ภาควิชาจิตวิทยาการศึกษาและการแนะแนว คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ถนนนครสวรรค์ ตำบลตลาด อำเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม 44000
เรื่อง รัก ๆ ใคร่ ๆ ... เรื่องความรักนิ่มันพูดยากเนาะตั้งแต่เกิดมา ก็คิดได้อยากเดียวว่า รักพ่อกับแม่ พอโตขึ้นมาอีกนิดประมาณ ม.3 กำลังย่างเข้าสู่หัวเลี้ยวหัวต่อเลยแหละ ดิฉันติดเพื่อนมากๆ ยังไม่รุ้จักคำว่ามีแฟนเลยคะ ฮ่าๆ วันๆนั่งเล่นแต่ โดมิโน ช่วงนั้น ฮิตมากๆ เลยแหละ ม.4 ก็ยัง ไม่มีแฟน เพราะเป็นช่วงที่ติดเกมส์ออนไลน์ มากๆ เล่นแบบไม่หลับไม่นอนเลยแหละ ม.5 เริ่มรู้ว่าตัวเอง ชอบทอม ( ก๊ากกก น่าตกใจในวัยนั้น !!! ) แต่ . . . จริงๆ แล้วดิฉันเคยคบผู้ชายนะ แต่ไม่ได้อะไร คุยโทรศัพท์กันอาทิตย์เดียวเองค๊า รู้สึกว่า มันไม่ใช่ ฮ่าๆ ก็เลย ชอบทอม มาเรื่อย ๆ เป็นงานอดิเรกเลยแหละ ทอมหล่อๆ นิ่ แบบว่า กีสส มากๆ ฮ่าๆ โคตรบ้าเลย และดิฉันมองว่า การที่ดิฉันชอบเพราะทอมเนี่ยมันเข้าใจผู้หญิงด้วยกัน และรักแล้วรักจริง ซะ ส่วนมาก ไม่ท้องด้วย 55 เท่าเทียมกันดี อิอิ ปัจจุบันมีแฟนแล้ว และไม่ต้องบอกว่า ผู้ชาย หรือ ผู้หญิง (ก็ต้องหญิงสิคะ เล่าขนาดนี้แล้ว ฮ่าๆ ) การที่ดิฉันคบผู้หญิง (ทอม) เนี่ย ตอนแรก คิดมากๆเลยแหละกว่าพ่อกับแม่รู้ แต่ ความลับไม่มีในโลก ฮ่าๆ เพราะ ทั้งสองรู้แล้ว แต่ พ่อกับแม่ ก็ไม่ได้ว่าอะไรสงสัยคงคิดว่าเราโตแล้วมั้ง คิดเองได้แล้ว อิอิ โล่งอกจัง เปิดเผยสีกที ฮ่าๆ (ตอนนี้เรารักกันมากค่ะ * ) ฮ่าๆ ประชด แต่ยังไงก็รักพ่อกับแม่ มากกว่า ค่ะ (โคตร ซึ้งเลย ) *ความภูมิใจ เกิดมาครบ 32 ประการและไม่ด้อยโอกาสในเรื่องการศึกษา และเรื่องต่างๆ เพราะ เวลาเห็นคนด้อนโอกาส ไม่ว่าจะเป็นเด็กขอทานที่เขาไม่ได้เรียนหนังสื่อ เห็นแล้วสงสาร ไม่อยากให้มีแบบนี้อยู่บนโลกนี้เลย จะร้องไห้ T _ T ความฝัน ความจริง ที่อยากให้เป็นจริง เรียนให้จบ เป็นนักจิตวิทยา มีเงิน ซื้อรถ ซื้อบ้าน ซื้อของต่างๆที่อยากได้ อยากเสริมจมูกใหม่ ตัดปีกจมูกด้วย ให้สวยกว่าเดิม เพราะยังไม่พอใจเลย (จริงๆแล้วเสริมแล้วนะแต่มันยุบลงง่าส์ ) พ่อจ๊า ขอเงินเสริมอีกหน่อยน๊า หมอค๊าว่างให้ตรงเวลาหนูหน่อยสิค่ะ นิ่แหละความไม่มั่นใจของดิฉันมันชังลำบากใจกระเป๋าตังค์พ่อจริง ๆ อิอิ (ฮ่า ฮ่า ฉันจะต้องทำให้ได้ ) สาธุ เพี้ยง !!! จบบริบูรณ์ *
เรื่อง รัก ๆ ใคร่ ๆ . . . เรื่องความรักนิ่มันพูดยากเนาะตั้งแต่เกิดมา ก็คิดได้อยากเดียวว่า รักพ่อกับแม่ พอโตขึ้นมาอีกนิดประมาณ ม.3 กำลังย่างเข้าสู่หัวเลี้ยวหัวต่อเลยแหละ ดิฉันติดเพื่อนมากๆ ยังไม่รุ้จักคำว่ามีแฟนเลยคะ ฮ่าๆ วันๆนั่งเล่นแต่ โดมิโน ช่วงนั้น ฮิตมากๆ เลยแหละ ม.4 ก็ยัง ไม่มีแฟน เพราะเป็นช่วงที่ติดเกมส์ออนไลน์ มากๆ เล่นแบบไม่หลับไม่นอนเลยแหละ ม.5 เริ่มรู้ว่าตัวเอง ชอบทอม ( ก๊ากกก น่าตกใจในวัยนั้น !!! ) แต่ . . . จริงๆ แล้วดิฉันเคยคบผู้ชายนะ แต่ไม่ได้อะไร คุยโทรศัพท์กันอาทิตย์เดียวเองค๊า รู้สึกว่า มันไม่ใช่ ฮ่าๆ ก็เลย ชอบทอม มาเรื่อย ๆ เป็นงานอดิเรกเลยแหละ ทอมหล่อๆ นิ่ แบบว่า กีสส มากๆ ฮ่าๆ โคตรบ้าเลย และดิฉันมองว่า การที่ดิฉันชอบเพราะทอมเนี่ยมันเข้าใจผู้หญิงด้วยกัน และรักแล้วรักจริง ซะ ส่วนมาก ไม่ท้องด้วย 55 เท่าเทียมกันดี อิอิ ปัจจุบันมีแฟนแล้ว และไม่ต้องบอกว่า ผู้ชาย หรือ ผู้หญิง (ก็ต้องหญิงสิคะ เล่าขนาดนี้แล้ว ฮ่าๆ ) การที่ดิฉันคบผู้หญิง (ทอม) เนี่ย ตอนแรก คิดมากๆเลยแหละกว่าพ่อกับแม่รู้ แต่ ความลับไม่มีในโลก ฮ่าๆ เพราะ ทั้งสองรู้แล้ว แต่ พ่อกับแม่ ก็ไม่ได้ว่าอะไรสงสัยคงคิดว่าเราโตแล้วมั้ง คิดเองได้แล้ว อิอิ โล่งอกจัง เปิดเผยสีกที ฮ่าๆ (ตอนนี้เรารักกันมากค่ะ * ) ฮ่าๆ ประชด แต่ยังไงก็รักพ่อกับแม่ มากกว่า ค่ะ (โคตร ซึ้งเลย ) * ความภูมิใจ เกิดมาครบ 32 ประการและไม่ด้อยโอกาสในเรื่องการศึกษา และเรื่องต่างๆ เพราะ เวลาเห็นคนด้อนโอกาส ไม่ว่าจะเป็นเด็กขอทานที่เขาไม่ได้เรียนหนังสื่อ เห็นแล้วสงสาร ไม่อยากให้มีแบบนี้อยู่บนโลกนี้เลย จะร้องไห้ T _ T ความฝัน ความจริง ที่อยากให้เป็นจริง เรียนให้จบ เป็นนักจิตวิทยา มีเงิน ซื้อรถ ซื้อบ้าน ซื้อของต่างๆที่อยากได้ อยากเสริมจมูกใหม่ ตัดปีกจมูกด้วย ให้สวยกว่าเดิม เพราะยังไม่พอใจเลย (จริงๆแล้วเสริมแล้วนะแต่มันยุบลงง่าส์ ) พ่อจ๊า ขอเงินเสริมอีกหน่อยน๊า หมอค๊าว่างให้ตรงเวลาหนูหน่อยสิค่ะ นิ่แหละความไม่มั่นใจของดิฉันมันชังลำบากใจกระเป๋าตังค์พ่อจริง ๆ อิอิ (ฮ่า ฮ่า ฉันจะต้องทำให้ได้ ) สาธุ เพี้ยง !!! จบบริบูรณ์*
ประวัติส่วนตัวนางสาว ธิตาภรณ์ ภูโอบ รหัสนักศึกษา 52010517103ชื่อเล่น เอมี่ Amyเกิดวันเสาร์ที่ 5 เดือน พฤษภาคม 2533 ปีมะเมียที่อยู่บ้านเลขที่ 100 หมู่ 4 ตำบล.เขาพระนอน อำเภอ ยางตลาด จังหวัดกาฬสินธุ์ 46120 ปัจจุบันพักอยู่ หอพักตักสิลานครA403*****************บิดานายฤทธิ์ศักดิ์ ภูโอบเกิดวันที่ที่2ตุลาคม2507อยู่บ้านเลขที่ 100 หมู่ 4 ตำบล เขาพระนอน อำเภอ ยางตลาด จังหวัดกาฬสินธุ์ 46120******************มารดานางสมบัติ ป้องจันทร์12ธันวาคม2512อยู่บ้านเลขที่ 100 หมู่ 4 ตำบล เขาพระนอน อำเภอ ยางตลาด จังหวัดกาฬสินธุ์ 46120****************พี่น้องร่วมบิดามารดา นายพีรพล ภูโอบ เกิด 13พฤษภาคม2535อยู่บ้านเลขที่ 100 หมู่ 4 ตำบล เขาพระนอน อำเภอ ยางตลาด จังหวัดกาฬสินธุ์ 46120ปัจจุบันกำลังศึกษาอยู่โรงเรียนลำปาววิทยาคม ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5*************ดิฉัน นางสาวธิตาภรณ์ ภูโอบ จบจาก โรงเรียนกาฬสินธุ์พิทยาสรรพ์อำเภอ เมือง จังหวัดกาฬสินธุ์ 46100ปัจจุบันกำลังศึกษาอยู่ที่ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม คณะศึกษาศาสตร์ Educationโปรแกรมสาขาวิชาจิตวิทยา Phychology PSYลักษณะนิสัยส่วนตัวเป็นคนขี้เล่น เอาแต่ใจหน่อยหนึ่ง รักเพื่อน เป็นคนโกรธง่ายหายเร็ว และที่สำคัญเป็นคนน่ารักด้วยสีที่ชอบ สีฟ้า เป็นชีวิตจิตใจเลยชอบมากตัวการ์ตูนที่ชอบ โดเรม่อน Doraemonอาหารที่ชอบ ไข่เจียวหมูสับง่ายๆสบายๆไม่ต้องอะไรมากจังหวัดที่อยากจะไปเที่ยวมากที่สุด ภูเก็ต แม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ เชียงรายประเทศที่อยากจะไปเที่ยวมากที่สุด ฝรั่งเศส เกาหลี ญี่ปุ่นวงดนตรีที่ชอบ The Richman Toy The Mousses Ta-Mone Band Slur Tattoo Colourเพลงที่ชอบ ทุ่งดอกไม้บาน ลืมฉันหรือยัง เริ่มจากร้อย เหตุผลหญิงไทย เข้ากลับชีวิตดีภาพยนตร์ไทยที่ชอบอยากได้ยินว่ารักกัน ม.3ปี4 บังเอิญรักไม่สิ้นสุด
นางสาวกานต์ธิดา สินสิทธิประเสริฐรหัสนิสิต 51010515039 ชั้นปี2ประวัติโดยทั่วๆไป!!!!!!!ชื่อแต่ดั้งเดิม...เด็กหญิงสุภาวดี แซ่ลิ้ม ก็เลยเปลี่ยนมาเป็น นางสาวกานต์ธิดา สินสิทธิประเสริฐ ชื่อเล่น...... บี เพศ หญิง แอบปนเชื้อสายจีนมาทางด้านพ่อมาเล็กน้อย เกิดเมื่อ.....วันพุธ ที่ 30 เดือน สิงหาคม พ.ศ. 2532 เวลา 14.20 นาฬิกา แม่เล่าให้ฉันฟังว่าต้องที่กำลังจะคลอดฉันนั้นฝนก็ตกลงมาแม่เฉียบพลันละแรงมากเลย ในขณะนี้ดิฉันก็ได้มีอายุ 20 ปี ที่อยู่ปัจจุบัน 58/43 ถ.ศรีจันทร์ อ.เมือง จ.ขอนแก่น 40000 ประวัติทางด้านการศึกษา อนุบาล1-3 ศึกษาที่โรงเรียนราชอุทิศวิทยาลัย ประถมศึกษา1-6 ศึกษาที่โรงเรียนฮั้วเคี้ยววิทยาลัย มัธยมศึกษาปีที่ 1-3 ศึกษาที่โรงเรียนสิริเกศน้อมเกล้า มัธยมศึกษาปีที่4-6 ศึกษาที่โรงเรียนขอนแก่นวิทยายน2 ประจุบันกำลังศึกษาที่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม คณะศึกษาศาสตร์ สาขาวิชาจิตวิทยา ชั้นปีที่2 ก่อนหน้านี้ดิฉันเรียนคณะการท่องเที่ยวและการโรงแรมประวัติทางด้านครอบครัว มีทั้งหมด 5 คนประกอบไปด้วย พ่อ แม่ พี่ชาย น้องชาย และดิฉัน ครอบครัวของข้าพเจ้าเป็นครอบครัวที่อบอุ่นเป็นระยะ ระยะ ........คติประจำใจ..... ปัญหาทุกอย่างย่อมมีทางแก้ไขและทางออกที่ดีเสมอ กิจกรรมเวลาว่าง....... ฟังเพลง ดูหนัง ออนเอ็ม เล่นhi5 หารายได้พิเศษ ((ประมาณงก 555+))นิสัยโดยส่วนตัว...... ร่าเริง ยิ้มเก่ง เข้ากับผู้อื่นได้ง่าย อาหารที่ชอบ...ทุกๆอย่างยกเว้นผัดและผลไม้ .............................................................................................เรื่องราวความรักของเพื่อนร่วมห้องในชั้นเรียน ดิฉันเคยคบกับเพื่อนในห้องเรียนเดียวกันเมื่อวันที่ 2 เดือน มกราคม พ.ศ.2550 จนมาถึงวันที่ดิฉันถุกบอกเลิกเมื่อวันที่ 31 ธันวาคาม พ.ศ. 2550 เวลา 00.00 ของคืนวันที่1 เดือนมกราคม พ.ศ .2551 ซึ่งในขณะนนั้นดิฉันเสียใจมากเรยที่ถูกบอกเลิก และมันเป็นของขวัญชิ้นใหญ่มากที่ดิฉันเคยได้รับชิ้นแรกในวันปีใหม่ สภาวะความรู้สึกในตอนนั้นดิฉันเสียใจมาก จนต้องนอนร้องไห้ทั้งคืนและที่ดิฉันเสียใจมากกว่านั้นคือแฟนใหม่ของคนที่ดิฉันเคยคบเป็นเด็กน้อยอายุ14ปี เด็กน้อยคนนั้น แรงมาก ๆ แรงจนกว่าดิฉันจะให้อภัย ดิฉันใช่เวลาในการร้องไห้กับการเสียใจครั้งนี้เป็นเวลานับ 3 เดือน แต่ถ้าพูดจริงจนถึงทุกวันนี้ดิฉันยังไม่เคยลืมเขาคนนั้นเลย ดิฉันยังอยากที่จะเห็นน่า ยังอยากที่จะคอยดูแลอยู่เสมอ ทั้งๆที่มันเป็นไปไม่ได้เลย....... รักครั้ง2ของดิฉันนั้นก้อคือการแอบรักเพื่อนอีกคนในห้องเรียนเดียวกัน ดิฉันมีความรู้สึกกับเพื่อนคนนี้เริ่มต้นด้วยมิตรภาพ และค่อยๆเริ่มการพัฒนาๆไปเรื่อยจนการเป็นความรู้สึกที่เกินกว่าคำว่าเพื่อน ดิฉันแอบรักเพื่อนคนนี้มา 4ปีแล้ว เพื่อนคนนี้มีชื่อว่าต๊ะ เรียนที่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ความรู้สึกของดิฉันในตอนนี้ มีมากมายจนเกินเลยอยู่ตลอดเวลา ยิ่งเพื่อนของดิฉันไปไหนมาไหนกับดิฉันมากๆ ดิฉันก็ยิ่งมีแต่ความสุขและยิ่งรักขึ้นเรื่อยๆ จนดิฉันทนไม่ไหวอยากจะบอกความรู้สึกที่มีให้กับเพื่อนดิฉันได้ฟัง ดิฉันจึงลองคิดและรวบรวมความรู้สึกทั้งหมดที่มีเพื่อที่จะบอกรักเพื่อน และดิฉันก็ได้บอกรักเพื่อนของฉันจริงๆ ดิฉันรู้สึกอายมากๆในขณะที่พูดความในใจออกไปให้กับคนที่ดีฉันแอบรัก แต่พอเขาได้ยินคำที่ดินฉันพูดออกมานั้นเขาถึงกับก้มน่าแล้วตอบดิฉันกลับมาว่า แกมาบอกอะไรฉันตอนนี้ มันไม่สายเกินไปหรอ แล้วทำไมที่ผ่านมาแกไม่พูดมาออกมา.......พอดิฉันได้ยินคำพูดที่เขาตอบดิฉันตอบกลับมา ดิฉันถึงกับตกใจแล้วก็มีความรู้สึกว่าทำไมฉันโง่จังเลย ทำไมเหมือนก่อนถึงไม่พูดมันออกมา! ดิฉันถึงกับน้ำตาลซึม และยิ้มให้กับเขาคนนั้น แล้วก็ขอบคุณทุกๆอย่างที่มีให้กัน ขอบคุณความรักที่เคยมีให้.....สุดท้ายเรื่องก็จบโดยการรอคอยใครสักคนอย่างมีความหวังและรอต่อไปทั้งๆที่รู้ตัวว่ามันคงเป็นไปไม่ได้(((ถ้าเขาคนนั้นไม่เลิกกับแฟน)))...สาธุ!ขอให้เลิกกันเร็วๆๆๆด้วยนะ! หมายุเหตุ: เพื่อนรัก รักเพื่อน.....ฉันไม่ได้รักแกในฐานนะเพื่อนเข้าใจไหม ..............................................................................................
เราเพิ่งทำอ่ะเพื่อนๆรักอ.ในภาควิชาที่สุดเลย
นางสาวกานต์ธิดา สินสิทธิประเสริฐรหัสนิสิต 51010515039 ชั้นปี2ประวัติโดยทั่วๆไป!!!!!!!ชื่อแต่ดั้งเดิม...เด็กหญิงสุภาวดี แซ่ลิ้ม ก็เลยเปลี่ยนมาเป็น นางสาวกานต์ธิดา สินสิทธิประเสริฐ ชื่อเล่น...... บี เพศ หญิง แอบปนเชื้อสายจีนมาทางด้านพ่อมาเล็กน้อย เกิดเมื่อ.....วันพุธ ที่ 30 เดือน สิงหาคม พ.ศ. 2532 เวลา 14.20 นาฬิกา แม่เล่าให้ฉันฟังว่าต้องที่กำลังจะคลอดฉันนั้นฝนก็ตกลงมาแม่เฉียบพลันละแรงมากเลย ในขณะนี้ดิฉันก็ได้มีอายุ 20 ปี ที่อยู่ปัจจุบัน 58/43 ถ.ศรีจันทร์ อ.เมือง จ.ขอนแก่น 40000 ประวัติทางด้านการศึกษา อนุบาล1-3 ศึกษาที่โรงเรียนราชอุทิศวิทยาลัย ประถมศึกษา1-6 ศึกษาที่โรงเรียนฮั้วเคี้ยววิทยาลัย มัธยมศึกษาปีที่ 1-3 ศึกษาที่โรงเรียนสิริเกศน้อมเกล้า มัธยมศึกษาปีที่4-6 ศึกษาที่โรงเรียนขอนแก่นวิทยายน2 ประจุบันกำลังศึกษาที่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม คณะศึกษาศาสตร์ สาขาวิชาจิตวิทยา ชั้นปีที่2 ก่อนหน้านี้ดิฉันเรียนคณะการท่องเที่ยวและการโรงแรมประวัติทางด้านครอบครัว มีทั้งหมด 5 คนประกอบไปด้วย พ่อ แม่ พี่ชาย น้องชาย และดิฉัน ครอบครัวของข้าพเจ้าเป็นครอบครัวที่อบอุ่นเป็นระยะ ระยะ ........คติประจำใจ..... ปัญหาทุกอย่างย่อมมีทางแก้ไขและทางออกที่ดีเสมอ กิจกรรมเวลาว่าง....... ฟังเพลง ดูหนัง ออนเอ็ม เล่นhi5 หารายได้พิเศษ ((ประมาณงก 555+))นิสัยโดยส่วนตัว...... ร่าเริง ยิ้มเก่ง เข้ากับผู้อื่นได้ง่าย อาหารที่ชอบ...ทุกๆอย่างยกเว้นผัดและผลไม้ เรื่องราวความรักของเพื่อนร่วมห้องในชั้นเรียน ดิฉันเคยคบกับเพื่อนในห้องเรียนเดียวกันเมื่อวันที่ 2 เดือน มกราคม พ.ศ.2550 จนมาถึงวันที่ดิฉันถุกบอกเลิกเมื่อวันที่ 31 ธันวาคาม พ.ศ. 2550 เวลา 00.00 ของคืนวันที่1 เดือนมกราคม พ.ศ .2551 ซึ่งในขณะนนั้นดิฉันเสียใจมากเรยที่ถูกบอกเลิก และมันเป็นของขวัญชิ้นใหญ่มากที่ดิฉันเคยได้รับชิ้นแรกในวันปีใหม่ สภาวะความรู้สึกในตอนนั้นดิฉันเสียใจมาก จนต้องนอนร้องไห้ทั้งคืนและที่ดิฉันเสียใจมากกว่านั้นคือแฟนใหม่ของคนที่ดิฉันเคยคบเป็นเด็กน้อยอายุ14ปี เด็กน้อยคนนั้น แรงมาก ๆ แรงจนกว่าดิฉันจะให้อภัย ดิฉันใช่เวลาในการร้องไห้กับการเสียใจครั้งนี้เป็นเวลานับ 3 เดือน แต่ถ้าพูดจริงจนถึงทุกวันนี้ดิฉันยังไม่เคยลืมเขาคนนั้นเลย ดิฉันยังอยากที่จะเห็นน่า ยังอยากที่จะคอยดูแลอยู่เสมอ ทั้งๆที่มันเป็นไปไม่ได้เลย....... รักครั้ง2ของดิฉันนั้นก้อคือการแอบรักเพื่อนอีกคนในห้องเรียนเดียวกัน ดิฉันมีความรู้สึกกับเพื่อนคนนี้เริ่มต้นด้วยมิตรภาพ และค่อยๆเริ่มการพัฒนาๆไปเรื่อยจนการเป็นความรู้สึกที่เกินกว่าคำว่าเพื่อน ดิฉันแอบรักเพื่อนคนนี้มา 4ปีแล้ว เพื่อนคนนี้มีชื่อว่าต๊ะ เรียนที่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ความรู้สึกของดิฉันในตอนนี้ มีมากมายจนเกินเลยอยู่ตลอดเวลา ยิ่งเพื่อนของดิฉันไปไหนมาไหนกับดิฉันมากๆ ดิฉันก็ยิ่งมีแต่ความสุขและยิ่งรักขึ้นเรื่อยๆ จนดิฉันทนไม่ไหวอยากจะบอกความรู้สึกที่มีให้กับเพื่อนดิฉันได้ฟัง ดิฉันจึงลองคิดและรวบรวมความรู้สึกทั้งหมดที่มีเพื่อที่จะบอกรักเพื่อน และดิฉันก็ได้บอกรักเพื่อนของฉันจริงๆ ดิฉันรู้สึกอายมากๆในขณะที่พูดความในใจออกไปให้กับคนที่ดีฉันแอบรัก แต่พอเขาได้ยินคำที่ดินฉันพูดออกมานั้นเขาถึงกับก้มน่าแล้วตอบดิฉันกลับมาว่า แกมาบอกอะไรฉันตอนนี้ มันไม่สายเกินไปหรอ แล้วทำไมที่ผ่านมาแกไม่พูดมาออกมา.......พอดิฉันได้ยินคำพูดที่เขาตอบดิฉันตอบกลับมา ดิฉันถึงกับตกใจแล้วก็มีความรู้สึกว่าทำไมฉันโง่จังเลย ทำไมเหมือนก่อนถึงไม่พูดมันออกมา! ดิฉันถึงกับน้ำตาลซึม และยิ้มให้กับเขาคนนั้น แล้วก็ขอบคุณทุกๆอย่างที่มีให้กัน ขอบคุณความรักที่เคยมีให้.....สุดท้ายเรื่องก็จบโดยการรอคอยใครสักคนอย่างมีความหวังและรอต่อไปทั้งๆที่รู้ตัวว่ามันคงเป็นไปไม่ได้(((ถ้าเขาคนนั้นไม่เลิกกับแฟน)))...สาธุ!ขอให้เลิกกันเร็วๆๆๆด้วยนะ! หมายุเหตุ: เพื่อนรัก รักเพื่อน.....ฉันไม่ได้รักแกในฐานนะเพื่อนเข้าใจไหม
นางสาวกานต์ธิดา สินสิทธิประเสริฐรหัสนิสิต 51010515039 ชั้นปี2ประวัติโดยทั่วๆไป!!!!!!!ชื่อแต่ดั้งเดิม...เด็กหญิงสุภาวดี แซ่ลิ้ม ก็เลยเปลี่ยนมาเป็น นางสาวกานต์ธิดา สินสิทธิประเสริฐ ชื่อเล่น...... บี เพศ หญิง แอบปนเชื้อสายจีนมาทางด้านพ่อมาเล็กน้อย เกิดเมื่อ.....วันพุธ ที่ 30 เดือน สิงหาคม พ.ศ. 2532 เวลา 14.20 นาฬิกา แม่เล่าให้ฉันฟังว่าต้องที่กำลังจะคลอดฉันนั้นฝนก็ตกลงมาแม่เฉียบพลันละแรงมากเลย ในขณะนี้ดิฉันก็ได้มีอายุ 20 ปี ที่อยู่ปัจจุบัน 58/43 ถ.ศรีจันทร์ อ.เมือง จ.ขอนแก่น 40000 ประวัติทางด้านการศึกษา อนุบาล1-3 ศึกษาที่โรงเรียนราชอุทิศวิทยาลัย ประถมศึกษา1-6 ศึกษาที่โรงเรียนฮั้วเคี้ยววิทยาลัย มัธยมศึกษาปีที่ 1-3 ศึกษาที่โรงเรียนสิริเกศน้อมเกล้า มัธยมศึกษาปีที่4-6 ศึกษาที่โรงเรียนขอนแก่นวิทยายน2 ประจุบันกำลังศึกษาที่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม คณะศึกษาศาสตร์ สาขาวิชาจิตวิทยา ชั้นปีที่2 ก่อนหน้านี้ดิฉันเรียนคณะการท่องเที่ยวและการโรงแรมประวัติทางด้านครอบครัว มีทั้งหมด 5 คนประกอบไปด้วย พ่อ แม่ พี่ชาย น้องชาย และดิฉัน ครอบครัวของข้าพเจ้าเป็นครอบครัวที่อบอุ่นเป็นระยะ ระยะ ........คติประจำใจ..... ปัญหาทุกอย่างย่อมมีทางแก้ไขและทางออกที่ดีเสมอ กิจกรรมเวลาว่าง....... ฟังเพลง ดูหนัง ออนเอ็ม เล่นhi5 หารายได้พิเศษ ((ประมาณงก 555+))นิสัยโดยส่วนตัว...... ร่าเริง ยิ้มเก่ง เข้ากับผู้อื่นได้ง่าย อาหารที่ชอบ...ทุกๆอย่างยกเว้นผัดและผลไม้ .............................................................................................เรื่องราวความรักของเพื่อนร่วมห้องในชั้นเรียน ดิฉันเคยคบกับเพื่อนในห้องเรียนเดียวกันเมื่อวันที่ 2 เดือน มกราคม พ.ศ.2550 จนมาถึงวันที่ดิฉันถุกบอกเลิกเมื่อวันที่ 31 ธันวาคาม พ.ศ. 2550 เวลา 00.00 ของคืนวันที่1 เดือนมกราคม พ.ศ .2551 ซึ่งในขณะนนั้นดิฉันเสียใจมากเรยที่ถูกบอกเลิก และมันเป็นของขวัญชิ้นใหญ่มากที่ดิฉันเคยได้รับชิ้นแรกในวันปีใหม่ สภาวะความรู้สึกในตอนนั้นดิฉันเสียใจมาก จนต้องนอนร้องไห้ทั้งคืนและที่ดิฉันเสียใจมากกว่านั้นคือแฟนใหม่ของคนที่ดิฉันเคยคบเป็นเด็กน้อยอายุ14ปี เด็กน้อยคนนั้น แรงมาก ๆ แรงจนกว่าดิฉันจะให้อภัย ดิฉันใช่เวลาในการร้องไห้กับการเสียใจครั้งนี้เป็นเวลานับ 3 เดือน แต่ถ้าพูดจริงจนถึงทุกวันนี้ดิฉันยังไม่เคยลืมเขาคนนั้นเลย ดิฉันยังอยากที่จะเห็นน่า ยังอยากที่จะคอยดูแลอยู่เสมอ ทั้งๆที่มันเป็นไปไม่ได้เลย....... รักครั้ง2ของดิฉันนั้นก้อคือการแอบรักเพื่อนอีกคนในห้องเรียนเดียวกัน ดิฉันมีความรู้สึกกับเพื่อนคนนี้เริ่มต้นด้วยมิตรภาพ และค่อยๆเริ่มการพัฒนาๆไปเรื่อยจนการเป็นความรู้สึกที่เกินกว่าคำว่าเพื่อน ดิฉันแอบรักเพื่อนคนนี้มา 4ปีแล้ว เพื่อนคนนี้มีชื่อว่าต๊ะ เรียนที่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ความรู้สึกของดิฉันในตอนนี้ มีมากมายจนเกินเลยอยู่ตลอดเวลา ยิ่งเพื่อนของดิฉันไปไหนมาไหนกับดิฉันมากๆ ดิฉันก็ยิ่งมีแต่ความสุขและยิ่งรักขึ้นเรื่อยๆ จนดิฉันทนไม่ไหวอยากจะบอกความรู้สึกที่มีให้กับเพื่อนดิฉันได้ฟัง ดิฉันจึงลองคิดและรวบรวมความรู้สึกทั้งหมดที่มีเพื่อที่จะบอกรักเพื่อน และดิฉันก็ได้บอกรักเพื่อนของฉันจริงๆ ดิฉันรู้สึกอายมากๆในขณะที่พูดความในใจออกไปให้กับคนที่ดีฉันแอบรัก แต่พอเขาได้ยินคำที่ดินฉันพูดออกมานั้นเขาถึงกับก้มน่าแล้วตอบดิฉันกลับมาว่า แกมาบอกอะไรฉันตอนนี้ มันไม่สายเกินไปหรอ แล้วทำไมที่ผ่านมาแกไม่พูดมาออกมา.......พอดิฉันได้ยินคำพูดที่เขาตอบดิฉันตอบกลับมา ดิฉันถึงกับตกใจแล้วก็มีความรู้สึกว่าทำไมฉันโง่จังเลย ทำไมเหมือนก่อนถึงไม่พูดมันออกมา! ดิฉันถึงกับน้ำตาลซึม และยิ้มให้กับเขาคนนั้น แล้วก็ขอบคุณทุกๆอย่างที่มีให้กัน ขอบคุณความรักที่เคยมีให้.....สุดท้ายเรื่องก็จบโดยการรอคอยใครสักคนอย่างมีความหวังและรอต่อไปทั้งๆที่รู้ตัวว่ามันคงเป็นไปไม่ได้(((ถ้าเขาคนนั้นไม่เลิกกับแฟน)))...สาธุ!ขอให้เลิกกันเร็วๆๆๆด้วยนะ! หมายุเหตุ: เพื่อนรัก รักเพื่อน.....ฉันไม่ได้รักแกในฐานนะเพื่อนเข้าใจไหม
เรื่องราวความรักของเพื่อนร่วมห้องในชั้นเรียน ดิฉันเคยคบกับเพื่อนในห้องเรียนเดียวกันเมื่อวันที่ 2 เดือน มกราคม พ.ศ.2550 จนมาถึงวันที่ดิฉันถุกบอกเลิกเมื่อวันที่ 31 ธันวาคาม พ.ศ. 2550 เวลา 00.00 ของคืนวันที่1 เดือนมกราคม พ.ศ .2551 ซึ่งในขณะนนั้นดิฉันเสียใจมากเรยที่ถูกบอกเลิก และมันเป็นของขวัญชิ้นใหญ่มากที่ดิฉันเคยได้รับชิ้นแรกในวันปีใหม่ สภาวะความรู้สึกในตอนนั้นดิฉันเสียใจมาก จนต้องนอนร้องไห้ทั้งคืนและที่ดิฉันเสียใจมากกว่านั้นคือแฟนใหม่ของคนที่ดิฉันเคยคบเป็นเด็กน้อยอายุ14ปี เด็กน้อยคนนั้น แรงมาก ๆ แรงจนกว่าดิฉันจะให้อภัย ดิฉันใช่เวลาในการร้องไห้กับการเสียใจครั้งนี้เป็นเวลานับ 3 เดือน แต่ถ้าพูดจริงจนถึงทุกวันนี้ดิฉันยังไม่เคยลืมเขาคนนั้นเลย ดิฉันยังอยากที่จะเห็นน่า ยังอยากที่จะคอยดูแลอยู่เสมอ ทั้งๆที่มันเป็นไปไม่ได้เลย....... รักครั้ง2ของดิฉันนั้นก้อคือการแอบรักเพื่อนอีกคนในห้องเรียนเดียวกัน ดิฉันมีความรู้สึกกับเพื่อนคนนี้เริ่มต้นด้วยมิตรภาพ และค่อยๆเริ่มการพัฒนาๆไปเรื่อยจนการเป็นความรู้สึกที่เกินกว่าคำว่าเพื่อน ดิฉันแอบรักเพื่อนคนนี้มา 4ปีแล้ว เพื่อนคนนี้มีชื่อว่าต๊ะ เรียนที่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ความรู้สึกของดิฉันในตอนนี้ มีมากมายจนเกินเลยอยู่ตลอดเวลา ยิ่งเพื่อนของดิฉันไปไหนมาไหนกับดิฉันมากๆ ดิฉันก็ยิ่งมีแต่ความสุขและยิ่งรักขึ้นเรื่อยๆ จนดิฉันทนไม่ไหวอยากจะบอกความรู้สึกที่มีให้กับเพื่อนดิฉันได้ฟัง ดิฉันจึงลองคิดและรวบรวมความรู้สึกทั้งหมดที่มีเพื่อที่จะบอกรักเพื่อน และดิฉันก็ได้บอกรักเพื่อนของฉันจริงๆ ดิฉันรู้สึกอายมากๆในขณะที่พูดความในใจออกไปให้กับคนที่ดีฉันแอบรัก แต่พอเขาได้ยินคำที่ดินฉันพูดออกมานั้นเขาถึงกับก้มน่าแล้วตอบดิฉันกลับมาว่า แกมาบอกอะไรฉันตอนนี้ มันไม่สายเกินไปหรอ แล้วทำไมที่ผ่านมาแกไม่พูดมาออกมา.......พอดิฉันได้ยินคำพูดที่เขาตอบดิฉันตอบกลับมา ดิฉันถึงกับตกใจแล้วก็มีความรู้สึกว่าทำไมฉันโง่จังเลย ทำไมเหมือนก่อนถึงไม่พูดมันออกมา! ดิฉันถึงกับน้ำตาลซึม และยิ้มให้กับเขาคนนั้น แล้วก็ขอบคุณทุกๆอย่างที่มีให้กัน ขอบคุณความรักที่เคยมีให้.....สุดท้ายเรื่องก็จบโดยการรอคอยใครสักคนอย่างมีความหวังและรอต่อไปทั้งๆที่รู้ตัวว่ามันคงเป็นไปไม่ได้(((ถ้าเขาคนนั้นไม่เลิกกับแฟน)))...สาธุ!ขอให้เลิกกันเร็วๆๆๆด้วยนะ! หมายุเหตุ: เพื่อนรัก รักเพื่อน.....ฉันไม่ได้รักแกในฐานนะเพื่อนเข้าใจไหม ..............................................................................................
นางสาวกานต์ธิดา สินสิทธิประเสริฐรหัสนิสิต 51010515039 ชั้นปี2ประวัติโดยทั่วๆไป!!!!!!!ชื่อแต่ดั้งเดิม...เด็กหญิงสุภาวดี แซ่ลิ้ม ก็เลยเปลี่ยนมาเป็น นางสาวกานต์ธิดา สินสิทธิประเสริฐ ชื่อเล่น...... บี เพศ หญิง แอบปนเชื้อสายจีนมาทางด้านพ่อมาเล็กน้อย เกิดเมื่อ.....วันพุธ ที่ 30 เดือน สิงหาคม พ.ศ. 2532 เวลา 14.20 นาฬิกา แม่เล่าให้ฉันฟังว่าต้องที่กำลังจะคลอดฉันนั้นฝนก็ตกลงมาแม่เฉียบพลันและแรงมากเลย ในขณะนี้ดิฉันก็ได้มีอายุ 20 ปี ที่อยู่ปัจจุบัน 58/43 ถ.ศรีจันทร์ อ.เมือง จ.ขอนแก่น 40000 ประวัติทางด้านการศึกษา นุบาล1-3 ศึกษาที่โรงเรียนราชอุทิศวิทยาลัย ประถมศึกษา1-6 ศึกษาที่โรงเรียนฮั้วเคี้ยววิทยาลัย มัธยมศึกษาปีที่ 1-3 ศึกษาที่โรงเรียนสิริเกศน้อมเกล้า มัธยมศึกษาปีที่4-6 ศึกษาที่โรงเรียนขอนแก่นวิทยายน2 ประจุบันกำลังศึกษาที่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม คณะศึกษาศาสตร์ สาขาวิชาจิตวิทยา ชั้นปีที่2 ก่อนหน้านี้ดิฉันเรียนคณะการท่องเที่ยวและการโรงแรมประวัติทางด้านครอบครัว มีทั้งหมด 5 คนประกอบไปด้วย พ่อ แม่ พี่ชาย น้องชาย และดิฉัน ครอบครัวของข้าพเจ้าเป็นครอบครัวที่อบอุ่นเป็นระยะ ระยะ ........คติประจำใจ..... ปัญหาทุกอย่างย่อมมีทางแก้ไขและทางออกที่ดีเสมอ กิจกรรมเวลาว่าง....... ฟังเพลง ดูหนัง ออนเอ็ม เล่นhi5 หารายได้พิเศษ ((ประมาณงก 555+))นิสัยโดยส่วนตัว...... ร่าเริง ยิ้มเก่ง เข้ากับผู้อื่นได้ง่าย อาหารที่ชอบ...ทุกๆอย่างยกเว้นผัดและผลไม
โดยที่ข้าพเจ้าได้เข้าศึกษาในสถาบันแห่งนี้ด้วยการสมัครโควต้ารับตรงในคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ผังเมืองและนฤมิตศิลป์โดยที่ทางผู้ปกครองยังไม่ค่อยเห็นด้วยในการตัดสินใจครั้งนี้เนื่องจากเป็นคณะที่ไม่ตรงกับที่เคยเรียนมาและผู้ปกครองไม่อยากให้เรียน ข้าพเจ้าจึงขออนุญาตผู้ปกครองว่าขอเรียนดูก่อนว่าจะเป็นอย่างไรถ้าไม่ไหวจึงจะเรียนในคณะอื่น เมื่อได้เข้ามาเรียนแล้วจึงทำให้ข้าพเจ้าได้รู้ว่าจากการที่ได้เรียนสายวิทย์-คณิตมานั้นไม่ค่อยได้นำมาใช้ในการเรียนสักเท่าไรและได้เริ่มรู้ว่าไม่ถนัดกับคณะนี้จึงได้ปรึกษาผู้ปกครอง และท่านก็ได้ให้ตัดสินใจว่าจะเลือกที่จะสอบเรียนใหม่หรือจะทำการย้ายคณะให้ตรงตามความถนัดของข้าพเจ้า โดยที่ท่านได้บอกว่าตอนนี้หลายๆโรงเรียนต้องการครู อาจารย์ หลายอัตราจึงอยากให้เรียนในคณะศึกษาศาสตร์ และข้าพเจ้าจึงได้ไปปรึกษากับอาจารย์ที่เคยสอนตอนอยู่มัธยมท่านจึงบอกว่าทางโรงเรียนต้องการครูแนะแนว ซึ่งครูที่อยู่ฝ่ายแนะแนวปัจจุบันท่านจะเลื่อนไปเป็นผู้บริหารอีก 2 ปีและไม่ค่อยมีคนที่จบในสาขานี้ที่ตรงกับความต้องการ และคุณครูยังบอกว่าข้าพเจ้าก็เป็นคนที่เคยให้คำปรึกษาคนอื่นได้น่าจะเรียนกับสาขาที่เกี่ยวกับการแนะแนว ข้าพเจ้าจึงได้ตัดสินใจที่จะย้ายคณะมาเรียนคณะศึกษาศาสตร์ เอกจิตวิทยา เมื่อเข้ามาเรียนคณะนี้แล้วรู้สึกว่าข้าพเจ้าได้ทำในสิ่งที่ได้เคยทำหรือได้ทำผ่านมาแล้วทำให้มีความกระตือรือร้น เอาใจใส่มากกว่าเดิม เพื่อนๆพี่ๆน้องๆ ที่อยู่เอกนี้ก็ทักทายพูดคุยกับข้าพเจ้าอย่างเป็นกันเอง เมื่อมาถึงวันนี้ข้าพเจ้าคิดว่าสิ่งนี้แหละคือสิ่งที่เหมาะกับข้าพเจ้าจากวันนี้ข้าพเจ้าได้รู้แล้วว่าการที่ผู้ปกครองแนะนำหรืออยากให้ทำนั้นท่านได้รู้แล้วว่าตัวเราเองสามารถทำหรือถนัดในสิ่งนั้นท่านจึงแนะนำ ควรที่จะกระทำหรือปฏิบัติตามในสิ่งที่เห็นควรนายอธิวัฒน์ สุนารักษ์ 51011111056 ระบบปกติ
ประวัตินิสิตสาขาจิตวิทยาปี 1ตั้งแต่เกิดจนโตเบลล์เป็นคนเอาแต่ใจมาก ถ้ามีใครมาขัดใจจะเดินออกไปนอกบ้านแล้วก็เดินไปเรื่อยๆแบบไร้จุดหมาย จนบางครั้งทั้งตระกูลก็ว่าได้ไม่ว่าจะเป็น ลุง ป้า น้า อา พ่อ แม่ ต้องออกตามหา สุดท้ายก็ไปเจอเบลล์นอนอยู่ที่สวนยางพาราบ้าง ตามบ้านคนแถวบ้านบ้าง พ่อก็รีบเข้าไปอุ้มกลับบ้านทั้งที่หลับอยู่เพราะความอ่อนเพลีย ตอนนั้นก็ใกล็สว่างแล้ว เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นตอนเบลล์อยู่ป.3 พอสว่างมาทุกอย่างก็กลับมาเป็นปกติ จนทุกคนเริ่มชิน เกิดขึ้นบ่อยๆทุกคนก็ไม่ไปตามเพราะรู้ว่ายังไงก็กลับมาเอง เป็นอย่างนี้ตั้งแต่เด็กจนถึงปัจจุบันนี้ เรื่องเอาแต่ใจไม่มีใครเกิน แต่เรื่องดีๆก็เกิดขึ้นบ้างตามประสาคนอารมณ์แปรปรวน เช่นแอบๆเขียนการ์ดให้แม่ (แม่ดีใจจนร้องไห้เพราะเป็นเรื่องแปลกที่เบลล์จะทำ) แล้วก็มีทำกับข้าวให้แม่เรื่องนี้แม่ดีใจสุดๆเพราะเบลล์ทำไม่เป็น พอละๆมันไม่ค่อยมี การที่เป็นลูกคนแรกทำให้พ่อ แม่ แอบๆเอาใจทั้งที่ปู่ ย่า ตา ยาย บอกว่าอย่าเอาใจมากเดี๋ยวเคยตัว แม่บอกว่าเลี้ยงยากมากร้องไห้ข้ามวันข้ามคืน พอกินนมเสร็จก็ต้องนอนบนหน้าอกแม่ไม่งั้นจะร้องไห้อีก ว่าไปแล้วก็เลี้ยงยากมากนะเนี่ย ไม่รู้ว่าพ่อ แม่ ทนได้ไง เพราะรักมั้ง เหมือนกับเราที่โคตรรักพ่อกับแม่เลย ซึ้งอะ แงๆๆๆๆคิดถึงอยากกลับบ้านแล้วเริ่ม.....แนะนำตัว ชื่อตามบัตรประจำตัวประชาชน นางสาวชลลดา ตันนารัตน์ ชื่อเล่นเบลล์ กรุ๊ปเลือด โอเพื่อนในกลุ่มเรียก ชายเบลล์ รหัสนิสิต 52010517065 E-mail Midnight_44@windowslive.com เบอร์โทรฯที่สามารถติดต่อได้ตลอด 48 ชั่วโมง 080-7515601 อายุ18 ปี เกิดวัน อังคาร ที่ 30 เมษายน 2534 ราศีเมษ ที่อยู่บ้านเลขที่ 17/4 ต.วัดธาตุ อ.เมืองหนองคาย จ.หนองคาย 43000 หอพักปัจจุบันคือ หอเขียว (จริงๆแล้วยังไม่มีชื่อหรอกตั้งเองแหะๆ) บิดาชื่อนายสุรเดช ตันนารัตน์ มารดาชื่อนางราตรี ตันนารัตน์ มีพี่น้อง 2 คนเป็นบุตรคนที่ 1 น้องสาวชื่อเด็กหญิงชลธิชา ตันนารัตน์ ชื่อเล่นเยล์ว อายุ 8 ปี เกิดวันเสาร์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ.2545 การศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย โรงเรียนปทุมเทพวิทยาคาร เรียนสายศิลป์-ภาษา(Gifted) จังหวัดหนองคาย ความสามรถพิเศษทางด้านศิลปะ (จิตกรรมฝาผนัง) ขออธิบายนะ ศิลปคือความงามที่ไม่อาจใช้เหตุผลบรรยายให้ซาบซึ้ง ศิลปแสดงความรัก และความพอใจ ทั้งเกิดขึ้นและสำเร็จลงด้วยสิ่งนั้นศิลปไม่ต้องการคำรับรอง เพราะศิลปะเป็นศิลปะสำหรับผู้มีศิลปะเท่านั้น บุลคลที่ให้เวลากับศิลปะเพื่อศิลปะ เขาก็คือศิลปิน ไร้อารมณ์ศิลปิน สัมผัสสิ่งใดก็ไม่หยั่งถึงแก่นของศิลปะ
ศิลปินที่แท้ ดำรงอิสระ และเสรีภาพไว้มั่นคง ศิลปินที่ไม่มีอิสระเสรีก็ไม่นับเป็นศิลปิน และผลงานของเขา ก็ไม่อาจนับเป็นศิลปะที่แท้ เวลาว่างชอบวาดรูป ดูทีวี ฟังเพลง โดยเฉพาะเพลงร็อค ศิลปินสุดปลื้ม Bodyslam และ Ster การ์ตูนที่คลั่งไคล้ Keroro ขบวนการอ๊บๆป่วนโลก สีที่ชอบนะ สีม่วง....เขียว....บ่งบอกถึงตัวเองดี สัตว์โลกตัวโปรด ปลาทอง คณะที่ใฝ่ฝันชื่นชอบมากเป็นพิเศษคือคณะศิปกรรมศาสตร์ สาขาจิตรกรรม มหาวิทยาลัยขอนแก่น แต่เนื่องจากบิดา มารดาไม่สนับสนุนจึงทำให้ไม่สามารถเรียนในคณะที่ใฝ่ฝันได้ ด้วยเหตุนี้ทำให้ต้องตัดสินใจเรียนในคณะที่ชื่นชอบรองลงมาคือคณะศึกษาศาสตร์ สาขาจิตวิทยา มหาวิทยาลัยมหาสารคาม อาชีพที่ใฝ่ฝันคือตำรวจหญิง (หน่วยสืบสวนสอบสวนพิเศษ) หรือทำงานในเรือนจำเพราะท้าทายดี บุคลิกลักษณะนิสัย มีโลกส่วนตัวสูง ชอบเก็บอารมณ์ และความรู้สึก เอาแต่ใจแต่ก็ชอบดูแลเอาใจใส่คนอื่น เข้ากับคนอื่นได้ง่าย กลัวความผิดหวังสุด ชอบความอันตรายท้าทายเสี่ยงตาย ทำทุกอย่างอย่างเต็มที่ ไม่เผื่อใจ ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไรก็พยายามทำใจให้ชินและรับได้กับสิ่งที่เกิดขึ้น ชมรมที่สังกัดอยู่และทำงานหามรุ่งหามค่ำคือชมรมครูบ้านนอก สังกัดสโมสรนิสิตคณะศึกษาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม เพื่อนสนิทในสาขาวิชาคือบุคคลเหล่านี้ที่คอยดูแลกันมาตลอด 1.นางสาวสุภาพร คำแสน (หญิงเล็ก มากๆ) ขอบใจที่คอยเตือนเรื่องกิน2.นางสาววิราภรณ์ ทิพสุวรรณ์ (ลีจุนกิ) ขอบใจที่คอยเตือนเรื่องเรียน3.นางสาวอรวรรณ สุทธลักษณ์ (หญิง แอบสวย) ขอบใจที่คอยเตือนเรื่องงาน เรื่องส่วนตัว4นางสาวอนุชิดา คำสวัสดิ์ (พี่อ้วน) ขอบใจที่คอยกินเป็นเพื่อน5.นายชยุติกร ศรีแสง (อีอ้น) ขอบใจที่คอยรับ-ส่ง 6.นางสาวปภารดา สิทธิอาภากุล (เจ๊กิ๊ฟจ๋า) ขอบใจเรื่องเงิน7.นางสาวธนภรณ์ พุทธรักษ์ (เล็กจริงๆ) ขอบใจมิตรภาพที่ทำให้เราแอบห่วงใยกัน8.นางสาวพรรณภา มาสาซ้าย (ป๋อมแป๋ม) ขอบใจสำหรับเสื้อตัวนั้น...และความคิดถึง9.นางสาวสิริขวัญ ซาเฮา (ซนฮา) ขอบใจทุกการดูแล
10.นางสาวมณีรัตน์ บานหัวโทน (หัวโทน) ขอบใจคำปรึกษาที่แสนดี เพื่อนสนิทต่างสาขาที่ทำให้หายเคลียดได้เสมอคือ สาขาปฐมวัยนางสาวจินตนา สุ่มมาตย์ (ปลาแดก) พี่ที่คุ้นเคยกันในสาขาที่คอยเอาใจใส่ดูแลเวลามีปัญหาคือปี4 พี่ทราย (พี่เทค) พี่ตู่ พี่แจ็ค พี่เปิ้ล ฯลฯปี3 พี่อ๊อฟ พี่อ้อม พี่เอ้ พี่เมย์ ฯลฯปี2 พี่ยุ้ย พี่บิ๋ม พี่น้ำ ฯลฯ พี่ที่สนิทนอกสาขาคือสาขาปฐมวัย ที่แอบๆเจอกันในชมรม (สนิทกันมากๆ)1.นางสาวพรสุดา เพ็ชรเลิศ (คุณยายปลาทอง) พี่ขวัญ2.นางสาวเดือนเพ็ญ ไกรวาปี (พี่ใหญ่) พี่จูน3.นางสาวอรุโณทัย ระหา (เจ๊รุ่ง) พี่รุ่ง ถึงแม้พี่ๆทุกคนไม่ได้เรียนสาขาเดียวกันแต่ก็ช่วยสอนให้น้องคนนี้รู้ว่า.........บางครั้ง “ความเกรงใจ...ไม่คำนึงถึงผิดถูก.......เพราะต้องการ ทำให้ถูกใจ การเอาใจ....... ไม่คำนึงถึงความพอดี......เพราะต้องการ ทำให้พอใจ ความจริงใจ....ไม่คำนึงถึงความเหมาะสม......เพราะทำให้โดยไม่หวังผล ความเห็นใจ...ไม่คำนึงถึงความสัมพันธ์และฐานะ......เพราะทำให้ด้วยใจจริง ความเข้าใจ.....ไม่คำนึงถึงเหตุผล.......เพราะทำได้เหมาะสมตามกาล สถานที่ และบุคคล” และนี่สำหรับเพื่อนที่แสนดีมากมาย............................................................................... ไหล่ของฉัน มันไม่ได้มีความหมายเพียงเพื่อประคองหัวฉันไว้คนเดียวเท่านั้น แต่สามารถใช้มันเพื่อให้เพื่อนไว้พิงได้ด้วย เสื้อของฉัน ไม่ได้มีไว้ห่อหุ้มร่างกายของฉันเพียงอย่างเดียว มันพร้อมจะเป็นที่เช็ดน้ำตา และสั่งขี้มูกของเพื่อน ถ้าต้องการ แขนของฉัน ไม่ได้มีไว้จูงหมาเดินเล่น แต่มันสามารถใช้ประคองเพื่อนเมื่อเพื่อนจะล้ม.... แต่ถ้าเพื่อนล้มลงแล้ว ฉันก็ยังมีมืออีก 1 คู่ไว้ช่วยฉุดเพื่อนขึ้นมา ปากของฉัน ไม่ได้มีไว้เพื่อกิน และพูดพล่ามทั้งวันหรอกนะ แต่มีไว้พูดให้กำลังใจเพื่อน เมื่อถึงคราวจำเป็น ตาของฉัน มีไว้เพียงเพื่อกระพริบขึ้นลงเสียเมื่อไหร่ ฉันเอาไว้ใช้มันมองสิ่งดีๆ ในตัวเพื่อนต่างหาก ฟันของฉัน ก็ไม่ได้มีไว้กัดใครๆเขา แต่มีไว้เพื่อจะใช้มันประดับเหงือกทุกครั้งที่ฉันยิ้มให้เพื่อน หูของฉัน ไม่ได้มีไว้เพื่อเจาะรูหูแขวนเครื่องประดับ แต่มันใช้ฟังเพื่อน เมื่อเพื่อน
ต้องการระบายอะไรออกมาให้ฉันฟัง เท้าของฉัน ไม่ได้มีไว้เพื่อสะสมกลิ่น.. โอเคถึงมันจะมีบ้าง แต่ฉันจะใช้เท้าเพื่อเดินอยู่ข้างๆ เพื่อนนี่แหละ จะไม่ไปไหนไกล สมองของฉัน อาจจะไม่ค่อยมีประโยชน์เวลาสอบนัก แต่มันจะทำงานหนักเพื่อเพื่อนต้องการความช่วยเหลือ ส่วนพวกตับ ไต ไส้ กระเพาะ ม้าม เซี่ยงจี๊ ของฉัน .... มันมีไว้ทำหน้าที่ของมันน่ะแหละ แต่ถ้าเพื่อนต้องการมันอย่างเร่งด่วน แต่ฉันยินดีสละให้ (อย่างละครึ่งเท่านั้นนะ !!) และหัวใจของฉัน ก็ไม่ได้มีไว้สูบฉีดเลือดเพียงอย่างเดียว แต่มันทำหน้าที่เก็บเพื่อนไว้ข้างในอีกด้วย... ถึงสิ่งที่ทำนั้นยังไม่เต็มที่ยังดีไม่เพียงพอสักวันมันจะเกินพอและล้นใจสำหรับ “เพื่อน”
สิ่งที่ยากคือการเริ่มต้น แต่สิ่งที่ยากกว่าคือการไม่คิดเริ่มต้นเลยความฝันของเราจะเป็นจริงไม่ได้ ถ้าหากเรานั้นไม่ลงมือทำ ดิฉันนางสาวสุภาพร คำแสน เกิดวันที่ 2 ธันวาคม 2532 ปัจจุบันนี้อายุ 20ปี 1 เดือน กรุ๊ปเลือด โอ มีนิสัยร่าเริง ขำๆซุ่มซ่าม แต่จริงใจ รักครอบครัว และรักเพื่อน เมื่อตอนเด็กแม่เล่าให้ฟังว่าดิฉันเป็นไม่ชอบกินนมแม้แต่นมแม่ยังไม่กินอยากกินเลย เป็นเด็กขี้แยเลี้ยงยาก และชอบป่วยอยู่บ่อยๆทำให้แม่ต้องเหนื่อยกับดิฉันมาก พอได้ฟังยิ่งทำให้ฉันรักแม่มาก พ่อกับแม่ดิฉันแต่งงานกันแต่ไม่ได้จดทะเบียนสมรส แต่ดิฉันใช้นามสกุลพ่อ พ่อกับแม่แยกทางกันตั้งแต่ฉันยังเล็ก พ่อแต่งงานใหม่ ส่วนฉันอยู่กับแม่ฉันสนิทกับยายมากยายเลี้ยงฉันมาตั้งแต่เล็กและยายก็รักฉันมากกว่าในบรรดาลูกหลานทั้งหมด มีเหตุการณ์หนึ่งที่เกี่ยวกับยายที่ฉันจำได้ขึ้นใจ มันเป็นวันที่ฉันเสียใจมากที่สุดในชีวิต คือว่ายายฉันมีโรคประจำตัวอยู่แล้วแต่ฉันไม่รู้หรอกว่าเป็นโรคอะไร ตอนเย็นวันนั้นยายก็เข้าไปอาบน้ำตามปกติ ส่วนแม่กับป้าก็ไปคุยกับเพื่อนบ้านที่หน้าบ้าน ฉันเล่นอยู่ในบ้านและก็ได้ยินเสียงยายเรียกชื่อแม่กับชื่อป้า ฉันรีบวิ่งไปหายายที่ห้องน้ำฉันเรียกยาย ยายเป็นไร ฉันเห็นยาย “ยายล้ม” ฉันรีบวิ่งไปบอกแม่ฉันไปด้วยร้องไห้ไปด้วยแม่เห็นแม่รีบถามว่าเป็นอะไร ยาย “ยายล้มในห้องน้ำ” แล้วแม่กับป้ารีบวิ่งไปดูยายและพายายไปหาหมอ พอไปถึงโรงพยาบาลยังไม่ทันได้รักษา ยายก็สิ้นลมหายใจแล้ว เมื่อทุกคนรู้แทบกลั้นร้องไห้ไม่อยู่ แล้วแม่ก้อมาบอกฉันว่าต่อไปนี้ยายคงไม่ได้อยู่กับเราแล้ว ฉันร้องไห้จะเป็นจะตายฉันถามว่ายายเป็นอะไรแต่ไม่มีใครตอบเลย ตั้งแต่วันนั้นฉันก็ไม่สบายและก็ไม่ยอมกินอะไรเลย ฉันไปงานศพยายฉันก็ร้องไห้ไม่หยุดเหมือนจะตายตามยายไปป้าเอาขนมมาให้ก็ไม่เอา สุดท้ายแม่ได้ไปจุดธูปบอกยายว่าจะดูแลฉันให้ดีที่สุดและบอกว่าไม่ต้องเป็นห่วงหลาน แล้วอาการฉันก็ค่อยๆดีขึ้น พอพูดถึงเรื่องนี้ทีไรฉันก็น้ำตาไหลทุกที แล้วฉันก็กลายเป็นคนขี้อาย ขี้แย และขี้กลัวตั้งแต่นั้นมาพออายุเริ่มเข้าโรงเรียนได้แล้วแม่ก็พาฉันไปฝากเข้าเรียนที่โรงเรียนชุมชนเทศบาล3 ( พินิจพิทยานุสรณ์ ) ฉันเข้าอนุบาล 1 ถึงอนุบาล 3 ที่นั้น ฉันชอบโดนแกล้งอยู่บ่อยๆเพื่อนผู้ชายชอบแอบมาเปิดกระโปรง ฉันไม่ชอบและก็ร้องไห้ไปฟ้องครู พอเรียนจบชั้นอนุบาล 3 แทนที่จะได้เลื่อนขั้นแต่ว่าผู้อำนวยการไม่ยอมให้เลื่อนชั้นแม่เลยมาถาม
สิ่งที่ยากคือการเริ่มต้น แต่สิ่งที่ยากกว่าคือการไม่คิดเริ่มต้นเลย ความฝันของเราจะเป็นจริงไม่ได้ ถ้าหากเรานั้นไม่ลงมือทำ ดิฉันนางสาวสุภาพร คำแสน เกิดวันที่ 2 ธันวาคม 2532 ปัจจุบันนี้อายุ 20ปี 1 เดือน กรุ๊ปเลือด โอ มีนิสัยร่าเริง ขำๆซุ่มซ่าม แต่จริงใจ รักครอบครัว และรักเพื่อน เมื่อตอนเด็กแม่เล่าให้ฟังว่าดิฉันเป็นไม่ชอบกินนมแม้แต่นมแม่ยังไม่กินอยากกินเลย เป็นเด็กขี้แยเลี้ยงยาก และชอบป่วยอยู่บ่อยๆทำให้แม่ต้องเหนื่อยกับดิฉันมาก พอได้ฟังยิ่งทำให้ฉันรักแม่มาก พ่อกับแม่ดิฉันแต่งงานกันแต่ไม่ได้จดทะเบียนสมรส แต่ดิฉันใช้นามสกุลพ่อ พ่อกับแม่แยกทางกันตั้งแต่ฉันยังเล็ก พ่อแต่งงานใหม่ ส่วนฉันอยู่กับแม่ฉันสนิทกับยายมากยายเลี้ยงฉันมาตั้งแต่เล็กและยายก็รักฉันมากกว่าในบรรดาลูกหลานทั้งหมด มีเหตุการณ์หนึ่งที่เกี่ยวกับยายที่ฉันจำได้ขึ้นใจ มันเป็นวันที่ฉันเสียใจมากที่สุดในชีวิต คือว่ายายฉันมีโรคประจำตัวอยู่แล้วแต่ฉันไม่รู้หรอกว่าเป็นโรคอะไร ตอนเย็นวันนั้นยายก็เข้าไปอาบน้ำตามปกติ ส่วนแม่กับป้าก็ไปคุยกับเพื่อนบ้านที่หน้าบ้าน ฉันเล่นอยู่ในบ้านและก็ได้ยินเสียงยายเรียกชื่อแม่กับชื่อป้า ฉันรีบวิ่งไปหายายที่ห้องน้ำฉันเรียกยาย ยายเป็นไร ฉันเห็นยาย “ยายล้ม” ฉันรีบวิ่งไปบอกแม่ฉันไปด้วยร้องไห้ไปด้วยแม่เห็นแม่รีบถามว่าเป็นอะไร ยาย “ยายล้มในห้องน้ำ” แล้วแม่กับป้ารีบวิ่งไปดูยายและพายายไปหาหมอ พอไปถึงโรงพยาบาลยังไม่ทันได้รักษา ยายก็สิ้นลมหายใจแล้ว เมื่อทุกคนรู้แทบกลั้นร้องไห้ไม่อยู่ แล้วแม่ก้อมาบอกฉันว่าต่อไปนี้ยายคงไม่ได้อยู่กับเราแล้ว ฉันร้องไห้จะเป็นจะตายฉันถามว่ายายเป็นอะไรแต่ไม่มีใครตอบเลย ตั้งแต่วันนั้นฉันก็ไม่สบายและก็ไม่ยอมกินอะไรเลย ฉันไปงานศพยายฉันก็ร้องไห้ไม่หยุดเหมือนจะตายตามยายไปป้าเอาขนมมาให้ก็ไม่เอา สุดท้ายแม่ได้ไปจุดธูปบอกยายว่าจะดูแลฉันให้ดีที่สุดและบอกว่าไม่ต้องเป็นห่วงหลาน แล้วอาการฉันก็ค่อยๆดีขึ้น พอพูดถึงเรื่องนี้ทีไรฉันก็น้ำตาไหลทุกที แล้วฉันก็กลายเป็นคนขี้อาย ขี้แย และขี้กลัวตั้งแต่นั้นมา
พออายุเริ่มเข้าโรงเรียนได้แล้วแม่ก็พาฉันไปฝากเข้าเรียนที่โรงเรียนชุมชนเทศบาล3 ( พินิจพิทยานุสรณ์ ) ฉันเข้าอนุบาล 1 ถึงอนุบาล 3 ที่นั้น ฉันชอบโดนแกล้งอยู่บ่อยๆเพื่อนผู้ชายชอบแอบมาเปิดกระโปรง ฉันไม่ชอบและก็ร้องไห้ไปฟ้องครู พอเรียนจบชั้นอนุบาล 3 แทนที่จะได้เลื่อนขั้นแต่ว่าผู้อำนวยการไม่ยอมให้เลื่อนชั้นแม่เลยมาถามท่านเลยบอกว่าฉันเกิดปลายปีและยังตัวเล็กที่สุดให้ห้องเลยไม่ให้เลื่อนชั้น แม่เลยให้ฉันย้ายโรงเรียนไปเรียนต่อกับป้าที่อยู่อำเภอท่าอุเทน ฉันไปเรียนต่ออนุบาล 3 ที่โรงเรียนบ้านท่าอุเทน แล้วแม่ก็ไปทำงานที่กรุงเทพ วันเปิดเทอมวันแรกแม่ก็มาส่งฉันที่โรงเรียนแล้วพากันถ่ายรูป ฉันมาเรียนที่นี้กับพี่ชายอีกหนึ่งคนเป็นลูกของป้าเราห่างกัน1ปี พอถึงเวลาที่ขึ้นห้องเรียนฉันไม่ยอมขึ้นจะกลับกับแม่ท่าเดียว ฉันร้องไห้กลัวแม่จากฉันไปฉันเกาะแขนไว้แล้วอาจารย์ก็มาดึงฉันไว้สุดท้ายแม่ก็กลับบ้านไป ถึงเวลาเลิกเรียนฉันรีบกลับบ้านเพื่อไปหาแม่แต่ก็ไม่เห็นแม่ ฉันร้องไห้ ดังขึ้นดังขึ้น ถามป้าว่าแม่ไปไหน ป้าบอกว่าแม่ไปทำงาน เราต้องตั้งใจเรียน เป็นเด็กดีแล้วแม่จะได้กลับมาหาเราส่วนพี่ชายของฉันถึงจะไม่เห็นพี่ร้องไห้แต่ก็แอบร้องไห้ ฉันเข้าใจน่ะว่าพี่คงคิดถึงแม่เหมือนกัน ฉันเขียนจดหมายไปหาแม่ทุกอาทิตย์ ฉันเรียนจบประถมศึกษาปีที่1แม่ก็กลับมาเยี่ยมฉันแล้วพาผู้ชายคนนึงมาด้วยท่าทางดูใจดี แม่บอกว่าเรียนจบ ประถมศึกษาปี่ที่ 2 แล้วให้ย้ายกลับไปอยู่กับตาที่นครพนมน่ะ ฉันก็ไม่เข้าหรอกว่าทำไมต้องย้ายไปอยู่กับตาด้วยเพราะฉันอยู่กับป้าก็สบายดีอยู่แล้ว แล้วแม่ก็กลับไปทำงานต่อ ครั้งฉันไม่ร้องไห้หรอกแต่ฉันไม่พูดกับใครเลย ฉันตั้งใจเรียนลุงกับป้าก็คอยสอนการบ้านฉันทุกวันแต่พี่ฉันกลับขี้เกียดไม่ชอบทำการบ้านเลยโดนลุงดุทุกวัน ฉันเรียนจบเลื่อนชั้นเป็นประถมศึกษาปีที่ 2 และย้ายไปอยู่กับตาก็ดีค่ะพอยายตายไปแล้วตาฉันก็มียายใหม่ให้ฉันยายคนนี้ก็ดีน่ะใจดีไม่เคยว่าฉันเลยครอบครัวยายคนใหม่ก็ดูแลฉันดีฉัน
ปิดเทอมหมดอายุการเป็นนักเรียนสิ้นการไปเรียนเช้าเย็นกลับแต่ก็คิดถึงเหมือนกันคิดถึงเพื่อนคิดถึงโรงเรียนคิดถึงอาจารย์ทุกท่าน ปิดเทอมนี้คงยาวนานกว่าทุกครั้งฉันเลยไปเที่ยวกับป้าฉันไปอยู่กับป้าที่สงขลาเพื่อรอผลประกาศ เมื่อถึงวันที่ฉันรอคอยคือวันประกาศผลฉันตื่นเต้นมากนั่งลุ้นอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ นางสาวสุภาพร คำแสน ผ่าน คณะศึกษาศาสตร์ สาขาจิตวิทยา มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ฉันดีใจมากและรีบโทรศัพท์บอกแม่ แม่ดีใจด้วยมากและถามว่าจะกลับมาบ้านวันไหนฉันเลยต้องกลับบ้านเพื่อไปเตรียมตัวสอบสัมภาษณ์และแล้วฉันก็สอบผ่านหมดทุกอย่างและได้เข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม คณะศึกษาศาสตร์ สาขาจิตวิทยา ฉันสัญญาว่าจะตั้งใจเรียนเพื่อพ่อกับแม่เพื่อที่จะได้ทำงานในสิ่งที่อยากทำแล้วกลับไปตอบแทนบุญคุณท่าน และมีความฝันอีกอย่างที่ดิฉันอยากทำ คืออยากเปิดรีสอร์ทกับสปาที่อำเภอปาย เพราะอยากให้คนได้รู้ถึงคำว่าพักผ่อนจริงๆและเป็นสถานที่ที่ฉันชอบมากที่สุด หวังว่าถ้าหากไม่เกินความสามารถก็อยากทำความฝันนี้ให้เป็นจริง จัดทำโดย นางสาวสุภาพร คำแสน รหัสนิสิต 52010517119
ทำงัยว่ะ
ฉันชื่อ นางสาวธนัฏฐา พูนวัฒนานุกูล รหัสนิสิต 52010517102 คณะ ศึกษาศาสตร์ เอก จิตวิทยา ชั้นปีที่ 1 มหาวิทยาลัยมหาสารคาม เกิด วันอาทิตย์ที่ 14 เมษายน 2534 ตรงกับ วันสงกรานต์ จร้า ปัจจุบันอายุ 19 ปี เกิดโรงพยาบาล ป.แพทย์ เลือดกรุ๊ป O อยู่บ้านเลขที่ 234 หมู่ 4 ต.หนองแจ้งใหญ่ อ.บัวใหญ่ จ.นคราชสีมา 30120 ครอบครัวมีทั้งหมด 4 ชีวิต พ่อ แม่ ดิฉัน และน้อง บิดาชื่อ นายอภิรักษ์ พูวัฒนานุกูล อายุ 50 ปี อาชีพ นิติกร/ ทนายความ ที่ทำงาน เขตพื้นที่การศึกษาเขต 6 อ.บัวใหญ่ จ. นครราชสีมา มารดาชื่อ นางสุภิญญา พูนวัฒนานุกูล อายุ 46 ปี อาชีพ รับราชการครู ที่ทำงาน โรงเรียนบ้านหญ้าคาสามัคคี อ.บัวใหญ่ จ.นครราชสีมา น้องดิฉันชื่อ นายดิษย์ปิยะ พูนวัฒนานุกูล ชื่อเล่น โมส อายุ 16 ปี ศึกษาอยู่ที่ โรงเรียนกาจนาภิเษก จ.ชัยภูมิ มัธยมศึกษาปีที่ 4 ดิฉันชื่อ นางสาวธนัฏฐา พูนวัฒนานุกูล ชื่อเล่น เมษย์ อายุ 19 ปี ศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัย มหาสารคาม จ.สารคาม ประวัติการศึกษา อ. 1- ป.6 โรงเรียนวานิชวิทยา(เอกชน) อ.บัวใหญ่ จ.นครราชสีมา ม.1- ม.6 โรงเรียนมารีย์วิทยา(เอกชน) อ.เมือง จ.นครราชสีมา ปี1- ปัจจุบัน มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ขอนำเสนอเรื่องย่อของชีวิตที่ไม่ค่อยมีอะไรค่ะ )) สมัยอยู่ประถมอยู่โรงเรียนวานิชวิทยาสอนภาษาจีน(บอกใคร เค้าจะเชื่อ หน้าตางี้เรียนภาษาจีน ๕๕๕) ชีวิตไม่มีอะไรมากนอกจากตอนประถมหกต้องจากกับเพื่อนๆที่เราคุ้นเคยสมัยเด็กๆและสำคัญ คือ อ่านหนังสือเตรียมสอบเข้ามัธยมศึกษา ดิฉันไม่เคยทำมาก่อน พอจบชั้นประถมเพื่อนๆต่างก็แยกย้ายไปศึกษาต่อกันหลายที่ ส่วนดิฉันมาสอบเข้าโรงเรียนมารีย์วิทยา แรกๆ ก็กลัวไม่ติดเหมือนกันเพราะคนมาสอบเยอะมาก ตอนประกาศผล แอบตื่นเต้นอ่ะ พอติดแล้วก็ดีใจแกมเสียใจไม่รู้เป็นอะไรเพราะว่าไม่มีเพื่อนมาจากโรงเรียนเดิมเลย แถมยังได้อยู่หอในของโรงเรียนอีกด้วย และค่าเทอมก็แพงมากมาย
แต่พอได้มารู้จักกับเพื่อนๆที่ก็มาจากหลายที่เหมือนกัน พูดมากเหมือนกัน นิสัยบ้างก็คล้ายๆกัน ก็เลยทำให้สนิทกันเร็วขึ้น แหม มมมม* กะเราใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันแทบตลอดเวลาเลยนิ.. สมัยอยู่มัธยมต้นดิฉันและกลุ่มเพื่อนๆในหอพัก ดื้อมากไม่ค่อยปฏิบัติตามกฎเหมือนเด็กอยากรู้อยากลองอย่างไรก็ไม่รู้ ๕๕๕>>(หัวเราะไทยๆ) พอขึ้นมัธยมปลายเริ่มคิดถึงอนาคตของตัวเองเริ่มตั้งใจเรียน เริ่มมีเป้าหมายของชีวิต แล้วได้ออกมาเช่าหอพักอยู่กับเพื่อนข้างนอก พอมาอยู่แล้วทำให้ดิฉันรู้จักคิดมากขึ้นด้วยว่าอะไรดีไม่ดี ควรไม่ควร มีเพื่อนเยอะขึ้น พอถึงตอนช่วงสุดท้ายของมัธยม ก็คือ ม.6 นั่นเอง เรียนปีสุดท้ายเป็นอะไรที่สบายมาก ทั้งปีนั่งสอบที่ชั้นใต้ดินอย่างเดียวไม่ไปไหน สบายมากๆ สอบ เฉลยๆๆวนไปวนมา เพราะว่าพวกเราเรียนเสร็จหมดตั้งแต่ Summer (อยู่มาไม่เคยได้ปิดเทอมเหมือนโรงเรียนอื่นเขา)แล้ว ไม่ต้องแปลใจเพราะว่าโรงเรียนมารีย์เป็นโรงเรียนเดียวในโคราชที่เรียน Summer ทุกคน และก็เรียนทุกวันตั้งแต่วันจันทร์ถึงวันเสาร์ ทุกคนมีเรียนทั้งหมด 9 คาบเลิก 17.00 น. ถ้าใครมีเรียนคาบ 10 ก็จะเลิก18.00 น. ส่วน ม. 6 มีเรียนคาบ 11 เลิกหนึ่งทุ่มตรง ทำให้ชีวิตของดิฉันอยู่แต่โรงเรียนเกือบตลอดเวลา ทำให้สนิทกับเพื่อนๆและมีสกับมาสเซอร์ สามารถปรึกษาปัญหาได้ทุกเรื่องเลยค่ะ เพื่อนๆสมัย ม.หก ในกลุ่มของดิฉันส่วนมากจะดื้อแต่ก็ยังดีที่ไม่ทิ้งการเรียน ในกลุ่มมี 22 คน(แอบเยอะ) รักกันทุกคน พอจบและจากกันก็ไม่ลืมกัน(หรือเปล่า??) และขอฝากให้กับเพื่อนๆ ม.6 รุ่น Omnimentia#26และก็แก๊งหมีน้อย ค่ะ >>> ไม่มีแล้ว...โรงเรียนจัดระเบียบ ไม่มีแล้ว...โต๊ะพึ่งขัด อยากให้เขียน ไม่มีแล้ว...ฝ่ายปกครอง ไล่นักเรียน ไม่มีแล้ว...พวกถ้าเซียน เกรียนทุกคน ไม่มีแล้ว...สนามบาส ดูเพื่อนเล่น ไม่มีแล้ว...ตอนเย็น ตั้งวงแฉ ไม่มีแล้ว...พวกหน้าวอก แป้งเด็กแคร์ ไม่มีแล้ว....ป้าแก่ๆขายข้าวแกง ไม่มีแล้ว...สนามบอลที่เคยใช้ ไม่มีแล้ว...สปอร์ตไลท์ที่ไร้แสง ไม่มีแล้ว...ไอ้พวก ชอบแสดง ไม่มีแล้ว...ใครอยากแกล้งเมื่อเจอกัน ไม่มีแล้ว...วันเวลาแสนสนุก ไม่มีแล้ว...คืนแสนสุขที่แปรผัน ไม่มีแล้ว...เพื่อนสนิทนิจนิรันดร์ มีแต่คำว่า...เพื่อนกันตลอดไป.......
