ นอกจากนายประจำเรือและนายช่างกลเรือแล้ว ยังมีบุคลากรอีกมากมายอีกหลายประเภทที่มีส่วนสำคัญในการทำหน้าที่ส่งเสริมสนับสนุนให้เรือสินค้าแล่นไปยังจุดหมายปลายทางได้อย่างสะดวกและปลอดภัย เช่น เจ้าหน้าที่สื่อสารบนเรือ บุคลากรฝ่ายธุรการ ลูกเรือฝ่ายต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายปากเรือ ฝ่ายห้องเครื่อง ฝ่ายจัดเลี้ยง เป็นต้น
ในปี พ.ศ.๒๕๑๒ มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรคนหนึ่ง คือ นายพานิชย์ สัมภวคุปต์ ได้เล็งเห็นความสำคัญของการพาณิชย์นาวีจึงได้เสนอร่างกฎหมายในเรือที่มิได้ทำการค้าในน่านน้ำไทย (เรือเดินต่างประเทศ) ต้องมีคนไทยประจำเรืออย่างน้อย ๗๕% ซึ่งเท่ากับจำนวนคนในเรือประเภททำการค้าในน่านน้ำไทย แต่ร่างกฎหมายฉบับนี้ต้องตกไปเพราะไทยเรายังมีนักเดินเรือไม่เพียงพอนั่นเอง อย่างไรก็ดี คณะรัฐมนตรีในรัฐบาลสมัยนั้นก็มีมติให้กระทรวงคมนาคมและกระทรวงกลาโหมเร่งผลิตคนประจำเรือชั้นนายเรือขึ้นใช้งานในเรือไทยต่อไปเนื่องจากประเทศไทยตั้งติดกับทะเล มีขอบฝั่งทะเลรวมกันยาว ๑,๕๐๐ ไมล์ทะเลเศษ และภายในประเทศมีแม่น้ำลำคลองเป็นจำนวนมาก ซึ่งมีความยาวรวมทั้งสิ้นประมาณ ๑,๖๐๐ กิโลเมตร ดังนั้น การลำเลียงขนส่งโดยยานพาหนะทางน้ำทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศ จึงมีมาแต่โบราณกาล ในสมัยปัจจุบัน แม้ว่าการลำเลียงขนส่งโดยยานพาหนะทางบกและทางอากาศมีความเจริญก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็วก็ตาม แต่การลำเลียงขนส่งทางน้ำ ก็ยังมีความจำเป็นและเป็นปัจจัยสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศ เพราะการขนส่งโดยยานพาหนะทางน้ำเสียค่าใช้จ่ายน้อยที่สุด แต่ขนได้เป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะการขนส่งทางทะเลระหว่างประเทศมีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจและความเป็นอยู่ของประชาชนโดยทั่วไปเป็นอย่างมาก ดังนั้น รัฐจึงได้มีนโยบายแน่วแน่ที่จะพัฒนาสนับสนุนและส่งเสริมการพาณิชย์นาวีให้เจริญก้าวหน้า ปลอดภัย สะดวกรวดเร็ว และเป็นที่นิยมเชื่อถือของประทศต่าง ๆที่มีความสัมพันธ์ติดต่อค้าขายกับประเทศไทย ศูนย์ฝึกพาณิชย์นาวี จึงก่อตัวขึ้นตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อ ๒๕ เมษายน ๒๕๑๕ และปรับปรุงตัวเองเจริญก้าวหน้ามาจนถึงปัจจุบัน
ตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๙(พ.ศ.๒๕๔๕ - ๒๕๔๙) และเป็นนโยบายของรัฐบาลชุดปัจจุบัน เมื่อวันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๔ ได้เน้นในการส่งเสริมพัฒนากิจการพาณิชย์นาวีให้เป็นระบบอย่างแท้จริง เพื่อสนับสนุนการส่งออกของประเทศโดยส่งเสริมการพัฒนากองเรือไทยและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องให้เข้มแข็งฉะนั้นจึงเป็นที่เชื่อได้อย่างแน่นอนว่า ความต้องการนักการเดินเรือพาณิชย์ของไทย ในขณะนี้อยู่ในระดับสูงมาก ทั้งนี้เพราะเรายังมีกำลังคนไม่เพียงพอนั่นเองและในอนาคตอีกไกลที่นักการเดินเรือก็ยังคงเป็นที่ต้องการอยู่นั่นเอง กล่าวคือ แม้เราจะมีกำลังคนประเภทนักการเดินเรือเพียงพอในประเทศแล้วก็ตาม แต่ในต่างประเทศก็มีบริษัทเรือรับส่งสินค้าอีกมากมายที่ต้องการนักการเดินเรือ จึงเป็นโอกาสดีที่นักการเดินเรือไทยสามารถทำประโยชน์ในรูปของการส่งออกแรงงาน (labour export) กล่าวคือออกไปทำงานในต่างประเทศ สามารถหารายได้ และส่งรายได้นั้นกลับเข้ามายังประเทศของเรา

ORM_PT กล่าวว่า...

ปัทมาพร ทองโกฏิ
48010510953 4EN

อาชีพ "Aircraft Dispatcher" หรือ "พนักงานอำนวยการบิน"

Aircraft Dispatcher อาชีพที่รู้จักกันแต่ในกลุ่มเล็กๆ แต่ยิ่งใหญ่ไม่แพ้อาชีพอื่น เพราะมืออาชีพได้มาเผยวิธีการวางแผนเส้นทางบินของสายการบินภายในประเทศไทยและต่างประเทศ

อาชีพนี้มีหน้าที่หลักคือวางแผนเส้นทางบินของเครื่องบินทั้งภายในและต่างประเทศ ซึ่งหลายคนไม่รู้จักอาชีพนี้ คนที่จะรู้จักส่วนมากเป็นคนที่รักทางด้านการบินหรืออยู่ในแวดวงการบินถึงจะรู้จัก เพราะอาชีพนี้เป็นอาชีพที่ค่อนข้างแคบประกอบกับในเมืองไทยก็มีสายการบินอยู่ไม่กี่สายที่เปิดรับตำแหน่งนี้ จะมีก็สายการบินใหญ่สุดที่รับสมัคร คือ การบินไทย เพราะต้องวางแผนเส้นทางการบินให้กับเครื่องบินของการบินไทยทั้งหมด นอกจากนี้ ยังต้องวางแผนเส้นทางการบินให้กับสายการบินต่างชาติด้วย ซึ่งเป็นหนทางสร้างรายได้อีกอันหนึ่งของการบินไทย ซึ่ง Aircraft Dispatcher ของไทยจะวางแผนเส้นทางการบินให้กับสายการบินต่างประเทศไม่น้อยกว่า 50 สายการบิน และยังวางแผนเส้นทางการบินให้กับสายการบินของราชวงศ์ต่างๆ อีกด้วย และก็จะมีงานในสายการบินเล็กๆอย่างสายการบินโลว์คอร์ส

นักบินโต๊ะ คือ ชื่อเล่นของอาชีพนี้ ซึ่งจะต้องมีความรู้เทียบเท่านักบินเลยก้ได้ จะต้องรู้ตั้งแต่อุตุฯ ข้อกำหนด ยัน ระบบเครื่องบิน สนามบิน ดังนั้นหัวใจหลักคือ ANNEX 6 หรือ Operations of Aircraft

- จะต้องมีใบอนุญาตถึงจะสามารถทำงานได้ และจะต้องมีการสอบทวนความรู้บ่อยๆเพื่อรักษามาตรฐาน

- รับผิดชอบลงนามร่วมกับ PIC ภายใต้ความปลอดภัย และจะต้องให้ข้อมูลต่างๆได้แก่นักบิน

- สายการบินมอบอำนาจให้ Dispatcher สามารถ Delay ยกเลิก เที่ยวบินนั้นๆได้ ถ้าหากมีเหตุส่งผลต่อความปลอดภัย

- จะต้องมีความรู้ด้านอุตุนิยมวิทยาในระดับที่สูง ประมาณว่าสามารถพ่วงนักอุตุฯได้อีกตำแหน่ง เนื่องจากการวางแผนการบินนั้นจะต้องขึ้นกับสภาพอากาศเป็นสำคัญ ดังนั้นจะต้องวิเคราะห์ Chart ต่างๆได้

- จะต้องสามารถคำนวณการใช้น้ำมันของแต่ละเที่ยวบินและแต่ละแบบของเครื่องได้ ซึ่งจะต้องดูตามระยะทางบิน ข้อกำหนดของตัวเครื่องเอง รวมถึงข้อกำหนดของกฎหมายต่างๆ เพราะถ้าหากเกิดอะไรขึ้นจนเสียหาย บริษัทประกันจะไม่จ่ายถ้าหากพบว่าทำผิดกฎ ซึ่งไอ่นี่แหละสายการบินโคตรจะกลัวเลย

- จะต้องมีการตระเตรียมแผนการบิน หรือ Flight Plans เพื่อ Breif นักบินก่อนขึ้นบิน เช่น น้ำหนักวิง่ขึ้นหรือร่อนลงสูงสุด รายงานสภาพอากาศ NOTAMs

- จะต้องมีการลงชื่อร่วมกับ PIC ใน Dispatch Release ตามกฏหมาย จะต้องมีจรรยาบรรณพอก่อนที่จะลงชื่อ เพราะนั่นหมายถึงชีวิตคนบนเครื่อง

- สามารถเลื่อน ยกเลิก เที่ยวบินได้ ถ้าหากว่าไม่ปลอดภัย เช่น Technical Problem สภาพอากาศต่ำกว่า Minima เป็นต้น

- จะต้องมีการติดตามผลการบินระหว่างบินหรือที่เรียกว่า Flight Monitoring ซึ่งนักบินจะต้องสามารถติดต่อ Dispatch Center ได้ บางครั้งอาจจะต้องทำ Replanning in flight ได้

- จะต้องแจ้งในเรื่องสภาพอากาศที่อันตราย หรือ Significant Weather ซึ่งบางครั้งจะต้องทำ Replanning ทำให้ Heading, Altitiude, Destination, Fuel Consumption เปลี่ยน

- จะต้องมีการอบรมหรือทบทวนความรู้ตลอดเวลาเพื่อรักษาใบอนุญาต โดยจะต้องมีการ Observe Flight in cockpit อย่างต่ำ 5 ชม.

Dispatch Preparation
อะไรบ้างที่จะต้อง Breif นักบินอย่างละเอียด

1. Weather Breifing - สภาพอากาศจริง และ สภาพอากาศที่พยากรณ์ METAR TAF สภาพอากาศระหว่างทาง สนามบินต้นทาง/ปลายทาง/สำรอง

2. Routes Breifing - NOTAMs นี่แหละตัวบอกข่าวอย่างดี สนามบินไหนทางวิ่งพัง อะไรเสียก็ต้องมีบอก ถ้าสนามบินไหนมีเยอะแสดงว่า Unservicable อาจจะมากตาม

3. Flight Plan and Operationa Requirements - Bulletins ของสนามบินต่างๆ หรือรายละเอียดของแต่ละประเทศซึ่งจะมีบอกใน AIP : Aeronautical Publication Imnformation เพื่อหาเส้นทางบิน เพดานบิน ที่เหมาะสม ดูในเรื่องของน้ำหนักต่างๆด้วย

4. Preflight Briefing ภายใต้ Brifing sequence


แม้ว่า Aircraft Dispatcher ดูจะเป็นตำแหน่งที่ไม่ค่อยมีผู้รู้จัก แต่อาชีพนี้ก็มีมานานแล้ว โดยผู้ที่ทำอาชีพนี้จะเป็นทหาร แต่ใช้คำเรียกว่า Navigator และต่อมาจึงเปลี่ยนเป็น Aircraft Dispatcher

อาชีพนี้จะต้องวางแผนเส้นทางการบิน หรือ Fight Planning ให้กับเครื่องบิน ซึ่งเครื่องบินแต่ละเที่ยวบินจะต้องมีการวางแผนการบินของแต่ละวัน โดยจะกำหนดเส้นทางการบินให้กับนักบินก่อนที่นักบินจะนำเครื่องขึ้น 2 ชั่วโมง พร้อมทั้งบรรยายสรุปให้กับนักบินฟัง หลังจากนั้นนักบินก็นำแผนการบินที่คุยกันไว้ขึ้นไปป้อนในจอคอมพิวเตอร์บนเครื่องบิน เพื่อให้เครื่องบินบินไปตามเส้นทางที่กำหนด

แต่กว่าที่จะสามารถกำหนดแผนเส้นทางการบินให้กับนักบินได้ Aircraft Dispatcher ทุกคนจะต้องหาข้อมูลเกี่ยวกับอากาศ โดยดูข้อมูลจากกรมอุตุนิยมวิทยา และจากจอแซตเทิลไลต์เพื่อทราบข่าวอากาศจากทั่วโลก และนำมาคำนวณเวลาที่บินหากเจอพายุก็ต้องหาเส้นทางบินใหม่ รวมทั้งอ่าน NOTAM (Notice To Airman) ซึ่งเป็นข้อบรรยายสรุปเกี่ยวกับสนามบินทั่วโลกเพื่อแจ้งให้ทราบว่าสนามบินแต่ละแห่งมีีปัญหาในเรื่องใด เช่น วันนี้สนามบินอาจจะมีการปิดหรือมีการซ่อมระบบเครื่องนำร่องลง ที่จะต้องแจ้งให้นักบิน นอกจากนี้ Aircraft Dispatcher จะต้องดูว่าแต่ละเมืองหรือประเทศมีข้อกำหนดในเรื่องการนำเครื่องลงแบบใด อย่าง ฮ่องกงกำหนดว่าเมื่อไปถึงฮ่องกงนักบินจะต้องสามารถมองเห็นสนามบินด้วยสายตาของนักบินในระยะ 800 เมตร แต่หากอากาศไม่ได้เป็นตามที่กำหนด เพราะมีหมอก ควัน หรือพายุเข้ามาทำให้ไม่สามารถนำเครื่องลงจอดที่ฮ่องกงได้ Aircraft Dispatcher จะต้องเตรียมแผนที่ 2 เอาไว้ คือจะต้องหาสนามบินใหม่ให้กับนักบินซึ่งอากาศต้องดีกว่า

นอกจาก Aircraft Dispatcher จะมีหน้าที่ในการวางแผนเส้นทางการบิน และป้องกันความปลอดภัยให้กับผู้โดยสารแล้ว ยังต้องวางแผนเส้นทางการบินที่สร้างความประหยัดให้กับบริษัทด้วย เช่น ไฟท์กรุงเทพ-ลอนดอน มีเส้นทางการบินได้ 10 ทาง Aircraft Dispatcher จะต้องคำนวณด้วยระบบคอมพิวเตอร์ว่าเส้นทางใดที่ใช้เวลาในการเดินทางที่สั้นที่สุด ประหยัดน้ำมันและเงิน แต่สิ่งสำคัญคือเส้นทางที่เลือกเดินทางจะต้องปลอดภัย และสร้างความสะดวกสบายให้กับผู้โดยสารเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งส่วนใหญ่เส้นทางการบินจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงถ้าเป็นเส้นทางใกล้ ในขณะที่เส้นทางไกลๆ จะมีการเปลี่ยนแปลงทุกวัน ประสานงานคู่นักบิน

ในด้านการเรียนเพื่อเป็น Aircraft Dispatcher กับนักบินจะเรียนคล้ายๆ กัน แต่ต้องรู้และต้องอ่านมากกว่านักบิน เพื่อจะได้ไปบรีฟรายละเอียดการบินให้กับนักบินได้ แต่เมื่อนักบินนำเครื่องขึ้นไปแล้วทุกอย่างจะอยู่ในมือของนักบินทั้งหมด แต่เมื่ออยู่บนโต๊ะ การตัดสินใจจะเป็นร่วมกันระหว่างนักบินกับ Aircraft Dispatcher ทำให้เป็นอาชีพที่ไม่สามารถแยกกันได้

แม้ว่าอาชีพนี้จะดูเป็นรองจากนักบิน แต่สำหรับในต่างประเทศ Aircraft Dispatcher เป็นอาชีพที่ได้รับการยอมรับจากนักบิน เพราะถ้าไม่มีอาชีพตรงนี้เขาจะต้องลำบาก นักบินไม่สามารถที่ขึ้นเครื่องแล้วขับออกไปได้เลย เขาต้องมีการวางแผนการบินซึ่งเขาก็ไม่สามารถมานั่งทำงานตรงนี้ได้เพราะต้องใช้เวลา แต่ในไทยอาชีพนี้คนภายนอกไม่รู้จักหรือว่าลืมไปเลยก็มี เพราะคนไทยไม่รู้ว่าก่อนขึ้นเครื่องจะต้องมีการวางแผนการบินแบบนี้ก่อน เพราะการทำงานตรงนี้มันเหมือนเป็นวงแคบๆ อยู่แล้ว แต่อยากจะให้คนไทยรู้ว่าก่อนที่เครื่องบินจะขึ้นได้ต้องมีองค์ประกอบหลายอย่างไม่ใช่นักบินหิวกระเป๋าแล้วเดินขึ้นเครื่องไปขับได้เลย


สำหรับเส้นทางของการเข้าสู่อาชีพนี้จะต้องผ่านการเรียนคอร์สการเป็น Aircraft Dispatcher ซึ่งคอร์สดังกล่าวจะมีสอนอยู่มากที่อเมริกา เป็นคอร์สที่เรียนยากกว่าการเป็นนักบินเสียอีก และต้องใช้เวลาในการเรียนไม่ต่ำกว่า 1 ปีนอกจากนี้ การจะสอบเพื่อให้ได้ไลเซนต์ของ Federal Aviation Administration (F.A.A.) ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย โดยจะต้องสอบข้อเขียนของ F.A.A. ซึ่งเป็นข้อสอบเดียวกับข้อสอบของ Airtime sport pilot หรือข้อสอบของนักบิน หลังจากนั้น ต้องกลับมาทำงานที่เมืองไทยอีก 2 ปีแล้วกลับไปสอบภาคปฎิบัติเพื่อกำหนดแผนเส้นทางการบินที่อเมริกาอีกที ซึ่งการสอบจะใช้ระบบแมนนวลไม่ใช่ระบบคอมพิวเตอร์ เพื่อฝึกความชำนาญและทำให้เกิดความคล่อง ซึ่งกว่าจะเรียนและสอบให้ได้ไลเซนต์ต้องใช้เวลาประมาณ 4 ปี แต่การได้ไลเซนต์ของ F.A.A.ทำให้สามารถไปทำงานได้ทุกสายการบิน และทุกประเทศด้วย

ส่วนผู้ที่ไม่ไปเรียนที่อเมริกาก็สามารถเรียนหลักสูตรนี้ในไทยได้ที่ศูนย์ฝึกการบินพลเรือน ซึ่งจะใช้เวลาในการเรียนแค่ 5 เดือน ซึ่งเวลาเรียนตรงนี้สั้นไป และหลักสูตรนี้ก็ไม่เข้มข้นเท่ากับของอเมริกา และผู้ที่จบจากตรงนี้จะได้ไลเซนต์ของกรมขนส่งทางอากาศแทนทำให้สามารถทำงานแต่ในไทยได้

prapaporn กล่าวว่า...
ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ
prapaporn กล่าวว่า...

นางสาวประภาพร พงษ์อนันต์ 48010510948 4EN
"แท็กซี่สุนัข" บริการรับส่งเฉพาะ "น้องหมา" !!

ขณะที่การจราจรกำลังเคลื่อนตัวอย่างสะดวก หญิงวัยกลางคนค่อยๆ จูงสุนัขขนาดกลางตัวโปรดออกมาริมถนน แล้วโบกมือเรียกแท็กซี่เพื่อเดินทางไปพร้อมกัน แต่แท็กซี่คันแล้วคันเล่าได้เพียงขับผ่านมา แล้วก็ผ่านไป...

นั่นเป็นภาพที่พบเห็นได้บ่อยครั้งตามท้องถนน แต่จะกล่าวโทษแท็กซี่ก็คงไม่ได้ เพราะคงไม่คุ้มแน่หากสิ่งที่ผู้โดยสารทิ้งไว้ให้คือ ขนที่ติดอยู่ตามเบาะ คราบน้ำลาย หรือแม้แต่สิ่งขับถ่ายและกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ ต้องนำรถไปล้างไปเช็ดเสียเวลาทำมาหากิน

แต่ผู้ที่ลำบากใจและกายไม่แพ้กันก็คือเจ้าของสุนัข จะเดินทางไปไหนกับน้องหมาแต่ละทีต้องถอนหายใจ โดยเฉพาะเวลาที่น้องหมาป่วย การเคลื่อนย้ายพาสุนัขไปรักษาจะเหนื่อยหนักมากกว่าเดิม เพราะสุนัขป่วยมักไม่อาบน้ำ บางตัวอาการหนักไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ หากเจ้าของรายใดไม่มีรถส่วนตัวหรือไม่สะดวกนำรถยนต์ไปเองจึงเป็นเรื่องที่ลำบากยิ่ง

ประสบการณ์เช่นนี้เคยเกิดขึ้นแล้วกับ คุณธิติพันธ์ รักชาติ หรือ คุณธน ชายวัยสี่สิบเศษซึ่งเคยพาสุนัขพันธุ์ไทยที่เลี้ยงไว้มารักษาที่โรงพยาบาลสัตว์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ย่านบางเขน แต่พอขากลับ เขาต้องรออยู่นานกว่าจะสามารถเรียกรถแท็กซี่กลับบ้านพร้อมน้องหมาที่กำลังอิดโรยได้ ครั้งนั้นทำให้คุณธนคิดไปตามประสาคนรักสัตว์ว่า หากมีรถที่บริการรับส่งสำหรับสุนัขโดยเฉพาะก็คงดี

แต่ไม่ใช่แค่คิด เขาได้ตัดสินใจเปิดบริการสำหรับน้องหมา "แท็กซี่สุนัข" เอาใจคนรักสัตว์โดยเฉพาะ



โอกาสสู่บริการ

แปลงรถช่วยหมาป่วย

ก่อนจะเกิดเป็นบริการอย่างเป็นรูปเป็นร่างได้ คุณธน เล่าถึงที่มาดังกล่าวว่า ช่วงที่เจอปัญหาไม่มีรถรับตนกับสุนัขตอนนั้นเป็นช่วงที่กำลังว่างงานไม่มีอะไรทำ จึงคิดว่าเงินทุนที่มีอยู่จำนวนหนึ่งน่าจะนำมาลงทุนซื้อรถเป็นแท็กซี่บริการรับส่งสัตว์ได้ จึงลองเข้าปรึกษากับทางโรงพยาบาลสัตว์ มก. ถึงความเป็นไปได้ ปรากฏว่าโอกาสเหมาะเพราะเป็นจังหวะเดียวกับที่ มก. จะสร้าง อาคาร เว็ท เพลส ขึ้นเพื่อเป็นอาคารสำหรับผลิตภัณฑ์และบริการสำหรับสัตว์เลี้ยงครบวงจร เขาจึงเลือกห้อง 19 ของอาคารดังกล่าวเป็นสำนักงานและจดทะเบียนเป็น ห้างหุ้นส่วนจำกัด เพ็ท ทรานสปอร์ต เปิดบริการรับส่งสัตว์เลี้ยงมาตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2548

การให้บริการใช้พาหนะสำคัญ คือรถแวน 5 ประตู เพิ่มเติมเล็กน้อยโดยใช้ผ้ายางรองพื้นในส่วนท้าย และคลุมเบาะหลังเพื่อสะดวกในการเคลื่อนย้ายและทำความสะอาด เน้นบริการรับส่งสัตว์เลี้ยงที่เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลสัตว์ มก. เป็นหลัก

"ตอนแรกคิดว่าจะทำแค่ 1-2 คัน แต่พอทำไปปรากฏว่าไม่พอ ไม่ทันใจลูกค้า เลยต้องเพิ่มมาเป็น 5 คัน จนถึงวันนี้ก็ยังไม่พอ เพราะสัตว์ที่เข้ามารักษาที่นี่เฉลี่ยแล้ว 200-300 ราย แต่ที่ผมสามารถวิ่งรับส่งได้ต่อวันประมาณ 50 ราย เท่านั้นเอง ทั้งใกล้ไกล ซึ่งนับว่าเป็นส่วนน้อยมาก"

เจ้าของความคิดยังกล่าวเสริมต่อว่า ลูกค้าประมาณ 80% เป็นสุนัขป่วย เช่น มีบาดแผล เป็นโรคต่างๆ พิการ ส่วนที่เหลือเป็นสุนัขทำหมัน และฉีดวัคซีน และเจ้าของส่วนใหญ่มีปัญหาเรื่องการเดินทาง

เมื่อสอบถามไปที่หญิงวัย 60 เศษ เจ้าของสุนัขพันธุ์ผสมที่กำลังรอใช้บริการของคุณธนหน้าโรงพยาบาล ก็ได้ความเห็นแบบเดียวกันว่า

"หารถมาไม่ค่อยได้ รถที่บ้านลูกหลานก็ต้องใช้ไปทำงาน แต่จะไม่พามาหาหมอก็ไม่ได้ สงสารเค้า" เธอตอบพลางใช้มือลูบหัวสุนัขตัวโปรดวัย 13 ปี ที่ป่วยเป็นโรคชราและอัมพาตทั้งตัว ซึ่งกำลังนอนส่งสายตาอยู่บนรถเข็นข้างๆ กาย



ระบบเหมาไม่รุ่ง

ติดตั้งแก๊สพร้อมมิเตอร์

ปัจจุบันโรงพยาบาลสัตว์บางแห่ง มีบริการรับส่งสัตว์ป่วยเฉพาะลูกค้าเช่นกัน แต่มักคิดค่าบริการแบบเหมาจ่ายซึ่งมีราคาสูง แต่เมื่อบริการนี้ขึ้นชื่อว่าเป็น "แท็กซี่สุนัข" จะให้เหมือนได้อย่างไร รถทุกคันของคุณธนจึงติดตั้งระบบมิเตอร์ และเปลี่ยนจากการใช้น้ำมันเป็นระบบแก๊ส LPG เช่นเดียวกับแท็กซี่ทั่วไปสมชื่อ

"แรกๆ ผมคิดแบบเหมาจ่ายเหมือนกันนะ แต่พบว่าบางครั้งแพงเกินไป และบางครั้งก็ไม่คุ้มเพราะไม่สามารถรู้ได้ก่อนว่าจุดส่งอยู่จุดไหนแน่ เช่น ลูกค้าบอกว่าอยู่รามอินทรา แต่จริงๆ แล้วต้องเข้าซอยไปลึกถึง 6-7 กิโลเมตร เลยเกิดความคิดที่ว่าควรจะทำแบบกดมิเตอร์เหมือนกับแท็กซี่ ลงทุนค่าติดตั้งมิเตอร์ประมาณคันละ 2,500 บาท แล้วก็หันมาใช้แบบระบบแก๊สค่าติดตั้งประมาณ 16,000 บาท เพราะถ้าใช้น้ำมันคงไม่ไหว" เขาอธิบาย

การคิดค่าบริการจึงเริ่มต้นเมื่อรถออกสตาร์ตที่ต้นทาง 35 บาท สิ้นสุดปลายทางคิดค่าบริการตามมิเตอร์ ราคานี้สำหรับการส่งสุนัขจากโรงพยาบาลสัตว์ ที่มีหนักตัวไม่เกิน 20 กิโลกรัม แต่หากเป็นเที่ยวรับจากบ้านลูกค้ามายังโรงพยาบาลหรือที่อื่นๆ บวกค่าบริการเพิ่ม 20 บาท

ส่วนสุนัขที่มีน้ำหนักตัวเกินกว่า 20 กิโลกรัม คิดค่าบริการตามมิเตอร์บวกเพิ่ม 40 บาท ทั้งเที่ยวรับและส่ง ส่วนต่างที่เก็บเพิ่มนั้นเพื่อใช้เป็นทุนในการฆ่าเชื้อและทำความสะอาดรถ

"กลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่มีรถส่วนตัวนะครับ แต่มักจะกังวลเรื่องปัญหาที่ว่ารถจะมีกลิ่น ถ้าเป็นผมเองถึงมีรถก็ไม่มาเองหรอกครับ อย่างผมมีหมาไทยตัวหนึ่ง น้ำหนักไม่ถึง 20 กิโลกรัม จะไปสะพานใหม่ราคามิเตอร์ก็จะอยู่ราว 60 บาท แต่หากเอารถยนต์มาเอง ต้องไปเสียค่าล้างเท่าไหร่ หรือต้องทนอยู่กับกลิ่นเป็นอาทิตย์ๆ มันไม่คุ้ม ยิ่งถ้าเป็นหมาป่วย บางตัวไม่สามารถเดินได้ ต้องอุ้มขึ้นรถ ซึ่งรถยนต์ทั่วไปประตูกางออกได้แค่ 45% ไม่ใช่ 90% เหมือนรถแวน ก็ถือว่าเป็นเรื่องลำบากทุลักทุเล และทรมานสัตว์ด้วย" คุณธน อธิบายถึงความต่างในการใช้บริการแท็กซี่สุนัขกับรถยนต์ส่วนตัว