รู้สึกว่าจะยาวนานเหลือเกินตอนมัธยมเนี้ย ยยย (เชื่อว่าทุกคนต้องผูกพัน ใช่มั๊ย??) สุดท้ายนี้ ข้าพเจ้าขอขอบคุณทุกๆคนที่ทำให้ข้าพเจ้ามีวันนี้ ขอขอบคุณ คุณพ่อคุณแม่ เครือญาติ คณะครูทุกคน เพื่อนๆทุกๆคน ที่ทำให้ให้ดิฉันมีอนาคตที่ดีและทุกๆอย่างรอบตัวที่ดีด้วย และขอขอบคุณมหาวิทยาลัยมหาสารคามที่ได้ให้ข้าพเจ้ามาศึกษาหาความรู้ ขอบขอบคุณคณะศึกษาศาสตร์ขอบคุณ เอกจิตวิทยาสำหรับการทำความฝันของข้าพเจ้าให้เป็นจริง และคณะอาจารย์ทุกๆคน เพื่อนๆใหม่ๆ และสิ่งแวดล้อมรอบตัวใหม่ๆ ที่หล่อหลอมให้ข้าพเจ้าได้มีชีวิตที่ดีในรั้วเหลือง-เทา อย่างมีความสุขและรอยยิ้มให้แก่กัน ขอขอบคุณมากค่ะ )) เมษา...
ประวัติของดิฉันเอง ดิฉันชื่อ นางสาวอุมาพร นามบุตร มีชื่อเล่นเรียกสั้นๆว่า ปู ได้ลืมตาดูโลกเมื่อ วันที่ 3 เดือน พฤศจิกายน พ. ศ. 2533 มีภูมิลำเนาอยู่ที่จังหวัดมุกดาหาร และได้ศึกษาเล่าเรียนตั้งแต่ 3 ขอบที่โรงเรียนวัดเฉลิมชัยบ้านผึ่งแดดในช่วงนี้เป็นช่วงที่ยังไม่อยากที่จะไปจากแม่ยังอยากอยู่กับแม่ตลอดจึงทำให้แม่ต้องได้ไปนั่งเฝ้าที่โรงเรียนเพื่อที่อยากจะให้ลูกได้เรียนหนังสือจึงต้องยอมทุกอย่างเพื่อลูกและตอนนั้นก็ไม่มีเพื่อนเล่นด้วยก็เลยต้องให้แม่อยู่ด้วยตลอด ถ้าดิฉันเข้าห้องเรียนแม่จะกลับบ้าน แต่พอออกมาไม่เจอแม่ก็จะร้องไห้!!!! (คิดถึงแม่ ) พอนานๆวันเข้าก็จะหยุดร้องไห้และเล่นกับเพื่อนๆๆ พอมาถึงช่วงประถมศึกษาก็ได้ศึกษาที่โรงเรียนบ้านผึ่งแดด ช่วงนี้เป็นช่วงที่แม่หยุดตามไปเฝ้าที่โรงเรียนแล้วเพราะเข้ากับเพื่อนได้แล้วจะไม่ได้แม่ไปส่งจะไปกับพี่ที่อยู่ในหมู่บ้านเดียวกันที่ไม่ใช่ญาติแต่จะเป็นคนที่แม่สนิทและไว้ใจ แม่จะซื้อจักรยานให้พี่เขาแล้วให้พี่เขามารับไปโรงเรียนพร้อมกัน ถ้าแม่ซื้ออะไรให้ดิฉันพี่เขาก็จะได้เหมือนดิฉันทุกอย่างเพราะแม่อยากให้ดิฉันมีเพื่อนเล่นและดิฉันก็เป็นลูกคนเดียวที่แม่ต้องตามใจและการที่ซื้อของให้พี่เขาแม่บอกว่าเป็นการขอบใจพี่เขาที่ดูแลดิฉันและแม่ก็จะได้สบายใจที่มีพี่เขาคอยช่วยเหลือดิฉันมาตลอดพอขึ้น ป.1 พี่เขาก็อยู่ ป.6 แม่ก็เลยบอกว่าพยายามช่วยเหลือตัวเองได้แล้วนะอีกไม่นานพี่เขาก็จะไปเรียนที่อื่นแล้ว และอีกคำนี้จำขึ้นใจมาโดยตลอดแม่บอกว่าจะได้กินข้าวตอนเที่ยงแล้วนะไม่ใช่กินตอน 11.00 น. เหมือนเมื่อก่อนแล้วนะเพราะเราใหญ่ขึ้นแล้วเราต้องมีความอดทน และในช่วงนี้เป็นช่วงที่รู้จักอะไรมากขึ้นเล็กน้อยแต่ก็ไม่เท่าไหร่ อยู่มาวันหนึ่งนั่งกินข้าวกับเพื่อนอยู่ดีๆๆ ครูประจำชั้น ป. 1 แกมีโรคประจำตัว ภาษาท้องถิ่นเรียกโลกประจำตัวแกว่า โรคบ้าหมู แกได้เกิดชักขึ้นโดยที่ดิฉันไม่รู้ว่าคุณครูแกเป็นอะไรแล้วพี่ที่นั่งกินข้าวด้วยก็รีบวิ่งขึ้นไปบอกคุณครูที่อยู่ห้องพัก ด้วยความรีบมากของพี่แกก็เลยทำให้พวกดิฉันกับเพื่อนๆๆอดกินข้าวต่อ เพราะพี่เขาดันเตะถ้วยอาหารหกหมดเลย พอขึ้น ป.2 เริ่มรู้จักอะไรที่ดีกว่า ป.1 เริ่มเข้าสู่วงการกีฬา ชื่อว่ากีฬา วอลเลย์บอล เริ่มทำการฝึกซ้อมกับพี่ๆเพื่อนๆมาโดยตลอดในเวลาตอนเช้า เที่ยง เย็น พอดิฉันเริ่มมีฝีมือที่ดีขึ้นคุณครูก็เลยจับดิฉันเข้าเล่นทีมเพื่อเข้ารับการแข่งขันในช่วงนั้นดิฉันอยู่ ป.5 ได้ไปทำการแข่งขันที่ในตัวจังหวัดดิฉันดีใจมากเลยที่ได้เป็นตัวแทนของตำบล
และเป็นหน้าเป็นตาของโรงเรียนเข้าไปแข่งที่จังหวัดและได้เป็นตัวแทนจังหวัดไปแข่งที่จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งในช่วงที่ทำการแข่งเขาได้มีการจับฉลากตัวแทนนักกีฬาเพื่อพาไปเที่ยวและไปกินข้าวที่โรงแรมและหนึ่งในนั้นดิฉันได้เป็นตัวแทนนักกีฬาที่ได้ไปเที่ยวและไปกินข้าวซึ่งดิฉันไม่อยากไปเลยเพราะไม่มีเพื่อนแต่ก็โดนบังคับให้ไปเพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์พอไปถึงโรงแรมพี่เขาก็เลยบอกว่าอยากกินอะไรก็ไปเลือกกินตามสบายเลยแล้วดิฉันก็ไปเลือกกินก๋วยเตี๋ยว ซึ่งที่บ้านก็กินตลอด พอกลับมาครูกับเพื่อนๆถามว่าไปโรงแรมกินอะไรมาก็เลยบอกว่ากินก๋วยเตี๋ยว เพื่อนๆหัวเราะใหญ่เลยและเพื่อนก็พูดว่าที่บ้านเราก็มีไปกินทำไมทำไมไม่กินสิ่งที่ไม่เคยกิน ก็เลยบอกเพื่อนว่ากูอายพี่เขาว่ะกูไม่กล้ากิน จากนั้นมาก็เลยเก็บประสบการณ์ที่ผ่านมาเป็นอุทาหรและครั้งต่อไปจะกินอะไรที่มากกว่านี้ถ้าได้เป็นผู้โชคดีอีก พอมาถึงช่วงอายุที่อยู่มัธยมที่โรงเรียนผึ่งแดดวิทยาคารก็ได้เจอหลายๆสิ่งหลายๆอย่างที่เข้ามาในชีวิตไม่ว่าจะเรื่องเรียน เรื่องกีฬา เรื่องความรัก อยู่มาวันหนึ่งในช่วงซ้อมกีฬาตอนเย็นมีวัยรุ่นมาจากที่ไหนไม่รู้เขาเอาปืนมาไล่ยิงเพื่อนที่ซ้อมกีฬาด้วยกันในวันนั้นครูประชุม ต่างคนต่างตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาที่ไม่คาดคิดและก็ไม่มีใครเป็นอะไรผ่านมาได้ด้วยดีและคนที่มาไล่ยิงก็โดนตำรวจจับได้และพวกดิฉันก็จำว่ามันเป็นเหตุการณ์ครั้งหนึ่งในชีวิตพวกเราชาวกีฬา P.D.K. และพวกดิฉันก็พากันฝึกซ้อมต่อจนได้รางวัลมากมายเป็นตัวแทนไปแข่งขันที่จังหวัดต่างๆ และยังเป็นตัวแทนเขต ไปแข่งที่ระดับภาค พอมาถึงระดับภาคเราก็ต้องทำใจอยู่ดีถึงยังไงยังไงก็แพ้เพราะความสามารถของเรามันมีแค่นี้ถึงจะชนะมาโดยตลอดเราก็ต้องยอมกับความเป็นจริงกีฬามันต้องมีแพ้มีชนะ พอมาถึงในช่วงชีวิตมหาวิทยาลัยดิฉันก็ไม่เคยลืมกีฬา มันเป็นอีกอย่างที่ไม่เหมือนช่วงชีวิตที่อยู่มัธยมเราต้องเอาตัวรอดคนเดียวเพราะต้องจากพ่อแม่มาไกลเป็นช่วงที่เราต้องเก็บเกี่ยวประสบการณ์ให้มากที่สุดเพื่ออนาคตของตัวเราเองและดิฉันก็ได้เจอกับสิ่งใหม่ๆที่ไม่คาดคิดมาก่อนว่ามันจะเป็นเช่นไรว่าต้องพบเจออะไรถึงจะพบเจอกับอุปสักอะไรก็ตามก็จะพยายามทำความฝันของตนเองให้เป็นจริง...§§§§§§§§§§§§§§§§§§§§§§§§§§§§§§นางสาวอุมาพร นามบุตร รหัส 52010521034 ระบบพิเศษ เอก จิตวิทยา
นางสาวขนิษฐา สมภาร รหัสนิสิต 50010512501 สาขาจิตวิทยาประวัติส่วนตัวสวัสดีค่ะ ก่อนอื่นก็ขอแนะนำตัวอย่างเป็นทางการก่อนนะค่ะ ดิฉันมีชื่อว่า นางสาวขนิษฐา สมภาร ชื่อเล่นว่า อ้อชื่อนี้แม่เป็นคนตั้งให้ เกิดวันอาทิตย์ ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ.2531 ตอนนี้ก็อายุได้ 21 ปีแล้วค่ะอ้อเกิดปีมะโรงเป็นปีงูใหญ่แล้วก็ตรงกับวันวิสาฆบูชาพอดีเลย ก็เกือบจะได้ชื่อว่าวรรณวิษาแล้วหล่ะแต่ก็มีหลายคนชื่อนี้แล้วแม่ก็เลยเปลี่ยนชื่อให้เป็นขนิษฐา อ้อชอบสีแดง สีฟ้า และสีชมพู ส่วนอาหารที่ชอบก็คือผัดเผ็ดปลาหมึก ผลไม้ที่ชอบคือทุเรียน และมังคุด นิสัยเป็นคนร่าเริงแจ่มใส ชอบฟังเรื่องตลก โกรธง่ายหายเร็ว เอาแต่ใจเล็กน้อย ชอบช่วยเหลือผู้อื่น งานอดิเรก ชอบฟังเพลง วาดภาพ เล่นกับสุนัข เล่นอินเตอร์เน็ต ความสามารถพิเศษคือเล่นกีฬา วาดภาพ ร้อยมาลัย แกะสลัก บ้านอ้อตั้งอยู่ที่ บ้านเลขที่ 706 หมู่ 1 ต.นายางกลัก อ.เทพสถิต จ.ชัยภูมิ รหัสไปรษณีย์ 36230 มีพี่น้อง 3 คน พี่สาวคนโตแต่งงานแล้ว ส่วนพี่ชายคนกลางเรียนจบแล้วก็ไปทำงานที่ประเทศเกาหลี และอ้อเองก็เป็นลูกคนเล็ก เป็นน้องคนเล็กก็ดีนะเพราะมีแต่คนคอยตามใจ คอยดูแลและคอยเป็นห่วง เป็นลูกของแม่ทีและพ่อพัน ตอนเด็กๆพ่อจะไม่ค่อยได้อยู่บ้านเพราะพ่อทำงานที่กรุงเทพจะได้กลับบ้านก็ตอนเทศการเท่านั้นอ้อจึงไม่สนิทกับพ่อ แต่สนิทกับแม่ แม่เป็นคนใจดีมากเลยแม่ชอบสอนทำงานบ้านว่างๆแม่ก็เล่าเรื่องตั้งแต่แม่เป็นสาวๆให้ฟังแต่ตอนนี้แม่ก็ได้เสียชีวิตแล้วด้วยโรคแพ้ภูมิตัวเอง แม่เสียชีวิตตอนอ้ออยู่ ม. 1 ทุกคนเสียใจมากไม่คิดว่าแม่จะจากเราไปเร็วขนาดนี้ ช่วงอยู่ประถมฉันจำได้ว่าเคยหนีโรงเรียนแอบกลับบ้านเพราะว่าบ้านอยู่ใกล้โรงเรียนมาก พอถึงบ้านก็ได้เจอกลับแม่ก็เลยเจอตีตามระเบียบการ ช่วงอยู่ประถมอ้อเป็นลมบ่อยมากจนทำให้แม่ได้มาเป็นแม่ครัวที่โรงเรียนเพื่อนๆก็เลยชอบใช้เราไปเอาแกงเพราะตอนอยู่ประถมจะมีโครงการอาหารกลางวันให้เด็กแล้วก็ให้นั่งเป็นกลุ่มกินข้าวก็จะได้กับข้าวมากหน่อยเพราะแม่เราเป็นคนตักให้ เมื่อถึงวันสำคัญต่างๆก็ได้ร่วมทำกิจกรรมที่ทางโรงเรียนจัดให้ เช่น วันเด็ก วันวิทยาศาสตร์ วันสุนทรภู่ วันปีใหม่ เป็นต้น กิจกรรมที่ทำก็คืออาจารย์จะให้รำ เต้น แสดงละคร หรือว่าเป็นตัวแทนเข้าร่วมแข่งขันวาดภาพ คัดลายมือ แต่ส่วนมากก็จะได้รำมากกว่าจนได้เป็นนาฏศิลป์ของโรงเรียนเข้าแข่งขันเพื่อเป็นตัวแทนเขตแล้วได้รับรางวัลชนะเลิศในระดับจังหวัด อ้อชอบการประดิษฐ์พวกงานฝีมือมากเลยเพราะทำแล้วเพลินดีเป็นการฝึกการใช้สมาธิด้วย ความภาคภูมิใจในช่วงประถมคือแม่ได้เป็นแม่ดีเด่นเนื่องในวันแม่แห่งชาติ และสอบได้ที่หนึ่ง ประถมอ้อเรียนอยู่โรงเรียนบ้านนาประชาสัมพันธ์แล้วได้เรียนต่อในระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นและมัธยมศึกษาตอนปลายที่โรงเรียนนายางกลักพิทยาคมก็เรียนสายวิทย์-คณิต เพราะอยากเป็นหมอมากเลย เมื่อขึ้นมัธยมชีวิตก็ได้มีการปรับเปลี่ยนในเรื่องการเรียนและการปรับตัวให้เข้ากับเพื่อนใหม่ เวลาไปโรงเรียนก็ไปพร้อมกับพี่ที่อยู่ข้างบ้านระยะทางบ้านกับโรงเรียน 3 กิโล ส่วนรุ่นพี่ที่ไปโรงเรียนด้วยชื่อว่าพี่เกต พี่เกตเป็นนักกีฬาของโรงเรียนทุกเย็นพี่เกตจะอยู่ซ้อมวิ่งก่อนกลับบ้านทุกวัน ส่วนอ้อก็ได้นั่งรอพอครูเห็นว่านั่งอยู่เฉยๆก็เลยชวนมาวิ่งด้วยกัน ตอนแรกก็ไม่อยากวิ่งหรอกเพราะว่าเหนื่อยและตอนประถมไม่เคยเล่นกีฬาเลยครูหาญณรงค์เลยชวนมาออกกำลังกายเพื่อสุขภาพก็พี่เกตเคยเล่าให้ครูฟังว่าอ้อเป็นลมบ่อยก็เลยอยากให้มาออกกำลังกายเล่นๆ วันหลังก็เลยเอาเสื้อผ้ามาเปลี่ยนหลังเลิกเรียนด้วย ก็วิ่งไปวิ่งมาครูเลยลองให้มาวิ่งแข่งในการแข่งขันกีฬาโซนหุบเขาที่ทางจังหวัดจัดขึ้นทุกปีมีทั้งหมด 19 โรงเรียนในจังหวัดที่จัดส่งนักกีฬามาเข้าร่วมแข่งขันไปปีแรกก็ไม่ได้รับรางวัลอะไรถือว่าเป็นประสบการณ์อ้อได้วิ่งในระยะ 1500 เมตรรุ่นอายุไม่เกิน 15 ปีหญิง ทางโรงเรียนได้ตั้งชมรมขึ้นชื่อว่าชมรมวิ่งเพื่อสุขภาพมีสมาชิกเป็นทั้งนักเรียนและสมาชิกคนในหมู่บ้านเมื่อมีมินิมาราธอนชมรมก็ได้พาสมาชิกไปวิ่งเนื่องในวันต่างๆการวิ่งในแต่ละครั้งผู้ชนะก็จะได้ถ้วยรางวัลและเงินรางวัล อ้อก็เคยได้รางวัลชนะเลิศนะเนื่องในงานวัน
พ่อดีใจมากก็วิ่งครั้งนี้ได้เงินรางวัล 2000 บาท ก็ถือเป็นการหารายได้พิเศษไปภายในตัว รวมรางวัลที่ได้รับทั้งหมดที่ได้มาจากการแข่งขันกีฬาทั้งหมดคือ 7 ถ้วย 38 เหรียญ ระหว่างเรียน ม.ต้น อ้อชอบทำกิจกรรมมากเลยเพราะสนุกและได้ความรู้กิจกรรมที่ทำเช่น การแสดงละครในวันคริสต์มาสครูให้นักเรียนได้ เข้าร่วมแข่งขันอ่านทำนองเสนาะ ร้องเพลง แข่งขันท่องคำศัพท์ เป็นต้น วิชาที่ชอบเรียนคือวิชาภาษาไทย และไม่ชอบภาษาอังกฤษ คณิต พอเรียนจบ ม.ต้นเพื่อนๆบางคนก็เรียนต่อบางคนก็ทำงานอ้อมีเพื่อนสนิทอยู่ 3 คน เราชอบไปไหนมาไหนด้วยกันตลอดเพื่อนก็ชอบมานอนที่บ้านของอ้อเพราะว่าบ้านไกลและเพื่ออ้อจะได้มีเพื่อนอยู่บ้านด้วย ช่วงนั้นอ้ออยู่บ้านคนเดียวพ่อก็ไปทำงานส่วนพี่ก็ทำงานที่ต่างประเทศ อ้อเลยต้องรู้จักการจัดการด้านการเงินต้องทำยังไงจึงจะพอดีถึงสิ้นเดือนเพราะว่าพ่อจะให้เงินไว้เป็นเดือนๆ การดูแลตัวเองเมื่ออยู่คนเดียวแต่แถวชุมชนที่อ้ออยู่ก็ช่วยกันดูแลดีในเรื่องต่างๆถึงแม้พ่อจะไว้ใจให้อยู่คนเดียวพ่อยังมีสายคอยรายงานอยู่ตลอดเลยว่าอ้อมีพฤติกรรมอย่างไร แต่อ้อก็ไม่เคยออกนอกลู่นอกทางหรอกเพราะกลัวพอเสียใจพอขึ้น ม.ปลาย มีอยู่ช่วงหนึ่งที่อ้อได้ไปแต่แข่งกีฬาก็เลยเรียนไม่ค่อยรู้เรื่องแต่ก็ดีเพื่อนๆก็ค่อยช่วยเหลือตลอด อ้อได้ถูกคัดเลือกเข้าร่วมโครงการทัศนะศึกษาของทางรัฐบาลได้จัดให้เด็กได้เที่ยวแลกเปลี่ยนความรู้กันและได้โอกาสพบเพื่อนใหม่ในแต่ระภาคก็สนุกดี ม.6 ก็เป็นช่วงที่ทุกโรงเรียนต้องได้รับการประเมินเพื่อเป็นโรงเรียนในฝันรู้สึกว่าจะไม่ได้เรียนอยู่พักนึงทำให้การเรียนช้า สิ่งที่ภาคภูมิใจคือได้รางวัลลูกดีเด่นเนื่องในวันพ่อแห่งชาติ แต่งกลอนชนะเลิศในวันแม่แห่งชาติ และได้เป็นนักกีฬาดีเด่น เมื่ออยู่ ม.6 ใกล้จะจบแล้วก็เลยใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่กับเพื่อนในกลุ่มทำอะไรก็ทำด้วยกัน เช่น เพื่อนได้แอบไปเอามะม่วงของผู้อำนวยการโรงเรียนมากิน กินขนุนของโรงเรียนที่ปลูกไว้ บางทีก็โดดเรียนกัน เอาแบบว่าสิ่งไหนที่ไม่เคยทำก็ได้ทำในช่วง ม.6 ทั้งหมดเลย ใกล้จบแล้วทุกคนก็ได้หาที่เรียนต่อฉันก็ได้สมัครเรียนไว้ที่โคราช ชัยภูมิ ขอนแก่น และที่สารคาม ก็สอบติดที่สารคาม และที่โคราชตอนนั้นตัดสินใจยังไม่ได้ว่าจะไปเรียนที่ไหนดีก็เลยปรึกษาครูเพื่อช่วยตัดสินใจเพราะก็อยากเรียนรัฐศาสตร์อยู่เหมือนกัน แต่ก็เลือกมาเรียนที่สารคาม ตอนแรกที่เข้ามาก็ไม่กลัวจะไม่มีเพื่อนเมื่อได้ทำกิจกรรมที่ทางรุ่นพี่ได้จัดทำให้ก็ทำให้เราได้รู้จักกับเพื่อนในคณะมากขึ้น การใช้ชีวิตก็เปลี่ยนไปเราต้องดูแลตัวเองให้มากขึ้น ต้องเรียนเพื่อนให้ได้เกรดที่ดีๆ ก่อนที่อ้อจะย้ายมาเรียนที่เอกจิตวิทยาอ้อเรียนในเอกภาษาอังกฤษเกรดก็ถือว่าใช้ได้แต่ที่ย้ายมาก็เพราะเรียนที่เอกอังกฤษรู้สึกกดดันตัวเองมากเรียนไม่สนุกเลยเพราะต้องแข่งกับเพื่อนๆช้าไม่ได้แต่ก็เป็นการฝึกที่ดีอีกอย่างหนึ่งทำให้เด็กมีระเบียบวินัยและมีคุณภาพ เมื่อย้ายมาที่เอกจิตวิทยาแล้วก็เรียนสนุกนะที่ย้ายมาก็ชอบเอกจิตวิทยาเพราะเป็นเอกที่อยากเรียนอีกเอกนึงอาจารย์ก็ให้คำปรึกษาดี การเรียนในมหาวิทยาลัยก็เป็นเรื่องไม่ยากนะถ้าเราตั้งใจ รู้จักใช้ชีวิตให้เป็น เลือกครบเพื่อนดี มีความรับผิดชอบ ยังไงก็สู้ๆนะอ้อ อิอิ ฝากบอก = สามารถพูดคุยกับอ้อได้ที่ E-Mail : Naluk_Jang@hotmail.com นะค่ะ
นายเกรียงไกร ปะโมทาติ51010521046 ระบบพิเศษสาขาวิชา จิตวิทยาประวัติส่วนตัว ผมชื่อ นายเกรียงไกร ปะโมทาติ ชื่อเล่น นัย ผมเกิดวันที่ 19 เมษายน 2530ผมมีพี่น้อง2 คน คือมีพี่สาวหนึ่งคน ส่วนผมเป็นคนสุดท้องครับ ตอนนี้ผมกำหลังศึกษาอยู่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม คณะศึกษาศาสตร์ ตั้งแต่เล็กจนโต ผมมีนิสัยเอาแต่ใจมากๆ เพราะผมเป็นคนที่ถูกพ่อแม่เอาใจตั้งแต่เด็ก ไม่ว่าผมจะทำอะไรหรืออยากได้อะไร ผมจะได้ทุกอย่าง ในสมัยนั้นผมจะเป็นคนที่รักเพื่อนมากและจะชอบเล่นกีฬา ผมเล่นกีฬาได้เกือบทุกอย่างแต่กีฬาที่ผมชอบคือ ฟุตบอล จนผมได้เป็นตัวแทนของโรงเรียนได้ไปแข่งฟุตบอลรวมทั้งกรีฑาด้วย และผมก็ทำชื่อเสียงให้โรงเรียนโดยผมเองแข่งกรีฑาชนะในระดับอำเภอ ในสมัยเรียนระดับประถมศึกษาผมเป็นเด็กที่ตั้งใจเรียนมากเพราะผมได้เป็นตัวแทนไปแข่งทักษะทางด้านวิชาการเสมอ ตอนประถมและมัธยมต้นนั้นผมเรียนอยู่ที่โรงเรียนบ้านโคกกุงเพราะเป็นโรงเรียนขยายโอกาส ส่วนม.ปลายผมได้เข้ามาเรียนในโรงเรียนอำเภอ คือโรงเรียนนาโพธิ์พิทยาคม ซึ่งช่วงนี้เป็นจุดเปลี่ยนของผมอย่างมาก เพราะเป็นช่วงที่ผมกำลังเป็นวัยรุ่น อยากรู้ อยากลอง ทุกอย่าง ในช่วงแรกนั้นผมอยู่ห้อง 4/4 แต่ผมเป็นคนติดเพื่อนจึงย้ายห้องไปอยู่กับเพื่อนคือ 4/5 เพราะมีเพื่อนจากโรงเรียนเดิมเยอะ และในช่วงนั้นถือได้ว่าผมเป็นคนที่ฮอตคนหนึ่ง เพราะผมเป็นเหมือนน้องใหม่เข้ามาเรียนที่นี่ จึงทำให้มีรุ่นพี่มาชอบ มาแซวผมเยอะ ซึ่งเดินไปที่ไหน ก็จะมีสาวกรี๊ดตลอด ทำให้ผมหน้าแดงและอายมาก เพราะปกติผมก็เป็นคนขี้อายอยู่แล้ว และในเทศกาลวันวาเลนไทน์ ผมก็จะเป็นคนหนึ่งที่มีสาวๆ ให้ดอกไม้ ลูกอม ขนม มากมาย แต่ผมก็ไม่ใส่ใจเท่าไหร่กับเรื่องพวกนี้ ผมจะสนใจเรื่องเที่ยวกับเพื่อนๆมากกว่าทำให้บางครั้งก็มีเรื่องชกต่อยกันบ้างตามประสาวัยรุ่น และตอนผมอยู่ชั้นม. 6 ช่วงนั้นโรงเรียนจัดกิจกรรมวันสุนทรภู่ และมีการประกวดวงดนตรีขึ้น ผมกับเพื่อนๆ หกคน จึงเข้าร่วมประกวด ผมเป็นนักร้องนำ อาจารย์ที่ปรึกษาภูมิใจมาก เพราะห้องผมเป็นห้องที่เกเรที่สุดของระดับชั้น ช่วงที่ผมกำลังแสดงอยู่นั้น คนดูและสาวๆจะกรี๊ดวงผมมาก แต่สุดท้ายผลออกมาปรากฏว่าห้องผมแพ้ห้องเด็กเรียน แต่ห้องผมชนะใจคนดู จากนั้นผมก็สำเร็จการศึกษาในระดับมัธยมศึกษา ผมคิดว่าผมจะไม่เรียนต่อ พ่อแม่จึงให้ผมไปสอบตำรวจ ผมจึงไปเรียนกวดวิชาก่อน ผมไปเรียนอยู่ที่โคราช ทำให้ผมได้เจอเพื่อนๆ จากที่อื่นๆ มากมาย พอถึงข่าวเปิดรับสมัครนายสิบตำรวจ ผมกับเพื่อนที่ไปเรียนกวดวิชาด้วยกันก็ไปสมัคร ตอนนั้นคนสมัครสอบ ประมาณ 6,000 คน ของภูธรภาค 3 รับเป็นนักเรียนตำรวจ 50 อัตรา ผมสอบได้อันดับที่ 440 ผมจึงกลับมาอยู่บ้านประมาณ 6 เดือน แม่จึงให้ผมหาที่เรียน เพราะตำรวจเขาเริ่มรับสมัครเฉพาะปริญญาตรี ทำให้ผมหาที่เรียนโดยด่วน ผมจึงถามเพื่อนคนที่เขามาเรียนอยู่ที่มหาสารคาม ทำให้ผมทราบข่าวการสมัครเข้าการศึกษา ผมมาสมัครครั้งแรกที่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ในคณะศึกษาศาสตร์ ระบบพิเศษ รอบแรก ผมไม่สามารถเข้าได้ เพราะเกรดเฉลี่ยผมน้อย และคนสมัครเยอะ การรับเข้าก็น้อย แล้วผมก็ข่าวว่ามีการรับสมัครรอบสองอีก ผมจึงมาสมัครอีก ในคณะวิทยาลัยการเมืองการปกครอง ปรากฏว่า ผมเข้าได้ ผมจึงภูมิใจมาก พ่อกับแม่ก็ดีใจที่ผมสามารถเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยได้ คนแถวบ้านไม่เชื่อว่าผมเข้าเรียนในระดับมหาลัยได้ เพราะผมเป็นคนที่เกเร เรียนก็ไม่ดี หลายคนดูถูกผม ว่าผมเรียนได้ไม่เกิน 1 ปี ก็ต้องถูกไล่ออกแน่นอน พอผมเรียนได้ 1 ปี ผมก็ลบคำสมประมาทของคนได้ จากนั้นผมจึงเปลี่ยนมาเรียนคณะศึกษาศาสตร์ ตอนนั้นผมอยากเรียนเอก สังคม แต่หลักสูตร 4 ปี ย้ายไปหลักสูตร 5 ปีไม่ได้ ผมจึงตัดสินใจเลือกเรียนจิตวิทยา พอผมมาเรียนจิตวิทยาแล้ว ผมก็เริ่มสนุกกับมัน ผมจึงภูมิใจในตัวผมมากที่ผมสามารถปรับเปลี่ยนตัวเองได้ จากคนที่ไม่มีอะไรดีสักอย่าง กลายเป็นคนที่เริ่มมีอนาคตให้กับตัวเอง พ่อแม่ผมก็ภูมิใจที่ตัวผมสามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองจากคนชอบเที่ยว ชอบกินเหล้า กลายมาเป็นคนที่มีการศึกษาอีกครั้ง และอีกอย่างหนึ่งที่ผมอยากบอกอีกหลายคน ว่า คนที่เคยเป็นอย่างผม ที่เคยผิดพลาดมา เมื่อเราล้มแล้ว เราอย่าเพิ่งท้อเพราะคนเราสามารถลุกขึ้นมาใหม่ได้*********************** ฝันให้ไกลไปให้ถึง *************************
นางสาววรรนิสา ลีเปี้ยง50010512591 ระบบปกติสาขาวิชา จิตวิทยาประวัติส่วนตัวชื่อ นางสาว วรรนิสา ลีเปี้ยง ชื่อเล่น สาเกิดวันที่ 30 เดือน พฤษภาคม 2531 กรุ๊ปเลือด Bภูมิลำเนา เป็นคนอำเภอปรางค์กู่ จังหวัดศรีสะเกษช่วงชีวิตตลอดมา ตั้งแต่เกิดมา ข้าพเจ้ารู้สึกว่า ชีวิตในวันปัจจุบันของข้าพเจ้านั้น มันไม่ค่อยมีสีสันเท่าไหร่เลย เพราะเมื่อเทียบกับวัยเด็กแล้วในวันเก่าๆ นั้น มันมีสีสันและสนุกสนานตามวัยมากเลยทีเดียว ข้าพเจ้าเกิดมาในครอบครัวที่มีฐานะพอประมาณคือ พออยู่พอกิน ข้าพเจ้ามีน้องสาว 1 คน ที่เกิดมาห่างกันประมาณ 4 ปี แต่เราสองคนก็เป็นเหมือนเพื่อนกันมากกว่าเป็นพี่น้องกัน เพราะเราสองคนจะสนิทกันมากไปไหนไปด้วยกันตลอด มีอะไรก็จะคุยกันโดยไม่คิดเลยว่าอยู่คนละวัยกัน จนกระทั่งเมื่อข้าพเจ้าอายุได้ 10 ปี ครอบครัวที่เคยสมบูรณ์ของข้าพเจ้า ก็เริ่มกลายเป็นจุดเปลี่ยนในชีวิตของข้าพเจ้า เพราะพ่อกับแม่ต้องแยกทางกันโดยตัวข้าพเจ้าและน้องสาวเองก็ไม่ทราบสาเหตุเพราะตอนนั้นยังเด็กมาก และถัดจากนั้นประมาณสองปี แม่ก็มีครอบครัวใหม่ ดูๆไปข้าพเจ้าเองก็เหมือนเด็กที่มีปัญหาคนหนึ่ง แต่ตัวข้าพเจ้าเองไม่เคยแสดงอาการที่บ่งบอกว่ามีปัญหาเลย เพราะจริงๆแล้ว ข้าพเจ้ารู้สึกสงสารและเห็นใจแม่มากกว่าที่ต้องรับแบกภาระที่หนักในชีวิตก็ว่าได้ แต่แม่คนนี้แหละที่ทำให้ข้าพเจ้าได้มีวันนี้เหมือนเพื่อนคนอื่นๆอีกหลายคน และพอข้าพเจ้าอยู่ชั้นม. 2 แม่ก็มีน้องสาวให้ข้าพเจ้าอีกคนหนึ่ง กลายเป็นว่าข้าพเจ้ามีน้องสาวถึงสองคน แต่ข้าพเจ้ากับน้องคนเล็กก็ไม่ได้อยู่ด้วยกันหรอกเพราะน้องคนเล็กต้องอยู่บ้านย่าของน้อง ฉันกับน้องสาวอีกคนจึงไปหาในวันที่ว่างเท่านั้น พอฉันอยู่ม.ปลาย ฉันกับน้องสาวอยู่บ้านด้วยกันเพียงลำพัง เพราะแม่ก็ต้องทำงานอยู่ต่างจังหวัด ส่วนตายายก็เสียไปนานแล้ว ฉันกับน้องจึงใช้ชีวิตได้อย่างอิสระ แต่เราก็ไม่เคยออกนอกลู่นอกทางให้คนอื่นมาว่าได้ เพราะแม่สอนเสมอ ว่าอย่าทำอะไรที่ทำให้แม่ต้องเสียใจโดยการกระทำของลูกเอง แต่จริงๆแล้ว ถึงฉันกับน้องจะเป็นเด็กกำพร้าก็จริง แต่แม่ก็พยายามทำให้เรารู้สึกว่าเราไม่ได้ขาดอะไร เพราะฉันกับน้องอยากได้อยากมีอะไรเหมือนคนอื่นแม่ก็หาให้ได้ทุกอย่าง จนกระทั่งฉันจะเรียนจบชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย ฉันก็เริ่มหาที่เรียนต่อ ฉันก็สอบหลายที่นะ อย่างรอบโควตา ฉันก็สมัครของมหาสารคาม ในคณะพยาบาลแต่ก็ไม่ได้ ที่ขอนแก่นก็สอบพยาบาลแต่ก็ไม่ติดอย่างเคย แล้วฉันกับเพื่อนสองสามคนก็เลยไปสอบพยาบาลของม.หัวเฉียว ผลออกมาคือติดนะ แต่ก็ยังลังเลอยู่ว่าตกลงเราจะเอาไหม แต่สุดท้ายคือ เราไม่เอา เพราะติดที่ว่าม.หัวเฉียวเป็นของเอกชน ฉันจึงรอสอบเข้ารอบแอดมิชชั่น จริงๆแม่อยากให้ฉันไปเรียนที่กรุงเทพ เพราะจะได้อยู่ใกล้ท่านและญาติคนอื่นๆ แต่ฉันเป็นคนที่ไม่ชอบใช้ชีวิตในเมืองกรุง เพราะวุ่นวายและต้องแข่งขันกัน ไม่เหมือนคนบ้านนอกของเรา ที่ต่างจากคนเมืองกรุง และแล้วก็ถึงวันที่ผลประกาศรอบแอดมิชชั่น ปรากฏว่าฉันสอบเข้ามหาวิทยาลัยมหาสารคามได้ ในคณะศึกษาศาสตร์ ซึ่งเป็นที่ที่ข้าพเจ้าอยากเรียนด้วย ในขณะที่ตัวฉันเองก็ได้มาเรียนที่มหาสารคาม น้องสาวฉันก็จำเป็นต้องย้ายโรงเรียนเหมือนกันเพราะถ้าที่บ้านไม่ฉันอยู่น้องสาวฉันเองก็คงไม่มีเพื่อนอยู่ แม่จึงให้ย้ายไปเรียนที่สมุทรปราการ เพราะที่นั่นมีลุงคอยดูแลด้วย น้องฉันจึงย้ายไปเรียนที่โรงเรียนมินทราชินูทิศสวนกุหลาบสมุทรปราการ ถือว่าน้องฉันโชคดีมากที่ได้มีโอกาสได้เรียนที่ดีๆ และหลังจากนั้นบ้านของฉันจึงไม่มีใครอยู่เลย จะมีก็แค่มีคนมานอนมาดูแลให้เท่านั้น ตั้งแต่ก้าวแรกที่ฉันก้าวเข้ามาสู่รั้วมหาวิทยาลัยแห่งนี้ บอกได้เลยว่า ชีวิตของฉันเปลี่ยนไปมาก ทั้งความเป็นอยู่ สังคมที่เต็มไปด้วยคนแปลกหน้า ตอนแรกๆ บอกได้เลยว่าฉันเองก็ไม่ชินกับชีวิตแบบนี้ ฉันรู้สึกเหนื่อยมาก เพราะทั้งกิจกรรมทั้งการปรับตัวให้ชิน ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้ใครหลายๆคน รวมทั้งตัวฉันด้วย ที่คิดถึงแม่มาก คิดถึงบ้าน เพราะการปรับตัวของเรามันยังไม่ชิน เพื่อนๆก็ยังไม่สนิทสนมกันเท่าไหร่ จึงทำให้ฉันเองรู้สึกเหนื่อยเกินไป และแอบท้อบ้าง ในตอนแรกนั้นฉันเรียนในสาขาวิชาภาษาอังกฤษ คณะศึกษาศาสตร์นี่แหละ เรียนมาได้ซักระยะหนึ่ง ก็เกือบสามปีแหละ แต่สุดท้ายก็พบว่าจริงๆมันไม่ใช่ตัวฉันเลยเพราะทกครั้งที่ฉันไปนั่งเรียนนั้นฉันรู้สึกว่า มันกดดันและทรมานตัวเองและความรู้มันก็เหมือนได้มาไม่เต็มที่อาจเป็นเพราะทักษะของฉันเองที่ไม่แน่นพอ ฉันจึงค้นหาอะไรที่มันใช่และฉันสามารถเข้าใจมันได้ดีกว่านี้ จนฉันตัดสินใจเปลี่ยนสาขาที่เรียนเดิมมาเป็น จิตวิทยาที่ฉันเรียนอยู่ในปัจจุบัน และจิตวิทยาทำให้ฉันได้รู้เข้าใจและสามารถเรียนไปโดยไม่กดดันตัวเองเหมือนแต่ก่อนอีกต่อไป
ฉันชื่อ นางสาวจรรยา แก้วกาฬ ชื่อเล่นชื่อ ก้อย ตอนนี้เรียนอยู่ ปี 3 คณะศึกษาศาสตร์ เอกจิตวิทยา รหัสนิสิต 50010510603 ระบบปกติ ฉันเกิดวันอังคารที่ 11 มีนาคม 2529 เลือดกรุ๊ป AB e-mail : VMakoToV@hotmail.com เบอร์โทร 0801555508 อาศัยอยู่บ้านเลขที่ 225 หมู่ 1 ตำบลเขวาสินรินทร์ อำเภอเขวาสินรินทร์ จังหวัดสุรินทร์ แม่ชื่อนางจำลอง แก้วกาฬ อายุ 49 ปี อาชีพ รับราชการ ครู พ่อชื่อนายบุญมา แก้วกาฬ อายุ 39 ปี อาชีพ ทำนา ( แปลกใจอะดิแม่แก่กว่าพ่อตั้ง 10 ปี อิอิ มันเป็นความจริง ค่ะ สรุปก็คือพ่อแม่มีฉันตอนพ่ออายุ 15 แม่อายุ 25 ) ฉันมีน้องอีก 2 คน คนแรกเป็นน้องสาว ชื่อนางสาวพรรณิภา แก้วกาฬ เรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ที่ โรงเรียนสุรศักดิ์มนตรี ตอนนี้กำลังเลือกที่เรียนต่อว่าจะสอบเข้าที่ไหนดี และน้องชายคนเล็กที่เป็นที่รักยิ่งของครอบครัว ชื่อ เด็กชายสุกิจ แก้วกาฬ เรียนอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ที่โรงเรียนเมืองสุรินทร์ น้องชายเป็นลูกหลงที่อายุห่างจากน้องสาวประมาณ 10 ปี ได้ ฉันเกิดมาในครอบครัวใหญ่ ถึงแม้จะไม่ได้อยู่บ้านหลังเดี่ยวกันแต่ก็อยู่ติดกัน และอยู่ในสังคมที่เคร่งครัดเรื่องขนบธรรมเนียมการใช้ชีวิต การปฏิบัติตัว คนในสังคมจับตามอง ชีวิตจึงไม่ค่อยโลดโผนนัก 1 ทุ่ม ต้องอยู่ในบ้านออกไปไหนไม่ได้แล้ว ไม่เคยออกไปเที่ยวเล่นตามงานต่างๆ กับเพื่อนตอนกลางคืน จะมีเวลาอยู่นอกบ้านแค่ตอนเย็นที่ไปออกกำลังกายที่สนามกีฬากับพ่อและน้องๆ การพูดคุยกับผู้ชายเป็นเวลานานๆเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เพราะคนในสังคมจะมองเป็นเรื่องไม่งามของผู้หญิง จะถูกตำหนินินทา ในเรื่องการเรียน ในชั้นอนุบาล 1 และ 2 ฉันเรียนที่โรงเรียนบ้านเขวาสินรินทร์ โรงเรียนใกล้บ้าน ในชั้นประถมศึกษาปีที่ 1-6 เรียนที่โรงเรียนเมืองสุรินทร์ โดยการสอบเข้าซึ่งโรงเรียนอยู่ห่างจากบ้าน ประมาณ 20 กิโลเมตร ได้ ในชั้นประถมเป็นช่วงชีวิตที่มีความสุข ฉันมีเพื่อนมากมาย เป็นการเรียนแบบคละคน มีทั้งคนเก่งและไม่เก่งอยู่ห้องเดียวกัน เรียนแบบช่วยเหลือกน ไม่ได้แข่งกันเรียน และมีกิจกรรมให้ทำหลายอย่าง ได้สนุกสนานด้วยกันอย่างเต็มที่ ไม่มีความรู้สกแบ่งเพศ ไม่ว่าชายหรือหญิงเราก็เสมอภาคกันหมด บ่อยครั้งที่ทะเลาะกับเพื่อนผู้ชาย และชั้น ป.6 เป็นปีที่จำไมรู้ลืม เพราะได้มาอยู่ห้องวายร้าย ห้องแสบที่สุดในชั้นเรียน ไม่รู้อาจารย์คิดยังไงถึงจับตัวแสบมอยู่รวมกันที่ห้องนี้ การันตีความแสบโดยการเข้าห้องปกครองยกห้อง แต่อาจารย์ทุกคนก็รักเรามาก เราเชื่อฟังและช่วยงานอาจารย์ทุกคน ติดตรงที่ว่าชอบสนุก ชอบเล่น และชอบแกล้งคนอื่นจนเกินไปเท่านั้นเอง มันก็เป็นความซนแบบเด็กๆเท่านั้น
ในชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1-6 เรียนที่โรงเรียนสิรินธร โดยการสอบเข้าซึ่งในขณะนั้นฉันไม่อยากเข้าไปเรียนในเมืองอีกแล้ว ฉันไม่ยอมอ่านหนังสือเพื่อนสอบเข้า เอาหนังสือไปซ่อนบ้าง ทำตกน้ำบ้าง ด้วยความขี้เกียจและเบื่อหน่าย แต่ถึงวันสอบแม่บอกว่าให้ตั้งใจสอบนะ รู้ไหมว่ามีคนดูถูกไว้เยอะว่าอย่างฉันคงสอบไม่ได้หรอก เพราะฉันได้เป็นคนหัวดีเรียนเก่งอะไร มีคนคอยสมน้ำหน้าอยู่แล้ว เพราะคำนี้ฉันถึงตั้งใจสอบ แต่เพราะไม่ค่อยได้อ่านหนังสือฉันไม่มั่นใจเลยว่าจะสอบได้และคนสอบก็เยอะมากจริงๆ ในวันประกาศผล ฉันสอบได้ที่ 18 ฉันดีใจที่ทำให้แม่ไม่ขายหน้าคนอื่น ในชั้น ม.1-3 ชั้นเรียนเป็นหญิงล้วนไม่มีผู้ชาย ฉันได้อยู่ห้องที่มีแต่คนเก่งๆ หัวดี เต็มไปหมดเพราะผลสอบที่ 18 นั้นแหละ รู้สกกดดันสุดๆ เลย ในชั้น ม. 4-6 ชั้นเรียนจะมีผู้ชาย 10 % ของมัธยมปลาย ห้องฉันมีตั้ง 6 คน ซึ่งถือว่าเยอะที่สุดในชั้น ม.ปลาย การเรียนเป็นแบบต้องแข่งขันกัน ต้องเรียนแบบเอาเป็นเอาตาย แต่ก็ยังมีช่วงเวลาเล่น ทำกิจกรรมต่างๆที่ ซึ่งทุกคนก็จะสนุกกันอย่างเต็มที่ เรียนจบมัธยมปลาย เป็นช่วงชีวิตที่ไม่ดีซะเลย ฉันเอ็นทรานต์ไม่ติด ฉันตัดสินใจเข้าสมัครเรียนในระบบพิเศษของมหาวิทยาลัยมหาสารคาม ในคณะวิทยากาสารสนเทศ เอก เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เรียนได้ 2 ปี ฉันตัดสินใจลาออกเพราะความรู้สึกที่ว่ามันไม่ใช่สิ่งที่ฉันถนัดเลย ถึงแม้การเรียนจะพอไปได้ไม่ได้ย่ำแย่มากนัก แต่มันก็รู้สึกฝืนเรียนมากกว่า ลาออกเอ็นใหม่ ฉันลงเรียนที่มหาวิทยาลัยเดิมเพราะจะได้โอนหน่วยกิตที่เคยเรียนมา ฉันได้เข้าเรียนในคณะศึกษาศาสตร์ เอกจิตวิทยากับเพื่อนที่ลาออกมาพร้อมกัน ในการเรียนเทอมแรก ฉันก็ต้องลาพักการเรียนไว้เพราะไม่สบายมาก จนมาเรียนไม่ได้ ทำให้ฉันเรียนช้ากว่าคนอื่นๆ อีก ฉันรู้ว่าที่บ้านเป็นห่วงฉันเรื่องเรียนมาก ฉันทำให้พ่อแม่กลุ้มใจมาตลอด ตอนนี้ฉันพยายามลงเรียน ให้ทันเพื่อนๆ ฉันอยากเรียนให้จบพร้อมคนอื่นตามกำหนดอยากให้ย่ากับยายได้มาวันรับปริญญาของฉัน ย่ากับยายบอกว่ามันเป็นความหวังของท่านที่ได้เห็นฉันเรียนจบ ฉันก็จะพยายามให้มาก เพื่อตัวฉันเองและคนที่รักฉัน โอมเพี้ยง! จบทีเถอะ นานแล้ว แก่แล้ว เดี๋ยวไม่มีเวลาหาแฟน จะแก่ตายคาคานทอง อิอิ
ฉันมีชื่อว่านางสาวปิยธิดา ปริพุฒ และมีชื่อเล่นอันไพเราะที่คุณพ่อเป็นคนตั้งให้นามว่า “จูน” ตั้งแต่ได้ก้าวเข้าสู่ชีวิตวัยรุ่นจากที่ชื่อ จูน ก็ได้มีวิวัฒนาการผันเปลี่ยนเป็น จ่อย พุดเดิ้ล จื้น และสุดท้ายก็มาลงที่ “เจ้ย” ซึ่งชื่อที่ได้มาทั้งหมดนี้พวกผองเพื่อนสุดที่ร๊ากกกต่างพากันตั้งให้ทั้งนั้น ในชีวิตของข้าพเจ้าไม่ค่อยมีสาระเท่าไหร่หรอก ไม่ค่อยจะมีเรื่องซีเรียส เพราะเป็นคนที่ไม่ชอบอะไรที่ซับซ้อนและยุ่งยาก เอาเป็นว่าชีวิตที่ผ่านมาก็มีความทุกข์สักประมาณ 30% ของชีวิตส่วนที่เหลือก็มีแต่เรื่องไร้สาระและมีสาระบ้างเล็กน้อยปะปนกันไป เอาเป็นว่าฉันขอจัดตนเองอยู่ในประเภทพวกสาธุชน คนธรรมดาทั่วไป เพราะไม่ได้เป็นคนดีที่ชอบช่วยเหลือผู้อื่น และไม่ได้เป็นคนไม่ดีที่ชอบมองคนในแง่ลบขนาดนั้น ก็เป็นคนครึ่งๆกลางๆที่อยู่คาบเส้นระหว่าง ดี กับ ชั่ว แค่นั้นเอง โอ๊ยย!!ไม่รู้จะเล่าเรื่องอะไรดี^^!! งั้นเอาเรื่องสมัยตอนสาวๆช่วงที่อาศัยอยู่บ้านนอก เป็นบ้านหลังแรกของครอบครัวปริพุฒ อยู่ที่บ้าน”หนองแก้ว” ตำบลหนองแก้ว อำเภอเมือง จังหวัดร้อยเอ็ด ฉันก็ไม่เข้าใจว่าเพื่อนๆส่วนมากทำไมชอบมีปัญหากับชื่อหมู่บ้านของฉันนัก ชอบล้อว่าบ้านฉันมีทั้งหนอง มีทั้งแก้ว บางคนก็ว่าบ้านนี้มีแต่หนองใหญ่ๆสาวที่อยู่หมู่บ้านนี้ก็คงจะมีอะไรๆใหญ่ๆน่าดู โดยเฉพาะเพื่อนรักฉันที่ชื่อไชยา มันจะชอบล้อฉันบ่อยมาก อีสาวบ้านหนองแก้วบ้างล่ะ อีบ้านนอกบ้างล่ะ ฉันก้ออยากจะหัวเราะให้ฟันแห้ง อยากจะบอกมันเหลือเกินว่าก่อนที่จะมาพูดให้คนอื่น คุณดูพื้นหลังบ้านของคุณหรือยังค่ะ เพราะบ้านไฮโซของเพื่อนไชยามีนามว่า”บ้านโนนเหลี่ยม”อุแม่เจ้า มีทั้งโนน ทั้งเหลี่ยม แอบคิดในใจว่า(บ้านนอกกว่าตูอีก) ฉันจะมีนิสัยที่น่าเอาเป็นเยี่ยงย่างอย่างหนึ่งก็คือ จะเป็นพวกที่รักบ้านเกิดมาก ใครหน้าไหนจะมาดูถูกไม่ได้ และที่ฉันไม่ชอบที่สุดเลยก้อคือคนไทยมักมาด่ากันเอง โดยเฉพาะชอบมาด่าคนอีสาน อีบ้านนอก อีลาว ถึงเค้าจะไม่ได้ด่าให้ฉัน แต่ฉันอยากจะบอกเหลือเกินว่าพวกฉันไม่ได้เป็นคนลาว พวกฉันเป็นคนไทย ไทยอีสานรู้จักบ่?? แล้วถ้าเป็นคนลาวมันผิดตรงไหน ออกจะนิสัยดี เรียบร้อย มารยาทงามกว่าพวกที่ชอบดูถูกคนอื่นเห็นๆ บางคนถึงขนาดช่วยเค้าปกปิดถิ่นชาติกำเนิดตัวเองเพราะกลัวว่าเค้าจะรู้ว่าเป็นคนอีสาน ขนาดชาติกำเนิดตัวเองคุณยังลืมได้ แล้วในชีวิตนี้คุณจะจำอะไรได้บ้างล่ะค่ะ ขออภัยนะค่ะที่ฉันพูดนอกเรื่อง
เกินไป เพราะดิฉันโมโห!!กลับมาเรื่องที่บ้านหนองแก้วต่อ ฉันอยู่บ้านหนองแก้วได้ประมาณตอนมอ๓ ฉันจึงย้ายจากชนบทเข้ามาอยู่ในเมือง จากที่เป็นเด็กบ้านนอกก็ได้มีการวิวัฒนาการมาเป็นสาวในเมือง ตอนแรกมาอยู่กับพ่อ๒คน เพราะแม่บอกว่าอยากอยู่ที่หนองแก้วก่อน จากนั้นได้ไม่นานแม่ก็ตามมาอยู่ด้วย กลายเป็นครอบครัวที่สมบูรณ์แบบ ครอบครัวฉันจะรักใคร่กันมาก พูดคุยกันได้ทุกเรื่อง แต่ยกเว้นเรื่องเงิน เรื่องนี้เรื่องเดียวจริงๆ พอมีใครพูดเรื่องนี้ขึ้นเมื่อไหร่ จากที่เคยเป็นบ้านอบอุ่น มันก้อจะอุ่นมากขึ้นเรื่อยๆจนร้อนเป็นไฟ และวิธีดับไฟที่ดีที่สุดก้อคือการจับแยก แต่ฉันว่ามันก้อสนุกดี เป็นองค์ประกอบส่วนหนึ่งของการใช้ชีวิตคู่ ฉันจะสนิทกับแม่มาก มากจนพูดกับแม่เหมือนเพื่อน แต่ก้อยังให้ความเคารพแกอยู่ ฉันกับแม่จะชอบไปเต้นแอโรบิคและวิ่งที่สวนสุขภาพทุกวัน บางวันว่างๆก้อจะออกไปหาช็อปปิ้งของมือ๒ ที่ตลาดทุ่งม้อง(อย่าหวังว่าแม่ฉันจะซื้อของมือแรก แกบอกว่ามันแพง) ส่วนคุณพ่อถ้ามีเวลาว่างแกก้อจะอยู่เฉยๆไม่เป็น ชอบปรับปรุงเปลี่ยนแปลงบ้าน แกจะชอบเทพื้น ปูกระเบื้องเอง เพราะแกทำเป็น มีเวลาว่างเมื่อไหร่แกก้อจะซื้อปูนมาเทเอง จากที่บ้านฉันมีสัดส่วนพื้นดินที่เหลือไว้ปลูกต้นไม้กับสัดส่วนพื้นซีเมนต์ที่เท่ากัน แต่ตอนนี้บ้านฉันไม่มีผืนดินจะให้เหยียบ เพราะพ่อฉันเล่นเทปูนซีเมนต์ทั้งรอบบ้านเลย ที่สำคัญแกมีเวลาว่างมากจนซื้อกระเบื้องมาปูทับอีกชั้นหนึ่ง โอ้แม่เจ้าฉันไม่เคยเจอบ้านอย่างนี้ ฉันได้แต่ภาวนาว่าท่านพ่อคงไม่มีเวลาว่างมากกว่านี้ เพราะฉันยังมีความต้องการอยากเห็นต้นไม้ ใบหญ้า และสิ่งมีชีวิตอื่นๆในบริเวณบ้านของฉัน ว่าไปแล้วเหมือนฉันกำลังนินทาพ่อกับแม่เลยเนอะ ฉันก้อเลยมีกลอนมาฝากเพื่อนๆไว้เป็นอุทาหรณ์สอนใจ (แต่งมาสดๆร้อนๆ)ลูกคนใดประจานพ่อและแม่ สุดเลวแท้ต่ำช้าสิ้นราศีลูกประชด ทรยศ ลูกอัปรีย์ แม้ชาตินี้ทำความดีก้อไร้boyตัวเจ้ยนี้อยากจะขอย้ำเตือนเพื่อน อย่าละเลือนทำตัวให้ต่ำต้อยจงตั้งใจสร้างฝันที่รอคอย เพราะอย่างน้อยพ่อแม่ก็เสียตังค์ นางสาวปิยธิดา ปริพุฒ 52010517109
ประวัติส่วนตัวชื่อ นายชิโนรส ชมพูคำ ชื่อเล่น บอย เพื่อนๆเรียก พี่บอยเกิดวันที่ 11 มกราคม 2531อายุ 22 ปี กรุ๊ปเลือด เอน้ำหนัก 60 กิโลกรัม ส่วนสูง 176 เซนติเมตรประวัติด้านครอบครัวบิดาชื่อ นายรังสรรค์ ชมพูคำ ( ถึงแก่กรรม )มารดาชื่อ นางวริศา ชมภูคำ มีอาชีพรับราชการ(ครู) ที่อยู่ 94 หมู่ที่ 1 ตำบลท่าขอนยาง อำเภอกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคามเบอร์โทรศัพท์ 0872208684อาหารที่ชอบ ราดหน้าทะเล อาหารที่ไม่ชอบ ส้มตำของหวานที่ชอบ กล้วยบวชชี ของหวานที่ไม่ชอบ ลอดช่องผลไม้ที่ชอบ ส้มโอ ผลไม้ที่ไม่ชอบ องุ่นขนมที่ชอบ เค้กกล้วยหอม ขนมที่ไม่ชอบ ขนมเบื้องดอกไม้ที่ชอบ กุหลาบแดง ดอกไม้ที่ไม่ชอบ ชบาชอบสี ขาว ไม่ชอบสี ชมพู