ความสะอาดสำคัญ

มองเครือข่ายหวังกระจายบริการ

นอกจากทักษะในการขับรถและความเชี่ยวชาญด้านเส้นทางแล้ว คุณธน บอกว่า ในการประกอบอาชีพนี้ควรมีความรักสัตว์รวมอยู่ด้วย เพราะต้องวนเวียนอยู่กับสุนัข บ่อยครั้งที่ต้องช่วยลูกค้าอุ้มสุนัขขึ้นลง แต่พนักงานทุกคนจะมีถุงมือสวมใส่เพื่อป้องกันตัวเอง

และสิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้ก็คือ เรื่องความสะอาด หลังจากส่งผู้โดยสารเสร็จสิ้นแล้ว ต้องเปิดกระจกเพื่อระบายอากาศตอนขากลับ และก่อนรับลูกค้ารายต่อไป ต้องเช็ดทำความสะอาดทุกครั้ง ล้างและฆ่าเชื้อเป็นประจำอย่างน้อย 3-4 ครั้ง ต่อสัปดาห์ เพราะหากรถเกิดกลิ่นหมักหมม นอกจากจะทำให้ลูกค้ารังเกียจแล้ว อาจส่งผลให้สุนัขไม่ยอมขึ้นรถด้วย

แท็กซี่สุนัขให้บริการตั้งแต่เวลา 06.00-19.00 น. ทุกวัน แต่บ่อยครั้งที่ต้องวิ่งให้บริการถึงเวลา 22.00-23.00 น. เนื่องจากมีลูกค้าสนใจใช้บริการมาก บางรายอยู่ต่างจังหวัดก็มี เช่น นครปฐม สระบุรี แต่คุณธน บอกว่า ยังไม่มีแผนเพิ่มรถเนื่องจากต้องลงทุนสูง ทุกวันนี้รายรับจากการให้บริการวันละ 800-1,000 บาท ต่อคัน (ยังไม่หักต้นทุน) ก็นับว่าเป็นระดับที่ตนพอใจแล้ว

"ผมเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเล็กๆ ไม่มีเงินทุนทำอะไรใหญ่เกินตัว แต่ลูกค้าที่มาใช้บริการไม่ได้อยู่เฉพาะย่านบางเขน ม.เกษตรฯ แถวนี้ แต่มีอยู่ทั่วกรุงเทพฯ ซึ่งบางทีผมก็ไม่สามารถให้บริการเขาได้หรอกครับ"

เจ้าของแท็กซี่สุนัขเผย พร้อมแนะนำต่อว่า หากย่านอื่นๆ ที่ยังขาดบริการ ใครสนใจทำแบบเดียวกันนี้ก็สามารถทำได้ แต่ควรมีรถของตัวเองอยู่แล้ว ไม่แนะนำให้ลงทุนออกใหม่โดยเฉพาะ หรือผู้ใดที่มีรถอยู่แล้วและอยู่ในย่านอื่นๆ สามารถเข้ามาร่วมธุรกิจเป็นสายรถให้กันก็ได้ คุณธนจะเป็นเสมือนศูนย์กลางแจ้งหาลูกค้าให้ตามข้อตกลง

ทุกวันนี้นอกจากภรรยาและลูกๆ ของคุณธน จะเป็นแรงใจสำคัญในการทำงานแล้ว เขายังมีกำลังใจรายวันจากลูกค้าที่มาใช้บริการอีกด้วย

"ลูกค้าจะบอกตลอดว่างานนี้เป็นงานที่ช่วยบริการสังคมได้ดีมาก ยิ่งคนแก่จะบอกผมตลอดว่าทำอย่างนี้ดีนะ ได้บุญนะ ได้มาช่วยสัตว์ ขอให้เจริญรุ่งเรือง ผมพูดจากใจจริงเลยว่าคำพูดเหล่านี้ทำให้ผมรู้สึกดีมากเลย เป็นกำลังใจในการทำงานของผม" คุณธน ผู้ริเริ่มแท็กซี่สุนัข กล่าวทิ้งท้าย

ใครสนใจบริการสำหรับน้องหมาแบบนี้ ติดต่อได้ที่ ห.จ.ก. เพ็ท ทรานสปอร์ต อาคาร เว็ท เพลส ห้องที่ 19 ข้างโรงพยาบาลสัตว์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน โทร. (02) 561-4725 หรือ (09) 452-7535

HinHin กล่าวว่า...

นางสาวรุ่งนภา บัวทอง 48010510988 EN

ขอเสนออาชีพที่ไม่รู้ว่าแปลกหรือปล่าวแต่มีคนทำทั่วโลกอ่ะ

ชื่ออาชีพ นักวิเคราะห์สิ่งแวดล้อม Environmental Analyst
นิยามอาชีพ ผู้ปฏิบัติงานอาชีพนี้ ได้แก่ผู้ทำหน้าที่ปฏิบัติงานขั้นต้นเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม โดยปฏิบัติหน้าที่อย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่าง เพื่อให้เป็นไปตามนโยบายและแผนงาน และกำหนดมาตรฐานคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ให้คำปรึกษาแนะนำส่งเสริมและเผยแพร่ให้มีการป้องกันและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม ตรวจสอบ วิเคราะห์และรายงานผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของโครงการพัฒนาประเภทต่างๆ ทั้งของภาครัฐและภาคเอกชน
ลักษณะของงานที่ทำ ผู้ปฏิบัติงานอาชีพนี้มีหน้าที่ปฏิบัติงานเกี่ยวกับการตรวจสอบสภาพของสิ่งแวดล้อม แล้วรายงาน ต่อผู้บังคับบัญชา เช่น สำรวจ เก็บรวบรวมข้อมูล ศึกษา วิเคราะห์ วิจัยเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมประเภทต่างๆ เช่น การวิเคราะห์คุณภาพน้ำ คุณภาพอากาศ เสียง สารพิษ และอื่นๆ ตรวจสอบ และวิเคราะห์รายงาน ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ของโครงการพัฒนา สถานประกอบการ โรงงานอุตสาหกรรม เช่น ผลกระทบจากการคมนาคมและการขนส่ง ผลกระทบจากพลังงาน ผลกระทบจากเกษตรกรรม ผลกระทบจากโรงงานอุตสาหกรรม และผลกระทบที่มีต่อพนักงานในสถานประกอบการ เพื่อนำข้อมูลไปปรับแก้ไข สิ่งที่อาจเกิดขึ้นหรือเกิดขึ้นแล้ว ป้องกันและให้มีการดำเนินการให้เป็นไปตามมาตรฐานควบคุมคุณภาพสิ่งแวดล้อม
ตรวจหาสาเหตุที่อาจก่อให้เกิดความเดือดร้อนรำคาญของชุมชน และวินิจฉัยข้อเท็จจริง
หาทางป้องกันแก้ไข ในกรณีที่มีปัญหาอันเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมเป็นพิษ เช่น น้ำเน่าเสีย เสียงรบกวน ฝุ่น กลิ่นเหม็น ภายใต้การกำกับและตรวจสอบโดยใกล้ชิดของกรมควบคุมมลพิษหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
สภาพการจ้างงาน ผู้ปฏิบัติงานอาชีพนี้ในภาครัฐจะได้เงินค่าตอบแทนเป็นเงินเดือนตามวุฒิการศึกษาในอัตราเดือนละ 6,360 บาทสำหรับผู้สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี
ส่วนในภาคเอกชนจะได้รับค่าตอบแทนเป็นเงินเดือนประมาณ 12,000-15,000 บาท มีสวัสดิการ โบนัส และผลประโยชน์พิเศษอย่างอื่นขึ้นอยู่กับผลประกอบการของสถานประกอบการ
สภาพการทำงาน ผู้ปฏิบัติงานอาชีพนี้ อาจจะต้องปฏิบัติงานในสถานที่ทำงานเหมือนสำนักงานทั่วไปออกตรวจบริเวณใน พื้นที่และนอกบริเวณสถานประกอบการ หรือพื้นที่ที่อาจเกิดปัญหาผลกระทบจากสิ่งแวดล้อม ที่อาจเกิดขึ้นจากโครงการพัฒนาหรือโครงการต่างๆ ของสถานประกอบการหรือโรงงานที่ได้รับการว่าจ้าง ส่วนใหญ่ทำงานสัปดาห์ละ 40 ชั่วโมง อาจจะต้องมาทำงานวันเสาร์ วันอาทิตย์ หรือวันหยุด และอาจทำงานล่วงเวลา ในกรณีที่ต้องการให้ระบบงานเสร็จให้ทันต่อการใช้งาน
คุณสมบัติของผู้ประกอบอาชีพ ผู้ประกอบอาชีพนี้ควรมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้
1. ผู้ต้องการทำงานอาชีพนี้ในภาครัฐ ต้องเป็นผู้สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีจากสาขาใดก็ได้ เช่น เศรษฐศาสตร์ รัฐศาสตร์ ประชากรศาสตร์ สังคมวิทยา และมานุษยวิทยา ภูมิศาสตร์ การบริหาร การศึกษา สถิติ โบราณคดี สถาปัตยกรรมศาสตร์ ผังเมือง การเกษตร วนศาสตร์ การประมง เคมี ชีววิทยา ฟิสิกส์ ธรณีวิทยา วิทยาศาสตร์ ทางทะเล สุขภิบาล อาชีวอนามัย สุขศึกษา โภชนวิทยา อนามัยชุมชน ฯลฯ ในภาคเอกชนส่วนมากจะรับผู้จบการศึกษาระดับปริญาตรีในสาขาที่เกี่ยวข้องกับ ธุรกิจที่ประกอบกิจการ หรือสาขาที่เกี่ยวข้องกับวิชาการสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสมกับงานที่ต้องปฏิบัติ
2. มีความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับเหตุการณ์ปัจจุบันในด้านการเมือง เศรษฐกิจและสังคมโดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศไทย
3. มีความรู้ความสามารถในการใช้ภาษาอย่างเหมาะสมแก่การปฏิบัติหน้าที่ ทั้งอ่าน และเขียน
4. มีความสามารถในการศึกษาหาข้อมูล วิเคราะห์ปัญหา และสรุปเหตุผล
5. มีความสามารถในการเป็นผู้นำและผู้ตามได้
6. สามารถเดินทางไปปฏิบัติงานต่างจังหวัดได้
7. มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีต่อบุคลากรในองค์กรและชุมชน
ผู้ที่จะประกอบอาชีพนี้ ควรเตรียมความพร้อมดังต่อไปนี้ คือ: ต้องเป็นผู้สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาปีที่ 6 หรือประกาศนียบัตรวิชาชีพ จากสถานศึกษาที่กระทรวงศึกษาธิการรับรองวิทยฐานะ สอบคัดเลือกเข้าศึกษาต่อระดับอุดมศึกษาในสาขาวิชาใดวิชาหนึ่งที่ตรงกับ คุณสมบัติดังกล่าวข้างต้น สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล หรือสถานศึกษาสังกัดทบวงมหาวิทยาลัย หลักสูตรการศึกษา 4 ปี
โอกาสในการมีงานทำ ปัจจุบัน รัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมให้มีการพัฒนาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนตามแนวแผน ปฏิบัติการ 21 (Agenda 21) จากการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยสิ่งแวดล้อมและการพัฒนา ณ กรุงริโอเดอ จาเนโร เมื่อปี 1992 เพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นจากสิ่งแวดล้อมที่เป็นภัยต่อประชากรในประเทศและ ต่อสังคมโดยรวม ซึ่งได้รับความร่วมมือจากภาคธุรกิจอุตสาหกรรมในการพัฒนาสิ่งแวดล้อม ทั้งในระดับชาติและระหว่างประเทศ ที่ส่งผลกระทบต่อนโยบายพลังงาน วิธีการผลิตในภาคอุตสาหกรรมเพื่อให้มีการปรับตัวในการใช้แรงงาน และการผลิต ที่ใช้เทคโนโลยีที่สะอาด ที่ช่วยป้องกันการเกิดของเสีย การบำบัดของเสีย กำจัดของเสียที่เป็นอันตรายและการนำของเสียกลับมาใช้ประโยชน์ใหม่อันเป็น ส่วนหนึ่งของการสนับสนุน การทำงานเลี้ยงชีพอย่างยั่งยืนในสภาพแวดล้อม ที่สะอาดและปลอดภัย ดังนั้นตลาดแรงงานในหน่วยงานของภาครัฐ เกือบทุกหน่วยสถาบันด้านวิทยาศาสตร์ภาคธุรกิจ องค์กรพัฒนาภาคเอกชน ตลอดจนชุมชนระดับท้องถิ่นมีการขยายตัวรับเจ้าหน้าที่วิเคราะห์สิ่งแวดล้อม ระดับต่างๆ เพื่อปฏิบัติงานให้เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลที่วางไว้
โอกาสความก้าวหน้าในอาชีพ ผู้ ปฏิบัติงานอาชีพนี้นับว่ามีอัตราความก้าวหน้าสูง เพราะทั่วโลกให้ความสำคัญกับบุคลากรที่มีประสบการณ์ในงานด้านนี้ ผู้ปฏิบัติงานในภาครัฐเมื่อมีประสบการณ์และศึกษาเพิ่มเติมจะได้รับการเลื่อน ตำแหน่งไปตามลำดับจนถึงระดับผู้อำนวยการในภาคเอกชน ผู้มีความสามารถจะได้รับการเลื่อนตำแหน่งจนถึงระดับ ผู้จัดการ ที่ปรึกษา และผู้อำนวยการ ขึ้นอยู่กับโครงสร้างการบริหารขององค์กร ผู้ปฎิบัติงานอาชีพนี้ที่มีประสบการณ์ในระบบการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อม (Environmental Management System (EMS) และการเป็นผู้ตรวจสอบระบบการจัดการสิ่งแวดล้อม 14000 ตามมาตรฐานสิ่งแวดล้อมสามารถเปลี่ยนงานไปประกอบอาชีพอื่นได้ หรือปฏิบัติงานในสถานประกอบการอื่นๆ ที่ต้องการบุคลากรที่มีประสบการณ์ทางด้านนี้ เช่น เป็นวิทยากรหรือผู้อบรมระบบการบริการจัดการสิ่งแวดล้อม
อาชีพที่เกี่ยวเนื่อง วิศวกรสิ่งแวดล้อม ประกอบธุรกิจบริษัทที่ปรึกษาเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม ประกอบธุรกิจที่ดำเนินธุรกิจในการวางแผนระบบการกำจัดของเสียต่าง ๆ นักวิจัย เจ้าหน้าที่มูลนิธิพัฒนาเอกชน วิทยากรอบรมการจัดการสิ่ง แวดล้อม ISO 14001
แหล่งข้อมูลอื่น ๆ กรมควบคุมมลพิษ, กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ แหล่งจัดหางานในหนังสือพิมพ์และเว็บไซต์ทั้งของภาครัฐ เอกชน และองค์การระหว่างประเทศ กระทรวงวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม กรมจัดหางาน กระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม มหาวิทยาลัยที่เปิดสอนคณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ หรือ คณะวิทยาศาสตร์ สาขาเทคโนโลยีสารสนเทศ เทคโนโลยีสิ่งแวดล้อม หรือ สาธารณสุขศาสตร์ ฯลฯ การจัดประเภทมาตรฐานอาชีพ (ประเทศไทย)

Onrawadee 035 กล่าวว่า...

นางสาว อรวดี ไชยเสนา
รหัส 48010511035
4EN กลุ่มที่3

::อาชีพช่างเทคนิคการสำรวจ::

ทำงานช่วยวิศวกรสำรวจ เตรียมงาน วางแผนงานสำรวจ จัดทำข้อกำหนดการสำรวจ การเจาะสำรวจ และการทดสอบ จัดเตรียมเครื่องมืออุปกรณ์ กำลังคนที่ใช้ในงานสำรวจหาระยะระดับหาค่าพิกัดของจุดตำแหน่งต่าง ๆ กำหนดค่าระดับอ้างอิง ตรวจสอบผังและค่าระดับให้เป็นไปตามแผนทำบันทึกข้อมูลและรายละเอียดต่าง ๆ ที่ได้จากการสำรวจ ทำแผนที่ต่าง ๆ โดยอาศัยข้อมูลจากการสำรวจ สำรวจเพื่อคำนวณราคาที่ดินทรัพย์สินในงานจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน ควบคุมงาน และตรวจสอบการปฏิบัติในสนามให้เป็นไปตามแผน

ลักษณะของงานที่ทำ

1. ควบคุม และทำการสำรวจพื้นดิน และท้องน้ำ เพื่อการทำแผนที่หรือแผนภูมิ งานก่อสร้าง งานเหมืองแร่ หรืองานอื่นๆ โดยกำหนดสถานที่ตั้ง
2. วาดภาพแสดงลักษณะภูมิประเทศ ตรวจสอบบันทึก แผนที่ แผนผังโฉนด และเอกสารที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนทำการคำนวณเบื้องต้น ซึ่งจำเป็นสำหรับ งานสำรวจ
3. ตรวจสอบ และปรับกล้องรังวัด หรือกล้องทำแผนที่เข็มทิศ โต๊ะสำรวจ และเครื่องมือสำรวจอื่นๆ
4. สำรวจ และสั่งงานผู้ช่วย เพื่อให้การปฏิบัติงานตรงตามสถานที่ที่กำหนด และเพื่อความแน่นอนเกี่ยวกับการวัดระหว่างจุดต่างๆ ความสูงชัน เส้นและมุม ความสูงต่ำของพื้นดิน และข้อมูลที่เกี่ยวกับพื้นผิวดิน พื้นที่ใต้ดิน และพื้นที่ใต้ท้องน้ำ
5. ทำการคำนวณเพื่อตรวจสอบความถูกต้องของสิ่งที่วัดได้
6. บันทึกการใช้มาตรการต่างๆ และการคำนวณ รวมทั้งการเขียนแบบร่างพื้นที่บริเวณที่ทำการสำรวจ
7.จัดทำแบบวาดโดยละเอียด และทำรายงาน

สภาพการจ้างงาน
ช่างเทคนิคการสำรวจที่สำเร็จการศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง ที่ไม่มีประสบการณ์จะได้รับเงินเดือนโดยประมาณดังนี้
ประกาศนียบัตรวิชาชีพ ราชการ 5,260 เอกชน 5,500-6,500
ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง ราชการ 6,490 เอกชน 6,500-7,000

สำหรับภาคเอกชนนั้น อัตราเงินเดือนขึ้นอยู่กับความสามารถ ความชำนาญงาน และวุฒิการศึกษาของแต่ละบุคคล นอกเหนือจากเงินเดือนและค่าจ้างประจำแล้วอาจได้รับผลประโยชน์พิเศษอย่างอื่นในรูปของสวัสดิการต่างๆ เช่น ค่ารักษาพยาบาล ค่าเล่าเรียนบุตร โบนัส บำเหน็จ บำนาญ ผู้ปฏิบัติงานอาชีพนี้ทำงาน สัปดาห์ละ 40 ชั่วโมง อาจต้องทำงานวันเสาร์ วันอาทิตย์ และวันหยุด หรือต้องทำงานล่วงเวลา ในกรณีที่ต้องการให้งานติดตั้งหรือซ่อมบำรุงเครื่องจักรเสร็จทันการใช้งาน

สภาพการทำงาน

ผู้ปฏิบัติงานอาชีพนี้ ทำงานทั้งใน และนอกสถานที่ทำงานในการสำรวจสภาพพื้นที่ที่ได้รับมอบหมาย อาจต้องปีนป่ายในที่สูงหรือบุกป่าฝ่าดง ทำงานกลางแดดหรือฝน ต้องแบกอุปกรณ์ในการสำรวจ เช่น กล้องรังวัด เข็มทิศ ต้องคิดคำนวณ สภาพการทำงานหนักปานกลาง ต้องใช้ความอดทนต่อสภาพความร้อน และบางโอกาสทำงานตามลำพัง ต้องใช้ความระมัดระวัง และรอบคอบสูงพอสมควร เพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุจากการทำงาน และบางครั้งต้องทำงานเกินเวลาต้องปฏิบัติงานทั้งในสำนักงาน และกลางแจ้ง รวมทั้งอาจจะต้องประสานงานกับบุคคลที่เกี่ยวข้องเพื่องานการสำรวจคุณสมบัติของผู้ประกอบอาชีพ

คุณสมบัติของผู้ประกอบอาชีพ มีดังนี้
1. สำเร็จการศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ และประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง
2. มีร่างกายแข็งแรง สามารถทำงานหนักได้
3. มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ชอบการคิดคำนวณ และงานทดลอง
4. มีความเป็นผู้นำ มีมนุษยสัมพันธ์ดี
5. มีความเชื่อมั่น แก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ดี
6. มีความละเอียดรอบคอบ ชอบการบันทึก
7. สามารถวิเคราะห์ และตัดสินใจแก้ปัญหาที่เกิดจากการทำงานได้
ผู้ที่จะประกอบอาชีพนี้ควรเตรียมความพร้อมดังนี้ : ผู้สนใจประกอบอาชีพนี้ในระดับช่างฝีมือต้องสำเร็จการศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ(ปวช.) สาขาวิชาช่างสำรวจจากสถานศึกษาสังกัดกรมอาชีวศึกษาหรือสถาบันเทคโนโลยีราชมงคล หรือสำเร็จการศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) สาขาวิชาช่างสำรวจจากสถานศึกษาสังกัดกรมอาชีวศึกษา หรือสาขาวิชาช่างกล โรงงานจากสถานศึกษาสังกัดสถาบันเทคโนโลยีราชมงคล สำหรับผู้เข้าสู่ตลาดแรงงานใหม่ที่มีอายุตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไป เมื่อสำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาปีที่ 3 หรือเทียบเท่าขึ้นไป และเข้ารับการฝึกในสถาบันพัฒนาฝีมือแรงงานหรือศูนย์พัฒนาฝีมือแรงงานจังหวัดเป็นเวลา 10 เดือน และส่งไปฝึกงานในสถานประกอบกิจการ 4 เดือน รวมระยะเวลาฝึกทั้งหมด 14 เดือน จึงจะได้รับวุฒิบัตรพัฒนาฝีมือแรงงาน (วพร.) แนวการฝึกเน้นภาคปฏิบัติ 70% ความรู้ความสามารถที่จำเป็น ได้แก่ อ่านแบบ เขียนแบบก่อสร้าง เทคนิคการก่อสร้าง อาคารขนาดเล็ก การสำรวจรังวัด หลักการบริหารงานก่อสร้าง การประมาณราคาและการปฏิบัติงานควบคุมงานก่อสร้างทั้งในห้องเรียน โรงฝึกงานและออกฝึกในสถานการณ์จริงบริเวณสถานที่ก่อสร้าง

โอกาสในการมีงานทำ
สำหรับแหล่งจ้างงานช่างสำรวจโดยทั่วไป ได้แก่ สถานประกอบการ อุตสาหกรรม หรือหน่วยงานราชการ และรัฐวิสาหกิจ ถึงแม้ว่าภาวะวิกฤติเศรษฐกิจที่ประเทศกำลังประสบปัญหาอยู่ทำให้การลงทุนเพื่อขยายตัวในภาคอุตสาหกรรมชะงักไป แต่ความต้องการแรงงานทางด้านช่างสำรวจยังคงมีอยู่และเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากยังมีงานที่ต้องการช่างสำรวจอีกมาก เช่น โครงการสร้างถนน หรือสาธารณูปโภคอื่นๆ รวมทั้งงานการก่อสร้างอาคารต่างๆ ที่ต่อเนื่องมาจากการชะงักในช่วงภาวะวิกฤติทางเศรษฐกิจ เมื่อภาวะเศรษฐกิจดีขึ้นกว่านี้ ภาคอุตสาหกรรมภายในประเทศที่กำลังอยู่ระหว่างการพัฒนาจะกลับฟื้นตัว และขยายการลงทุนขึ้นอีก ฉะนั้น งานช่างสำรวจก็ยิ่งกลับมาเป็นที่ต้องการในตลาดแรงงานอีกมากขึ้นตามอัตราการขยายตัวของสถานประกอบกิจการอุตสาหกรรม

โอกาสความก้าวหน้าในอาชีพ
ผู้ประกอบอาชีพช่างเทคนิคการสำรวจที่มีประสบการณ์และความชำนาญ จะได้รับการเลื่อนขั้น เลื่อนตำแหน่งขึ้นไปจนถึงระดับหัวหน้างาน และสำหรับผู้ที่สนใจที่จะศึกษาต่อเพื่อปรับวิทยฐานะให้สูงขึ้น เพื่อประโยชน์ในการประกอบอาชีพต่อไปมีแนวทางในการศึกษาต่อ ดังนี้ ผู้สำเร็จการศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) ศึกษาต่อระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) หลักสูตร 2 ปี ประเภทวิชาช่างอุตสาหกรรม หรือสาขาวิชาที่เกี่ยวข้องในสถานศึกษาสังกัดกรมอาชีวศึกษา หรือสถาบันเทคโนโลยีราชมงคล หรือวิทยาลัยเทคโนโลยีอุตสาหกรรม สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือหรือ ระดับปริญญาตรี หลักสูตร 4 ปี คณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาวิชาวิศวกรรมโยธา สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล หรือสถานศึกษาสังกัดทบวงมหาวิทยาลัย เช่น มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี เป็นต้น
ผู้สำเร็จการศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) ศึกษาต่อ ระดับปริญญาตรีต่อเนื่อง 3-3 ปีครึ่ง สาขาวิชาวิศวกรรมโยธา คณะวิศวกรรมศาสตร์ หรือสถานศึกษาสังกัดสถาบันเทคโนโลยีราชมงคล หรือระดับปริญญาตรีต่อเนื่อง 2-3 ปี สาขาวิชาวิศวกรรมโยธา คณะวิศวกรรมศาสตร์ ในสถานศึกษาสังกัดสถาบันเทคโนโลยีราชมงคล

Aomjai กล่าวว่า...

น.ส. อ้อมใจ สุริยะ 48010511039 EN
อาชีพเพ้นท์เปลือกหอยบ้านปูเสฉวน
อาชีพนี้เกิดขึ้นที่จังหวัดชลบุรี เพราะเขาเห็นว่าปูเสฉวนเป็นสัตว์ที่เลี้ยงง่ายกินผักเป็นอาหาร เมื่อโตขึ้นก็จะเปลี่ยนเปลือกหอยที่ใหญ่ขึ้นตามขนาดตัว อาชีพเพ้นท์สีเปลือกหอย (บ้านปูเสฉวน) จึงเกิดขึ้น เพื่อความสวยงาม แปลกใหม่ น่าสนใจ มีคนจำนวนมากชอบเก็บเอาปูเสฉวนมาเลี้ยงที่บ้านเป็นสัตว์เลี้ยงสะสมส่วนตัว วิธีการเลี้ยงก็ง่ายๆ โดยการเลี้ยงใส่ตู้ปลาที่มีแต่พื้นทรายและทำบ่น้ำเล็กๆให้มันลงเล่นประดับตู้ปลาเป็นสวนหย่อมข้าง ในเมื่อปูเสฉวนที่เขาเลี้ยงมันมีขนาดตัวที่โตขึ้นก็จะเปลี่ยนบ้านใหม่ไปเรื่อยๆ ผู้ประกอบอาชีพเพ้นท์เปลือกหอยบ้านปูเสฉวนจึงเปิดกิจการรับเพ้นท์สีเปลือกหอยลวดลายต่างๆตามที่ลูกค้าต้องการ สร้างรายได้มากมายต่อวัน ตกวันละหมื่นบาทเชียวนะ เพราะเปลือกหอย 1 ชิ้นราคา 500-1,000 บาท
ฉันคิดว่าอาชีพนี้เป็นอาชีพที่แปลกใหม่มีมีในสารคามแน่นอน 100%

Beautiful Liar กล่าวว่า...