ดาราที่ชอบ แพนเค้ก ดาราที่ไม่ชอบ ออย ธนาตลกที่ชอบ โหน่ง เท่ง ตลกที่ไม่ชอบ โก๊ะตี๋หนังที่ชอบ คนเหล็ก หนังที่ไม่ชอบ บุปผาราตรีแนวเพลงที่ชอบ ป๊อบ ร็อก แนวเพลงที่ไม่ชอบ หมอลำศิลปินที่ชื่นชอบ บอดี้สแลมศิลปินที่ไม่ชอบ เล้าโลมวิชาที่ชอบ พลศึกษาวิชาที่ไม่ชอบ ภาษาอังกฤษ งานอดิเรก เล่นอินเทอร์เน็ต ฟังเพลง กินเหล้าคติ ทำวันนี้ให้ดีที่สุด ( พรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่ )จบจาก โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคามปัจจุบัน เรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยมหาสารคามเป็นนิสิตชั้นปีที่ 1 รหัสนักศึกษา 52010521018 คณะศึกษาศาสตร์ สาขาวิชาจิตวิทยา มหาวิทยาลัยมหาสารคามกลอนเตือนใจไม่มีใครมาลิขิตชีวิตเราได้นอกจากตัวเราเอง If you can dream it, you can do it = ถ้าคุณฝันได้ คุณก็ทำได้ อย่าเพิ่งท้อแท้ในสิ่งที่ยังไม่พยายาม และอย่าเพิ่งหมดหวังในสิ่งที่ยังไม่เริ่มต้นอย่าพูดว่าทำไม่ได้ ถ้ายังไม่ได้ทำ การหนีปัญหาเป็นสิ่งที่ดี แต่การเผชิญหน้ากับมันย่อมดีกว่า อย่ากลัวที่จะก้าวไปช้าๆ จงกลัวที่จะหยุดอยู่กับที่ เวลาไม่เคยหวนกลับ เราไม่สามารถกลับไปแก้ไขวันวานได้ เก็บความผิดพลาดในอดีตมาเป็นบทเรียนสำหรับอนาคตอย่าปล่อยให้เวลาผ่านไปโดยไร้ประโยชน์ แล้วก็อย่าบอกว่าเวลาไม่เคยพอ
วันเกิด หรือ คือ วันที่ถือว่าเป็นวันที่คน ๆ หนึ่งเกิดมาแล้วมีชีวิตอยู่บนโลกนี้เป็นวันแรก โดยเมื่อวันเกิดของคน ๆ หนึ่งเวียนมาครบรอบปี จะเรียกวันนั้นว่าเป็นวันคล้ายวันเกิด ในหลายวัฒนธรรมจะมีการฉลองวันเกิดในวันนั้น หนึ่งในรูปแบบการฉลองงานวันเกิดที่เป็นที่นิยมที่สุดคือการเป่าเทียนบนเค้กวันเกิด โดยที่บนเค้กวันเกิดจะมีการปักเทียน จากนั้นเพื่อนร่วมงานวันเกิดจะร้องเพลงวันเกิด เมื่อเพลงจบแล้วให้เจ้าของวันเกิดอธิษฐานสิ่งที่ตนหวังไว้แล้วเป่าเทียน จากนั้นก็จะมีการทานเค้ก หรือมีการมอบของขวัญ ผมนายชาญณรงค์ วงที่วันเกิดใกล้หมุนเวียนเข้าทุกที่ ผมเองเกิดวันที่ 31 มกราคม 2533ผมเป็นลูกคนที่ 2 ของครอบครัว ผมมีพี่สาว 1 คับ ผมกับพี่สาวมีโอกาสที่ต้องอยู่กับครอบครอบ แค่ไม่กี่ปี เพราะพ่อแม่ต้องย้ายที่ทำงาน ต้องอยู่กับญาติ ที่เลี้ยงผมมาจนถึงทุกวัน แต่บางคนเค้าบอกว่าเป็นเด็กที่โชคดีมากที่เกิดมาเป็นแบบนี้ จริงที่มีความสุขกับสิ่งของที่ในตอนนั้นแต่เมื่อพอโตขึ้นทุกอย่างที่ว่ามีความสุขที่แท้จริงมันคืนอะไรชีวิตผม ผมว่าเกือบมีแทบทุกอย่างแต่ไม่รู้เลยว่าสิ่งสำคัญที่สุดคืนพ่อแม่ จนอายุ13 เข้าเรียนมัธยมชีวิตก็อะไรๆก็เปลี่ยนมากขึ้นตอนมัธยมต้นผมต้องอยู่คนเดียวเพราะพี่สาวย้ายที่เรียน พ่อแม่เลยชื้อบ้านให้ ต้องดูแลตัวเองมาตลอด 3ปีบ้างครั้งก็รู้สึกเหงาบ้างเป็นเรื่องธรรมดาถ้ามีปัญหาผมมักจะคุยกับเพื่อนสนิทเป็นคนแรก บางครั้งก็ชอบอยู่คนเดียวรู้สึกว่าอยู่คนเดียวทำให้ทุกอย่างดีขึ้นมีเรื่องรายมากมายที่ผ่านมาทุกครั้งที่คิดถึงมันก็เสียใจและ ดีใจ
ประวัตินางสาว เมยาณี ภูมิเขต รหัสนิสิต 50010510576 วันหนึ่งในห้องเรียนหนึ่งที่คุณครูกำลังสอนวิชาภาษาไทยได้ให้งานกับเด็กนักเรียนที่กำลังสอนว่า คุณครู:นักเรียนค่ะ ครูมีงานให้ทำคะ เป็นงานที่ง่ายมากและนักเรียนทุกคนคงทราบกันดีอยู่แล้ว คือให้นักเรียนหาความหมายของชื่อนักเรียนเองว่าหมายความว่าอะไรนักเรียน:ค่ะ/ครับในขณะที่ทุกคนกำลังเปิดหนังสือพจนาณุกรมอย่างตั้งใจว่าชื่อของตนนั้นจะมีความหมายว่าอะไรหรือบางคนที่กำลังเขียนความหมายเพราะทราบมาก่อนแล้วว่าชืของตนหมายความว่าอะไร แต่กับเด็กผู้หญิงคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่และแปลกใจว่าทำไมตนเปิดพจนาณุกรมแล้วไม่มีชื่อมีแต่ชื่อที่ใกล้เคียงจึงถามคุณครูว่านักเรียน:คุณครูค่ะทำไมชื่อของหนูไม่มีความหมายค่ะคุณครู:ต้องมีสิชื่อทุกคนมีความหมายนะจ๊ะนักเรียน:แต่หนูหาอย่างไงก็หาไม่เจอค่ะคุณครู:งั้นครูให้หนูทำป็นการบ้านไปถามคุณพ่อกับคุณแม่ดูนะจ๊ะเมื่อกลับถึงบ้านเด็กผู้หญิงคนนั้นก็รีบไปถามคุณป้าว่าใครเป็นคนตั้งชื่อให้หนูค่ะแล้วได้คำตอบว่าคุณพ่อเป็นคนตั้งชื่อนี้ให้จึงรีบโทรศัพท์ไปถามคุณพ่อที่ทำงานอยู่ต่างจังหวัดว่าลูก:พ่อค่ะชื่อของลูกไม่มีความหมายหรอค่ะทำไมเปิดหาในพจนาณุกรมไม่เจอเลยพ่อ:มีสิลูกชื่อของลูก ทำไหมจะไม่มีล่ะ ชื่อของลูกพ่อตั้งใจตั้งให้เพราะพ่ออ่านหนังสือเรื่องหนึ่งชื่อ "เพรชพระอุมา" เมยาณีเป็นชื่อของผู้หญิงคนหนึ่งที่มีทั้งความสวยความเก่งความอดททนแข็งแกร่งดั่งทหารพ่อชอบชื่อนี้มากจึงอยากเอามาตั้งให้ลูกสาวคนเดียวของพ่อไงค่ะและเด็กหญิงคนนั้นก็คือฉันในวันนี้ นางสาว เมยณี ภูมิเขต ชื่อเล่น เมย์ เกิดเมื่อวันเสาร์ที่ 4 มิถุนายน พ.ศ.2531 ราศี พฤษก ปีนักษัตร ปีมะโรงหรือปีงูใหญ่ ปัจจุบันอายุ 21 ปี หมู่โลหิต A ที่อยู่บ้านเลขที่ 1378/1 ถ.สุขเกษม ต.ธาตุเชิงชุม อ.เมือง จ.สกลนคร 47000 หอพักเครือค่ายหญิงสุมลรัตน(ห้อง346) คุณพ่อและคุณแม่ประกอบอาชีพ รับจ้างมีพี่น้องร่วมสายโลหิต 2 คน พี่ชาย 1 คน ดิฉันเป็นคนที่ 2การเลี้ยงดู ดิฉันได้รับการเลี่ยงดูจากคุณยายและคุณป้า เพราะคุณพ่อกับคุณแม่ต้องทำงานอยู่ต่างจังหวัด จึงทำให้ดิฉันต้องอยู่กับคุณยายและคุณป้า ได้รับการเลี้ยงดูอย่างอบอุ่นเหมือนกับทุกคน เล่นอย่างสนุกสนาน บางครั้งก็ถูงตีเพราะดื้อ ถูกให้ช่วยเหลือตัวเองเกื่อบทุกอย่าง จนเมือถึงวันหนึ่งคุณยายได้จากไปอย่างไม่มีวันกลับ วันนั้นเป็นวันที่ฉันรู้สึกสูญเสียที่สุดในชีวิต ร้องไห้จนเป็นลม ด้วยความรักมันเป็นวันที่ฉันเองไม่คิดว่ามันจะเกินขึ้นเร็วขนาดนี้ หลังจากนั้นพ่อแม่ก็เป็นคนดูแลฉัน แต่ด้วยการที่ถูกสอนมาให้ช่วยเหลือตัวเองให้ได้ของยายทำให้พ่อแม่หมดห่วง จนถึงวันที่ต้องสอบเข้าเรียนในชั้นอุดมศึกษาฉั้นไม่ได้ถูกบังคับเหมือนกับใครหลายคนพ่อแม่ให้ฉันเลือกที่จะเรียนตามใจแต่ท่านจะคอยดูแลอยู่ห่างๆ การพูดคุยปรึกษาได้ทุกเรื่องเราคุยกันอย่างมีเหตุผลทุกเรื่องท่านจะให้เราเป็นคนตัดสินใจเองให้รู้เองว่าผิดถูกอย่างไงโยท่านจะคอยเตือนดูแลอยู่ห่างทำให้เรารู้ว่าถ้าเราเดินหรือทำอะไรที่ผิดพลาดเราจะต้องเจอกับอะไรบ้างทำให้เราโตขึ้นกว่าใครหลายคน ทำให้หลายครั้งที่เพื่อนมีปัญหาเราจะเป็นคนอีกคนที่เพื่อนจะคอยมาขอคำปรึกษา ระบายความในใจให้เราฟัง ทั้งที่เรื่องบ้างเรื่องเป็นเรื่องใหญ่พอสมควรแต่เขาก็ยังเลือกที่จะปรึกษากับเรานี้เป็นอีกแรงบันดาลใจที่ทำให้ฉันอยากที่จะเรียนด้านจิตวิทยาเพราะจะทำให้เราได้เพิ่มความรู้ในด้านนี้ทำให้เรามีทักษะในการโต้ตอบคำถามเพื่อเพิ่มกำลังใจกับคนหลายคนที่เข้ามาหาเรา
นางสาวเมยาณี ภูมิเขตประวัติการศึกษาชั้นอนุบาลถึงประถมศึกษาปีที่6 จากโรงเรียนเทศบาล2เชิงชุมอนุชนวิทยาชั้นมัธยมศึกษาปีที่1-6 โรงเรียนสกลราชวิทยานุกูลปัจจุบันกำลังศึกษาระดับปริญญาตรีที่ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม คณะศึกษาศาสตร์ สาขาจิตวิทยาสีที่ชอบคือ สีม่วง ขาวอาหารที่ชอบ ปลาราดพริก ผัดไก้ใส่ขิงคติในการดำเนินชีวิต มีมากมายเพราะชีวิตของคนเราล้วตรงผ่านซึ่งเรื่องราวมากมายดั้งนั้นคติในการดำเนินชีวิตจึงมีมากมายคำที่ได้ยินบ่อยที่สุดจากคุณพ่อ (ผู้ชายที่หล่อที่สุดสำหรับชีวิตฉัน) "พ่อรักลูกมากนะ ตั้งใจเรียนนะลูก" ทำให้ฉันมีความสุขมากกกกกกคำที่ได้ยินบ่อยที่สุดจากคุณแม่(ผู้หญิงที่แสนดีของฉัน)"ตั้งใจเรียนนะลูก แม่ดีใจที่ลูกแม่ทุกคนเป็นคนดี" อิอิเป็นการเตือนว่าอย่าเหลวไหลนะ ฮ่ะฮ่าไม่รู้ว่าจะอธิบายถึงความสุขที่ได้รับจากคนในครอบครัวว่ายังไงนะแต่รู้ได้อย่างเดียว ฉันสามารถที่จะให้ความรักที่เป็นมิตรได้กับทุกคนเพราะฉันมีความรัก ความอบอุ่นมากจนล้นเหลือทุกครั้งที่พูดถึงพ่อและแม่จะมีความสุขและจะยิ้มอยู้เสมอ(เอ๊ะ ใครจะว่าเราบ้าไหมน๊า) พ่อมักพูดติดตลกว่าเรียนมารักษาตัวเองหรอลูก ดูสิพ่อฉัน อิอิมันแปลกไหมที่ทุกครั้งที่ฉันมีปัญหาพ่อจะโทรมาในช่วงเวลานั้นทุกครั้งแล้วถามว่า"ลูกเป็นอะไรรึป่าว พ่อมีความรู้สึกไม่สบายใจ ทำให้ตัวฉันเองต้องแปลกใจทุกครั้งว่าพ่อรู้ได้ไงพ่อบอกว่าใจพ่อถึงลูก(หวานไหมล่ะ)พี่ชายยังอิจฉาอ่ะ เวลาคุญกับพ่อแม่ชอบแซวว่าเหมือนคนเป็นแฟนกันเลย (ดูแม่พูดสิ เอ๊ะแต่ก็จริงน่ะ อิอิ)เดินห้างเรายังควงแทนแม่เลยถึงแม้จะโตแล้วแต่ฉันเวลาอยู่กับพ่อก็ยังเหมือนเป็นเด็กพ่อชอบว่าฉันไม่โต ฉันหน้าตาเหมือนพ่อมาก แบบว่าสำเนาถูกต้องเลยล่ะ ส่วนเรื่องเพื่อนๆที่เรียนด้วยทุกคนก็น่ารักมากเราพูดคุยกันอย่างสนุกสนานแม้มีบ้างที่เราต้องทะเลาะกันเพราะงานแต่เมื่องานจบลงความเป็นเพื่อนก็จะกลับคตืนมาสู่สภาพเดิมดูแล้วเหมือนชีวิตฉันจะไม่มีปัญหาเลยไม่จริงหรอกเพียงฉันไม่มองเรื่องที่เป็นปัญหาเพราะทำให้เราปวดหัวเสียป่าวมองและจำแต่สิ่งดีๆที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของเราเองจะดีกว่าแต่ก็ไม่มองข้ามปัญหาหรือเรื่องเลวร้ายของคนอื่นๆนะค่ะ เรื่องราวยังมีอีกมากมายเล่ายังไงก็คงไม่หมด อิอิ นี่เป็นแค่น้ำจิ้มนะค่ะ(จงเป็นผู้ให้มากกว่าผู้รับถ้ามีกำลังพอที่จะให้ อย่ารอแต่ที่จะรับอย่างเดียว)
ก่อนอื่น ขอกราบ สวัสดี ทุก ๆ คน ที่ แวะเข้ามา ชม ประวัติ ของ ดิฉันกราบ สวัสดี ค่ะ ^^ชื่อจริง มธุรส ( ไพเราะ อ่อนหวาน )นามสกุลจริง ผุดผ่อง ( บริสุทธิ์ ขาว สะอาด )เกิดเมื่อ วันจันทร์ ที่ 15 ตุลาคม 2533 ชื่อเล่น โอห์ม ( หน่วยความต้าน ทานไฟฟ้า ) ช่องทางติดต่อ a-tomza@hotmail.com หรือ 084-4050501 ( ตลอด 24 ชม.)การศึกษา ปัจจุบัน ปี 1 คณะศึกษาศาสตร์ เอก จิตวิทยา มหาวิทยาลัย มหาสารคามบ้านเกิด ยโสธร ( เมือง บั้งไฟโก้ แตงโมหวาน หมอนขวานผ้าขิด แหล่งผลิตข้าวหอมมะลิ )จบการศึกษา ระดับมัธยม โรงเรียน ยโสธรพิยาคม ( ทั้ง ม. ต้น – ม. ปลาย )บิดา นายศักดิ์เกษม ผุดผ่อง ( ถึงแก่กรรม )มารดา นางนิติกรณ์ ผุดผ่อง ( รับราชการ ครู )น้องสาว นางสาวศิริวรรณ ผุดผ่อง ( มัธยมศึกษาปีที่ 4 )บุคลิกส่วนตัว ในแง่บวก มั่นใจในตัวเอง ตรงไปตรงมา เข้ากับคนอื่นได้ง่าย ในแง่ลบ ใจร้อน วู่วาม ขี้หงุดหงิด โมโหร้าย เอาแต่ใจ ความสามารถพิเศษ เป็นพิธีกรประจำโรงเรียน ( ชอบพูดมาก จนอาจารย์ จับไปเป็น )แต่งตัว อะไรที่แนวๆ ดูเป็นตัวของตัวเอง ตาม อารมณ์ แนวเพลงที่ชอบ เพลงอินดี้ตามอารมณ์ / เพลงสากลฟังสบายสีที่ชอบ ชอบตามความเหมาะสม ของแต่ละสิ่ง ที่เข้ากับสีนั้นของสะสม รองเท้า ( จนตอนนี้ ห้องเหม็น ไปหมดแล้ว )อาหารที่ชอบ อาหารที่ไม่เผ็ดมากนัก อร่อย ๆดอกไม้ที่ชอบ ดอกลีลาวดี ( สวย เว่อร์ )ความฝัน อยากเป็นคุณครู อยู่บนดอย ( ไม่รู้จะทำ ได้รึป่าว )คติประจำจิต ทำทุกวัน ให้เป็นวันสุดท้าย ( ทุกๆ วัน จะได้ดีที่สุด )
ตั้งแต่ที่โอห์ม จำความได้ โอห์มเกิดขึ้นมา เป็นลูกคนแรก และหลานคนแรก ของครอบครัวทางพ่อ นับว่า เป็นที่รักของทุกๆคนเลยทีเดียว โดยเฉพาะ พ่อ พ่อรักและเฝ้าเลี้ยงดู ถนุถนอมโอห์มยิ่งแก้วตา ดวงใจ ทั้งเลิกกิน เหล้าสูบบุหรี่ก็เพื่อลูก โอห์มเป็นลูกสาว ก็จริงแต่กลับติดพ่อ มากกว่าแม่ จึงเติบโตมา มีนิสัย ทั้งหน้าตาและความสามารถที่เหมือนกับพ่อมาก จนมีหลายคนชอบแซวว่า เป็นบัตรประชาชนของพ่อ ^^ แต่พอโอห์มอยู่ม.1 พ่อก็ ต้องมาป่วย เป็นเจ้าชายนิทรา อยู่สามเดือน แล้วก็เสียไป โอห์มจึงต้องมาอยู่กับปู่กับย่า น้องกับแม่ ก็อยู่ลำพังเพียงสองคน ปู่กับย่าซึ่งเป็นข้าราชการ บำนาญ ก็เป็นคนส่งเสียเลี้ยงดู โอห์มมา จน ม. 6 ปู่และย่า เป็นเหมือนกับพ่อและแม่คนที่สองของโอห์ม และจนถึงปัจจุบันนี้ ปู่ ย่า และ พวกอา ก็ยังส่งเสียให้โอห์มเรียนหนังสืออยู่ โอห์มหวังมากว่า ต่อไปในอนาคต โอห์มจะทดแทนบุญคุณปู่กับย่า และจะทำให้ปู่ ย่าภูมิใจในตัวโอห์มให้ได้ ^^**มีสิ่งหนึ่งที่โอห์มอยากให้ทุกคนเข้าใจ คือ การจะมองคนนั้น ใช่แค่จะมองที่ภายนอก ตัวโอห์มเองก็เช่นกัน ภายนอกโอห์มดูเป็นคน ไม่ดีนัก ไม่ใช่คนที่ดูเรียบร้อย นิสัยดีอะไร มองดูแล้ว อาจดูเลวร้ายด้วยซ้ำ คนทั่วไปมักตัดสินโอห์ม แค่ตรงนั้น เพราะฉะนั้น โอห์มจึงอยากให้ทุกคน มองโอห์มซะใหม่ แล้วลองมาเป็นเพื่อนโอห์ม ดู แล้วจะรู้ว่า ความจริงแล้ว โอห์มอาจไม่ได้เป็นอย่างที่คิดก็ได้น๊า ^^ ขอบคุณค่ะ ที่ เข้ามารับชม มธุรส ผุดผ่อง
วันที่ทำให้แม่ของดิฉันทรมานกว่าแม่หลายๆคนก็คือ วันเสาร์ ที่10 เดือนพฤศจิกายน 2533เนื่องจากตอนคลอดดิฉันเอาเท้าออกมาก่อน ซึ่งคนปกติเค้าเอาหัวออกกัน และดิฉันยังคลอดที่บ้านด้วย ซึ่งมียายสี (คนข้างบ้าน) มาทำคลอดให้(โบราณมากเลย) ตอนตั้งชื่อ พ่อจะให้ชื่อสิริขวัญ แม่อยากให้ชื่อ ขวัญแก้ว แต่สรุปใช้ชื่อของพ่อ (ดีแล้ว) แต่ชื่ออะไรก็เพราะหมดแหละถ้าพ่อกับแม่เป็นคนตั้งให้ “__” ดิฉันมีพี่สาวหนึ่งคนน้องชายหนึ่งคน ซึ่งฉันกับพี่ก็จะสนิทกันมากเวลามีปัญหาอะไรฉันก็จะไปปรึกษาพี่และเวลาที่พี่มีปัญหาก็มาปรึกษาฉันเช่นกัน ส่วนฉันกับน้องเราจะชอบทะเลาะกันแต่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เพราะมันเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้วดิฉันจบ ป.6จากโรงเรียนสระปทุม อ.อรัญประเทศ จ. สระแก้ว จบ ม.6 จากโรงเรียนคลองหาดพิทยาคม อ.คลองหาด จ. สระแก้ว และปัจจุบันกำลังศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม คณะศึกษาศาสตร์ สาขาจิตวิทยานิสัยส่วนตัว เป็นคนช่างฝัน ชอบจินตนาการ แต่ก็ไม่ถึงกับเพ้อนะ ชอบฟังมากกว่าพูด เพราะดิฉันคิดว่าการฟังมันทำให้เราได้อะไรหลายอย่างมากกว่าพูด(เพราะตอนที่เรามัวแต่พูดมันทำให้เราไม่มีเวลาคิด) นิสัยที่ไม่ชอบ คนที่คิดว่าตัวเองแน่ ชอบดูถูกคนอื่น คนที่รู้จักตัวเอง จะไม่ดูถูกตัวเอง และไม่ยกหางตัวเอง เวลาว่างชอบฟังเพลง เพราะเชื่อว่า คนใดไม่มีดนตรีในหัวใจกาล ในสันดารเป็นคนชอบกลนักแนวเพลงที่ชอบ ร็อค อินดี้ สากล อนาคตอยากเป็นอาจารย์สอนในมหาวิทยาลัย เป็นดีเจ และมีร้านเพาะพันธุ์ดอกไม้ ซึ่งมีพ่อกับแม่เป็นคนดูแลอยู่ที่ร้าน คติ ความฝันกับความจริงต่างกันแค่ทำกับไม่ทำ และดิฉันเชื่อว่าเราสามารถทำความฝันให้เป็นจริงได้ถ้าเราลงมือทำ
นางสาวสุกัญญา ภูมิหาทอง 52010517004 คณะ ศึกษาศาสตร์ สาขาจิตวิทยา แม่เล่าให้ฉันฟังว่าก่อนที่แม่จะต้องท้อง แม่ฝันว่ามีเด็กลอยเข้าไปในท้องผ่านไปได้อาทิตย์แม่ก็ตรวจพบว่าตั้งท้อง แต่แม่ก็ไม่ยินดีเท่าไหร่นักเพราะว่าแม่ยังไม่พร้อมเท่าไหร่เพราะแม่คิดว่าอยากได้ลูกคนเดียวนั่นคือพี่ชายของฉันเอง แต่ย่าห้ามไม่ให้แม่เอาฉันออกเพราะถ้ามีลูกคนเดียวเดี๋ยวจะไม่มีคนอยู่เป็นเพื่อนตั้งแต่นั้นมาแม่ก็ไม่เอาฉันออกแม่บอกอีกว่าตอนที่ฉันอยู่ในท้องแม่คิดว่าฉันเป็นผู้ชายแน่ๆแม่ชอบกินอะไรที่มีรสจัด แม่ยังบอกอีกว่าแม่กินงูด้วยแม่ไม่รู้ว่าแม่กินเข้าไปได้ยังแม่บอกว่าอร่อยมาก พอถึงวันที่ฉันจะคลอดคือวันที่ 12 สิงหาคม 2534 วันนั้นแม่ฉันกำลังนั่งเก็บผักอยู่ในสวนพ่อไปทำงานที่บ้านไม่มีใครอยู่เลย แม่ปวดท้องเหมือนจะตายให้ได้เลยแม่เลยพยายามเดินไปบ้านลุงคือพี่ชายของแม่ ให้ช่วยพาไปโรงพยาบาล พอถึงโรงพยาบาลเค้าก็ให้แม่นอนรอที่เตียงเกือบจะเที่ยงคืนแล้วแม่ยังไม่คลอดฉันแม่เลยอธิฐานว่าขอให้ลูกแม่เกิดในวันแม่ด้วยไม่เกินห้านาทีแม่ก็เจ็บท้องขึ้นมาอย่างรุนแรงแล้วฉันก็คลอดออกมาในเวลา23.50 หลังจากนั้นนางพยาบาลก็อุ้มฉันไปหาแม่แล้วบอกว่าได้ลูกผู้หญิงแม่ดีใจมากเพราะว่าแม่อยากได้ลูกผู้หญิงแล้วแม่ก็ถามพยาบาลอีกว่าลูกสาวฉันครบ32รึป่าวพยาบาลก็ให้คำตอบที่ดีวาครบ แล้วแม่ก็ร้องไห้ออกมาด้วยความดีใจสุดๆ พ่อกับพี่ชายฉันยืนอยู่ข้างๆมองดูฉันคงจะมีความสุขมากเลยอ่ะดิที่ฉันเกิดมาอิอิ หลังจากนั้นหนึ่งวันแม่ก็ออกจากโรงพยาบาลเรากลับมาอยู่ที่บ้าน แม่บอกว่าฉันเป็นเด็กดีมากไม่ค่อยจะงอแงเท่าไหร่จนฉันอายุได้3ขวบแม่ก็ไห้ป้าข้างบ้านช่วยดูแลฉันเป็นเด็กดีมากไม่ดื้อไม่ซนเหมือนเด็กในวัยเดียวกัน ช่วงเวลานั้นฉันไม่ค่อยได้อยู่กับแม่เท่าไหร่เพราะมีคนมาช่วยเลี้ยงดูไปอยู่กับอาบ้างไปอยู่กับลุงบ้างไปอยู่กับย่า ยายบ้าง จนฉันอายุครบ4ขวบก็ได้เข้าเรียนชั้นอนุบาลที่โรงเรียนเทศบาลศรีสวัสดิ์วิทยา เพราะอยู่ใกล้บ้านและแม่ก็รู้จักอาจารย์ที่นั้นเลยวางใจ ฉันเรียนด้วยความตั้งใจไม่รู้เรื่องอะไรเลยก็เพราะว่าฉันยังเด็กในแต่ละวันช่วงเวลาเกือบจะบ่าย3จะมีนมให้นักเรียนกินก่อนกลับบ้านคนละหนึ่งถุง แต่ฉันจะกินวันละสองถุงเพราะว่ามันอร่อยมากๆหรือเพราะว่าเป็นเด็กในวัยเจริญเติบโตเลยกินอะไรก็อร่อยไปหมด ฉันเรียนที่โรงเรียนเทศบาลศรีสวัสดิ์วิทยา
จนถึงชั้นป.6ตอนแรกฉันจะเรียนต่อโรงเรียนเดิมกับเพื่อนๆแต่พ่อของฉันไม่ยอมให้เรียนต่อแต่ให้ไปเรียนต่อที่สารคามพิทยาคม พอฉันจบ ป.6ไปขอใบจบกับท่านผู้อำนวยการท่านไม่อยากให้นักเรียนไปเรียนต่อที่อื่นเพราะว่านักเรียนเริ่มน้อย ท่านพูดอีกว่าถ้าไปสมัครแล้วเข้าเรียนไม่ได้โรงเรียนสารคามพิทยาคมเขาบอกว่าให้มาจับฉลากถ้าจับไม่ได้ก็ให้สอบเข้าอีกทีหนึ่งพอถึงวันจับฉลากฉันดีใจมากตื่นเต้นด้วยเขาให้นักเรียนและผู้ปกครองไปรวบกันที่หอประชุมหลังใหญ่อาจารย์ก็เริ่มปฐมนิเทศนักเรียนที่มาจับฉลากในวันนี้พอถึงเวลาจับฉลากอาจารย์ก็เรียนชื่อตารายชื่อไม่นานนักก็ถึงรายชื่อฉันฉันตื่นเต้นสุดๆฉันเดินออกไปที่หน้าหอประชุมไปที่กล้องกระดาษที่ใส่ฉลากเต็มไปหมด ฉันยื่นมือไปฉลากมาหนึ่งใบแล้วก็เดินไปให้อาจารย์ที่อยู่ข้างๆเปิดฉลากอาจารย์ค่อยลุ้นช่วยปรากฏว่าฉันไม่ได้ฉันเสียใจมากแต่อาจารย์ก็ปลอบใจมาว่าค่อยสอบเอานะลูกฉันเดินหน้าจ่อยกลับไปนั่งตรงที่นักเรียนจับไม่ได้จนนักเรียนทุกคนจับหมด แต่ฉลากยังเหลืออีกเยอะทางโรงเรียนเลยให้นักเรียนที่จับไม่ได้มีโอกาสได้จับอีกเป็นครั้งที่สองแต่นักเรียนมีเยอะมากว่าฉลากที่เหลือ อาจารย์เลยให้นำบัตรที่มาสมัครย่อนลงไปในกล้องแล้วจับขึ้นมาว่าใครจะมีสิทธ์ออกไปจับฉลากอีกครั้ง ฉันได้ยินดังนั้นฉันหมดหวังแล้วเพราะว่าฉันไม่ค่อยมีดวงในด้านนี้ แต่ฉันก็อธิฐานขอพรต่างๆนาๆแล้วฉันก็ได้ยินรายชื่อของฉันประกาศขึ้นกันหันไปมองหน้าแม่แม่ยิ้มให้ด้วยความอ่อนโยนแล้วฉันก็เดินไปจับฉลากอีกครั้งหนึ่งคราวนี้ฉันตื่นเต้นมากๆถ้าไม่ได้ครั้งนี้ก็คงต้องรอสอบอย่างเดียวฉันล่วงมือไปจับฉลากมาหนึ่งแผ่นแล้วเดินไปให้อาจารย์ท่านเดิมผลออกมาคือฉันได้เรียนที่โรงเรียนนี้ฉันดีใจมากแล้วก็เดินไปรวมกับเพื่อนๆที่จับได้แต่ฉันก็สงสารเพื่อนที่จับไม่ได้เหมือนกัน แล้วก็รอวันมามอบตัวเป็นนักเรียนโรงเรียนสารคามพิทยาคม ฉันทำไมโชคดีอะไรอย่างนี้พอกลับมาถึงบ้านเราก็ฉลองกันทั้งครอบครัวมีความสุขมากเลยค่ะ พอเปิดเทอมฉันก็มาเรียนตามปกติฉันตั้งใจเรียนมากได้พบเพื่อนใหม่ๆที่น่ารักได้เรียนรู้จักสังคมใหญ่ขึ้นได้เรียนรู้ชีวิตใหม่ที่ไม่เคยได้สัมผัสรู้จักการปรับตัวให้เข้ากับผู้คนอยู่ตลอดเวลา แต่สิ่งที่ฉันอยากจะทำอีกสิ่งนั่นก็คืออยากเข้าไปเล่นดนตรีที่วงโยธวาทิต ฉันอยากเป่าแซกโซโฟนแต่ตอนนั้นฉันยังไม่กล้าเพราะมีแต่ผู้ชาย พอฉันขึ้นมาอยู่ ม 3มี
เพื่อนใหม่ย้ายเข้ามาเรียนด้วยกัน เพื่อนใหม่ได้ยินที่เราคุยกันเรื่องอยากเข้าเล่นดนตรีเลยมาร่วมคุยเรื่องนี้ด้วยเพราะว่านักเรียนใหม่ก็เป็นนักดนตรีมาจากโรงเรียนเก่าเหมือนกันเลยตกลงไปสมัครพร้อมกัน หลังจากที่ฉันเข้าไปเป็นสมาชิกของวงดนตรีสากลก็โดนแกล้งๆต่างๆเพราะทดสอบความอดทน เพราะว่าวงโย ซ้อมหนักมากมีการลงโทษแล้วพวกเราก็ผ่านการทดสอบนั่นมาได้ฉันมีความสุขมากกับการเล่นดนตรีมีเพื่อนเพิ่มขึ้นอีกคนในวงเหมือนเป็นพี่เป็นน้องกันจริงๆทุกวันหลังเลิกเรียนเราก็ต้องมาซ้อมทุกวันจนถึงห้าโมงหรือหกโมงเย็น ที่เข้ามาอยู่ในวงโยฉันได้เรียนรุ้ผู้คนเพิ่มขึ้นรู้จักให้รู้จักยอมเริ่มเป็นผู้ใหญ่และสอนเราได้หลายๆอย่างๆจนฉันได้เป็นรุ่นพี่ของน้องๆตอนนี้ฉันอยู่ ม4 ต้องสนใจในการเรียนก่อนดนตรีมาที่หลังแต่ฉันก็ให้ความสำคัญเท่าๆกันฉันเริ่มคุ้นเคยกับเพื่อนๆในวงมากขึ้นเรียกว่าสนิทกันมากแต่นักเรียนวงโยจะไม่ค่อยได้เข้าเรียนกันเต็มคาบเท่าไหร่เพราะว่าต้องไปออกงานที่นอกสถานที่ ออกงานแต่ละทีก็กินเวลาเรียนไปครึ่งวันแล้วเลยทำให้อาจารย์หลายๆท่านไม่ค่อยพอใจวงโยเท่าไหร่บ้างคนก็ไม่ค่อยเข้าเรียนแล้วเอาวงโยมาอ้างเลยทำให้วงโยเสีย แต่ฉันคิดว่าไม่ได้เป็นเพราะวงโยหรอกเป็นเพราะตัวเรามากกว่าเพราะว่าฉันเล่นดนตรีไปด้วยเรียนไปด้วยยังไม่เคยติด0เลยแม้แต่วิชาเดียวแถมได้เกรดดีด้วย ฉันได้แข่งดนตรีประเภทต่างๆแพ้หรือชนะ ได้มีประสบการณ์ พอฉันขึ้น ม 6 ก็ต้องเตรียมตัวอ่านหนังสือสอบเข้ามหาวิทยาลัย เพื่ออนาคตในวันข้างหน้าฉันอาจจะไม่ค่อยได้ไปซ้อมดนตรีเท่าไหร่แต่ถ้าฉันว่างฉันก็ไปซ้อมเสมอ ฉันใช้ความสามารถพิเศษเข้าสอบก่อน ฉันใช้ดนตรีเข้าสอบ ในวันที่ฉันเข้าสอบความสามารถพิเศษนั้นมีคนมาจากต่างจังหวัดหลายร้อยคนแต่จะมีแยกประเภทกันไปมีดนตรีสากล พื้นบ้าน นาฏศิลป์ กีฬา ฉันไปถึงห้องสอบ มีเพื่อนมาสอบดนตรีสากลกันเยอะมาก แถมมีแต่คนเก่งๆทั้งนั้นฉันไม่ได้เตรียมตัวมาอย่างดีเท่าไหร่ ฉันซ้อมเพียงวันเดียวเพราะลืมไปว่ามีการสอบดนตรีในวันรุ่งขึ้นเพลงก็ต้องหาเองอาจารย์ประจำวงก็ไม่ช่วยอะไรเลย เราจะรอพึ่งพาคนอื่นไม่ได้หรอก ฉันได้เข้าทดสอบเป็นคนที่สอง เพื่อนฉันเป็นคนแรก เพื่อนฉันเดินออกมาพร้อมรอยยิ้มส่งมาให้ฉันแล้วฉันก็เดินเข้าห้องสอบ มีอาจารย์อยู่สามคน อาจารย์คนแรกก็ให้ฉันรายงานตัวแล้วบอกเครื่องดนตรีประจำตัวฉันใช้tenor saxophone ในการสอบ แล้วอาจารย์ก็ให้เป่าเพลงที่เราเตรียมมา
ฉันเริ่มเป่าแต่ปรากฏว่าเครื่องดนตรีฉันเป่าไม่ออก ฉันตกใจมากทั้งทีตอนซ้อมเมื่อกี้ก็ยังเป่าได้ดีๆอยู่เลย แล้วอาจารย์ก็สั่งให้รุ่นพี่นำแซกโซโฟนของทางมหาวิทยาลัยมาให้ ฉันเริ่มไล่สเกลแต่เป่ายากมากหรือว่าเป็นเพราะฉันไม่ชินแต่เป่ายากจริงๆนะฉันบอกกับอาจารย์ทั้งสามคนแล้วฉันก็เริ่มเป่าเพลงที่นำมาเป่าได้ไม่นานอาจารย์ก็บอกให้หยุดเป่า ฉันก็คิดในใจว่าอาจารย์คงฟังไม่ได้แน่เลย ฉันเลยพรั่งปากไปว่ายังไม่ถึงท่อนโซโล่เลยนะค่ะ อาจารย์เลยหัวเราะแล้วบอกให้เป่าต่อฉันเริ่มเป่าต่อได้นิดเดียวก็หยุดเป่าเพราะว่าแซกเป่าไม่ออก ตอนนี้ใจฉันไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้ว อาจารย์ก็ยิบโน้ตเพลงมาแล้วให้ฉันเป่าตามโน้ตที่อาจารย์ให้ทาฉันก็เป่าได้ แล้วก็ออกจากห้องสอบไป แล้วเพื่อนอีกคนหนึ่งก็เข้าไปสอบต่อจากฉันเดินยิ้มออกมาหาเพื่อนคนแรก พูดคุยกับเพื่อนๆที่มาสอบด้วยกันหลังจากที่สอบเสร็จพวกเราก็ไปฉลองกัน ฉันพูดกับเพื่อนๆอย่างหมดใจว่าฉันคิดว่าไม่ได้แน่เพราะฉันเป่าไม่ได้ดีเท่าไหร่ฉันรู้สึกไม่มีความสุขเลยจนเวลาผ่านไปเพื่อนได้โทรมาบอกว่าฉันสอบได้ ฉันดีใจมากเลย แล้วก็มาฉลองกับเพื่อนๆอีกครั้งหนึ่งแล้วก็ไปบอกแม่ว่าฉันสอบติดแล้ว แม่ดีใจมาก แล้วฉันก็รอวันไปมอบตัว พอถึงวันปฐมนิเทศนิสิตใหม่ฉันก็ได้รู้จักเพื่อนใหม่เยอะแยะแล้วฉันก็ได้เป็นนิสิตมหาวิทยาลัยมหาสารคามจนถึงทุกวันนี้
สวัสดีค่ะตอนที่เกิดมามองตาดูโลกแม่ตั้งท้องหนูมาเก้าเดือนแม่คลอดหนูวันที่17สิงหาคม พ.ศ 2533 เวลาประมาณ23.00น แม่ปวดท้องมากและแล้วหนูก็เกิดมามองตาดูโลกภายนอกหนูเกิดที่โรงบาลร้อยเอ็ด พ่อของหนูดีใจมากเพราะได้ลูกผู้หญิงตอนเกิดมาหนูหนักประมาณ 3 ก.พ่อเลยตั้งชื่อให้ว่า ด.ญ สุพัตรา จอมคำศรี ชื่อเล่น กวาง ตอนนี้บ้านของเรามีกัน4คนภูมิลำเนาของครอบครัวเราเป็นคนร้อยเอ็ด มีพ่อ มีแม่ พี่ชาย และก็ตัวหนูเองค่ะ บ้านของหนูอยู่ที่ค่ายประเสริฐสงคาม บ้านเลขที่ 235/148 หมู่ 11 ต.เหนือเมือง อ.เมือง จ.ร้อยเอ็ด 450000พ่อของหนู ชื่อ จ.ส.อ คำพอง จอมคำศรี รับราชการเป็นทหารเลยได้พักที่บ้านพักข้าราชการแม่ของหนู ชื่อ นาง เล็ก จอมคำศรี ทำอาชีพข้าขายค่ะ พี่ชาย ชื่อ นาย คมกฤษ จอมคำศรี ตอนนี้พี่ชายหนูก็ห่างกันไม่มีปี4ปีค่ะพ่อสอนให้รักกันไว้เพราะเรามีกันแค่สองคน ตอนหนูอายุ 5ขวบ หนูเรียนที่โรงเรียนอนุบาลร้อยเอ็ดหนูอยู่ห้องอนุบาลหนึ่งสีม่วงรูปมะนาวมีคุณครู ชื่อ นางอนุสรา สำงามจริง หนูเริ่มศึกษาเล่าเรียนมาเรี่ยวๆจนกระทั้งเรียนประถมหนึ่งหรือ ป.หนึ่งนั้นเองหนูตื้นเต้นมากๆๆที่มีเพื่อนใหม่ๆเวลาก็ผ่านไปเรื่อยๆจนกระทั้งขึ้น ป 4 ทางโรงเรียนของหนูก็จัดให้มีกิจกรรมวันนั้นเป็นวันที่สนุกมากหนูได้เป็นผู้นำเต้นรู้ตื้นเต้นมากต้องฝึกเต้นทุกวันจนถึงวันแข็งพอผ่านพ้นไปก็สอบขึ้นขั้น ป 5 พอจะขึ้นขั้นเรียนลุ้นตลอดว่าจะได้อยู่ห้องไหนอยู่กลับเพื่อนเก่าหรือเปล่าแต่ก็ภูมิใจกับ ห้องเรียนห้องใหม่ๆเพื่อนใหม่หนูอยู่ห้องเดิมมาสองปีรู้ศึกผูกพันกับเพื่อนมากๆยิ่งตอนจะจบ ป 6 รู้ไม่อยากจาก เพื่อนไปเลยอยากให้โรงเรียนเรามีถึง ม 6 จังแต่ก็ไม่มี กับการเป็นสาวครั้งแรกของหนูนั้นคือ การมีประจำเดือนนั้นเองหนูมีประจำเดือนตอนอยู่ ป 6 รู้สึกกลัวมากๆแม่ก็สอนหนูให้เข้าใจหลังจากเรียน ป 6 เทียมสุดท้ายก็มีคณะครูอาจารย์มาแนะแนวการเรียนต่อว่าโรงเรียนแต่ล่ะโรงเรียนเป็นอย่าไรวันจบ ป 6 รู้สึกเสียใจมากๆที่จะได้จากเพื่อนไปวันนี้เป็นวันที่มี ความสุขมากๆเพราะเพื่อนคนหนึ่งมาบอกชอบเราทำให้เรารู้ดีที่เขามีความรู้สึกให้ แต่เรายังเด็กกันอยู่หลังจากนั้นเราก็แยกย้ายกันไปศึกษาต่อที่อื่นหลังจากที่หนูทำการตัดสินใจกับการเรียนต่อ พ่อหนูอยากให้เรียนต่อที่ โรงเรียนพระกุมารร้อยเอ็ดแต่หนูอยากเรียนที่โรงเรียนสตรีร้อยเอ็ดหนูเลยไปสมัครเรียนที่โรงเรียนนี้ตอนไปสมัครรู้สึกว่าเราต้องได้เรียนโรงเรียนนี้จริงๆหรอพอถึงวันสอบหนูตั้งใจทำขอสอบด้วยความตั้งใจ วันนี้คนเยาะๆมากเพราะโรงเรียนนี้เป็นโรงเรียนประจำจังหวัดร้อยเอ็ดใครๆก็อยากเข้ากันทั้งนั้น จนกระทั้งถึงวันประกาศผลสอบออกมาหนูตื้นเต้นมากๆๆไม่คิดว่าตัวเองจะสอบติดโรงเรียนนี้หนู ได้อยู่ ม .1/8 วันเปิดเริ่มวันแรกตื้นเต้นมากๆการมาเรียนของหนู
ประวัติส่วนตัวชื่อ นางสาวสภาภรณ์ วิชัยชื่อเล่น อ้อมเกิด 21 กันยายน 2533อายุ 19 ปีราศี กันย์บิดาชื่อ นายบุญ วิชัยมารดาชื่อ นางหล้า วิชัยมีพีน้องทั้งหมด 1 คน (ลูกคนเดียว)กรุ๊ปเลือด เอบีปัจจุบันกำลังศึกษาอยู่ที่ มหาวิทยาลัย มหาสารคามคณะ ศึกษาศาสตร์สาขา จิตวิทยา อาจารย์ที่ปรึกษา อาจารย์ พัฒนานุสรที่อยู่ 138 ม. 8 บ. แก่งโกสุม ต. หัวขวาง อ. โกสุมพิสัย จ.มหาสารคามโทร 0806049256E-mail a_om_333@hotmail.com
คติประจำใจ ทำวันนี้ให้เหมือนเป็นวันสุดท้ายของชีวิตอนาคตอยากเป็น นักจิตวิทยาเวลาว่าง ฟังเพลง ดูหนังสีที่ชอบ แดง เขียว ฟ้าอาหารที่ชอบ เนื้อย่าง สุกี้ กระเพราหมูกรอบ (ร้านแซบนัว)ศิลปินในดวงใจ . .ปาล์มมี่นักร้องไทยที่ชอบ ปาล์มมี่ ดาเอ็นโดฟีน แบงค์นักร้องเกาหลีที่ชอบ ซุปเปอร์ จูเนียร์ บิ๊กแบง ดาราไทยที่ชอบ อั้ม พัชราภา ดาราฮอลลีวูดที่ชอบ แบคพลีชหนังไทยที่ชอบ หอแต๋วแตก แหยม1-2หนังเกาหลีที่ชอบ รักหมดใจยัยกะล่อนเพลงที่ชอบ น้ำเต็มแก้ว จากกันตรงนี้ประวัติแรกเกิด ข้าพเจ้าเกิดที่โรงพยาบาลแม่และเด็ก แม่ข้าเจ้าเล่าว่าตอนข้าเจ้าเกิดมาร้องให้บ่อยมากผิดกับเด็กคนอื่น ร้องไห้จนตัวเขียว
ประวัติเข้าโรงเรียน ข้าเจ้าเข้าเรียนอนุบาลที่โรงเรียน บ้านแก่งโกสุม เป็นโรงเรียนตอนไปโรงเรียนข้าพเจ้าร้องไห้ทุกวันไม่อยากไปโรงเรียน พอจำความได้ข้าพเจ้าก็เห็นแต่หน้าแม่ของข้าพเจ้าคนเดียวข้าพเจ้าอยู่แต่กับแม่ 2คน เพราะพ่อของข้าพเจ้าไปทำงานที่ประเทศญี่ปุ่นตั้งแต่ข้าพเจ้าอายุ 1ขวบ พอกลับมาข้าพเจ้าก็อายุได้ 11ปี ข้าเจ้าเรียน ป1. – ป6. อยู่ที่โรงเรียน บ้านแก่งโกสุม ข้าเจ้าจำได้ว่าตอนอยู่ ป.6 ข้าเจ้ามีวีรกรรมแสบๆอยู่ ก็คือ ตอนชั่วโมงเกษตร คุณครูให้ทำแปลงผัก แล้วตรงนั้นก็มีสระน้ำน่าเล่นมาก แต่พวกข้าเจ้าก็ไม่กล้าเล่นหรอกพอสักพักมีคนมาบอกว่า คุณครูให้ลงเล่นน้ำในสระได้ พอได้ยินอย่างนั้นข้าพเจ้ากับเพื่อนก็ลงเล่นน้ำทันที สักพักหนึ่ง คุณครู ถือไม้เรียวมา โดนตีกันเรียงหน้าเลยประวัตเข้ามัธยม เข้าโรงเรียนมัธยมข้าพเจ้าศึกษาอยู่ที่โรงเรียนโกสุมวิทยาสรรค์ เป็นโรงเรียนประจำอำเภอข้าพเจ้าอยู่ห้อง106ข้าพเจ้ามีเพื่อนสนิทอยู่ 5 คน 1. น.ส. วันทนีย์ สีลาโคตร (เหมียว)2. น.ส. เอื้ออารีย์ สายดง (เอื้อ)3. น.ส. สุวิดา ศรีทองจักร (บุ้ง)4. น.ส. สมพิศ สอนพิมพ์ (แป๋ม)5. น.ส. วลัยพร จันทวิบูร (ยุ้ย)ข้าพเจ้าสนุกมากตอนที่อยู่ม.ต้น มีวีรกรรมแปลกๆ มากมาย ยกตัวอย่างสักหนึ่งวีรกรรมเป็นวีรกรรมที่ข้าเจ้าไมเคยลืมเลย ตอนนั้นข้าพเจ้ากับเพื่อนๆ เรียนบาสเกตบอลอยู่หลัง
โรงเรียนและอยู่ข้างนอกหลังโรงเรียนจะมีลูกชิ้นขาย ข้าพเจ้ากลับเพื่อนๆก็เลยปีนกำแพงออกไปกินลูกชิ้นพอกินเสร็จจะปีนเข้ามา อาจารย์ดันมาไล่พอดีข้าพเจ้าตกใจมากรีบปีนกลับจนตกกำแพงเจ็บมากแถมยังโดนอาจารย์ตีอีกต่างหากพออยู่ ม.3ข้าพเจ้าก็มีอีก คือตอนนั้นเปลี่ยนคาบวิชาเรียนข้าพเจ้ากับเพื่อนๆก็นั่งเล่นปั่นแปะอยู่บนโต๊ะก็เล่นไปสักพัก ก็มีเพื่อนคนหนึ่งเค้าเป็นศิษย์รักของอาจารย์ที่มาสอนคาบต่อไปแต่ไหนแต่ไรเค้าไม่เคยเล่นปั่นแปะมาก่อน วันนั้นข้าพเจ้าเล่นกับเพื่อนๆอย่างสนุกสนาน พอเค้าเห็นเค้าก็เลยอยากมาลองเล่นกับพวกข้าพเจ้า พอสักพักอาจารย์เข้ามาเจอและเห็นศิษย์รักของอาจารย์เล่นการพนัน อาจารย์พูดไม่ออกร้องไห้เลย แถมข้าพเจ้ากับเพื่อนๆ ยังโดนดุเป็นชุดใหญ่ๆนี่ก็เป็นวีรกรรมสมัย ม.ต้นมัธยมศึกษาตอนปลาย.......................ตอนมัธยมปลายข้าพเจ้ามีเพื่อนสนิท อยู่7 คน1. น.ส. เพียงเพ็ญ สารตุ้ย (ยุ้ย)2. น.ส. ศิริลักษณ์ สีมีงาม (ปิ๋ว)3. น.ส. พัชรนันท์ สิทธิหาโคตร ( ปิ๋ม )4. น.ส. สมพิศ สอนพิมพ์ (แป๋ม)5. น.ส. สุนารี เชิงขุนทด (จินนี่)6. น.ส. วันทยา (ตาดำ)7. น.ส. พันนิดา สีชัยปัญหา (เก๋)ข้าพเจ้ามีความสุขมาก ข้าพเจ้าเรียนสาย วิทย์ – คณิต ข้าพเจ้าอยู่ห้อง 405 พอ ขึ้นม.4 ข้าพเจ้าก็มีวีรกรรมเด็ดๆอยู่เหมือนกัน คือตอนนั้นเป็น วัน บิ๊กนิ่งเด ของโรงเรียนและช่วงนั้นเป็นช่วงที่ หนังแสบสนิทศิษย์ส่ายหน้าเข้าโรงใหม่ๆ ข้าพเจ้าและพร้อมเพื่อนทั้ง7คนโดดไปสารคามไปดูหนัง พอวันต่อมาอาจารย์ที่ปรึกษาก็เลยมาหาคนที ไม่เข้า บิ๊กคีนิ่งเด จากนั้นวันต่อมาก็ให้เชิญผู้ปกครองมาโรงเรียน ข้าพเจ้ากับเพื่อนยังได้ถูกลงโทษตอนพักเที่ยงทุกวันให้ไป
กวาดใบไม้หลังโรงเรียน ทุกวันเป็นเวลา 1 อาทิตย์ จากนั้นข้าพเจ้ากับเพื่อนๆก็ไม่กล้าโดดไปดูหนังอีกเลยพอขึ้น ม.5 ข้าเจ้ามีอาจารย์ ที่ ปรึกษาคือ อาจารย์โสภณ มัจจุปะ เป็นเสมือนพ่อของพวกเราทั้งห้อง โรงเรียนของข้าพเจ้าจะมีช่วงเวลาสนุกที่สุดอยู่ก็คือช่วงกีฬาสีโรงเรียนของข้าพเจ้าจัดกีฬาสียิ่งใหญ่มากและก็สนุกมาก ยิ่งตอนที่อยู่ ม.6 ใกล้จะจบมีกีฬาสีมันทำให้พวกเรารักกันมากขึ้น สามัคคีกันมากขึ้น จากเพื่อนในห้องที่เคยทะเลาะกันก็กลับมารักกันขึ้น ม6. ข้าพเจ้ามีอาจารย์ ที่ปรึกษาอยู่ 2 คนคือ อาจารย์ เรียบ สัจันตะ อาจารย์ ทองสืบเลิศล้ำ ช่วงเวลาที่อยู่ ม6.รู้สึกเหมือนรักเพื่อนมากเพราะเหลือเวลาอีกไม่นานก็ต้องจากกันแล้ว ข้าพเจ้ามีความสุขที่ได้ไปโรงเรียนมากเพราะอยากใช้เวลาอยู่กับเพื่อนให้มากที่สุด ห้องของข้าพเจ้าเป็นห้องที่รักกันทำอะไรก็จะทำด้วยกันมักจะไม่ขัดกันและก็ช่วยเหลือกันดีมากด้วย ม.6 ของข้าพเจ้าไม่ค่อยมีวีรกรรมแสบๆหรอกเพราะแก่แล้วเป็นพี่ใหญ่ของโรงเรียนจึงต้องทำตัวดีๆสักหน่อย เตรียมตัวหาที่เรียนเพราะไม่งั้นจะไม่มีที่เรียนและยังเครียดกับการอ่าหนังสืออีกด้วย
ประวัติส่วนตัว นางสาวจารุนี สมศรีแก้ว 52010521013 เอก PSYประวัติส่วนตัวชื่อ จารุนี สมศรีแก้ว ชื่อเล่น แต้วเกิด วันจันทร์ ที่ 6 เดือน สิงหาคม พ.ศ. 2533 อายุ 19สัญชาติ ไทย เชื้อชาติ ไทย ศาสนา พุทธกรุ๊ปเลือด โอ สูง 159 ซ.ม. หนัก 50 กิโลกรัมที่อยู่ 22 หมู่ 1 ตำบล ในเมือง อำเภอ เวียงเก่าจังหวัด ขอนแก่น รหัสไปรษณีย์ 40150ปัจจุบันศึกษาที่ ระดับปริญญาตรี ชั้นปีที่ 1 คณะศึกษาศาสตร์ สาขาวิชาจิตวิทยา มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ปัจจุบันพักที่ หอพักมหาวิทยาลัยมหาสารคาม หอพักการเวก ห้อง 112ตำบลตลาด อำเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม รหัสไปรษณีย์ 44150E-MAIL - madkanun@hotmail.com- taewxyz-0608@hotmail.comเบอร์โทร - 085-0090807อุปนิสัย รักสนุก ร่าเริง พูดเก่ง คุยเก่ง กล้าแสดงออก โกรธง่าย หายเร็ว สีที่ชอบ ชมพู่ ฟ้า ม่วง สัตว์ที่ชอบ กระต่าย ปลาทองอาหารที่โปรด ทุกอย่าง ยกเว้น หนังเป็ด หนังไก่ความสามารถพิเศษ เล่นกีฬา พูดสุนธรพจน์งานอดิเรก ดูหนัง ฟังเพลง ความใฝ่ฝัน เรียนจบดุษฎีบัณฑิต มีครอบครัวที่สมบูรณ์อนาคต เป็นคนที่มีรูปร่างน่าตาสวยอาชีพที่อยากจะเป็น คุณครู นักจิตวิทยาสเปก ขาว สูง จมูกโด่ง ดูเป็นผู้ใหญ่ ดูแลเอาใจใส่เรา เหมือที่คุณพ่อคุณแม่ดูแลเราคติ เรียนดี สวย เพื่อนรวย จบอย่างภาคภูมิใจสมาชิกในครอบครัวมีทั่งหมด 5 คนค่ะ แต่คุณแม่ท่านเสียไปแล้ว คุณแม่ของดิฉันชื่อ นางวาสนา สมศรีแก้ว อายุ 48 ปี ท่านเสียไปเมื่อตอนที่ดิฉันอยู่ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 อายุ 14 ปี ค่ะเสียใจมากคุณพ่อชื่อ นายจักรี สมศรีแก้ว อายุ 48 ปี อาชีพประกอบธุรกิจส่วนตัวมีพี่ชายอีก 1 คน ชื่อ นายนิรันดร์ สมศรีแก้ว อายุ 23 ปี อาชีพประกอบธุรกิจส่วนตัวเช่นเดียวกับคุณพ่อค่ะ อีก 1 คนท่านคือ คุณยายของดิฉันเอง ชื่อ นางปา กุลลาจันทร์ อายุ 91 ปี ค่ะ หลังจากที่ เกิดได้ 3 เดือนคุณพ่อก็มารับไปอยู่ที่ กรุงเทพมหานคร อยู่ห้องกับคุณแม่กับพี่คุณแม่ทำยังไงก็ไม่รู้ คุณแม่เล่าให้ฟังว่าดิฉันเหยียบถ้วยมาม่าด้วย เท้าพองหมดแล้วก็เดินตกน้ำเน่าบ่อยด้วย หลังจากอายุได้ 2 ขวบแล้วคุณแม่ก็พาดิฉันไปฝากไว้กับป้าเลี้ยงให้แล้วคุณแม่ก็ไปทำงานที่ กรุงเทพเหมือนเดิม ตอนอยู่กับป้า ป้าก็พาไปสมัครเข้าโรงเรียนก่อนอนุบาล จนอายุ 5 ขวบ พอ 5 ขวบคุณแม่ก็กลับมาอยู่บ้าน แล้วก็รับดิฉันกลับไปอยู่บ้านด้วย คุณแม่พาไปเข้าโรงเรียนบ้านหนองขาม ซึ่งเป็นโรงเรียนใกล้ ๆ บ้าน ตอนั่นเข้าอนุบาล 1 เรียนที่โรงเรียนบ้านหนองขาม จนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ตอนที่เรียนอยู่ที่นั้นมีความสุขมาก แล้วดิฉันก็เรียนไม่ค่อยเก่งหรอกค่ะ แต่เพราะว่าเพื่อนคนอื่นฉลาดน้อยกว่าหรือยังไงไม่รู้ ดิฉันถึงสอบได้อันดับที่ 1 มาตั้งแต่ ป.4 จนถึง ป.6 เกรดเฉลีย 4.00 ก็เลยได้ทุนการศึกษาเป็นทุนเรียนดีมาตั้งแต่ ป.4 เป็นเด็กกิจกรรมด้วยได้เข้าแข่งขันทักษะวิชาการมาตั้งแต่ ป.3 ตอน ป.3 ไปแข่ง ประดิษฐ์ ก็ได้อันดับที่ 1 มา ป.4 ก็ได้ไปแข่งคณิตศาสตร์ ที่ว่า คณิต คิด เลขเร็ว ได้อันดับที่ 2 เพราะไปแข่งกับรุ่นพี่ ป.6 เพราะมันแข่งเป็นคู่เลยต้องไป 2 คน จำได้ว่าเป็น การ บวก ลบ คุณ หาร เศษส่วน ซึ่งตอนนั่นดิฉันยังไม่ได้เรียน ถามรุ่นพี่เอาก็บอกว่าให้เอาทั่งเศษแล้วส่วนมา บวก ลบ คูณหาร กันเลย เลยทำผิดค่ะเลยได้อันดับที่ 2 เพราะรุ่นพี่แท้ ๆ พอมา ป.6 ก็ได้เข้าแข่งขัน เขียนเรียงความภาษาอังกฤษ ได้อันดับที่ 2 ค่ะ เพราะไม่ได้เตรียมตัวเลย คุณครูไม่ได้บอกล่วงหน้า พอก่อนจะถึงวันแข่ง 2 วันคุณครูค่อยมาบอก พลาดไปเลยค่ะตอนที่อยู่ชั้น ป.5 ไปแข่งโครงการกล้วยอบเนยค่ะ ได้อันดับที่ 1 เลยได้เป็นตัวแทนไปแข็งในตัวอำเภอ พอไปแข่งที่อำเภอเลยได้อันดับ 2 ค่ะ เป็นนักกีฬาด้วยตอนอยู่ ป.3 – 4 เป็นนักวอลเลย์บอล ทีมสำรองค่ะ มา ป.5 – 6 ก็เป็นนักวอลเลย์บอลแต่เป็นตัวจริงค่ะ ป.5 – 6 ก็เป็นนางลำด้วย ออกงานทุกงานเลยค่ะภูมิใจจริง ๆ เลย จบ ป.6 จากโรงเรียนบ้านหนองขาม หลังจากจบจาก โรงเรียนบ้านหนองขามดิฉันก็ได้มาสอบเข้าโรงเรียน ภูเวียงวิทยาคมตอนที่ดิฉันศึกษาอยู่ชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 ได้เกรดเฉลี่ย 3.33 ตอน ม.ต้น เขาคิดเป็นปี ค่ะ มัธยมศึกษาปีที่ 2 ได้เกรดเฉลี่ย 3.31 ม.ปลายคิดเป็นเทอมค่ะ มัธยมศึกษาปีที่ 3 ได้เกรดเฉลี่ย 3.35 มัธยมศึกษาปีที่ 4 เทอมแรกได้ 2.18 เรียนสาย วิทย์-คณิต
ประวัติส่วนตัว นางสาวอนุศรา สีชาแลน 52010521006 เอก PSYประวัติส่วนตัวชื่อ : นางสาวอนุศรานามสกุล : สีชาแลนชื่อเล่น : หวานอายุ : 20 ปีสถานะภาพ : โสดหมู่โลหิต : เอเกิด : วันศุกร์ที่ 27 เดือน ตุลาคม พ.ศ.2532สถานที่เกิด : โรงพยาบาลภูเวียงที่อยู่ตามทะเบียนบ้าน : 305/106 หมู่ 21 ต.บ้านเป็ด อ.เมือง จ.ขอนแก่น 40000ที่อยู่ที่สามารถติดต่อได้ : 29 หมู่ 1 ต.ในเมือง อ.เมืองเก่า จ.ขอนแก่ 40150ที่อยู่ที่มหาวิทยาลัย : หอพักการเวก ห้อง 112 เขตพื้นที่ในเมือง มหาวิทยาลัยมหาสารคามเบอร์โทร : 084 – 5106257บิดาชื่อ : นายไทยนิกร สีชาแอนอายุ : 44 ปีอาชีพ : รับจ้างสถานะภาพ : เสียชีวิตมารดาชื่อ : นางลาวัลย์ สีชาแอนอายุ : 46 ปีอาชีพ : ทำการเกษตรเบอร์โทร : 084 – 9561175สถานะภาพ : ยังมีชีวิตอยู่มีพี่น้องรวมสายเลือด : 2 คนคนที่ 1 ชื่อ : นางสาววลิลา สีชาแอนชื่อเล่น : ส้มอายุ : 23 ปีกำลังศึกษา : ระดับปริญาตรี คณะสังคมและเทคโนโลยี สาขา การจัดการ ปี 4 มหาวิทยาลัยราชมงคลอีสาน วิทยาเขตกาฬสินธุ์ความสามารถพิเศษ : ขับรถยนต์นิสัย : ชอบความสงบ/ไม่วุ่นวายคติประจำใจ : ความมุ่งมั่น คือความสำเร็จในชีวิตความใฝ่ฝัน : อยากเป็นคุณครูแนะแนวเวลาว่างชอบทำ : ดู TV,คุยโทรศัพท์,กินงานอดิเรก : อาบน้ำให้สุนักอาหารที่ชอบ : ทุกอย่างอาหารที่ไม่ชอบ : น้ำพริกกะปิสีที่ชอบ : ขาว – ดำผู้ชายในฝัน : หน้าตาไม่ต้องขอแค่ซื่อสัตย์จริงใจสิ่งที่ทำแล้วมีความสุข : ร้องเพลงผลไม้ที่ชอบ : เงาะสิ่งที่ไม่ชอบ : การโกหก/เห็นแก่ตัวละครที่ชอบ : อยากหยุดตะวันไว้ที่ปรายฟ้าดาราที่ชอบ : แพนเค้กนักร้องที่ชอบ : ตั๊กแตนเพลงที่ชอบมากที่สุด : อยากเป็นคนรักไม่ได้อยากเป็นชู้ชอบอ่านหนังสือ : สถานที่ท่องเที่ยวสถานที่ท่องเที่ยวที่ชอบ : ทะเลสิ่งที่ทำให้เสียใจที่สุด : การจากไปของพ่อสิ่งที่ทำให้ภูมิใจมากที่สุด : สอบเข้าศึกษา ที่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ประวัติการศึกษาเรียนระดับอนุบาล 1 – 2 : ร.ร.บ้านหนองขามเรียนระดับประถม 1 – 6 : ร.ร.บ้านหนองขามเรียนระดับมัธยมศึกษา 1 – 3 : ร.ร.เวียงวงกตวิทยาคมเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย 4 – 6 : ร.ร.เวียงวงกตวิทยาคมเรียนระดับอุดมศึกษา : มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
ชื่อ นางสาวดั่งฤทัย วรรัตน์ 50010510609 ปกติชีวิตของข้าพเจ้า ดิฉันเกิดในครอบครัวที่มีฐานะปานกลาง เป็นลูกคนที่ 2 มีพี่สาวอีกหนึ่งคน ซึ่งอายุห่างกันไม่มากเพียง 3 ปีเท่านั้น ดิฉันมีชื่อจริงว่าดั่งฤทัย ซึ่งแปลว่าได้ดั่งใจ ซึ่งไม่รู้ว่าได้ดั่งใจพ่อแม่ หรือว่าได้ดั่งใจตัวเอง ชื่อนี้พ่อเป็นคนตั้งใจ ส่วนชื่อเล่นของดิฉันชื่อว่ากิ๊ก แต่ส่วนมากคนในครอบครัวจะเรียกว่ากุ๊กกิ๊กมากกว่า ชื่อเล่นเป็นแม่คนตั้งใจเพราะในสมัยที่ดิฉันเกิดแม่ชอบนางเอกในละครที่มีชื่อว่ากิ๊ก แม่เลยตั้งตามดาราคนนั้น ตั้งแต่เด็กจนโตแม่สอนให้คิดเอง แม่จะไม่บังคับว่าลูกต้องทำอะไร เป็นแบบไหน ส่วนมากฉันจะติดแม่มากกว่าพ่อ เพราะพ่อดูจะดุมากเมื่อสมัยฉันยังเป็นเด็ก ตอนอนุบาลฉันเรียนที่โรงเรียนอนุบาลปิ่นทิพย์ ตอนเช้าจะเป็นเวลาที่รถรับ-ส่งจะมารับไปโรงเรียนแต่ฉันก็ไม่เคยที่จะได้ไปโรงเรียนโดยรถรับ-ส่งเลย เพราะว่าตอนเด็กฉันเป็นคนที่ทำอะไรช้ามากจนโดยแม่ตีก่อนไปโรงเรียนทุกวันเลย กว่าจะไปโรงเรียนได้แต่ละวันฉันต้องใส่ถุงเท้าให้เท่ากัน โดยการเอาไม้บรรทัดมาวัดจนไปโรงเรียนสายทุกวัน นี่จึงเป็นสาเหตุที่โดนแม่ตีทุกวันก่อนไปโรงเรียน พอเริ่มประถมดิฉันก็ได้ย้ายโรงเรียนมาเรียนที่โรงเรียนสนามบิน ซึ่งความแต่ก่อนที่แห่งนั้นเคยเป็นสนามบินเก่ามาก่อน จึงได้ชื่อว่าโรงเรียนสนามบิน โรงเรียนฉันจะติดกับโรงเรียนของพี่สาวของฉันเองซึ่งก็คือโรงเรียนอนุบาลขอนแก่น ตอนเช้าแม่หรือพ่อจะเป็นคนมาส่งที่โรงเรียนเองเพราะแม่บอกว่า ขึ้นรถรับ-ส่งก็เสียตังค์เปล่าๆเพราะยังไงก็ไม่เคยขึ้นรถทันเลย แม่ต้องคอยตามมาส่งที่โรงเรียนเอง จึงไม่ได้ขึ้นรถรับ-ส่งอีก ส่วนตอนเย็นนั้นแม่ไม่ได้มารับ
เพราะว่าแม่บอกว่าโตแล้วต้องช่วยเหลือตัวเองให้เป็น เมื่อเลิกโรงเรียนพี่สาวของดิฉันจะเป็นคนมารอรับที่ด้านหลังของโรงเรียนแล้วขึ้นรถโดยสารสองแถวกลับบ้านกันเองสองคน เพราะว่ารถสองแถวจะจอดที่หน้าบ้านพอดี แต่ฉันและพี่ก็กลับบ้านค่ำทุกวันเพราะฉันมัวแต่เล่นกับเพื่อนๆก่อนจนใกล้มืดจึงจะขึ้นรถกลับบ้าน พอเริ่มเข้าประถมแม่เริ่มให้ทำงานบ้านเองทุกอย่าง โดยที่แม่บอกว่าโตแล้วต้องทำทุกอย่างให้เป็น ชีวิตในวัยประถมก็เป็นไปแบบปกติทั่วไป จนปิดเทอมของป. 5 ฉันและพี่สาวจึงรู้ว่าพ่อกับแม่จะแยกทางกันโดยพ่อและแม่ให้เลือกว่าจะอยู่กับใคร แต่ฉันและพี่สาวก็เลือกที่จะอยู่กับแม่ทั้งสองคน ช่วงนั้นเป็นช่วงที่แม่อ่อนแอที่สุด เราสามคนจึงต้องเป็นทุกอย่างให้กัน ให้กำลังใจกัน จนเริ่มเข้าม. 1 ฉันก็ได้เปลี่ยนที่เรียนอีกโรงเรียนของดิฉันมีชื่อว่าเทพศิรินทร์ ฉันเรียนที่นี่ตั้งแต่ม. 1 – 3 เริ่มเข้าม. 1 ที่โรงเรียนแห่งนี้ฉันก็เริ่มมีเพื่อนมากขึ้น ติดเพื่อนมากขึ้น แต่แม่ก็ไม่ได้ว่าอะไรเพราะว่าเวลาจะไปไหนทำอะไรจะฉันบอกแม่เสมอ แต่พอเริ่มเข้าโรงเรียนเริ่มมีคนหมั่นไส้ฉันมากขึ้น แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม แม่เลยบอกว่าหน้าตาเราอาจดูไม่ค่อยยิ้มก็ได้ แต่ความเป็นจริงแล้วฉันก็ไม่ได้สนใจใครเหมือนกัน ใครจะว่าอย่างไรก็ชั่ง แต่อย่ามายุ่งกับฉับก็พอ เพราะว่าฉันก็จะไม่ยอมเหมือนกัน ช่วงเวลาม. 1– 3 เป็นช่วงเวลาที่มีความสุขมากเพราะได้ใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่า แต่ก็ไม่เคยจะทำให้แม่เสียใจหรือผิดหวังเลย เพราะการเรียนของฉันก็พอใช้ได้ จนจบม. 3 แม่เลยบอกว่าอยากให้ฉันไปเรียนที่นาฏศิลปกาฬสินธุ์ ซึ่งที่นั่นเป็นโรงเรียนประจำ ตอนแรกก็ร้องไห้ไม่อยากไปแต่แม่บอกว่าโตแล้วต้องห่างบ้านได้แล้ว จะได้เข้มแข็ง ฉันเลยยอมไปเรียนที่นั่น วันแรกที่เข้าไปเรียนจะให้นอนที่นั่นเลยเพราะว่าจะได้ชิน และก็จะมีการเข้าค่ายปรับพื้นฐานแล้วก็มีการรับน้องโดยอาจารย์และรุ่นพี่ ตอนแรกฉันร้องไห้ทุกวันเลยเพราะว่าคิดถึงบ้านมากไม่อยากอยู่เลย โทรไปร้องไห้กับแม่ทุกวันเลย แต่ก็ต้องอยู่ให้ได้ พอเข้าค่ายรับน้องเสร็จ อาจารย์ก็ให้มาเข้าหอพักที่ในวิทยาลัยนาฏศิลปเลยเป็นห้องนอนแบบหญิงรวม มีตู้กับเตียงนอนให้แค่นั้น ส่วนห้องน้ำเป็นแบบรวมไม่มีห้องน้ำส่วนตัว ตอนนั้นปรับตัวไม่ได้เลย ที่วิทยาลัยเค้าให้นักเรียนทุกคนตื่นมาตอนตี5 เพื่อออกกำลังกายและก็ทำภารกิจส่วนตัวให้เสร็จก่อน 7 โมงเช้า ช่วงแรกฉันตื่นช้ากว่า
เพื่อนๆ จนอาจารย์ต้องเรียกไปตักเตือน พอเริ่มเข้าชั่วโมงเรียนฉันก็ไม่มีกระจิตกระใจเรียนเลยเพราะเอาแต่คิดถึงบ้านอย่างเดียว ร้องไห้ตั้งแต่คาบแรกจนเลิกเรียนเลย จนมีอาจารย์ท่านหนึ่งเห็นว่าฉันเอาแต่ร้องไห้จึงเดินเข้ามาพูดกับดิฉันว่า พ่อแม่ส่งมาเรียนหรือส่งมาร้องไห้ ฉันจึงตอบอาจารย์ไปว่าส่งมาเรียนคะ อาจารย์จึงบอกว่างั้นก็เลิกร้องไห้ได้แล้ว ตั้งแต่นั้นมาดิฉันก็ไม่ร้องไห้อีก แต่การใช้ชีวิตในหอพักหญิงเป็นครั้งแรกในชีวิตทำให้ฉันลำบากมาก เพราะฉันแพ้น้ำในหอพักอย่างรุนแรง ตัวเป็นผื่นแดงไปหมดทั้งตัว อยู่ในหอพักในวิทยาลัยได้แค่เทอมเดียวก็ย้ายออกมาอยู่หอนอกแต่หอนอกก็เป็นของอาจารย์ในวิทยาลัยอยู่ดี แต่ก็ดีหน่อยที่เป็นห้องส่วนตัวของใครของมัน พอเริ่มปรับตัวได้ก็เริ่มเรียนซึ่งการเรียนของฉันเริ่มว่าหนักมากเพราะฉันไม่เคยรู้จักและเล่นดนตรีไทยเป็นเลย ต้องหัดตั้งแต่พื้นฐานเลย การเรียนดนตรีไทยของฉันเป็นการเรียนแบบตัวต่อตัวกับอาจารย์เพียงสองคนเท่านั้น แต่อาจารย์ที่สอนฉันก็ค่อนข้างที่จะใจดีมาก อาจเป็นเพราะอาจารย์ก็ได้ทำให้ฉันได้อะไรหลายอย่างมากกว่าในห้องเรียนอาจารย์จะสอนดนตรีไทยทุกอย่างที่ฉันอยากเรียน อาจารย์คนนั้นฉันจะเรียกสั้นๆว่าครูหล้า ครูหล้าสอนฉันจนฉันได้ออกงานของวิทยาลัย สอนตั้งแต่เริ่มจนฉันเรียนจบ ครูหล้าอายุมากกว่าฉันมาก แต่ครูหล้าก็พยายามเป็นทุกอย่างให้ฉัน ครูหล้าเป็นครูที่ดีเข้าใจเด็ก เป็นที่ปรึกษาที่ดี ฉันจึงรักครูหล้ามาก พอฉันมีเพื่อนมากขึ้นก็มีคนมีจีบบ้าง แต่มีคนนึงที่อดทนกับฉันมากๆเพราะเค้าจะคอยมาร้องเพลงจีบฉัน แต่ตอนนั้นฉันเกลียดเค้ามากเพราะว่าเค้าตามตื้อมาก แต่สุดท้ายฉันก็แพ้ใจตัวเองจนได้ เพราะความจริงใจเพราะความอดทน ฉันกับแฟนคบกันมาจนจบปวช.3 แต่ก็พอเข้ามหาวิทยาลัยต่างคนก็ต้องต่างแยกย้ายกันไปเรียน ฉันตั้งใจจะมาเข้ามาเข้าที่มหาวิทยาลัยมหาสารคามเลย แต่แม่ของฉันอยากให้ฉันไปเรียนในกรมศิลปากรเพราะตรงกับสายที่เรียนมาตอนมอปลาย ชื่อ นางสาวดั่งฤทัย วรรัตน์ 50010510609 ปกติแต่ฉันก็ไม่ยอมไปเพราะอยากเรียนที่นี่เพราะพี่สาวของฉันก็จบที่นี่เหมือนกัน ก็ทะเลาะกับแม่รุนแรงพอสมควร แต่สุดท้ายแม่ก็ต้องยอมจนได้ ส่วนแฟนของดิฉันได้โควตานักร้อง จึงได้ไปเรียนที่มหาวิทยาลัยนเรศวร ที่จังหวัดพิษณุโลก แต่เราก็ยังติดต่อกันมาเรื่อยๆจนถึงปัจจุบัน จนทุกวันนี้เข้าใจกันมากกว่าคำว่าแฟน กลายเป็นคนในครอบครัวไปแล้ว พอเข้ามหาวิทยาลัยมหาสารคามฉันก็เลือกคณะวิทยาการสารสนเทศเพราะคิดว่าตอนนั้นชอบที่สุด แต่พอเรียนไปเรียนมามันไม่ใช่อย่างที่คิดไว้ แล้วไม่ได้ชอบเหมือน
ตอนแรก จึงเริ่มหาคณะและเอกที่ตัวเองชอบมาที่สุด ก็เลยเลือกศึกษาศาสตร์ เอกจิตวิทยา เพราะคิดว่าชอบที่สุดแล้ว พอได้มาเรียนก็คิดว่ามาถูกทางแล้ว ตอนปี 1 ฉันได้อยู่หอพักกับเพื่อนที่มาจากโรงเรียนเดียวกัน พอเริ่มใช้ชีวิตในมหาวิทยาลัยก็คิดว่าเป็นชีวิตที่อิสระมากๆ แต่ต้องมีความรับผิดชอบอย่างสูง ฉันก็เริ่มไปเที่ยวบ้าง แต่ไม่ค่อยบ่อย ชีวิตในมหาวิทยาลัย สอนให้ฉันรู้อะไรหลายๆอย่างเกี่ยวกับการเรียน การใช้ชีวิต การคบเพื่อน การรู้จักคบคนมากขึ้น ทำให้ฉันเข้มแข็งเพราะฉันต้องทำอะไรด้วยตัวของตัวเองทั้งหมด ไม่มีใครมาบอกให้ทำได้ เพราะเป็นชีวิตของการเริ่มเข้าสู่วัยผู้ใหญ่แล้ว ตอนปี 1 รู้สึกว่ามีความสุขมากเพราะเป็นเวลาที่ได้รู้จักกับเพื่อนใหม่ สังคมใหม่ แต่ช่วงนั้นกิจกรรมของมหาวิทยาลัย และของคณะเยอะมาก จนทำให้การเอาใจใส่การเรียนน้อยลง เลยต้องเริ่มหันกลับมาใส่ใจในการเรียนมากขึ้น ตอนปี 1ได้รู้กับเพื่อนตั้งแต่วันแรกที่เขามา แล้วก็สนิทกันจนถึงทุกวันนี้ ฉันคิดว่าแม้ในมหาวิทยาลัยจะมีคนมากมายแต่การที่เราจะมีเพื่อนที่เข้าใจเรา อยู่ข้างๆเรานั้นมีน้อยมาก แต่ฉันก็โชคดีที่มีเพื่อนแบบนั้น ฉันเป็นคนไม่ค่อยพูดกับคนแปลกหน้าเท่าไหร่ คนอื่นที่มองจึงว่าฉันหยิ่งบ้าง แต่ฉันก็ไม่ได้สนใจใครเพราะคนเหล่านั้นก็ไม่ได้ทำให้ชีวิตฉันดีขึ้น ฉันจึงมีเพื่อนไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่ แต่เพื่อนที่คบกันจึงเป็นเพื่อนที่สนิทจริงๆ พอขึ้นปีสองมาฉันเริ่มมาดำเนินการเรื่องย้ายคณะ เพราะคิดว่าอยากย้ายให้เร็วที่สุด จะได้เรียนไม่ช้ากว่าเพื่อนๆเกินไป แต่ฉันย้ายพึ่งย้ายเอกได้ตอนปี3 เทอมหนึ่ง ฉันจึงคิดว่าจะเริ่มขยันให้มากขึ้นเก็บหน่วยกิจให้มากขึ้น จนได้ไม่จบช้าไป เพราะในบ้านเหลือฉฮันเป็นความหวังคนสุดท้าย เพราะพี่สาวก็จบมาแล้วก็ได้ทำงานเป็นพนักงานธนาคารที่จังหวัดภูเก็ต แม่จึงตั้งความหวังว่าอยากให้ฉันจบมาเป็นข้าราชการ ส่วนตัวฉันก็อยากเป็นคุณครูอยู่แล้ว ฉันเคยวาดฝันไว้ว่าจบมาอยากทำงานเป็นครูที่ภาคเหนือ เพราะตั้งแต่เด็กพ่อและแม่จะพาฉันและพี่สาวไปเที่ยวช่วงปิดเทอมที่ภาคเหนือเสมอ ฉันจึงชอบภาคเหนือมาตั้งแต่เด็กๆ จึงคิดว่าถ้าได้เป็นครูก็อยากไปสอนในภาคเหนือ และช่วงวันหยุดเทศกาลค่อยจะกลับมาเยื่ยมญาติๆที่บ้านเกิด ถึงตอนนี้พ่อกับแม่ฉันกลับมาคุยกันแล้ว ถึงแม้ว่าจะไม่ได้กลับมาใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันก็ตามแต่ฉันก็ดีใจที่ได้เห็นพ่อกับแม่คุยกับแบบมีความสุขมากกว่าแต่ก่อนที่มีแต่ทะเลาะกัน ตอนนั้ทั้งแม่และพ่อก็ต่างเป็นโสด ไม่ได้มีใคร พ่อบอกฉันว่าจะใช้ชีวิตที่เหลือที่ขาดหายไปกับลูกๆให้มากที่สุด ส่วนแม่นั้นก็ไม่ต้องเป็นห่วงเพราะว่า เราสามคนแม่ลูกอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว และฉันก็คิดว่าแม่กับฉันคงขาดกันไม่ได้เพราะอาทิตย์ไหนที่ฉันไม่กลับบ้าน แม่จะโทรมาตั้งแต่ 6 โมงเช้าเพื่อที่จะถามว่าอาทิตย์นี้ไม่กลับบ้านหรอลูก แต่ถ้าแม่คิดว่าฉันกลับบ้านบ่อยแม่ก็จะบอกว่ากลับมาทำไมบ่อย แต่ถ้าไม่กลับมาโทรมาถามอยู่นั่นแหละว่าทำไมไม่กลับบ้าน ฉันจึงไม่เข้าใจแม่เลยว่าตกลงแม่อยากให้กลับหรืเอไม่อยากให้กับ พูดไปแล้วก็ขำแม่เหมือนกันคะ ตอนนั้นแม่ยังทำงานอยู่เลย ก็เคยถามแม่เหมือนกันว่าทำไมแม่ยังทำงานก็ในเมื่อพี่สาวของฉันก็มีเงินเดือนแล้ว แต่แม่ก็บอกฉันว่ายังเป็นห่วงฉันอยู่ไม่อยากให้ลูกลำบาก ฉันคิดเสมอว่าคนเราเมื่อมีแฟนมักให้ความสำคัญกับพ่อแม่น้อยลง แต่เมื่อแฟนทิ้งก็มักมานั่งเสียใจฟูมฟาย บางคนก็ฆ่าตัวตาย แต่ทำไมไม่เคยคิดว่าคนที่รักเราที่สุด และไม่เคยทอดทิ้งเราเลยนั่นก็คือพ่อแม่ แต่ทำไมเราจึงให้ความสำคัญกับคนอื่นๆมากกว่าพ่อแม่ ด้วยเหตุนี้เองฉันจึงชอบกลับบ้านทุกอาทิตย์เพราะคิดถึงบ้าน คิดถึงแม่ ไม่อยากให้แม่เหงาถ้าอาทิตย์ไหนที่ฉันไม่ได้กลับบ้านฉันจะบ่นจนเพื่อนๆรำคาญ บ่นว่าอยากกลับบ้าน ฉันจึงคิดว่าฉันเป็นคนที่โชคดีที่มีความครอบครัวรักฉัน มีแม่ที่ทำทุกๆอย่างเพื่อฉันเสมอ ฉันจึงไม่ค่อยกล้าที่จะทำอะไรให้แม่และครอบครัวเสียใจ ฉันต้องเรียนให้จบให้ได้ แล้วต้องได้ทำงานงานเป็นข้าราชการ หรืเป็นครูให้ได้ เพราะฉันคือความหวังของครอบครัว แม้ว่าตอนนี้ฉันยังเรียนอยู่ปี 3 ฉันก็จะพยายามให้มากที่สุด และตอนนี้ฉันก็มีวคามสุขในการเรียน และชีวิตครอบครัวแล้ว คติประจำใจของฉันคือ ท้อได้แต่ห้ามถอย ชื่อ นางสาวดั่งฤทัย วรรัตน์ 50010510609 ปกติ
ประวัติส่วนตัว ผมมีนามว่า นายภัทรพงษ์ รัตนวงษา ชื่อเล่น แบงค์ เกิดเมื่อ วันที่ ภ เดือน เมษายน พ.ศ. 2533 วันพุธ ที่อยู่ บ้านเลขที่ 45 หมู่ที่ 11 บ้านเขื่อน ต.เขื่อน อ.โกสุมพิสัย จ.มหาสารคาม 44140 บิดา ชื่อ นายชัยศิลป์ รัตนวงษา อาชีพรับราชการตำรวจ มารดา ชื่อนางอุดร รัตนวงษา อาชีพรับราชการครู ผมมีน้องสาวหนึ่งคนชื่อ นางสาวภัสราภรณ์ รัตนวงษา อายุ 16 ปี ศึกษาอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนโกสุมวิทยาสรรค์ อ.โกสุมพิสัย จ.มหาสารคาม ตอนเด็กแม่เล่าให้ฟังว่าคลอดผมออกมาตัวอ้วนมาก จนแม่ได้รับคุณแม่ดีเด่น พอคลานได้ผมเป็นเด็กที่ไม่ซน เวลามีคนอุ้มไปไหนผมก็จะนั่งนิ่งๆ บ้างครั้งหลับคามือคนอุ้ม คนแก่แถวบ้างจึงชอบอุ้มผมไปเลี้ยงที่บ้านเพราะผมเป็นเด็กที่โดนอุ้มแล้วไม่ดิ้นแรงและไม่ซน แล้วมีครั้งหนึ่งพี่สาวบ้านตรงข้ามมาอุ้มผมไปเล่นที่บ้านของพี่แล้วอุ้มผมไปแถวๆ หน้าบ้าน ผมมองไปเห็นแม่ผมเลยดิ้นจนหลุดจากมือพี่ตกลงไปในร่องน้ำหน้าบ้าน ผมร้องไห้ไม่หยุดเกือบทั้งวันขาผมก็บวมทั้งสองข้าง แม่บอกว่าแม่ตกใจมากที่เห็นขาผมบวมทั้งสองข้างแม่กับยายเลยพาไปนวดขากับคนแก่ในหมู่บ้าน แต่ก็ไม่หายยิ่งบวมกว่าเดิมอีก ยายบอกว่าไม่เป็นไรหรอกมั้งไปต้องไปหาหมอหรอก หลังจากวันนั้นผ่านไปได้สามวันขาผมก็หายบวม พออายุถึงเวลาไปโรงเรียนเด็กเล็กผมไปโรงเรียนครั้งแรกที่ศูนย์เด็กเล็กบ้านเขื่อน จนอายุถึงเกณฑ์ที่ต้องเข้าเรียนในชั้นอนุบาลผมเข้าเรียนที่โรงเรียนจรวิทยาคม โรงเรียนจรหากจากบ้านผมประมาณ 7 กิโลเมตร ถือว่าไม่ไกล ผมต้องไปกลับทุกวันกับแม่เพราะแม่สอนอยู่โรงเรียนอนุบาลจรด้วยตอนนั้น ผมกับแม่เดินทางไปโรงเรียนโดยรถจักรยานยนต์ทุกวัน เวลาหน้าหนาวขี่รถไปหนาวมาก แต่ก็สนุกเพราะถึงเวลาเลิกเรียนแม่จะได้ไปส่งเด็กนักเรียนถึงบ้านโดยรถรับส่งนักเรียนของทางโรงเรียนจรวิทยาคมผมก็จะไปด้วยเกือบทุกครั้ง เด็กบ้างคนบ้านอยู่ไกลบ้างคนบ้านอยู่ใกล้ผมก็ถือว่าเป็นการไปขี่รถเที่ยวทุกวัน พ่อแม่เด็กบ้างคนก็เอาของมาฝากแม่ผม เช่น ของกินประจำถิ่นของอาหารแปลกก็มี พอส่งเด็กกลับหมดรถรับส่งก็จะมาส่งแม่กับผมที่โรงเรียนเหมือนเดิม ผมกับแม่จะต้องขับรถกับบ้านตอนเย็น ๆ เกือบทุกวัน พอถึงวันหยุดเป็นเวลาที่มีความสุขมากเพราะไม่ได้ไปโรงเรียน พ่อกับแม่และญาติๆ จะพากันไปกินข้าวที่นาของผม เวลาทำกับข้าวพ่อก็จะพาผมกับหลานๆ ไปตกปลาที่บ่อน้ำของพวกเรามาให้แม่กับยายทำกับข้าว ผมกับหลานๆ ชอบมาเวลาไปตกปลามันสนุกที่มีการแข่งกันระหว่างเด็กๆ ว่าใครจะได้ปลาก่อนกันและมากกว่ากัน ส่วนมากพวกผมยังไม่ได้สักตัวพ่อก็ได้ปลาจนพอที่จะทำกับข้าวมื้อนี้แล้ว ช่วงที่รอแม่กับยายทำกับข้าวพวกผมก็จะไปวิ่งเล่นวิ่งจับตั๊กแตนที่ทุ่งนา ตั๊กแตนตัวใหญ่มันจะบินสูงพวกผมก็จะพากันวิ่งตามแล้วจับมันมายางไฟกินอร่อย แต่บ้างครั้งก็จะไปจับปูนามายางไฟกินเหมือนกัน ตอนผมเข้าชั้นอนุบาลผมเป็นคนผอมมากกินอะไรก็ไม่อ้วนเหมือนคนอื่น พอถึงเวลาทานข้าวพ่อก็จะมาเรียกพวกผมไปทานข้าวที่เถียงนา ทานข้าวเสร็จพวกผู้ใหญ่ก็จะพากับจับกลุ่มพูดคุยบ้างคนก็นอนหลับ แต่พวกผมจะไปวิ่งเล่นที่กลางทุ่งนาเหมือนเดิมไม่มีเหนื่อย ตกเย็นพ่อกับแม่ก็จะพากลับบ้านโดยรถอีแต๋น เด็กๆก็จะวิ่งมาขึ้นรถคันเดียวกันหมด ถึงผมก็จะไปวิ่งเล่นกับเด็กน้อยแถวบ้านอีกจนดึกแม่ก็จะออกมาเรียนผมกลับ ไปอาบน้ำแต่งตัวแล้วมาทานข้าวเย็นกันที่หน้าบ้านกับญาติพี่น้องบ้านข้างๆ กัน วัยถึงเกณฑ์เข้าประถมศึกษาผมเข้าชั้นประถมศึกษาที่โรงเรียนบ้านเขื่อนศึกษาคาร ชั้นประถมศึกษาที่ 1 มีสองห้อง ผมได้อยู่ห้องสอง อาคารที่เรียนเป็นอาคารไม้สีฟ้าชั้นเดียวแต่ยกสูงขึ้น ผมไปเรียนชั้นประถมครั้งวันแรกผมร้องไห้อยากกลับบ้านเพระมองไปทางไหนก็มีแต่เด็กที่โตกว่าเราและไม่มีแม่มาโรงเรียนด้วยเหมือนที่เคย แต่ไปนานๆ เข้าผมก็ชินเพราะมีเพื่อนใหม่หลายคนทั้งเพื่อนใหม่ที่ต่างหมู่บ้านทั้งเพื่อนใหม่ที่อยู่ในหมู่บ้านเดียวกันกับผม เวลาเดินทางไปโรงเรียนผมจะให้แม่ขับไปส่งก่อนทุกเช้าเพราะผมขี่รถจักรยานไม่เป็น บ้างครั้งแม่ไม่ว่างน้าก็จะไปส่งผมแทน พอถึงโรงเรียนผมจะเข้ากระเป๋าไปไว้ที่ห้องเพื่อจองโต๊ะแล้วไปหาเพื่อนๆ รอเข้าแถวหน้าเสาธงตอนเช้า พอเลิกแถวคุณครูก็จะพาเดินเข้าห้องเรียนเป็นแถวยาวเข้าเรียนวิชาแรกทั้งเช้าจนถึงเที่ยง พักเที่ยงผมก็จะไปทานข้าวที่บ้านโดยน้าจะขับรถมอเตอร์ไซต์มารับไปทานข้าวที่บ้านของน้าบ้างก็บ้านของผมเพราะน้าจะทำกับข้าวไว้ให้ผมทานทุกเที่ยงของแต่ละวัน ทานข้าวเที่ยงเสร็จน้าก็จะไปส่งผมที่โรงเรียนเหมือนเดิมถึงโรงเรียนผมจะวิ่งไปหาเพื่อนๆ เพื่อเข้าเรียนวิชาต่อไปตอนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ผมได้เรียนสองวิชาคือวิชาคณิต และวิชาภาษาไทย คุณครูจะพาเขียนตามรอยปะ ก.-ฮ. ทุกวัน และคัดตามรอยปะเป็นคำสั้นๆ
พอถึงเวลาเลิกเรียนผมก็จะไปนั่งรอน้ามารับที่หน้าอาคารเรียนที่ผมเรียน แต่ก่อนกลับบ้านผมจะขอให้น้าแวะซื้อขนมทานก่อนจะกลับบ้านเกือบทุกวัน มาถึงบ้านผมก็จะเข้ากระเป๋าไปไว้ในบ้านแล้วรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วรีบวิ่งออกไปเล่นกับเพื่อนๆ แถวบ้าน พอผมเรียนอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่สามผมก็ได้ย้ายไปเข้าโรงเรียนศรีโกสุมวิทยามิตรภาพที่209 ในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ผมไป รร.ศรีโกสุมวันแรกผมร้องไห้หาแม่เพราะผมกลัวคนเยอะ รร. ศรีโกสุมเป็น รร. ประจำจังหวัดเด็กที่มาเรียนเลยเยอะแล้วไม่รู้จัก มาจากต่างบ้านต่างถิ่นผมก็เลยกลัว แต่นานๆไปผมก็ชินและเริ่มมีเพื่อนใหม่ทำให้ไม่กลัว มีแต่สนุกกับการวิ่งเล่นกับเพื่อนๆ มากกว่าครับ ผมเดินทางจากบ้านไปเรียนที่ รร. ศรีโกสุม โดยรถรับส่งทุกวัน ต้องตื่นแต่เช้าขึ้นเพื่อไปรอรถรับส่งที่หน้าบ้านญาติเพราะบ้านผมอยู่นอกบ้านเป็นหลังสุดท้ายของซอยครับ ผมจะขึ้นรถรับส่งประมาณเจ็ดโมงตรงไปถึง รร. ก็ประมาณ เจ็ดโมงสี่สิบถึงโรงเรียนรีบวิ่งเอากระเป๋าไปเก็บที่โต๊ะในห้องเรียน แล้วลงมาเข้าแถวที่หน้าเสาธรในเวลาสองโมงตรง พอเข้าแถวเสร็จก็เข้าเรียนตามปกติ พักเที่ยงผมจะไปทานข้าวกับเพื่อนที่โรงอาหารของโรงเรียนทุกวัน เลิกเรียนก็ไปรอรถรับส่งที่สนามเด็กเล่นกับเพื่อนๆ บ้านเดียวกันเพื่อรอรถรับส่ง ประมาณสี่โมงเย็นรถรับส่งก็มารับที่ข้างสนามเด็กเล่น ผมก็จะรีบวิ่งไปขึ้นรถรับส่งเพื่อจองที่นั่งที่นอกที่สุดเพื่อจะได้รับลมเย็นและเห็นวิวข้างทางตอนเดินทางกลับเพราะบ้านผมห่างจากโรงเรียนสิบสามกิโลเมตร ถึงบ้านผมก็จะออกไปหาพี่แถวบ้านเพื่อไปใส่(ทำกับดัก)หนูนาที่ทุ่งนา ใส่เสร็จก็ประมาณหกโมงเย็นพอดีผมก็จะรีบกลับมาทานข้าวเพื่อรอออกไปยามหนูนา(ตรวจกับดัก) พอเวลาหนังหนึ่งทุ่มจบพวกพี่แถวบ้านก็จะมาเจอกันที่หน้าบ้านผมจนครบแล้วพากันอออกไปยามหนูนาที่ตัวเองใส่ไว้ แต่ผมจะไปกับพี่โน้ตเพราะไปใส่ด้วยกันและสนิจกันมากเวลายามเสร็จพวกผมจะไม่รีบกลับบ้านแต่จะพากันวิ่งเล่นตามภาษาเด็กๆ วิ่งไล่ตีกันวิ่งไล่จับหนูนาบ้างจนเหนื่อยจึงพากันกับบ้านไปนอน พอถึงตอนเช้าก็ตื่นแต่เช้าประมาณตีห้าเพื่อออกไปยามหนูนาตอนเช้าแล้วเก็บกับดักกลับมาด้วย เก็บกับดักเสร็จจะรีบกลับมาอาบน้ำทานข้าวแล้วออกไปรอรถรับส่งที่หน้าบ้านญาติตามเคย ไปโรงเรียนเรียนตามปกติ แต่วันไหนเป็นวันหยุดผมก็จะไปใส่หนูนากับพวกพี่มีกับดักที่เยอะขึ้นแล้วพอไปเก็บกับดักตอนเช้าก็จะพากันกลับไปอาบน้ำที่บ้านแล้วรีบออกมาเจอกันที่บ้านพี่โน้ตเพื่อนำหนูนาที่จับได้มาทำอาหารทานกับ ทำอาหารก็เช่น คั้วหนูนาใส่ใบกระเพรา หมกหนูนาใส่หยวกกล้วย ย่างหนูนา ผัดเผ็ดหนูนา เป็นต้น อร่อยมากๆ กินเสร็จก็จะพากันนอนดูทีวีที่บ้านพี่โน้ตจนถึงเย็นก็จะพากันออกไปใส่หนูนาอีกครั้งที่ทุ่งนาที่ไกลออกไปเรื่อยๆ เพราะใส่ที่เก่าก็จะไม่ได้เพราะหนูเริ่มหมด
ถึงชั้นมัธยมศึกษาผมได้เข้าเรียนที่โรงเรียนโกสุมวิทยาสรรค์ ตั้งแต่มัธยมหนึ่งจนถึงมัธยมปีที่หกที่โรงเรียนโกสุมวิทยาสรรค์ ขึ้นมัธยมปีที่หนึ่งผมอ้วนมากน้ำหนักอยู่ที่หกสิบกิโลกรัม อ้วนมากและดำสุดๆ พอดีในช่วงนั้นหนังเรื่องแฟนฉันดังเพื่อนๆ เลยล้อผมว่า อ้วนดำๆ ผมก็จะวิ่งไล่ตีคนที่ล้อจนร้องไห้เพราะผมตัวใหญ่กว่า จนผมมีฉายาใหม่ว่าเสบอม พอผมจบชั้นมัธยมต้นช่วงปิดภาคเรียนผมก็มีความตั้งใจอย่างยิ่งว่าจะลดหุ่น เพราะผมไม่อยากโดนล้อเหมือนตอนมัธยมต้นอีกแล้ว ผมเริ่มลดความอ้วนโดนการไม่ทานอาหารเย็นทานแต่อาหารเช้าและอาหารเที่ยง แต่อาหารเช้ากับอาหารเที่ยงเวลาทานก็ทานครั้งละน้อยพออิ่ม เป็นเวลาหนึ่งเดือนเต็ม ๆ คือเดือนมีนาคมที่ผมลดหุ่น พอถึงเดือนเมษายนหุ่นผมก็เริ่มลดเริ่มผอม ขึ้นชั้นมัธยมปลายผมเข้าศึกษาที่โรงเรียนโกสุมวิทยาสรรค์ สอบเข้าสายวิทย์คณิตได้เรียนห้องหกตอนมัธยมปีที่สี่ ขึ้นมัธยมปีที่ห้าห้องสายศิลป์ภาษาได้เริ่มลาออกที่ละคนบ้างคนก็โดนไล่ออกเพราะสาเหตุต่างๆ นานา เช่น ไม่เข้าเรียน ตีกับบ้าง เล่นการพนันที่โรงเรียนบ้าง มีคู่ครองบ้าง เป็นต้น ขึ้นมัธยมปีที่หกห้องสายศิลป์ภาษาก็ถูกรวมสองห้องเข้าเป็นห้องเดียวกันเพราะนักเรียนห้องหนึ่งน้อยเกินไปที่จะเรียน ห้องผมเลยถูกลดไปเป็นห้องห้าตอนมัธยมปีที่หก เรียนถึงภาคเรียนที่สองผมก็เริ่มไม่เข้าเรียนพากันไปเที่ยงบ้าง ไปนั่งเล่นสวนสาถารณที่ข้างๆโรงเรียน ไปนั่งเล่นที่ริมบึงต่าง ๆ นั่งทานขนมกับเพื่อนคุยกันเรื่องต่างๆ นานา ที่ผ่านมาในชีวิตของแต่ละคนว่าสนุกอย่างไร พอถึงเวลาเลิกเรียนก็ไปขึ้นรถรับส่งกับบ้านตามปกติ จนจบชั้นมัธยมปีที่หก วันปฐมนิเทศผมก็ไม่เข้าพากันชวนเพื่อนๆ กลุ่มเดิมออกไปนั่งเล่นที่ริมบึงบอลที่เดิม วันรับวุฒิบัตรผมก็ไม่ไปรับ เพราะพวกผมไปนั่งเล่นที่เดิมที่ริมบึงบอล พากันนั่งทานขนมแล้วนอนเล่นจนถึงเลิกเรียนก็ไปขึ้นรถรับส่งกลับบ้านเหมือนเช่นวันปกติ พอมาถึงบ้านพ่อกับแม่ถามหาวุฒิบัตรผมก็ตอบว่าผมยังไม่ได้วันต่อมาแม่ก็พาผมไปขอใบวุฒิบัตรเองที่ห้องวิชาการ ตอนแรกแม่ด่าผมเพราะคิดว่าที่ผมไม่ได้ใบวุฒิบัตรเพราะผมไม่ผ่านบ้างติดศูนย์บ้างไม่เข้าเรียนบ้าง แต่พอไปดูในใบวุฒิบัตรผม ผมไม่ติดอะไรสักอย่างแต่ที่ผมไมไปรับเพราะวันซ้อมผมไม่ได้ไปซ้อมและเพื่อนๆ ผมก็ไม่มีใครไปรับเลยผมเลยไปตามเพื่อนๆ สุดท้ายผมก็จบชั้นมัธยมปีที่หกสักที ได้เข้ามหาลัยสักที ผมไปติวทุกที่เกี่ยวกับติวเข้ามหาวิทยาลัย ผมไปสอบมหาวิทยาลัยขอนแก่น เพราะพ่อกับแม่บอกให้รองไปดู แต่มหาวิทยาลัยที่ผมอยากเข้าศึกษามากที่สุดคือมหาวิทยาลัยมหาสารคาม คณะศึกษาศาสตร์ สุดท้ายผมก็ได้เข้าเรียนมหาวิทยาลัยมหาสารคามที่ผมตั้งไว้ในคณะศึกษาศาสตร์สาขาวิชาจิตวิทยา ตอนนี้ผมศึกษาในระดับปริญญาตรีปีหนึ่ง ใช้ชีวิตอยู่ที่มหาวิทยาลัยบ้านเกิดของผมเอง พักอยู่หอพักนอนที่เขตพื้นที่ในเมืองอย่างมีความสุขอาหารที่ชอบ กระเพราหมูกรอบ,ส้มตำผลไม้ที่ชอบทาน ทุเรียนสีที่ชอบ สีเหลือง,เขียว,แดงสัตว์เลี้ยงที่ชอบ สุนัขสถานที่ท่องเที่ยวที่อยากไป ทะเลอันดามัน,ภูเขาภาคเหนือวิชาที่ชอบ ภาษาไทยงานอดิเรก เล่นเน็ต,ดูหนัง,ฟังเพลงหมู่โลหิต โอตุ๊กตาที่ชอบ อุนตราแมนคติประจำใจ ทำพรุ่งนี้ให้ดีกว่าวันนี้
52010521017 ชาญณรงณ์ วงค์ธรรม เอก PYS วันเกิด หรือ คือ วันที่ถือว่าเป็นวันที่คน ๆ หนึ่งเกิดมาแล้วมีชีวิตอยู่บนโลกนี้เป็นวันแรก โดยเมื่อวันเกิดของคน ๆ หนึ่งเวียนมาครบรอบปี จะเรียกวันนั้นว่าเป็นวันคล้ายวันเกิด ในหลายวัฒนธรรมจะมีการฉลองวันเกิดในวันนั้น หนึ่งในรูปแบบการฉลองงานวันเกิดที่เป็นที่นิยมที่สุดคือการเป่าเทียนบนเค้กวันเกิด โดยที่บนเค้กวันเกิดจะมีการปักเทียน จากนั้นเพื่อนร่วมงานวันเกิดจะร้องเพลงวันเกิด เมื่อเพลงจบแล้วให้เจ้าของวันเกิดอธิษฐานสิ่งที่ตนหวังไว้แล้วเป่าเทียน จากนั้นก็จะมีการทานเค้ก หรือมีการมอบของขวัญ ผมนายชาญณรงค์ วงศ์ธรรมที่วันเกิดใกล้หมุนเวียนเข้าทุกที่ ผมเองเกิดวันที่ 31 มกราคม 2533 ผมเป็นลูกคนที่ 2 ของครอบครัว ผมมีพี่สาว 1 คับ ผมกับพี่สาวมีโอกาสที่ต้องอยู่กับครอบครอบ แค่ไม่กี่ปี เพราะพ่อแม่ต้องย้ายที่ทำงาน ต้องอยู่กับญาติ ที่เลี้ยงผมมาจนถึงทุกวัน แต่บางคนเค้าบอกว่าเป็นเด็กที่โชคดีมากที่เกิดมาเป็นแบบนี้ จริงที่มีความสุขกับสิ่งของที่ในตอนนั้นแต่เมื่อพอโตขึ้นทุกอย่างที่ว่ามีความสุขที่แท้จริงมันคืนอะไร ชีวิตผม ผมว่าเกือบมีแทบทุกอย่างแต่ไม่รู้เลยว่าสิ่งสำคัญที่สุดคือพ่อแม่ จนอายุ13 เข้าเรียนมัธยมชีวิตก็อะไรๆก็เปลี่ยนมากขึ้นตอนมัธยมต้นผมต้องอยู่คนเดียวเพราะพี่สาวย้ายที่เรียน พ่อแม่เลยชื้อบ้านให้ ต้องดูแลตัวเองมาตลอด 3ปีบ้างครั้งก็รู้สึกเหงาบ้างเป็นเรื่องธรรมดาถ้ามีปัญหาผมมักจะคุยกับเพื่อนสนิทเป็นคนแรก บางครั้งก็ชอบอยู่คนเดียวรู้สึกว่าอยู่คนเดียวทำให้ทุกอย่างดีขึ้นมีเรื่องราวมากมายที่ผ่านมาทุกครั้งที่คิดถึงมันก็เสียใจและ ดีใจ จนกระทั้งเรียนจบ ม. 3 แล้วก็ย้ายที่เรียนอีกครั้ง แล้วครั้งนี้อาจเป็นการเริ่มต้นใหม่สำหรับการปรับตัวเข้าสถานการศึกษาแห่งใหม่ การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ คือเปลี่ยนชีวิตผมทั้งชีวิตเมื่อเก้าแรกที่เดินเข้าเรียนที่โรงเรียนใหม่ผมรู้สึกว่าอ้างว้างและรู้สึกเหงา แต่พยายามที่จะหาเพื่อนแต่ไม่รู้ว่าความพยายามนั้นไม่มีประโยชน์อะไรเลย ผมก็มีรู้ว่าเป็นเพราะตัวผมเองหรือว่าอะไรปัญหาที่ผมที่ยังไม่สามารถแก้ไข้ได้ทุกวันนี้คือการคบเพื่อน แต่เมื่อวันเวลาผ่านไปทุกอย่างก็เริ่มลงตัว ทุกอย่างก็ดีขึ้นมาเรื่อยมาจนในเวลานั้นเองที่ผมไม่รู้ตัวเลยว่าทุกอย่างที่ผ่านมากลับมาทำร้ายตัวผมเอง ผมไม่รู้เลยว่ามันเริ่มเมื่อไหร่ ความสนุกกับการคบเพื่อนทำให้ผมต้อง เปลี่ยนไป คงเป็นเพราะตัวผมเองที่ไม่คิดที่เลือกคบเพื่อน ไม่รู้จักแยกแยะในเรื่องที่ถูกและผิด หลายสิ่งหลายอย่างที่เข้ามาในชีวิตทั้งดีและไม่ ผมทำให้แม่ต้องร้องไห้หลายครั้งต่อหลายครั้ง รู้ทั้งรู้ว่าที่ทำอยู่เป็นเรื่องที่ผิด การกระทำของผมที่ใครๆก็พยายามเตือน ทั้งเรื่องดื่มเหล้า บุหรี่ และอีกหลายเรื่อง แล้วมันก็ทำให้ทุกอย่างแย้ลงเรื่อยเช่นกัน ทั้งการเรียนการใช้เงินในแต่ละเดือน แต่บางทีผมก็รู้สึกว่าทุกอย่างมันสายไปแล้วที่เริ่มต้นใหม่ เวลาที่มีปัญหาหลายอย่าง ที่ผมไม่สามารถแก้ไขได้ มองไปทางไหนก็มืดมัวไปหมด และผมก็คิดว่าผมต้องอยู่เพื่ออะไร ทุกครั้งที่ผมคิดเรื่องแบบนี้คนที่ผมนึกถึงคนแรกคือแม่ เพราะเหตุการณ์แบบนี้เคยเกิดขึ้นกับตัวผมเอง และผมทำแบบนี้ลงไปมันก็ไม่ช่วยให้ปัญหาจบลง แต่กลับยิ่งเพิ่มปัญหามาขึ้น แต่ในวันนี้ผมเองเวลามีปัญหา ไม่รู้ว่าคนอื่นเป็นเหมือนผมหรือเปล่า ผมจะชอบอยู่คนเดียว ถึงแม้มันจะไม่ช่วยแก้ปัญหาก็ตาม ผมรู้สึกว่ามีความสุขและคิดอะไรได้หลายๆอย่าง
""""
ประวัติส่วนตัว นาย ปวริศ เชยคำดี นับตั้งแต่ที่ระบบสุริยะจักรวาลได้ถือกำเนิดหลังจากการระเบิดบิ๊กแบง และ มวลสารรวมตัวกันเป็นโลก พระผู้เป็นเจ้าได้ประทานมนุษย์อาดัม-อีฟ ให้กำเนิดสรรพชีวิตทั้งหลายในโลกอันสวยงามใบนี้ ไม่รู้ว่ากี่ร้อยล้านปีที่มีการเกิดขึ้นและสูญสลายของสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย จนกลายมาเป็นเผ่าผันมนุษย์ที่มีชีวิตอยู่ทุกวันนี้อย่างมากมาย ถึงแม้สิ่งที่ผมกล่าวมาจะไม่ค่อยถูกข้องอะไรมากมายนัก แต่ผมก็รู้สึกดีใจอย่างมากที่ผมได้เกิดมาเป็นมนุษย์ บนโลกอันพิสดารของระบบสุริยะจักวาลแห่งนี้…………. มาเข้าเรื่องกันดีกว่านะครับ ออกนอกเรื่องมาเยอะละ ย้อนอดีตไปประมาณ 18 ปีก่อน ที่ตัวของผมได้เกิดหมดผลบุญที่ได้สร้างไว้ พระอินทร์ท่านทรงได้ให้ตัวของกระผมได้ลงมาจุติยังโลกมนุษย์อีกครั้ง ซึ่งตรงกับวันขึ้น 12 ค่ำ เดือน 5 ปีมะแม แต่ถ้าตามปฏิทินของสากลโลก ก็ตรงกับวัน พุธ ที่ 27 เดือน มีนาคม 2534 พุทธศักราช 2534 โดยแม่ผู้ให้กำเนิด ชื่อว่า แม่สวย ส่วนพ่อบังเกิดเกล้า ชื่อ บรรจง และยั้งมีพี่สาวที่แย่งมาเกิดก่อนตัวผม 17 เดือน ชื่อ พี่แอน และเรื่องราวที่เหมือนกับนวนิยายน้ำเน่าในชีวิตของผมก็ได้กำเนิด เกิดขึ้น ครอบครัวของผมมีอยู่ด้วยกัน 4 คน ผมจะขอเล่าอุปนิสัยของสมาชิกในครอบครัวของผมในแต่ละคนก่อนนะครับ คนที่ 1 ^ แม่ ^ แม่ของผมเป็นผู้หญิงที่แกร่งที่สุดเท่าที่ผมได้เคยเห็นมา ไม่ใช้แค่ร่างกายของแม่เท่านั้นที่แกร่วนะครับ แต่เป็นจิตใจของแม่ต่างหากที่แกร่งดุจดังหินผา ทำหน้าที่เป็นทั้ง พ่อ และ แม่เป็นกุ๊กฝีมือยอดเยี่ยมที่สุดเท่าที่ผมเคยได้ชิมมา เป็นพนักงานทำความสะอาดดีเด่น และแม่ยังเป็นเหมือนเพื่อนที่รู้ใจของตัวผมเองไม่ว่าผมจะคุยเรื่องใดกับแม่ก็สนุกสนานและเข้าใจกันดี คนที่ 2 ^ พ่อ ^ ถึงแม้เราจะใช้ชีวิตอยู่รวมกันได้ไม่นานเท่าไรนัก แต่ตัวผมเองก็รู้สึกถึงความรักที่พ่อมีให้ เพราะพ่อของผมท่านเป็นคนใจเย็น ไม่ดุด่าว่ากล่าว แม้แต่จะเฆี่ยนตีก็ยังไม่เคย อาชีพของพ่อ คือ เป็นช่างตัดผมที่มีฝีมือยอดเยี่ยมที่สุดในอำเภอและร้านตัดผมของพ่อผมเป็นร้านที่เจ๋งที่สุดในอำเภอ แต่มีอย่างหนึ่งที่ทุกคนในครอบครัวไม่ชอบ คือ พ่อชอบเล่นการพนัน และพ่อชอบมีเรื่องชูสาวอยู่บ่อยๆ จนในวันหนึ่งแม่ของผมได้ทนพฤติกรรมของพ่อไม่ไหว จึงต้องพาผมและพี่สาวของผมย้ายบ้านหนีไปจากพ่อ ตอนนั้นตัวของผมมีอายุแค่เพียง 11 ปีเท่านั้น เหตุการณ์ในครั้งนั้นจึงทำให้ แม่ พี่สาว และตัวผมเองต้องร่วมฝ่าฟันอุปสรรค์ต่างๆนานๆนับประการ มันเป็นแรงผลักดันให้ตัวผมต้องเข็มแข็ง ซึ่งกิจกรรมในวัยเด็กบ้างอย่างต้องหาย เพราะ ทุกๆวันหลังเลิกเรียนตัวผมและพี่สาว ต้องรีบกลับจากโรงเรียนเพื่อมาช่วยแม่ขายอาหาร ซึ่ง