นางสาวณัฐจิตรา มุทนาเวช 48010510992 4EN

"ให้บริการและขายโลงศพสุนัข"

ด้วยความที่มีจิตใจรักสุนัขเป็นพื้นฐาน กอปรกับตั้งใจไว้ว่าจะทำธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสุนัขให้ครบวงจร จึงเป็นเหตุให้ “อนุพันธ์ บุญชื่น” คิดอะไรที่ไม่ค่อยซ้ำแบบใคร…เป็นผลให้บังเกิดไอเดียเก๋ไก๋ในอาชีพ “ให้บริการและขายโลงศพสุนัข”
งานให้บริการและขายโลงศพสุนัข เป็นอาชีพใหม่ที่เพิ่งเกิดขึ้นสด ๆ ซิง ๆ เมื่อประมาณต้นปี 2549 นี้เอง โดย “อนุพันธ์” เฉลยถึงที่มาอันเป็นจุดเริ่มต้นทำให้มาจับงานด้านนี้ว่า เกิดจากการที่ได้รับรู้ปัญหาของลูกค้าที่สูญเสียสุนัขเพราะอุบัติเหตุรถชน
แต่ไม่ได้รับการดูแลบรรจุศพสุนัขในโลงให้สมกับเป็นสุนัขแสนรู้ที่เจ้าของรักนักรักหนา ซึ่งในหัวอกคนรักสุนัขด้วยแล้ว คงไม่อาจยอมรับได้ที่น้องหมาผู้ซื่อสัตย์กับเจ้าของมาตลอดชีวิต แต่เมื่อถึงคราวต้องจากไปจะได้รับการปฏิบัติเพียงแค่บรรจุศพในถุงดำ ก็คงไม่ยุติธรรมเท่าไหร่
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เกิดความคิดเปิดให้บริการดูแลและขายโลงศพสุนัขหลังการตาย ซึ่งถือเป็นอาชีพที่ทำแล้วมีความสุข สบายใจ ขณะเดียวกันก็มีรายได้เข้ามาอย่างเป็นกอบเป็นกำเนื่องจากตลาดยังไม่มีใครเคยทำ ขณะนี้ได้เปิดเว็บไซต์ยี่ห้อโลงศพ “หลับสบาย” ให้กับผู้ที่มีใจ รักสุนัขแต่มีเหตุให้ต้องสูญเสีย สามารถเข้ามาติดต่อสอบถามราคาและบริการได้
ทั้งนี้ขนาดของโลงศพที่จัดทำจำหน่ายมี 3 ขนาดด้วยกันได้แก่
ขนาดเล็กมีราคา 2,000 บาท สำหรับให้บริการลูกสุนัขขนาดเล็กพันธุ์พูเดิ้ล ชิทสุ
ขนาดกลางเหมาะกับสุนัขพันธุ์เทอร์เรีย บางแก้ว
และขนาดใหญ่ พันธุ์โกลเด้น รีทรีฟเวอร์ เยอรมัน เชฟเพิร์ด และพันธุ์ลาบารดอร์ เป็นต้น
“เรายังไม่รู้ว่าตลาดสุนัขจะตอบรับ ไอเดียนี้อย่างไร แต่ก็ถือเป็นการเอาใจลูกค้าในกลุ่มที่รักสุนัขเป็นชีวิตจิตใจ เวลานี้มีลูกค้าที่ติดต่อเข้ามาเฉลี่ยเดือนหนึ่งประมาณ 10 ราย ซึ่งลวดลายที่เราออกแบบในโลงศพจะแตกต่างจากโลงศพของคน โลงศพสุนัขเราจะเน้นความน่ารัก เช่น รอยเท้าสุนัข กระดูก เป็นต้น เพื่อไม่ให้ถูกมองว่ามีลักษณะคล้ายโลงศพคนอาจเข้าข่ายลบหลู่ได้”
เจ้าของไอเดียเก๋ขายโลงศพสุนัข พูดพลางอมยิ้มด้วยความปลื้มใจ ก่อนจะสาธยายต่อว่า
งานที่เราทำไม่ได้มีแค่ขายโลงศพอย่างเดียวแต่ยังมีบริการบรรจุศพสุนัขด้วย..ทันที ที่ลูกค้าติดต่อเข้ามาจะมีรถบริการนำโลงไปรับศพสุนัขถึงบ้านในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล เมื่อไป ถึงแล้วเจ้าหน้าที่จะนำศพสุนัขบรรจุในห่อผ้าดิบ นำใส่โลงพร้อมกับปิดฝาโลงให้สนิทรวมไปถึงการประสานเรื่องทำพิธีกรรมงานศพไปที่วัดคลองเตยใน ซึ่งเปิดบริการรับสวดและเผาศพสุนัข ตลอดจนการลอยอังคารด้วย
นอกจากนี้บริการที่เปิดให้กับลูกค้ายังมีเรื่องของการสลักชื่อ ประวัติสุนัขที่โลงศพและลงเว็บไซต์ให้ด้วยเพื่อสดุดีวีรกรรมความกล้าหาญและความซื่อสัตย์ของสุนัขตัวนั้น ๆ เพื่อที่ว่ายามที่เจ้าของเกิดความคิดถึงก็สามารถเข้าไปคลิกดูข้อมูลได้
“ผมคิดว่าขณะนี้ทิศทางตลาดสุนัข ในปี 2549 กำลังมาแรง คนรุ่นใหม่นิยมมาเรียนและทำธุรกิจเกี่ยวกับสุนัขกันมาก จนกลายเป็นแฟชั่น ไม่ต่างจากการเรียนภาษาอังกฤษและคอมพิวเตอร์ อาจจะเป็นเพราะว่าในปัจจุบัน ความผูกพันระหว่างสุนัขกับคนไทย ได้แปรเปลี่ยนจากเดิม ที่ผู้คนมักจะเลี้ยงสุนัขเป็นเพียงแค่สัตว์เลี้ยง ไม่ได้มีอะไรที่เทียบเท่ากับคน แต่วิวัฒนาการที่เปลี่ยนทำให้คนให้ความรัก ความสำคัญกับสุนัข ประหนึ่งลูกในไส้ ทำให้ธุกิจเกี่ยวกับสุนัขบูมไปด้วย ผมเชื่อว่าธุรกิจนี้จะยั่งยืนเพราะอายุของสุนัขจะมีช่วงอายุไปจนถึง 12 ปี”
เรากำลังมองหาพาร์ตเนอร์ เพื่อเป็นเครือข่ายทางธุรกิจจำหน่ายโลงศพสุนัขใน 76 จังหวัด ซึ่งเล็งไปที่กลุ่มตัวแทนหรือร้านค้าที่เปิดขายโลงศพอยู่แล้ว ซึ่งร้านค้าเหล่านี้จะมีกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจนและมีต้นทุนการผลิตโลงศพในราคาที่ถูก ซึ่งสั่งทำโลงศพครั้งละมาก ๆ ก็จะได้ราคาที่ถูกลง ไม่แน่ถ้าเราสามารถเชื่อม ต่อกันได้ ต่อไปโลงศพสุนัขน่าจะมีราคาไม่เกิน 500 บาท

dragoness กล่าวว่า...

นางสาวนีรนุช วารีสี 48010510943 4EN

"Digital Coach อาชีพใหม่ในวงการเทคโนโลยี "

เทคโนโลยีที่ก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว ทำให้หลายคนตามแทบไม่ทัน จึงเกิดอาชีพใหม่แนะแนวการใช้เทคโนโลยีอย่างเหมาะสม
กรุงเทพธุรกิจ ออนไลน์ : Digital Coach คือบุคคลที่ทำหน้าที่สอนหรือให้คำแนะนำผู้ประกอบการ องค์กร หรือบริษัทต่างๆ เกี่ยวกับความรู้ทางด้านเทคโนโลยี เพื่อนำไปใช้เพิ่มผลผลิตให้สูงขึ้น หรือสร้างกลยุทธ์ใหม่ๆ ทางด้านการตลาดให้มากขึ้นด้วย
ยกตัวอย่างเช่น Digital Coach อาจจะสอนพนักงานบริษัทให้รู้จักใช้โทรศัพท์มือถือในการรับส่งอีเมลกับลูกค้า หรือใช้บล็อกในการประชาสัมพันธ์องค์กร เป็นต้น
เหตุที่ Digital Coach จำเป็นสำหรับยุคสมัยนี้ เพราะเทคโนโลยีมีความก้าวหน้ารวดเร็วมาก ทำให้คนส่วนใหญ่ตามแทบไม่ทัน ยิ่งคนที่ไม่ค่อยได้ใส่ใจหรือข้องแวะกับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์แล้ว ยิ่งไปกันใหญ่ ทุกวันนี้จึงอาจมีคำถามที่ไม่น่าเชื่อว่าจะได้ยินเกิดขึ้นบ่อยครั้ง เช่น
“เฮ้ โทรศัพท์รุ่นนี้ส่งข้อมูลวีดีโอได้ด้วยเหรอ?”
“Gmail ดียังไงเหรอ?”
“บล็อกต่างจากเว็บไซต์ตรงไหน?”
“จะทำกราฟหรือแผนภูมิใน excel หรือ word ดี?”
“เพิ่งรู้นะเนี่ยว่าเดี๋ยวนี้พิมพ์งานแล้วเซฟออนไลน์ได้เลย ไม่ต้องใช้ word ทำก็ได้”
ทั้งหมดนี้เป็นเพียงตัวอย่างของคนที่ยังขาดความรู้ความเข้าใจด้านเทคโนโลยี ซึ่งจริงๆ แล้วในแต่ละองค์กรยังมีคนอีกมากที่ต้องการคำแนะนำดีๆ เพื่อสร้างสรรค์งานได้อย่างเต็มที่
ดังนั้นความสำคัญของ Digital Coach จึงเพิ่มมากขึ้นทุกวัน และเป็นไปได้ว่าอาจจะมีคนที่หันมาทำอาชีพนี้กันมากขึ้น โดยตัวอย่างหน้าที่หลักๆ ในการเป็น Digital Coach เช่น
- การสอนให้ผู้ใช้คอมพิวเตอร์เก็บสำรองข้อมูลเพื่อป้องกันการสูญหายของเอกสารสำคัญ
- การเช็คอีเมลผ่านโทรศัพท์มือถือ
- การใช้บล็อกในการสื่อสารกับลูกค้าขององค์กร
- การจัดเก็บข้อมูลในคอมพิวเตอร์อย่างถูกวิธี เพื่อความปลอดภัยและเรียกใช้ได้อย่างง่ายดาย
หากมองแนวโน้มความต้องการ Digital Coach ของตลาดแล้ว พบว่ามีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และนี่อาจเป็นอาชีพใหม่หรือช่องทางการทำมาหากินอีกแบบ ที่น่าจะสร้างรายได้ให้แก่ผู้มีความรู้ด้านเทคโนโลยีเป็นอย่างดี และยังส่งผลให้ภาคธุรกิจต่างๆ มีศักยภาพการผลิตและการบริการที่ดีขึ้นอีกด้วย

winter season กล่าวว่า...

นางสาวจันทร์สุนีย์ คำอ้วน
48010510911 4EN
อาชีพที่ดิฉันเลือกคือ อาชีพรับจ้างถอนผมหงอก
“รับจ้างถอนผมหงอก”
ฟังดูเหมือนไม่น่าเป็นอาชีพได้ แต่ชั่วโมงนี้กลายเป็นอีกอาชีพให้คนว่าง นำไปใช้ทำมาหากินอย่างเป็นล่ำเป็นสันกันไปแล้ว
วรนันท์ โดดเดชา หรือ “เจ๊จู” วัย 54 ปี ผู้เช่าพื้นที่ขนาด 4 ตารางเมตร บนชั้น 2 ของร้านค้าสหกรณ์พระนคร หน้าสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสอารีย์ เป็นหนึ่งในคนตกงาน ที่ประสบความสำเร็จจากการใช้ความถนัดที่คนคิดไม่ถึงมายึดเป็นอาชีพที่มั่นคง
จู เล่าให้ฟังว่า เธอเคยผ่านงานมาแล้วไม่ต่ำกว่า 6 อาชีพ เคยเป็นทั้งลูกจ้างร้านขายข้าวแกง แม่ครัวร้านขายอาหารตามสั่ง รับจ้างเย็บชุดชั้นใน เป็นคนงานเลาะชิ้นส่วนไก่ในบริษัทสหฟาร์ม รับจ้างซักแห้งเครื่องแบบให้ลูกเรือของบริษัทการบินไทย และผลิตดอกไม้ประดิษฐ์ขาย
เธอว่า เหตุที่หันหลังให้แต่ละอาชีพ ต่างกันไปตามวัย และเหตุปัจจัยแต่ละช่วง
อย่างไรก็ดี จู สารภาพอย่างไม่อาย ว่าเธอเป็นคนมีนิสัยชอบถอนผมหงอกให้ญาติสนิท มิตรสหาย มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว
“ฉันเป็นคนประเภทที่ว่า เห็นใครผมหงอกเป็นไม่ได้ จะรู้สึกคันไม้ คันมือ อยากเข้าไปถอนขึ้นมาทันที” เจ๊จูพูดกลั้วเสียงหัวเราะ
หลังจากเลิกอาชีพสุดท้าย ทำดอกไม้ประดิษฐ์ กลายเป็นคนว่างงาน วันหนึ่งเธอกับน้องสาว ออกจากบ้านย่านมีนบุรี เดินทางไปทำธุระแถวสหกรณ์ พระนคร ซอยอารีย์ เขตพญาไท
จู สังเกตว่า ระหว่างช่วงพักกลางวัน ย่านนี้มีผู้คนขวักไขว่ทุกเพศ ทุกวัย หลายสาขาอาชีพ เบียดเสียดกันหาอาหารเที่ยงใส่ท้อง
สิ่งหนึ่งที่สะดุดตาเธอเป็นพิเศษ นั่นคือ มีมนุษย์ออฟฟิศจำนวนไม่น้อย คะเนจากสายตา ส่วนใหญ่อายุยังไม่ถึง 30 แต่ละคนแต่งตัวดูภูมิฐาน ทันสมัย
แต่...บนศีรษะของคนเหล่านั้น กลับแซมไปด้วยผมหงอกก่อนวัยกันเป็นแถว
ในแวบหนึ่งของความคิด จู หันไปเปรยทีเล่นทีจริงกับน้องสาวที่มาด้วยกันว่า
“ดูซิอายุยังไม่เท่าไหร่ ผมหงอกกันเป็นแถว ถ้าฉันมาลงทุนเปิดร้านรับจ้างถอนผมหงอกให้คนแถวนี้ สักวันคงเป็นเศรษฐี”
นอกจากน้องสาวของจูไม่เห็นด้วย ยังสวนกลับอีกว่า
“ไม่มีทาง คนแถวนี้เขาแต่งตัวดูดี มีบุคลิกกันทั้งนั้น ใครเขาจะมากล้านั่งให้ถอนหงอก”
จู บอกว่า หลังจากวันนั้นเธอกลับไปใคร่ครวญ ชั่งน้ำหนักระหว่างประกายความคิดทีเล่นทีจริงของตัวเอง กับคำพูดน้องสาว
ในที่สุดความเชื่อมั่น ผสมความกล้าบ้าบิ่น อยากลองทำในสิ่งที่คิดว่า ไม่น่ามีใครเคยยึดเป็นอาชีพจริงจังมาก่อนผลักไสให้จูตัดสินใจไปติดต่อขอเช่าพื้นที่ว่าง
เปิดร้านรับถอนผมหงอก บนชั้น 2 สหกรณ์พระนคร ซอยอารีย์ จ่ายค่าเช่าเดือนละ 3,000 บาท
บนพื้นที่เช่าราว 4 ตารางเมตร กว้างพอที่จะตั้งเก้าอี้ได้ 2 ตัว กับตู้โชว์ ให้เช่าบูชาพระเครื่องขนาดไม่ใหญ่นักอีก 2 ตู้ นำมาใช้กั้นคอกทำเป็นมุมฉาก อำพรางผู้ที่อยู่ด้านใน พอให้รอดพ้นสายตา คนที่เดินผ่านไปมาบริเวณนั้น
“มาเปิดร้านที่นี่ เมื่อพฤศจิกายนปีที่แล้ว ช่วง 3 เดือนแรก เครียดมาก เพราะมีลูกค้า เฉลี่ยวันละไม่เกิน 2 ราย เราคิดค่าถอนแค่ชั่วโมงละ 80 บาท หากถอน 2 ชั่วโมงคิด 150 บาท...
แต่โดยมากมาถอนกันคนละชั่วโมงเดียว หักค่ากิน ค่ารถ ค่าเช่าแล้ว แทบไม่เหลือ นึกถึงคำที่น้องสาวเตือนแล้วไม่ฟัง เกือบจะถอดใจ บอกเลิกพื้นที่เช่าไปแล้ว”
จู บอกว่า ไม่เพียงช่วงที่กิจการของเธอในระยะตั้งไข่ 3 เดือน ทำท่าจะไปไม่รอด พระเครื่องในตู้โชว์ ที่เธอนำมาให้เช่าบูชา เพื่อหวังเอาไว้เสริมรายได้ ก็ยังซบเซาอีก
แต่ให้เหมือนโชคช่วย เธอว่า หลังจากพ้นระยะ 3 เดือนแรก เริ่มเข้าสู่ เดือนที่ 4 ของการเปิดร้าน เริ่มมีลูกค้าหน้าเก่าที่ติดอกติดใจในบริการถอนผมหงอก ใช้วิธีบอกต่อกันแบบปากต่อปาก ทำนองว่า ใช้ดีจึงบอกเพื่อน ทำให้ไม่นาน มีลูกค้าทวีจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว
จู ว่า ทุกวันนี้เธอมีทั้งลูกค้าขาจร และขาประจำ ทั้งในละแวกซอยอารีย์ และลูกค้าต่างถิ่น มาไกลจากสวนพลู ดอนเมือง ฝั่งธนฯ ไม่เว้นแม้แต่จังหวัดสระบุรี และตาก มาใช้บริการช่วงที่เข้ามาทำธุระในกรุงเทพฯ ก็ยังมี
“หลังจากเปิดกิจการรับถอนผมหงอกมาได้ 1 ปีเต็ม นอกจากรู้สึกมั่นใจในอาชีพที่ตัวเองคิดไม่ผิด ยังเริ่มรู้สึกว่า มีความมั่นคงในฐานะความเป็นอยู่มากขึ้น”
ดูได้จากแต่ละวันที่ลูกค้าจองคิวถอนผมหงอกกับเธอยาวเหยียด ถึงกับต้องโทร.นัดหมาย ล็อกคิวล่วงหน้ากันทางโทรศัพท์
จำนวนลูกค้าของเธอ ยังเพิ่มขึ้นเป็นเฉลี่ยวันละ 3-4 ราย แถมลูกค้าส่วนใหญ่ ยังใช้เวลาถอนหงอกกันคนละไม่ต่ำกว่า 2 ชั่วโมง บางรายหงอกโพลนทั่วทั้งศีรษะ เหมาถอนยาว 4 ชั่วโมงรวดก็มี
นักถอนหงอก มือวางอันดับ 1 ย่านซอยอารีย์ บอกว่า ระหว่างการย้อมสีผมให้ดำ กับการถอนผมหงอก ให้ผลลัพธ์ที่แตกต่าง
“ต่อให้ใช้น้ำยาย้อมดีแค่ไหน ยังไงก็ปิดโคนผมขาวได้ไม่มิด สู้ถอนทิ้งทั้งเส้นไม่ได้”
จู เผยถึงกลเม็ดการถอนหงอก ที่ทำให้ลูกค้าหลายคนประทับใจ และเปลี่ยนใจจากเคยย้อมผม มาเป็นถอนผมหงอกแทนว่า ก่อนอื่นต้องมีอุปกรณ์ สำคัญ 2 อย่าง คือ แหนบถอนขน กับ หวีหาง
“ควรเลือกใช้แหนบถอนอันที่ปลายหนีบไม่คมนัก และไม่เกาะชิดจนเกินไป ถ้าคม หรือปากชิดกันเกินไปจะทำให้ดึงผมขาดซะก่อน โคนผมหงอกยังไม่ทันหลุด เหลือทิ้งไว้เป็นตอผมให้ต้องดึงออกอีกรอบ”
ส่วนหวีหาง จู แนะนำว่า เนื่องจากเป็นหวีที่บาง หวีแล้วเห็นสีผมได้ถนัดชัดเจนกว่าหวีแบบอื่น ยังมีข้อดีตรงที่หวีแล้ว ผมจะไม่ปิดลงมาเร็วเหมือนกับการใช้หวีอย่างหนา อีกอย่าง ควรเลือกหวีหางที่มีซี่หวีไม่คมนัก เพราะเวลาหวีพลาด จะได้ไม่เจ็บหนังศีรษะ
สำหรับขั้นตอนบริการถอนผมหงอกให้ลูกค้า ขั้นแรก จู มักสอบถามลูกค้าก่อนว่า ต้องการใช้บริการกี่ชั่วโมง
หากลูกค้ามีเวลาไม่มาก ต้องการเพียง 1 ชั่วโมง เธอจะไล่ถอนให้ประปรายรอบศีรษะไปก่อน เพราะยังไงแค่ชั่วโมงเดียว ถอนได้ไม่หมด
แต่ถ้าใช้บริการตั้งแต่ 2 ชั่วโมงขึ้นไป เธอจะเริ่มจากหวีเปิดที่กลางศีรษะ เพื่อสำรวจดูโดยรอบว่า บริเวณใดมีผมขาวเยอะ จะทยอยถอนในส่วนนั้นให้เบาบางลงก่อน
จากนั้นจึงไล่ถอนที่บริเวณด้านหน้า แล้วค่อยพลิกวนไปยังขมับซ้าย-ขวา และปิดท้ายรายการที่ท้ายทอย เพราะแต่ละบริเวณที่ว่ามา ล้วนเป็นจุดที่ผู้คนมักสังเกตเห็นผมขาวได้เด่นชัดตามลำดับ
ทุกวันนี้สัดส่วนลูกค้าที่ไปใช้บริการกับจู เป็นผู้หญิงราว 60% ที่เหลือเป็นผู้ชาย วัยของลูกค้าที่ไปใช้บริการกว่า 80% มีอายุระหว่าง 27-45 ปี แต่วัยที่มักจะพบผมหงอกมากที่สุด จูบอกว่า อยู่ระหว่าง 30 ต้นๆ
“เคยสังเกตและสอบถามดู ลูกค้าที่อายุยังไม่มาก แต่มีผมขาวเต็มหัว โดยมากเป็นพวกที่ทำงานด้านไอที วันๆนั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ ใช้ความคิดเยอะ มักเป็นคนเครียดง่าย ผมหงอกก่อนวัยอันควร”
เธอว่า ในทางกลับกัน กลุ่มลูกค้าวัยหลังเกษียณไปแล้ว แทบจะไม่มีใครสนใจไปใช้บริการ จู บอกว่า อาจเป็นเพราะเห็นว่าตัวเองแก่แล้ว จึงปล่อยเลยตามเลย
ก่อนปิดฉากสนทนา จู ฝากบทสรุปทิ้งท้าย
“อาชีพนี้ค่อนข้างสบาย ไร้คู่แข่ง แถมยังแทบไม่ต้องลงทุนเครื่องไม้เครื่องมือ ขอแค่มีทำเลที่เหมาะ มีเก้าอี้ 2 ตัว คนทำใจเย็น สายตาดีเหมือนอีเหยี่ยว มือเบาเหมือนนุ่น ขี้คร้านจะมีงานวิ่งพุ่งเข้าชนจนล้นมือ”.

Picky กล่าวว่า...