ร้านอาหารของเรานั้นขายอาหารตามสั่ง และเมนูที่สร้างชื่อเสียงให้ร้านของเราคือ ^ ผัดไทย ^ ซึ่งใครๆที่ได้กินต้องติดอกติดใจชื้อใส่กล่องกลับบ้านเกือบทุกราย ในช่วงเวลาขณะนั้นตัวของผมเองก็แอบมีความน้อยใจ ว่าทำไมผมนั้นต้องมาขายอาหารกับแม่ทุกๆเย็น โดยที่ไม่ได้ออกไปเที่ยวสนุกสนานเหมือนกับเพื่อนคนอื่นๆ ในบ้างครั้งมีเทศกาลหรืองานต่างๆยังไม่มีโอกาสได้ไป แต่มีครั้งหนึ่งผมแอบออกไปเที่ยวกับเพื่อน พอกลับมาถึงบ้านเห็นแม่กับพี่สาวทำงานอย่างเหน็ดเหนื่อย เหตุการณ์ในครั้งนั้นทำให้ตัวผมเกิดความระอายแก่ใจตัวเอง ผมจึงได้สัญญากับตัวเองว่าต้องไม่ทำแบบนี้อีก คนที่ 3 พี่สาวสุดที่รักของผม คือ ^ พี่แอน ^ ตั้งแต่เกิดมาผมไม่เคยเรียกแอนว่าพี่สักที อาจเป็นเพราะเราเกิดไม่ห่างกันมากนัก แต่ตัวผมเองมักทำตัวเป็นพี่ชายว่างกล้ามมากกว่า เพราะไม่ว่าจะออกไปไหนมาไหนผมต้องค่อยเป็นคนพาไปตลอด และมีเรื่องอะไรต้องให้คำปรึกษาแนะนำเราสองคนก็จะเล่าให้กันฟังตลอด และบ้างครั้งแม่จะชอบเล่าเรื่องราววีรกรรมสมัยเด็กๆให้ฟัง เช่น แอนจะชอบรังแกอาร์ท อาจจะเป็นเพราะนิสัยของเด็กที่ชอบอิจฉากัน พี่อิจฉาน้องที่พ่อแม่เอาใจมากกว่า แต่พอโตขึ้นมา แอน รักและเป็นห่วงอาร์ทมาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงานบ้านแอนจะทำให้ทุกอย่าง เช่น ชักผ้าให้ แม้แต่กางเกงในยังชักให้ ขึ้น ม ปลายจึงรู้สึกอายจึงหันมาชักผ้าเอง และถ้าเกิดทะเลาะกันขึ้นเมื่อไรแอนจะต้องโดนแม่ตีก่อนทุกครั้ง คิดย้อนกับไปครั้งใดก็ยังน่าขำชีวิตในวัยเด็กของตัวเอง แต่มันก็ทำให้ความสัมพันธ์ของเราเกิดความแน่นแฝนเป็นอย่างมาก และเมื่อเราเกิดความห่างกันเพราะต่างคนต่างต้องมีหน้าที่ต้องทำ คือ การไปศึกษาหาความรู้ มันก็ทำให้เรารู้ว่าความคิดถึงมันเป็นยังไง หลังจากเล่าประวัติความเป็นมาก่อนที่จะมาเป็น ^ อาร์ท ปวริศ เชยคำดี ^ ในทุกวันนี้จากข้างต้นอาจเป็นแค่เศษเสี้ยวหนึ่งของชีวิต แต่วีรกรรมมากมายที่ได้ทำ ถ้าจะให้ผมเล่าจริงๆคงจะหลายพันหน้า และ หลายวันเพื่อจะจบ งั้นผมก็ของเล่าประวัติย่อๆละกันนะครับ ภูมิลำเน่าบ้านเกิด เกิดที่ ต. พานพร้าว อ.ศรีชียงใหม่ จ.หนองคาย ส่วนบ้านเลขที่ของผม จำไม่ได้เพราะตัวผมเป็นคนที่ย้ายบ้านบ่อยมากๆ เพราะผมไม่มีบ้านเป็นของตัวเอง ด้านการศึกษาจบ โรงเรียนประถมศึกษาที่ โรงเรียนบ้านศรีเชียงใหม่ โรงเรียนมัทธยม โรงเรียนท่าบ่อ ซึ่งตัวของผมเป็นเด็จกิจกรรมชะส่วนใหญ่ ออกแนวทำนองเรียนไม่มาดนตรีไม่ขาด เวลาส่วนใหญ่ในโรงเรียนก็จะมีเล่นดนตรีและจีบสาวไปวันๆหาอะไรทำตามประสาของวัยรุ่นแต่สิ่งที่ผมทำก็ทำตามขอบเขตของสังคม และผมชอบศึกษาธรรมะ เรื่องราวลึกลับ จิตวิทยา ซึ่งตัวผมชอบมาก ดังนั้นผมจึงเลือกเรียนสาขาจิตวิทยา มหาวิทยาลัยมหาสารคามแห่งนี้ ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่ามหาลัยแห่งนี้คงจะทำให้ตัวของกระผมเองเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ และเป็นผู้ที่มัปัญญาเป็นอยู่เพื่อมหาชนนั้นเอง
ประวัติส่วนตัวชื่อ นางสาวกาญจนา สายกระสุนชื่อเล่น น้ำรหัสนิสิต 52010521011คณะศึกษาศาสตร์สาขา จิตวิทยาเกิดวัน พุธ ที่ 11 เดือน กรกฎาคม พ.ศ. 2533 ที่โรงพยาบาลสุรินทร์ อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์ 32180ที่อยู่บ้านเลขที่ 276 หมู่ 13 บ้านทวารไพร ตำบลเมืองลีง อำเภอจอมพระ จังหวัดสุรินทร์ 32180ด้านการศึกษา จบการศึกษาศูนย์เด็กก่อนเกณฑ์ จากวัดศรีโพธิ์ทอง จบชั้นอนุบาล 1 - ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 จากโรงเรียนบ้านทวารไพร จบชั้นประถมศึกษาปีที่ 4-6 จากโรงเรียนบ้านจอมพระ จบชั้นมัธยมต้นและมัธยมปลายจากโรงเรียนจอมพระประชาสรรค์ ปัจจุบันกำลังศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม คณะศึกษาศาสตร์ สาขา จิตวิทยาเบอร์โทร 085-4652360งานอดิเรก อ่านนิยาย ฟังเพลง ปลูกต้นไม้ดอกไม้อาหารที่ชอบ คะน้าหมูกรอบ ศิลปินที่ชื่นชอบ LABANOON นิสัยส่วนตัว เป็นคนร่าเริงแจ่มใส เข้ากับผู้อื่นได้ง่าย เป็นคนขี้เล่น (ไม่ใช่เล่นขี้นะคะ)คติประจำใจ ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น
ตั้งแต่ที่ฉันจำความได้ตอนที่ฉันยังเป็นเด็กฉันอยู่กับตายาย ตายายเป็นคนเลี้ยงดูฉันพ่อกับแม่ต้องไปหางานทำที่กรุงเทพเพราะที่บ้านค่อนข้างฐานะยากจนตากับยายก็ประกอบอาชีพทำนาฉันจำได้ว่าทุกเช้ายายก็จะตื่นมาหุงหาอาหารตั้งแต่เช้ามืดคนในสมัยนั้นจะออกไปทำนาตั้งแต่เช้ามืดพอยายเตรียมข้าวปลาอาหารเพื่อจะเอาไปนาเสร็จก็ต้องมาไล่ป้อนข้าวฉันกับน้องชายอีกเพราะช่วงนั้นฉันกับน้องซนมาก ยายก็จะเอาข้าวมาโรยเกลือนิดหน่อยแล้ก็เอามาปั้นเป็นก้อนๆให้กินพอป้อนเสร็จก็เรียมตัวที่จะไปทำนา ยายก็เตรียมหาบข้าวส่วนตาก็เตรียมเอาควายออกจากคอก ไม่นานพ่อกับแม่ก็กลับมาจากกรุงเทพซื้อเสื้อผ้าและขนมมาให้ฉันกับน้องมากมายแต่ฉันกับน้องชายดีใจมากและก็วิ่งเข้าไปกอดวันนั้นทั้งวันฉันกับน้องไม่ยอมห่างพ่อกับแม่เลยน้องชายของฉันอายุห่างจากฉัน 3 ปี น้องชายฉันดื้อมากชอบแกล้งฉันและก็ชอบแย่งของเล่นของฉัน จนวันหนึ่งฉันบอกพ่อกับแม่ว่าให้เอาน้องชายของฉันไปทิ้งในป่า ตอนนั้นเด็กมากประมาณ 3 ขวบ พ่อกับแม่จึงพาฉันไปเข้าเรียนที่ศูนย์ที่วัดศรีโพธิ์ทองเพราะอยู่ใกล้บ้านฉันสนุกมากเพราะมีเพื่อนๆมากมายคุณครูก็พาร้องเพลงพาเต้นตอนเที่ยงก็มีอาหารกลางวันเลี้ยงมีผลไม้มีขนมพอตอนบ่ายคุณครูก็จะให้นอนคุณครูก็จะเล่านิทานให้ฟังจนเด็กทุกคนหลับพอประมาณบ่าย 2โมง คุณครูก็จะปลุกให้ตื่นและก็พาไปอาบน้ำทาแป้งให้และก็แจกนมให้ดื่มและก็รอกลับบ้านหลังจากเรียนที่ศูนย์แล้วก็เข้าสู่ชั้นอนุบาล 1 ตอนแรกๆ ฉันยังปรับตัวไม่ได้ต้องให้แม่อยู่เป็นเพื่อนเพราะถ้าแม่กลับบ้านฉันก็จะกลับด้วยตอนนั้นฉันให้แม่มาอยู่กับฉันเกือบ 2 อาทิตย์จนทำให้แม่ไม่ได้การได้งานเลยแม่จึงหาวิธีโดยการที่นำเอาไม้เรียวไปด้วยวันนั้นแม่จะกลับบ้านฉันวิ่งตามแม่ก็เลยถือไม้เรียวเตรียมที่จะตีฉัน ฉันก็วิ่งออกห่างแม่พอแม่หันกลับฉันก็วิ่งมาตามทำอย่างนี้หลายครั้งจนแม่ทนไม่ได้แม่จึงไปบอกให้คุณครูจับฉันไว้และก็พาเข้าไปในห้องแล้วก็ล็อคประตูไว้ไม่ให้ออกได้ในนั้นมีเด็กมากมายต่างคนต่างร้องไห้รวมถึงฉันด้วยในห้องเต็มไปด้วยเสียงร้องไห้ทุกคนก็เป็นเหมือนฉันหมดไม่ใช่เป็นแต่ฉันคนเดียวต่างคนก็ต่างคิดถึงแม่ของตัวเองแต่พอนานๆเข้าก็ปรับตัวได้ทีนี้ก็อยากแต่จะไปโรงเรียนเพราะมีเพื่อนมากมายมีของเล่นเยอะแยะเยอะกว่าที่ศูนย์อีกหลังจากนั้นก็ขึ้นอนุบาล2 คุณครูเริ่มให้หัดเขียน ก-ฮ คัดตามเส้นประในหนังสือ เริ่มให้ท่องจำ และก็ทำกิจกรรมร้องรำทำเพลงต่างๆตามประสาเด็ก ต่อมาก็ขึ้น ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 คุณครูเริ่มให้เขียนชื่อของตัวเองและ
ให้วาดภาพระบายสีดิฉันสอบได้ที่ 1 ของห้องดีใจมากแล้วก็ขึ้นชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ฉันได้อยู่ห้องที่เรียนเก่งและก็สอบได้ที่ 1 ของห้องอีกเช่นกัน พอขึ้นชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ฉันได้เป็นหัวหน้าห้องและได้รับคัดเลือกเป็นตัวแทนไปสอบคัดไทยที่โรงเรียนบ้านเมืองลีงแต่ฉันคัดได้ที่ 3 แต่ก็ไม่เป็นไรที่ 3 ฉันก็ดีใจแล้ว หลังจากจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 พ่อกับแม่ก็ได้ย้ายโรงเรียนให้ฉันมาเรียนอยู่ในอำเภอตอนนั้นฉันรู้สึกกลัวมากเพื่อนๆต่างก็พากันมองฉันเรียนโรงเรียนในอำเภอตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 จนถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 แล้วก็ขึ้นชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่โรงเรียนจอมพระประชาสรรค์ฉันได้อยู่ชั้นม. 1/6 ในสายชั้น ม. 1 มี 7 ห้อง ฉันได้เจอทั้งเพื่อนใหม่และเพื่อนเก่าและก็เพื่อนต่างโรงเรียนในห้องของฉันมีทั้งหมด 52 คน ตอนนั้นการเรียนยังง่ายๆอยู่ยังไม่ค่อยเข้มข้นมากการเข้ากับเพื่อนบางคนก็เข้าได้บางคนก็เข้ายังไม่ค่อยได้พอขึ้นชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ก็ต้องเลือกเรียนมีสายการงานอาชีพ สายศิลป์ภาษา สายศิลป์คำนวณ และสายวิทย์คณิต ฉันเลือกเรียนสายศิลป์ภาษาเพราะฉันคิดว่าเรียนง่ายๆไม่ต้องคิดคำนวณไม่ต้องเรียนวิทยาศาสตร์ไม่ต้องทดลองในสายชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ฉันอยู่ชั้น ม. 2/5 ม.3 ก็อยู่ ม.3/5 ในช่วงนี้มีทั้งเล่นมีทั้งเรียนแต่เล่นจะมาก่อนไม่ค่อยเข้าเรียนบางวันอาจารย์เข้าช้า 15 นาที ก็พากันเดินออกจากห้องทั้งลูกน้องทั้งหัวหน้าห้องโดยเฉพาะหัวหน้าห้องชอบพาหนีเรียนแอบไปกินส้มตำบ้างกินไก่ทอดบ้างหรือไม่ก็แอบไปเล่นเกมส์ที่ห้องคอมพิวเตอร์วันหนึ่งมาเรียนแทบจะไม่ได้สาระอะไรเลยมีแต่เล่นแล้วก็ไม่ชอบแต่งชุดนักเรียนชอบแต่งแต่ชุดพละทั้งอาทิตย์แล้วก็ไม่ค่อยอยากจะเข้าแถวเพราะมันร้อนแต่ฉันไม่ค่อยไปตามเพื่อนสักเท่าไรอาจมีบ้างเป็นบางครั้งแต่เพื่อนของฉันแทบจะไม่เข้าเรียนเลยเพราะช่วงนั้นเพื่อนของฉันติดแฟนวันๆก็คุยแต่โทรศัพท์แต่พวกเราก็ผ่ายการเรียนในชั้นม.ต้นได้ฉันได้เกรดเฉลี่ย 3.33 ฉันดีใจมากถึงฉันจะไม่ค่อยตั้งใจเรียนแต่ฉันก็อ่านหนังสือเวลาหลังเลิกเรียนเพราะพ่อกับแม่จะบังคับให้อ่านหลังเลิกเรียนทุกวัน พอจบม.ต้น เพื่อนบางคนก็เลือกเรียนในสายอาชีพบางคนก็ไม่เรียนต่อเข้าไปทำงานที่กรุงเทพฯต่างคนก็ต่างแยกย้ายกันไปตอนแรกๆก็รู้สึกคิดถึงบางครั้งก็ร้องไห้ออกมาเพราะในการอยู่เรียนด้วยกันมันช่างผูกพันกันมากมีอะไรก็ช่วยเหลือซึ่งกันและกันเวลามีปัญหาก็เปิดใจพูดคุยกันเพื่อนก็ให้คำปรึกษาและก็สามารถหาทางออกได้เวลามีอะไรกินมีขนม มีข้าว มีน้ำ ก็เรียกกันมากินมีน้อยก็กินน้อยมีมากก็กินมากกินจนพุงกางเลยก็ว่าได้ ตอนแรกฉันอยากเข้าไปเรียนในเมืองกับเพื่อนฉันเพราะมีคนไป
เรียนมากและในช่วงนั้นคนให้ความสนใจก็คือ อาชีวะ แต่แม่ไม่ยอมให้ไปเพราะในเมืองมีสถานที่เทียวมากมายมีแสงสีแสงจนเราอาจจะหลงผิดเลยก็ว่าได้เพราะใครที่เข้าไปเรียนที่นั่นก็เสียคนกันทั้งนั้นแม่บอกว่าไม่ใช่ว่าแม่ไม่ไว้ใจแต่ถ้าไปเรียนไกลแล้วใครจะดูแลที่จริงแล้วแม่ก็เป็นห่วงเรานั่นแหละฉันก็เลยตัดสินใจเรียนอยู่ที่เดิมกับเพื่อนอีกคนหนึ่งแต่ก่อนฉันมีเพื่อนอยู่ 3 คน อีกคนก็เรียนอาชีวะ อีกคนก็ทำงานอยู่ที่กรุงเทพฯฉันเลือกเรียนสายศิลป์ภาษาตามเดิมส่วนเพื่อนเลือกเรียนสาย วิทย์-คณิต พอได้ขึ้นม. 4 ฉันได้อยู่ชั้นม. 4/3 ฉันก็ได้เจอกับเพื่อนเก่าและก็เพื่อนใหม่ต่างโรงเรียนตอนนั้นก็สามารถเข้ากับเพื่อนใหม่ได้เร็วเพราะเราเป็นเด็กเก่าเด็กใหม่ก็ต้องมาถามเด็กเก่าอยู่แล้วก็ทำให้สนิทกันเร็วมากเรียนไป ขึ้น ม.5 มีความรู้สึกว่าเร็วมาก อีกปีเดียวก็จะจากกันแล้วต่างคนก็ต่างมีคณะที่ใฝ่ฝัน ที่ชอบ ที่อยากเป็น เพื่อนๆของฉัน บางคนก็อยากเป็นหมอ พยาบาล แน่นอนหมอกับพยาบาลจบมาแล้วมีงานทำ ใครๆก็อยากเป็น อยากเรียนแต่ดิฉัน อยากเป็นครู ก็ได้แต่ตั้งใจเรียน เพื่ออนาคตอีกปีที่จะถึง ดิฉันและเพื่อนๆเริ่มที่จะบ้าถ่ายรูปกัน ถ่ายทั้งวัน ถ้ามีเวลาว่าง ถ่ายรูปไว้เยอะๆเยอะมากมาย เพื่อความทรงจำพอปิดเทอม ม.5 เปิดเทอมมา ขึ้น ม.6 คิดไปคิดมา เวลาก็เร็วจริงๆ เหลืออีกไม่กี่เดือน ก็จะจากกันแล้ว จากไปเพื่อเรียนศึกษาต่อในมหาวิทยาลัย ดิฉันก็ได้แต่นั่งคิดว่าจะเรียนที่ไหน ยังไง อะไร คือเหตุผล ที่แรกที่สมัครในช่วงโควตารับตรง ของมหาวิทยาลัยมหาสารคาม คือ คณะ การท่องเที่ยวและการโรงแรม ลงการท่องเที่ยวอันดับที่สอง อันดับแรก คือ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ สาขา ภาษาไทย แต่ไม่ติด ไปติดการท่องเที่ยวและการโรงแรม ก็ได้มาสอบสัมภาษณ์ อาจารย์ก็ให้ดิฉันแนะนำตัวเอง ถามประวัติส่วนตัว ผลประกาศ ว่า ติด แต่ไม่เอา เรียนไปอีกสักพัก ก็มีการเปิดรับสมัครที่มหาวิทยาลัยราชภัฎสุรินทร์ ลงคณะ ครุศาสตร์ สาขา ภาษาอังกฤษ มีข้อสอบข้อเขียนด้วย ทำได้บ้าง ไม่ได้บ้าง แต่ก็ติด แต่ไม่เอา เพราะ น้าต้องการให้เรียนที่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม เนื่องจากน้าได้รับราชการครู อยู่ที่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม คณะ วิทยาศาสตร์ น้าได้ซื้อใบสมัครของมหาวิทยาลัยมหาสารคาม ระบบ พิเศษ อยากให้ดิฉันเรียนครู ระบบพิเศษเปิดสามสาขา คือ จิตวิทยา วิทยาศาสตร์การกีฬา และเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา ดิฉันได้ลงสาขา จิตวิทยา ได้มาทำการสอบสัมภาษณ์ ตื่นเต้นมาก วันแรกที่ได้สอบสัมภาษณ์ที่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม คณะศึกษาศาสตร์ ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่ในเมือง หรือ เรียกอีกอย่างว่า ม.เก่า ในวันนั้นอาจารย์ที่มีชื่อ อารยา เป็นผู้สัมภาษณ์ดิฉัน
อาจารย์สวยมาก ขาวๆ เนียนๆ อาจารย์สัมภาษณ์ได้นานมาก ทำให้ดิฉันกดดัน ถามเรื่องต่างๆ สัมภาษณ์เสร็จก็ออกมาดูเพื่อนที่ลงสาขาเดียวกัน ก็เยอะนะ ทำให้ได้พูดคุยกัน ได้รู้จักกัน แลกเบอร์ ตั้งแต่นั้นมาก็ได้ติดต่อถามข่าวว่า อาจารย์ประกาศผลหรือยัง พออาจารย์ประกาศผล ก็ปรากฎว่า ก็สอบสัมภาษณ์ผ่าน ดีใจมาก เพราะตั้งใจที่จะเป็นครู เรียนครู สอนนักเรียนได้ พอเปิดเทอม ได้ปฐมนิเทศ ใส่รองเท้าครัชชู แล้วนั่งประชุมนานมาก นิสิตชั้นปีที่ หนึ่ง เยอะมาก ทุกคนคงจะตื่นเต้นมากๆ ดิฉันยิ่งตื่นเต้น เป็นครั้งแรกในชีวิตของการเป็น เพรชชี่ และก็เป็นได้แค่ปีเดียว ได้ไปนมัสการพระธาตุนาดูน อันเป็นที่เคารพ ศรัทธาของชาวมหาสารคาม และ จังหวัดที่ใกล้เคียง ก็ได้ไปพักเป็น เวลาสองคืน สามวัน มีกิจกรรมให้นิสิตได้ร่วมสนุก มีทั้งสนุกทั้งร้องไห้เพราะซึ้งกับคำพูดที่พระอาจารย์ได้สอน และก็เหนื่อยด้วย คนเยอะ เวลาเข้าห้องน้ำต่อคิว นานมาก กว่าจะได้อาบน้ำ ทำภารกิจส่วนตัว อีกวัน ตื่นขึ้นมา ตื่นเช้า ตีสี่ พี่ก็ปลุกให้อาบน้ำ เพื่อจะพาไปทำกิจกรรม บำเพ็ญประโยชน์ วันนี้ได้เดินทางไกล ไปดูบ้านโบราณ ได้เดินดูบรรยายกาศรอบๆพระธาตุ มีต้นไผ่พันธุ์ต่างๆให้ได้ศึกษา ตกเย็นพาไปสักการะพระธาตุนาดูน เพื่อรับพวกเราทุกคนเป็นลูกพระธาตุ ได้เวียนเทียน และพระก็ได้มาสอนปฏิบัติธรรม หลักธรรมต่างๆ เพื่อจะใช้ในการดำรงชีวิตที่มีค่า เสร็จกิจกรรมก็พากันเก็บของ เพื่อตอนเช้าจะได้เดินทางกลับมหาวิทยาลัย คืนนี้เป็นคืนที่เหนื่อย หลับไปอย่างไม่รู้เรื่อง ตื่นขึ้นมา เพื่อนพากันอาบน้ำ เก็บของเสร็จแล้ว ดิฉันเลยไม่ได้อาบน้ำ เก็บแต่ของทัน ก็หอบของขึ้นรถ มาหลับบนรถอีกที เพราะเหนื่อย นอนไม่อิ่ม นอนจนถึงมหาวิทยาลัยมหาสารคาม แล้วก็แยกย้ายกันกลับหอ ดิฉันประทับใจในการเดินทางไปนมัสการพระธาตุนาดูน ประทับใจเพื่อนๆทุกคน ต่างคณะ ต่างสาขา แต่ก็เป็นเพื่อนกัน เก็บความรู้สึกดีๆไว้ ต่างคนต่างทำหน้าที่ เรียน เพื่ออนาคตที่ดี เจอกันตามอาคารเรียน ก็ทักทายกัน ดิฉันก็มาหาเพื่อนใหม่ในสาขา เจอเพื่อนมีแต่คนน่ารัก บางคนก็พูดเก่ง บางคนก็ไม่พูด แต่ดิฉันก็มีเพื่อนสนิท ที่เรียนด้วยกัน ไปไหนมาไหนด้วยกัน ปรึกษากัน ลงวิชาเลือกเหมือนกัน ดิฉันเลือกเรียนสี่ปี ก็หวังว่า สาขาที่เราเรียน จะทำให้เรียนไปแล้วมีความสุข จบไปมีงานทำ
นางสาว รุ่งทิวา ชะบา 52010517116 ชั้นปีที่2 คณะศึกษาศาสตร์ สาขาจิตวิทยาประวัติความเป็นมา : ตำบลขวัญเมือง แยกออกมาจากตำบลกลาง เมื่อปี 2529 มีจำนวน 11 หมู่บ้าน มีนายแสวง มณีรัตน์ เป็นกำนันคนแรก ปัจจุบันอยู่ในเขตพื้นที่เทศบาลทั้งหมด สภาพทั่วไปของตำบล : สภาพพื้นดินเป็นพื้นที่ราบลุ่ม ตั้งอยู่ทางซ้ายมือของถนนแจ้งสนิท เป็นที่ตั้งของที่ว่าการอำเภอเสลภูมิ อาณาเขตตำบล : ทิศเหนือ จรดตำบลหาเมือง อ.เสลภูมิ จ.ร้อยเอ็ดทิศใต้ จรดตำบลกลาง อ.เสลภูมิ จ.ร้อยเอ็ดทิศตะวันออก จรดตำบลเมืองไพร อ.เสลภูมิ จ.ร้อยเอ็ดทิศตะวันตก จรดตำบลมะบ้า กิ่ง อ. ทุ่งเขาหลวง จ.ร้อยเอ็ด จำนวนประชากรของตำบล : จำนวนประชากรทั้งสิ้น 3,174 คน เป็นชาย 1,528 คน เป็นหญิง 1,546 คน ข้อมูลอาชีพของตำบล : อาชีพหลัก ทำนา ทำไร่ อาชีพเสริม ค้าขาย ข้อมูลสถานที่สำคัญของตำบล : 1) วัดป่าขวัญเมือง 2) ที่ว่าการอำเภอ3) โรงเรียน 3 แห่ง (รร.เสลภูมิพิทยาคม,รร.เสลภูมิ,รร.ศรีอรุณวิทย์)
แสดงความคิดเห็น
282 ความคิดเห็น:
«เก่าที่สุด ‹เก่ากว่า 201 – 282 จาก 282เรื่อง รัก ๆ ใคร่ ๆ ...
เรื่องความรักนิ่มันพูดยากเนาะตั้งแต่เกิดมา ก็คิดได้อยากเดียวว่า รักพ่อกับแม่ พอโตขึ้นมาอีกนิดประมาณ ม.3 กำลังย่างเข้าสู่หัวเลี้ยวหัวต่อเลยแหละ ดิฉันติดเพื่อนมากๆ ยังไม่รุ้จักคำว่ามีแฟนเลยคะ ฮ่าๆ วันๆนั่งเล่นแต่ โดมิโน ช่วงนั้น ฮิตมากๆ เลยแหละ ม.4 ก็ยัง ไม่มีแฟน เพราะเป็นช่วงที่ติดเกมส์ออนไลน์ มากๆ เล่นแบบไม่หลับไม่นอนเลยแหละ ม.5 เริ่มรู้ว่าตัวเอง ชอบทอม ( ก๊ากกก น่าตกใจในวัยนั้น !!! ) แต่ . . . จริงๆ แล้วดิฉันเคยคบผู้ชายนะ แต่ไม่ได้อะไร คุยโทรศัพท์กันอาทิตย์เดียวเองค๊า รู้สึกว่า มันไม่ใช่ ฮ่าๆ ก็เลย ชอบทอม มาเรื่อย ๆ เป็นงานอดิเรกเลยแหละ ทอมหล่อๆ นิ่ แบบว่า กีสส มากๆ ฮ่าๆ โคตรบ้าเลย และดิฉันมองว่า การที่ดิฉันชอบเพราะทอมเนี่ยมันเข้าใจผู้หญิงด้วยกัน และรักแล้วรักจริง ซะ ส่วนมาก ไม่ท้องด้วย 55 เท่าเทียมกันดี อิอิ ปัจจุบันมีแฟนแล้ว และไม่ต้องบอกว่า ผู้ชาย หรือ ผู้หญิง (ก็ต้องหญิงสิคะ เล่าขนาดนี้แล้ว ฮ่าๆ ) การที่ดิฉันคบผู้หญิง (ทอม) เนี่ย ตอนแรก คิดมากๆเลยแหละกว่าพ่อกับแม่รู้ แต่ ความลับไม่มีในโลก ฮ่าๆ เพราะ ทั้งสองรู้แล้ว แต่ พ่อกับแม่ ก็ไม่ได้ว่าอะไรสงสัยคงคิดว่าเราโตแล้วมั้ง คิดเองได้แล้ว อิอิ โล่งอกจัง เปิดเผยสีกที ฮ่าๆ (ตอนนี้เรารักกันมากค่ะ * ) ฮ่าๆ ประชด
แต่ยังไงก็รักพ่อกับแม่ มากกว่า ค่ะ (โคตร ซึ้งเลย ) *
ความภูมิใจ เกิดมาครบ 32 ประการและไม่ด้อยโอกาสในเรื่องการศึกษา และเรื่องต่างๆ เพราะ เวลาเห็นคนด้อนโอกาส ไม่ว่าจะเป็นเด็กขอทานที่เขาไม่ได้เรียนหนังสื่อ เห็นแล้วสงสาร ไม่อยากให้มีแบบนี้อยู่บนโลกนี้เลย จะร้องไห้ T _ T
ความฝัน ความจริง ที่อยากให้เป็นจริง เรียนให้จบ เป็นนักจิตวิทยา มีเงิน ซื้อรถ ซื้อบ้าน ซื้อของต่างๆที่อยากได้ อยากเสริมจมูกใหม่ ตัดปีกจมูกด้วย ให้สวยกว่าเดิม เพราะยังไม่พอใจเลย (จริงๆแล้วเสริมแล้วนะแต่มันยุบลงง่าส์ ) พ่อจ๊า ขอเงินเสริมอีกหน่อยน๊า หมอค๊าว่างให้ตรงเวลาหนูหน่อยสิค่ะ นิ่แหละความไม่มั่นใจของดิฉันมันชังลำบากใจกระเป๋าตังค์พ่อจริง ๆ อิอิ (ฮ่า ฮ่า ฉันจะต้องทำให้ได้ ) สาธุ เพี้ยง !!!
จบบริบูรณ์ *
เรื่อง รัก ๆ ใคร่ ๆ . . .
เรื่องความรักนิ่มันพูดยากเนาะตั้งแต่เกิดมา ก็คิดได้อยากเดียวว่า รักพ่อกับแม่ พอโตขึ้นมาอีกนิดประมาณ ม.3 กำลังย่างเข้าสู่หัวเลี้ยวหัวต่อเลยแหละ ดิฉันติดเพื่อนมากๆ ยังไม่รุ้จักคำว่ามีแฟนเลยคะ ฮ่าๆ วันๆนั่งเล่นแต่ โดมิโน ช่วงนั้น ฮิตมากๆ เลยแหละ ม.4 ก็ยัง ไม่มีแฟน เพราะเป็นช่วงที่ติดเกมส์ออนไลน์ มากๆ เล่นแบบไม่หลับไม่นอนเลยแหละ ม.5 เริ่มรู้ว่าตัวเอง ชอบทอม ( ก๊ากกก น่าตกใจในวัยนั้น !!! ) แต่ . . . จริงๆ แล้วดิฉันเคยคบผู้ชายนะ แต่ไม่ได้อะไร คุยโทรศัพท์กันอาทิตย์เดียวเองค๊า รู้สึกว่า มันไม่ใช่ ฮ่าๆ ก็เลย ชอบทอม มาเรื่อย ๆ เป็นงานอดิเรกเลยแหละ ทอมหล่อๆ นิ่ แบบว่า กีสส มากๆ ฮ่าๆ โคตรบ้าเลย และดิฉันมองว่า การที่ดิฉันชอบเพราะทอมเนี่ยมันเข้าใจผู้หญิงด้วยกัน และรักแล้วรักจริง ซะ ส่วนมาก ไม่ท้องด้วย 55 เท่าเทียมกันดี อิอิ ปัจจุบันมีแฟนแล้ว และไม่ต้องบอกว่า ผู้ชาย หรือ ผู้หญิง (ก็ต้องหญิงสิคะ เล่าขนาดนี้แล้ว ฮ่าๆ ) การที่ดิฉันคบผู้หญิง (ทอม) เนี่ย ตอนแรก คิดมากๆเลยแหละกว่าพ่อกับแม่รู้ แต่ ความลับไม่มีในโลก ฮ่าๆ เพราะ ทั้งสองรู้แล้ว แต่ พ่อกับแม่ ก็ไม่ได้ว่าอะไรสงสัยคงคิดว่าเราโตแล้วมั้ง คิดเองได้แล้ว อิอิ โล่งอกจัง เปิดเผยสีกที ฮ่าๆ (ตอนนี้เรารักกันมากค่ะ * ) ฮ่าๆ ประชด
แต่ยังไงก็รักพ่อกับแม่ มากกว่า ค่ะ (โคตร ซึ้งเลย ) *
ความภูมิใจ เกิดมาครบ 32 ประการและไม่ด้อยโอกาสในเรื่องการศึกษา และเรื่องต่างๆ เพราะ เวลาเห็นคนด้อนโอกาส ไม่ว่าจะเป็นเด็กขอทานที่เขาไม่ได้เรียนหนังสื่อ เห็นแล้วสงสาร ไม่อยากให้มีแบบนี้อยู่บนโลกนี้เลย จะร้องไห้ T _ T
ความฝัน ความจริง ที่อยากให้เป็นจริง เรียนให้จบ เป็นนักจิตวิทยา มีเงิน ซื้อรถ ซื้อบ้าน ซื้อของต่างๆที่อยากได้ อยากเสริมจมูกใหม่ ตัดปีกจมูกด้วย ให้สวยกว่าเดิม เพราะยังไม่พอใจเลย (จริงๆแล้วเสริมแล้วนะแต่มันยุบลงง่าส์ ) พ่อจ๊า ขอเงินเสริมอีกหน่อยน๊า หมอค๊าว่างให้ตรงเวลาหนูหน่อยสิค่ะ นิ่แหละความไม่มั่นใจของดิฉันมันชังลำบากใจกระเป๋าตังค์พ่อจริง ๆ อิอิ (ฮ่า ฮ่า ฉันจะต้องทำให้ได้ ) สาธุ เพี้ยง !!!
จบบริบูรณ์*
ประวัติส่วนตัว
นางสาว ธิตาภรณ์ ภูโอบ รหัสนักศึกษา 52010517103
ชื่อเล่น เอมี่ Amy
เกิดวันเสาร์ที่ 5 เดือน พฤษภาคม 2533 ปีมะเมีย
ที่อยู่บ้านเลขที่ 100 หมู่ 4 ตำบล.เขาพระนอน อำเภอ ยางตลาด จังหวัดกาฬสินธุ์ 46120
ปัจจุบันพักอยู่ หอพักตักสิลานครA403
*****************
บิดานายฤทธิ์ศักดิ์ ภูโอบ
เกิดวันที่ที่2ตุลาคม2507
อยู่บ้านเลขที่ 100 หมู่ 4 ตำบล เขาพระนอน อำเภอ ยางตลาด จังหวัดกาฬสินธุ์ 46120
******************
มารดานางสมบัติ ป้องจันทร์
12ธันวาคม2512
อยู่บ้านเลขที่ 100 หมู่ 4 ตำบล เขาพระนอน อำเภอ ยางตลาด จังหวัดกาฬสินธุ์ 46120
****************
พี่น้องร่วมบิดามารดา นายพีรพล ภูโอบ
เกิด 13พฤษภาคม2535
อยู่บ้านเลขที่ 100 หมู่ 4 ตำบล เขาพระนอน อำเภอ ยางตลาด จังหวัดกาฬสินธุ์ 46120
ปัจจุบันกำลังศึกษาอยู่โรงเรียนลำปาววิทยาคม ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5
*************
ดิฉัน นางสาวธิตาภรณ์ ภูโอบ จบจาก โรงเรียนกาฬสินธุ์พิทยาสรรพ์อำเภอ เมือง จังหวัดกาฬสินธุ์ 46100
ปัจจุบันกำลังศึกษาอยู่ที่
มหาวิทยาลัยมหาสารคาม คณะศึกษาศาสตร์ Education
โปรแกรมสาขาวิชาจิตวิทยา Phychology PSY
ลักษณะนิสัยส่วนตัว
เป็นคนขี้เล่น เอาแต่ใจหน่อยหนึ่ง รักเพื่อน เป็นคนโกรธง่ายหายเร็ว
และที่สำคัญเป็นคนน่ารักด้วย
สีที่ชอบ
สีฟ้า เป็นชีวิตจิตใจเลยชอบมาก
ตัวการ์ตูนที่ชอบ
โดเรม่อน Doraemon
อาหารที่ชอบ
ไข่เจียวหมูสับง่ายๆสบายๆไม่ต้องอะไรมาก
จังหวัดที่อยากจะไปเที่ยวมากที่สุด
ภูเก็ต แม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ เชียงราย
ประเทศที่อยากจะไปเที่ยวมากที่สุด ฝรั่งเศส เกาหลี ญี่ปุ่น
วงดนตรีที่ชอบ
The Richman Toy
The Mousses
Ta-Mone Band Slur
Tattoo Colour
เพลงที่ชอบ
ทุ่งดอกไม้บาน ลืมฉันหรือยัง เริ่มจากร้อย เหตุผลหญิงไทย เข้ากลับชีวิตดี
ภาพยนตร์ไทยที่ชอบ
อยากได้ยินว่ารักกัน ม.3ปี4 บังเอิญรักไม่สิ้นสุด
นางสาวกานต์ธิดา สินสิทธิประเสริฐ
รหัสนิสิต 51010515039 ชั้นปี2
ประวัติโดยทั่วๆไป!!!!!!!
ชื่อแต่ดั้งเดิม...เด็กหญิงสุภาวดี แซ่ลิ้ม
ก็เลยเปลี่ยนมาเป็น นางสาวกานต์ธิดา สินสิทธิประเสริฐ
ชื่อเล่น...... บี เพศ หญิง แอบปนเชื้อสายจีนมาทางด้านพ่อมาเล็กน้อย
เกิดเมื่อ.....วันพุธ ที่ 30 เดือน สิงหาคม พ.ศ. 2532 เวลา 14.20 นาฬิกา แม่เล่าให้ฉันฟังว่าต้องที่กำลังจะคลอดฉันนั้นฝนก็ตกลงมาแม่เฉียบพลันละแรงมากเลย ในขณะนี้ดิฉันก็ได้มีอายุ 20 ปี
ที่อยู่ปัจจุบัน 58/43 ถ.ศรีจันทร์ อ.เมือง จ.ขอนแก่น 40000
ประวัติทางด้านการศึกษา
อนุบาล1-3 ศึกษาที่โรงเรียนราชอุทิศวิทยาลัย
ประถมศึกษา1-6 ศึกษาที่โรงเรียนฮั้วเคี้ยววิทยาลัย
มัธยมศึกษาปีที่ 1-3 ศึกษาที่โรงเรียนสิริเกศน้อมเกล้า
มัธยมศึกษาปีที่4-6 ศึกษาที่โรงเรียนขอนแก่นวิทยายน2
ประจุบันกำลังศึกษาที่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม คณะศึกษาศาสตร์ สาขาวิชาจิตวิทยา
ชั้นปีที่2 ก่อนหน้านี้ดิฉันเรียนคณะการท่องเที่ยวและการโรงแรม
ประวัติทางด้านครอบครัว
มีทั้งหมด 5 คนประกอบไปด้วย พ่อ แม่ พี่ชาย น้องชาย และดิฉัน ครอบครัวของข้าพเจ้าเป็นครอบครัวที่อบอุ่นเป็นระยะ ระยะ ........
คติประจำใจ..... ปัญหาทุกอย่างย่อมมีทางแก้ไขและทางออกที่ดีเสมอ
กิจกรรมเวลาว่าง....... ฟังเพลง ดูหนัง ออนเอ็ม เล่นhi5 หารายได้พิเศษ ((ประมาณงก 555+))
นิสัยโดยส่วนตัว...... ร่าเริง ยิ้มเก่ง เข้ากับผู้อื่นได้ง่าย
อาหารที่ชอบ...ทุกๆอย่างยกเว้นผัดและผลไม้
.............................................................................................
เรื่องราวความรักของเพื่อนร่วมห้องในชั้นเรียน
ดิฉันเคยคบกับเพื่อนในห้องเรียนเดียวกันเมื่อวันที่ 2 เดือน มกราคม พ.ศ.2550 จนมาถึงวันที่ดิฉันถุกบอกเลิกเมื่อวันที่ 31 ธันวาคาม พ.ศ. 2550 เวลา 00.00 ของคืนวันที่1 เดือนมกราคม พ.ศ .2551 ซึ่งในขณะนนั้นดิฉันเสียใจมากเรยที่ถูกบอกเลิก และมันเป็นของขวัญชิ้นใหญ่มากที่ดิฉันเคยได้รับชิ้นแรกในวันปีใหม่ สภาวะความรู้สึกในตอนนั้นดิฉันเสียใจมาก จนต้องนอนร้องไห้ทั้งคืนและที่ดิฉันเสียใจมากกว่านั้นคือแฟนใหม่ของคนที่ดิฉันเคยคบเป็นเด็กน้อยอายุ14ปี เด็กน้อยคนนั้น แรงมาก ๆ แรงจนกว่าดิฉันจะให้อภัย ดิฉันใช่เวลาในการร้องไห้กับการเสียใจครั้งนี้เป็นเวลานับ 3 เดือน แต่ถ้าพูดจริงจนถึงทุกวันนี้ดิฉันยังไม่เคยลืมเขาคนนั้นเลย ดิฉันยังอยากที่จะเห็นน่า ยังอยากที่จะคอยดูแลอยู่เสมอ ทั้งๆที่มันเป็นไปไม่ได้เลย.......
รักครั้ง2ของดิฉันนั้นก้อคือการแอบรักเพื่อนอีกคนในห้องเรียนเดียวกัน ดิฉันมีความรู้สึกกับเพื่อนคนนี้เริ่มต้นด้วยมิตรภาพ และค่อยๆเริ่มการพัฒนาๆไปเรื่อยจนการเป็นความรู้สึกที่เกินกว่าคำว่าเพื่อน ดิฉันแอบรักเพื่อนคนนี้มา 4ปีแล้ว เพื่อนคนนี้มีชื่อว่าต๊ะ เรียนที่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ความรู้สึกของดิฉันในตอนนี้ มีมากมายจนเกินเลยอยู่ตลอดเวลา ยิ่งเพื่อนของดิฉันไปไหนมาไหนกับดิฉันมากๆ ดิฉันก็ยิ่งมีแต่ความสุขและยิ่งรักขึ้นเรื่อยๆ จนดิฉันทนไม่ไหวอยากจะบอกความรู้สึกที่มีให้กับเพื่อนดิฉันได้ฟัง ดิฉันจึงลองคิดและรวบรวมความรู้สึกทั้งหมดที่มีเพื่อที่จะบอกรักเพื่อน และดิฉันก็ได้บอกรักเพื่อนของฉันจริงๆ ดิฉันรู้สึกอายมากๆในขณะที่พูดความในใจออกไปให้กับคนที่ดีฉันแอบรัก แต่พอเขาได้ยินคำที่ดินฉันพูดออกมานั้นเขาถึงกับก้มน่าแล้วตอบดิฉันกลับมาว่า แกมาบอกอะไรฉันตอนนี้ มันไม่สายเกินไปหรอ แล้วทำไมที่ผ่านมาแกไม่พูดมาออกมา.......พอดิฉันได้ยินคำพูดที่เขาตอบดิฉันตอบกลับมา ดิฉันถึงกับตกใจแล้วก็มีความรู้สึกว่าทำไมฉันโง่จังเลย ทำไมเหมือนก่อนถึงไม่พูดมันออกมา! ดิฉันถึงกับน้ำตาลซึม และยิ้มให้กับเขาคนนั้น แล้วก็ขอบคุณทุกๆอย่างที่มีให้กัน ขอบคุณความรักที่เคยมีให้.....สุดท้ายเรื่องก็จบโดยการรอคอยใครสักคนอย่างมีความหวังและรอต่อไปทั้งๆที่รู้ตัวว่ามันคงเป็นไปไม่ได้(((ถ้าเขาคนนั้นไม่เลิกกับแฟน)))...สาธุ!ขอให้เลิกกันเร็วๆๆๆด้วยนะ!
หมายุเหตุ: เพื่อนรัก รักเพื่อน.....ฉันไม่ได้รักแกในฐานนะเพื่อนเข้าใจไหม
..............................................................................................
เราเพิ่งทำอ่ะเพื่อนๆ
รักอ.ในภาควิชาที่สุดเลย
นางสาวกานต์ธิดา สินสิทธิประเสริฐ
รหัสนิสิต 51010515039 ชั้นปี2
ประวัติโดยทั่วๆไป!!!!!!!
ชื่อแต่ดั้งเดิม...เด็กหญิงสุภาวดี แซ่ลิ้ม
ก็เลยเปลี่ยนมาเป็น นางสาวกานต์ธิดา สินสิทธิประเสริฐ
ชื่อเล่น...... บี เพศ หญิง แอบปนเชื้อสายจีนมาทางด้านพ่อมาเล็กน้อย
เกิดเมื่อ.....วันพุธ ที่ 30 เดือน สิงหาคม พ.ศ. 2532 เวลา 14.20 นาฬิกา แม่เล่าให้ฉันฟังว่าต้องที่กำลังจะคลอดฉันนั้นฝนก็ตกลงมาแม่เฉียบพลันละแรงมากเลย ในขณะนี้ดิฉันก็ได้มีอายุ 20 ปี
ที่อยู่ปัจจุบัน 58/43 ถ.ศรีจันทร์ อ.เมือง จ.ขอนแก่น 40000
ประวัติทางด้านการศึกษา
อนุบาล1-3 ศึกษาที่โรงเรียนราชอุทิศวิทยาลัย
ประถมศึกษา1-6 ศึกษาที่โรงเรียนฮั้วเคี้ยววิทยาลัย
มัธยมศึกษาปีที่ 1-3 ศึกษาที่โรงเรียนสิริเกศน้อมเกล้า
มัธยมศึกษาปีที่4-6 ศึกษาที่โรงเรียนขอนแก่นวิทยายน2
ประจุบันกำลังศึกษาที่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม คณะศึกษาศาสตร์ สาขาวิชาจิตวิทยา
ชั้นปีที่2 ก่อนหน้านี้ดิฉันเรียนคณะการท่องเที่ยวและการโรงแรม
ประวัติทางด้านครอบครัว
มีทั้งหมด 5 คนประกอบไปด้วย พ่อ แม่ พี่ชาย น้องชาย และดิฉัน ครอบครัวของข้าพเจ้าเป็นครอบครัวที่อบอุ่นเป็นระยะ ระยะ ........
คติประจำใจ..... ปัญหาทุกอย่างย่อมมีทางแก้ไขและทางออกที่ดีเสมอ
กิจกรรมเวลาว่าง....... ฟังเพลง ดูหนัง ออนเอ็ม เล่นhi5 หารายได้พิเศษ ((ประมาณงก 555+))
นิสัยโดยส่วนตัว...... ร่าเริง ยิ้มเก่ง เข้ากับผู้อื่นได้ง่าย
อาหารที่ชอบ...ทุกๆอย่างยกเว้นผัดและผลไม้
เรื่องราวความรักของเพื่อนร่วมห้องในชั้นเรียน
ดิฉันเคยคบกับเพื่อนในห้องเรียนเดียวกันเมื่อวันที่ 2 เดือน มกราคม พ.ศ.2550 จนมาถึงวันที่ดิฉันถุกบอกเลิกเมื่อวันที่ 31 ธันวาคาม พ.ศ. 2550 เวลา 00.00 ของคืนวันที่1 เดือนมกราคม พ.ศ .2551 ซึ่งในขณะนนั้นดิฉันเสียใจมากเรยที่ถูกบอกเลิก และมันเป็นของขวัญชิ้นใหญ่มากที่ดิฉันเคยได้รับชิ้นแรกในวันปีใหม่ สภาวะความรู้สึกในตอนนั้นดิฉันเสียใจมาก จนต้องนอนร้องไห้ทั้งคืนและที่ดิฉันเสียใจมากกว่านั้นคือแฟนใหม่ของคนที่ดิฉันเคยคบเป็นเด็กน้อยอายุ14ปี เด็กน้อยคนนั้น แรงมาก ๆ แรงจนกว่าดิฉันจะให้อภัย ดิฉันใช่เวลาในการร้องไห้กับการเสียใจครั้งนี้เป็นเวลานับ 3 เดือน แต่ถ้าพูดจริงจนถึงทุกวันนี้ดิฉันยังไม่เคยลืมเขาคนนั้นเลย ดิฉันยังอยากที่จะเห็นน่า ยังอยากที่จะคอยดูแลอยู่เสมอ ทั้งๆที่มันเป็นไปไม่ได้เลย.......
รักครั้ง2ของดิฉันนั้นก้อคือการแอบรักเพื่อนอีกคนในห้องเรียนเดียวกัน ดิฉันมีความรู้สึกกับเพื่อนคนนี้เริ่มต้นด้วยมิตรภาพ และค่อยๆเริ่มการพัฒนาๆไปเรื่อยจนการเป็นความรู้สึกที่เกินกว่าคำว่าเพื่อน ดิฉันแอบรักเพื่อนคนนี้มา 4ปีแล้ว เพื่อนคนนี้มีชื่อว่าต๊ะ เรียนที่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ความรู้สึกของดิฉันในตอนนี้ มีมากมายจนเกินเลยอยู่ตลอดเวลา ยิ่งเพื่อนของดิฉันไปไหนมาไหนกับดิฉันมากๆ ดิฉันก็ยิ่งมีแต่ความสุขและยิ่งรักขึ้นเรื่อยๆ จนดิฉันทนไม่ไหวอยากจะบอกความรู้สึกที่มีให้กับเพื่อนดิฉันได้ฟัง ดิฉันจึงลองคิดและรวบรวมความรู้สึกทั้งหมดที่มีเพื่อที่จะบอกรักเพื่อน และดิฉันก็ได้บอกรักเพื่อนของฉันจริงๆ ดิฉันรู้สึกอายมากๆในขณะที่พูดความในใจออกไปให้กับคนที่ดีฉันแอบรัก แต่พอเขาได้ยินคำที่ดินฉันพูดออกมานั้นเขาถึงกับก้มน่าแล้วตอบดิฉันกลับมาว่า แกมาบอกอะไรฉันตอนนี้ มันไม่สายเกินไปหรอ แล้วทำไมที่ผ่านมาแกไม่พูดมาออกมา.......พอดิฉันได้ยินคำพูดที่เขาตอบดิฉันตอบกลับมา ดิฉันถึงกับตกใจแล้วก็มีความรู้สึกว่าทำไมฉันโง่จังเลย ทำไมเหมือนก่อนถึงไม่พูดมันออกมา! ดิฉันถึงกับน้ำตาลซึม และยิ้มให้กับเขาคนนั้น แล้วก็ขอบคุณทุกๆอย่างที่มีให้กัน ขอบคุณความรักที่เคยมีให้.....สุดท้ายเรื่องก็จบโดยการรอคอยใครสักคนอย่างมีความหวังและรอต่อไปทั้งๆที่รู้ตัวว่ามันคงเป็นไปไม่ได้(((ถ้าเขาคนนั้นไม่เลิกกับแฟน)))...สาธุ!ขอให้เลิกกันเร็วๆๆๆด้วยนะ!
หมายุเหตุ: เพื่อนรัก รักเพื่อน.....ฉันไม่ได้รักแกในฐานนะเพื่อนเข้าใจไหม
นางสาวกานต์ธิดา สินสิทธิประเสริฐ
รหัสนิสิต 51010515039 ชั้นปี2
ประวัติโดยทั่วๆไป!!!!!!!
ชื่อแต่ดั้งเดิม...เด็กหญิงสุภาวดี แซ่ลิ้ม
ก็เลยเปลี่ยนมาเป็น นางสาวกานต์ธิดา สินสิทธิประเสริฐ
ชื่อเล่น...... บี เพศ หญิง แอบปนเชื้อสายจีนมาทางด้านพ่อมาเล็กน้อย
เกิดเมื่อ.....วันพุธ ที่ 30 เดือน สิงหาคม พ.ศ. 2532 เวลา 14.20 นาฬิกา แม่เล่าให้ฉันฟังว่าต้องที่กำลังจะคลอดฉันนั้นฝนก็ตกลงมาแม่เฉียบพลันละแรงมากเลย ในขณะนี้ดิฉันก็ได้มีอายุ 20 ปี
ที่อยู่ปัจจุบัน 58/43 ถ.ศรีจันทร์ อ.เมือง จ.ขอนแก่น 40000
ประวัติทางด้านการศึกษา
อนุบาล1-3 ศึกษาที่โรงเรียนราชอุทิศวิทยาลัย
ประถมศึกษา1-6 ศึกษาที่โรงเรียนฮั้วเคี้ยววิทยาลัย
มัธยมศึกษาปีที่ 1-3 ศึกษาที่โรงเรียนสิริเกศน้อมเกล้า
มัธยมศึกษาปีที่4-6 ศึกษาที่โรงเรียนขอนแก่นวิทยายน2
ประจุบันกำลังศึกษาที่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม คณะศึกษาศาสตร์ สาขาวิชาจิตวิทยา
ชั้นปีที่2 ก่อนหน้านี้ดิฉันเรียนคณะการท่องเที่ยวและการโรงแรม
ประวัติทางด้านครอบครัว
มีทั้งหมด 5 คนประกอบไปด้วย พ่อ แม่ พี่ชาย น้องชาย และดิฉัน ครอบครัวของข้าพเจ้าเป็นครอบครัวที่อบอุ่นเป็นระยะ ระยะ ........
คติประจำใจ..... ปัญหาทุกอย่างย่อมมีทางแก้ไขและทางออกที่ดีเสมอ
กิจกรรมเวลาว่าง....... ฟังเพลง ดูหนัง ออนเอ็ม เล่นhi5 หารายได้พิเศษ ((ประมาณงก 555+))
นิสัยโดยส่วนตัว...... ร่าเริง ยิ้มเก่ง เข้ากับผู้อื่นได้ง่าย
อาหารที่ชอบ...ทุกๆอย่างยกเว้นผัดและผลไม้
.............................................................................................
เรื่องราวความรักของเพื่อนร่วมห้องในชั้นเรียน
ดิฉันเคยคบกับเพื่อนในห้องเรียนเดียวกันเมื่อวันที่ 2 เดือน มกราคม พ.ศ.2550 จนมาถึงวันที่ดิฉันถุกบอกเลิกเมื่อวันที่ 31 ธันวาคาม พ.ศ. 2550 เวลา 00.00 ของคืนวันที่1 เดือนมกราคม พ.ศ .2551 ซึ่งในขณะนนั้นดิฉันเสียใจมากเรยที่ถูกบอกเลิก และมันเป็นของขวัญชิ้นใหญ่มากที่ดิฉันเคยได้รับชิ้นแรกในวันปีใหม่ สภาวะความรู้สึกในตอนนั้นดิฉันเสียใจมาก จนต้องนอนร้องไห้ทั้งคืนและที่ดิฉันเสียใจมากกว่านั้นคือแฟนใหม่ของคนที่ดิฉันเคยคบเป็นเด็กน้อยอายุ14ปี เด็กน้อยคนนั้น แรงมาก ๆ แรงจนกว่าดิฉันจะให้อภัย ดิฉันใช่เวลาในการร้องไห้กับการเสียใจครั้งนี้เป็นเวลานับ 3 เดือน แต่ถ้าพูดจริงจนถึงทุกวันนี้ดิฉันยังไม่เคยลืมเขาคนนั้นเลย ดิฉันยังอยากที่จะเห็นน่า ยังอยากที่จะคอยดูแลอยู่เสมอ ทั้งๆที่มันเป็นไปไม่ได้เลย.......
รักครั้ง2ของดิฉันนั้นก้อคือการแอบรักเพื่อนอีกคนในห้องเรียนเดียวกัน ดิฉันมีความรู้สึกกับเพื่อนคนนี้เริ่มต้นด้วยมิตรภาพ และค่อยๆเริ่มการพัฒนาๆไปเรื่อยจนการเป็นความรู้สึกที่เกินกว่าคำว่าเพื่อน ดิฉันแอบรักเพื่อนคนนี้มา 4ปีแล้ว เพื่อนคนนี้มีชื่อว่าต๊ะ เรียนที่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ความรู้สึกของดิฉันในตอนนี้ มีมากมายจนเกินเลยอยู่ตลอดเวลา ยิ่งเพื่อนของดิฉันไปไหนมาไหนกับดิฉันมากๆ ดิฉันก็ยิ่งมีแต่ความสุขและยิ่งรักขึ้นเรื่อยๆ จนดิฉันทนไม่ไหวอยากจะบอกความรู้สึกที่มีให้กับเพื่อนดิฉันได้ฟัง ดิฉันจึงลองคิดและรวบรวมความรู้สึกทั้งหมดที่มีเพื่อที่จะบอกรักเพื่อน และดิฉันก็ได้บอกรักเพื่อนของฉันจริงๆ ดิฉันรู้สึกอายมากๆในขณะที่พูดความในใจออกไปให้กับคนที่ดีฉันแอบรัก แต่พอเขาได้ยินคำที่ดินฉันพูดออกมานั้นเขาถึงกับก้มน่าแล้วตอบดิฉันกลับมาว่า แกมาบอกอะไรฉันตอนนี้ มันไม่สายเกินไปหรอ แล้วทำไมที่ผ่านมาแกไม่พูดมาออกมา.......พอดิฉันได้ยินคำพูดที่เขาตอบดิฉันตอบกลับมา ดิฉันถึงกับตกใจแล้วก็มีความรู้สึกว่าทำไมฉันโง่จังเลย ทำไมเหมือนก่อนถึงไม่พูดมันออกมา! ดิฉันถึงกับน้ำตาลซึม และยิ้มให้กับเขาคนนั้น แล้วก็ขอบคุณทุกๆอย่างที่มีให้กัน ขอบคุณความรักที่เคยมีให้.....สุดท้ายเรื่องก็จบโดยการรอคอยใครสักคนอย่างมีความหวังและรอต่อไปทั้งๆที่รู้ตัวว่ามันคงเป็นไปไม่ได้(((ถ้าเขาคนนั้นไม่เลิกกับแฟน)))...สาธุ!ขอให้เลิกกันเร็วๆๆๆด้วยนะ!
หมายุเหตุ: เพื่อนรัก รักเพื่อน.....ฉันไม่ได้รักแกในฐานนะเพื่อนเข้าใจไหม
..............................................................................................
นางสาวกานต์ธิดา สินสิทธิประเสริฐ
รหัสนิสิต 51010515039 ชั้นปี2
ประวัติโดยทั่วๆไป!!!!!!!
ชื่อแต่ดั้งเดิม...เด็กหญิงสุภาวดี แซ่ลิ้ม
ก็เลยเปลี่ยนมาเป็น นางสาวกานต์ธิดา สินสิทธิประเสริฐ
ชื่อเล่น...... บี เพศ หญิง แอบปนเชื้อสายจีนมาทางด้านพ่อมาเล็กน้อย
เกิดเมื่อ.....วันพุธ ที่ 30 เดือน สิงหาคม พ.ศ. 2532 เวลา 14.20 นาฬิกา แม่เล่าให้ฉันฟังว่าต้องที่กำลังจะคลอดฉันนั้นฝนก็ตกลงมาแม่เฉียบพลันละแรงมากเลย ในขณะนี้ดิฉันก็ได้มีอายุ 20 ปี
ที่อยู่ปัจจุบัน 58/43 ถ.ศรีจันทร์ อ.เมือง จ.ขอนแก่น 40000
ประวัติทางด้านการศึกษา
อนุบาล1-3 ศึกษาที่โรงเรียนราชอุทิศวิทยาลัย
ประถมศึกษา1-6 ศึกษาที่โรงเรียนฮั้วเคี้ยววิทยาลัย
มัธยมศึกษาปีที่ 1-3 ศึกษาที่โรงเรียนสิริเกศน้อมเกล้า
มัธยมศึกษาปีที่4-6 ศึกษาที่โรงเรียนขอนแก่นวิทยายน2
ประจุบันกำลังศึกษาที่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม คณะศึกษาศาสตร์ สาขาวิชาจิตวิทยา
ชั้นปีที่2 ก่อนหน้านี้ดิฉันเรียนคณะการท่องเที่ยวและการโรงแรม
ประวัติทางด้านครอบครัว
มีทั้งหมด 5 คนประกอบไปด้วย พ่อ แม่ พี่ชาย น้องชาย และดิฉัน ครอบครัวของข้าพเจ้าเป็นครอบครัวที่อบอุ่นเป็นระยะ ระยะ ........
คติประจำใจ..... ปัญหาทุกอย่างย่อมมีทางแก้ไขและทางออกที่ดีเสมอ
กิจกรรมเวลาว่าง....... ฟังเพลง ดูหนัง ออนเอ็ม เล่นhi5 หารายได้พิเศษ ((ประมาณงก 555+))
นิสัยโดยส่วนตัว...... ร่าเริง ยิ้มเก่ง เข้ากับผู้อื่นได้ง่าย
อาหารที่ชอบ...ทุกๆอย่างยกเว้นผัดและผลไม้
.............................................................................................
เรื่องราวความรักของเพื่อนร่วมห้องในชั้นเรียน
ดิฉันเคยคบกับเพื่อนในห้องเรียนเดียวกันเมื่อวันที่ 2 เดือน มกราคม พ.ศ.2550 จนมาถึงวันที่ดิฉันถุกบอกเลิกเมื่อวันที่ 31 ธันวาคาม พ.ศ. 2550 เวลา 00.00 ของคืนวันที่1 เดือนมกราคม พ.ศ .2551 ซึ่งในขณะนนั้นดิฉันเสียใจมากเรยที่ถูกบอกเลิก และมันเป็นของขวัญชิ้นใหญ่มากที่ดิฉันเคยได้รับชิ้นแรกในวันปีใหม่ สภาวะความรู้สึกในตอนนั้นดิฉันเสียใจมาก จนต้องนอนร้องไห้ทั้งคืนและที่ดิฉันเสียใจมากกว่านั้นคือแฟนใหม่ของคนที่ดิฉันเคยคบเป็นเด็กน้อยอายุ14ปี เด็กน้อยคนนั้น แรงมาก ๆ แรงจนกว่าดิฉันจะให้อภัย ดิฉันใช่เวลาในการร้องไห้กับการเสียใจครั้งนี้เป็นเวลานับ 3 เดือน แต่ถ้าพูดจริงจนถึงทุกวันนี้ดิฉันยังไม่เคยลืมเขาคนนั้นเลย ดิฉันยังอยากที่จะเห็นน่า ยังอยากที่จะคอยดูแลอยู่เสมอ ทั้งๆที่มันเป็นไปไม่ได้เลย.......
รักครั้ง2ของดิฉันนั้นก้อคือการแอบรักเพื่อนอีกคนในห้องเรียนเดียวกัน ดิฉันมีความรู้สึกกับเพื่อนคนนี้เริ่มต้นด้วยมิตรภาพ และค่อยๆเริ่มการพัฒนาๆไปเรื่อยจนการเป็นความรู้สึกที่เกินกว่าคำว่าเพื่อน ดิฉันแอบรักเพื่อนคนนี้มา 4ปีแล้ว เพื่อนคนนี้มีชื่อว่าต๊ะ เรียนที่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ความรู้สึกของดิฉันในตอนนี้ มีมากมายจนเกินเลยอยู่ตลอดเวลา ยิ่งเพื่อนของดิฉันไปไหนมาไหนกับดิฉันมากๆ ดิฉันก็ยิ่งมีแต่ความสุขและยิ่งรักขึ้นเรื่อยๆ จนดิฉันทนไม่ไหวอยากจะบอกความรู้สึกที่มีให้กับเพื่อนดิฉันได้ฟัง ดิฉันจึงลองคิดและรวบรวมความรู้สึกทั้งหมดที่มีเพื่อที่จะบอกรักเพื่อน และดิฉันก็ได้บอกรักเพื่อนของฉันจริงๆ ดิฉันรู้สึกอายมากๆในขณะที่พูดความในใจออกไปให้กับคนที่ดีฉันแอบรัก แต่พอเขาได้ยินคำที่ดินฉันพูดออกมานั้นเขาถึงกับก้มน่าแล้วตอบดิฉันกลับมาว่า แกมาบอกอะไรฉันตอนนี้ มันไม่สายเกินไปหรอ แล้วทำไมที่ผ่านมาแกไม่พูดมาออกมา.......พอดิฉันได้ยินคำพูดที่เขาตอบดิฉันตอบกลับมา ดิฉันถึงกับตกใจแล้วก็มีความรู้สึกว่าทำไมฉันโง่จังเลย ทำไมเหมือนก่อนถึงไม่พูดมันออกมา! ดิฉันถึงกับน้ำตาลซึม และยิ้มให้กับเขาคนนั้น แล้วก็ขอบคุณทุกๆอย่างที่มีให้กัน ขอบคุณความรักที่เคยมีให้.....สุดท้ายเรื่องก็จบโดยการรอคอยใครสักคนอย่างมีความหวังและรอต่อไปทั้งๆที่รู้ตัวว่ามันคงเป็นไปไม่ได้(((ถ้าเขาคนนั้นไม่เลิกกับแฟน)))...สาธุ!ขอให้เลิกกันเร็วๆๆๆด้วยนะ!
หมายุเหตุ: เพื่อนรัก รักเพื่อน.....ฉันไม่ได้รักแกในฐานนะเพื่อนเข้าใจไหม
เรื่องราวความรักของเพื่อนร่วมห้องในชั้นเรียน
ดิฉันเคยคบกับเพื่อนในห้องเรียนเดียวกันเมื่อวันที่ 2 เดือน มกราคม พ.ศ.2550 จนมาถึงวันที่ดิฉันถุกบอกเลิกเมื่อวันที่ 31 ธันวาคาม พ.ศ. 2550 เวลา 00.00 ของคืนวันที่1 เดือนมกราคม พ.ศ .2551 ซึ่งในขณะนนั้นดิฉันเสียใจมากเรยที่ถูกบอกเลิก และมันเป็นของขวัญชิ้นใหญ่มากที่ดิฉันเคยได้รับชิ้นแรกในวันปีใหม่ สภาวะความรู้สึกในตอนนั้นดิฉันเสียใจมาก จนต้องนอนร้องไห้ทั้งคืนและที่ดิฉันเสียใจมากกว่านั้นคือแฟนใหม่ของคนที่ดิฉันเคยคบเป็นเด็กน้อยอายุ14ปี เด็กน้อยคนนั้น แรงมาก ๆ แรงจนกว่าดิฉันจะให้อภัย ดิฉันใช่เวลาในการร้องไห้กับการเสียใจครั้งนี้เป็นเวลานับ 3 เดือน แต่ถ้าพูดจริงจนถึงทุกวันนี้ดิฉันยังไม่เคยลืมเขาคนนั้นเลย ดิฉันยังอยากที่จะเห็นน่า ยังอยากที่จะคอยดูแลอยู่เสมอ ทั้งๆที่มันเป็นไปไม่ได้เลย.......
รักครั้ง2ของดิฉันนั้นก้อคือการแอบรักเพื่อนอีกคนในห้องเรียนเดียวกัน ดิฉันมีความรู้สึกกับเพื่อนคนนี้เริ่มต้นด้วยมิตรภาพ และค่อยๆเริ่มการพัฒนาๆไปเรื่อยจนการเป็นความรู้สึกที่เกินกว่าคำว่าเพื่อน ดิฉันแอบรักเพื่อนคนนี้มา 4ปีแล้ว เพื่อนคนนี้มีชื่อว่าต๊ะ เรียนที่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ความรู้สึกของดิฉันในตอนนี้ มีมากมายจนเกินเลยอยู่ตลอดเวลา ยิ่งเพื่อนของดิฉันไปไหนมาไหนกับดิฉันมากๆ ดิฉันก็ยิ่งมีแต่ความสุขและยิ่งรักขึ้นเรื่อยๆ จนดิฉันทนไม่ไหวอยากจะบอกความรู้สึกที่มีให้กับเพื่อนดิฉันได้ฟัง ดิฉันจึงลองคิดและรวบรวมความรู้สึกทั้งหมดที่มีเพื่อที่จะบอกรักเพื่อน และดิฉันก็ได้บอกรักเพื่อนของฉันจริงๆ ดิฉันรู้สึกอายมากๆในขณะที่พูดความในใจออกไปให้กับคนที่ดีฉันแอบรัก แต่พอเขาได้ยินคำที่ดินฉันพูดออกมานั้นเขาถึงกับก้มน่าแล้วตอบดิฉันกลับมาว่า แกมาบอกอะไรฉันตอนนี้ มันไม่สายเกินไปหรอ แล้วทำไมที่ผ่านมาแกไม่พูดมาออกมา.......พอดิฉันได้ยินคำพูดที่เขาตอบดิฉันตอบกลับมา ดิฉันถึงกับตกใจแล้วก็มีความรู้สึกว่าทำไมฉันโง่จังเลย ทำไมเหมือนก่อนถึงไม่พูดมันออกมา! ดิฉันถึงกับน้ำตาลซึม และยิ้มให้กับเขาคนนั้น แล้วก็ขอบคุณทุกๆอย่างที่มีให้กัน ขอบคุณความรักที่เคยมีให้.....สุดท้ายเรื่องก็จบโดยการรอคอยใครสักคนอย่างมีความหวังและรอต่อไปทั้งๆที่รู้ตัวว่ามันคงเป็นไปไม่ได้(((ถ้าเขาคนนั้นไม่เลิกกับแฟน)))...สาธุ!ขอให้เลิกกันเร็วๆๆๆด้วยนะ!
หมายุเหตุ: เพื่อนรัก รักเพื่อน.....ฉันไม่ได้รักแกในฐานนะเพื่อนเข้าใจไหม
..............................................................................................
นางสาวกานต์ธิดา สินสิทธิประเสริฐ
รหัสนิสิต 51010515039 ชั้นปี2
ประวัติโดยทั่วๆไป!!!!!!!
ชื่อแต่ดั้งเดิม...เด็กหญิงสุภาวดี แซ่ลิ้ม
ก็เลยเปลี่ยนมาเป็น นางสาวกานต์ธิดา สินสิทธิประเสริฐ
ชื่อเล่น...... บี เพศ หญิง แอบปนเชื้อสายจีนมาทางด้านพ่อมาเล็กน้อย
เกิดเมื่อ.....วันพุธ ที่ 30 เดือน สิงหาคม พ.ศ. 2532 เวลา 14.20 นาฬิกา แม่เล่าให้ฉันฟังว่าต้องที่กำลังจะคลอดฉันนั้นฝนก็ตกลงมาแม่เฉียบพลันและแรงมากเลย ในขณะนี้ดิฉันก็ได้มีอายุ 20 ปี
ที่อยู่ปัจจุบัน 58/43 ถ.ศรีจันทร์ อ.เมือง จ.ขอนแก่น 40000
ประวัติทางด้านการศึกษา
นุบาล1-3 ศึกษาที่โรงเรียนราชอุทิศวิทยาลัย
ประถมศึกษา1-6 ศึกษาที่โรงเรียนฮั้วเคี้ยววิทยาลัย
มัธยมศึกษาปีที่ 1-3 ศึกษาที่โรงเรียนสิริเกศน้อมเกล้า
มัธยมศึกษาปีที่4-6 ศึกษาที่โรงเรียนขอนแก่นวิทยายน2
ประจุบันกำลังศึกษาที่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม คณะศึกษาศาสตร์ สาขาวิชาจิตวิทยา
ชั้นปีที่2 ก่อนหน้านี้ดิฉันเรียนคณะการท่องเที่ยวและการโรงแรม
ประวัติทางด้านครอบครัว
มีทั้งหมด 5 คนประกอบไปด้วย พ่อ แม่ พี่ชาย น้องชาย และดิฉัน ครอบครัวของข้าพเจ้าเป็นครอบครัวที่อบอุ่นเป็นระยะ ระยะ ........
คติประจำใจ..... ปัญหาทุกอย่างย่อมมีทางแก้ไขและทางออกที่ดีเสมอ
กิจกรรมเวลาว่าง....... ฟังเพลง ดูหนัง ออนเอ็ม เล่นhi5 หารายได้พิเศษ ((ประมาณงก 555+))
นิสัยโดยส่วนตัว...... ร่าเริง ยิ้มเก่ง เข้ากับผู้อื่นได้ง่าย
อาหารที่ชอบ...ทุกๆอย่างยกเว้นผัดและผลไม
โดยที่ข้าพเจ้าได้เข้าศึกษาในสถาบันแห่งนี้ด้วยการสมัครโควต้ารับตรงในคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ผังเมืองและนฤมิตศิลป์โดยที่ทางผู้ปกครองยังไม่ค่อยเห็นด้วยในการตัดสินใจครั้งนี้เนื่องจากเป็นคณะที่ไม่ตรงกับที่เคยเรียนมาและผู้ปกครองไม่อยากให้เรียน ข้าพเจ้าจึงขออนุญาตผู้ปกครองว่าขอเรียนดูก่อนว่าจะเป็นอย่างไรถ้าไม่ไหวจึงจะเรียนในคณะอื่น เมื่อได้เข้ามาเรียนแล้วจึงทำให้ข้าพเจ้าได้รู้ว่าจากการที่ได้เรียนสายวิทย์-คณิตมานั้นไม่ค่อยได้นำมาใช้ในการเรียนสักเท่าไรและได้เริ่มรู้ว่าไม่ถนัดกับคณะนี้จึงได้ปรึกษาผู้ปกครอง และท่านก็ได้ให้ตัดสินใจว่าจะเลือกที่จะสอบเรียนใหม่หรือจะทำการย้ายคณะให้ตรงตามความถนัดของข้าพเจ้า โดยที่ท่านได้บอกว่าตอนนี้หลายๆโรงเรียนต้องการครู อาจารย์ หลายอัตราจึงอยากให้เรียนในคณะศึกษาศาสตร์ และข้าพเจ้าจึงได้ไปปรึกษากับอาจารย์ที่เคยสอนตอนอยู่มัธยมท่านจึงบอกว่าทางโรงเรียนต้องการครูแนะแนว ซึ่งครูที่อยู่ฝ่ายแนะแนวปัจจุบันท่านจะเลื่อนไปเป็นผู้บริหารอีก 2 ปีและไม่ค่อยมีคนที่จบในสาขานี้ที่ตรงกับความต้องการ และคุณครูยังบอกว่าข้าพเจ้าก็เป็นคนที่เคยให้คำปรึกษาคนอื่นได้น่าจะเรียนกับสาขาที่เกี่ยวกับการแนะแนว ข้าพเจ้าจึงได้ตัดสินใจที่จะย้ายคณะมาเรียนคณะศึกษาศาสตร์ เอกจิตวิทยา เมื่อเข้ามาเรียนคณะนี้แล้วรู้สึกว่าข้าพเจ้าได้ทำในสิ่งที่ได้เคยทำหรือได้ทำผ่านมาแล้วทำให้มีความกระตือรือร้น เอาใจใส่มากกว่าเดิม เพื่อนๆพี่ๆน้องๆ ที่อยู่เอกนี้ก็ทักทายพูดคุยกับข้าพเจ้าอย่างเป็นกันเอง เมื่อมาถึงวันนี้ข้าพเจ้าคิดว่าสิ่งนี้แหละคือสิ่งที่เหมาะกับข้าพเจ้า
จากวันนี้ข้าพเจ้าได้รู้แล้วว่าการที่ผู้ปกครองแนะนำหรืออยากให้ทำนั้นท่านได้รู้แล้วว่าตัวเราเองสามารถทำหรือถนัดในสิ่งนั้นท่านจึงแนะนำ ควรที่จะกระทำหรือปฏิบัติตามในสิ่งที่เห็นควร
นายอธิวัฒน์ สุนารักษ์ 51011111056 ระบบปกติ
ประวัตินิสิตสาขาจิตวิทยาปี 1
ตั้งแต่เกิดจนโตเบลล์เป็นคนเอาแต่ใจมาก ถ้ามีใครมาขัดใจจะเดินออกไปนอกบ้านแล้วก็เดินไปเรื่อยๆแบบไร้จุดหมาย จนบางครั้งทั้งตระกูลก็ว่าได้ไม่ว่าจะเป็น ลุง ป้า น้า อา พ่อ แม่ ต้องออกตามหา สุดท้ายก็ไปเจอเบลล์นอนอยู่ที่สวนยางพาราบ้าง ตามบ้านคนแถวบ้านบ้าง พ่อก็รีบเข้าไปอุ้มกลับบ้านทั้งที่หลับอยู่เพราะความอ่อนเพลีย ตอนนั้นก็ใกล็สว่างแล้ว เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นตอนเบลล์อยู่ป.3 พอสว่างมาทุกอย่างก็กลับมาเป็นปกติ จนทุกคนเริ่มชิน เกิดขึ้นบ่อยๆทุกคนก็ไม่ไปตามเพราะรู้ว่ายังไงก็กลับมาเอง เป็นอย่างนี้ตั้งแต่เด็กจนถึงปัจจุบันนี้ เรื่องเอาแต่ใจไม่มีใครเกิน แต่เรื่องดีๆก็เกิดขึ้นบ้างตามประสาคนอารมณ์แปรปรวน เช่นแอบๆเขียนการ์ดให้แม่ (แม่ดีใจจนร้องไห้เพราะเป็นเรื่องแปลกที่เบลล์จะทำ) แล้วก็มีทำกับข้าวให้แม่เรื่องนี้แม่ดีใจสุดๆเพราะเบลล์ทำไม่เป็น พอละๆมันไม่ค่อยมี การที่เป็นลูกคนแรกทำให้พ่อ แม่ แอบๆเอาใจทั้งที่ปู่ ย่า ตา ยาย บอกว่าอย่าเอาใจมากเดี๋ยวเคยตัว แม่บอกว่าเลี้ยงยากมากร้องไห้ข้ามวันข้ามคืน พอกินนมเสร็จก็ต้องนอนบนหน้าอกแม่ไม่งั้นจะร้องไห้อีก ว่าไปแล้วก็เลี้ยงยากมากนะเนี่ย ไม่รู้ว่าพ่อ แม่ ทนได้ไง เพราะรักมั้ง เหมือนกับเราที่โคตรรักพ่อกับแม่เลย ซึ้งอะ แงๆๆๆๆคิดถึงอยากกลับบ้านแล้ว
เริ่ม.....แนะนำตัว
ชื่อตามบัตรประจำตัวประชาชน นางสาวชลลดา ตันนารัตน์ ชื่อเล่นเบลล์ กรุ๊ปเลือด โอ
เพื่อนในกลุ่มเรียก ชายเบลล์ รหัสนิสิต 52010517065
E-mail Midnight_44@windowslive.com
เบอร์โทรฯที่สามารถติดต่อได้ตลอด 48 ชั่วโมง 080-7515601
อายุ18 ปี เกิดวัน อังคาร ที่ 30 เมษายน 2534 ราศีเมษ ที่อยู่บ้านเลขที่ 17/4 ต.วัดธาตุ อ.เมืองหนองคาย จ.หนองคาย 43000
หอพักปัจจุบันคือ หอเขียว (จริงๆแล้วยังไม่มีชื่อหรอกตั้งเองแหะๆ)
บิดาชื่อนายสุรเดช ตันนารัตน์ มารดาชื่อนางราตรี ตันนารัตน์ มีพี่น้อง 2 คนเป็นบุตรคนที่ 1
น้องสาวชื่อเด็กหญิงชลธิชา ตันนารัตน์ ชื่อเล่นเยล์ว อายุ 8 ปี เกิดวันเสาร์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ.2545
การศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย โรงเรียนปทุมเทพวิทยาคาร เรียนสายศิลป์-ภาษา(Gifted) จังหวัดหนองคาย
ความสามรถพิเศษทางด้านศิลปะ (จิตกรรมฝาผนัง) ขออธิบายนะ ศิลปคือความงาม
ที่ไม่อาจใช้เหตุผลบรรยายให้ซาบซึ้ง ศิลปแสดงความรัก และความพอใจ ทั้งเกิดขึ้นและสำเร็จลงด้วยสิ่งนั้นศิลปไม่ต้องการคำรับรอง เพราะศิลปะเป็นศิลปะสำหรับผู้มีศิลปะเท่านั้น บุลคลที่ให้เวลากับศิลปะเพื่อศิลปะ เขาก็คือศิลปิน ไร้อารมณ์ศิลปิน สัมผัสสิ่งใดก็ไม่หยั่งถึงแก่นของศิลปะ
ศิลปินที่แท้ ดำรงอิสระ และเสรีภาพไว้มั่นคง ศิลปินที่ไม่มีอิสระเสรีก็ไม่นับเป็นศิลปิน และผลงานของเขา ก็ไม่อาจนับเป็นศิลปะที่แท้
เวลาว่างชอบวาดรูป ดูทีวี ฟังเพลง โดยเฉพาะเพลงร็อค ศิลปินสุดปลื้ม Bodyslam และ Ster
การ์ตูนที่คลั่งไคล้ Keroro ขบวนการอ๊บๆป่วนโลก
สีที่ชอบนะ สีม่วง....เขียว....บ่งบอกถึงตัวเองดี
สัตว์โลกตัวโปรด ปลาทอง
คณะที่ใฝ่ฝันชื่นชอบมากเป็นพิเศษคือคณะศิปกรรมศาสตร์ สาขาจิตรกรรม มหาวิทยาลัยขอนแก่น แต่เนื่องจากบิดา มารดาไม่สนับสนุนจึงทำให้ไม่สามารถเรียนในคณะที่ใฝ่ฝันได้ ด้วยเหตุนี้ทำให้ต้องตัดสินใจเรียนในคณะที่ชื่นชอบรองลงมาคือคณะศึกษาศาสตร์ สาขาจิตวิทยา มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
อาชีพที่ใฝ่ฝันคือตำรวจหญิง (หน่วยสืบสวนสอบสวนพิเศษ) หรือทำงานในเรือนจำเพราะท้าทายดี
บุคลิกลักษณะนิสัย มีโลกส่วนตัวสูง ชอบเก็บอารมณ์ และความรู้สึก เอาแต่ใจแต่ก็ชอบดูแลเอาใจใส่คนอื่น เข้ากับคนอื่นได้ง่าย กลัวความผิดหวังสุด ชอบความอันตรายท้าทายเสี่ยงตาย ทำทุกอย่างอย่างเต็มที่ ไม่เผื่อใจ ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไรก็พยายามทำใจให้ชินและรับได้กับสิ่งที่เกิดขึ้น
ชมรมที่สังกัดอยู่และทำงานหามรุ่งหามค่ำคือชมรมครูบ้านนอก สังกัดสโมสรนิสิตคณะศึกษาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
เพื่อนสนิทในสาขาวิชาคือบุคคลเหล่านี้ที่คอยดูแลกันมาตลอด
1.นางสาวสุภาพร คำแสน (หญิงเล็ก มากๆ) ขอบใจที่คอยเตือนเรื่องกิน
2.นางสาววิราภรณ์ ทิพสุวรรณ์ (ลีจุนกิ) ขอบใจที่คอยเตือนเรื่องเรียน
3.นางสาวอรวรรณ สุทธลักษณ์ (หญิง แอบสวย) ขอบใจที่คอยเตือนเรื่องงาน เรื่องส่วนตัว
4นางสาวอนุชิดา คำสวัสดิ์ (พี่อ้วน) ขอบใจที่คอยกินเป็นเพื่อน
5.นายชยุติกร ศรีแสง (อีอ้น) ขอบใจที่คอยรับ-ส่ง
6.นางสาวปภารดา สิทธิอาภากุล (เจ๊กิ๊ฟจ๋า) ขอบใจเรื่องเงิน
7.นางสาวธนภรณ์ พุทธรักษ์ (เล็กจริงๆ) ขอบใจมิตรภาพที่ทำให้เราแอบห่วงใยกัน
8.นางสาวพรรณภา มาสาซ้าย (ป๋อมแป๋ม) ขอบใจสำหรับเสื้อตัวนั้น...และความคิดถึง
9.นางสาวสิริขวัญ ซาเฮา (ซนฮา) ขอบใจทุกการดูแล
10.นางสาวมณีรัตน์ บานหัวโทน (หัวโทน) ขอบใจคำปรึกษาที่แสนดี
เพื่อนสนิทต่างสาขาที่ทำให้หายเคลียดได้เสมอคือ สาขาปฐมวัย
นางสาวจินตนา สุ่มมาตย์ (ปลาแดก)
พี่ที่คุ้นเคยกันในสาขาที่คอยเอาใจใส่ดูแลเวลามีปัญหาคือ
ปี4 พี่ทราย (พี่เทค) พี่ตู่ พี่แจ็ค พี่เปิ้ล ฯลฯ
ปี3 พี่อ๊อฟ พี่อ้อม พี่เอ้ พี่เมย์ ฯลฯ
ปี2 พี่ยุ้ย พี่บิ๋ม พี่น้ำ ฯลฯ
พี่ที่สนิทนอกสาขาคือสาขาปฐมวัย ที่แอบๆเจอกันในชมรม (สนิทกันมากๆ)
1.นางสาวพรสุดา เพ็ชรเลิศ (คุณยายปลาทอง) พี่ขวัญ
2.นางสาวเดือนเพ็ญ ไกรวาปี (พี่ใหญ่) พี่จูน
3.นางสาวอรุโณทัย ระหา (เจ๊รุ่ง) พี่รุ่ง
ถึงแม้พี่ๆทุกคนไม่ได้เรียนสาขาเดียวกันแต่ก็ช่วยสอนให้น้องคนนี้รู้ว่า.........บางครั้ง
“ความเกรงใจ...ไม่คำนึงถึงผิดถูก.......เพราะต้องการ ทำให้ถูกใจ
การเอาใจ....... ไม่คำนึงถึงความพอดี......เพราะต้องการ ทำให้พอใจ
ความจริงใจ....ไม่คำนึงถึงความเหมาะสม......เพราะทำให้โดยไม่หวังผล
ความเห็นใจ...ไม่คำนึงถึงความสัมพันธ์และฐานะ......เพราะทำให้ด้วยใจจริง
ความเข้าใจ.....ไม่คำนึงถึงเหตุผล.......เพราะทำได้เหมาะสมตามกาล สถานที่ และบุคคล”
และนี่สำหรับเพื่อนที่แสนดีมากมาย...............................................................................
ไหล่ของฉัน มันไม่ได้มีความหมายเพียงเพื่อประคองหัวฉันไว้คนเดียวเท่านั้น แต่สามารถใช้มันเพื่อให้เพื่อนไว้พิงได้ด้วย
เสื้อของฉัน ไม่ได้มีไว้ห่อหุ้มร่างกายของฉันเพียงอย่างเดียว มันพร้อมจะเป็นที่เช็ดน้ำตา และสั่งขี้มูกของเพื่อน ถ้าต้องการ
แขนของฉัน ไม่ได้มีไว้จูงหมาเดินเล่น แต่มันสามารถใช้ประคองเพื่อนเมื่อเพื่อนจะล้ม.... แต่ถ้าเพื่อนล้มลงแล้ว ฉันก็ยังมีมืออีก 1 คู่ไว้ช่วยฉุดเพื่อนขึ้นมา
ปากของฉัน ไม่ได้มีไว้เพื่อกิน และพูดพล่ามทั้งวันหรอกนะ แต่มีไว้พูดให้กำลังใจเพื่อน
เมื่อถึงคราวจำเป็น
ตาของฉัน มีไว้เพียงเพื่อกระพริบขึ้นลงเสียเมื่อไหร่ ฉันเอาไว้ใช้มันมองสิ่งดีๆ ในตัวเพื่อนต่างหาก
ฟันของฉัน ก็ไม่ได้มีไว้กัดใครๆเขา แต่มีไว้เพื่อจะใช้มันประดับเหงือกทุกครั้งที่ฉันยิ้มให้เพื่อน
หูของฉัน ไม่ได้มีไว้เพื่อเจาะรูหูแขวนเครื่องประดับ แต่มันใช้ฟังเพื่อน เมื่อเพื่อน
ต้องการระบายอะไรออกมาให้ฉันฟัง
เท้าของฉัน ไม่ได้มีไว้เพื่อสะสมกลิ่น.. โอเคถึงมันจะมีบ้าง แต่ฉันจะใช้เท้าเพื่อเดินอยู่ข้างๆ เพื่อนนี่แหละ จะไม่ไปไหนไกล
สมองของฉัน อาจจะไม่ค่อยมีประโยชน์เวลาสอบนัก แต่มันจะทำงานหนักเพื่อเพื่อนต้องการความช่วยเหลือ
ส่วนพวกตับ ไต ไส้ กระเพาะ ม้าม เซี่ยงจี๊ ของฉัน .... มันมีไว้ทำหน้าที่ของมันน่ะแหละ แต่ถ้าเพื่อนต้องการมันอย่างเร่งด่วน แต่ฉันยินดีสละให้ (อย่างละครึ่งเท่านั้นนะ !!)
และหัวใจของฉัน ก็ไม่ได้มีไว้สูบฉีดเลือดเพียงอย่างเดียว แต่มันทำหน้าที่เก็บเพื่อนไว้ข้างในอีกด้วย...
ถึงสิ่งที่ทำนั้นยังไม่เต็มที่ยังดีไม่เพียงพอสักวันมันจะเกินพอและล้นใจสำหรับ “เพื่อน”
สิ่งที่ยากคือการเริ่มต้น
แต่สิ่งที่ยากกว่าคือการไม่คิดเริ่มต้นเลย
ความฝันของเราจะเป็นจริงไม่ได้
ถ้าหากเรานั้นไม่ลงมือทำ
ดิฉันนางสาวสุภาพร คำแสน เกิดวันที่ 2 ธันวาคม 2532 ปัจจุบันนี้อายุ 20ปี 1 เดือน กรุ๊ปเลือด โอ มีนิสัยร่าเริง ขำๆซุ่มซ่าม แต่จริงใจ รักครอบครัว และรักเพื่อน เมื่อตอนเด็กแม่เล่าให้ฟังว่าดิฉันเป็นไม่ชอบกินนมแม้แต่นมแม่ยังไม่กินอยากกินเลย เป็นเด็กขี้แยเลี้ยงยาก และชอบป่วยอยู่บ่อยๆทำให้แม่ต้องเหนื่อยกับดิฉันมาก พอได้ฟังยิ่งทำให้ฉันรักแม่มาก พ่อกับแม่ดิฉันแต่งงานกันแต่ไม่ได้จดทะเบียนสมรส แต่ดิฉันใช้นามสกุลพ่อ พ่อกับแม่แยกทางกันตั้งแต่ฉันยังเล็ก พ่อแต่งงานใหม่ ส่วนฉันอยู่กับแม่ฉันสนิทกับยายมากยายเลี้ยงฉันมาตั้งแต่เล็กและยายก็รักฉันมากกว่าในบรรดาลูกหลานทั้งหมด มีเหตุการณ์หนึ่งที่เกี่ยวกับยายที่ฉันจำได้ขึ้นใจ มันเป็นวันที่ฉันเสียใจมากที่สุดในชีวิต คือว่ายายฉันมีโรคประจำตัวอยู่แล้วแต่ฉันไม่รู้หรอกว่าเป็นโรคอะไร ตอนเย็นวันนั้นยายก็เข้าไปอาบน้ำตามปกติ ส่วนแม่กับป้าก็ไปคุยกับเพื่อนบ้านที่หน้าบ้าน ฉันเล่นอยู่ในบ้านและก็ได้ยินเสียงยายเรียกชื่อแม่กับชื่อป้า ฉันรีบวิ่งไปหายายที่ห้องน้ำฉันเรียกยาย ยายเป็นไร ฉันเห็นยาย “ยายล้ม” ฉันรีบวิ่งไปบอกแม่ฉันไปด้วยร้องไห้ไปด้วยแม่เห็นแม่รีบถามว่าเป็นอะไร ยาย “ยายล้มในห้องน้ำ” แล้วแม่กับป้ารีบวิ่งไปดูยายและพายายไปหาหมอ พอไปถึงโรงพยาบาลยังไม่ทันได้รักษา ยายก็สิ้นลมหายใจแล้ว เมื่อทุกคนรู้แทบกลั้นร้องไห้ไม่อยู่ แล้วแม่ก้อมาบอกฉันว่าต่อไปนี้ยายคงไม่ได้อยู่กับเราแล้ว ฉันร้องไห้จะเป็นจะตายฉันถามว่ายายเป็นอะไรแต่ไม่มีใครตอบเลย ตั้งแต่วันนั้นฉันก็ไม่สบายและก็ไม่ยอมกินอะไรเลย ฉันไปงานศพยายฉันก็ร้องไห้ไม่หยุดเหมือนจะตายตามยายไปป้าเอาขนมมาให้ก็ไม่เอา สุดท้ายแม่ได้ไปจุดธูปบอกยายว่าจะดูแลฉันให้ดีที่สุดและบอกว่าไม่ต้องเป็นห่วงหลาน แล้วอาการฉันก็ค่อยๆดีขึ้น พอพูดถึงเรื่องนี้ทีไรฉันก็น้ำตาไหลทุกที แล้วฉันก็กลายเป็นคนขี้อาย ขี้แย และขี้กลัวตั้งแต่นั้นมา
พออายุเริ่มเข้าโรงเรียนได้แล้วแม่ก็พาฉันไปฝากเข้าเรียนที่โรงเรียนชุมชนเทศบาล3 ( พินิจพิทยานุสรณ์ ) ฉันเข้าอนุบาล 1 ถึงอนุบาล 3 ที่นั้น ฉันชอบโดนแกล้งอยู่บ่อยๆเพื่อนผู้ชายชอบแอบมาเปิดกระโปรง ฉันไม่ชอบและก็ร้องไห้ไปฟ้องครู พอเรียนจบชั้นอนุบาล 3 แทนที่จะได้เลื่อนขั้นแต่ว่าผู้อำนวยการไม่ยอมให้เลื่อนชั้นแม่เลยมาถาม
สิ่งที่ยากคือการเริ่มต้น
แต่สิ่งที่ยากกว่าคือการไม่คิดเริ่มต้นเลย
ความฝันของเราจะเป็นจริงไม่ได้
ถ้าหากเรานั้นไม่ลงมือทำ
ดิฉันนางสาวสุภาพร คำแสน เกิดวันที่ 2 ธันวาคม 2532 ปัจจุบันนี้อายุ 20ปี 1 เดือน กรุ๊ปเลือด โอ มีนิสัยร่าเริง ขำๆซุ่มซ่าม แต่จริงใจ รักครอบครัว และรักเพื่อน เมื่อตอนเด็กแม่เล่าให้ฟังว่าดิฉันเป็นไม่ชอบกินนมแม้แต่นมแม่ยังไม่กินอยากกินเลย เป็นเด็กขี้แยเลี้ยงยาก และชอบป่วยอยู่บ่อยๆทำให้แม่ต้องเหนื่อยกับดิฉันมาก พอได้ฟังยิ่งทำให้ฉันรักแม่มาก พ่อกับแม่ดิฉันแต่งงานกันแต่ไม่ได้จดทะเบียนสมรส แต่ดิฉันใช้นามสกุลพ่อ พ่อกับแม่แยกทางกันตั้งแต่ฉันยังเล็ก พ่อแต่งงานใหม่ ส่วนฉันอยู่กับแม่ฉันสนิทกับยายมากยายเลี้ยงฉันมาตั้งแต่เล็กและยายก็รักฉันมากกว่าในบรรดาลูกหลานทั้งหมด มีเหตุการณ์หนึ่งที่เกี่ยวกับยายที่ฉันจำได้ขึ้นใจ มันเป็นวันที่ฉันเสียใจมากที่สุดในชีวิต คือว่ายายฉันมีโรคประจำตัวอยู่แล้วแต่ฉันไม่รู้หรอกว่าเป็นโรคอะไร ตอนเย็นวันนั้นยายก็เข้าไปอาบน้ำตามปกติ ส่วนแม่กับป้าก็ไปคุยกับเพื่อนบ้านที่หน้าบ้าน ฉันเล่นอยู่ในบ้านและก็ได้ยินเสียงยายเรียกชื่อแม่กับชื่อป้า ฉันรีบวิ่งไปหายายที่ห้องน้ำฉันเรียกยาย ยายเป็นไร ฉันเห็นยาย “ยายล้ม” ฉันรีบวิ่งไปบอกแม่ฉันไปด้วยร้องไห้ไปด้วยแม่เห็นแม่รีบถามว่าเป็นอะไร ยาย “ยายล้มในห้องน้ำ” แล้วแม่กับป้ารีบวิ่งไปดูยายและพายายไปหาหมอ พอไปถึงโรงพยาบาลยังไม่ทันได้รักษา ยายก็สิ้นลมหายใจแล้ว เมื่อทุกคนรู้แทบกลั้นร้องไห้ไม่อยู่ แล้วแม่ก้อมาบอกฉันว่าต่อไปนี้ยายคงไม่ได้อยู่กับเราแล้ว ฉันร้องไห้จะเป็นจะตายฉันถามว่ายายเป็นอะไรแต่ไม่มีใครตอบเลย ตั้งแต่วันนั้นฉันก็ไม่สบายและก็ไม่ยอมกินอะไรเลย ฉันไปงานศพยายฉันก็ร้องไห้ไม่หยุดเหมือนจะตายตามยายไปป้าเอาขนมมาให้ก็ไม่เอา สุดท้ายแม่ได้ไปจุดธูปบอกยายว่าจะดูแลฉันให้ดีที่สุดและบอกว่าไม่ต้องเป็นห่วงหลาน แล้วอาการฉันก็ค่อยๆดีขึ้น พอพูดถึงเรื่องนี้ทีไรฉันก็น้ำตาไหลทุกที แล้วฉันก็กลายเป็นคนขี้อาย ขี้แย และขี้กลัวตั้งแต่นั้นมา
พออายุเริ่มเข้าโรงเรียนได้แล้วแม่ก็พาฉันไปฝากเข้าเรียนที่โรงเรียนชุมชนเทศบาล3 ( พินิจพิทยานุสรณ์ ) ฉันเข้าอนุบาล 1 ถึงอนุบาล 3 ที่นั้น ฉันชอบโดนแกล้งอยู่บ่อยๆเพื่อนผู้ชายชอบแอบมาเปิดกระโปรง ฉันไม่ชอบและก็ร้องไห้ไปฟ้องครู พอเรียนจบชั้นอนุบาล 3 แทนที่จะได้เลื่อนขั้นแต่ว่าผู้อำนวยการไม่ยอมให้เลื่อนชั้นแม่เลยมาถาม
สิ่งที่ยากคือการเริ่มต้น
แต่สิ่งที่ยากกว่าคือการไม่คิดเริ่มต้นเลย
ความฝันของเราจะเป็นจริงไม่ได้
ถ้าหากเรานั้นไม่ลงมือทำ
ดิฉันนางสาวสุภาพร คำแสน เกิดวันที่ 2 ธันวาคม 2532 ปัจจุบันนี้อายุ 20ปี 1 เดือน กรุ๊ปเลือด โอ มีนิสัยร่าเริง ขำๆซุ่มซ่าม แต่จริงใจ รักครอบครัว และรักเพื่อน เมื่อตอนเด็กแม่เล่าให้ฟังว่าดิฉันเป็นไม่ชอบกินนมแม้แต่นมแม่ยังไม่กินอยากกินเลย เป็นเด็กขี้แยเลี้ยงยาก และชอบป่วยอยู่บ่อยๆทำให้แม่ต้องเหนื่อยกับดิฉันมาก พอได้ฟังยิ่งทำให้ฉันรักแม่มาก พ่อกับแม่ดิฉันแต่งงานกันแต่ไม่ได้จดทะเบียนสมรส แต่ดิฉันใช้นามสกุลพ่อ พ่อกับแม่แยกทางกันตั้งแต่ฉันยังเล็ก พ่อแต่งงานใหม่ ส่วนฉันอยู่กับแม่ฉันสนิทกับยายมากยายเลี้ยงฉันมาตั้งแต่เล็กและยายก็รักฉันมากกว่าในบรรดาลูกหลานทั้งหมด มีเหตุการณ์หนึ่งที่เกี่ยวกับยายที่ฉันจำได้ขึ้นใจ มันเป็นวันที่ฉันเสียใจมากที่สุดในชีวิต คือว่ายายฉันมีโรคประจำตัวอยู่แล้วแต่ฉันไม่รู้หรอกว่าเป็นโรคอะไร ตอนเย็นวันนั้นยายก็เข้าไปอาบน้ำตามปกติ ส่วนแม่กับป้าก็ไปคุยกับเพื่อนบ้านที่หน้าบ้าน ฉันเล่นอยู่ในบ้านและก็ได้ยินเสียงยายเรียกชื่อแม่กับชื่อป้า ฉันรีบวิ่งไปหายายที่ห้องน้ำฉันเรียกยาย ยายเป็นไร ฉันเห็นยาย “ยายล้ม” ฉันรีบวิ่งไปบอกแม่ฉันไปด้วยร้องไห้ไปด้วยแม่เห็นแม่รีบถามว่าเป็นอะไร ยาย “ยายล้มในห้องน้ำ” แล้วแม่กับป้ารีบวิ่งไปดูยายและพายายไปหาหมอ พอไปถึงโรงพยาบาลยังไม่ทันได้รักษา ยายก็สิ้นลมหายใจแล้ว เมื่อทุกคนรู้แทบกลั้นร้องไห้ไม่อยู่ แล้วแม่ก้อมาบอกฉันว่าต่อไปนี้ยายคงไม่ได้อยู่กับเราแล้ว ฉันร้องไห้จะเป็นจะตายฉันถามว่ายายเป็นอะไรแต่ไม่มีใครตอบเลย ตั้งแต่วันนั้นฉันก็ไม่สบายและก็ไม่ยอมกินอะไรเลย ฉันไปงานศพยายฉันก็ร้องไห้ไม่หยุดเหมือนจะตายตามยายไปป้าเอาขนมมาให้ก็ไม่เอา สุดท้ายแม่ได้ไปจุดธูปบอกยายว่าจะดูแลฉันให้ดีที่สุดและบอกว่าไม่ต้องเป็นห่วงหลาน แล้วอาการฉันก็ค่อยๆดีขึ้น พอพูดถึงเรื่องนี้ทีไรฉันก็น้ำตาไหลทุกที แล้วฉันก็กลายเป็นคนขี้อาย ขี้แย และขี้กลัวตั้งแต่นั้นมา
พออายุเริ่มเข้าโรงเรียนได้แล้วแม่ก็พาฉันไปฝากเข้าเรียนที่โรงเรียนชุมชนเทศบาล3 ( พินิจพิทยานุสรณ์ ) ฉันเข้าอนุบาล 1 ถึงอนุบาล 3 ที่นั้น ฉันชอบโดนแกล้งอยู่บ่อยๆเพื่อนผู้ชายชอบแอบมาเปิดกระโปรง ฉันไม่ชอบและก็ร้องไห้ไปฟ้องครู พอเรียนจบชั้นอนุบาล 3 แทนที่จะได้เลื่อนขั้นแต่ว่าผู้อำนวยการไม่ยอมให้เลื่อนชั้นแม่เลยมาถามท่านเลยบอกว่าฉันเกิดปลายปีและยังตัวเล็กที่สุดให้ห้องเลยไม่ให้เลื่อนชั้น แม่เลยให้ฉันย้ายโรงเรียนไปเรียนต่อกับป้าที่อยู่อำเภอท่าอุเทน ฉันไปเรียนต่ออนุบาล 3 ที่โรงเรียนบ้านท่าอุเทน แล้วแม่ก็ไปทำงานที่กรุงเทพ วันเปิดเทอมวันแรกแม่ก็มาส่งฉันที่โรงเรียนแล้วพากันถ่ายรูป ฉันมาเรียนที่นี้กับพี่ชายอีกหนึ่งคนเป็นลูกของป้าเราห่างกัน1ปี พอถึงเวลาที่ขึ้นห้องเรียนฉันไม่ยอมขึ้นจะกลับกับแม่ท่าเดียว ฉันร้องไห้กลัวแม่จากฉันไปฉันเกาะแขนไว้แล้วอาจารย์ก็มาดึงฉันไว้สุดท้ายแม่ก็กลับบ้านไป ถึงเวลาเลิกเรียนฉันรีบกลับบ้านเพื่อไปหาแม่แต่ก็ไม่เห็นแม่ ฉันร้องไห้ ดังขึ้นดังขึ้น ถามป้าว่าแม่ไปไหน ป้าบอกว่าแม่ไปทำงาน เราต้องตั้งใจเรียน เป็นเด็กดีแล้วแม่จะได้กลับมาหาเราส่วนพี่ชายของฉันถึงจะไม่เห็นพี่ร้องไห้แต่ก็แอบร้องไห้ ฉันเข้าใจน่ะว่าพี่คงคิดถึงแม่เหมือนกัน ฉันเขียนจดหมายไปหาแม่ทุกอาทิตย์ ฉันเรียนจบประถมศึกษาปีที่1แม่ก็กลับมาเยี่ยมฉันแล้วพาผู้ชายคนนึงมาด้วยท่าทางดูใจดี แม่บอกว่าเรียนจบ ประถมศึกษาปี่ที่ 2 แล้วให้ย้ายกลับไปอยู่กับตาที่นครพนมน่ะ ฉันก็ไม่เข้าหรอกว่าทำไมต้องย้ายไปอยู่กับตาด้วยเพราะฉันอยู่กับป้าก็สบายดีอยู่แล้ว แล้วแม่ก็กลับไปทำงานต่อ ครั้งฉันไม่ร้องไห้หรอกแต่ฉันไม่พูดกับใครเลย ฉันตั้งใจเรียนลุงกับป้าก็คอยสอนการบ้านฉันทุกวันแต่พี่ฉันกลับขี้เกียดไม่ชอบทำการบ้านเลยโดนลุงดุทุกวัน ฉันเรียนจบเลื่อนชั้นเป็นประถมศึกษาปีที่ 2 และย้ายไปอยู่กับตาก็ดีค่ะพอยายตายไปแล้วตาฉันก็มียายใหม่ให้ฉันยายคนนี้ก็ดีน่ะใจดีไม่เคยว่าฉันเลยครอบครัวยายคนใหม่ก็ดูแลฉันดีฉัน
ปิดเทอมหมดอายุการเป็นนักเรียนสิ้นการไปเรียนเช้าเย็นกลับแต่ก็คิดถึงเหมือนกันคิดถึงเพื่อนคิดถึงโรงเรียนคิดถึงอาจารย์ทุกท่าน ปิดเทอมนี้คงยาวนานกว่าทุกครั้งฉันเลยไปเที่ยวกับป้าฉันไปอยู่กับป้าที่สงขลาเพื่อรอผลประกาศ เมื่อถึงวันที่ฉันรอคอยคือวันประกาศผลฉันตื่นเต้นมากนั่งลุ้นอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ นางสาวสุภาพร คำแสน ผ่าน คณะศึกษาศาสตร์ สาขาจิตวิทยา มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ฉันดีใจมากและรีบโทรศัพท์บอกแม่ แม่ดีใจด้วยมากและถามว่าจะกลับมาบ้านวันไหนฉันเลยต้องกลับบ้านเพื่อไปเตรียมตัวสอบสัมภาษณ์และแล้วฉันก็สอบผ่านหมดทุกอย่างและได้เข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม คณะศึกษาศาสตร์ สาขาจิตวิทยา ฉันสัญญาว่าจะตั้งใจเรียนเพื่อพ่อกับแม่เพื่อที่จะได้ทำงานในสิ่งที่อยากทำแล้วกลับไปตอบแทนบุญคุณท่าน และมีความฝันอีกอย่างที่ดิฉันอยากทำ คืออยากเปิดรีสอร์ทกับสปาที่อำเภอปาย เพราะอยากให้คนได้รู้ถึงคำว่าพักผ่อนจริงๆและเป็นสถานที่ที่ฉันชอบมากที่สุด หวังว่าถ้าหากไม่เกินความสามารถก็อยากทำความฝันนี้ให้เป็นจริง
จัดทำโดย
นางสาวสุภาพร คำแสน
รหัสนิสิต 52010517119
ทำงัยว่ะ
ฉันชื่อ นางสาวธนัฏฐา พูนวัฒนานุกูล รหัสนิสิต 52010517102 คณะ ศึกษาศาสตร์ เอก จิตวิทยา ชั้นปีที่ 1 มหาวิทยาลัยมหาสารคาม เกิด วันอาทิตย์ที่ 14 เมษายน 2534 ตรงกับ วันสงกรานต์ จร้า ปัจจุบันอายุ 19 ปี เกิดโรงพยาบาล ป.แพทย์ เลือดกรุ๊ป O อยู่บ้านเลขที่ 234 หมู่ 4 ต.หนองแจ้งใหญ่ อ.บัวใหญ่ จ.นคราชสีมา 30120 ครอบครัวมีทั้งหมด 4 ชีวิต พ่อ แม่ ดิฉัน และน้อง บิดาชื่อ นายอภิรักษ์ พูวัฒนานุกูล อายุ 50 ปี อาชีพ นิติกร/ ทนายความ ที่ทำงาน เขตพื้นที่การศึกษาเขต 6 อ.บัวใหญ่ จ. นครราชสีมา มารดาชื่อ นางสุภิญญา พูนวัฒนานุกูล อายุ 46 ปี อาชีพ รับราชการครู ที่ทำงาน โรงเรียนบ้านหญ้าคาสามัคคี อ.บัวใหญ่ จ.นครราชสีมา น้องดิฉันชื่อ นายดิษย์ปิยะ พูนวัฒนานุกูล ชื่อเล่น โมส อายุ 16 ปี ศึกษาอยู่ที่ โรงเรียนกาจนาภิเษก จ.ชัยภูมิ มัธยมศึกษาปีที่ 4 ดิฉันชื่อ นางสาวธนัฏฐา พูนวัฒนานุกูล ชื่อเล่น เมษย์ อายุ 19 ปี ศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัย มหาสารคาม จ.สารคาม ประวัติการศึกษา อ. 1- ป.6 โรงเรียนวานิชวิทยา(เอกชน) อ.บัวใหญ่ จ.นครราชสีมา ม.1- ม.6 โรงเรียนมารีย์วิทยา(เอกชน) อ.เมือง จ.นครราชสีมา ปี1- ปัจจุบัน มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ขอนำเสนอเรื่องย่อของชีวิตที่ไม่ค่อยมีอะไรค่ะ )) สมัยอยู่ประถมอยู่โรงเรียนวานิชวิทยาสอนภาษาจีน(บอกใคร เค้าจะเชื่อ หน้าตางี้เรียนภาษาจีน ๕๕๕) ชีวิตไม่มีอะไรมากนอกจากตอนประถมหกต้องจากกับเพื่อนๆที่เราคุ้นเคยสมัยเด็กๆและสำคัญ คือ อ่านหนังสือเตรียมสอบเข้ามัธยมศึกษา ดิฉันไม่เคยทำมาก่อน พอจบชั้นประถมเพื่อนๆต่างก็แยกย้ายไปศึกษาต่อกันหลายที่ ส่วนดิฉันมาสอบเข้าโรงเรียนมารีย์วิทยา แรกๆ ก็กลัวไม่ติดเหมือนกันเพราะคนมาสอบเยอะมาก ตอนประกาศผล แอบตื่นเต้นอ่ะ พอติดแล้วก็ดีใจแกมเสียใจไม่รู้เป็นอะไรเพราะว่าไม่มีเพื่อนมาจากโรงเรียนเดิมเลย แถมยังได้อยู่หอในของโรงเรียนอีกด้วย และค่าเทอมก็แพงมากมาย
แต่พอได้มารู้จักกับเพื่อนๆที่ก็มาจากหลายที่เหมือนกัน พูดมากเหมือนกัน นิสัยบ้างก็คล้ายๆกัน ก็เลยทำให้สนิทกันเร็วขึ้น แหม มมมม* กะเราใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันแทบตลอดเวลาเลยนิ.. สมัยอยู่มัธยมต้นดิฉันและกลุ่มเพื่อนๆในหอพัก ดื้อมากไม่ค่อยปฏิบัติตามกฎเหมือนเด็กอยากรู้อยากลองอย่างไรก็ไม่รู้ ๕๕๕>>(หัวเราะไทยๆ) พอขึ้นมัธยมปลายเริ่มคิดถึงอนาคตของตัวเองเริ่มตั้งใจเรียน เริ่มมีเป้าหมายของชีวิต แล้วได้ออกมาเช่าหอพักอยู่กับเพื่อนข้างนอก พอมาอยู่แล้วทำให้ดิฉันรู้จักคิดมากขึ้นด้วยว่าอะไรดีไม่ดี ควรไม่ควร มีเพื่อนเยอะขึ้น พอถึงตอนช่วงสุดท้ายของมัธยม ก็คือ ม.6 นั่นเอง เรียนปีสุดท้ายเป็นอะไรที่สบายมาก ทั้งปีนั่งสอบที่ชั้นใต้ดินอย่างเดียวไม่ไปไหน สบายมากๆ สอบ เฉลยๆๆวนไปวนมา เพราะว่าพวกเราเรียนเสร็จหมดตั้งแต่ Summer (อยู่มาไม่เคยได้ปิดเทอมเหมือนโรงเรียนอื่นเขา)แล้ว ไม่ต้องแปลใจเพราะว่าโรงเรียนมารีย์เป็นโรงเรียนเดียวในโคราชที่เรียน Summer ทุกคน และก็เรียนทุกวันตั้งแต่วันจันทร์ถึงวันเสาร์ ทุกคนมีเรียนทั้งหมด 9 คาบเลิก 17.00 น. ถ้าใครมีเรียนคาบ 10 ก็จะเลิก18.00 น. ส่วน ม. 6 มีเรียนคาบ 11 เลิกหนึ่งทุ่มตรง ทำให้ชีวิตของดิฉันอยู่แต่โรงเรียนเกือบตลอดเวลา ทำให้สนิทกับเพื่อนๆและมีสกับมาสเซอร์ สามารถปรึกษาปัญหาได้ทุกเรื่องเลยค่ะ เพื่อนๆสมัย ม.หก ในกลุ่มของดิฉันส่วนมากจะดื้อแต่ก็ยังดีที่ไม่ทิ้งการเรียน ในกลุ่มมี 22 คน(แอบเยอะ) รักกันทุกคน พอจบและจากกันก็ไม่ลืมกัน(หรือเปล่า??) และขอฝากให้กับเพื่อนๆ ม.6 รุ่น Omnimentia#26และก็แก๊งหมีน้อย ค่ะ >>>
ไม่มีแล้ว...โรงเรียนจัดระเบียบ ไม่มีแล้ว...โต๊ะพึ่งขัด อยากให้เขียน ไม่มีแล้ว...ฝ่ายปกครอง ไล่นักเรียน ไม่มีแล้ว...พวกถ้าเซียน เกรียนทุกคน ไม่มีแล้ว...สนามบาส ดูเพื่อนเล่น ไม่มีแล้ว...ตอนเย็น ตั้งวงแฉ ไม่มีแล้ว...พวกหน้าวอก แป้งเด็กแคร์ ไม่มีแล้ว....ป้าแก่ๆขายข้าวแกง ไม่มีแล้ว...สนามบอลที่เคยใช้ ไม่มีแล้ว...สปอร์ตไลท์ที่ไร้แสง ไม่มีแล้ว...ไอ้พวก ชอบแสดง ไม่มีแล้ว...ใครอยากแกล้งเมื่อเจอกัน ไม่มีแล้ว...วันเวลาแสนสนุก ไม่มีแล้ว...คืนแสนสุขที่แปรผัน ไม่มีแล้ว...เพื่อนสนิทนิจนิรันดร์ มีแต่คำว่า...เพื่อนกันตลอดไป.......
รู้สึกว่าจะยาวนานเหลือเกินตอนมัธยมเนี้ย ยยย (เชื่อว่าทุกคนต้องผูกพัน ใช่มั๊ย??) สุดท้ายนี้ ข้าพเจ้าขอขอบคุณทุกๆคนที่ทำให้ข้าพเจ้ามีวันนี้ ขอขอบคุณ คุณพ่อคุณแม่ เครือญาติ คณะครูทุกคน เพื่อนๆทุกๆคน ที่ทำให้ให้ดิฉันมีอนาคตที่ดีและทุกๆอย่างรอบตัวที่ดีด้วย และขอขอบคุณมหาวิทยาลัยมหาสารคามที่ได้ให้ข้าพเจ้ามาศึกษาหาความรู้ ขอบขอบคุณคณะศึกษาศาสตร์ขอบคุณ เอกจิตวิทยาสำหรับการทำความฝันของข้าพเจ้าให้เป็นจริง และคณะอาจารย์ทุกๆคน เพื่อนๆใหม่ๆ และสิ่งแวดล้อมรอบตัวใหม่ๆ ที่หล่อหลอมให้ข้าพเจ้าได้มีชีวิตที่ดีในรั้วเหลือง-เทา อย่างมีความสุขและรอยยิ้มให้แก่กัน ขอขอบคุณมากค่ะ )) เมษา...