ชื่อนางสาวสุพรรณี มณีศรี 48010511020 4EN

อาชีพที่คิดว่าไม่มีในจังหวัดมหาสารคามคือ

ชื่ออาชีพ พนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน Flight Attendants
นิยามอาชีพ ผู้ปฏิบัติงานอาชีพนี้ ทำหน้าที่ต้อนรับบนเครื่องบินโดยสาร โดยให้การต้อนรับ และให้การบริการตั้งแต่เสิร์ฟอาหาร ดูแลความเรียบร้อย อำนวยความสะดวกสบาย ให้ความช่วยเหลือ ตลอดจนให้ความ รับผิดชอบต่อความปลอดภัยของทั้งผู้โดยสาร และตนเองตลอดเวลาที่ปฏิบัติงานอยู่บนเครื่องบิน
ลักษณะของงานที่ทำ งานในสายการบินโดยทั่วไปทั้งใน และนอกประเทศจะมีพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินชายและหญิงที่แบ่งหน้าที่ความ รับผิดชอบค่อนข้างชัดเจน มีหน้าที่หลัก สรุปได้ดังนี้
1. พนักงานต้อนรับทั้งชาย และหญิงต้องขึ้นเครื่องบินก่อนผู้โดยสารประมาณ 30 นาทีถึง 1 ชั่วโมง เพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบกับระบบเครื่องบิน ตำแหน่งที่ต้องประจำบนเครื่อง อุปกรณ์ที่ต้องใช้เพื่อความปลอดภัยของผู้โดยสาร( No go Items) เช่น เสื้อชูชีพ ดับเพลิง ไฟฉาย เครื่องช่วยหายใจ และต้องทราบว่าพนักงานต้อนรับผู้ใดทำหน้าที่ต้อนรับผู้โดยสารบริเวณหน้าประตู
2. พนักงานต้อนรับชาย(Steward)อาจทำหน้าที่ดูแลในครัว ตรวจสอบจำนวนอาหาร และอาหารพิเศษให้ครบ และตรงกับจำนวนผู้โดยสาร อุ่นอาหารให้ครบ และเตรียมอาหารพิเศษออกบริการก่อน
3. พนักงานต้อนรับหญิง ( Air Hostess) อาจตรวจสอบห้องน้ำ อุปกรณ์อำนวยความสะดวก ความเรียบร้อย และความสะอาดในห้องน้ำ ตรวจสอบระบบกำจัดของเสียในห้องน้ำทุกห้องถ้ามีปัญหาขัดข้องต้องแจ้งให้ช่าง จัดการแก้ไขเพราะถ้าไม่ได้รับการแก้ไขให้อยู่ในสภาพที่เรียบร้อย เครื่องบินจะไม่ออกทำการบิน นอกจากนี้ ถ้าเป็นการเดินทางระยะยาว ต้องตรวจสอบความเรียบร้อย และจำนวนของหนังสือพิมพ์ และนิตยสารต่างๆ หูฟัง ถุงเท้า และสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ ที่ต้องบริการแก่ผู้โดยสาร ชั้นธุรกิจ จากนั้นเตรียมจัดตั้งชุดชาหรือกาแฟให้พร้อมที่จะบริการ
4. เมื่อผู้โดยสารขึ้นนั่งประจำที่เรียบร้อย ทำหน้าที่แจ้ง และสาธิตให้ผู้โดยสารทราบถึงการใช้อุปกรณ์ความปลอดภัยในภาวะฉุกเฉินตรวจดู ความเรียบร้อย และความปลอดภัยของ ผู้โดยสารก่อนเครื่องขึ้น และเครื่องลงจึงสามารถเข้านั่งประจำที่ได้
5. ถ้าเป็นการบินระยะยาว ทางสายการบินจะบริการอาหาร และเครื่องดื่มตามเวลาบริการที่กำหนดไว้โดยพนักงานต้อนรับหญิงมีหน้าที่ บริการเครื่องดื่ม และอาหาร ตลอดจนทำความสะอาดบริเวณที่นั่งของ ผู้โดยสารให้เรียบร้อยและให้บริการอื่นๆ ตามที่ผู้โดยสารต้องการ โดยพนักงานต้อนรับชายอาจคอยช่วยเข็นรถอุปกรณ์การบริการ และให้บริการเสริมต่างๆ
สภาพการจ้างงาน ผู้ประกอบอาชีพนี้ ได้รับค่าตอบแทนเป็นเงินเดือนตามวุฒิการศึกษาที่กำหนดในการ รับสมัครเท่านั้น เมื่อผู้ต้องการประกอบอาชีพนี้ผ่านการรับคัดเลือกจะต้องเข้ารับการอบรม วิธีการให้บริการเป็นเวลา 3 เดือน ก่อนปฏิบัติงานบนเครื่องบิน อาจเข้ารับการฝึกในต่างประเทศหรือในประเทศ แล้วแต่นโยบายของแต่ละสายการบิน เมื่อผ่านการฝึกเป็นพนักงานต้อนรับบน เครื่องบินแล้วจะได้รับการปรับเงินเดือน และมีค่าเบี้ยเลี้ยงในการเดินทาง ซึ่งขึ้นอยู่แต่ละแถบพื้นที่การบิน ระยะเวลา และค่าครองชีพ ตลอดจนค่าของเงินในช่วงที่ ทำการปฏิบัติงานในเที่ยวบินนั้นๆ มีสวัสดิการ ส่วนสิทธิพิเศษอื่นๆ และโบนัสจะได้รับประมาณ1-3 เท่าของเงินเดือน ซึ่งแล้วแต่ผลกำไรของการประกอบการ และสภาพเศรษฐกิจของประเทศ เช่น ถ้าปฏิบัติการบินในโซนเอเชียที่นับจากการขึ้นเครื่องบินจนถึงเครื่องบินลง จอด ณ สนามบินปลายทาง ใช้เวลาเดินทาง 24 ชั่วโมงจะได้ค่าเบี้ยเลี้ยง (per diem) ประมาณ 3,500 บาทต่อเที่ยว เป็นต้น ชั่วโมงการทำงาน และการพักจะปฏิบัติตามกฎหมายแรงงาน โดยทั่วไปแล้วถ้าปฏิบัติหน้าที่ใน ประเทศ ซึ่งเป็นเส้นทางการบินระยะสั้นๆ ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง จะไม่มีวันหยุดหลังจากปฏิบัติงานแล้วเสร็จ แต่ถ้าบินระยะยาว 1 คืน 1 วัน จะได้วันหยุดพักผ่อน 1 - 2 วัน และในหนึ่งเดือนจะได้วันหยุดพัก 9 - 10 วัน สภาพการทำงาน ผู้ปฏิบัติงานอาชีพนี้ จะต้องปฏิบัติหน้าที่ทั้งกลางวัน และกลางคืนตามกำหนดตารางการบิน สภาพการทำงานจะมีความกดดันสูงสำหรับ เจ้าหน้าที่ต้อนรับใหม่ เพราะต้องปรับตัว และต้องทำความคุ้นเคย กับงานบริการที่ต้องปฏิบัติตนให้ครบถ้วน และถูกต้องตลอดเวลาที่ปฏิบัติงานบนเครื่องบิน ซึ่งส่วนมากเป็นงานที่ต้องเสริฟอาหาร เดินบริการ ดูแลความสะดวกสบายของผู้โดยสารตลอดเวลา พร้อมที่จะให้บริการ แก่ผู้โดยสารตลอดเวลา และทำความสะอาดห้องน้ำตลอดเวลาขณะอยู่บนเครื่องบิน ดังนั้น ทางฝ่ายบริหารของสายการบินแต่ละแห่งจะทำการตรวจสอบ ทดสอบความสามารถ และอบรมเพื่อเพิ่ม ประสิทธิภาพ และศักยภาพของพนักงานต้อนรับเป็นระยะๆ อย่างสม่ำเสมอ
คุณสมบัติของผู้ประกอบอาชีพ ผู้ประกอบอาชีพนี้ ต้องมีคุณสมบัติ ดังต่อไปนี้
1. สำเร็จการศึกษาระดับอนุปริญญา หรือสูงกว่า
2. ถ้าเป็นหญิงควรมีความสูงประมาณ 156 - 165 เซนติเมตร อายุ 20-26 ปี
3. ถ้าเป็นชายไทย ต้องผ่านการเกณฑ์ทหารอายุไม่เกิน 28 ปี สูง 165 เซนติเมตรขึ้นไป สัดส่วนน้ำหนักพอดีกับความสูง
4. พูดอ่านเขียนภาษาอังกฤษได้ดีมาก จะต้องนำผลคะแนนสอบ ไม่ต่ำ กว่า 500 คะแนน ของ TOEIC / TOFEL มาแสดง
5. มีความสามารถว่ายน้ำฟรีสไตล์โดยไม่หยุด หญิง 50 เมตร , ชาย 100 เมตร
6. มีบุคลิกดี และมีมนุษยสัมพันธ์ดี
7. มีไหวพริบ และปฏิภาณดี สามารถแก้ไขปัญหาที่อาจเกิดขึ้นโดยไม่คาดคิด
นอกจากนี้ คุณสมบัติทั่วไปที่ควรมี คือ มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง เป็นคนโสด สายตาดี มีความอดทน มีความพร้อมของร่างกาย และจิตใจทางด้านบริการ ต้องเรียนรู้ และทำความเข้าใจกับ วัฒนธรรมที่แตกต่างของผู้โดยสารแต่ละประเทศ การใช้ภาษาต่างประเทศภาษาที่ 3 นอกเหนือจากภาษาอังกฤษ จึงอาจเป็นเรื่องจำเป็นพอสมควร
ผู้ที่จะประกอบอาชีพนี้ ควรเตรียมความพร้อมดังต่อไปนี้ : ต้อง ติดต่อกับสายการบินต่างๆ เพราะบางสายการบินรับสมัครผู้สำเร็จชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายสายอาชีพหรือสาย สามัญเข้าปฏิบัติงานและควรเรียนภาษาอังกฤษ ในสถาบันที่มีการสอบเทียบคะแนน ทั้ง TOEIC และ TOFEL ตามที่ทาง สายการบินกำหนดไว้ ถ้ามีสายตาสั้นควรทำการศัลยกรรมช่วย เพราะบางสายการบินระบุในการประกาศรับสมัครไว้เช่นนั้น บางสายการบินอาจประกาศรับสมัครแต่พนักงานต้อนรับหญิงเท่านั้น และการกำหนดส่วนสูงอาจแตกต่างกัน
โอกาสในการมีงานทำ ปัจจุบัน สายการบินหลายสายรับพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินเป็นคนไทย นอกเหนือจาก บริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) และสายการบิน แองเจิลแอร์ไลนส์ ซึ่งมีพนักงานต้อนรับ รวมทั้งหมดประมาณกว่า 4,000 คน นอกจากนี้ ยังมีสายการบินต่างประเทศ เช่น JAL, CATHEY PACIFIC, QUANTAS เป็นต้น สายการบินเหล่านี้จะรับสมัครพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินทุกปี
โอกาสความก้าวหน้าในอาชีพ สำหรับ ผู้ปฏิบัติงานอาชีพนี้ จะได้รับการอบรมให้บริการผู้โดยสารระดับต่างๆ จนถึงบริการ ผู้โดยสารชั้นหนึ่ง และถือเป็นการเลื่อนตำแหน่งสูงขึ้น โดยจะมีค่าตำแหน่งเพิ่มให้ และในบางตำแหน่งต้องมีการสอบ เช่น ตำแหน่ง Purser ครูสอน(Instructor ) In-flight Manager และผู้กำหนดตารางปฏิบัติงานการบินของพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินทั้งหมด
อาชีพที่เกี่ยวเนื่อง เมื่อผู้ประกอบอาชีพนี้ต้องการเปลี่ยนงานสามารถเปลี่ยนสายการทำงานตามความสามารถของตน ในภาคพื้นดิน โดยต้องทำการสอบแข่งขันเหมือนผู้สมัครอื่นๆ หรือไปประกอบอาชีพอื่น คือนักธุรกิจ ตามสาขาที่ถนัด และมีประสบการณ์เจ้าของร้านอาหาร เจ้าของร้านขายของที่ระลึกจากต่างประเทศ นักเขียนสารคดีท่องเที่ยว พิธีกร
แหล่งข้อมูลอื่น ๆ แหล่งหางานในหนังสือพิมพ์และเว็บไซต์เอกชนต่างๆ การจัดประเภทมาตรฐานอาชีพ (ประเทศไทย) บริษัทสายการบินต่างๆ สมาคมโรงแรมไทย สมาคมส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย

aon: EC กล่าวว่า...

นางสาวบังอร สิมพันธ์ 48010511551 EC
กลุ่มเรียนที่ 3

ขอนำเสนอ อาชีพ นี้ค่ะ
. . . พิธีกร . . .
ลักษณะทั่วไปของอาชีพ
- ทำหน้าที่ดำเนินรายการโทรทัศน์ หรือรายการบนเวทีการแสดง โดยประกาศอธิบายแนะนำรายการและหรือบุคคลหรือสิ่งที่น่าสนใจต่อท่านผู้ชม ซักถามผู้เข้าร่วมรายการให้ตอบคำถามข้อปัญหาเรื่องที่น่าสนใจโดยเป็นผู้จัดเตรียมรายการด้วยตนเอง หรือโดยมีผู้ร่วมทีมเป็นผู้ดำเนินการและพยายามดำเนินรายการให้ผู้ชมได้รับความรู้เรื่องที่น่าสนใจและความบันเทิงตามนโยบาย
คุณสมบัติ
1. สนใจ และรักการพูด และกล้าแสดงออกสามารถสื่อสารให้ผู้ชมเข้าใจได้
2.ต้องเป็นผู้ที่ออกเสียงควบกล้ำในภาษาไทยชัดเจนมีน้ำเสียงน่าฟังสุภาพและมีลีลาในการนำเสนอ 3.เป็นผู้มีความรู้รอบตัวและสนใจกระแสเหตุการณ์ของโลกเพื่อใช้ประโยชน์ในการดำเนินรายการ 4.มีคุณลักษณะในการทำงานเป็นทีมสูงมีมนุษยสัมพันธ์มีระเบียบวินัยในการทำงาน
5. มีทัศนคติที่ดี มีความเป็นกลาง
6.คัดเลือกเชิญผู้เกี่ยวข้องกับประเด็นที่กำลังจะออกหรือดำเนินรายการมาเป็นแขกรับเชิญ
โอกาสและความก้าวหน้า
- ค่าตัวสำหรับพิธีกรที่เพิ่งเริ่มทำงานประมาณครั้งละ 3,000-7,000 บาทสำหรับพิธีกรชื่อดังซึ่งอยู่ในความนิยมของประชาชนครั้งละประมาณครั้ง 30,000 - 50,000 บาท หรืออาจสูงถึง 100,000 บาท กำหนดเวลาทำงานขึ้นอยู่กับข้อตกลงกับเจ้าของสถานีโทรทัศน์เจ้าของรายการ หรือผู้ว่าจ้าง ซึ่งไม่สามารถกำหนดตายตัวได้
- ในกรณีของพิธีกรจัดรายการเพลงหรือวีเจอาจได้รับการทาบทามให้เป็นพิธีกรรายการ อื่นที่ไม่ซ้ำกับการเป็นพิธีกรรายการเดิมเป็นดารา และอาจเป็นผู้ประกาศข่าวบันเทิง ส่วนพิธีกรจัด รายการประเภทถามตอบ หรือดำเนินรายการสาระทางเศรษฐกิจ หรือการเมืองอาจใช้ประสบการณ์ ทำการวิเคราะห์สถานการณ์ และเขียนบทความลงหนังสือพิมพ์ เพื่อเผยแพร่ความรู้ และมุมมอง
ความต้องการของตลาดแรงงาน
- นอกจากนี้ยังต้องมีความสามารถพูดภาษาอังกฤษได้ดีเท่าๆ กับภาษาไทย เพราะรายการเพลงส่วนมากจะจัดเป็น 2 ภาษา พิธีกรแบบวีเจเป็นที่ต้องการอย่างมากในขณะนี้ พิธีกร ที่ดำเนินรายการสนทนา และสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ และการเมือง กำลังมีความต้องการสูงเช่นกันเพราะสถานการณ์เศรษฐกิจของประเทศไทยกำลังอยู่ในระหว่างการฟื้นตัว และประชาธิปไตยในประเทศกำลังได้รับการส่งเสริมอย่างกว้างขวาง และแพร่หลายสู่ท้องถิ่นและชุมชน รายการประเภทนี้จึงต้องการพิธีกรรุ่นใหม่ที่มีความรู้ความสามารถในเรื่องเศรษฐกิจ และการเมือง

sirirat chaimanan กล่าวว่า...

นางสาวศิริรัตน์ ไชยมานันต์ 48010511049 EN sec.3 อาชีพแปลกๆๆที่ดิฉันคิดว่าไม่มีในจังหวัดมหาสารคามก็คืออาชีพนี้ค่ะ....ได้แก่ อาชีพ
รับจ้างถอนหงอก งานสบายรายได้ดี [18 พ.ย. 51 - 17:29]
สวนดุสิตโพลสำรวจความเห็นผู้ใช้แรงงานไทย 4,000 ราย ใน 19 จังหวัด ภายใต้หัวข้อ “หัวอกแรงงานไทยวันนี้”
พบว่า...ปัญหาที่ผู้ใช้แรงงานรู้สึกหนักอกมากที่สุดยามนี้ คิดเป็นสัดส่วน 39.02% คือ ความไม่มั่นคงในอาชีพ
หรือพูดอีกอย่าง ระยะนี้เศรษฐกิจทั้งในและนอกประเทศไม่ดี กลัวถูกนายจ้างลอยแพ กลายเป็นคนตกงาน
ผลการสำรวจยังระบุสิ่งที่ผู้ใช้แรงงานส่วนใหญ่ อยากให้รัฐบาลเร่งดำเนินการโดยเร็วที่สุด คือ การแก้ไขปัญหาปากท้อง ก่อนที่จะไปแก้ปัญหาการเมือง และ ควรเร่งหาวิธีป้องกันไม่ให้แรงงานระดับรากหญ้า ต้องตกงาน
รวมความแล้ว ชั่วโมงนี้ทั้งภาวะการเมือง เศรษฐกิจ และการจ้างงานในประเทศ แขวนชะตากรรมไว้บนเส้นด้าย ยังมีคนอีกเรือนล้าน ที่ยังหางานทำไม่ได้
“รับจ้างถอนผมหงอก”
ฟังดูเหมือนไม่น่าเป็นอาชีพได้ แต่ชั่วโมงนี้กลายเป็นอีกอาชีพให้คนว่าง นำไปใช้ทำมาหากินอย่างเป็นล่ำเป็นสันกันไปแล้ว
วรนันท์ โดดเดชา หรือ “เจ๊จู” วัย 54 ปี ผู้เช่าพื้นที่ขนาด 4 ตารางเมตร บนชั้น 2 ของร้านค้าสหกรณ์พระนคร หน้าสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสอารีย์ เป็นหนึ่งในคนตกงาน ที่ประสบความสำเร็จจากการใช้ความถนัดที่คนคิดไม่ถึงมายึดเป็นอาชีพที่มั่นคง
จู เล่าให้ฟังว่า เธอเคยผ่านงานมาแล้วไม่ต่ำกว่า 6 อาชีพ เคยเป็นทั้งลูกจ้างร้านขายข้าวแกง แม่ครัวร้านขายอาหารตามสั่ง รับจ้างเย็บชุดชั้นใน เป็นคนงานเลาะชิ้นส่วนไก่ในบริษัทสหฟาร์ม รับจ้างซักแห้งเครื่องแบบให้ลูกเรือของบริษัทการบินไทย และผลิตดอกไม้ประดิษฐ์ขาย
เธอว่า เหตุที่หันหลังให้แต่ละอาชีพ ต่างกันไปตามวัย และเหตุปัจจัยแต่ละช่วง
อย่างไรก็ดี จู สารภาพอย่างไม่อาย ว่าเธอเป็นคนมีนิสัยชอบถอนผมหงอกให้ญาติสนิท มิตรสหาย มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว
“ฉันเป็นคนประเภทที่ว่า เห็นใครผมหงอกเป็นไม่ได้ จะรู้สึกคันไม้ คันมือ อยากเข้าไปถอนขึ้นมาทันที” เจ๊จูพูดกลั้วเสียงหัวเราะ
หลังจากเลิกอาชีพสุดท้าย ทำดอกไม้ประดิษฐ์ กลายเป็นคนว่างงาน วันหนึ่งเธอกับน้องสาว ออกจากบ้านย่านมีนบุรี เดินทางไปทำธุระแถวสหกรณ์ พระนคร ซอยอารีย์ เขตพญาไท
จู สังเกตว่า ระหว่างช่วงพักกลางวัน ย่านนี้มีผู้คนขวักไขว่ทุกเพศ ทุกวัย หลายสาขาอาชีพ เบียดเสียดกันหาอาหารเที่ยงใส่ท้อง
สิ่งหนึ่งที่สะดุดตาเธอเป็นพิเศษ นั่นคือ มีมนุษย์ออฟฟิศจำนวนไม่น้อย คะเนจากสายตา ส่วนใหญ่อายุยังไม่ถึง 30 แต่ละคนแต่งตัวดูภูมิฐาน ทันสมัย
แต่...บนศีรษะของคนเหล่านั้น กลับแซมไปด้วยผมหงอกก่อนวัยกันเป็นแถว
ในแวบหนึ่งของความคิด จู หันไปเปรยทีเล่นทีจริงกับน้องสาวที่มาด้วยกันว่า
“ดูซิอายุยังไม่เท่าไหร่ ผมหงอกกันเป็นแถว ถ้าฉันมาลงทุนเปิดร้านรับจ้างถอนผมหงอกให้คนแถวนี้ สักวันคงเป็นเศรษฐี”
นอกจากน้องสาวของจูไม่เห็นด้วย ยังสวนกลับอีกว่า
“ไม่มีทาง คนแถวนี้เขาแต่งตัวดูดี มีบุคลิกกันทั้งนั้น ใครเขาจะมากล้านั่งให้ถอนหงอก”
จู บอกว่า หลังจากวันนั้นเธอกลับไปใคร่ครวญ ชั่งน้ำหนักระหว่างประกายความคิดทีเล่นทีจริงของตัวเอง กับคำพูดน้องสาว
ในที่สุดความเชื่อมั่น ผสมความกล้าบ้าบิ่น อยากลองทำในสิ่งที่คิดว่า ไม่น่ามีใครเคยยึดเป็นอาชีพจริงจังมาก่อนผลักไสให้จูตัดสินใจไปติดต่อขอเช่าพื้นที่ว่าง
เปิดร้านรับถอนผมหงอก บนชั้น 2 สหกรณ์พระนคร ซอยอารีย์ จ่ายค่าเช่าเดือนละ 3,000 บาท
บนพื้นที่เช่าราว 4 ตารางเมตร กว้างพอที่จะตั้งเก้าอี้ได้ 2 ตัว กับตู้โชว์ ให้เช่าบูชาพระเครื่องขนาดไม่ใหญ่นักอีก 2 ตู้ นำมาใช้กั้นคอกทำเป็นมุมฉาก อำพรางผู้ที่อยู่ด้านใน พอให้รอดพ้นสายตา คนที่เดินผ่านไปมาบริเวณนั้น
“มาเปิดร้านที่นี่ เมื่อพฤศจิกายนปีที่แล้ว ช่วง 3 เดือนแรก เครียดมาก เพราะมีลูกค้า เฉลี่ยวันละไม่เกิน 2 ราย เราคิดค่าถอนแค่ชั่วโมงละ 80 บาท หากถอน 2 ชั่วโมงคิด 150 บาท...
แต่โดยมากมาถอนกันคนละชั่วโมงเดียว หักค่ากิน ค่ารถ ค่าเช่าแล้ว แทบไม่เหลือ นึกถึงคำที่น้องสาวเตือนแล้วไม่ฟัง เกือบจะถอดใจ บอกเลิกพื้นที่เช่าไปแล้ว”
จู บอกว่า ไม่เพียงช่วงที่กิจการของเธอในระยะตั้งไข่ 3 เดือน ทำท่าจะไปไม่รอด พระเครื่องในตู้โชว์ ที่เธอนำมาให้เช่าบูชา เพื่อหวังเอาไว้เสริมรายได้ ก็ยังซบเซาอีก
แต่ให้เหมือนโชคช่วย เธอว่า หลังจากพ้นระยะ 3 เดือนแรก เริ่มเข้าสู่ เดือนที่ 4 ของการเปิดร้าน เริ่มมีลูกค้าหน้าเก่าที่ติดอกติดใจในบริการถอนผมหงอก ใช้วิธีบอกต่อกันแบบปากต่อปาก ทำนองว่า ใช้ดีจึงบอกเพื่อน ทำให้ไม่นาน มีลูกค้าทวีจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว
จู ว่า ทุกวันนี้เธอมีทั้งลูกค้าขาจร และขาประจำ ทั้งในละแวกซอยอารีย์ และลูกค้าต่างถิ่น มาไกลจากสวนพลู ดอนเมือง ฝั่งธนฯ ไม่เว้นแม้แต่จังหวัดสระบุรี และตาก มาใช้บริการช่วงที่เข้ามาทำธุระในกรุงเทพฯ ก็ยังมี
“หลังจากเปิดกิจการรับถอนผมหงอกมาได้ 1 ปีเต็ม นอกจากรู้สึกมั่นใจในอาชีพที่ตัวเองคิดไม่ผิด ยังเริ่มรู้สึกว่า มีความมั่นคงในฐานะความเป็นอยู่มากขึ้น”
ดูได้จากแต่ละวันที่ลูกค้าจองคิวถอนผมหงอกกับเธอยาวเหยียด ถึงกับต้องโทร.นัดหมาย ล็อกคิวล่วงหน้ากันทางโทรศัพท์
จำนวนลูกค้าของเธอ ยังเพิ่มขึ้นเป็นเฉลี่ยวันละ 3-4 ราย แถมลูกค้าส่วนใหญ่ ยังใช้เวลาถอนหงอกกันคนละไม่ต่ำกว่า 2 ชั่วโมง บางรายหงอกโพลนทั่วทั้งศีรษะ เหมาถอนยาว 4 ชั่วโมงรวดก็มี
นักถอนหงอก มือวางอันดับ 1 ย่านซอยอารีย์ บอกว่า ระหว่างการย้อมสีผมให้ดำ กับการถอนผมหงอก ให้ผลลัพธ์ที่แตกต่าง
“ต่อให้ใช้น้ำยาย้อมดีแค่ไหน ยังไงก็ปิดโคนผมขาวได้ไม่มิด สู้ถอนทิ้งทั้งเส้นไม่ได้”
จู เผยถึงกลเม็ดการถอนหงอก ที่ทำให้ลูกค้าหลายคนประทับใจ และเปลี่ยนใจจากเคยย้อมผม มาเป็นถอนผมหงอกแทนว่า ก่อนอื่นต้องมีอุปกรณ์ สำคัญ 2 อย่าง คือ แหนบถอนขน กับ หวีหาง
“ควรเลือกใช้แหนบถอนอันที่ปลายหนีบไม่คมนัก และไม่เกาะชิดจนเกินไป ถ้าคม หรือปากชิดกันเกินไปจะทำให้ดึงผมขาดซะก่อน โคนผมหงอกยังไม่ทันหลุด เหลือทิ้งไว้เป็นตอผมให้ต้องดึงออกอีกรอบ”
ส่วนหวีหาง จู แนะนำว่า เนื่องจากเป็นหวีที่บาง หวีแล้วเห็นสีผมได้ถนัดชัดเจนกว่าหวีแบบอื่น ยังมีข้อดีตรงที่หวีแล้ว ผมจะไม่ปิดลงมาเร็วเหมือนกับการใช้หวีอย่างหนา อีกอย่าง ควรเลือกหวีหางที่มีซี่หวีไม่คมนัก เพราะเวลาหวีพลาด จะได้ไม่เจ็บหนังศีรษะ
สำหรับขั้นตอนบริการถอนผมหงอกให้ลูกค้า ขั้นแรก จู มักสอบถามลูกค้าก่อนว่า ต้องการใช้บริการกี่ชั่วโมง
หากลูกค้ามีเวลาไม่มาก ต้องการเพียง 1 ชั่วโมง เธอจะไล่ถอนให้ประปรายรอบศีรษะไปก่อน เพราะยังไงแค่ชั่วโมงเดียว ถอนได้ไม่หมด
แต่ถ้าใช้บริการตั้งแต่ 2 ชั่วโมงขึ้นไป เธอจะเริ่มจากหวีเปิดที่กลางศีรษะ เพื่อสำรวจดูโดยรอบว่า บริเวณใดมีผมขาวเยอะ จะทยอยถอนในส่วนนั้นให้เบาบางลงก่อน
จากนั้นจึงไล่ถอนที่บริเวณด้านหน้า แล้วค่อยพลิกวนไปยังขมับซ้าย-ขวา และปิดท้ายรายการที่ท้ายทอย เพราะแต่ละบริเวณที่ว่ามา ล้วนเป็นจุดที่ผู้คนมักสังเกตเห็นผมขาวได้เด่นชัดตามลำดับ
ทุกวันนี้สัดส่วนลูกค้าที่ไปใช้บริการกับจู เป็นผู้หญิงราว 60% ที่เหลือเป็นผู้ชาย วัยของลูกค้าที่ไปใช้บริการกว่า 80% มีอายุระหว่าง 2745 ปี แต่วัยที่มักจะพบผมหงอกมากที่สุด จูบอกว่า อยู่ระหว่าง 30 ต้นๆ
“เคยสังเกตและสอบถามดู ลูกค้าที่อายุยังไม่มาก แต่มีผมขาวเต็มหัว โดยมากเป็นพวกที่ทำงานด้านไอที วันๆนั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ ใช้ความคิดเยอะ มักเป็นคนเครียดง่าย ผมหงอกก่อนวัยอันควร”
เธอว่า ในทางกลับกัน กลุ่มลูกค้าวัยหลังเกษียณไปแล้ว แทบจะไม่มีใครสนใจไปใช้บริการ จู บอกว่า อาจเป็นเพราะเห็นว่าตัวเองแก่แล้ว จึงปล่อยเลยตามเลย
ก่อนปิดฉากสนทนา จู ฝากบทสรุปทิ้งท้าย
“อาชีพนี้ค่อนข้างสบาย ไร้คู่แข่ง แถมยังแทบไม่ต้องลงทุนเครื่องไม้เครื่องมือ ขอแค่มีทำเลที่เหมาะ มีเก้าอี้ 2 ตัว คนทำใจเย็น สายตาดีเหมือนอีเหยี่ยว มือเบาเหมือนนุ่น ขี้คร้านจะมีงานวิ่งพุ่งเข้าชนจนล้นมือ”.


ดิฉันคิดว่างานแบบนี้ก็ดีเหมือนกันนะค่ะเพราะไม่ได้ลงทุนอะไรมากนักแค่อาศัยความถนัดบวกใจรักและยัง เหมาะกับยุคเศรษฐกิจย่ำแย่อีกด้วยค่ะ

Amonrat Donpila กล่าวว่า...

นางสาวอมรรัตน์ ดอนพิลา 48010511033 4EN

อาชีพที่ข้าพเจ้าสำรวจแล้วไม่มีในจังหวัดมหาสารคามหรือจังหวัดละแวกใกล้เคียงนี้คือ อาชีพ" รับจ้างกรี๊ด"

ลักษณะของงานนี้เป็นการเมคขึ้นมา เพราะเสียงกรี๊ดดังๆและเสียงปรบมือโห่ร้องนั้น เกิดขึ้นมาจากนักกรี๊ดมืออาชีพที่ทางรายการจ้างให้มาทำงาน โดยมีคนนำเชียร์เป็นผู้กำกับอีกที

ปัจจุบันอาชีพรับจ้างกรี๊ดจะอยู่ในมือของหนุ่มสาววัยรุ่นมากขึ้น ซึ่งแต่ก่อนจะมีปนเปกันระหว่างแม่บ้านกับนักศึกษา สาเหตุเพราะวัยรุ่นนักศึกษาจะกรี๊ดสนุก เสียงดี และติดต่อให้มาทำงานจำนวนมากๆได้ง่ายกว่า ผู้ที่มาทำงานอาชีพนี้ขอเพียงแต่มีคุณสมบัติในเรื่องหลอดเสียงดีเสียงกรี๊ดดัง มีบุคลิกสนุกสนาน มีความอดทน และตรงต่อเวลาก็สามารถประกอบเป็นอาชีพนี้ได้ โดยขั้นตอนการทำงานแรกเริ่มจะต้องติดต่อผ่านนายหน้าซึ่งเป็นกลุ่มคนที่รับงานอาชีพนี้กับทางเจ้าของเกมโชว์ หรืออาจจะขอให้เพื่อนที่ทำงานด้านนี้มาก่อนนำมาสมัครกับนายหน้าก็ได้

นายทรงพล(เก่ง)โพล้งเสียง เจ้าของ เก่ง โมเด็ลลิ่ง บอกว่าธุรกิจของตนเริ่มเกิดขึ้นอย่างจริงจังในปี 2541 โดยที่ตนรู้จักคนในวงการนี้มาก่อน ตอนแรกๆก็มีบ้างที่ต้องเดินไปเสนองานรับจ้างหาหน้าม้าไปกรี๊ด แต่ต่อมาเมื่อแสดงฝีมือให้เขาเห็นแล้ว ก็มีการบอกกันปากต่อปากจนมีรายการเกมโชว์ที่ติดต่อกันเป็นประจำกับตน
ปัจจุบันโมเด็ลลิ่งของตน ทำงานร่วมกับรายการเกมส์โชว์ต่างๆ เช่น รายการเกมแก้จน, เกมจารชน, ชิงร้อยชิงล้าน, แฟนพันธุ์แท้, เกมทศกัณฐ์, แชมเปี้ยนเกม, เกมทะลุจอ, แซทเทอร์เดย์โชว์, 4 ต่อ 4 แฟมิลี่เกมส์, เฮง เฮง เฮง, คาราโอเกะ , บางรักซอย 9, กาเม่โชว์ ,เกมวัดดวง,
ยอดคนตะลุยฝุ่น, เป็นต้น
การทำงานจะแบ่งลูกน้อง(คนนำเชียร์)ให้แยกกันดูแต่ละรายการไป เช่น คนนี้ดูเวิร์คพ้อยท์, คนนี้ดูอาร์เอส ,คนนี้ดูแกรมมี่ ก็แบ่งๆ กันไป โดยลูกน้อง(คนนำเชียร์)แต่ละคนก็จะมีทีมกรี๊ดและปรบมือของตนเอง จะ 50 คน หรือ 100 คน ก็แล้วแต่ว่ารายการนั้นๆจะจ้างมา ที่เคยจ้างมาสูงสุดก็เป็นงานคอนเสิร์ตแซทเทอร์เดย์ โชว์ ที่มีการรวมตัวกันถึง 500 คน นั่นเป็นความภาคภูมิใจมาก
ค่าจ้างของนักกรี๊ดนั้น จะได้คนละ 150 บาท/เทป โดยใน 1 เทปจะใช้เวลาอัดรายการ 3-4 ชั่วโมง และใน 1 รายการจะใช้เทปอัด 1เทปบ้าง 2 เทปบ้าง นักกรี๊ดจะได้รับเงินทุกวันหลังจากอัดรายการเสร็จ พร้อมอาหาร 2 มื้อและน้ำดื่ม บางครั้งจะได้รับสินค้าแจกฟรีด้วย ในบางรายการที่กลับดึกก็มีรถรับ – ส่งให้กำไรที่ทางโมเดลลิ่งจะได้ คือ จะได้ค่าหัวคิวมาคนละ 50 บาท ถ้าทำงานเต็มอาทิตย์ เมื่อหักค่าใช้จ่ายแล้ว ตนจะมีรายได้ประมาณ 30,000 บาท ถ้ามีงาน ทางโมเดลลิ่งก็จะโทร.ไปบอกเด็ก จะนัดว่าให้ไปวันไหน เวลาไหน ปัจจุบันทางโมเดลลิ่งของตนมีเด็กในทีมงานอยู่แล้วถึง 500 คน สามารถรับงานชนกันได้วันหนึ่งๆ 3 –4 งาน แต่คนหนึ่งๆ ทางโมเดลลิ่งจะให้รับงานได้เพียงแค่ 1 งานเท่านั้น เพื่อตัดปัญหาอย่างบางรายการอาจจะถ่ายไม่เสร็จหรือตัวดารามีปัญหาที่มาช้าก็จะต้องมีการนั่งรอกัน

อาชีพนี้ไม่จำกัดวุฒิการศึกษาแต่แค่มีคุณสมบัติคือสามารถกรี๊ดเสียงดังได้ก็สามารถทำรายได้ให้แก่ตัวเองได้แล้ว

Mayuree_Pui กล่าวว่า...