ประวัติของดิฉันเอง
ดิฉันชื่อ นางสาวอุมาพร นามบุตร มีชื่อเล่นเรียกสั้นๆว่า ปู ได้ลืมตาดูโลกเมื่อ วันที่ 3 เดือน พฤศจิกายน พ. ศ. 2533 มีภูมิลำเนาอยู่ที่จังหวัดมุกดาหาร และได้ศึกษาเล่าเรียนตั้งแต่ 3 ขอบที่โรงเรียนวัดเฉลิมชัยบ้านผึ่งแดดในช่วงนี้เป็นช่วงที่ยังไม่อยากที่จะไปจากแม่ยังอยากอยู่กับแม่ตลอดจึงทำให้แม่ต้องได้ไปนั่งเฝ้าที่โรงเรียนเพื่อที่อยากจะให้ลูกได้เรียนหนังสือจึงต้องยอมทุกอย่างเพื่อลูกและตอนนั้นก็ไม่มีเพื่อนเล่นด้วยก็เลยต้องให้แม่อยู่ด้วยตลอด ถ้าดิฉันเข้าห้องเรียนแม่จะกลับบ้าน แต่พอออกมาไม่เจอแม่ก็จะร้องไห้!!!! (คิดถึงแม่ ) พอนานๆวันเข้าก็จะหยุดร้องไห้และเล่นกับเพื่อนๆๆ พอมาถึงช่วงประถมศึกษาก็ได้ศึกษาที่โรงเรียนบ้านผึ่งแดด ช่วงนี้เป็นช่วงที่แม่หยุดตามไปเฝ้าที่โรงเรียนแล้วเพราะเข้ากับเพื่อนได้แล้วจะไม่ได้แม่ไปส่งจะไปกับพี่ที่อยู่ในหมู่บ้านเดียวกันที่ไม่ใช่ญาติแต่จะเป็นคนที่แม่สนิทและไว้ใจ แม่จะซื้อจักรยานให้พี่เขาแล้วให้พี่เขามารับไปโรงเรียนพร้อมกัน ถ้าแม่ซื้ออะไรให้ดิฉันพี่เขาก็จะได้เหมือนดิฉันทุกอย่างเพราะแม่อยากให้ดิฉันมีเพื่อนเล่นและดิฉันก็เป็นลูกคนเดียวที่แม่ต้องตามใจและการที่ซื้อของให้พี่เขาแม่บอกว่าเป็นการขอบใจพี่เขาที่ดูแลดิฉันและแม่ก็จะได้สบายใจที่มีพี่เขาคอยช่วยเหลือดิฉันมาตลอดพอขึ้น ป.1 พี่เขาก็อยู่ ป.6 แม่ก็เลยบอกว่าพยายามช่วยเหลือตัวเองได้แล้วนะอีกไม่นานพี่เขาก็จะไปเรียนที่อื่นแล้ว และอีกคำนี้จำขึ้นใจมาโดยตลอดแม่บอกว่าจะได้กินข้าวตอนเที่ยงแล้วนะไม่ใช่กินตอน 11.00 น. เหมือนเมื่อก่อนแล้วนะเพราะเราใหญ่ขึ้นแล้วเราต้องมีความอดทน และในช่วงนี้เป็นช่วงที่รู้จักอะไรมากขึ้นเล็กน้อยแต่ก็ไม่เท่าไหร่ อยู่มาวันหนึ่งนั่งกินข้าวกับเพื่อนอยู่ดีๆๆ ครูประจำชั้น ป. 1 แกมีโรคประจำตัว ภาษาท้องถิ่นเรียกโลกประจำตัวแกว่า โรคบ้าหมู แกได้เกิดชักขึ้นโดยที่ดิฉันไม่รู้ว่าคุณครูแกเป็นอะไรแล้วพี่ที่นั่งกินข้าวด้วยก็รีบวิ่งขึ้นไปบอกคุณครูที่อยู่ห้องพัก ด้วยความรีบมากของพี่แกก็เลยทำให้พวกดิฉันกับเพื่อนๆๆอดกินข้าวต่อ เพราะพี่เขาดันเตะถ้วยอาหารหกหมดเลย พอขึ้น ป.2 เริ่มรู้จักอะไรที่ดีกว่า ป.1 เริ่มเข้าสู่วงการกีฬา ชื่อว่ากีฬา วอลเลย์บอล เริ่มทำการฝึกซ้อมกับพี่ๆเพื่อนๆมาโดยตลอดในเวลาตอนเช้า เที่ยง เย็น พอดิฉันเริ่มมีฝีมือที่ดีขึ้นคุณครูก็เลยจับดิฉันเข้าเล่นทีมเพื่อเข้ารับการแข่งขันในช่วงนั้นดิฉันอยู่ ป.5 ได้ไปทำการแข่งขันที่ในตัวจังหวัดดิฉันดีใจมากเลยที่ได้เป็นตัวแทนของตำบล
และเป็นหน้าเป็นตาของโรงเรียนเข้าไปแข่งที่จังหวัดและได้เป็นตัวแทนจังหวัดไปแข่งที่จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งในช่วงที่ทำการแข่งเขาได้มีการจับฉลากตัวแทนนักกีฬาเพื่อพาไปเที่ยวและไปกินข้าวที่โรงแรมและหนึ่งในนั้นดิฉันได้เป็นตัวแทนนักกีฬาที่ได้ไปเที่ยวและไปกินข้าวซึ่งดิฉันไม่อยากไปเลยเพราะไม่มีเพื่อนแต่ก็โดนบังคับให้ไปเพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์พอไปถึงโรงแรมพี่เขาก็เลยบอกว่าอยากกินอะไรก็ไปเลือกกินตามสบายเลยแล้วดิฉันก็ไปเลือกกินก๋วยเตี๋ยว ซึ่งที่บ้านก็กินตลอด พอกลับมาครูกับเพื่อนๆถามว่าไปโรงแรมกินอะไรมาก็เลยบอกว่ากินก๋วยเตี๋ยว เพื่อนๆหัวเราะใหญ่เลยและเพื่อนก็พูดว่าที่บ้านเราก็มีไปกินทำไมทำไมไม่กินสิ่งที่ไม่เคยกิน ก็เลยบอกเพื่อนว่ากูอายพี่เขาว่ะกูไม่กล้ากิน จากนั้นมาก็เลยเก็บประสบการณ์ที่ผ่านมาเป็นอุทาหรและครั้งต่อไปจะกินอะไรที่มากกว่านี้ถ้าได้เป็นผู้โชคดีอีก พอมาถึงช่วงอายุที่อยู่มัธยมที่โรงเรียนผึ่งแดดวิทยาคารก็ได้เจอหลายๆสิ่งหลายๆอย่างที่เข้ามาในชีวิตไม่ว่าจะเรื่องเรียน เรื่องกีฬา เรื่องความรัก อยู่มาวันหนึ่งในช่วงซ้อมกีฬาตอนเย็นมีวัยรุ่นมาจากที่ไหนไม่รู้เขาเอาปืนมาไล่ยิงเพื่อนที่ซ้อมกีฬาด้วยกันในวันนั้นครูประชุม ต่างคนต่างตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาที่ไม่คาดคิดและก็ไม่มีใครเป็นอะไรผ่านมาได้ด้วยดีและคนที่มาไล่ยิงก็โดนตำรวจจับได้และพวกดิฉันก็จำว่ามันเป็นเหตุการณ์ครั้งหนึ่งในชีวิตพวกเราชาวกีฬา P.D.K. และพวกดิฉันก็พากันฝึกซ้อมต่อจนได้รางวัลมากมายเป็นตัวแทนไปแข่งขันที่จังหวัดต่างๆ และยังเป็นตัวแทนเขต ไปแข่งที่ระดับภาค พอมาถึงระดับภาคเราก็ต้องทำใจอยู่ดีถึงยังไงยังไงก็แพ้เพราะความสามารถของเรามันมีแค่นี้ถึงจะชนะมาโดยตลอดเราก็ต้องยอมกับความเป็นจริงกีฬามันต้องมีแพ้มีชนะ พอมาถึงในช่วงชีวิตมหาวิทยาลัยดิฉันก็ไม่เคยลืมกีฬา มันเป็นอีกอย่างที่ไม่เหมือนช่วงชีวิตที่อยู่มัธยมเราต้องเอาตัวรอดคนเดียวเพราะต้องจากพ่อแม่มาไกลเป็นช่วงที่เราต้องเก็บเกี่ยวประสบการณ์ให้มากที่สุดเพื่ออนาคตของตัวเราเองและดิฉันก็ได้เจอกับสิ่งใหม่ๆที่ไม่คาดคิดมาก่อนว่ามันจะเป็นเช่นไรว่าต้องพบเจออะไรถึงจะพบเจอกับอุปสักอะไรก็ตามก็จะพยายามทำความฝันของตนเองให้เป็นจริง...
§§§§§§§§§§§§§§§§§§§§§§§§§§§§§§
นางสาวอุมาพร นามบุตร รหัส 52010521034 ระบบพิเศษ เอก จิตวิทยา
นางสาวขนิษฐา สมภาร รหัสนิสิต 50010512501 สาขาจิตวิทยา
ประวัติส่วนตัว
สวัสดีค่ะ ก่อนอื่นก็ขอแนะนำตัวอย่างเป็นทางการก่อนนะค่ะ ดิฉันมีชื่อว่า นางสาวขนิษฐา สมภาร ชื่อเล่นว่า อ้อชื่อนี้แม่เป็นคนตั้งให้ เกิดวันอาทิตย์ ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ.2531 ตอนนี้ก็อายุได้ 21 ปีแล้วค่ะอ้อเกิดปีมะโรงเป็นปีงูใหญ่แล้วก็ตรงกับวันวิสาฆบูชาพอดีเลย ก็เกือบจะได้ชื่อว่าวรรณวิษาแล้วหล่ะแต่ก็มีหลายคนชื่อนี้แล้วแม่ก็เลยเปลี่ยนชื่อให้เป็นขนิษฐา อ้อชอบสีแดง สีฟ้า และสีชมพู ส่วนอาหารที่ชอบก็คือผัดเผ็ดปลาหมึก ผลไม้ที่ชอบคือทุเรียน และมังคุด นิสัยเป็นคนร่าเริงแจ่มใส ชอบฟังเรื่องตลก โกรธง่ายหายเร็ว เอาแต่ใจเล็กน้อย ชอบช่วยเหลือผู้อื่น งานอดิเรก ชอบฟังเพลง วาดภาพ เล่นกับสุนัข เล่นอินเตอร์เน็ต ความสามารถพิเศษคือเล่นกีฬา วาดภาพ ร้อยมาลัย แกะสลัก บ้านอ้อตั้งอยู่ที่ บ้านเลขที่ 706 หมู่ 1 ต.นายางกลัก อ.เทพสถิต จ.ชัยภูมิ รหัสไปรษณีย์ 36230 มีพี่น้อง 3 คน พี่สาวคนโตแต่งงานแล้ว ส่วนพี่ชายคนกลางเรียนจบแล้วก็ไปทำงานที่ประเทศเกาหลี และอ้อเองก็เป็นลูกคนเล็ก เป็นน้องคนเล็กก็ดีนะเพราะมีแต่คนคอยตามใจ คอยดูแลและคอยเป็นห่วง เป็นลูกของแม่ทีและพ่อพัน ตอนเด็กๆพ่อจะไม่ค่อยได้อยู่บ้านเพราะพ่อทำงานที่กรุงเทพจะได้กลับบ้านก็ตอนเทศการเท่านั้นอ้อจึงไม่สนิทกับพ่อ แต่สนิทกับแม่ แม่เป็นคนใจดีมากเลยแม่ชอบสอนทำงานบ้านว่างๆแม่ก็เล่าเรื่องตั้งแต่แม่เป็นสาวๆให้ฟังแต่ตอนนี้แม่ก็ได้เสียชีวิตแล้วด้วยโรคแพ้ภูมิตัวเอง แม่เสียชีวิตตอนอ้ออยู่ ม. 1 ทุกคนเสียใจมากไม่คิดว่าแม่จะจากเราไปเร็วขนาดนี้ ช่วงอยู่ประถมฉันจำได้ว่าเคยหนีโรงเรียนแอบกลับบ้านเพราะว่าบ้านอยู่ใกล้โรงเรียนมาก พอถึงบ้านก็ได้เจอกลับแม่ก็เลยเจอตีตามระเบียบการ ช่วงอยู่ประถมอ้อเป็นลมบ่อยมากจนทำให้แม่ได้มาเป็นแม่ครัวที่โรงเรียนเพื่อนๆก็เลยชอบใช้เราไปเอาแกงเพราะตอนอยู่ประถมจะมีโครงการอาหารกลางวันให้เด็กแล้วก็ให้นั่งเป็นกลุ่มกินข้าวก็จะได้กับข้าวมากหน่อยเพราะแม่เราเป็นคนตักให้ เมื่อถึงวันสำคัญต่างๆก็ได้ร่วมทำกิจกรรมที่ทางโรงเรียนจัดให้ เช่น วันเด็ก วันวิทยาศาสตร์ วันสุนทรภู่ วันปีใหม่ เป็นต้น กิจกรรมที่ทำก็คืออาจารย์จะให้รำ เต้น แสดงละคร หรือว่าเป็นตัวแทนเข้าร่วมแข่งขันวาดภาพ คัดลายมือ แต่ส่วนมากก็จะได้รำมากกว่าจนได้เป็นนาฏศิลป์ของโรงเรียนเข้าแข่งขันเพื่อเป็นตัวแทนเขตแล้วได้รับรางวัลชนะเลิศในระดับจังหวัด อ้อชอบการประดิษฐ์พวกงานฝีมือมากเลยเพราะทำแล้วเพลินดีเป็นการฝึกการใช้สมาธิด้วย ความภาคภูมิใจในช่วงประถมคือแม่ได้เป็นแม่ดีเด่นเนื่องในวันแม่แห่งชาติ และสอบได้ที่หนึ่ง ประถมอ้อเรียนอยู่โรงเรียนบ้านนาประชาสัมพันธ์แล้วได้เรียนต่อในระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นและมัธยมศึกษาตอนปลายที่โรงเรียนนายางกลักพิทยาคมก็เรียนสายวิทย์-คณิต เพราะอยากเป็นหมอมากเลย เมื่อขึ้นมัธยมชีวิตก็ได้มีการปรับเปลี่ยนในเรื่องการเรียนและการปรับตัวให้เข้ากับเพื่อนใหม่ เวลาไปโรงเรียนก็ไปพร้อมกับพี่ที่อยู่ข้างบ้านระยะทางบ้านกับโรงเรียน 3 กิโล ส่วนรุ่นพี่ที่ไปโรงเรียนด้วยชื่อว่าพี่เกต พี่เกตเป็นนักกีฬาของโรงเรียนทุกเย็นพี่เกตจะอยู่ซ้อมวิ่งก่อนกลับบ้านทุกวัน ส่วนอ้อก็ได้นั่งรอพอครูเห็นว่านั่งอยู่เฉยๆก็เลยชวนมาวิ่งด้วยกัน ตอนแรกก็ไม่อยากวิ่งหรอกเพราะว่าเหนื่อยและตอนประถมไม่เคยเล่นกีฬาเลยครูหาญณรงค์เลยชวนมาออกกำลังกายเพื่อสุขภาพก็พี่เกตเคยเล่าให้ครูฟังว่าอ้อเป็นลมบ่อยก็เลยอยากให้มาออกกำลังกายเล่นๆ วันหลังก็เลยเอาเสื้อผ้ามาเปลี่ยนหลังเลิกเรียนด้วย ก็วิ่งไปวิ่งมาครูเลยลองให้มาวิ่งแข่งในการแข่งขันกีฬาโซนหุบเขาที่ทางจังหวัดจัดขึ้นทุกปีมีทั้งหมด 19 โรงเรียนในจังหวัดที่จัดส่งนักกีฬามาเข้าร่วมแข่งขันไปปีแรกก็ไม่ได้รับรางวัลอะไรถือว่าเป็นประสบการณ์อ้อได้วิ่งในระยะ 1500 เมตรรุ่นอายุไม่เกิน 15 ปีหญิง ทางโรงเรียนได้ตั้งชมรมขึ้นชื่อว่าชมรมวิ่งเพื่อสุขภาพมีสมาชิกเป็นทั้งนักเรียนและสมาชิกคนในหมู่บ้านเมื่อมีมินิมาราธอนชมรมก็ได้พาสมาชิกไปวิ่งเนื่องในวันต่างๆการวิ่งในแต่ละครั้งผู้ชนะก็จะได้ถ้วยรางวัลและเงินรางวัล อ้อก็เคยได้รางวัลชนะเลิศนะเนื่องในงานวัน
พ่อดีใจมากก็วิ่งครั้งนี้ได้เงินรางวัล 2000 บาท ก็ถือเป็นการหารายได้พิเศษไปภายในตัว รวมรางวัลที่ได้รับทั้งหมดที่ได้มาจากการแข่งขันกีฬาทั้งหมดคือ 7 ถ้วย 38 เหรียญ ระหว่างเรียน ม.ต้น อ้อชอบทำกิจกรรมมากเลยเพราะสนุกและได้ความรู้กิจกรรมที่ทำเช่น การแสดงละครในวันคริสต์มาสครูให้นักเรียนได้ เข้าร่วมแข่งขันอ่านทำนองเสนาะ ร้องเพลง แข่งขันท่องคำศัพท์ เป็นต้น วิชาที่ชอบเรียนคือวิชาภาษาไทย และไม่ชอบภาษาอังกฤษ คณิต พอเรียนจบ ม.ต้นเพื่อนๆบางคนก็เรียนต่อบางคนก็ทำงานอ้อมีเพื่อนสนิทอยู่ 3 คน เราชอบไปไหนมาไหนด้วยกันตลอดเพื่อนก็ชอบมานอนที่บ้านของอ้อเพราะว่าบ้านไกลและเพื่ออ้อจะได้มีเพื่อนอยู่บ้านด้วย ช่วงนั้นอ้ออยู่บ้านคนเดียวพ่อก็ไปทำงานส่วนพี่ก็ทำงานที่ต่างประเทศ อ้อเลยต้องรู้จักการจัดการด้านการเงินต้องทำยังไงจึงจะพอดีถึงสิ้นเดือนเพราะว่าพ่อจะให้เงินไว้เป็นเดือนๆ การดูแลตัวเองเมื่ออยู่คนเดียวแต่แถวชุมชนที่อ้ออยู่ก็ช่วยกันดูแลดีในเรื่องต่างๆถึงแม้พ่อจะไว้ใจให้อยู่คนเดียวพ่อยังมีสายคอยรายงานอยู่ตลอดเลยว่าอ้อมีพฤติกรรมอย่างไร แต่อ้อก็ไม่เคยออกนอกลู่นอกทางหรอกเพราะกลัวพอเสียใจพอขึ้น ม.ปลาย มีอยู่ช่วงหนึ่งที่อ้อได้ไปแต่แข่งกีฬาก็เลยเรียนไม่ค่อยรู้เรื่องแต่ก็ดีเพื่อนๆก็ค่อยช่วยเหลือตลอด อ้อได้ถูกคัดเลือกเข้าร่วมโครงการทัศนะศึกษาของทางรัฐบาลได้จัดให้เด็กได้เที่ยวแลกเปลี่ยนความรู้กันและได้โอกาสพบเพื่อนใหม่ในแต่ระภาคก็สนุกดี ม.6 ก็เป็นช่วงที่ทุกโรงเรียนต้องได้รับการประเมินเพื่อเป็นโรงเรียนในฝันรู้สึกว่าจะไม่ได้เรียนอยู่พักนึงทำให้การเรียนช้า สิ่งที่ภาคภูมิใจคือได้รางวัลลูกดีเด่นเนื่องในวันพ่อแห่งชาติ แต่งกลอนชนะเลิศในวันแม่แห่งชาติ และได้เป็นนักกีฬาดีเด่น เมื่ออยู่ ม.6 ใกล้จะจบแล้วก็เลยใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่กับเพื่อนในกลุ่มทำอะไรก็ทำด้วยกัน เช่น เพื่อนได้แอบไปเอามะม่วงของผู้อำนวยการโรงเรียนมากิน กินขนุนของโรงเรียนที่ปลูกไว้ บางทีก็โดดเรียนกัน เอาแบบว่าสิ่งไหนที่ไม่เคยทำก็ได้ทำในช่วง ม.6 ทั้งหมดเลย ใกล้จบแล้วทุกคนก็ได้หาที่เรียนต่อฉันก็ได้สมัครเรียนไว้ที่โคราช ชัยภูมิ ขอนแก่น และที่สารคาม ก็สอบติดที่สารคาม และที่โคราชตอนนั้นตัดสินใจยังไม่ได้ว่าจะไปเรียนที่ไหนดีก็เลยปรึกษาครูเพื่อช่วยตัดสินใจเพราะก็อยากเรียนรัฐศาสตร์อยู่เหมือนกัน แต่ก็เลือกมาเรียนที่สารคาม ตอนแรกที่เข้ามาก็ไม่กลัวจะไม่มีเพื่อนเมื่อได้ทำกิจกรรมที่ทางรุ่นพี่ได้จัดทำให้ก็ทำให้เราได้รู้จักกับเพื่อนในคณะมากขึ้น การใช้ชีวิตก็เปลี่ยนไปเราต้องดูแลตัวเองให้มากขึ้น ต้องเรียนเพื่อนให้ได้เกรดที่ดีๆ ก่อนที่อ้อจะย้ายมาเรียนที่เอกจิตวิทยาอ้อเรียนในเอกภาษาอังกฤษเกรดก็ถือว่าใช้ได้แต่ที่ย้ายมาก็เพราะเรียนที่เอกอังกฤษรู้สึกกดดันตัวเองมากเรียนไม่สนุกเลยเพราะต้องแข่งกับเพื่อนๆช้าไม่ได้แต่ก็เป็นการฝึกที่ดีอีกอย่างหนึ่งทำให้เด็กมีระเบียบวินัยและมีคุณภาพ เมื่อย้ายมาที่เอกจิตวิทยาแล้วก็เรียนสนุกนะที่ย้ายมาก็ชอบเอกจิตวิทยาเพราะเป็นเอกที่อยากเรียนอีกเอกนึงอาจารย์ก็ให้คำปรึกษาดี การเรียนในมหาวิทยาลัยก็เป็นเรื่องไม่ยากนะถ้าเราตั้งใจ รู้จักใช้ชีวิตให้เป็น เลือกครบเพื่อนดี มีความรับผิดชอบ ยังไงก็สู้ๆนะอ้อ อิอิ
ฝากบอก = สามารถพูดคุยกับอ้อได้ที่ E-Mail : Naluk_Jang@hotmail.com นะค่ะ
นายเกรียงไกร ปะโมทาติ
51010521046 ระบบพิเศษ
สาขาวิชา จิตวิทยา
ประวัติส่วนตัว
ผมชื่อ นายเกรียงไกร ปะโมทาติ ชื่อเล่น นัย ผมเกิดวันที่ 19 เมษายน 2530
ผมมีพี่น้อง2 คน คือมีพี่สาวหนึ่งคน ส่วนผมเป็นคนสุดท้องครับ ตอนนี้ผมกำหลังศึกษาอยู่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม คณะศึกษาศาสตร์ ตั้งแต่เล็กจนโต ผมมีนิสัยเอาแต่ใจมากๆ เพราะผมเป็นคนที่ถูกพ่อแม่เอาใจตั้งแต่เด็ก ไม่ว่าผมจะทำอะไรหรืออยากได้อะไร ผมจะได้ทุกอย่าง ในสมัยนั้นผมจะเป็นคนที่รักเพื่อนมากและจะชอบเล่นกีฬา ผมเล่นกีฬาได้เกือบทุกอย่างแต่กีฬาที่ผมชอบคือ ฟุตบอล จนผมได้เป็นตัวแทนของโรงเรียนได้ไปแข่งฟุตบอลรวมทั้งกรีฑาด้วย และผมก็ทำชื่อเสียงให้โรงเรียนโดยผมเองแข่งกรีฑาชนะในระดับอำเภอ ในสมัยเรียนระดับประถมศึกษาผมเป็นเด็กที่ตั้งใจเรียนมากเพราะผมได้เป็นตัวแทนไปแข่งทักษะทางด้านวิชาการเสมอ ตอนประถมและมัธยมต้นนั้นผมเรียนอยู่ที่โรงเรียนบ้านโคกกุงเพราะเป็นโรงเรียนขยายโอกาส ส่วนม.ปลายผมได้เข้ามาเรียนในโรงเรียนอำเภอ คือโรงเรียนนาโพธิ์พิทยาคม ซึ่งช่วงนี้เป็นจุดเปลี่ยนของผมอย่างมาก เพราะเป็นช่วงที่ผมกำลังเป็นวัยรุ่น อยากรู้ อยากลอง ทุกอย่าง ในช่วงแรกนั้นผมอยู่ห้อง 4/4 แต่ผมเป็นคนติดเพื่อนจึงย้ายห้องไปอยู่กับเพื่อนคือ 4/5 เพราะมีเพื่อนจากโรงเรียนเดิมเยอะ และในช่วงนั้นถือได้ว่าผมเป็นคนที่ฮอตคนหนึ่ง เพราะผมเป็นเหมือนน้องใหม่เข้ามาเรียนที่นี่ จึงทำให้มีรุ่นพี่มาชอบ มาแซวผมเยอะ ซึ่งเดินไปที่ไหน ก็จะมีสาวกรี๊ดตลอด ทำให้ผมหน้าแดงและอายมาก เพราะปกติผมก็เป็นคนขี้อายอยู่แล้ว และในเทศกาลวันวาเลนไทน์ ผมก็จะเป็นคนหนึ่งที่มีสาวๆ ให้ดอกไม้ ลูกอม ขนม มากมาย แต่ผมก็ไม่ใส่ใจเท่าไหร่กับเรื่องพวกนี้ ผมจะสนใจเรื่องเที่ยวกับเพื่อนๆมากกว่าทำให้บางครั้งก็มีเรื่องชกต่อยกันบ้างตามประสาวัยรุ่น และตอนผมอยู่ชั้นม. 6 ช่วงนั้นโรงเรียนจัดกิจกรรมวันสุนทรภู่ และมีการประกวดวงดนตรีขึ้น ผมกับเพื่อนๆ หกคน จึงเข้าร่วมประกวด ผมเป็นนักร้องนำ อาจารย์ที่ปรึกษาภูมิใจมาก เพราะห้องผมเป็นห้องที่เกเรที่สุดของระดับชั้น ช่วงที่ผมกำลังแสดงอยู่นั้น คนดูและสาวๆจะกรี๊ดวงผมมาก แต่สุดท้ายผลออกมาปรากฏว่าห้องผมแพ้ห้องเด็กเรียน แต่ห้องผมชนะใจคนดู จากนั้นผมก็สำเร็จการศึกษาในระดับมัธยมศึกษา ผมคิดว่าผมจะไม่เรียนต่อ พ่อแม่จึงให้ผมไปสอบตำรวจ ผมจึงไปเรียนกวดวิชาก่อน ผมไปเรียนอยู่ที่โคราช ทำให้ผมได้เจอเพื่อนๆ จากที่อื่นๆ มากมาย พอถึงข่าวเปิดรับสมัครนายสิบตำรวจ ผมกับเพื่อนที่ไปเรียนกวดวิชาด้วยกันก็ไปสมัคร ตอนนั้นคนสมัครสอบ ประมาณ 6,000 คน ของภูธรภาค 3 รับเป็นนักเรียนตำรวจ 50 อัตรา ผมสอบได้อันดับที่ 440 ผมจึงกลับมาอยู่บ้านประมาณ 6 เดือน แม่จึงให้ผมหาที่เรียน เพราะตำรวจเขาเริ่มรับสมัครเฉพาะปริญญาตรี ทำให้ผมหาที่เรียนโดยด่วน ผมจึงถามเพื่อนคนที่เขามาเรียนอยู่ที่มหาสารคาม ทำให้ผมทราบข่าวการสมัครเข้าการศึกษา ผมมาสมัครครั้งแรกที่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ในคณะศึกษาศาสตร์ ระบบพิเศษ รอบแรก ผมไม่สามารถเข้าได้ เพราะเกรดเฉลี่ยผมน้อย และคนสมัครเยอะ การรับเข้าก็น้อย แล้วผมก็ข่าวว่ามีการรับสมัครรอบสองอีก ผมจึงมาสมัครอีก ในคณะวิทยาลัยการเมืองการปกครอง ปรากฏว่า ผมเข้าได้ ผมจึงภูมิใจมาก พ่อกับแม่ก็ดีใจที่ผมสามารถเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยได้ คนแถวบ้านไม่เชื่อว่าผมเข้าเรียนในระดับมหาลัยได้ เพราะผมเป็นคนที่เกเร เรียนก็ไม่ดี หลายคนดูถูกผม ว่าผมเรียนได้ไม่เกิน 1 ปี ก็ต้องถูกไล่ออกแน่นอน พอผมเรียนได้ 1 ปี ผมก็ลบคำสมประมาทของคนได้ จากนั้นผมจึงเปลี่ยนมาเรียนคณะศึกษาศาสตร์ ตอนนั้นผมอยากเรียนเอก สังคม แต่หลักสูตร 4 ปี ย้ายไปหลักสูตร 5 ปีไม่ได้ ผมจึงตัดสินใจเลือกเรียนจิตวิทยา พอผมมาเรียนจิตวิทยาแล้ว ผมก็เริ่มสนุกกับมัน ผมจึงภูมิใจในตัวผมมากที่ผมสามารถปรับเปลี่ยนตัวเองได้ จากคนที่ไม่มีอะไรดีสักอย่าง กลายเป็นคนที่เริ่มมีอนาคตให้กับตัวเอง พ่อแม่ผมก็ภูมิใจที่ตัวผมสามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองจากคนชอบเที่ยว ชอบกินเหล้า กลายมาเป็นคนที่มีการศึกษาอีกครั้ง และอีกอย่างหนึ่งที่ผมอยากบอกอีกหลายคน ว่า คนที่เคยเป็นอย่างผม ที่เคยผิดพลาดมา เมื่อเราล้มแล้ว เราอย่าเพิ่งท้อเพราะคนเราสามารถลุกขึ้นมาใหม่ได้
*********************** ฝันให้ไกลไปให้ถึง *************************
นางสาววรรนิสา ลีเปี้ยง
50010512591 ระบบปกติ
สาขาวิชา จิตวิทยา
ประวัติส่วนตัว
ชื่อ นางสาว วรรนิสา ลีเปี้ยง ชื่อเล่น สา
เกิดวันที่ 30 เดือน พฤษภาคม 2531 กรุ๊ปเลือด B
ภูมิลำเนา เป็นคนอำเภอปรางค์กู่ จังหวัดศรีสะเกษ
ช่วงชีวิตตลอดมา
ตั้งแต่เกิดมา ข้าพเจ้ารู้สึกว่า ชีวิตในวันปัจจุบันของข้าพเจ้านั้น มันไม่ค่อยมีสีสันเท่าไหร่เลย เพราะเมื่อเทียบกับวัยเด็กแล้วในวันเก่าๆ นั้น มันมีสีสันและสนุกสนานตามวัยมากเลยทีเดียว ข้าพเจ้าเกิดมาในครอบครัวที่มีฐานะพอประมาณคือ พออยู่พอกิน ข้าพเจ้ามีน้องสาว 1 คน ที่เกิดมาห่างกันประมาณ 4 ปี แต่เราสองคนก็เป็นเหมือนเพื่อนกันมากกว่าเป็นพี่น้องกัน เพราะเราสองคนจะสนิทกันมากไปไหนไปด้วยกันตลอด มีอะไรก็จะคุยกันโดยไม่คิดเลยว่าอยู่คนละวัยกัน จนกระทั่งเมื่อข้าพเจ้าอายุได้ 10 ปี ครอบครัวที่เคยสมบูรณ์ของข้าพเจ้า ก็เริ่มกลายเป็นจุดเปลี่ยนในชีวิตของข้าพเจ้า เพราะพ่อกับแม่ต้องแยกทางกันโดยตัวข้าพเจ้าและน้องสาวเองก็ไม่ทราบสาเหตุเพราะตอนนั้นยังเด็กมาก และถัดจากนั้นประมาณสองปี แม่ก็มีครอบครัวใหม่ ดูๆไปข้าพเจ้าเองก็เหมือนเด็กที่มีปัญหาคนหนึ่ง แต่ตัวข้าพเจ้าเองไม่เคยแสดงอาการที่บ่งบอกว่ามีปัญหาเลย เพราะจริงๆแล้ว ข้าพเจ้ารู้สึกสงสารและเห็นใจแม่มากกว่าที่ต้องรับแบกภาระที่หนักในชีวิตก็ว่าได้ แต่แม่คนนี้แหละที่ทำให้ข้าพเจ้าได้มีวันนี้เหมือนเพื่อนคนอื่นๆอีกหลายคน และพอข้าพเจ้าอยู่ชั้นม. 2 แม่ก็มีน้องสาวให้ข้าพเจ้าอีกคนหนึ่ง กลายเป็นว่าข้าพเจ้ามีน้องสาวถึงสองคน แต่ข้าพเจ้ากับน้องคนเล็กก็ไม่ได้อยู่ด้วยกันหรอกเพราะน้องคนเล็กต้องอยู่บ้านย่าของน้อง ฉันกับน้องสาวอีกคนจึงไปหาในวันที่ว่างเท่านั้น พอฉันอยู่ม.ปลาย ฉันกับน้องสาวอยู่บ้านด้วยกันเพียงลำพัง เพราะแม่ก็ต้องทำงานอยู่ต่างจังหวัด ส่วนตายายก็เสียไปนานแล้ว ฉันกับน้องจึงใช้ชีวิตได้อย่างอิสระ แต่เราก็ไม่เคยออกนอกลู่นอกทางให้คนอื่นมาว่าได้ เพราะแม่สอนเสมอ ว่าอย่าทำอะไรที่ทำให้แม่ต้องเสียใจโดยการกระทำของลูกเอง แต่จริงๆแล้ว ถึงฉันกับน้องจะเป็นเด็กกำพร้าก็จริง แต่แม่ก็พยายามทำให้เรารู้สึกว่าเราไม่ได้ขาดอะไร เพราะฉันกับน้องอยากได้อยากมีอะไรเหมือนคนอื่นแม่ก็หาให้ได้ทุกอย่าง จนกระทั่งฉันจะเรียนจบชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย ฉันก็เริ่มหาที่เรียนต่อ ฉันก็สอบหลายที่นะ อย่างรอบโควตา ฉันก็สมัครของมหาสารคาม ในคณะพยาบาลแต่ก็ไม่ได้ ที่ขอนแก่นก็สอบพยาบาลแต่ก็ไม่ติดอย่างเคย แล้วฉันกับเพื่อนสองสามคนก็เลยไปสอบพยาบาลของม.หัวเฉียว ผลออกมาคือติดนะ แต่ก็ยังลังเลอยู่ว่าตกลงเราจะเอาไหม แต่สุดท้ายคือ เราไม่เอา เพราะติดที่ว่าม.หัวเฉียวเป็นของเอกชน ฉันจึงรอสอบเข้ารอบแอดมิชชั่น จริงๆแม่อยากให้ฉันไปเรียนที่กรุงเทพ เพราะจะได้อยู่ใกล้ท่านและญาติคนอื่นๆ แต่ฉันเป็นคนที่ไม่ชอบใช้ชีวิตในเมืองกรุง เพราะวุ่นวายและต้องแข่งขันกัน ไม่เหมือนคนบ้านนอกของเรา ที่ต่างจากคนเมืองกรุง และแล้วก็ถึงวันที่ผลประกาศรอบแอดมิชชั่น ปรากฏว่าฉันสอบเข้ามหาวิทยาลัยมหาสารคามได้ ในคณะศึกษาศาสตร์ ซึ่งเป็นที่ที่ข้าพเจ้าอยากเรียนด้วย ในขณะที่ตัวฉันเองก็ได้มาเรียนที่มหาสารคาม น้องสาวฉันก็จำเป็นต้องย้ายโรงเรียนเหมือนกันเพราะถ้าที่บ้านไม่ฉันอยู่น้องสาวฉันเองก็คงไม่มีเพื่อนอยู่ แม่จึงให้ย้ายไปเรียนที่สมุทรปราการ เพราะที่นั่นมีลุงคอยดูแลด้วย น้องฉันจึงย้ายไปเรียนที่โรงเรียนมินทราชินูทิศสวนกุหลาบสมุทรปราการ ถือว่าน้องฉันโชคดีมากที่ได้มีโอกาสได้เรียนที่ดีๆ และหลังจากนั้นบ้านของฉันจึงไม่มีใครอยู่เลย จะมีก็แค่มีคนมานอนมาดูแลให้เท่านั้น
ตั้งแต่ก้าวแรกที่ฉันก้าวเข้ามาสู่รั้วมหาวิทยาลัยแห่งนี้ บอกได้เลยว่า ชีวิตของฉันเปลี่ยนไปมาก ทั้งความเป็นอยู่ สังคมที่เต็มไปด้วยคนแปลกหน้า ตอนแรกๆ บอกได้เลยว่าฉันเองก็ไม่ชินกับชีวิตแบบนี้ ฉันรู้สึกเหนื่อยมาก เพราะทั้งกิจกรรมทั้งการปรับตัวให้ชิน ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้ใครหลายๆคน รวมทั้งตัวฉันด้วย ที่คิดถึงแม่มาก คิดถึงบ้าน เพราะการปรับตัวของเรามันยังไม่ชิน เพื่อนๆก็ยังไม่สนิทสนมกันเท่าไหร่ จึงทำให้ฉันเองรู้สึกเหนื่อยเกินไป และแอบท้อบ้าง
ในตอนแรกนั้นฉันเรียนในสาขาวิชาภาษาอังกฤษ คณะศึกษาศาสตร์นี่แหละ เรียนมาได้ซักระยะหนึ่ง ก็เกือบสามปีแหละ แต่สุดท้ายก็พบว่าจริงๆมันไม่ใช่ตัวฉันเลยเพราะทกครั้งที่ฉันไปนั่งเรียนนั้นฉันรู้สึกว่า มันกดดันและทรมานตัวเองและความรู้มันก็เหมือนได้มาไม่เต็มที่อาจเป็นเพราะทักษะของฉันเองที่ไม่แน่นพอ ฉันจึงค้นหาอะไรที่มันใช่และฉันสามารถเข้าใจมันได้ดีกว่านี้ จนฉันตัดสินใจเปลี่ยนสาขาที่เรียนเดิมมาเป็น จิตวิทยาที่ฉันเรียนอยู่ในปัจจุบัน และจิตวิทยาทำให้ฉันได้รู้เข้าใจและสามารถเรียนไปโดยไม่กดดันตัวเองเหมือนแต่ก่อนอีกต่อไป
ฉันชื่อ นางสาวจรรยา แก้วกาฬ ชื่อเล่นชื่อ ก้อย ตอนนี้เรียนอยู่ ปี 3 คณะศึกษาศาสตร์ เอกจิตวิทยา รหัสนิสิต 50010510603 ระบบปกติ ฉันเกิดวันอังคารที่ 11 มีนาคม 2529 เลือดกรุ๊ป AB e-mail : VMakoToV@hotmail.com เบอร์โทร 0801555508 อาศัยอยู่บ้านเลขที่ 225 หมู่ 1 ตำบลเขวาสินรินทร์ อำเภอเขวาสินรินทร์ จังหวัดสุรินทร์ แม่ชื่อนางจำลอง แก้วกาฬ อายุ 49 ปี อาชีพ รับราชการ ครู พ่อชื่อนายบุญมา แก้วกาฬ อายุ 39 ปี อาชีพ ทำนา ( แปลกใจอะดิแม่แก่กว่าพ่อตั้ง 10 ปี อิอิ มันเป็นความจริง ค่ะ สรุปก็คือพ่อแม่มีฉันตอนพ่ออายุ 15 แม่อายุ 25 ) ฉันมีน้องอีก 2 คน คนแรกเป็นน้องสาว ชื่อนางสาวพรรณิภา แก้วกาฬ เรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ที่ โรงเรียนสุรศักดิ์มนตรี ตอนนี้กำลังเลือกที่เรียนต่อว่าจะสอบเข้าที่ไหนดี และน้องชายคนเล็กที่เป็นที่รักยิ่งของครอบครัว ชื่อ เด็กชายสุกิจ แก้วกาฬ เรียนอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ที่โรงเรียนเมืองสุรินทร์ น้องชายเป็นลูกหลงที่อายุห่างจากน้องสาวประมาณ 10 ปี ได้ ฉันเกิดมาในครอบครัวใหญ่ ถึงแม้จะไม่ได้อยู่บ้านหลังเดี่ยวกันแต่ก็อยู่ติดกัน และอยู่ในสังคมที่เคร่งครัดเรื่องขนบธรรมเนียมการใช้ชีวิต การปฏิบัติตัว คนในสังคมจับตามอง ชีวิตจึงไม่ค่อยโลดโผนนัก 1 ทุ่ม ต้องอยู่ในบ้านออกไปไหนไม่ได้แล้ว ไม่เคยออกไปเที่ยวเล่นตามงานต่างๆ กับเพื่อนตอนกลางคืน จะมีเวลาอยู่นอกบ้านแค่ตอนเย็นที่ไปออกกำลังกายที่สนามกีฬากับพ่อและน้องๆ การพูดคุยกับผู้ชายเป็นเวลานานๆเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เพราะคนในสังคมจะมองเป็นเรื่องไม่งามของผู้หญิง จะถูกตำหนินินทา ในเรื่องการเรียน ในชั้นอนุบาล 1 และ 2 ฉันเรียนที่โรงเรียนบ้านเขวาสินรินทร์ โรงเรียนใกล้บ้าน ในชั้นประถมศึกษาปีที่ 1-6 เรียนที่โรงเรียนเมืองสุรินทร์ โดยการสอบเข้าซึ่งโรงเรียนอยู่ห่างจากบ้าน ประมาณ 20 กิโลเมตร ได้ ในชั้นประถมเป็นช่วงชีวิตที่มีความสุข ฉันมีเพื่อนมากมาย เป็นการเรียนแบบคละคน มีทั้งคนเก่งและไม่เก่งอยู่ห้องเดียวกัน เรียนแบบช่วยเหลือกน ไม่ได้แข่งกันเรียน และมีกิจกรรมให้ทำหลายอย่าง ได้สนุกสนานด้วยกันอย่างเต็มที่ ไม่มีความรู้สกแบ่งเพศ ไม่ว่าชายหรือหญิงเราก็เสมอภาคกันหมด บ่อยครั้งที่ทะเลาะกับเพื่อนผู้ชาย และชั้น ป.6 เป็นปีที่จำไมรู้ลืม เพราะได้มาอยู่ห้องวายร้าย ห้องแสบที่สุดในชั้นเรียน ไม่รู้อาจารย์คิดยังไงถึงจับตัวแสบมอยู่รวมกันที่ห้องนี้ การันตีความแสบโดยการเข้าห้องปกครองยกห้อง แต่อาจารย์ทุกคนก็รักเรามาก เราเชื่อฟังและช่วยงานอาจารย์ทุกคน ติดตรงที่ว่าชอบสนุก ชอบเล่น และชอบแกล้งคนอื่นจนเกินไปเท่านั้นเอง มันก็เป็นความซนแบบเด็กๆเท่านั้น
ในชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1-6 เรียนที่โรงเรียนสิรินธร โดยการสอบเข้าซึ่งในขณะนั้นฉันไม่อยากเข้าไปเรียนในเมืองอีกแล้ว ฉันไม่ยอมอ่านหนังสือเพื่อนสอบเข้า เอาหนังสือไปซ่อนบ้าง ทำตกน้ำบ้าง ด้วยความขี้เกียจและเบื่อหน่าย แต่ถึงวันสอบแม่บอกว่าให้ตั้งใจสอบนะ รู้ไหมว่ามีคนดูถูกไว้เยอะว่าอย่างฉันคงสอบไม่ได้หรอก เพราะฉันได้เป็นคนหัวดีเรียนเก่งอะไร มีคนคอยสมน้ำหน้าอยู่แล้ว เพราะคำนี้ฉันถึงตั้งใจสอบ แต่เพราะไม่ค่อยได้อ่านหนังสือฉันไม่มั่นใจเลยว่าจะสอบได้และคนสอบก็เยอะมากจริงๆ ในวันประกาศผล ฉันสอบได้ที่ 18 ฉันดีใจที่ทำให้แม่ไม่ขายหน้าคนอื่น ในชั้น ม.1-3 ชั้นเรียนเป็นหญิงล้วนไม่มีผู้ชาย ฉันได้อยู่ห้องที่มีแต่คนเก่งๆ หัวดี เต็มไปหมดเพราะผลสอบที่ 18 นั้นแหละ รู้สกกดดันสุดๆ เลย ในชั้น ม. 4-6 ชั้นเรียนจะมีผู้ชาย 10 % ของมัธยมปลาย ห้องฉันมีตั้ง 6 คน ซึ่งถือว่าเยอะที่สุดในชั้น ม.ปลาย การเรียนเป็นแบบต้องแข่งขันกัน ต้องเรียนแบบเอาเป็นเอาตาย แต่ก็ยังมีช่วงเวลาเล่น ทำกิจกรรมต่างๆที่ ซึ่งทุกคนก็จะสนุกกันอย่างเต็มที่ เรียนจบมัธยมปลาย เป็นช่วงชีวิตที่ไม่ดีซะเลย ฉันเอ็นทรานต์ไม่ติด ฉันตัดสินใจเข้าสมัครเรียนในระบบพิเศษของมหาวิทยาลัยมหาสารคาม ในคณะวิทยากาสารสนเทศ เอก เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เรียนได้ 2 ปี ฉันตัดสินใจลาออกเพราะความรู้สึกที่ว่ามันไม่ใช่สิ่งที่ฉันถนัดเลย ถึงแม้การเรียนจะพอไปได้ไม่ได้ย่ำแย่มากนัก แต่มันก็รู้สึกฝืนเรียนมากกว่า ลาออกเอ็นใหม่ ฉันลงเรียนที่มหาวิทยาลัยเดิมเพราะจะได้โอนหน่วยกิตที่เคยเรียนมา ฉันได้เข้าเรียนในคณะศึกษาศาสตร์ เอกจิตวิทยากับเพื่อนที่ลาออกมาพร้อมกัน ในการเรียนเทอมแรก ฉันก็ต้องลาพักการเรียนไว้เพราะไม่สบายมาก จนมาเรียนไม่ได้ ทำให้ฉันเรียนช้ากว่าคนอื่นๆ อีก ฉันรู้ว่าที่บ้านเป็นห่วงฉันเรื่องเรียนมาก ฉันทำให้พ่อแม่กลุ้มใจมาตลอด ตอนนี้ฉันพยายามลงเรียน ให้ทันเพื่อนๆ ฉันอยากเรียนให้จบพร้อมคนอื่นตามกำหนดอยากให้ย่ากับยายได้มาวันรับปริญญาของฉัน ย่ากับยายบอกว่ามันเป็นความหวังของท่านที่ได้เห็นฉันเรียนจบ ฉันก็จะพยายามให้มาก เพื่อตัวฉันเองและคนที่รักฉัน โอมเพี้ยง! จบทีเถอะ นานแล้ว แก่แล้ว เดี๋ยวไม่มีเวลาหาแฟน จะแก่ตายคาคานทอง อิอิ
ฉันมีชื่อว่านางสาวปิยธิดา ปริพุฒ และมีชื่อเล่นอันไพเราะที่คุณพ่อเป็นคนตั้งให้นามว่า “จูน” ตั้งแต่ได้ก้าวเข้าสู่ชีวิตวัยรุ่นจากที่ชื่อ จูน ก็ได้มีวิวัฒนาการผันเปลี่ยนเป็น จ่อย พุดเดิ้ล จื้น และสุดท้ายก็มาลงที่ “เจ้ย” ซึ่งชื่อที่ได้มาทั้งหมดนี้พวกผองเพื่อนสุดที่ร๊ากกกต่างพากันตั้งให้ทั้งนั้น ในชีวิตของข้าพเจ้าไม่ค่อยมีสาระเท่าไหร่หรอก ไม่ค่อยจะมีเรื่องซีเรียส เพราะเป็นคนที่ไม่ชอบอะไรที่ซับซ้อนและยุ่งยาก เอาเป็นว่าชีวิตที่ผ่านมาก็มีความทุกข์สักประมาณ 30% ของชีวิตส่วนที่เหลือก็มีแต่เรื่องไร้สาระและมีสาระบ้างเล็กน้อยปะปนกันไป เอาเป็นว่าฉันขอจัดตนเองอยู่ในประเภทพวกสาธุชน คนธรรมดาทั่วไป เพราะไม่ได้เป็นคนดีที่ชอบช่วยเหลือผู้อื่น และไม่ได้เป็นคนไม่ดีที่ชอบมองคนในแง่ลบขนาดนั้น ก็เป็นคนครึ่งๆกลางๆที่อยู่คาบเส้นระหว่าง ดี กับ ชั่ว แค่นั้นเอง โอ๊ยย!!ไม่รู้จะเล่าเรื่องอะไรดี^^!! งั้นเอาเรื่องสมัยตอนสาวๆช่วงที่อาศัยอยู่บ้านนอก เป็นบ้านหลังแรกของครอบครัวปริพุฒ อยู่ที่บ้าน”หนองแก้ว” ตำบลหนองแก้ว อำเภอเมือง จังหวัดร้อยเอ็ด ฉันก็ไม่เข้าใจว่าเพื่อนๆส่วนมากทำไมชอบมีปัญหากับชื่อหมู่บ้านของฉันนัก ชอบล้อว่าบ้านฉันมีทั้งหนอง มีทั้งแก้ว บางคนก็ว่าบ้านนี้มีแต่หนองใหญ่ๆสาวที่อยู่หมู่บ้านนี้ก็คงจะมีอะไรๆใหญ่ๆน่าดู โดยเฉพาะเพื่อนรักฉันที่ชื่อไชยา มันจะชอบล้อฉันบ่อยมาก อีสาวบ้านหนองแก้วบ้างล่ะ อีบ้านนอกบ้างล่ะ ฉันก้ออยากจะหัวเราะให้ฟันแห้ง อยากจะบอกมันเหลือเกินว่าก่อนที่จะมาพูดให้คนอื่น คุณดูพื้นหลังบ้านของคุณหรือยังค่ะ เพราะบ้านไฮโซของเพื่อนไชยามีนามว่า”บ้านโนนเหลี่ยม”อุแม่เจ้า มีทั้งโนน ทั้งเหลี่ยม แอบคิดในใจว่า(บ้านนอกกว่าตูอีก) ฉันจะมีนิสัยที่น่าเอาเป็นเยี่ยงย่างอย่างหนึ่งก็คือ จะเป็นพวกที่รักบ้านเกิดมาก ใครหน้าไหนจะมาดูถูกไม่ได้ และที่ฉันไม่ชอบที่สุดเลยก้อคือคนไทยมักมาด่ากันเอง โดยเฉพาะชอบมาด่าคนอีสาน อีบ้านนอก อีลาว ถึงเค้าจะไม่ได้ด่าให้ฉัน แต่ฉันอยากจะบอกเหลือเกินว่าพวกฉันไม่ได้เป็นคนลาว พวกฉันเป็นคนไทย ไทยอีสานรู้จักบ่?? แล้วถ้าเป็นคนลาวมันผิดตรงไหน ออกจะนิสัยดี เรียบร้อย มารยาทงามกว่าพวกที่ชอบดูถูกคนอื่นเห็นๆ บางคนถึงขนาดช่วยเค้าปกปิดถิ่นชาติกำเนิดตัวเองเพราะกลัวว่าเค้าจะรู้ว่าเป็นคนอีสาน ขนาดชาติกำเนิดตัวเองคุณยังลืมได้ แล้วในชีวิตนี้คุณจะจำอะไรได้บ้างล่ะค่ะ ขออภัยนะค่ะที่ฉันพูดนอกเรื่อง
ฉันมีชื่อว่านางสาวปิยธิดา ปริพุฒ และมีชื่อเล่นอันไพเราะที่คุณพ่อเป็นคนตั้งให้นามว่า “จูน” ตั้งแต่ได้ก้าวเข้าสู่ชีวิตวัยรุ่นจากที่ชื่อ จูน ก็ได้มีวิวัฒนาการผันเปลี่ยนเป็น จ่อย พุดเดิ้ล จื้น และสุดท้ายก็มาลงที่ “เจ้ย” ซึ่งชื่อที่ได้มาทั้งหมดนี้พวกผองเพื่อนสุดที่ร๊ากกกต่างพากันตั้งให้ทั้งนั้น ในชีวิตของข้าพเจ้าไม่ค่อยมีสาระเท่าไหร่หรอก ไม่ค่อยจะมีเรื่องซีเรียส เพราะเป็นคนที่ไม่ชอบอะไรที่ซับซ้อนและยุ่งยาก เอาเป็นว่าชีวิตที่ผ่านมาก็มีความทุกข์สักประมาณ 30% ของชีวิตส่วนที่เหลือก็มีแต่เรื่องไร้สาระและมีสาระบ้างเล็กน้อยปะปนกันไป เอาเป็นว่าฉันขอจัดตนเองอยู่ในประเภทพวกสาธุชน คนธรรมดาทั่วไป เพราะไม่ได้เป็นคนดีที่ชอบช่วยเหลือผู้อื่น และไม่ได้เป็นคนไม่ดีที่ชอบมองคนในแง่ลบขนาดนั้น ก็เป็นคนครึ่งๆกลางๆที่อยู่คาบเส้นระหว่าง ดี กับ ชั่ว แค่นั้นเอง โอ๊ยย!!ไม่รู้จะเล่าเรื่องอะไรดี^^!! งั้นเอาเรื่องสมัยตอนสาวๆช่วงที่อาศัยอยู่บ้านนอก เป็นบ้านหลังแรกของครอบครัวปริพุฒ อยู่ที่บ้าน”หนองแก้ว” ตำบลหนองแก้ว อำเภอเมือง จังหวัดร้อยเอ็ด ฉันก็ไม่เข้าใจว่าเพื่อนๆส่วนมากทำไมชอบมีปัญหากับชื่อหมู่บ้านของฉันนัก ชอบล้อว่าบ้านฉันมีทั้งหนอง มีทั้งแก้ว บางคนก็ว่าบ้านนี้มีแต่หนองใหญ่ๆสาวที่อยู่หมู่บ้านนี้ก็คงจะมีอะไรๆใหญ่ๆน่าดู โดยเฉพาะเพื่อนรักฉันที่ชื่อไชยา มันจะชอบล้อฉันบ่อยมาก อีสาวบ้านหนองแก้วบ้างล่ะ อีบ้านนอกบ้างล่ะ ฉันก้ออยากจะหัวเราะให้ฟันแห้ง อยากจะบอกมันเหลือเกินว่าก่อนที่จะมาพูดให้คนอื่น คุณดูพื้นหลังบ้านของคุณหรือยังค่ะ เพราะบ้านไฮโซของเพื่อนไชยามีนามว่า”บ้านโนนเหลี่ยม”อุแม่เจ้า มีทั้งโนน ทั้งเหลี่ยม แอบคิดในใจว่า(บ้านนอกกว่าตูอีก) ฉันจะมีนิสัยที่น่าเอาเป็นเยี่ยงย่างอย่างหนึ่งก็คือ จะเป็นพวกที่รักบ้านเกิดมาก ใครหน้าไหนจะมาดูถูกไม่ได้ และที่ฉันไม่ชอบที่สุดเลยก้อคือคนไทยมักมาด่ากันเอง โดยเฉพาะชอบมาด่าคนอีสาน อีบ้านนอก อีลาว ถึงเค้าจะไม่ได้ด่าให้ฉัน แต่ฉันอยากจะบอกเหลือเกินว่าพวกฉันไม่ได้เป็นคนลาว พวกฉันเป็นคนไทย ไทยอีสานรู้จักบ่?? แล้วถ้าเป็นคนลาวมันผิดตรงไหน ออกจะนิสัยดี เรียบร้อย มารยาทงามกว่าพวกที่ชอบดูถูกคนอื่นเห็นๆ บางคนถึงขนาดช่วยเค้าปกปิดถิ่นชาติกำเนิดตัวเองเพราะกลัวว่าเค้าจะรู้ว่าเป็นคนอีสาน ขนาดชาติกำเนิดตัวเองคุณยังลืมได้ แล้วในชีวิตนี้คุณจะจำอะไรได้บ้างล่ะค่ะ ขออภัยนะค่ะที่ฉันพูดนอกเรื่อง
เกินไป เพราะดิฉันโมโห!!กลับมาเรื่องที่บ้านหนองแก้วต่อ ฉันอยู่บ้านหนองแก้วได้ประมาณตอนมอ๓ ฉันจึงย้ายจากชนบทเข้ามาอยู่ในเมือง จากที่เป็นเด็กบ้านนอกก็ได้มีการวิวัฒนาการมาเป็นสาวในเมือง ตอนแรกมาอยู่กับพ่อ๒คน เพราะแม่บอกว่าอยากอยู่ที่หนองแก้วก่อน จากนั้นได้ไม่นานแม่ก็ตามมาอยู่ด้วย กลายเป็นครอบครัวที่สมบูรณ์แบบ ครอบครัวฉันจะรักใคร่กันมาก พูดคุยกันได้ทุกเรื่อง แต่ยกเว้นเรื่องเงิน เรื่องนี้เรื่องเดียวจริงๆ พอมีใครพูดเรื่องนี้ขึ้นเมื่อไหร่ จากที่เคยเป็นบ้านอบอุ่น มันก้อจะอุ่นมากขึ้นเรื่อยๆจนร้อนเป็นไฟ และวิธีดับไฟที่ดีที่สุดก้อคือการจับแยก แต่ฉันว่ามันก้อสนุกดี เป็นองค์ประกอบส่วนหนึ่งของการใช้ชีวิตคู่ ฉันจะสนิทกับแม่มาก มากจนพูดกับแม่เหมือนเพื่อน แต่ก้อยังให้ความเคารพแกอยู่ ฉันกับแม่จะชอบไปเต้นแอโรบิคและวิ่งที่สวนสุขภาพทุกวัน บางวันว่างๆก้อจะออกไปหาช็อปปิ้งของมือ๒ ที่ตลาดทุ่งม้อง(อย่าหวังว่าแม่ฉันจะซื้อของมือแรก แกบอกว่ามันแพง) ส่วนคุณพ่อถ้ามีเวลาว่างแกก้อจะอยู่เฉยๆไม่เป็น ชอบปรับปรุงเปลี่ยนแปลงบ้าน แกจะชอบเทพื้น ปูกระเบื้องเอง เพราะแกทำเป็น มีเวลาว่างเมื่อไหร่แกก้อจะซื้อปูนมาเทเอง จากที่บ้านฉันมีสัดส่วนพื้นดินที่เหลือไว้ปลูกต้นไม้กับสัดส่วนพื้นซีเมนต์ที่เท่ากัน แต่ตอนนี้บ้านฉันไม่มีผืนดินจะให้เหยียบ เพราะพ่อฉันเล่นเทปูนซีเมนต์ทั้งรอบบ้านเลย ที่สำคัญแกมีเวลาว่างมากจนซื้อกระเบื้องมาปูทับอีกชั้นหนึ่ง โอ้แม่เจ้าฉันไม่เคยเจอบ้านอย่างนี้ ฉันได้แต่ภาวนาว่าท่านพ่อคงไม่มีเวลาว่างมากกว่านี้ เพราะฉันยังมีความต้องการอยากเห็นต้นไม้ ใบหญ้า และสิ่งมีชีวิตอื่นๆในบริเวณบ้านของฉัน ว่าไปแล้วเหมือนฉันกำลังนินทาพ่อกับแม่เลยเนอะ ฉันก้อเลยมีกลอนมาฝากเพื่อนๆไว้เป็นอุทาหรณ์สอนใจ
(แต่งมาสดๆร้อนๆ)
ลูกคนใดประจานพ่อและแม่
สุดเลวแท้ต่ำช้าสิ้นราศี
ลูกประชด ทรยศ ลูกอัปรีย์
แม้ชาตินี้ทำความดีก้อไร้boy
ตัวเจ้ยนี้อยากจะขอย้ำเตือนเพื่อน
อย่าละเลือนทำตัวให้ต่ำต้อย
จงตั้งใจสร้างฝันที่รอคอย
เพราะอย่างน้อยพ่อแม่ก็เสียตังค์
นางสาวปิยธิดา ปริพุฒ 52010517109
ประวัติส่วนตัว
ชื่อ นายชิโนรส ชมพูคำ
ชื่อเล่น บอย เพื่อนๆเรียก พี่บอย
เกิดวันที่ 11 มกราคม 2531
อายุ 22 ปี กรุ๊ปเลือด เอ
น้ำหนัก 60 กิโลกรัม ส่วนสูง 176 เซนติเมตร
ประวัติด้านครอบครัว
บิดาชื่อ นายรังสรรค์ ชมพูคำ ( ถึงแก่กรรม )
มารดาชื่อ นางวริศา ชมภูคำ มีอาชีพรับราชการ(ครู)
ที่อยู่ 94 หมู่ที่ 1 ตำบลท่าขอนยาง อำเภอกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม
เบอร์โทรศัพท์ 0872208684
อาหารที่ชอบ ราดหน้าทะเล
อาหารที่ไม่ชอบ ส้มตำ
ของหวานที่ชอบ กล้วยบวชชี
ของหวานที่ไม่ชอบ ลอดช่อง
ผลไม้ที่ชอบ ส้มโอ
ผลไม้ที่ไม่ชอบ องุ่น
ขนมที่ชอบ เค้กกล้วยหอม
ขนมที่ไม่ชอบ ขนมเบื้อง
ดอกไม้ที่ชอบ กุหลาบแดง
ดอกไม้ที่ไม่ชอบ ชบา
ชอบสี ขาว
ไม่ชอบสี ชมพู
ดาราที่ชอบ แพนเค้ก
ดาราที่ไม่ชอบ ออย ธนา
ตลกที่ชอบ โหน่ง เท่ง
ตลกที่ไม่ชอบ โก๊ะตี๋
หนังที่ชอบ คนเหล็ก
หนังที่ไม่ชอบ บุปผาราตรี
แนวเพลงที่ชอบ ป๊อบ ร็อก
แนวเพลงที่ไม่ชอบ หมอลำ
ศิลปินที่ชื่นชอบ บอดี้สแลม
ศิลปินที่ไม่ชอบ เล้าโลม
วิชาที่ชอบ พลศึกษา
วิชาที่ไม่ชอบ ภาษาอังกฤษ
งานอดิเรก เล่นอินเทอร์เน็ต ฟังเพลง กินเหล้า
คติ ทำวันนี้ให้ดีที่สุด ( พรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่ )
จบจาก โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม
ปัจจุบัน เรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
เป็นนิสิตชั้นปีที่ 1 รหัสนักศึกษา 52010521018 คณะศึกษาศาสตร์
สาขาวิชาจิตวิทยา มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
กลอนเตือนใจ
ไม่มีใครมาลิขิตชีวิตเราได้นอกจากตัวเราเอง
If you can dream it, you can do it = ถ้าคุณฝันได้ คุณก็ทำได้
อย่าเพิ่งท้อแท้ในสิ่งที่ยังไม่พยายาม และอย่าเพิ่งหมดหวังในสิ่งที่ยังไม่เริ่มต้น
อย่าพูดว่าทำไม่ได้ ถ้ายังไม่ได้ทำ
การหนีปัญหาเป็นสิ่งที่ดี แต่การเผชิญหน้ากับมันย่อมดีกว่า
อย่ากลัวที่จะก้าวไปช้าๆ จงกลัวที่จะหยุดอยู่กับที่
เวลาไม่เคยหวนกลับ เราไม่สามารถกลับไปแก้ไขวันวานได้
เก็บความผิดพลาดในอดีตมาเป็นบทเรียนสำหรับอนาคต
อย่าปล่อยให้เวลาผ่านไปโดยไร้ประโยชน์ แล้วก็อย่าบอกว่าเวลาไม่เคยพอ
วันเกิด หรือ คือ วันที่ถือว่าเป็นวันที่คน ๆ หนึ่งเกิดมาแล้วมีชีวิตอยู่บนโลกนี้เป็นวันแรก โดยเมื่อวันเกิดของคน ๆ หนึ่งเวียนมาครบรอบปี จะเรียกวันนั้นว่าเป็นวันคล้ายวันเกิด ในหลายวัฒนธรรมจะมีการฉลองวันเกิดในวันนั้น หนึ่งในรูปแบบการฉลองงานวันเกิดที่เป็นที่นิยมที่สุดคือการเป่าเทียนบนเค้กวันเกิด โดยที่บนเค้กวันเกิดจะมีการปักเทียน จากนั้นเพื่อนร่วมงานวันเกิดจะร้องเพลงวันเกิด เมื่อเพลงจบแล้วให้เจ้าของวันเกิดอธิษฐานสิ่งที่ตนหวังไว้แล้วเป่าเทียน จากนั้นก็จะมีการทานเค้ก หรือมีการมอบของขวัญ ผมนายชาญณรงค์ วงที่วันเกิดใกล้หมุนเวียนเข้าทุกที่ ผมเองเกิดวันที่ 31 มกราคม 2533
ผมเป็นลูกคนที่ 2 ของครอบครัว ผมมีพี่สาว 1 คับ ผมกับพี่สาวมีโอกาสที่ต้องอยู่กับครอบครอบ แค่ไม่กี่ปี เพราะพ่อแม่ต้องย้ายที่ทำงาน ต้องอยู่กับญาติ ที่เลี้ยงผมมาจนถึงทุกวัน แต่บางคนเค้าบอกว่าเป็นเด็กที่โชคดีมากที่เกิดมาเป็นแบบนี้ จริงที่มีความสุข
กับสิ่งของที่ในตอนนั้นแต่เมื่อพอโตขึ้นทุกอย่างที่ว่ามีความสุขที่แท้จริงมันคืนอะไร
ชีวิตผม ผมว่าเกือบมีแทบทุกอย่างแต่ไม่รู้เลยว่าสิ่งสำคัญที่สุดคืนพ่อแม่ จนอายุ13 เข้าเรียนมัธยมชีวิตก็อะไรๆก็เปลี่ยนมากขึ้นตอนมัธยมต้นผมต้องอยู่คนเดียวเพราะพี่สาวย้ายที่เรียน พ่อแม่เลยชื้อบ้านให้ ต้องดูแลตัวเองมาตลอด 3ปีบ้างครั้งก็รู้สึกเหงาบ้างเป็นเรื่องธรรมดาถ้ามีปัญหาผมมักจะคุยกับเพื่อนสนิทเป็นคนแรก บางครั้งก็ชอบอยู่คนเดียวรู้สึกว่าอยู่คนเดียวทำให้ทุกอย่างดีขึ้นมีเรื่องรายมากมายที่ผ่านมาทุกครั้งที่คิดถึงมันก็เสียใจและ ดีใจ
วันเกิด หรือ คือ วันที่ถือว่าเป็นวันที่คน ๆ หนึ่งเกิดมาแล้วมีชีวิตอยู่บนโลกนี้เป็นวันแรก โดยเมื่อวันเกิดของคน ๆ หนึ่งเวียนมาครบรอบปี จะเรียกวันนั้นว่าเป็นวันคล้ายวันเกิด ในหลายวัฒนธรรมจะมีการฉลองวันเกิดในวันนั้น หนึ่งในรูปแบบการฉลองงานวันเกิดที่เป็นที่นิยมที่สุดคือการเป่าเทียนบนเค้กวันเกิด โดยที่บนเค้กวันเกิดจะมีการปักเทียน จากนั้นเพื่อนร่วมงานวันเกิดจะร้องเพลงวันเกิด เมื่อเพลงจบแล้วให้เจ้าของวันเกิดอธิษฐานสิ่งที่ตนหวังไว้แล้วเป่าเทียน จากนั้นก็จะมีการทานเค้ก หรือมีการมอบของขวัญ ผมนายชาญณรงค์ วงที่วันเกิดใกล้หมุนเวียนเข้าทุกที่ ผมเองเกิดวันที่ 31 มกราคม 2533
ผมเป็นลูกคนที่ 2 ของครอบครัว ผมมีพี่สาว 1 คับ ผมกับพี่สาวมีโอกาสที่ต้องอยู่กับครอบครอบ แค่ไม่กี่ปี เพราะพ่อแม่ต้องย้ายที่ทำงาน ต้องอยู่กับญาติ ที่เลี้ยงผมมาจนถึงทุกวัน แต่บางคนเค้าบอกว่าเป็นเด็กที่โชคดีมากที่เกิดมาเป็นแบบนี้ จริงที่มีความสุข
กับสิ่งของที่ในตอนนั้นแต่เมื่อพอโตขึ้นทุกอย่างที่ว่ามีความสุขที่แท้จริงมันคืนอะไร
ชีวิตผม ผมว่าเกือบมีแทบทุกอย่างแต่ไม่รู้เลยว่าสิ่งสำคัญที่สุดคืนพ่อแม่ จนอายุ13 เข้าเรียนมัธยมชีวิตก็อะไรๆก็เปลี่ยนมากขึ้นตอนมัธยมต้นผมต้องอยู่คนเดียวเพราะพี่สาวย้ายที่เรียน พ่อแม่เลยชื้อบ้านให้ ต้องดูแลตัวเองมาตลอด 3ปีบ้างครั้งก็รู้สึกเหงาบ้างเป็นเรื่องธรรมดาถ้ามีปัญหาผมมักจะคุยกับเพื่อนสนิทเป็นคนแรก บางครั้งก็ชอบอยู่คนเดียวรู้สึกว่าอยู่คนเดียวทำให้ทุกอย่างดีขึ้นมีเรื่องรายมากมายที่ผ่านมาทุกครั้งที่คิดถึงมันก็เสียใจและ ดีใจ
ประวัติ
นางสาว เมยาณี ภูมิเขต รหัสนิสิต 50010510576
วันหนึ่งในห้องเรียนหนึ่งที่คุณครูกำลังสอนวิชาภาษาไทยได้ให้งานกับเด็กนักเรียนที่กำลังสอนว่า
คุณครู:นักเรียนค่ะ ครูมีงานให้ทำคะ เป็นงานที่ง่ายมากและนักเรียนทุกคนคงทราบกันดีอยู่แล้ว คือให้นักเรียนหาความหมายของชื่อนักเรียนเองว่าหมายความว่าอะไร
นักเรียน:ค่ะ/ครับ
ในขณะที่ทุกคนกำลังเปิดหนังสือพจนาณุกรมอย่างตั้งใจว่าชื่อของตนนั้นจะมีความหมายว่าอะไรหรือบางคนที่กำลังเขียนความหมายเพราะทราบมาก่อนแล้วว่าชืของตนหมายความว่าอะไร แต่กับเด็กผู้หญิงคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่และแปลกใจว่าทำไมตนเปิดพจนาณุกรมแล้วไม่มีชื่อมีแต่ชื่อที่ใกล้เคียงจึงถามคุณครูว่า
นักเรียน:คุณครูค่ะทำไมชื่อของหนูไม่มีความหมายค่ะ
คุณครู:ต้องมีสิชื่อทุกคนมีความหมายนะจ๊ะ
นักเรียน:แต่หนูหาอย่างไงก็หาไม่เจอค่ะ
คุณครู:งั้นครูให้หนูทำป็นการบ้านไปถามคุณพ่อกับคุณแม่ดูนะจ๊ะ
เมื่อกลับถึงบ้านเด็กผู้หญิงคนนั้นก็รีบไปถามคุณป้าว่าใครเป็นคนตั้งชื่อให้หนูค่ะแล้วได้คำตอบว่าคุณพ่อเป็นคนตั้งชื่อนี้ให้จึงรีบโทรศัพท์ไปถามคุณพ่อที่ทำงานอยู่ต่างจังหวัดว่า
ลูก:พ่อค่ะชื่อของลูกไม่มีความหมายหรอค่ะทำไมเปิดหาในพจนาณุกรมไม่เจอเลย
พ่อ:มีสิลูกชื่อของลูก ทำไหมจะไม่มีล่ะ ชื่อของลูกพ่อตั้งใจตั้งให้เพราะพ่ออ่านหนังสือเรื่องหนึ่งชื่อ "เพรชพระอุมา" เมยาณีเป็นชื่อของผู้หญิงคนหนึ่งที่มีทั้งความสวยความเก่งความอดททนแข็งแกร่งดั่งทหารพ่อชอบชื่อนี้มากจึงอยากเอามาตั้งให้ลูกสาวคนเดียวของพ่อไงค่ะ
และเด็กหญิงคนนั้นก็คือฉันในวันนี้ นางสาว เมยณี ภูมิเขต ชื่อเล่น เมย์ เกิดเมื่อวันเสาร์ที่ 4 มิถุนายน พ.ศ.2531 ราศี พฤษก ปีนักษัตร ปีมะโรงหรือปีงูใหญ่ ปัจจุบันอายุ 21 ปี หมู่โลหิต A ที่อยู่บ้านเลขที่ 1378/1 ถ.สุขเกษม ต.ธาตุเชิงชุม อ.เมือง จ.สกลนคร 47000
หอพักเครือค่ายหญิงสุมลรัตน(ห้อง346)
คุณพ่อและคุณแม่ประกอบอาชีพ รับจ้าง
มีพี่น้องร่วมสายโลหิต 2 คน พี่ชาย 1 คน ดิฉันเป็นคนที่ 2
การเลี้ยงดู ดิฉันได้รับการเลี่ยงดูจากคุณยายและคุณป้า เพราะคุณพ่อกับคุณแม่ต้องทำงานอยู่ต่างจังหวัด จึงทำให้ดิฉันต้องอยู่กับคุณยายและคุณป้า ได้รับการเลี้ยงดูอย่างอบอุ่นเหมือนกับทุกคน เล่นอย่างสนุกสนาน บางครั้งก็ถูงตีเพราะดื้อ ถูกให้ช่วยเหลือตัวเองเกื่อบทุกอย่าง จนเมือถึงวันหนึ่งคุณยายได้จากไปอย่างไม่มีวันกลับ วันนั้นเป็นวันที่ฉันรู้สึกสูญเสียที่สุดในชีวิต ร้องไห้จนเป็นลม ด้วยความรักมันเป็นวันที่ฉันเองไม่คิดว่ามันจะเกินขึ้นเร็วขนาดนี้ หลังจากนั้นพ่อแม่ก็เป็นคนดูแลฉัน แต่ด้วยการที่ถูกสอนมาให้ช่วยเหลือตัวเองให้ได้ของยายทำให้พ่อแม่หมดห่วง จนถึงวันที่ต้องสอบเข้าเรียนในชั้นอุดมศึกษาฉั้นไม่ได้ถูกบังคับเหมือนกับใครหลายคนพ่อแม่ให้ฉันเลือกที่จะเรียนตามใจแต่ท่านจะคอยดูแลอยู่ห่างๆ การพูดคุยปรึกษาได้ทุกเรื่องเราคุยกันอย่างมีเหตุผลทุกเรื่องท่านจะให้เราเป็นคนตัดสินใจเองให้รู้เองว่าผิดถูกอย่างไงโยท่านจะคอยเตือนดูแลอยู่ห่างทำให้เรารู้ว่าถ้าเราเดินหรือทำอะไรที่ผิดพลาดเราจะต้องเจอกับอะไรบ้างทำให้เราโตขึ้นกว่าใครหลายคน ทำให้หลายครั้งที่เพื่อนมีปัญหาเราจะเป็นคนอีกคนที่เพื่อนจะคอยมาขอคำปรึกษา ระบายความในใจให้เราฟัง ทั้งที่เรื่องบ้างเรื่องเป็นเรื่องใหญ่พอสมควรแต่เขาก็ยังเลือกที่จะปรึกษากับเรานี้เป็นอีกแรงบันดาลใจที่ทำให้ฉันอยากที่จะเรียนด้านจิตวิทยาเพราะจะทำให้เราได้เพิ่มความรู้ในด้านนี้ทำให้เรามีทักษะในการโต้ตอบคำถามเพื่อเพิ่มกำลังใจกับคนหลายคนที่เข้ามาหาเรา
นางสาวเมยาณี ภูมิเขต
ประวัติการศึกษา
ชั้นอนุบาลถึงประถมศึกษาปีที่6 จากโรงเรียนเทศบาล2เชิงชุมอนุชนวิทยา
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่1-6 โรงเรียนสกลราชวิทยานุกูล
ปัจจุบันกำลังศึกษาระดับปริญญาตรีที่ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม คณะศึกษาศาสตร์ สาขาจิตวิทยา
สีที่ชอบคือ สีม่วง ขาว
อาหารที่ชอบ ปลาราดพริก ผัดไก้ใส่ขิง
คติในการดำเนินชีวิต มีมากมายเพราะชีวิตของคนเราล้วตรงผ่านซึ่งเรื่องราวมากมายดั้งนั้นคติในการดำเนินชีวิตจึงมีมากมาย
คำที่ได้ยินบ่อยที่สุดจากคุณพ่อ (ผู้ชายที่หล่อที่สุดสำหรับชีวิตฉัน) "พ่อรักลูกมากนะ ตั้งใจเรียนนะลูก" ทำให้ฉันมีความสุขมากกกกกก
คำที่ได้ยินบ่อยที่สุดจากคุณแม่(ผู้หญิงที่แสนดีของฉัน)"ตั้งใจเรียนนะลูก แม่ดีใจที่ลูกแม่ทุกคนเป็นคนดี" อิอิเป็นการเตือนว่าอย่าเหลวไหลนะ ฮ่ะฮ่า
ไม่รู้ว่าจะอธิบายถึงความสุขที่ได้รับจากคนในครอบครัวว่ายังไงนะแต่รู้ได้อย่างเดียว ฉันสามารถที่จะให้ความรักที่เป็นมิตรได้กับทุกคนเพราะฉันมีความรัก ความอบอุ่นมากจนล้นเหลือทุกครั้งที่พูดถึงพ่อและแม่จะมีความสุขและจะยิ้มอยู้เสมอ(เอ๊ะ ใครจะว่าเราบ้าไหมน๊า) พ่อมักพูดติดตลกว่าเรียนมารักษาตัวเองหรอลูก ดูสิพ่อฉัน อิอิ
มันแปลกไหมที่ทุกครั้งที่ฉันมีปัญหาพ่อจะโทรมาในช่วงเวลานั้นทุกครั้งแล้วถามว่า"ลูกเป็นอะไรรึป่าว พ่อมีความรู้สึกไม่สบายใจ ทำให้ตัวฉันเองต้องแปลกใจทุกครั้งว่าพ่อรู้ได้ไงพ่อบอกว่าใจพ่อถึงลูก(หวานไหมล่ะ)พี่ชายยังอิจฉาอ่ะ เวลาคุญกับพ่อแม่ชอบแซวว่าเหมือนคนเป็นแฟนกันเลย (ดูแม่พูดสิ เอ๊ะแต่ก็จริงน่ะ อิอิ)เดินห้างเรายังควงแทนแม่เลยถึงแม้จะโตแล้วแต่ฉันเวลาอยู่กับพ่อก็ยังเหมือนเป็นเด็กพ่อชอบว่าฉันไม่โต ฉันหน้าตาเหมือนพ่อมาก แบบว่าสำเนาถูกต้องเลยล่ะ ส่วนเรื่องเพื่อนๆที่เรียนด้วยทุกคนก็น่ารักมากเราพูดคุยกันอย่างสนุกสนานแม้มีบ้างที่เราต้องทะเลาะกันเพราะงานแต่เมื่องานจบลงความเป็นเพื่อนก็จะกลับคตืนมาสู่สภาพเดิมดูแล้วเหมือนชีวิตฉันจะไม่มีปัญหาเลยไม่จริงหรอกเพียงฉันไม่มองเรื่องที่เป็นปัญหาเพราะทำให้เราปวดหัวเสียป่าวมองและจำแต่สิ่งดีๆที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของเราเองจะดีกว่าแต่ก็ไม่มองข้ามปัญหาหรือเรื่องเลวร้ายของคนอื่นๆนะค่ะ เรื่องราวยังมีอีกมากมายเล่ายังไงก็คงไม่หมด อิอิ นี่เป็นแค่น้ำจิ้มนะค่ะ
(จงเป็นผู้ให้มากกว่าผู้รับถ้ามีกำลังพอที่จะให้ อย่ารอแต่ที่จะรับอย่างเดียว)
ก่อนอื่น ขอกราบ สวัสดี ทุก ๆ คน ที่ แวะเข้ามา ชม ประวัติ ของ ดิฉัน
กราบ สวัสดี ค่ะ ^^
ชื่อจริง มธุรส ( ไพเราะ อ่อนหวาน )
นามสกุลจริง ผุดผ่อง ( บริสุทธิ์ ขาว สะอาด )
เกิดเมื่อ วันจันทร์ ที่ 15 ตุลาคม 2533
ชื่อเล่น โอห์ม ( หน่วยความต้าน ทานไฟฟ้า )
ช่องทางติดต่อ a-tomza@hotmail.com หรือ 084-4050501 ( ตลอด 24 ชม.)