ช่างเทคนิคควบคุมหุ่นยนต์
นิยามอาชีพ
ออกแบบและติดตั้งโปรแกรมการทำงานของหุ่นยนต์ที่ใช้ในโรงงานอุตสาหกรรม : ดำเนินการควบคุมดูแลให้หุ่นยนต์ทำงานตามระบบโปรแกรมที่วางไว้ ตั้ง ปรับ หรือเปลี่ยนโปรแกรมคำสั่งให้กับหุ่นยนต์เพื่อการทำงานเฉพาะอย่าง ปรับปรุงแก้ไขกลไกการทำงานของหุ่นยนต์ กรณีที่หุ่นยนต์เสียหรือไม่สามารถปฏิบัติงานได้ ณ จุดที่ใช้งาน

ลักษณะของงานที่ทำ

ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์และวิศวกรในประเทศที่พัฒนาแล้ว ได้ประดิษฐ์หุ่นยนต์ขึ้นเพื่อใช้ในงาน สำรวจอวกาศ สำรวจดาวอังคาร สำรวจใต้น้ำ ทางการแพทย์ การเก็บกู้ระเบิด หรือหุ่นยนต์ที่สร้างขึ้นเลียนแบบสัตว์เลี้ยงเพื่อให้เล่นกับมนุษย์ และหลายประเทศได้พัฒนาหุ่นยนต์ให้มีลักษณะการเคลื่อนไหวคล้ายมนุษย์เพื่อใช้ทำงานที่เสี่ยงอันตรายแทนมนุษย์ ประเทศไทยเองก็ได้มีการนำเข้ามาใช้ในงานอุตสาหกรรมการผลิตต่างๆ

หุ่นยนต์คือเครื่องจักรกลชนิดหนึ่งที่มีลักษณะการทำงานแบบอัตโนมัติ (Automatics Machine) หรือกึ่งอัตโนมัติ (Semi automatics Machine) ควบคุมด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ สามารถทำโปรแกรมใหม่ได้หลายครั้ง ผู้ประกอบอาชีพนี้ มีหน้าที่ดังนี้

1. เขียนคำสั่ง โปรแกรมให้ทำงานอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือหลายอย่างได้ ตามประเภทหุ่นยนต์ที่ออกแบบมาเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมนั้น เพื่อควบคุมการเคลื่อนที่ของแขนกลให้ทำงานได้ตามต้องการ เช่น หยิบ จับ
เคลื่อนย้ายวัสดุอุปกรณ์ เครื่องมือ หรืออุปกรณ์พิเศษต่างๆ

2. ควบคุมขั้นตอนการทำงานในหน้างาน เพื่อคอยแก้ปัญหาที่อาจเกิดโดยไม่คาดคิด

3. ประสานงานกับทีมงานและบุคลากรที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องในขณะทำงาน

4. ทำการบันทึกรายงานประจำสัปดาห์ ประจำเดือน หรือรายไตรมาส

5. พัฒนา ทดสอบและแก้ไข ความผิดปกติของโปรแกรมและกลไกหุ่นยนต์

6. ปฏิบัติงานโดยคำนึงถึงความปลอดภัย เพื่อให้งานบรรลุตามเป้าหมาย

7. กระตือรือร้นที่จะเรียนรู้งานในแผนกต่างๆ ตามนโยบายที่ต้องการขององค์กร


สภาพการจ้างงาน

ผู้ประกอบอาชีพนี้ที่เพิ่งจบการศึกษาและยังไม่มีประสบการณ์ เมื่อได้รับเลือกเข้าทำงานกับบริษัท ผู้ประกอบกิจการ ต้องอยู่ในระยะการทดลองงานตามระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด หรืออาจเร็วกว่านั้นถ้ามีความสามารถและทักษะในการปฏิบัติงานตามที่ได้รับมอบหมาย เมื่อได้รับการบรรจุเป็นพนักงานประจำแล้ว จะได้รับอัตราค่าจ้างเป็นเงินเดือนๆ ละประมาณ 7,500 – 10,000 บาท มีสวัสดิการ รางวัลพิเศษประจำปี การตรวจร่างกายประจำปี การรักษาพยาบาล ตลอดจนสถานที่พักผ่อนหย่อนใจและออกกำลังกายในช่วงพักงาน ภายในบริเวณโรงงาน

สภาพการทำงาน

ผู้ประกอบอาชีพนี้ต้องสวมเครื่องแบบ และอุปกรณ์ความปลอดภัยในการทำงานตามข้อกำหนดการปฏิบัติงานของสถานประกอบกิจการก่อนเข้าห้องบังคับควบคุมคอมพิวเตอร์ และใช้โปรแกรมป้อนข้อมูลสั่งหุ่นยนต์หรือเครื่องจักรกลชนิดที่ติดตั้งอยู่กับที่ (Fixed Robot) ซึ่งหุ่นยนต์ประเภทนี้ส่วนมากจะมีลักษณะเป็นแขนกล สามารถเคลื่อนไหวได้เฉพาะแต่ละข้อต่อภายในตัวเองเท่านั้น และเป็นหุ่นยนต์ที่ใช้ในโรงงานอุตสาหกรรมการผลิตขนาดใหญ่ เช่น โรงงานผลิตอาหาร โรงงานประกอบรถยนต์ จักรยานยนต์ ชิ้นส่วน และอะไหล่รถยนต์ เป็นต้น
การทำงานจะร่วมกับทีมงานอีก 3 – 4 คน เพื่อทำหน้าที่คอยตรวจดูขบวนการทำงานของเครื่องจักรกล โดยอยู่ภายใต้สายการบังคับบัญชาของวิศวกรแมคคาทรอนิกส์ ทำงานประมาณสัปดาห์ละ 45 ชั่วโมง และอาจทำงานเป็นผลัด





คุณสมบัติผู้ประกอบอาชีพ

1. วุฒิการศึกษาระดับประโยควิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) สาขาแมคคาทรอนิกส์ หรือช่างยนต์ หรือสาขาที่เกี่ยวข้อง

2. มีความเชี่ยวชาญในการเขียนโปรแกรม AUTOCAD

3. มีความรู้ภาษาอังกฤษ สามารถเขียนอ่านได้ดี

4. มีความละเอียดรอบคอบ อดทน และสามารถทำงานภายใต้ภาวะกดดันได้ดี

5. มีมนุษยสัมพันธ์ดี มีระเบียบวินัย ตรงต่อเวลา

6. มีความรับผิดชอบ และสามารถทำงานเป็นทีม


ผู้ที่สนใจในอาชีพนี้ ควรเตรียมความพร้อมดังนี้

ผู้ที่จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนต้น หรือเทียบเท่า สามารถเลือกเรียนสายประโยควิชาชีพ (ปวช.) สาขาช่างยนต์ หรือช่างอิเล็กทรอนิกส์ และศึกษาต่อประโยควิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) สาขาแมคคาทรอนิกส์ ในสถาบันการศึกษาทั่วภูมิภาคที่เปิดสอน ได้แก่ เทคนิคมีนบุรี วิทยาลัยราชสิทธาราม เทคนิคนราธิวาส วิทยาลัยเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมการต่อเรือ เทคนิคบูรพาปราจีนบุรี เทคนิคจันทบุรี เทคนิคกาฬสินธุ์ เทคนิคเชียงราย เทคนิคลำปาง วิทยาลัยเทคนิคอุตสาหกรรมยานยนต์พระนครศรีอยุธยา เทคนิคพระนครศรีอยุธยา วิทยาลัยเทคนิคนครราชสีมา วิทยาลัยเทคนิคชลบุรี






โอกาสในการมีงานทำ

ปัจจุบันมีการนำเทคโนโลยีสารสนเทศ และเครื่องจักรกลประเภทหุ่นยนต์ ภายใต้การควบคุมด้วยคอมพิวเตอร์ เข้ามาใช้ในอุตสาหกรรมการผลิตกันอย่างแพร่หลาย ดังนั้น ภาครัฐและภาคเอกชนจึงได้ตระหนักถึงประโยชน์ของการใช้เทคโนโลยีชั้นสูงดังกล่าว และให้การสนับสนุนโครงการประดิษฐ์หุ่นยนต์หลายๆ แบบ ตั้งแต่ระดับประถมศึกษาถึงระดับอุดมศึกษา เพื่อช่วยวางรากฐานให้เยาวชนไทยได้พัฒนาองค์ความรู้ทางด้านเทคโนโลยีชั้นสูง เทคโนโลยีต้นน้ำ จนสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในหลายสาขาวิชาชีพเพื่อก้าวทันเทคโนโลยีของประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น สถาบันการศึกษา และบุคคลทั่วไปที่ได้ประดิษฐ์หุ่นยนต์ และได้จดสิทธิบัตรนวัตกรรมทางเทคโนโลยีเหล่านี้ไว้แล้ว เช่น หุ่นยนต์เล่นระนาด และเล่นเครื่องดนตรีต่างๆ หุ่นยนต์เศษเหล็ก หุ่นยนต์ช่วยรักษาความปลอดภัย หุ่นยนต์บริการ หุ่นยนต์รับส่งเอกสาร หุ่นยนต์วัฒนธรรม หุ่นสาธิตการปฏิบัติจังหวะโน้ตสากล หุ่นมหัศจรรย์ หุ่นคนไหว้และกล่าวต้อนรับ หุ่นยนต์คุณหมอ เป็นต้น

ในปัจจุบัน ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมการผลิตต่างๆ ทั่วโลก ได้มุ่งลดต้นทุนการผลิต โดยการนำระบบบริหารการจัดการที่ดี และเทคโนโลยีทางการสื่อสารชั้นสูงมาใช้ ดังนั้น หุ่นยนต์อุตสาหกรรมการผลิตจึงเข้ามามีบทบาทอย่างรวดเร็ว สถานประกอบกิจการในภาคอุตสาหกรรมต่างๆ ได้นำเทคโนโลยีการผลิตชั้นสูงนี้เข้ามาใช้ในกระบวนการผลิต เพื่อการผลิตที่รวดเร็ว สะอาด และเพื่อพัฒนาคุณภาพมาตรฐานสินค้าให้เป็นสากล ผู้ประกอบอาชีพที่มีทักษะและความสามารถจึงเป็นที่ต้องการมากในตลาดแรงงาน เพราะในขณะนี้สถาบันการศึกษาไทยยังไม่สามารถผลิตบุคลากรให้มีศักยภาพเหมาะสมตรงกับสายงานได้เพียงพอ

นอกจากนี้ ตลาดอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย ซึ่งอาศัยข้อได้เปรียบจากข้อตกลงการค้าเสรีอาเซียน AFTA (ASEAN Free Trade Area) AICO (ASEAN Industrial Cooperation) ในเรื่องสถานที่ตั้งโรงงานอุตสาหกรรม ตลาดรองรับ ค่าแรง และวัสดุที่เป็นชิ้นส่วนประกอบ ทำให้โรงงานรถยนต์ที่มีชื่อเสียงจากญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา ย้ายฐานการผลิตและการประกอบรถยนต์และชิ้นส่วนเข้ามาในไทย เพื่อผลิตรถยนต์ทุกประเภทจำหน่ายในประเทศ และเป็นฐานการส่งออกสู่ภูมิภาคเอเชีย และทั่วโลก บริษัทเหล่านี้เกือบทุกแห่งได้นำเทคโนโลยีหุ่นยนต์เข้ามาใช้ในสายการผลิต ทำให้ตำแหน่งช่างเทคนิคควบคุมหุ่นยนต์ที่มีฝีมือยังเป็นที่ต้องการอีกมากทั้งในอุตสาหกรรมยานยนต์ และอุตสาหกรรมการผลิตอื่นๆ ในประเทศ โอกาสวามก้าวหน้าในอาชีพ
ผู้ประกอบอาชีพนี้ ที่มีความสามารถอาจได้รับการเลื่อนตำแหน่งจนถึงระดับผู้จัดการโรงงาน และเมื่อทำงานจนมีประสบการณ์และความสามารถก็มีโอกาสเลือกเปลี่ยนสายงานตามที่ต้องการซึ่งเป็นที่ต้องการของตลาดแรงงานมาก ดังนั้นหากมีโอกาสเข้ารับการอบรมเพิ่มเติม หรือศึกษาต่อในระดับปริญญาตรี หรือปริญญาโท ก็จะช่วยให้เกิดความก้าวหน้าในอาชีพได้อย่างมั่นคง

อาชีพที่เกี่ยวเนื่อง
ช่างเทคนิคแมคคาทรอนิกส์ นักเขียนโปรแกรมสั่งการทำงานของหุ่นยนต์ วิศวกรแมคคาทรอนิกส์ วิศวกรที่ปรึกษาระบบงาน ครู วิทยากร

แหล่งข้อมูลอื่นๆ

สถาบันการอาชีวศึกษา สำนักงานคณะกรรมการอาชีวศึกษา กรมอาชีวศึกษา www.dovenet.moe.go.th
กองวิทยาลัยเทคนิค กรมอาชีวศึกษา สนเทศของกองวิทยาลัยเทคนิค ประกาศต่างๆ ทุนการศึกษา เพื่อดูงาน การประชาสัมพันธ์ของกองวิทยาลัยเทคนิค http://www.dovetech.moe.go.th
บริษัทสยามนิสสัน จำกัด http://www.nissan–th.com
สถาบันยานยนต์ www.thaiauto.or.th

ที่มา กรมการจัดหางาน

นงนลิน^^หนึ่งค่ะ กล่าวว่า...

นางสาวนงนลิน ขาวจันทร์คง
รหัสนิสิต 48010511539 EC


ATC เป็นอาชีพที่เครียดที่สุดในโลก
ATC หรือ เจ้าหน้าที่ควบคุมจราจรทางอากาศ (Air Traffic Controller)
เป็นผู้ทำหน้าที่ดูแล กำหนดทิศทาง ความเร็ว
เพดานบินของเครื่องบิน
ซึ่งนักบินต้องปฏิบัติตาม ตั้งแต่บินขึ้นจากท่าอากาศยานต้นทาง
หรือเริ่มเข้าเขตรับผิดชอบ (เข้าเขตประเทศ)
กระทั่งลงจอดที่ท่าอากาศยานปลายทาง
หรือพ้นเขตที่รับผิดชอบ (พ้นเขตประเทศ) อย่างปลอดภัย
ไม่มีคำว่า “ หยุด ” สำหรับ ATC

เครื่องบินที่อยู่ในอากาศเคลื่อนที่ตลอดเวลา
ไม่สามารถเบรคลอยคว้างในอากาศได้
และช่วงเวลาเพียงแค่ 1 นาทีนั้น
ATC ไม่ได้ควบคุมเครื่องบินแค่เครื่องเดียว
ลองยกตัวอย่างให้เห็นภาพว่า ตอนนี้มีเครื่องบิน 20 ลำ
ต่างต้องการเข้ามาลงที่สนามบินดอนเมือง
ATC ต้องจัดการเครื่องเหล่านั้นตามลำดับก่อน-หลัง

สำหรับงานบน Tower ถือว่ามีพื้นที่รับผิดชอบน้อยกว่า
เพราะเฉลี่ยแล้วเครื่องบินที่เข้ามาลงจะมีเวลาอยู่ในพื้นที่ของ Tower ประมาณ 3 นาทีเท่านั้น
การตัดสินใจทุกอย่างจึงต้องรวดเร็วและปลอดภัย
การดูแลเครื่องบินที่เข้ามาพร้อมกันหลายสิบเครื่อง
มีความเครียดสูงแน่นอน
บริษัทฯ จึงเน้นให้มีสวัสดิการหลายอย่างที่ช่วยให้ผ่อนคลาย
เช่น การบริหารระยะเวลาทำงาน การสับเปลี่ยนหน้าที่
พอถึงเวลาพักก็จัดห้องพักที่เป็นสัดส่วนไว้ให้ มีทีวี วิทยุ เก้าอี้นวด
นวนิยาย คอมพิวเตอร์สำหรับเล่นเกม ให้ได้ผ่อนคลายตามชอบ
เน้นการทำงานร่วมกันแบบพี่น้อง จัดให้มีการประชุมทุกเดือน
เพื่อนำปัญหาจากการทำงานมาเล่าสู่กันฟัง
ทั้งปัญหาส่วนบุคคล ปัญหาบริษัท บ้านเมือง
เพื่อให้ทันเหตุการณ์
และขจัดปัญหาเหล่านั้นออกไป ไม่ให้อยู่ในระบบการทำงาน
ที่มีความเครียดเป็นพื้นฐานอยู่แล้ว

1)งานของก็เกี่ยวกับการจัดการจราจร ทั้งทางภาคพื้นและทางอากาศเพื่อไม่ให้เครื่องบินชนกันหรือเข้าใกล้กันจนอาจเกิดอันตราย รวมทั้งมีหน้าที่แนะนำข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการเดินอากาศทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นการจราจรที่เกี่ยวข้องกันขณะนั้น และสภาพอากาศตามเส้นทางบิน
2) จะมีโอกาสได้ฝึกการจัดการจราจรของเครื่องรบแบบทหารด้วย
3) มีหน้าที่จัดให้เครื่องขึ้นลงในสนามบินอย่างเป็นระเบียบ ปลอดภัยและไม่ล่าช้า แต่ลงไปในรายละเอียดแล้ว งานนี้จะแบ่งออกไปอีกเป็น 3 ส่วนด้วยกัน คือ ส่วนของการนำเครื่องขึ้น-ลงในสนามบิน ,ส่วนของการนำเครื่องเข้าและออกจากสนามบินเข้าสู่น่านฟ้า ซึ่งจะควบคุมหลายสนามบินมากใน 1 sector มีทั้งการใช้ radar และไม่ใช้ radar และส่วนที่ 3 เป็นการควบคุมจราจรในน่านฟ้าเหนือประเทศไทย และประเทศใกล้เคียงที่มีข้อตกลงกัน
4)ต้องคิดเลขเร็วด้วย แต่เลขไม่ยากนะ เป็น+ - ง่ายๆ แต่ว่าต้องถูกต้องและรวดเร็ว เมื่องานอยู่ตัวแล้ว มันก็จะไม่ยากมาก ซึ่งตอนนี้เราก็กำลังพยายามให้ทำงานให้เป็นและคล่องที่สุดอยู่ เพื่อทุกคนจะได้สบายใจว่านั่งเครื่องบินแล้วจะปลอดภัย
5)ทำงานเป็นกะ กะหนึ่ง12 ช.ม. ทำ 2 วัน หยุด 2 วัน เช่น ถ้าเข้า0800น. ก็ออก 20.00 น. อีกกะหนึ่งก็จะเริ่ม 20.00 ของวันรุ่งขึ้นออกเวรอีกทีก็ 0800 เรียกว่าเวร morning-night อันนี้คือตัวอย่างของเวรที่ดอนเมืองนะ แต่ที่อื่นก็จะมีต่างกันไป ขึ้นอยู่กับเวลาเปิดปิดของสนามบินและปริมาณจราจร สรุปก็คือเดือนหนึ่งก็จะทำงานประมาณ 15 วัน
6)เรื่องรายได้ มีเงินเดือน+ค่าวิชาชีพ เงินเดือนขั้นต่ำของ ATC คือ 15,000 บาท ค่าวิชาชีพอีก 8000 บาทต่อเดือน ซึ่งบางคนจะมีหลาย license คือทำได้ทั้งส่วนที่1,2และ3 ก็จะได้เพิ่มอีก 1 licenseเป็น16,000 บาทต่อเดือน ส่วนใหญ่รายได้ของ ATC จะได้มากที่ OT ไม่บอกว่าเท่าไหร่นะ แต่ได้มากกว่าเงินเดือนและค่าวิชาชีพรวมกัน แต่ก็ขึ้นอยู่กับสนามบินที่ได้อยู่อีก
7)ผู้หญิงที่ทำงานนี้ก็มีเยอะ แต่เมื่อก่อนผู้ชายจะเยอะกว่า ตอนนี้บริษัทเปิดโอกาสให้ผู้หญิงเข้ามามากแล้ว มีผู้หญิงหลายคนที่ทำงานได้ดีมากด้วย
8)คุณสมบัติโดยรวมก็น่าจะดูการตัดสินใจว่ารวดเร็วหรือเปล่า มีไหวพริบและความสามารถในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าแค่ไหน รวมทั้งต้องมองภาพของการจราจรให้ออก ว่าขณะนี้เครื่องที่อยู่ในความรับผิดชอบอยู่ที่ตำแหน่งไหนบ้าง และจะจัดการอย่างไรให้เครื่องเข้ามาลงและออกอย่างลื่นไหลที่สุด เรื่อง physics และ mathsไม่ต้องใช้เท่าไหร่ นอกจากการบวกเลขให้เร็ว การ
สมัครเข้าทำงาน รู้สึกว่าบริษัทวิทยุการบิน กำลังจะเปิดรับสมัครประมาณตุลาคมนี้ แต่ก็ไม่แน่ใจนะว่าวันไหนกันแน่ และต้องมีผลสอบTOEIC 500 ขึ้นไป ผลภายใน 6 เดือนด้วย

RT กล่าวว่า...

นางสาว รุ่งทิพย์ สุระพร 48010512067
4TH
อาชีพแปลกที่ยังไม่เป็นที่รู้จักในบ้านเราคือ อาชีพ"นักคณิตศาสตร์ประกันภัย" ซึ่งเป็นอาชีพที่เป็นนิยมและทำเงินมากที่สุดในสหรัฐอเมริกา ซึ่งจะมีรายละเอียดของอาชีพดังต่อไปนี้

นักคณิตศาสตร์ประกันภัย คือ ใคร
หากท่านไม่เคยได้ยินชื่อ นักคณิตศาสตร์ประกันภัยมาก่อนเลย ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาด แม้แต่ในอเมริกา ซึ่งถือว่าเป็นประเทศที่มีความเจริญทางด้านประกันภัยเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะการประกันชีวิตจัดว่ามีบทบาทต่อชีวิตประจำวันของคนอเมริกัน ก็ยังมีคนอเมริกันจำนวนไม่น้อยที่ไม่รู้จักนักคณิตศาสตร์ประกันภัย ซึ่งอาจเป็นเพราะนักคณิตศาสตร์ประกันภัยส่วนใหญ่ชอบทำงานอยู่เบี้องหลังความสำเร็จของบริษัทประกันภัย

สำหรับศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับสาขาวิชาทางด้านคณิตศาสตร์ประกันภัย ก็คือ คณิตศาสตร์ประกันภัย หรือที่เรียกกันว่า "Actuarial Science"

นักคณิตศาสตร์ประกันภัย คือ บุคคลซึ่งใช้เทคนิคทางคณิตศาสตร์และสถิติในการวิเคราะห์และประมาณการเกิดเหตุการณ์ ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้กับคนทุกคนในอนาคต เช่น การเกิด การเจ็บป่วย การเกิดอุบัติเหตุ การพิการ การเกษียณอายุ การว่างงาน เป็นต้น เพื่อช่วยให้ประมาณเหตุการณ์ซึ่งน่าจะเกิดขึ้นได้ในอนาคตได้ใกล้เคียงความเป็นจริง โดยการจัดทำในรูปของตาราง เช่น ตารางมรณะ และตารางสุขภาพ (Mortality and Morbidity Experience Tables) แล้วนำผลที่ได้มาใช้ประกอบกับความรู้ด้านการบริหารและการเงิน เพื่อคำนวณอัตราเบี้ยประกันเงินสำรอง และตัวเลขข้อเท็จจริงอื่น ๆ ทางการเงิน ซึ่งจะทำให้บริษัทประกันภัยสามารถดำเนินกิจการได้อย่างราบรื่น มั่นคง และสามารถให้ความคุ้มครองแก่ผู้เอาประกัน หรือผู้รับประโยชน์ได้
นอกจากนี้ นักคณิตศาสตร์ประกันภัยยังต้องมีความเข้าใจ ในการดำเนินงานทั้งหมดของธุรกิจประกันภัยจะถือเป็นข้อผูกมัดทางการเงินของบริษัทในระยะยาว เป็นเวลาหลาย ๆ ปี จึงมีอิทธิพลอย่างมากต่อนโยบายและการดำเนินงานอย่างเป็นระบบของบริษัท ด้วยเหตุนี้ นักคณิตศาสตร์ประกันภัยจึงต้องเกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจในหลายขั้นตอน เช่น การจัดการทั่วไป การตลาด การวิจัย การพิจารณารับประกัน การลงทุน การบัญชี การบริหาร และการวางแผนระยะยาว
จากความหมายดังกล่าวข้างต้น อาจกล่าวอีกอย่างหนึ่งได้ว่า นักคณิตศาสตร์ประกันภัยคือ นักธุรกิจมืออาชีพซึ่งใช้ความเชี่ยวชาญทางคณิตศาสตร์เพื่อกำหนด วิเคราะห์ แก้ปัญหาทางสังคม และทางการเงิน โดยการสร้างโปรแกรมที่จะลดความเสี่ยงทางการเงินของการเกิดเหตุการณ์ที่อาจคาดการณ์ได้ หรือคาดการณ์ไม่ได้ ซึ่งเกิดขึ้นได้กับมนุษย์ นั่นเอง

หน้าที่ความรับผิดชอบของนักคณิตศาสตร์ประกันภัย

จากบทบาทของนักคณิตศาสตร์ประกันภัยดังที่ได้กล่าวมาแล้ว อาจกล่าวได้ว่า หน้าที่และความรับผิดชอบของนักคณิตศาสตร์ประกันภัยอาจรวมถึง
1. นักคณิตศาสตร์ประกันภัยต้องแน่ใจว่า บริษัทประกันภัยมีเงินสดสำรองในมือเพียงพอที่จะจ่ายเงินผลประโยชน์ หรือเงินสินไหมทดแทน ตลอดจนค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เมื่อมีการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน หรือเงินเลี้ยงชีพ จากผู้เอาประกัน หรือผู้รับประโยชน์
2. พิจารณากำหนดอัตราเบี้ยประกันที่บริษัทเรียกเก็บจากผู้เอาประกัน ให้มีความยุติธรรมเพียงพอ และสามารถทำให้บริษัทดำเนินกิจการต่อไปได้อย่างราบรื่น และมั่นคง
3. ปรับปรุง และพัฒนาผลิตกรมธรรม์แบบใหม่ ๆ เพื่อสนองความต้องการของสังคมอยู่เสมอ
4. ให้คำแนะนำเจ้าหน้าที่ของบริษัท ในการพิจารณารับประกันว่า รายใดที่รับได้และรายใดที่ควรปฎิเสธ เพราะเหตุใด หากจะรับได้แต่ต้องเพิ่มเบี้ยประกันควรจะเพิ่มในอัตราเท่าใด
5. มีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการดำเนินงานของบริษัทในด้านต่าง ๆ
6. เตรียมจัดทำรายงานประจำปี แสดงสถานะทางการเงินของบริษัท เพื่อเสนอต่อสำนักงานประกันภัย และผู้ถือหุ้นของบริษัท
7. วิเคราะห์ผลการดำเนินงานที่ผ่านมาทั้งหมดของบริษัทเมื่อสิ้นปีปฏิทิน เช่น การใช้ข้อสมมุติเกี่ยวกับอัตรามรณะ ค่าใช้จ่าย อัตราดอกเบี้ยจากการลงทุน วิเดราะห์การขาดอายุของกรมธรรม์ เงินคงเหลือจากการดำเนินธุรกิจ เป็นต้น แล้วนำผลที่ได้มาประเมิน และสรุปว่าธุรกิจควรดำเนินต่อไปในทิศทางใด ส่วนใดควรปรับปรุงแก้ไข แบบประกันใดควรยุบหรือยกเลิก หรือควรสนับสนุนต่อไป

การเตรียมตัวเพื่อเข้าสู่อาชีพนักคณิตศาสตร์ประกันภัย

"ถ้าท่านชอบคณิตศาสตร์ และอยากมีส่วนร่วมต่อสังคมอย่างมีคุณค่า อาชีพพนักคณิตศาสตร์ประกันภัยอาจเหมาะกับท่าน"
อาชีพนักคณิตศาสตร์ประกันภัยต้องการผู้มีความรู้ความสามารถทางคณิตศาสตร์เป็นอย่างดี เนื่องจาก งานที่ทำต้องเกี่ยวข้องกับการประยุกต์ใช้คณิตศาสตร์ประกอบกับความรู้ ความเชียวชาญทางธุรกิจ ดังนั้น ท่านต้องเป็นผู้มีความกระตือรือร้น มีเหตุมีผล มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ และมีความสามารถในการตัดสินใจ
สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายที่คิดอยากเป็นนักคณิตศาสตร์ประกันภัย ท่านต้องเป็นผู้มีใจรักคณิตศาสตร์ และสอบได้คะแนนวิชาคณิตศาสตร์อยู่ในเกณฑ์สูงกว่าคะแนนเฉลี่ย
สำหรับนักศึกษามหาวิทยาลัยที่ต้องการเตรียมตัวเพื่อเข้าสู่อาชีพนักคณิตศาสตร์ประกันภัยในอนาคต ควรเลือกเรียนวิชาคณิตศาสตร์ไว้หลาย ๆ วิชาตลอดช่วง 4 ปี โดยเฉพาะวิชาพีชคณิตและการประยุกต์ ควรมีเวลาฝึกฝนให้มาก นอกจากนี้ควรเลือกเรียนวิชาทางแคลคูลัส ความน่าจะเป็น และสถิติศาสตร์
ท่านพึงระลึกถึงเสมอว่า ท่านกำลังเตรียมตัวเพื่อประกอบอาชีพในทางธุรกิจ ดังนั้น เพื่อความสำเร็จในอนาคต ท่านต้องมีการพัฒนาความคิด ความเข้าใจเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมทางธุรกิจอย่างกว้างไกล วิชาการต่าง ๆ ทางธุรกิจที่สำคัญที่ท่านควรเลือกเรียนในมหาวิทยาลัย ได้แก่ การจัดการ บัญชี การเงิน ประกันภัย เศรษฐศาสตร์ และวิชาการทางคอมพิวเตอร์ ซึ่งนับเป็นวิชาที่มีบทบาทสำคัญ และนับเป็นเครื่องมือสำคัญของนักคณิตศาสตร์ประกันภัยในปัจจุบัน การผสมผสานความรู้ความเข้าใจในวิชาการต่าง ๆ ดังกล่าวจะทำให้ท่านพัฒนาความคิดได้อย่างมีประสิทธิภาพ และประสบความสำเร็จในอาชีพนี้

อาจกล่าวได้ว่า การเตรียมตัวที่ดีที่สุดเพื่อเข้าสู่อาชีพนักคณิตศาสตร์ประกันภัยคือ ท่านควรเลือกเรียนวิชาเอกทางด้านคณิตศาสตร์หรือสถิติ หรือวิชาเอกทางด้านบริหารธุรกิจ โดยมีวิชาโททางคณิตศาสตร์หรือสถิติ หรือวิชาเอกทางเศรษฐศาสตร์ โดยมีวิชาคณิตศาสตร์หรือสถิติเป็นวิชาโท
ในประเทศไทยขณะนี้ยังไม่มีมหาวิทยาลัยใดที่เปิดสอนวิชาเอกด้านคณิตศาสตร์ประกันภัยโดยตรง ส่วนใหญ่เปิดสอนเป็นวิชาด้านประกันภัย โดยเน้นหลักการทั่วไปของการประกันภัย ทั้งในส่วนของการประกันวินาศภัย และการประกันชีวิตมากกว่าสอนการคำนวณทางคณิตศาสตร์ประกันภัย โดยมีภาควิชาสถิติ คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นแห่งแรกที่เปิดสอนวิชาเอกด้านประกันภัย โดยมีวิธีด้านคณิตศาสตร์ประกันภัยเป็นวิชาในกลุ่มวิชาเอกนี้ นอกจากนี้ ในหลักสูตรปริญญาโทสถิติได้เปิดสอนวิชาด้านคณิตศาสตร์ประกันภัยในคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สาขาวิชาคณิตศาสตร์และสถิติ ซึ่งในอดีตที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันเปิดเป็นเพียงวิชาเลือกเท่านั้น ทั้งในหลักสูตรระดับปริญญาตรีและปริญญาโท แต่มีโครงการจะเปิดเป็นหลักสูตรวิชาโทคณิตศาสตร์ประกันภัยในปีการศึกษา 2533 ส่วนวิชาด้านประกันภัยทั่ว ๆ ไป ได้เปิดสอนอยู่แล้วในคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี
ในประเทศสหรัฐอเมริกาและแคนาดามีมหาวิทยาลัยประมาณ 40 แห่งที่เปิดสอนหลักสูตรคณิตศาสตร์ประกันภัยที่สมบูรณ์แบบ ในระดับปริญญาตรีหรือปริญญาโท ซึ่งนับว่ามีจำนวนน้อย บางมหาวิทยาลัยจัดวิชาด้านนี้อยู่ในสาขาวิชาคณิตศาสตร์หรือสาขาวิชาสถิติ บางแห่งอาจจัดอยู่ในหลักสูตรบริหารธุรกิจ และบางแห่งจัดเป็นหลักสูตรร่วมกับคณะเศรษฐศาสตร์

อาชีพนักคณิตศาสตร์ประกันภัยในอเมริกา และ แคนาดา

การเป็นนักคณิตศาสตร์ประกันภัยที่มีมาตรฐานของอาชีพเป็นที่ยอมรับกันในอเมริกาและแคนาดา ถ้าท่านสนใจงานในด้านการประกันชีวิต (Life insurance) การประกันสุขภาพ (Health insurance) และการวางแผนเกี่ยวกับเงินเลี้ยงชีพ (Pension Planning) ท่านต้องผ่านการสอบของ Society of Actuaries (SOA) แต่ถ้าท่านสนใจงานทางด้านการประกันวินาศภัย (Casualty insurance) ท่านต้องผ่านการสอบของ Casualty Actuarial Society (CAS) ในที่นี้จะกล่าวถึงเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับ SOA
ข้อสอบของสมาคม SOA มีทั้งหมด 10 ตอน ถ้าท่านผ่านการสอบทั้ง 10 ตอนท่านจะได้รับวุฒิบัตรเป็น Fellow ของสมาคม (F.S.A.) ซึ่งจัดเป็นคุณวุฒิสูงสุดสายอาชีพที่มีมาตรฐานเป็นที่ยอมรับทั่วโลก ความยากของการเป็น F.S.A. เปรียบเหมือนกับความยากในการทำปริญญาเอกทางคณิตศาสตร์ บริหารธุรกิจ หรือเศรษฐศาสตร์ ถ้าท่านสอบผ่านเพียง 5 ตอนแรก ท่านจะได้รับวุฒิบัตรเป็น Associate ของสมาคม (A.S.A.) และจะได้เป็นสมาชิกของสมาคม SOA ด้วย

การได้เป็น A.S.A. หรือ F.S.A. ของ SOA จะทำให้ท่านเป็นที่ยอมรับในมาตรฐานของวิชาชีพ และสามารถทำงานในบริษัทประกันชีวิตและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ทั่วโลก และได้รับค่าตอบแทนค่อนข้างสูง
จากข้อมูลในปี พ.ศ. 2527 พบว่า มีบริษัทประกันชีวิตและสุขภาพในอเมริกาและแคนาดาจำนวน 2,362 บริษัท และมีการว่าจ้างงานในหน่วยงานดังกล่าวถึงประมาณ 1 ล้านคน นอกจากนี้พบว่า มีประชาชนชาวอเมริกันสนใจทำประกันชีวิตถึงประมาณ 200% กล่าวคือ โดยเฉลี่ยประชาชนแต่ละคนจะถือกรมธรรม์ประกันชีวิตคนละ 2 ฉบับ
จะเห็นได้ว่า อาชีพนักคณิตศาสตร์ประกันภัยนี้ ท่านไม่จำเป็นต้องจบด้านคณิตศาสตร์ประกันภัยโดยตรง เพียงแต่ท่านต้องสอบผ่านข้อสอบของ SOA หรือ CAS ท่านก็สามารถทำงานเป็นนักคณิตศาสตร์ประกันภัยได้ การเรียนจบด้านคณิตศาสตร์ประกันภัยจะช่วยให้ท่านผ่านการสอบ 5 ตอนแรกได้เร็วขึ้นเท่านั้น ด้วยเหตุนี้อาชีพนักคณิตศาสตร์ประกันภัยจึงเปิดกว้างสำหรับทุกท่านที่สนใจและมีคุณสมบัติเหมาะสม ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว เท่าที่ผ่านมาพบว่า นักศึกษาที่สนใจเข้าสู่อาชีพนี้มักจะหาประสบการณ์โดยการฝึกงานภาคฤดูร้อนกับบริษัทประกันชีวิตและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งให้ความร่วมมือและสนับสนุนการฝึกงานของนักศึกษาเป็นอย่างมาก



อาชีพนักคณิตศาสตร์ประกันภัยในประเทศไทย

ในประเทศไทย ได้มีการก่อตั้งสมาคมคณิตศาสตร์ประกันภัยแห่งประเทศไทย (Acturial Association of Thailand) ขึ้นเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2517 โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะส่งเสริมวิชาชีพคณิตศาสตร์ประกันภัยให้ก้าวหน้า เพื่อสามารถรับใช้ประเทศชาติในด้านการประกันชีวิตและประกันภัยอื่น ๆ แต่สมาคมดังกล่าวยังไม่ได้มีบทบาทในการดำเนินการจัดสอนวิชาชีพคณิตศาสตร์ประกันภัยโดยตรงเหมือนในอเมริกา แต่มีการให้วุฒิบัตรเป็น Fellow ของสมาคม โดยผู้ที่จะได้ต้องสำเร็จปริญญาตรีหรือสูงกว่าหลักสูตรคณิตศาสตร์ประกันภัย หรือสำเร็จหลักสูตรคณิตศาสตร์ประกันภัยจากสถาบันซึ่งสมาคมคณิตศาสตร์ประกันภัยรับรอง และหลังจากนั้นได้ปฏิบัติงานคณิตศาสตร์ประกันภัยมาแล้วเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 5 ปี หรือไม่ก็เป็นสมาชิกระดับ Fellow ของสมาคมคณิตศาสตร์ประกันภัยที่นานาชาติรับรอง เช่น F.S.A. หรือ F.I.A. (Fellow จาก Institute of Actuaries ของสหราชอาณาจักร) และขณะนี้ยังดำรงสมาชิกภาพนั้นอยู่
ในอดีตที่ผ่านมา มีผู้สนใจและเห็นความสำคัญของการประกันชีวิตในประเทศไทยจำนวนน้อย สังเกตได้จากผู้สนใจทำประกันชีวิตเพียง 4% เท่านั้นจากประชากรทั้งหมด ซึ่งน้อยมากเมื่อเทียบกับอารยประเทศ เช่น อเมริกา ญี่ปุ่น ที่มีคนทำประกันชีวิตสูงมาก ประมาณ 200% ยิ่งคนไทยที่มีความรู้คณิตศาสตร์ประกันภัยยิ่งหายากมาก บริษัทประกันชีวิตส่วนใหญ่จึงต้องจ้างชาวต่างประเทศไทยมาเป็นที่ปรึกษา
ในช่วงเวลา 2 ปีที่ท่านมา การประกันชีวิตในประเทศไทยได้เจริญเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว มีผู้สนใจและเห็นความสำคัญของการทำประกันชีวิตมากขึ้น จะเห็นได้จากในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2532 มีอัตราการเติบโตถึง 28% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว โดยพิจารณาจากเบี้ยประกันชีวิตรับโดยตรงของบริษัทประกันชีวิตทั้งหมด 12 บริษัท (รวมเบี้ยประกันภัยปีแรกและปีต่อไป) ประมาณ 3,129 ล้านบาท ซึ่งคาดการณ์ได้ว่าเมื่อรวมทั้งปีจะคิดเป็นเงินไม่ต่ำกว่าหมื่นล้านบาท เงินดังกล่าวนี้จะช่วยพัฒนาการลงทุนในประเทศและทำให้เศรษฐกิจส่วนรวมของประเทศเจริญเติบโตได้เป็นอย่างมาก

บทสรุป

จากข้อมูลที่กล่าวมาแล้วข้างต้นคงจะช่วยให้หลาย ๆ ท่านได้รู้จักนักคณิตศาสตร์ประกันภัย ตลอดจนบทบาทหน้าที่ ความรับผิดชอบที่มีต่อสังคมและต่อการดำเนินงานของธุรกิจประกันภัยให้ราบรื่น มั่นคง และเจริญก้าวหน้า อาจกล่าวได้ว่า ตราบใดที่ยังมีการค้าธุรกิจและการเสี่ยงภัยของครอบครัวซึ่งอาจจะเกิดจากการสูญเสียชีวิตของหัวหน้าครอบครัว ตราบนั้น นักคณิตศาสตร์ประกันภัยก็จะยังเป็นที่ต้องการอยู่ จึงไม่เป็นการผิดพลาดที่จะกล่าวว่า ปัญหาการเสี่ยงภัยของสังคมนั้นนับวันก็จะขยายวงกว้างออกไปทุกที ซึ่งจะก่อให้เกิดปัญหาที่จะต้องอาศัยนักคณิตศาสตร์ประกันภัยเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว แต่ในประเทศไทยขณะนี้ยังขาดแคลนผู้มีความรู้ ความสามารถด้านนี้อยู่ไม่น้อย ทั้งนี้อาจเป็นเพราะความไม่รู้ ไม่เข้าใจเกี่ยวกับบทบาท หน้าที่ และความรับผิดชอบของนักคณิตศาสตร์ประกันภัยต่อธุรกิจประกันภัยและต่อสังคมก็เป็นได้

ปุ๊ก(pooklook)EC กล่าวว่า...

นางสาวจิราภรณ์ พ่อสียา รหัสนิสิต 48010511522
สาขาการศึกษาปฐมวัย(EC)
ชื่ออาชีพ รับจ้างด่าออนไลน์
ผ่าอาชีพในเงามืด : ?รับจ้างด่าออนไลน์?
ขณะเผยเบื้องหลังอาชีพ นักด่าออนไลน์
ชีวิตคนเมืองจีน / โลกของเราทุกวันนี้ อะไรๆก็เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เทคโนโลยีต่างๆ ก้าวล้ำทันสมัย ข่าวสารพุ่งถึงทุกอณูในแผ่นดิน ซึ่งส่วนหนึ่งต้องยกความดีให้กับ ?อินเทอร์เน็ต" ไม่เพียงเท่านั้น ?อินเทอร์เน็ต? ยังนำมาซึ่งอาชีพต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นแฮกเกอร์ นักเขียนออนไลน์ หรือแม้แต่ ?นักด่าออนไลน์? !?!

เมื่อไม่นานมานี้ ผู้สื่อข่าวจากสำนักข่าวซินหัว ได้พบกับหนุ่มวัย 26 ปีคนหนึ่ง ที่อินเตอร์เน็ตคาเฟ่แห่งหนึ่ง ในเมืองไถตง ไต้หวัน ซึ่งทำอาชีพรับจ้างด่า เขามีชื่อในสังคมอินเทอร์เน็ตว่า ?ตกสวรรค์?

สินจ้าง ?ด่าคน? คือ ชั่วโมงเกม

แวบแรกที่เราได้เห็นเจ้าหนุ่ม ?ตกสวรรค์? ของเรานั้น เขาดูเป็นคนที่มีความรู้และสุภาพ อาจจะเป็นเพราะชุดสูทและรองเท้าหนังที่สวมใส่อยู่ด้วยก็ได้ จากคำบอกเล่าของเจ้าตัว เขาเข้าสู่วังวนแห่งสงครามน้ำลายมาได้ปีกว่าแล้ว จริงๆ แล้วอาศัยด่าคนกินนี่ ผมทำเป็นงานอดิเรกแค่นั้นล่ะ ?ธุรกิจ? นี้ ส่วนใหญ่มาจากเพื่อนในเน็ตแนะนำลูกค้ามา เงินที่ได้ก็ไม่มากหรอก แค่พอเป็นค่าอินเทอร์เน็ตในแต่ละเดือน ผมก็ว่าโอเคแล้ว?
หนุ่ม ?ตกสวรรค์? เล่าต่อว่า หลังจากที่เพื่อนแนะนำลูกค้ามา เขากับลูกค้าก็จะติดต่อกันโดยผ่านโปรแกรมการสนทนาออนไลน์ QQ เพื่อตกลงราคา และสอบถามชื่อในอินเทอร์เน็ตของเป้าหมายที่ลูกค้าจะจ้างให้ไปด่า พร้อมวิธีการติดต่อกับเป้าหมายด้วย

โดยทั่วไปแล้ว ค่าจ้างที่ได้ไม่ใช่เงินสด แต่เป็น ชั่วโมงเกมปกติด่าคน 4 ชั่วโมง จะได้ชั่วโมงเกมมูลค่าประมาณ 30 หยวน หากด่าจนศัตรูออฟไลน์ไปเลย ก็จะได้ชั่วโมงเพิ่ม แต่ละเดือนถ้าคิดเป็นเงินเขาก็มีรายได้ประมาณ200-300 หยวน (1,000-15,000 บาท) ซึ่งเพียงพอเป็นค่าใช้จ่ายในการเข้าอินเทอร์เน็ตของเขาเดือนหนึ่งสบายๆหลังจากที่ลูกค้าเสียค่าบริการให้กับ นักด่าแล้ว พวกเขาก็จะร่อนเร่อยู่ในโลกไซเบอร์ตลอดคืน เพื่อปฏิบัติการสาดเสียเทเสียใส่เป้าหมาย
เกมออนไลน์ที่มาของ จ้างด่า
ต่อคำถามที่ว่าทำไมถึงเลือกวิธีการหาเงินเช่นนี้?? ?ตกสวรรค์ตอบตรงๆ อย่างไม่ปิดบังว่า ?เพราะมีตลาด หนึ่งปีก่อน ผมติดเกมออนไลน์ ฉวนฉีหรือตำนาน แต่ละครั้งต้องเสียเงิน 30 หยวน เพื่อซื้อเวลาเล่นเกม 120 ชั่วโมง ในเกมก็มีแต่การฆ่าสัตว์ประหลาด หาเงิน แย่งชิงอาวุธหรืออุปกรณ์ พูดได้ว่าการฆ่าฟันคือ ความสุข ก็ว่าได้ ทุกวันมีแต่ ฆ่ากับฆ่าแล้วก็แย่งสิ่งของจาก คนตาย

แต่สำหรับพวกมือใหม่ในโลกเกมออนไลน์แล้ว ไม่มีปัญญาจะเอาชนะพวกมือเซียนได้ ก็จะอาศัยด่าคนเอามันส์ จนสุดท้ายฝ่ายตรงข้ามทนไม่ไหว ด่ากลับก็มี
พวกมือเซียน โดยมากจะมีชื่อเสียงอยู่ในโลกไซเบอร์ไม่น้อย การทำลายชื่อเสียงพวกเขา ถือเป็นการฉีกหน้า ซึ่งสร้างความสะใจของพวกเด็กใหม่ได้อีกแบบ ?ตกสวรรค์? จะลงทะเบียนไว้หลายๆ ชื่อ เพื่อเข้าไปด่าคนโดยเฉพาะ
ต่อมา มีเพื่อนในเน็ตคนหนึ่งส่งข้อความมาขอให้เขาช่วยไปด่าศัตรูหน่อย แลกกับชั่วโมงเกม ตอนนั้นเอง ทำให้เขาคิดได้ว่า การรับจ้างด่าในอินเทอร์เน็ตก็สามารถสร้างรายได้ได้เหมือนกัน
พจนานุกรมคำด่า
แล้วด่าคนทั้งวันแบบนี้ ไม่มีตันบ้างเหรอ? นักข่าวถาม ?ตกสวรรค์? เล่าว่า ในอินเทอร์เน็ตมีคำด่าสำเร็จรูปให้เข้าไปค้นหากันอยู่แล้ว เขาแค่เข้าไปเสิร์ชคำว่า ?พจนานุกรมคำด่า? ก็มีเว็บไซต์ที่เต็มไปด้วยคำด่าแสดงขึ้นมาเกือบหมื่นเว็บ ส่วนใหญ่เวลาผมเจอคำด่าเจ๋งๆ ก็จะลอกเก็บไว้ แล้วก็ปรับนิดหน่อยเพื่อให้เหมาะสมกับเป้าหมาย แต่ถ้าบังเอิญไปเจอกับ พวกเดียวกัน ผมมักจะหลีกเลี่ยงการปะทะน้ำลาย เพราะว่าพวกที่เป็นนักด่าเหมือนกัน จะมีความอดทนมากกว่าคนปกติ และก็มีแหล่งคำด่าตุนไว้มาก ด่ากันไปครึ่งวันยังไม่มีใครแพ้ ใครชนะ? หนุ่มนักด่า เล่า
เกมออนไลน์ ที่มาของ นักด่าออนไลน์
นักด่าดาษดื่นในแดนมังกร
เหยี่ยวข่าวมังกร ได้ทดลองใช้คำว่า รับจ้างด่าออนไลน์ค้นหาในอินเตอร์เน็ต พบว่ามีข่าวที่พูดถึง รับจ้างด่าออนไลน์? ถึง 8,780 ข่าว
ขณะเดียวกัน ในหลายเมืองของจีน ก็ปรากฏอาชีพ ?นักด่า? จำนวนไม่น้อย โดยเฉพาะในเมืองเทียนจิน รับจ้างด่าออนไลน์ถึงขั้นกลายเป็นอาชีพๆ หนึ่งไปแล้ว ทั้งสามารถทำการค้าอย่างเปิดเผย และปิดป้ายบอกราคาได้อีกด้วย
นอกจากนี้ จากการสำรวจอินเทอร์เน็ตคาเฟ่หลายแห่งในเมืองเสิ่นหยาง โดยหนังสือพิมพ์ธุรกิจสือไต้ พบว่า ?อาชีพรับจ้างด่า? ได้คืบคลานสู่เสิ่นหยาง และมีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มอีก ซึ่งผลการสำรวจดังกล่าวเป็นไปในแนวทางเดียวกับหนังสือพิมพ์กว่างโจวเดลี่ สื่อท้องถิ่นในมณฑลกว่างตง (กวางตุ้ง)
เริ่มรู้สึกเสียดายเวลา อาชีพนี้ ต้องทำอย่างหลบๆซ่อนๆ เพราะว่ามันไม่ใช่เรื่องน่าชื่นชมยินดี ถ้าคนรอบตัวผมรู้เข้า ทุกคนคงคิดว่าผมจิตวิปริตและมันจะกระทบกระเทือนต่อหน้าตาโดยเฉพาะงานประจำของผม ซึ่งต้องรักษามรรยาททางสังคมเป็นพิเศษ? ?ตกสวรรค์? นักด่าวัย 26 ปี ยอมรับ
กล่าวอย่างอ่อนล้าว่า ตอนนี้ผมรู้สึกเหนื่อย และเบื่อมาก คิดๆ ดูแล้ว ตัวเองไม่ได้อะไรกลับมาเลย เสียเวลาไปโดย เปล่าประโยชน์หาหลักฐานเล่นงานคนด่ายาก
เจ้าหน้าที่แผนกตรวจสอบเว็บไซต์ สำนักงานความมั่งคงสาธารณะเมืองชิงเต่า ให้ข้อมูลว่า ประชาชนที่ถูกนักด่าออนไลน์เล่นงาน สามารถร้องเรียนผ่านอินเตอร์เน็ตมายังเจ้าหน้าที่ได้ แต่การที่จะหาหลักฐานนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากเรื่องราวที่เกิดในโลกไซเบอร์ ล้วนแต่เป็นสิ่งสมมติ อีกทั้ง ผู้กระทำผิดมักเปลี่ยนที่ลงมือไปเรื่อยๆ แม้ว่าจะมีเจ้าทุกข์มาฟ้องร้องบ่อยๆ แต่จนบัดนี้ ยังไม่มีคดีตัวอย่างเกิดขึ้นเลย เพราะไม่มีหลักฐาน
?ด่าคน? ละเมิดสิทธิส่วนบุคคล
ฟั่นเจียเฉียง ผู้พิพากษาเมืองชิงเต่า ระบุ การด่าคนผ่านอินเทอร์เน็ต ถือเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล ทำให้ชื่อเสียงของผู้อื่นเสียหาย ผู้กระทำผิดต้องได้รับโทษตามที่กฎหมายแพ่งระบุ

ฟั่นยกตัวอย่างคดีความหนึ่งว่า นายจาง นักบัญชีของบริษัทแห่งหนึ่ง ถูกนายจ้างไล่ออก จึงเกิดความแค้น ตลอดเวลา 10 เดือนที่ผ่านมา เขาโทรศัพท์ไปก่อกวนนายจ้าง บางทีก็ด่า บางทีก็เงียบ
ในที่สุด นายจ้างยื่นเรื่องต่อศาล ผู้พิพากษาได้ตัดสินให้จำเลย ชดใช้ค่าเสียหาด้านทรัพย์สินเป็นเงิน 262 หยวน และค่าเสียหายด้านจิตใจอีก 1,000 หยวน
แม้ว่า วิธีการระหว่างการด่าทางโทรศัพท์และทางอินเทอร์เน็ตจะแตกต่างกัน แต่ล้วนเป็นการล่วงละเมิดสิทธิส่วนบุคคลของผู้อื่น ซึ่งถ้ามีหลักฐาน คนผู้นั้นจะต้องได้รับโทษทางแพ่งเช่นเดียวกัน

Wannaree_Jimmy กล่าวว่า...

นางสาววรรณรี ชาลีเปรี่ยม
48010510995 4EN

อาชีพ : จับตุ๊กแกขายส่งนอก ที่หมู่บ้านบ้านตาล หมู่ 15 ต.นาหว้า อ.นาหว้า จ.นครพนม
ลักษณะของงาน
ออกจับตุ๊กแกและจิ้งจกส่งขายให้กับพ่อค้า ก่อนนำไปอบแห้งส่งต่อไปขายยังต่างประเทศ เพื่อใช้เป็นยาชูกำลัง เนื่องจากช่วงฤดูร้อนระหว่างเดือนมีนาคม-เมษายน เป็นช่วงที่ตุ๊กแกและจิ้งจกผสมพันธุ์ ทำให้สามารถจับตุ๊กแกและจิ้งจกได้เป็นจำนวนมาก
ทั้งนี้ นายประสิทธิ์ ลาสุด อายุ 67 ปี ชาวบ้านบ้านตาล ที่ยึดอาชีพรับซื้อตุ๊กแกและจิ้งจกมาอบแห้ง กล่าวว่าปกติชาวบ้านบ้านตาลจะประกอบอาชีพจับสัตว์ในท้องถิ่นขายตามฤดูกาล โดยช่วงฤดูฝนจะจับปลิงอบแห้งขาย ฤดูหนาวจับไส้เดือนขาย ส่วนช่วงฤดูร้อนจะมีรายได้ จากการจับตุ๊กแกและจิ้งจกขาย ทำให้ช่วงนี้ชาวบ้านแถบนี้ที่ไม่สามารถทำการเกษตรหันไปทำอาชีพเดินสายจับตุ๊กแกขายแทน เพราะสร้างรายได้ดีมาก
คุณสมบัติ
- เชี่ยวชาญในการจับตุ๊กแก
- ไม่กลัวตุ๊กแก
- สามารถทำได้ทั้งครอบครัว

รายได้
มีรายได้จากการจับตุ๊กแกขายตกครอบครัวละ 30,000-50,000 บาท/เดือนเลยทีเดียว โดยพื้นที่อำเภอนาหว้าพบว่า มีการส่งตุ๊กแกอบแห้งไปขายประมาณ 100,000 ตัว ส่งผลให้เงินสะพัดหมุนเวียนเข้าอำเภอได้เป็นอย่างดี ชาวบ้านไม่ต้องไปทำงานต่างจังหวัด

mukda 48010510982_4EN กล่าวว่า...

นักจัดระดับความพิการ" ผู้รับบทบาทตรวจสอบนักกีฬาพิการก่อนลงแข่งขันทุกครั้ง

เนื่องจากความพิการ ยังมีรายละเอียดที่ซับซ้อน แตกต่างกันของแต่ละบุคคล เช่น การพิการทางขา ที่มีทั้งขาขาด 1 หรือ 2 ข้าง ขาลีบ หรืออัมพาต เป็นต้น การลงแข่งขันกีฬาคนพิการจึงไม่ได้แบ่งตามลักษณะความพิการที่คล้ายกัน แต่วัดจาก "ระดับความสามารถ" ของผู้พิการ เพื่อให้เกิดความยุติธรรมในการแข่งขัน ภายใต้กฏกติกาเดียวกัน

"นักจัดระดับความเหมาะสมของผู้พิการ" จึงมีหน้าที่ตรวจความสามารถของนักกีฬาพิการ เพื่อจัดระดับความพิการก่อนลงแข่งขันและตัวอย่างการแข่งขันหนึ่งที่น่าสนใจ นั่นคือ กีฬาว่ายน้ำคนพิการ

พ.ญ.อุไรรัตน์ ศิริวัฒน์เวชกุล นักจัดระดับความพิการ นักกีฬาว่ายน้ำคนพิการ เล่าว่า "ก่อนการลงแข่งกีฬาว่ายน้ำ นักกีฬาคนพิการจะต้องผ่านการตรวจร่างกาย 2 อย่าง คือ
1.ตรวจร่างกายจากแพทย์ และ
2.ตรวจการว่ายน้ำจริง (water test)
เพื่อแบ่งจัดระดับความพิการตามความสามารถ ไม่ใช่แบ่งตามความพิการ

การแบ่งประเภทความพิการด้านว่ายน่ำ จะแบ่งแกเป็น S-stork ซึ่งตั้งแต่ระดับ 1-10 การแข่งขันจะเป็นท่าฟรีสไตล์ กรรเชียงและผีเสื้อ ส่วนระดับ SB-stork จะมีตั้งแต่ระดับ 1-9 ซึ่งการแข่งขันจะเป็นท่ากบ และเพื่อให้การแข่งขันเกิดความยุติธรรมระดับ S-10 จะแข่งกับ S-10 ด้วยกัน โดยระดับ 1 จะถือว่ามีความสามารถขั้นต่ำ ไปจนถึงระดับ 10 ที่มีความสามารถสูง"

หากลองสังเกตในการแข่งขัน จะพบว่านักกีฬาบางคนออกตัวไม่เหมือนกัน บางคนใช้วิธีกระโดด บางคนใช้วิธีผลักตัวจากขอบสระ ทั้งที่ถูกจัดระดับการแข่งขันในระดับที่เท่ากัน พ.ญ.ไรรัตน์ เล่าว่า ปรากฏการณ์เช่นนี้มักจะพบในการแข่งขัน S ที่ 1-2 ซึ่งอยู่ในระดับต่ำ นั่นเป็นเพราะข้อจำกัดของนักกีฬาที่ไม่ถูกฝึกให้กระโดด แต่จะถูกฝึกเฉพาะการว่ายน้ำให้เร็ว และยังเป็นข้อจำกัดที่เกิดขึ้นในนักกีฬาไทย ซึ่งจะมีข้อเสียเปรียบในการออกตัวที่ช้ากว่าการกระโดด

นักจัดระดับความพิการจะมีอยู่ 2 ประเภท คือ
1.Medical Classification หรือแพทย์ผู้จัดระดับความพิการส่วนใหญ่เป็นแพทย์ด้านเวชศาสตร์ฟื้นฟู นักกายภาพบำบัดและแพทย์ด้านกระดูก เพื่อทำการตรวจร่างกายและ
2.Technical Classification หรือ ผู้เชี่ยวชาญด้านกีฬา ในการจัดระดับความพิการ ส่วนใหญ่มักเป็นนักเวชศาสตร์การกีฬาด้านว่ายน้ำ ครูพละสอนว่ายน้ำเนื่องจากรู้เทคนิคการว่ายน้ำ และกฎระเบียบเป็นอย่างดี ซึ่งจะทดสอบให้มีการว่ายน้ำจริง

ดังนั้นเวลาตรวจสมรรถภาพของนักกีฬา เพื่อจัดระดับความพิการก่อนลงแข่ง จะต้องมีผู้จัดระดับความพิการจาก Medical Classification และ Technical Classification ประเภทละ 1 คนเป็นอย่างน้อย

พ.ญ.อุไรรัตน์ เล่าถึงความเป็นมาของอาชีพนักจัดระดับความพิการในประเทศไทยว่า นักจัดระดับความพิการในประเทศไทยเพิ่มเริ่มมีขึ้นในการแข่งขันเฟสปิคเกม เมื่อปี 1999 หรือเพิ่มเริ่มต้นได้เพียง 9 ปีเท่านั้น ซึ่งนักจัดระดับความพิการจะมีอยู่ 3 ระดับ
1. ระดับชาติ ซึ่งทุกปีจะมีแพทย์ด้านเวชศาสตร์ฟื้นฟูจะมาช่วยจัดระดับความพิการในงานกีฬาแห่งชาติ
2. ระดับพื้นที่ (Region Classification) ซึ่งจะมีการแข่งขันในระดับเอเชีย อาฟริกา โดยผ่านการรับรองจากคณะกรรมการจัดงานพาราลิมปิกสากล (The Intenational Parlympic Committe: IPC) ก่อน ซึ่งประเทศไทย มีอยู่เพียง 2 คนเท่านั้น
3. ระดับสากล (Inter National) ซึ่งถือเป็นระดับสูงสุด โดยเป็นคนของ IPC โดยตรง ซึ่งทั่วโลกมีอยู่เพียง 45 คนเท่านั้น แต่ประเทศไทยยังไม่มี
ข้อมูลจากhttp://www.thaihealth.or.th/node/6037


""""Mukda 48010510982_4EN"""

ฌานินทร์ ไชยมานันต์ 48010511050 4EN กล่าวว่า...

อาชีพเสี่ยงตาย “เก็บลูกระเบิดขาย”!!!
www.ThaiPR.net

เกาะติดเรื่องจริงนำเสนอเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสังคมมาให้รู้กัน
ตั้ว ศรัณยู กล่าวว่า “สำหรับเรื่องนี้ “เรื่องจริงเตือนภัย” พบกับอาชีพที่แปลกที่สุดในโลก “อาชีพเก็บวัตถุระเบิด” อาชีพที่เฉียดกับความตายทุกเสี้ยววินาที แต่ก็สามารถสร้างรายได้ให้กับชาวบ้านเขาพระงาม อำเภอเมือง จังหวัดลพบุรี ได้เป็นอย่างดี เมื่อพวกเขายอมเสี่ยงตายแอบลักลอบเข้าไปเก็บเศษวัตถุระเบิดในพื้นที่อันตรายระหว่างมีการซ้อมยิงปืนใหญ่ของทางราชการ จนมีชาวบ้านจำนวนไม่น้อยต้องสังเวยชีวิตให้กับอาชีพนี้มาแล้วหลายต่อหลายครั้งครับ

อาชีพนี้ไม่มีสถานประกอบการเป็นของตนเอง เป็นอาชีพที่ตื่นเต้นเร้าใจและอาจตายได้ทุกวินาที
คุณสมบัติของคนที่ประกอบอาชีพเก็บระเบิดนี้ต้องอาศัยความกล้า ความคล่องตัวและที่สำคัญไม่จำกัดเพศ จากการเข้าไปสอบถามชาวบ้านเขาพระงาม จ.ลพบุรี กล่าวว่าการเก็บระเบิดไปขายนี้สร้างรายได้ได้เป็นอย่างดี ไม่ต้องลงทุน แต่มีข้อเสียคือเป็นอาชีพที่เอาชีวิตเป็นเดิมพันจริงๆ

ฌานินทร์ ไชยมานันต์ 48010511050 4EN กล่าวว่า...

นายฌานินทร์ ไชยมานันต์ 48010511050 4EN

อาชีพหลังไมค์ คอลเซ็นเตอร์
:+: อีกอาชีพที่อยากแนะนำเพื่อนๆ ชาว H ที่มองหางานอยู่ครับ :+:
จากการทำงานที่มากมายหลายสิ่ง...
แต่ไม่เคยเอาดีได้สักสิ่งอย่าง... เป็นนักข่าว.. เป็น web editor เป็น PR เป็น เลขา
ที่ละปีสองปีบ้าง บางที่ก็สามสี่เดือน... สุดท้ายชีวิตก็มาเจอกับสิ่งที่คิดว่าเป็นตัวเองที่สุด
...หนึ่งอาชีพ...ที่หลายคนไม่ได้สนใจ ชีวิตหลังไมค์ ไฟ(คอมพิวเตอร์)ส่องหน้า
มือกระดิก หูฟัง ปากขยับ สมองคิด... นี่แหล่ะชีวิต..."คอลเซ็นเตอร์"

"คอลเซ็นเตอร์" คืออะไร... อาชีพที่ต้องใช้เสียง บางคนมองว่าเป็นคนรับโทรศัพท์
แต่ใครจะรู้ว่างานนี้ จะดึงดูดให้ผมคร่ำหวอด อยู่ในวงการขายเสียง บริการลูกค้ากว่า 3 ปีแล้ว
พวกเราไม่ใช่พนักงานรับโทรศัพท์ แต่พวกเราคือ "ผู้ที่แก้ไขปัญหาให้กับลูกค้าผ่านสายโทรศัพท์"
เราคือกองทหารด่านหน้า... เราต้องเสียงหวาน ต้องมีลูกล่อลูกชน (หรือเรียกอีกอย่างว่า ตอ....)
ในขณะที่กลุ่มคนข้างนอกมองเราว่าเรามีหน้าที่รับโทรศัพท์ แต่พวกเราที่อยู่ปลายสาย
กลับต้องคิดให้ได้ภายใน 1 นาที ว่าปัญหาลูกค้าคืออะไร และจะแก้ไขอย่างไรให้กับลูกค้า
เพื่อให้ลูกค้าสบายใจที่สุด (และวางสายให้เร็วที่สุด ไม่งั้นเราจะซวย)

คอลเซ็นเตอร์ เป็นอาชีพที่ท้าทายกว่าที่คุณคิด เพราะเราไม่ใช่นกแก้วนกขุนทอง
มองให้ลึกลงไปในเนื้องาน เมื่อไหร่ที่สายดัง รับสายแล้วไม่ใช่จะรับฟังปัญหาของลูกค้าแบบหูทวนลม
เพราะลูกค้ามีร้อยพ่อพันแม่ หมื่นปัญหาสาระพัด ทุกคนต่างการศึกษา และต่างที่มา
บางครั้งเขาไม่สามารถที่จะเรียบเรียงและอธิบายปัญหาของเขาให้กับเรารับรู้ได้ง่ายนัก
ดังนั้นหน้าที่ที่สองของเราจึงเกิดขึ้นนั่นคือ "วิเคราะห์ปัญหา" ของลูกค้า... ถ้าเราตีโจทย์ไม่แตก
เราก็ไม่มีคุณค่าอะไรให้กับองค์กรเพราะแก้ไขปัญหาให้กับลูกค้าไม่ได้...

เมื่อได้ประเด็นปัญหาของลูกค้าแล้ว หน้าที่ที่สามคือสืบค้นข้อมูลให้เร็วที่สุด
เปิดกระดาษ หาในระบบออนไลด์ ทำทุกวิถีทางเพื่อตอบปัญหาลูกค้าให้เร็วที่สุดและนำเสนอทางแก้ไข
เราต้องพัฒนาตัวเองในทักษะทุกด้าน ทั้งกระบวนการคิด ทักษะการฟัง การพูด และการพัฒนาตัวเอง
ในการสืบค้นข้อมูลในระบบออนไลด์ เพื่อเจาะฐานข้อมูลที่องค์กรมีอยู่
และหน้าที่สุดท้าย คือจบสายให้ลูกค้าพึงพอใจ เพราะถ้าลูกค้าไม่ได้ความกระจ่างชัดเจน
ก็มีความเป็นไปได้ว่าลูกค้าต้องโทรกลับเข้ามาใหม่ นั่นหมายถึงเราไม่ประสบความสำเร็จในการทำงานของเรา
และพวกเรายังต้องบันทึกข้อมูลต่างที่ได้เจอมาลงสมุดด้วย หากวันใดวันหนึ่งกลับมาเจอปัญหาเดิมๆ
เราจะได้แก้ปัญหาได้รวดเร็วมากยิ่งขึ้น !!!

ปัจจุบันการแข่งขันทางธุรกิจเริ่มจะมาถึงทางตัน เพราะทุกๆ องค์กร ต่างงัดโปรโมชั่น กลยุทธ์ทางการตลาด
และการประชาสัมพันธ์ ตลอดจนพัฒนาคุณภาพของสินค้าจนแทบจะทัดเทียมกันไปเสียหมด
ดังนั้น ผู้ผลิตและธุรกิจต่างๆ จึงหันมาใส่ใจทางด้าน "การบริการ" ทำให้ปัจจุบัน การแข่งขันทางด้านบริการจึงเป็นจุดสำคัญ
งาน "คอลเซ็นเตอร์" จึงกลายเป็นอีกหนึ่งอาชีพที่น่าสนใจทีเดียว...

สำหรับพวกเราชาว H แล้ว "คอลเซ็นเตอร์" เป็นอีกอาชีพที่น่าสนใจที่ผมอยากจะแนะนำ
เพราะเราขายสมอง ขายเสียง ขายทักษะและความฉลาด
เราจบงานในแต่ละวันแล้วไม่มีปัญหาต้องกลับมาคิดให้วิตก หากเราจบอารมณ์ที่คุยกับลูกค้า ณ ตอนนั้นได้
นับว่าเป็นอีกงานที่ทำให้เรามีสุขภาพจิตที่ดี ในเรื่องรายได้ก็พอจะเลี้ยงตัวได้ไม่ลำบากนัก
ที่สำคัญ เราไม่ต้องไปกรำแดด กรำฝน เหมือนบางอาชีพ งานเราจบเป็นเวลาตามตารางกะของตัวเอง
ไม่มีงานค้าง งานติดพัน ไม่ต้องไปแบกไปหามที่ไหน ไม่ต้องรีบเร่งทำงานหามรุ่งหามค่ำเมื่อมีงานเร่งด่วน
ดังนั้นจึงอยากฝากงานนี้ไว้ให้กับน้องๆ และเพื่อนๆ ที่กำลังมองหางานอยู่ครับ

นายกีร์ กล่าวว่า...

นายกีรติ โทอึ้น
48010520314 EN
อาชีพแปลกและไม่มีในมหาสารคาม

มิโกะ (「巫女」, miko, 巫女?) คือหญิงสาวที่ทำงานอยู่ในศาลเจ้าชินโต ในช่วงก่อนประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่นเป็นช่วงที่การนับถือเทพเจ้าและธรรมชาติของชาวญี่ปุ่นยังแรงกล้า ชาวบ้านชาวเมืองนับถือเทพเจ้าและเข้าใจว่าเทพเจ้าบันดาลให้สิ่งต่างๆ เกิดขึ้น

บางสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานั้น เช่น ความแห้งแล้ง ฝนตก น้ำท่วม แผ่นดินไหว ฟ้าผ่า ฯลฯ คนในสมัยก่อนต่างก็เชื่อว่าเป็นสารจากเทพเจ้าที่ส่งมาให้มนุษย์ได้รับรู้ บางครั้งอาจมารูปแบบสิ่งเหนือธรรมชาติก็ได้ ผู้ที่ทำการรับสารนั้นจากเทพเจ้านั้นจะเป็นหญิงสาวบริสุทธิ์ที่เรียกว่า มิโกะ

มิโกะในยุคก่อนประวัติศาสตร์นั้นจะไม่ได้แต่งตัวเหมือนกับมิโกะที่เรา เห็นในปัจจุบัน ส่วนที่เราเห็นแต่งตัวเหมือนในปัจจุบันนั้นเป็นช่วงเข้าสู่ยุคประวัติศาสตร์ แล้ว

อย่างที่รู้กันว่าญี่ปุ่นได้ถูกสร้างขึ้นบนพื้นฐานของเทพเจ้า ความเชื่อในเทพเจ้าและธรรมชาติ สิ่งศักดิ์สิทธิ์มากมาย ในสมัยนี้อาจเรียกรวมๆ ว่า สร้างขึ้นมาบนพื้นฐานของเทพนิยาย เมื่อเป็นเช่นนั้นการจะรับสารจากเทพเจ้าจำเป็นต้องมีคนกลางระหว่างเทพเจ้า และมนุษย์ธรรมดา เราเรียกมนุษย์ที่ทำหน้าที่รับสารและแปลสารจากเทพเจ้าว่ามิโกะ มิโกะจะเป็นหญิงสาวพรหมจารี (ไม่ข้องแวะกับชายใด)


ที่มาของมิโกะ

มิโกะนั้นมาจากหญิงสาวที่เกิดจากบุตรีของนักบวชที่ อุทิศตนให้กับเทพเจ้าและศาลเจ้า (แต่ล่ะศาลเจ้าจะมีเทพเจ้าประจำศาลเจ้า) ในสมัยโบราณหญิงสาวที่จะเป็นมิโกะนั้นจะได้รับสารบางอย่างจากเทพเจ้า และเมื่อทุกอย่างพร้อมแล้วก็จะเป็นส่วนของพิธีกรรมต่อไป


หน้าที่ของมิโกะ

มิโกะจะต้องผ่านการฝึกฝนอย่างหนักเพื่อที่จะมาทำหน้าที่ หน้าที่นั้น ได้แก่ การดูแลความเรียบร้อยภายในศาลเจ้า การรำบูชาเทพเจ้าในงานเทศกาล หรือการช่วยงานนักบวชในพิธีกรรมทางศาสนา เช่น การแต่งงาน (ชาวญี่ปุ่นจะแต่งงานในพิธีชินโต) รวมไปถึงการทำนายอนาคตด้วย

ประเพณีและความเชื่อได้ดำเนินมาถึงปัจจุบัน ชินโตเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตคนญี่ปุ่นที่แยกกันไม่ออก แต่ในปัจจุบันวิถีได้มีการวิวัฒนาการ มิโกะส่วนหนึ่งมาจากพิธีกรรมที่สืบต่อกันมาแต่โบราณ แต่มิโกะส่วนใหญ่มาจากการทำงานพิเศษ หรือมาจากอาสาสมัคร หน้าที่หลักๆของมิโกะเหล่านั้นก็จะเปลี่ยนไปตามความเหมาะสม ในขณะที่มิโกะเดิมจะมีภาระหน้าทีเหมือนเดิม

ในข้างต้นได้กล่าวว่ามิโกะนั้นจะต้องเป็นสาวพรหมจารี (สาวบริสุทธิ์) แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามิโกะจะแต่งงานไม่ได้ เมื่อหญิงสาวที่เป็นมิโกะแต่งงานออกไปแล้ว นั่นหมายถึงหญิงสาวเหล่านั้นได้ละซึ่งหน้าที่หลักของศาลเจ้าแล้ว และจะปรนนิบัติดูแลสามีและครอบครัวของเธอแทน


เครื่องแต่งกายของมิโกะ

เครื่องแต่งกายของมิโกะเรียกรวมๆว่า "จิฮายะ" ประกอบไปด้วย

* ฮากะม่าผู้หญิงสีแดง
* เสื้อกิโมโนสีขาว
* ทาบิสีขาว(ถุงเท้า)
* โซริ(รองเท้า)
* นอกจากนั้นอาจจะมี ฮาโอริ(เสื้อคลุมชั้นนอก)บางๆ และเครื่องประดับผม

ที่มา -- http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B9%82%E0%B8%81%E0%B8%B0

น้อยEC กล่าวว่า...

นางสาวสุภาวดี จันทร์ตรัย 48010511628
อาชีพ รับจ้างเก็บขี้หมา
คราวใดก็ตามที่พูดถึง “ขี้หมา” หลายคนฟังแล้วคงอยากจะเบือนหน้าหนีเพราะความเหม็นแต่ในบางครั้งสิ่งปฏิกูลที่ไม่น่าพิสมัยเลย กลับใช่ว่าจะเป็นของไร้ค่าเสมอไปเพราะเรื่องอย่างนี้มันขึ้นอยู่กับการเลือกใช้วิกฤติให้เป็นโอกาส เพื่อหาช่องทางทำเงินเพิ่มรายได้ต่างหาก
เหมือนอย่างเช่นที่มีการรับจ้างทำงานเก็บขี้หมาในสหรัฐอเมริกา ที่ว่ากันว่าเดิมทีไม่ค่อยมีคนอยากทำกันหรอก คงมีเพียงเจ้าของสุนัขเท่านั้นที่ต้องรับผิดชอบตามล้างตามเช็ดสิ่งปฏิกูลที่สุนัขทำเปรอะเปื้อนเอาไว้ แต่วันนี้กลับกลายเป็นว่ามีคนให้ความสนใจเดินดิ่งเข้ามาทำงานด้วยไม่น้อย
งานคือเงิน เสาร์นี้จะพาท่านไปสัมผัสแง่มุมชีวิตการทำงานของ คนเก็บขี้หมา หรือ คนกำจัดขี้หมา เราจะมาดูกันว่าพวกเขาต้องทำงานอย่างไรและอะไรดลใจเข้าให้ถึงได้เลือกมาทำงานแบบนี้กัน
อาชีพของคนเก็บขี้หมา มีชื่อเรียกอาจจะฟังแล้วไม่ไพเราะเสนาะหูก็จริง แต่ต้องถือว่าคืองานสุจริตที่นอกจากจะสร้างรายได้ให้เกิดขึ้นแล้ว อีกทางหนึ่งยังช่วยทำประโยชน์ให้สังคมทั้งในแง่ของความสะอาดและลดมลพิษทางใจระหว่างเพื่อนบ้านที่หลายครั้งจะตีกันตายเพราะเรื่องขี้หมานี่แหละ
รูปแบบการทำงานของคนเก็บขี้หมา หน้าที่นั้นไม่มีอะไรมากไปกว่าการขับรถออกตระเวนไปตามหมู่บ้านหรือชุมชนเพื่อจัดเก็บ กระบะทรายหรือภาชนะขนาดต่าง ๆ ที่จัดวางไว้บริเวณสนามหญ้าหน้าบ้านหรือหน้าห้องตามอพาร์ตเมนต์เพื่อสำหรับให้สุนัขหรือแมวที่เลี้ยงได้ขับถ่ายอย่างเป็นที่เป็นทาง แต่เจ้าของสุนัขอาจไม่มีเวลามาดูแลหรือตามเก็บมูลสัตว์ไปทิ้งด้วยตัวเอง จึงจำเป็นต้องว่าจ้างคนเก็บขี้หมาให้มาจัดการนำมูลสัตว์เหล่านี้ไปกำจัดทิ้งซึ่งบางทีนอกจากจะมีรายได้ในงานที่ทำแล้วยังสามารถนำขี้หมาไปทำปุ๋ยได้ด้วย
ทั้งนี้คนที่เข้ามาทำงานเก็บขี้หมา มีทั้งกลุ่มวัยรุ่น นักเรียน นักศึกษาหรือผู้ว่างงานแต่ต้องการหารายได้เสริม ซึ่งนายจ้างก็ยินดีจ่ายค่าเก็บกวาดขี้หมาบนสนามหญ้าหรืออพาร์ตเมนต์ เพื่อนำไปกำจัดในอัตราบ้านละ 10-15 เหรียญสหรัฐ ต่อสัปดาห์ ถ้าจะว่าไปแล้วอาชีพนี้ก็ไม่ได้มีอะไรแตกต่างไปจากการ รับจ๊อบพิเศษจูงสุนัขไปเดินเล่น ที่จะได้ค่าจ้างชั่วโมงละ 5 เหรียญ หรือการรับจ้างปูหญ้าตามหมู่บ้านจัดสรรที่สร้างใหม่จะได้ค่าจ้างชั่วโมงละ 7 เหรียญ ที่ผ่านมาก็มีนักเรียนไทยในอเมริกาหลายคนรับจ๊อบกันมาก
จอห์นนี่ วัย 19 ปี หนุ่มน้อยชาว อเมริกัน รัฐมิสซูรี เล่าว่า การรับจ้างเก็บขี้หมาเป็นอาชีพที่คนอเมริกันทำกันเพื่อหารายได้เสริมให้ครอบครัว และโดยมากจะมีการจ้างงานจากคนที่อยู่ในละแวกชุมชนเดียวกัน และแบ่งพื้นที่การเก็บขี้หมาออกเป็นโซน แต่ละโซนจะมีช่วงการเก็บเป็นเวลาที่แน่นอน ต้องถือว่างานที่ผมทำเป็นการเปลี่ยนสิ่งปฏิกูลที่หลายคนรังเกียจ ให้กลายเป็นเงิน สะท้อนว่างานแต่ละงานย่อมมีคุณค่าแฝงอยู่ ไม่ควรดูถูกว่าต่ำต้อย เพราะถ้าผมไม่ทำหรือไม่มีใครทำเลย ต่อไปเมืองจะน่าอยู่ได้อย่างไร
ทั้งนี้อาชีพเก็บขี้หมารายได้จะมากหรือน้อยนั้นอยู่ที่ความขยัน บางคนสามารถเก็บขี้หมาได้ถึงชั่วโมงละ 5 บ้าน เท่ากับคุณจะมีรายได้สัปดาห์ละ 50 ดอลลาร์เป็นอย่างน้อย ฉะนั้นอย่าทำเป็นเล่น ที่แล้ว มาเคยมีคนอเมริกันจบปริญญาตรี สาขาคอมพิวเตอร์มายึดอาชีพนี้จนมีลูกค้ามาใช้บริการไม่น้อยกว่า 100-120 รายต่อสัปดาห์มาแล้ว.
ที่มา เดลินิวส์

พิทักษ์ชัย(จ๊อก) กล่าวว่า...

นายพิทักษ์ชัย คำพะทา (จ๊อก)
รหัสนิสิต 48010510786
อาชีพ ฟองน้ำใยกล้วย
คุณบรรยง นันทโรจนาพร อดีตนักธุรกิจใหญ่ที่เคยโลดแล่นในภาคธุรกิจของจังหวัดนครศรีธรรมราช ผู้ค้นพบสัจธรรมของชีวิตหลังจากเกิดวิกฤตเศรษฐกิจครั้งใหญ่เมื่อปี 2540 จำต้องยุติบทบาทของนักบริหารลง แต่เขาโชคดีที่มีผืนแผ่นดินอีก 300 ไร่ ที่ซื้อเก็บเอาไว้ตั้งแต่ปี 2522 เป็นที่ชุบชีวิตใหม่ให้กับเขา และตัดสินใจเข้ามาอยู่ในบ้านสวนเป็นเวลา 4 ปีแล้ว ซึ่งตั้งอยู่ที่ 51 หมู่ 5 ต.ชะเมา อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช และพลิกฟื้นผืนดินด้วยความรู้ทางด้านการเกษตรบวกกับสมองของนักบริหารเอาชนะธรรมชาติได้อย่างไม่ยากเย็นนัก "ก่อนหน้าที่ซื้อดินผืนนี้ไม่เคยทราบมาก่อนว่า มันจะเป็นพื้นที่น้ำท่วมในช่วงหน้าน้ำชาวบ้านไม่เชื่อว่าตรงนี้จะปลูกพืชอะไรได้ แต่ผมก็ทำให้ชาวบ้านเห็นแล้วว่าผมทำได้"ในสวนเกษตรนครอินทร์คงได้เห็นพรรณไม้นานาชนิด ทั้งสวนมะนาวไร้เมล็ด แหล่งเพาะเห็ดโคนธรรมชาติ บ่อปลานานาพันธุ์ ที่สำคัญกุหลาบพันปีที่เคยเชื่อว่าเติบโตได้ในภูมิอากาศที่หนาวเย็นเท่านั้น แต่เขาสามารถเพาะพันธุ์และปลูกได้ในนครศรีธรรมราชซึ่งมีอากาศร้อนได้นอกจากนี้ยังทดลองปลูกอินทผลัมและพืชอื่นๆ อีกมากมายหลายชนิด
นับตั้งแต่เขาเข้าไปอยู่ในสวนได้ใช้วิชาความรู้ทั้งในด้านการเกษตร ด้านการบริหาร และบทเรียนชีวิตของตนช่วยเหลือชุมชน จนกระทั่งได้รับเลือกเป็นประธานประชาคมหมู่บ้านหมู่ที่ 5 ต.ชะเมา และเพราะบทบาทนี้เขาจึงตระหนักถึง การสร้างงานสร้างรายได้ให้กับชุมชน ครั้งแรกที่เขาเห็นต้นกล้วยจมน้ำตายและเน่าเสียกลายเป็นมลภาวะกับหนองน้ำ จึงคิดหาประโยชน์จากต้นกล้วยโดยไม่ปล่อยให้มันสูญเปล่าอีกต่อไป
"ฟองน้ำใยกล้วยเป็นสินค้าที่กำลังได้รับการตอบรับจากลูกค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศเป็นอย่างดี เป็นสินค้าดาวเด่นที่ชาวต่างชาติต้องการมาก เนื่องจากว่าวิถีชีวิตของชาวต่างชาติตระหนักถึงความเป็นธรรมชาติ อะไรที่ทำจากธรรมชาติจะได้รับการตอบรับอย่างดี"
คัดแยกด้วยมือคน ซักล้างเส้นใย ต้มต้นกล้วยก่อนนำไปปั่น ตากให้แห้ง
จากภูมิปัญญาของผู้เฒ่าผู้แก่ที่ใช้เชือกกล้วยผูกมัดสิ่งของเครื่องใช้ เป็นตัวจุดประกายให้เขามองเห็นถึงความเหนียวของเส้นใยกล้วย ครั้งแรกของการทดลองทำผลิตภัณฑ์จากต้นกล้วย เขาทดลองทำกระดาษจากใยกล้วย แต่ไม่ประสบความสำเร็จทางด้านการตลาด ต่อมาก็พัฒนามาเป็น sponge (ฟองน้ำ) จากใยกล้วย เมื่อฟองน้ำประสบความสำเร็จก็จะพัฒนาไปสู่การทำเสื้อผ้าใยกล้วย (คล้ายเสื้อใยกันชงของทางภาคเหนือ) พัฒนาการสูงสุดของใยกล้วยที่เขาตั้งเป้าไว้ คือ เสื้อเกราะกันกระสุนและเสื้นใยกล้วยคล้ายเสื้อเส้นใยสับปะรดของประเทศฟิลิปปินส์ ขณะนี้กำลังทำการวิจัยและทดลองร่วมกับสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์แห่งชาติ (สวท.) กำลังรอผลในอนาคตอันใกล้นี้ หากประสบความสำเร็จเชื่อว่าคนในชุมชนอำเภอปากพนังจะหน้าชื่นได้จากการปลูกต้นกล้วย

นอกจากนี้เขาได้ร่วมกับมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ออกแบบโรงงาน ที่ได้มาตรฐานการส่งออกตามของ สสวช. เพราะเอเยนต์จากต่างประเทศให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก เนื่องจากสินค้าที่ผลิตจากวัตถุดิบจากธรรมชาติจะไม่มีไม้เป็นส่วนประกอบเลย ต้องประกอบด้วยอลูมิเนียม ซึ่งทางมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ออกแบบแบบให้เปล่า แต่การลงทุนเป็นของ หสน.พฤกษาทิพย์ ซึ่งเขาจดทะเบียนเพื่อให้ หสน.ทำหน้าที่เป็นผู้จำหน่ายและทำการตลาดของสินค้าตรา Centella ทุกตัว อันประกอบด้วย สบู่ผลิตจากสารสกัดจากพญายอ ขมิ้นสด ใบบัวบก, แชมพูปลูกผมมีส่วนผสมของโฮร์โมนที่สกัดจากผลไม้และสมุนไพร และน้ำมันต่อต้านเชื้อราที่ผลิตจากสารสกัดจากเปลือกมะนาว เป็นต้น ส่วนการผลิตเป็นไปในรูปกลุ่มสมาชิก
"ฟองน้ำใยกล้วยเป็นสินค้าที่กำลังได้รับการตอบรับจากลูกค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศเป็นอย่างดี เป็นสินค้าดาวเด่นที่ชาวต่างชาติต้องการมาก เนื่องจากว่าวิถีชีวิตของชาวต่างชาติตระหนักถึงความเป็นธรรมชาติ อะไรที่ทำจากธรรมชาติจะได้รับการตอบรับอย่างดี นอกจากนี้เราไม่มีคู่แข่ง จุดเด่นของฟองน้ำใยกล้วยคือ ในขั้นตอนการผลิตเราแช่ใยกล้วยในน้ำส้มสายชู 5% เพื่อป้องกันการเกิดเชื้อราแม้จะวางฟองน้ำไว้ในที่อับชื้น เพราะฉะนั้นฟองน้ำใยกล้วยจะมีอายุการใช้งานที่ยาวนานเกือบครึ่งปี เมื่อเทียบกับฟองน้ำที่ทำจากวัตถุดิบชนิดอื่น ที่เป็นเชื้อราก่อนทั้งที่ใช้ไปได้ไม่นาน ใยกล้วยเมื่อโดนน้ำจะนุ่ม หนืดขัดเซลล์ที่ตายแล้วออกได้อย่างหมดจดด้วย"
ในแง่ของการผลิต ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ใยกล้วยมีสมาชิกที่อยู่ในหมู่ 5 กว่า 165 คน ซึ่งมีความสัมพันธ์เชิงธุรกิจกันในด้านจำหน่ายต้นกล้วยให้กับเขาในราคากิโลกรัมละ 15 บาท (เส้นใย 1 ก.ก.ได้ฟองน้ำ 1 ชิ้นครึ่ง) นอกจากนี้ยังรับทำแพ็จเก็จจิ้งและรับคัดแยกเส้นใยกล้วย ซึ่งต้องใช้ความละเอียดอ่อนในการคัด เพราะเส้นใยกล้วยเมื่อดึงออกมาแล้วจะคล้ายเส้นไหม สีเหลืองทองสวยงาม มีความเหนียวทน ส่วนนี้เป็นรายได้เสริมให้กับชาวบ้าน หากมีคำสั่งซื้อของพ่อค้าเข้ามาจำนวนมากก็จะเพิ่มรายได้ให้กับชาวบ้านเป็นเงาตามตัว ปัจจุบันเขาต้องผลิตให้ได้มากกว่า 1,000 ชิ้นต่อวัน เพื่อให้เพียงพอกับใบสั่งซื้อจากห้างสรรพสินค้าและร้านสะดวกซื้ออย่าง 7eleven ที่มีความต้องการถึง 200,000 ชิ้น
จุดเด่นอีกอย่างหนึ่งคือ ฟองน้ำใยกล้วยเป็นสินค้าแฮนด์เมด ไม่ใช้เครื่องจักรกล ซึ่งเขาตั้งใจดำรงการผลิตแบบนี้ไว้ เพราะส่วนหนึ่งตรงกับความต้องการของตลาดต่างประเทศ และที่สำคัญคือเป็นการสร้างรายได้ให้กับชาวบ้าน คาดว่าจะขยายงานไปสู่หมู่บ้านและตำบลอื่นในอำเภอปากพนัง และ ฟองน้ำใยกล้วยเป็นสินค้าที่จดสิทธิบัตรไว้กับกรมทรัพย์สินทางปัญญา ใช้ตรายี่ห้อว่า Centella (เป็นชื่อวิทยาศาสตร์ของใบบัวบก) และกำลังจะเป็นสินค้าส่งออกรายแรกในเร็วๆ นี้

Kannika Pat 4EN กล่าวว่า...

นางสาวกรรณิการ์ ตุนีย์ Pat 48010510903 4EN
อาชีพเก็บรังนก

ปกติอาชีพเก็บรังนกมักจะสืบทอดกันในหมู่ญาติ
การเก็บรังนกต้องอาศัยความชำนาญและฝึกฝน
เพราะรังแต่ละรังอยู่สูงและอยู่ในแหล่งที่อันตราย
เช่น ในถ้ำลึก ผนังถ้ำสูงชัน หน้าผาสูงชัน

เรื่องมีอยู่ว่ากาซิมเด็กหนุ่มวัย 18-19จากมาเลย์
เข้ามาทำงานร่วมกับนักเก็บรังนกไทย
ซึ่งใหม่ๆก็เป็นที่เอ็นดูในความช่างเจรจา
อวดฝีมือความสามรถในการแทงรังนก
จนข่มและเกทับคนอื่น ว่ากล่าวพวกที่ตกมาตายว่าไม่เจ๋งจริง

ก่อนการเก็บรังนกในฝั่งไทยจึงต้องมาเรียนรู้กฎเกณฑ์
ข้อห้ามและธรรมเนียมปฏิบัติดั้งเดิมของไทยก่อน
1. ก่อนจะเก็บรังนกทุกครั้งต้องบูชาเจ้าป่าเจ้าเขา
วิญญาณผู้ที่เคยตายจากการเก็บรังนก(หอเฒ่าหอแก่)
โดย เซ่นไหว้ด้วยอาหารคาวหวาน และ เหล้ากับบุหรี่
2.ห้ามพูดจาหยาบคายและปากพล่อยขณะทำงาน
3.ห้ามยุ่งกับรังนกที่มีไข่หรือตัวอ่อนเด็ดขาด
4.ต้องซื่อสัตย์กับงานที่ทำและผู้ว่าจ้างตกลงอย่างไร
ก็ต้องเป็นไปตามนั้น ห้ามตุกติกหรือเบี้ยวเป็นอันขาด
5.เงินได้ทั้งปีที่ได้จากอาชีพนี้ ต้องนำไปถวายสังฆทาน
ทำบุญให้กับนกลูกนกที่ตายลงจากความพลาดพลั้งของเรา
แต่กาซิมก็ไม่เคยใส่ใจ แถมชอบดื่มเหล้าเป็นประจำ
แต่ก็ยังดีที่กินหลังงานเลิกและเช้ามาทำงานได้
มีอยู่ครั้งที่กาซิมทำผิดกฎอย่างแรง คือ
แทงรังที่มีลูกอ่อนตกมาตายทั้งรัง
เพื่อจะเอาลูกนกไปย่างดองเหล้ากิน
เพราะทางมาเลย์เชื่อว่าสูตรนี้บำรุงกระดูก
ให้แข็งแรงจะได้อดทนต่องานที่ทำอยู่ได้
จนวันหนึ่งขณะปีนพะองขึ้นไปเก็บรังนก
กาซิมพลาดร่วงตกมาตายอย่างสยดสยอง
กระดูกแขนขาหักหลายท่อนและกะโหลกแตก
ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์บอกว่ากาซิมพยายาม
จะแทงรังนกที่อยู่สุดเอื้อมเพื่อเอาลูกนกในรัง
ซึ่งคราวนี้กาซิมพลาดจึงเป็นไปตามกฎแห่งกรรมที่เคยทำ
และกำลังจะทำซ้ำอีกครั้ง อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้...

ทีนี้มาดูสาระของรังนกมั่งค่ะ
ประกอบการพิจารณาว่าควรจะรับประทานหรือไม่
รังนกมีส่วนประกอบอะไรบ้าง
จากการวิเคราะห์หาส่วนผสมของรังนกนางแอ่นโดยสถาบันวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย พบว่า ประกอบด้วย

น้ำ 5.11%

โปรตีน 60.9%

แคลเซียม 0.85%

โปแทสเซียม 0.03%
สำหรับรังนกสำเร็จรูป พร้อมบริโภคที่จำหน่ายในท้องตลาดซึ่งประกอบไปด้วย รังนก 1% น้ำตาลกรวดประมาณ 12% นั้น เมื่อสถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดลนำมาวิเคราะห์พบว่ามีส่วนประกอบดังนี้

ตารางการวิเคราะห์ส่วนประกอบรังนก

ความคิดเห็นในแง่โภชนาการ
จากผลการวิเคราะห์สารอาหารของรังนกสำเร็จรูปทั้ง 2 ยี่ห้อที่มีขายในท้องตลาด จะเห็นว่าพลังงานที่ได้จากรังนกสำเร็จรูปนี้ ได้จากน้ำตาลกรวดที่เติมลงไปและมีปริมาณน้อยกว่าไข่ไก่ 1 ฟอง หรือประมาณ 1 ใน 3 ของนม 1 กล่อง
ในแง่โปรตีน ถ้าต้องการได้โปรตีนเท่ากับไข่ไก่ 1 ฟอง จะต้องรับประทานรังนกถึง 26 ขวด (เป็นเงินกว่า 3,000 บาท) หรือถ้าจะให้ได้โปรตีนเท่ากับนม 1 กล่อง จะต้องรับประทานรังกนถึง 34 ขวด (เป็นเงินกว่า 4,000 บาท) หรืออีกนัยหนึ่งปริมาณโปรตีนในรังนกสำเร็จรูป 1 ขวด (70-75 มล.) เท่ากับนมสดประมาณ ½ ช้อนโต๊ะ หรือถั่วลิสง 2 เมล็ด หรือไข่นกกระทาน้อยกว่า ¼ ฟอง
เมื่อทราบข้อมูลดังกล่าว ผู้บริโภคคงจะต้องใช้วิจารณญาณในการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์อาหารต่าง ๆ เพื่อให้ได้ชื่อว่า “ฉลาดซื้อ” หรือ “ฉลาดกิน”
ผู้เขียน : ผศ.ดร.ประไพศรี ศิริจักรวาล
สถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล

ที่มา : มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค

รังนกทำมาจากน้ำลายนกนางแอ่นซึ่งผลิตขึ้นมา
เพื่อวางไข่และฟักเป็นตัวเพื่อสืบสายพันธุ์
การแทงรังนกจะทำได้ปีละ 3 ครั้ง
และเก็บในช่วงที่มันทำรังเสร็จแต่ยังไม่วางไข่
นกนางแอ่นเป็นนกที่มีพฤติกรรมสร้างรังทดแทนรังที่หายไปได้
ปกติตัวเมียมันจะสร้างรังเองโดยลำพัง
ยกเว้นรังที่ 3 ตัวผู้จะมาช่วยสร้าง
รังแรกจะมีสีขาว ขาวมอ
รังสองจะเริ่มมีขนนกและเลือดปนอยู่ด้วย
รังแรกใช้เวลาสร้าง 1 เดือน รังถัดไป
ใช้เวลา 3 สัปดาห์เพื่อให้ทันวางไข่
รังที่ 3 จะเป็นรังที่ได้ใช้วางและฟักไข่ค่ะ

Kadsarin-lyn กล่าวว่า...

ตุ๊กตาดอกบัว ศิลปะชาววัง..งานทำเงิน พ.ศ.นี้
ดอกบัวนอกจากได้ชื่อว่าเป็นดอกไม้ชั้นสูงแล้ว ประโยชน์ที่ได้รับจากดอกไม้ชนิดนี้ก็นับว่าเหลือคณานับ โดยเฉพาะหากนำมาประยุกต์ด้วยไอเดียสร้างสรรค์จะสามารถก่อให้เกิดอาชีพแปลกใหม่จนน่าทึ่ง ดั่งเช่น “อรวรรณ วิจิตรทองเรือง” บรรเจิดความคิดประดิษฐ์ตุ๊กตาดอกบัวเป็นอาชีพเสริมมาแล้ว

เพื่อให้ผู้อ่านได้รับทราบการทำงานของนักประดิษฐ์ดอกบัว “งานคือเงิน” วันนี้มีเรื่องราวดี ๆ ของอาชีพนี้มาเล่าสู่กันฟัง

“อรวรรณ” เจ้าของไอเดียตุ๊กตาดอกบัว เล่าว่า ที่มาของการประดิษฐ์ตุ๊กตาดอกบัวเกิดขึ้นจากการได้รับโอกาสเข้าเรียนฝึกอาชีพในวิทยาลัยในวังหญิง เป็นโครง การในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ทำให้มีความรู้พื้นฐานเมื่อสมทบกับความที่ชอบดอกบัวเป็นทุนเดิมจึงทำให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ว่าดอกบัวสามารถนำมาประดิษฐ์เป็นตุ๊กตาได้ โดยได้ แบบศิลปะภาพตุ๊กตาจาก อุทยานพระบรมราชา นุสรณ์รัชกาลที่ 2 เป็นต้นแบบ

วิธีการทำงานจะเริ่มจากการคัดเลือกดอกบัวโดยใช้พันธุ์บัวหลวง (สัตตบุษย์) ซึ่งเป็นพันธุ์ที่ให้ดอกใหญ่สามารถนำมาเป็นฐานกระโปรงตุ๊กตา ขั้นตอนการประดิษฐ์นั้นจะใช้ลวดขึ้นโครงดัดเป็นตุ๊กตา หลังจากนั้นนำดอกบัวดอกใหญ่ 1 ดอกมาแกะจนเหลือเกสรชั้นในแล้วเด็ดเอาฝักออกพร้อมกับตัดก้านเล็ก ๆ ทิ้งเพื่อนำมาต่อเป็นลำตัวตุ๊กตา จากนั้นหากลีบบัวสวย ๆ ขนาดยาวเท่ากันม้วนเป็นแขน 2 ข้าง โดยใช้ใยบัวมาพันให้ดูเรียวพร้อมกับจัดวางแขนไว้บนลำตัว

เมื่อได้แขนและลำตัวแล้วก็จะใช้กลีบบัวพับทบให้ได้ 1 ใน 3 ทาบเป็นตัวเชื่อม ต่อจากนั้นใช้กลีบพับให้ได้สัดส่วน 1 ใน 9 เป็นเข็มขัดเพื่อใช้ทาบไว้กลางลำตัว ลำดับต่อมาใช้ดอกบัวดอกเล็กแกะเหลือแต่ฝักตกแต่งให้เป็นหน้าคนแล้วปักลงบนลำตัวก่อนจะใช้ดอกบัวอีกหนึ่งดอกแกะเหลือเกสรชั้นในทำเป็นหน้าม้าปักลงบนใบหน้าก็เป็นอันเสร็จขั้นตอนการทำตุ๊กตาดอกบัว ทั้งหมดใช้เวลาไม่น้อยกว่า 30 นาที

“ผลงานที่ออกมาทำให้มีรายได้จากการจำหน่ายในราคาตัวละ 50 บาท และสามารถอยู่ได้นานเมื่อดอกบัวแห้งก็จะเป็นตุ๊กตาไม้แห้ง ซึ่งถือเป็นสินค้าโอทอปภูมิปัญญาชาวบ้าน ถ้าทำไปจนมีความชำนาญดีแล้วอาจไปเป็นวิทยากรบรรยายให้ความรู้ตามงานแสดงสินค้าต่าง ๆ ก็ได้ แต่ตอนหัดใหม่ ๆ ตุ๊กตาอาจไม่สวย หากจับแรงจะช้ำ ก็ขอให้อดทนทำบ่อย ๆ จะค่อย ๆ ชำนาญเป็นมืออาชีพในที่สุด” เจ้าของผลงานตุ๊กตาดอกบัวพูดทิ้งท้าย

ถึงแม้ว่าตุ๊กตาดอกบัวยังไม่สามารถเป็นอาชีพหลักให้กับหลายคนได้ แต่อย่างน้อยในการทำงานก็สะท้อนให้เห็นวิถีความเป็นไทยและยังเป็นแรงใจให้คนทำงานสร้างสรรค์สิ่ง ใหม่ ๆ.

“จ๊อบแมน”
Job_man28@yahoo.co.th

Kadsarin-lyn กล่าวว่า...

น.ส.เกศรินทร์ จงจิรัฐิติสกุล (หลิน)
48010510906EN

ตุ๊กตาดอกบัว ศิลปะชาววัง..งานทำเงิน พ.ศ.นี้
ดอกบัวนอกจากได้ชื่อว่าเป็นดอกไม้ชั้นสูงแล้ว ประโยชน์ที่ได้รับจากดอกไม้ชนิดนี้ก็นับว่าเหลือคณานับ โดยเฉพาะหากนำมาประยุกต์ด้วยไอเดียสร้างสรรค์จะสามารถก่อให้เกิดอาชีพแปลกใหม่จนน่าทึ่ง ดั่งเช่น “อรวรรณ วิจิตรทองเรือง” บรรเจิดความคิดประดิษฐ์ตุ๊กตาดอกบัวเป็นอาชีพเสริมมาแล้ว

เพื่อให้ผู้อ่านได้รับทราบการทำงานของนักประดิษฐ์ดอกบัว “งานคือเงิน” วันนี้มีเรื่องราวดี ๆ ของอาชีพนี้มาเล่าสู่กันฟัง

“อรวรรณ” เจ้าของไอเดียตุ๊กตาดอกบัว เล่าว่า ที่มาของการประดิษฐ์ตุ๊กตาดอกบัวเกิดขึ้นจากการได้รับโอกาสเข้าเรียนฝึกอาชีพในวิทยาลัยในวังหญิง เป็นโครง การในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ทำให้มีความรู้พื้นฐานเมื่อสมทบกับความที่ชอบดอกบัวเป็นทุนเดิมจึงทำให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ว่าดอกบัวสามารถนำมาประดิษฐ์เป็นตุ๊กตาได้ โดยได้ แบบศิลปะภาพตุ๊กตาจาก อุทยานพระบรมราชา นุสรณ์รัชกาลที่ 2 เป็นต้นแบบ

วิธีการทำงานจะเริ่มจากการคัดเลือกดอกบัวโดยใช้พันธุ์บัวหลวง (สัตตบุษย์) ซึ่งเป็นพันธุ์ที่ให้ดอกใหญ่สามารถนำมาเป็นฐานกระโปรงตุ๊กตา ขั้นตอนการประดิษฐ์นั้นจะใช้ลวดขึ้นโครงดัดเป็นตุ๊กตา หลังจากนั้นนำดอกบัวดอกใหญ่ 1 ดอกมาแกะจนเหลือเกสรชั้นในแล้วเด็ดเอาฝักออกพร้อมกับตัดก้านเล็ก ๆ ทิ้งเพื่อนำมาต่อเป็นลำตัวตุ๊กตา จากนั้นหากลีบบัวสวย ๆ ขนาดยาวเท่ากันม้วนเป็นแขน 2 ข้าง โดยใช้ใยบัวมาพันให้ดูเรียวพร้อมกับจัดวางแขนไว้บนลำตัว

เมื่อได้แขนและลำตัวแล้วก็จะใช้กลีบบัวพับทบให้ได้ 1 ใน 3 ทาบเป็นตัวเชื่อม ต่อจากนั้นใช้กลีบพับให้ได้สัดส่วน 1 ใน 9 เป็นเข็มขัดเพื่อใช้ทาบไว้กลางลำตัว ลำดับต่อมาใช้ดอกบัวดอกเล็กแกะเหลือแต่ฝักตกแต่งให้เป็นหน้าคนแล้วปักลงบนลำตัวก่อนจะใช้ดอกบัวอีกหนึ่งดอกแกะเหลือเกสรชั้นในทำเป็นหน้าม้าปักลงบนใบหน้าก็เป็นอันเสร็จขั้นตอนการทำตุ๊กตาดอกบัว ทั้งหมดใช้เวลาไม่น้อยกว่า 30 นาที

“ผลงานที่ออกมาทำให้มีรายได้จากการจำหน่ายในราคาตัวละ 50 บาท และสามารถอยู่ได้นานเมื่อดอกบัวแห้งก็จะเป็นตุ๊กตาไม้แห้ง ซึ่งถือเป็นสินค้าโอทอปภูมิปัญญาชาวบ้าน ถ้าทำไปจนมีความชำนาญดีแล้วอาจไปเป็นวิทยากรบรรยายให้ความรู้ตามงานแสดงสินค้าต่าง ๆ ก็ได้ แต่ตอนหัดใหม่ ๆ ตุ๊กตาอาจไม่สวย หากจับแรงจะช้ำ ก็ขอให้อดทนทำบ่อย ๆ จะค่อย ๆ ชำนาญเป็นมืออาชีพในที่สุด” เจ้าของผลงานตุ๊กตาดอกบัวพูดทิ้งท้าย

ถึงแม้ว่าตุ๊กตาดอกบัวยังไม่สามารถเป็นอาชีพหลักให้กับหลายคนได้ แต่อย่างน้อยในการทำงานก็สะท้อนให้เห็นวิถีความเป็นไทยและยังเป็นแรงใจให้คนทำงานสร้างสรรค์สิ่ง ใหม่ ๆ.

“จ๊อบแมน”
Job_man28@yahoo.co.th

Noo NidiiZ กล่าวว่า...

นางสาววรรณิภา โพสีลอย
ขอนำเสนออาชีพแปลกๆๆๆๆๆๆที่จังหวัดมหาสารคามไม่มีคือ
อาชีพ....พนักงานชิมอาหารสุนัข....
ฮ่าฮ่าฮ่าๆๆ แปลกไหมละค่ะท่านผู้อ่าน
เพราะผู้ผลิตคิดว่าถ้าอาหารจานไดคนกินแล้วมีรสชาดถูกปาก น้องหมาของพวกเราก็ต้องชอบด้วยเหมือนกัน

สำหรับคุณสมบัติของผู้ประกอบอาชีพนี้ก็คือ
1.ไม่จำกัดเพศ อายุ และวัย
2.ไม่จำกัดวุฒิการศึกษา รูปร่างยังไงก็ได้
รายได้แล้วแต่รสชาติของยี่ห้อ
3.รักสัตว์
4.ซื่อสัตย์ต่องาน
5.มีความอดทนสูง
6.ชอบกินอาหารแปลก
7.ไม่มีงานอื่นทำคุณสามารถทำงานนี้ได้เลย
สนใจไหมค่ะ
ลองดูสักทีก็ไม่น่าจะเสียหายอะไร

Noo NidiiZ กล่าวว่า...

นางสาววรรณิภา โพสีลอย
48010510996 4EN
ขอนำเสนออาชีพแปลกๆๆๆๆๆๆที่จังหวัดมหาสารคามไม่มีคือ
อาชีพ....พนักงานชิมอาหารสุนัข....
ฮ่าฮ่าฮ่าๆๆ แปลกไหมละค่ะท่านผู้อ่าน
เพราะผู้ผลิตคิดว่าถ้าอาหารจานไดคนกินแล้วมีรสชาดถูกปาก น้องหมาของพวกเราก็ต้องชอบด้วยเหมือนกัน

สำหรับคุณสมบัติของผู้ประกอบอาชีพนี้ก็คือ
1.ไม่จำกัดเพศ อายุ และวัย
2.ไม่จำกัดวุฒิการศึกษา รูปร่างยังไงก็ได้
รายได้แล้วแต่รสชาติของยี่ห้อ
3.รักสัตว์
4.ซื่อสัตย์ต่องาน
5.มีความอดทนสูง
6.ชอบกินอาหารแปลก
7.ไม่มีงานอื่นทำคุณสามารถทำงานนี้ได้เลย
สนใจไหมค่ะ
ลองดูสักทีก็ไม่น่าจะเสียหายอะไร

ku กล่าวว่า...

นางสาวกุหลาบ ปฏิรูปา 48010510905 (4 EN) กลุ่มเรียนที่ 3
ข้าพเจ้า ขอนำเสนออาชีพที่ข้าพเจ้าคิดว่าหามีไม่ในจังหวัดมหาสารคาม คือ
รับจ้างร้องไห้หน้าศพ หรือเรียกกันอีกว่า “นางร้องไห้” อาชีพนี้ไม่ได้ถือว่าแปลก.........แต่มันน่าตื่นเต้นและพร้อมที่จะเผชิญกับสิ่งลี้ลับ อ่ะน่ะ ลองมาอ่านดูว่ามันน่าตื่นเต้น ลี้ลับ ตรงไหน

ประเพณีนางร้องไห้ที่หน้าศพเข้ามาเกี่ยวข้องกับธรรมเนียมไทย เมื่อใดนั้นยังไม่พบหลักฐาน แต่เข้าใจว่านางร้องไห้นี้ได้แบบอย่างมาจากมอญเป็นแน่ ในสมัยรัตนโกสินทร์ปรากฏว่าเมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯสวรรคต ก็มีนางร้องไห้เหมือนกัน และคงจะได้มีมาทุกรัชกาล และมาสิ้นสุดเอาในแผ่นดินรัชกาลที่5 ธรรมเนียมนางร้องไห้ได้มาเลิกในสมัยรัชกาลที่ 6 เพราะพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ไม่ทรงโปรด
ข้าพเจ้าได้คัดลอกมาจาก..แหล่งที่มา:เกร็ดโบราณคดีประเพณีไทย ของ ส.พลายน้อย พิมพ์ครั้งที่4 บริษัทรวมสาส์น,2539

สำหรับคุณสมบัติของผู้ประกอบอาชีพนี้ก็คือ
• เพศ หญิง อายุ ตั้งแต่ 25-60 ปี
• ไม่จำกัดวุฒิการศึกษา
• รายได้ 150/ชั่วโมง
• มีสติ สามารถแผ่บทสวดเมตตาได้ หรือบทสวดได้
• ใจกล้า ไม่กลัวต่อการอยู่คนเดียว หรือยามวิกาล
• มีความอดทนสูง
• มีใจรักในงาน
• ซื่อสัตย์ต่องาน
• เจ้าน้ำตา มีอารมณ์อ่อนไหวง่าย
เป็นไงบ้างค่ะน่าสนใจหรือเปล่าคะ งานนี้สบายแค่นั่งร้องไห้ สบายๆ แม้จะน่าตื่นเต้นกับการไปนั่งเป็นเพื่อนศพแต่ก็คุ้มค่าได้ทั้งเงินและเพื่อนใหม่ที่อยู่คนละโลก