การศึกษา ปัจจุบัน ปี 1 คณะศึกษาศาสตร์ เอก จิตวิทยา มหาวิทยาลัย มหาสารคาม
บ้านเกิด ยโสธร ( เมือง บั้งไฟโก้ แตงโมหวาน หมอนขวานผ้าขิด แหล่งผลิตข้าวหอมมะลิ )
จบการศึกษา ระดับมัธยม โรงเรียน ยโสธรพิยาคม ( ทั้ง ม. ต้น – ม. ปลาย )
บิดา นายศักดิ์เกษม ผุดผ่อง ( ถึงแก่กรรม )
มารดา นางนิติกรณ์ ผุดผ่อง ( รับราชการ ครู )
น้องสาว นางสาวศิริวรรณ ผุดผ่อง ( มัธยมศึกษาปีที่ 4 )
บุคลิกส่วนตัว ในแง่บวก มั่นใจในตัวเอง ตรงไปตรงมา เข้ากับคนอื่นได้ง่าย
ในแง่ลบ ใจร้อน วู่วาม ขี้หงุดหงิด โมโหร้าย เอาแต่ใจ
ความสามารถพิเศษ เป็นพิธีกรประจำโรงเรียน ( ชอบพูดมาก จนอาจารย์ จับไปเป็น )
แต่งตัว อะไรที่แนวๆ ดูเป็นตัวของตัวเอง ตาม อารมณ์
แนวเพลงที่ชอบ เพลงอินดี้ตามอารมณ์ / เพลงสากลฟังสบาย
สีที่ชอบ ชอบตามความเหมาะสม ของแต่ละสิ่ง ที่เข้ากับสีนั้น
ของสะสม รองเท้า ( จนตอนนี้ ห้องเหม็น ไปหมดแล้ว )
อาหารที่ชอบ อาหารที่ไม่เผ็ดมากนัก อร่อย ๆ
ดอกไม้ที่ชอบ ดอกลีลาวดี ( สวย เว่อร์ )
ความฝัน อยากเป็นคุณครู อยู่บนดอย ( ไม่รู้จะทำ ได้รึป่าว )
คติประจำจิต ทำทุกวัน ให้เป็นวันสุดท้าย ( ทุกๆ วัน จะได้ดีที่สุด )
ตั้งแต่ที่โอห์ม จำความได้ โอห์มเกิดขึ้นมา เป็นลูกคนแรก และหลานคนแรก ของครอบครัวทางพ่อ นับว่า เป็นที่รักของทุกๆคนเลยทีเดียว โดยเฉพาะ พ่อ พ่อรักและเฝ้าเลี้ยงดู ถนุถนอมโอห์มยิ่งแก้วตา ดวงใจ ทั้งเลิกกิน เหล้าสูบบุหรี่ก็เพื่อลูก โอห์มเป็นลูกสาว ก็จริงแต่กลับติดพ่อ มากกว่าแม่ จึงเติบโตมา มีนิสัย ทั้งหน้าตาและความสามารถที่เหมือนกับพ่อมาก จนมีหลายคนชอบแซวว่า เป็นบัตรประชาชนของพ่อ ^^ แต่พอโอห์มอยู่ม.1 พ่อก็ ต้องมาป่วย เป็นเจ้าชายนิทรา อยู่สามเดือน แล้วก็เสียไป โอห์มจึงต้องมาอยู่กับปู่กับย่า น้องกับแม่ ก็อยู่ลำพังเพียงสองคน ปู่กับย่าซึ่งเป็นข้าราชการ บำนาญ ก็เป็นคนส่งเสียเลี้ยงดู โอห์มมา จน ม. 6 ปู่และย่า เป็นเหมือนกับพ่อและแม่คนที่สองของโอห์ม และจนถึงปัจจุบันนี้ ปู่ ย่า และ พวกอา ก็ยังส่งเสียให้โอห์มเรียนหนังสืออยู่ โอห์มหวังมากว่า ต่อไปในอนาคต โอห์มจะทดแทนบุญคุณปู่กับย่า และจะทำให้ปู่ ย่าภูมิใจในตัวโอห์มให้ได้ ^^
**มีสิ่งหนึ่งที่โอห์มอยากให้ทุกคนเข้าใจ คือ การจะมองคนนั้น ใช่แค่จะมองที่ภายนอก ตัวโอห์มเองก็เช่นกัน ภายนอกโอห์มดูเป็นคน ไม่ดีนัก ไม่ใช่คนที่ดูเรียบร้อย นิสัยดีอะไร มองดูแล้ว อาจดูเลวร้ายด้วยซ้ำ คนทั่วไปมักตัดสินโอห์ม แค่ตรงนั้น เพราะฉะนั้น โอห์มจึงอยากให้ทุกคน มองโอห์มซะใหม่ แล้วลองมาเป็นเพื่อนโอห์ม ดู แล้วจะรู้ว่า ความจริงแล้ว โอห์มอาจไม่ได้เป็นอย่างที่คิดก็ได้น๊า ^^
ขอบคุณค่ะ ที่ เข้ามารับชม
มธุรส ผุดผ่อง
วันที่ทำให้แม่ของดิฉันทรมานกว่าแม่หลายๆคนก็คือ วันเสาร์ ที่10 เดือนพฤศจิกายน 2533
เนื่องจากตอนคลอดดิฉันเอาเท้าออกมาก่อน ซึ่งคนปกติเค้าเอาหัวออกกัน และดิฉันยังคลอดที่บ้านด้วย ซึ่งมียายสี (คนข้างบ้าน) มาทำคลอดให้(โบราณมากเลย) ตอนตั้งชื่อ พ่อจะให้ชื่อ
สิริขวัญ แม่อยากให้ชื่อ ขวัญแก้ว แต่สรุปใช้ชื่อของพ่อ (ดีแล้ว) แต่ชื่ออะไรก็เพราะหมดแหละถ้าพ่อกับแม่เป็นคนตั้งให้ “__” ดิฉันมีพี่สาวหนึ่งคนน้องชายหนึ่งคน ซึ่งฉันกับพี่ก็จะสนิทกันมากเวลามีปัญหาอะไรฉันก็จะไปปรึกษาพี่และเวลาที่พี่มีปัญหาก็มาปรึกษาฉันเช่นกัน ส่วนฉันกับน้องเราจะชอบทะเลาะกันแต่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เพราะมันเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว
ดิฉันจบ ป.6จากโรงเรียนสระปทุม อ.อรัญประเทศ จ. สระแก้ว จบ ม.6 จากโรงเรียนคลองหาดพิทยาคม อ.คลองหาด จ. สระแก้ว และปัจจุบันกำลังศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม คณะศึกษาศาสตร์ สาขาจิตวิทยา
นิสัยส่วนตัว เป็นคนช่างฝัน ชอบจินตนาการ แต่ก็ไม่ถึงกับเพ้อนะ ชอบฟังมากกว่าพูด เพราะดิฉันคิดว่าการฟังมันทำให้เราได้อะไรหลายอย่างมากกว่าพูด(เพราะตอนที่เรามัวแต่พูดมันทำให้เราไม่มีเวลาคิด)
นิสัยที่ไม่ชอบ คนที่คิดว่าตัวเองแน่ ชอบดูถูกคนอื่น
คนที่รู้จักตัวเอง จะไม่ดูถูกตัวเอง และไม่ยกหางตัวเอง
เวลาว่างชอบฟังเพลง เพราะเชื่อว่า คนใดไม่มีดนตรีในหัวใจกาล ในสันดารเป็นคนชอบกลนัก
แนวเพลงที่ชอบ ร็อค อินดี้ สากล
อนาคตอยากเป็นอาจารย์สอนในมหาวิทยาลัย เป็นดีเจ และมีร้านเพาะพันธุ์ดอกไม้ ซึ่งมีพ่อกับแม่เป็นคนดูแลอยู่ที่ร้าน
คติ ความฝันกับความจริงต่างกันแค่ทำกับไม่ทำ และดิฉันเชื่อว่าเราสามารถทำความฝันให้เป็นจริงได้ถ้าเราลงมือทำ
นางสาวสุกัญญา ภูมิหาทอง 52010517004 คณะ ศึกษาศาสตร์ สาขาจิตวิทยา
แม่เล่าให้ฉันฟังว่าก่อนที่แม่จะต้องท้อง แม่ฝันว่ามีเด็กลอยเข้าไปในท้องผ่านไปได้อาทิตย์แม่ก็ตรวจพบว่าตั้งท้อง แต่แม่ก็ไม่ยินดีเท่าไหร่นักเพราะว่าแม่ยังไม่พร้อมเท่าไหร่เพราะแม่คิดว่าอยากได้ลูกคนเดียวนั่นคือพี่ชายของฉันเอง แต่ย่าห้ามไม่ให้แม่เอาฉันออกเพราะถ้ามีลูกคนเดียวเดี๋ยวจะไม่มีคนอยู่เป็นเพื่อนตั้งแต่นั้นมาแม่ก็ไม่เอาฉันออกแม่บอกอีกว่าตอนที่ฉันอยู่ในท้องแม่คิดว่าฉันเป็นผู้ชายแน่ๆแม่ชอบกินอะไรที่มีรสจัด แม่ยังบอกอีกว่าแม่กินงูด้วยแม่ไม่รู้ว่าแม่กินเข้าไปได้ยังแม่บอกว่าอร่อยมาก พอถึงวันที่ฉันจะคลอดคือวันที่ 12 สิงหาคม 2534 วันนั้นแม่ฉันกำลังนั่งเก็บผักอยู่ในสวนพ่อไปทำงานที่บ้านไม่มีใครอยู่เลย แม่ปวดท้องเหมือนจะตายให้ได้เลยแม่เลยพยายามเดินไปบ้านลุงคือพี่ชายของแม่ ให้ช่วยพาไปโรงพยาบาล พอถึงโรงพยาบาลเค้าก็ให้แม่นอนรอที่เตียงเกือบจะเที่ยงคืนแล้วแม่ยังไม่คลอดฉันแม่เลยอธิฐานว่าขอให้ลูกแม่เกิดในวันแม่ด้วยไม่เกินห้านาทีแม่ก็เจ็บท้องขึ้นมาอย่างรุนแรงแล้วฉันก็คลอดออกมาในเวลา23.50 หลังจากนั้นนางพยาบาลก็อุ้มฉันไปหาแม่แล้วบอกว่าได้ลูกผู้หญิงแม่ดีใจมากเพราะว่าแม่อยากได้ลูกผู้หญิงแล้วแม่ก็ถามพยาบาลอีกว่าลูกสาวฉันครบ32รึป่าวพยาบาลก็ให้คำตอบที่ดีวาครบ แล้วแม่ก็ร้องไห้ออกมาด้วยความดีใจสุดๆ พ่อกับพี่ชายฉันยืนอยู่ข้างๆมองดูฉันคงจะมีความสุขมากเลยอ่ะดิที่ฉันเกิดมาอิอิ หลังจากนั้นหนึ่งวันแม่ก็ออกจากโรงพยาบาลเรากลับมาอยู่ที่บ้าน แม่บอกว่าฉันเป็นเด็กดีมากไม่ค่อยจะงอแงเท่าไหร่จนฉันอายุได้3ขวบแม่ก็ไห้ป้าข้างบ้านช่วยดูแลฉันเป็นเด็กดีมากไม่ดื้อไม่ซนเหมือนเด็กในวัยเดียวกัน ช่วงเวลานั้นฉันไม่ค่อยได้อยู่กับแม่เท่าไหร่เพราะมีคนมาช่วยเลี้ยงดูไปอยู่กับอาบ้างไปอยู่กับลุงบ้างไปอยู่กับย่า ยายบ้าง จนฉันอายุครบ4ขวบก็ได้เข้าเรียนชั้นอนุบาลที่โรงเรียนเทศบาลศรีสวัสดิ์วิทยา เพราะอยู่ใกล้บ้านและแม่ก็รู้จักอาจารย์ที่นั้นเลยวางใจ ฉันเรียนด้วยความตั้งใจไม่รู้เรื่องอะไรเลยก็เพราะว่าฉันยังเด็กในแต่ละวันช่วงเวลาเกือบจะบ่าย3จะมีนมให้นักเรียนกินก่อนกลับบ้านคนละหนึ่งถุง แต่ฉันจะกินวันละสองถุงเพราะว่ามันอร่อยมากๆหรือเพราะว่าเป็นเด็กในวัยเจริญเติบโตเลยกินอะไรก็อร่อยไปหมด ฉันเรียนที่โรงเรียนเทศบาลศรีสวัสดิ์วิทยา
จนถึงชั้นป.6ตอนแรกฉันจะเรียนต่อโรงเรียนเดิมกับเพื่อนๆแต่พ่อของฉันไม่ยอมให้เรียนต่อแต่ให้ไปเรียนต่อที่สารคามพิทยาคม พอฉันจบ ป.6ไปขอใบจบกับท่านผู้อำนวยการท่านไม่อยากให้นักเรียนไปเรียนต่อที่อื่นเพราะว่านักเรียนเริ่มน้อย ท่านพูดอีกว่าถ้าไปสมัครแล้วเข้าเรียนไม่ได้โรงเรียนสารคามพิทยาคมเขาบอกว่าให้มาจับฉลากถ้าจับไม่ได้ก็ให้สอบเข้าอีกทีหนึ่งพอถึงวันจับฉลากฉันดีใจมากตื่นเต้นด้วยเขาให้นักเรียนและผู้ปกครองไปรวบกันที่หอประชุมหลังใหญ่
อาจารย์ก็เริ่มปฐมนิเทศนักเรียนที่มาจับฉลากในวันนี้พอถึงเวลาจับฉลากอาจารย์ก็เรียนชื่อตารายชื่อไม่นานนักก็ถึงรายชื่อฉันฉันตื่นเต้นสุดๆฉันเดินออกไปที่หน้าหอประชุมไปที่กล้องกระดาษที่ใส่ฉลากเต็มไปหมด ฉันยื่นมือไปฉลากมาหนึ่งใบแล้วก็เดินไปให้อาจารย์ที่อยู่ข้างๆเปิดฉลากอาจารย์ค่อยลุ้นช่วยปรากฏว่าฉันไม่ได้ฉันเสียใจมากแต่อาจารย์ก็ปลอบใจมาว่าค่อยสอบเอานะลูกฉันเดินหน้าจ่อยกลับไปนั่งตรงที่นักเรียนจับไม่ได้จนนักเรียนทุกคนจับหมด แต่ฉลากยังเหลืออีกเยอะทางโรงเรียนเลยให้นักเรียนที่จับไม่ได้มีโอกาสได้จับอีกเป็นครั้งที่สองแต่นักเรียนมีเยอะมากว่าฉลากที่เหลือ อาจารย์เลยให้นำบัตรที่มาสมัครย่อนลงไปในกล้องแล้วจับขึ้นมาว่าใครจะมีสิทธ์ออกไปจับฉลากอีกครั้ง ฉันได้ยินดังนั้นฉันหมดหวังแล้วเพราะว่าฉันไม่ค่อยมีดวงในด้านนี้ แต่ฉันก็อธิฐานขอพรต่างๆนาๆแล้วฉันก็ได้ยินรายชื่อของฉันประกาศขึ้นกันหันไปมองหน้าแม่แม่ยิ้มให้ด้วยความอ่อนโยนแล้วฉันก็เดินไปจับฉลากอีกครั้งหนึ่งคราวนี้ฉันตื่นเต้นมากๆถ้าไม่ได้ครั้งนี้ก็คงต้องรอสอบอย่างเดียวฉันล่วงมือไปจับฉลากมาหนึ่งแผ่นแล้วเดินไปให้อาจารย์ท่านเดิมผลออกมาคือฉันได้เรียนที่โรงเรียนนี้ฉันดีใจมากแล้วก็เดินไปรวมกับเพื่อนๆที่จับได้แต่ฉันก็สงสารเพื่อนที่จับไม่ได้เหมือนกัน แล้วก็รอวันมามอบตัวเป็นนักเรียนโรงเรียนสารคามพิทยาคม ฉันทำไมโชคดีอะไรอย่างนี้พอกลับมาถึงบ้านเราก็ฉลองกันทั้งครอบครัวมีความสุขมากเลยค่ะ พอเปิดเทอมฉันก็มาเรียนตามปกติฉันตั้งใจเรียนมากได้พบเพื่อนใหม่ๆที่น่ารักได้เรียนรู้จักสังคมใหญ่ขึ้นได้เรียนรู้ชีวิตใหม่ที่ไม่เคยได้สัมผัสรู้จักการปรับตัวให้เข้ากับผู้คนอยู่ตลอดเวลา แต่สิ่งที่ฉันอยากจะทำอีกสิ่งนั่นก็คืออยากเข้าไปเล่นดนตรีที่วงโยธวาทิต ฉันอยากเป่าแซกโซโฟนแต่ตอนนั้นฉันยังไม่กล้าเพราะมีแต่ผู้ชาย พอฉันขึ้นมาอยู่ ม 3มี
เพื่อนใหม่ย้ายเข้ามาเรียนด้วยกัน เพื่อนใหม่ได้ยินที่เราคุยกันเรื่องอยากเข้าเล่นดนตรีเลยมาร่วมคุยเรื่องนี้ด้วยเพราะว่านักเรียนใหม่ก็เป็นนักดนตรีมาจากโรงเรียนเก่าเหมือนกันเลยตกลงไปสมัครพร้อมกัน หลังจากที่ฉันเข้าไปเป็นสมาชิกของวงดนตรีสากลก็โดนแกล้งๆต่างๆเพราะทดสอบความอดทน เพราะว่าวงโย ซ้อมหนักมากมีการลงโทษแล้วพวกเราก็ผ่านการทดสอบนั่นมาได้ฉันมีความสุขมากกับการเล่นดนตรีมีเพื่อนเพิ่มขึ้นอีกคนในวงเหมือนเป็นพี่เป็นน้องกันจริงๆทุกวันหลังเลิกเรียนเราก็ต้องมาซ้อมทุกวันจนถึงห้าโมงหรือหกโมงเย็น ที่เข้ามาอยู่ในวงโยฉันได้เรียนรุ้ผู้คนเพิ่มขึ้นรู้จักให้รู้จักยอมเริ่มเป็นผู้ใหญ่และสอนเราได้หลายๆอย่างๆจนฉันได้เป็นรุ่นพี่ของน้องๆตอนนี้ฉันอยู่ ม4 ต้องสนใจในการเรียนก่อนดนตรีมาที่หลังแต่ฉันก็ให้ความสำคัญเท่าๆกันฉันเริ่มคุ้นเคยกับเพื่อนๆในวงมากขึ้นเรียกว่าสนิทกันมากแต่นักเรียนวงโยจะไม่ค่อยได้เข้าเรียนกันเต็มคาบเท่าไหร่เพราะว่าต้องไปออกงานที่นอกสถานที่ ออกงานแต่ละทีก็กินเวลาเรียนไปครึ่งวันแล้วเลยทำให้อาจารย์หลายๆท่านไม่ค่อยพอใจวงโยเท่าไหร่บ้างคนก็ไม่ค่อยเข้าเรียนแล้วเอาวงโยมาอ้างเลยทำให้วงโยเสีย แต่ฉันคิดว่าไม่ได้เป็นเพราะวงโยหรอกเป็นเพราะตัวเรามากกว่าเพราะว่าฉันเล่นดนตรีไปด้วยเรียนไปด้วยยังไม่เคยติด0เลยแม้แต่วิชาเดียวแถมได้เกรดดีด้วย ฉันได้แข่งดนตรีประเภทต่างๆแพ้หรือชนะ ได้มีประสบการณ์ พอฉันขึ้น ม 6 ก็ต้องเตรียมตัวอ่านหนังสือสอบเข้ามหาวิทยาลัย เพื่ออนาคตในวันข้างหน้าฉันอาจจะไม่ค่อยได้ไปซ้อมดนตรีเท่าไหร่แต่ถ้าฉันว่างฉันก็ไปซ้อมเสมอ ฉันใช้ความสามารถพิเศษเข้าสอบก่อน ฉันใช้ดนตรีเข้าสอบ ในวันที่ฉันเข้าสอบความสามารถพิเศษนั้นมีคนมาจากต่างจังหวัดหลายร้อยคนแต่จะมีแยกประเภทกันไปมีดนตรีสากล พื้นบ้าน นาฏศิลป์ กีฬา ฉันไปถึงห้องสอบ มีเพื่อนมาสอบดนตรีสากลกันเยอะมาก แถมมีแต่คนเก่งๆทั้งนั้นฉันไม่ได้เตรียมตัวมาอย่างดีเท่าไหร่ ฉันซ้อมเพียงวันเดียวเพราะลืมไปว่ามีการสอบดนตรีในวันรุ่งขึ้นเพลงก็ต้องหาเองอาจารย์ประจำวงก็ไม่ช่วยอะไรเลย เราจะรอพึ่งพาคนอื่นไม่ได้หรอก ฉันได้เข้าทดสอบเป็นคนที่สอง เพื่อนฉันเป็นคนแรก เพื่อนฉันเดินออกมาพร้อมรอยยิ้มส่งมาให้ฉันแล้วฉันก็เดินเข้าห้องสอบ มีอาจารย์อยู่สามคน อาจารย์คนแรกก็ให้ฉันรายงานตัวแล้วบอกเครื่องดนตรีประจำตัวฉันใช้tenor saxophone ในการสอบ แล้วอาจารย์ก็ให้เป่าเพลงที่เราเตรียมมา
ฉันเริ่มเป่าแต่ปรากฏว่าเครื่องดนตรีฉันเป่าไม่ออก ฉันตกใจมากทั้งทีตอนซ้อมเมื่อกี้ก็ยังเป่าได้ดีๆอยู่เลย แล้วอาจารย์ก็สั่งให้รุ่นพี่นำแซกโซโฟนของทางมหาวิทยาลัยมาให้ ฉันเริ่มไล่สเกลแต่เป่ายากมากหรือว่าเป็นเพราะฉันไม่ชินแต่เป่ายากจริงๆนะฉันบอกกับอาจารย์ทั้งสามคนแล้วฉันก็เริ่มเป่าเพลงที่นำมาเป่าได้ไม่นานอาจารย์ก็บอกให้หยุดเป่า ฉันก็คิดในใจว่าอาจารย์คงฟังไม่ได้แน่เลย ฉันเลยพรั่งปากไปว่ายังไม่ถึงท่อนโซโล่เลยนะค่ะ อาจารย์เลยหัวเราะแล้วบอกให้เป่าต่อฉันเริ่มเป่าต่อได้นิดเดียวก็หยุดเป่าเพราะว่าแซกเป่าไม่ออก ตอนนี้ใจฉันไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้ว อาจารย์ก็ยิบโน้ตเพลงมาแล้วให้ฉันเป่าตามโน้ตที่อาจารย์ให้ทาฉันก็เป่าได้ แล้วก็ออกจากห้องสอบไป แล้วเพื่อนอีกคนหนึ่งก็เข้าไปสอบต่อจากฉันเดินยิ้มออกมาหาเพื่อนคนแรก พูดคุยกับเพื่อนๆที่มาสอบด้วยกันหลังจากที่สอบเสร็จพวกเราก็ไปฉลองกัน ฉันพูดกับเพื่อนๆอย่างหมดใจว่าฉันคิดว่าไม่ได้แน่เพราะฉันเป่าไม่ได้ดีเท่าไหร่ฉันรู้สึกไม่มีความสุขเลยจนเวลาผ่านไปเพื่อนได้โทรมาบอกว่าฉันสอบได้ ฉันดีใจมากเลย แล้วก็มาฉลองกับเพื่อนๆอีกครั้งหนึ่ง
แล้วก็ไปบอกแม่ว่าฉันสอบติดแล้ว แม่ดีใจมาก แล้วฉันก็รอวันไปมอบตัว พอถึงวันปฐมนิเทศนิสิตใหม่ฉันก็ได้รู้จักเพื่อนใหม่เยอะแยะแล้วฉันก็ได้เป็นนิสิตมหาวิทยาลัยมหาสารคามจนถึงทุกวันนี้
สวัสดีค่ะตอนที่เกิดมามองตาดูโลกแม่ตั้งท้องหนูมาเก้าเดือนแม่คลอดหนูวันที่17สิงหาคม พ.ศ 2533 เวลาประมาณ23.00น แม่ปวดท้องมากและแล้วหนูก็เกิดมามองตาดูโลกภายนอกหนูเกิดที่โรงบาลร้อยเอ็ด พ่อของหนูดีใจมากเพราะได้ลูกผู้หญิงตอนเกิดมาหนูหนักประมาณ 3 ก.พ่อเลยตั้งชื่อให้ว่า ด.ญ สุพัตรา จอมคำศรี ชื่อเล่น กวาง ตอนนี้บ้านของเรามีกัน4คนภูมิลำเนาของครอบครัวเราเป็นคนร้อยเอ็ด มีพ่อ มีแม่ พี่ชาย และก็ตัวหนูเองค่ะ บ้านของหนูอยู่ที่ค่ายประเสริฐสงคาม บ้านเลขที่ 235/148 หมู่ 11 ต.เหนือเมือง อ.เมือง จ.ร้อยเอ็ด 450000พ่อของหนู ชื่อ จ.ส.อ คำพอง จอมคำศรี รับราชการเป็นทหารเลยได้พักที่บ้านพักข้าราชการแม่ของหนู ชื่อ นาง เล็ก จอมคำศรี ทำอาชีพข้าขายค่ะ พี่ชาย ชื่อ นาย คมกฤษ จอมคำศรี ตอนนี้พี่ชายหนูก็ห่างกันไม่มีปี4ปีค่ะพ่อสอนให้รักกันไว้เพราะเรามีกันแค่สองคน
ตอนหนูอายุ 5ขวบ หนูเรียนที่โรงเรียนอนุบาลร้อยเอ็ดหนูอยู่ห้องอนุบาลหนึ่งสีม่วงรูปมะนาวมีคุณครู ชื่อ นางอนุสรา สำงามจริง หนูเริ่มศึกษาเล่าเรียนมาเรี่ยวๆจนกระทั้งเรียนประถมหนึ่งหรือ ป.หนึ่งนั้นเองหนูตื้นเต้นมากๆๆที่มีเพื่อนใหม่ๆเวลาก็ผ่านไปเรื่อยๆจนกระทั้งขึ้น ป 4 ทางโรงเรียนของหนูก็จัดให้มีกิจกรรมวันนั้นเป็นวันที่สนุกมากหนูได้เป็นผู้นำเต้นรู้ตื้นเต้นมากต้องฝึกเต้นทุกวันจนถึงวันแข็งพอผ่านพ้นไปก็สอบขึ้นขั้น ป 5 พอจะขึ้นขั้นเรียนลุ้นตลอดว่าจะได้อยู่ห้องไหนอยู่กลับเพื่อนเก่าหรือเปล่าแต่ก็ภูมิใจกับ ห้องเรียนห้องใหม่ๆเพื่อนใหม่หนูอยู่ห้องเดิมมาสองปีรู้ศึกผูกพันกับเพื่อนมากๆยิ่งตอนจะจบ ป 6 รู้ไม่อยากจาก เพื่อนไปเลยอยากให้โรงเรียนเรามีถึง ม 6 จังแต่ก็ไม่มี กับการเป็นสาวครั้งแรกของหนูนั้นคือ การมีประจำเดือนนั้นเองหนูมีประจำเดือนตอนอยู่ ป 6 รู้สึกกลัวมากๆแม่ก็สอนหนูให้เข้าใจหลังจากเรียน ป 6 เทียมสุดท้ายก็มีคณะครูอาจารย์มาแนะแนวการเรียนต่อว่าโรงเรียนแต่ล่ะโรงเรียนเป็นอย่าไรวันจบ ป 6 รู้สึกเสียใจมากๆที่จะได้จากเพื่อนไปวันนี้เป็นวันที่มี ความสุขมากๆเพราะเพื่อนคนหนึ่งมาบอกชอบเราทำให้เรารู้ดีที่เขามีความรู้สึกให้ แต่เรายังเด็กกันอยู่หลังจากนั้นเราก็แยกย้ายกันไปศึกษาต่อที่อื่นหลังจากที่หนูทำการตัดสินใจกับการเรียนต่อ พ่อหนูอยากให้เรียนต่อที่ โรงเรียนพระกุมารร้อยเอ็ดแต่หนูอยากเรียนที่โรงเรียนสตรีร้อยเอ็ดหนูเลยไปสมัครเรียนที่โรงเรียนนี้ตอนไปสมัครรู้สึกว่าเราต้องได้เรียนโรงเรียนนี้จริงๆหรอพอถึงวันสอบหนูตั้งใจทำขอสอบด้วยความตั้งใจ วันนี้คนเยาะๆมากเพราะโรงเรียนนี้เป็นโรงเรียนประจำจังหวัดร้อยเอ็ดใครๆก็อยากเข้ากันทั้งนั้น
จนกระทั้งถึงวันประกาศผลสอบออกมาหนูตื้นเต้นมากๆๆไม่คิดว่าตัวเองจะสอบติดโรงเรียนนี้หนู ได้อยู่ ม .1/8 วันเปิดเริ่มวันแรกตื้นเต้นมากๆการมาเรียนของหนู
สวัสดีค่ะตอนที่เกิดมามองตาดูโลกแม่ตั้งท้องหนูมาเก้าเดือนแม่คลอดหนูวันที่17สิงหาคม พ.ศ 2533 เวลาประมาณ23.00น แม่ปวดท้องมากและแล้วหนูก็เกิดมามองตาดูโลกภายนอกหนูเกิดที่โรงบาลร้อยเอ็ด พ่อของหนูดีใจมากเพราะได้ลูกผู้หญิงตอนเกิดมาหนูหนักประมาณ 3 ก.พ่อเลยตั้งชื่อให้ว่า ด.ญ สุพัตรา จอมคำศรี ชื่อเล่น กวาง ตอนนี้บ้านของเรามีกัน4คนภูมิลำเนาของครอบครัวเราเป็นคนร้อยเอ็ด มีพ่อ มีแม่ พี่ชาย และก็ตัวหนูเองค่ะ บ้านของหนูอยู่ที่ค่ายประเสริฐสงคาม บ้านเลขที่ 235/148 หมู่ 11 ต.เหนือเมือง อ.เมือง จ.ร้อยเอ็ด 450000พ่อของหนู ชื่อ จ.ส.อ คำพอง จอมคำศรี รับราชการเป็นทหารเลยได้พักที่บ้านพักข้าราชการแม่ของหนู ชื่อ นาง เล็ก จอมคำศรี ทำอาชีพข้าขายค่ะ พี่ชาย ชื่อ นาย คมกฤษ จอมคำศรี ตอนนี้พี่ชายหนูก็ห่างกันไม่มีปี4ปีค่ะพ่อสอนให้รักกันไว้เพราะเรามีกันแค่สองคน
ตอนหนูอายุ 5ขวบ หนูเรียนที่โรงเรียนอนุบาลร้อยเอ็ดหนูอยู่ห้องอนุบาลหนึ่งสีม่วงรูปมะนาวมีคุณครู ชื่อ นางอนุสรา สำงามจริง หนูเริ่มศึกษาเล่าเรียนมาเรี่ยวๆจนกระทั้งเรียนประถมหนึ่งหรือ ป.หนึ่งนั้นเองหนูตื้นเต้นมากๆๆที่มีเพื่อนใหม่ๆเวลาก็ผ่านไปเรื่อยๆจนกระทั้งขึ้น ป 4 ทางโรงเรียนของหนูก็จัดให้มีกิจกรรมวันนั้นเป็นวันที่สนุกมากหนูได้เป็นผู้นำเต้นรู้ตื้นเต้นมากต้องฝึกเต้นทุกวันจนถึงวันแข็งพอผ่านพ้นไปก็สอบขึ้นขั้น ป 5 พอจะขึ้นขั้นเรียนลุ้นตลอดว่าจะได้อยู่ห้องไหนอยู่กลับเพื่อนเก่าหรือเปล่าแต่ก็ภูมิใจกับ ห้องเรียนห้องใหม่ๆเพื่อนใหม่หนูอยู่ห้องเดิมมาสองปีรู้ศึกผูกพันกับเพื่อนมากๆยิ่งตอนจะจบ ป 6 รู้ไม่อยากจาก เพื่อนไปเลยอยากให้โรงเรียนเรามีถึง ม 6 จังแต่ก็ไม่มี กับการเป็นสาวครั้งแรกของหนูนั้นคือ การมีประจำเดือนนั้นเองหนูมีประจำเดือนตอนอยู่ ป 6 รู้สึกกลัวมากๆแม่ก็สอนหนูให้เข้าใจหลังจากเรียน ป 6 เทียมสุดท้ายก็มีคณะครูอาจารย์มาแนะแนวการเรียนต่อว่าโรงเรียนแต่ล่ะโรงเรียนเป็นอย่าไรวันจบ ป 6 รู้สึกเสียใจมากๆที่จะได้จากเพื่อนไปวันนี้เป็นวันที่มี ความสุขมากๆเพราะเพื่อนคนหนึ่งมาบอกชอบเราทำให้เรารู้ดีที่เขามีความรู้สึกให้ แต่เรายังเด็กกันอยู่หลังจากนั้นเราก็แยกย้ายกันไปศึกษาต่อที่อื่นหลังจากที่หนูทำการตัดสินใจกับการเรียนต่อ พ่อหนูอยากให้เรียนต่อที่ โรงเรียนพระกุมารร้อยเอ็ดแต่หนูอยากเรียนที่โรงเรียนสตรีร้อยเอ็ดหนูเลยไปสมัครเรียนที่โรงเรียนนี้ตอนไปสมัครรู้สึกว่าเราต้องได้เรียนโรงเรียนนี้จริงๆหรอพอถึงวันสอบหนูตั้งใจทำขอสอบด้วยความตั้งใจ วันนี้คนเยาะๆมากเพราะโรงเรียนนี้เป็นโรงเรียนประจำจังหวัดร้อยเอ็ดใครๆก็อยากเข้ากันทั้งนั้น
จนกระทั้งถึงวันประกาศผลสอบออกมาหนูตื้นเต้นมากๆๆไม่คิดว่าตัวเองจะสอบติดโรงเรียนนี้หนู ได้อยู่ ม .1/8 วันเปิดเริ่มวันแรกตื้นเต้นมากๆการมาเรียนของหนู
ประวัติส่วนตัว
ชื่อ นางสาวสภาภรณ์ วิชัย
ชื่อเล่น อ้อม
เกิด 21 กันยายน 2533
อายุ 19 ปี
ราศี กันย์
บิดาชื่อ นายบุญ วิชัย
มารดาชื่อ นางหล้า วิชัย
มีพีน้องทั้งหมด 1 คน (ลูกคนเดียว)
กรุ๊ปเลือด เอบี
ปัจจุบันกำลังศึกษาอยู่ที่ มหาวิทยาลัย มหาสารคาม
คณะ ศึกษาศาสตร์
สาขา จิตวิทยา
อาจารย์ที่ปรึกษา อาจารย์ พัฒนานุสร
ที่อยู่ 138 ม. 8 บ. แก่งโกสุม ต. หัวขวาง อ. โกสุมพิสัย จ.มหาสารคาม
โทร 0806049256
E-mail a_om_333@hotmail.com
คติประจำใจ ทำวันนี้ให้เหมือนเป็นวันสุดท้ายของชีวิต
อนาคตอยากเป็น นักจิตวิทยา
เวลาว่าง ฟังเพลง ดูหนัง
สีที่ชอบ แดง เขียว ฟ้า
อาหารที่ชอบ เนื้อย่าง สุกี้ กระเพราหมูกรอบ (ร้านแซบนัว)
ศิลปินในดวงใจ . .ปาล์มมี่
นักร้องไทยที่ชอบ ปาล์มมี่ ดาเอ็นโดฟีน แบงค์
นักร้องเกาหลีที่ชอบ ซุปเปอร์ จูเนียร์ บิ๊กแบง
ดาราไทยที่ชอบ อั้ม พัชราภา
ดาราฮอลลีวูดที่ชอบ แบคพลีช
หนังไทยที่ชอบ หอแต๋วแตก แหยม1-2
หนังเกาหลีที่ชอบ รักหมดใจยัยกะล่อน
เพลงที่ชอบ น้ำเต็มแก้ว จากกันตรงนี้
ประวัติแรกเกิด
ข้าพเจ้าเกิดที่โรงพยาบาลแม่และเด็ก แม่ข้าเจ้าเล่าว่าตอนข้าเจ้าเกิดมาร้องให้บ่อยมากผิดกับเด็กคนอื่น ร้องไห้จนตัวเขียว
ประวัติเข้าโรงเรียน
ข้าเจ้าเข้าเรียนอนุบาลที่โรงเรียน บ้านแก่งโกสุม เป็นโรงเรียน
ตอนไปโรงเรียนข้าพเจ้าร้องไห้ทุกวันไม่อยากไปโรงเรียน พอจำความได้ข้าพเจ้าก็เห็นแต่หน้าแม่ของข้าพเจ้าคนเดียวข้าพเจ้าอยู่แต่กับแม่ 2คน เพราะพ่อของข้าพเจ้าไปทำงานที่ประเทศญี่ปุ่นตั้งแต่ข้าพเจ้าอายุ 1ขวบ พอกลับมาข้าพเจ้าก็อายุได้ 11ปี ข้าเจ้าเรียน ป1. – ป6. อยู่ที่โรงเรียน บ้านแก่งโกสุม ข้าเจ้าจำได้ว่าตอนอยู่ ป.6 ข้าเจ้ามีวีรกรรมแสบๆอยู่ ก็คือ ตอนชั่วโมงเกษตร คุณครูให้ทำแปลงผัก แล้วตรงนั้นก็มีสระน้ำน่าเล่นมาก แต่พวกข้าเจ้าก็ไม่กล้าเล่นหรอก
พอสักพักมีคนมาบอกว่า คุณครูให้ลงเล่นน้ำในสระได้ พอได้ยินอย่างนั้นข้าพเจ้ากับเพื่อนก็ลงเล่นน้ำทันที สักพักหนึ่ง คุณครู ถือไม้เรียวมา โดนตีกันเรียงหน้าเลย
ประวัตเข้ามัธยม
เข้าโรงเรียนมัธยมข้าพเจ้าศึกษาอยู่ที่โรงเรียนโกสุมวิทยาสรรค์ เป็นโรงเรียนประจำอำเภอข้าพเจ้าอยู่ห้อง106ข้าพเจ้ามีเพื่อนสนิทอยู่ 5 คน
1. น.ส. วันทนีย์ สีลาโคตร (เหมียว)
2. น.ส. เอื้ออารีย์ สายดง (เอื้อ)
3. น.ส. สุวิดา ศรีทองจักร (บุ้ง)
4. น.ส. สมพิศ สอนพิมพ์ (แป๋ม)
5. น.ส. วลัยพร จันทวิบูร (ยุ้ย)
ข้าพเจ้าสนุกมากตอนที่อยู่ม.ต้น มีวีรกรรมแปลกๆ มากมาย ยกตัวอย่างสักหนึ่งวีรกรรมเป็นวีรกรรมที่ข้าเจ้าไมเคยลืมเลย ตอนนั้นข้าพเจ้ากับเพื่อนๆ เรียนบาสเกตบอลอยู่หลัง
โรงเรียนและอยู่ข้างนอกหลังโรงเรียนจะมีลูกชิ้นขาย ข้าพเจ้ากลับเพื่อนๆก็เลยปีนกำแพงออกไปกินลูกชิ้นพอกินเสร็จจะปีนเข้ามา อาจารย์ดันมาไล่พอดีข้าพเจ้าตกใจมากรีบปีนกลับจนตกกำแพงเจ็บมากแถมยังโดนอาจารย์ตีอีกต่างหาก
พออยู่ ม.3ข้าพเจ้าก็มีอีก คือตอนนั้นเปลี่ยนคาบวิชาเรียนข้าพเจ้ากับเพื่อนๆก็นั่งเล่นปั่นแปะอยู่บนโต๊ะก็เล่นไปสักพัก ก็มีเพื่อนคนหนึ่งเค้าเป็นศิษย์รักของอาจารย์ที่มาสอนคาบต่อไปแต่ไหนแต่ไรเค้าไม่เคยเล่นปั่นแปะมาก่อน วันนั้นข้าพเจ้าเล่นกับเพื่อนๆอย่างสนุกสนาน พอเค้าเห็นเค้าก็เลยอยากมาลองเล่นกับพวกข้าพเจ้า พอสักพักอาจารย์เข้ามาเจอและเห็นศิษย์รักของอาจารย์เล่นการพนัน อาจารย์พูดไม่ออกร้องไห้เลย แถมข้าพเจ้ากับเพื่อนๆ ยังโดนดุเป็นชุดใหญ่ๆนี่ก็เป็นวีรกรรมสมัย ม.ต้น
มัธยมศึกษาตอนปลาย.......................ตอนมัธยมปลายข้าพเจ้ามีเพื่อนสนิท อยู่7 คน
1. น.ส. เพียงเพ็ญ สารตุ้ย (ยุ้ย)
2. น.ส. ศิริลักษณ์ สีมีงาม (ปิ๋ว)
3. น.ส. พัชรนันท์ สิทธิหาโคตร ( ปิ๋ม )
4. น.ส. สมพิศ สอนพิมพ์ (แป๋ม)
5. น.ส. สุนารี เชิงขุนทด (จินนี่)
6. น.ส. วันทยา (ตาดำ)
7. น.ส. พันนิดา สีชัยปัญหา (เก๋)
ข้าพเจ้ามีความสุขมาก ข้าพเจ้าเรียนสาย วิทย์ – คณิต ข้าพเจ้าอยู่ห้อง 405 พอ ขึ้นม.4 ข้าพเจ้าก็มีวีรกรรมเด็ดๆอยู่เหมือนกัน คือตอนนั้นเป็น วัน บิ๊กนิ่งเด ของโรงเรียนและช่วงนั้นเป็นช่วงที่ หนังแสบสนิทศิษย์ส่ายหน้าเข้าโรงใหม่ๆ
ข้าพเจ้าและพร้อมเพื่อนทั้ง7คนโดดไปสารคามไปดูหนัง พอวันต่อมา
อาจารย์ที่ปรึกษาก็เลยมาหาคนที ไม่เข้า บิ๊กคีนิ่งเด จากนั้นวันต่อมาก็ให้เชิญผู้ปกครองมาโรงเรียน ข้าพเจ้ากับเพื่อนยังได้ถูกลงโทษตอนพักเที่ยงทุกวันให้ไป
กวาดใบไม้หลังโรงเรียน ทุกวันเป็นเวลา 1 อาทิตย์ จากนั้นข้าพเจ้ากับเพื่อนๆก็ไม่กล้าโดดไปดูหนังอีกเลย
พอขึ้น ม.5
ข้าเจ้ามีอาจารย์ ที่ ปรึกษาคือ อาจารย์โสภณ มัจจุปะ เป็นเสมือนพ่อของพวกเราทั้งห้อง โรงเรียนของข้าพเจ้าจะมีช่วงเวลาสนุกที่สุดอยู่ก็คือช่วงกีฬาสีโรงเรียนของข้าพเจ้าจัดกีฬาสียิ่งใหญ่มากและก็สนุกมาก ยิ่งตอนที่อยู่ ม.6 ใกล้จะจบมีกีฬาสีมันทำให้พวกเรารักกันมากขึ้น สามัคคีกันมากขึ้น จากเพื่อนในห้องที่เคยทะเลาะกันก็กลับมารักกัน
ขึ้น ม6.
ข้าพเจ้ามีอาจารย์ ที่ปรึกษาอยู่ 2 คนคือ อาจารย์ เรียบ สัจันตะ อาจารย์ ทองสืบเลิศล้ำ ช่วงเวลาที่อยู่ ม6.รู้สึกเหมือนรักเพื่อนมากเพราะเหลือเวลาอีกไม่นานก็ต้องจากกันแล้ว ข้าพเจ้ามีความสุขที่ได้ไปโรงเรียนมากเพราะอยากใช้เวลาอยู่กับเพื่อนให้มากที่สุด ห้องของข้าพเจ้าเป็นห้องที่รักกันทำอะไรก็จะทำด้วยกันมักจะไม่ขัดกัน
และก็ช่วยเหลือกันดีมากด้วย ม.6 ของข้าพเจ้าไม่ค่อยมีวีรกรรมแสบๆหรอกเพราะ
แก่แล้วเป็นพี่ใหญ่ของโรงเรียนจึงต้องทำตัวดีๆสักหน่อย เตรียมตัวหาที่เรียนเพราะไม่งั้นจะไม่มีที่เรียนและยังเครียดกับการอ่าหนังสืออีกด้วย
ประวัติส่วนตัว นางสาวจารุนี สมศรีแก้ว 52010521013 เอก PSY
ประวัติส่วนตัว
ชื่อ จารุนี สมศรีแก้ว ชื่อเล่น แต้ว
เกิด วันจันทร์ ที่ 6 เดือน สิงหาคม พ.ศ. 2533 อายุ 19
สัญชาติ ไทย เชื้อชาติ ไทย ศาสนา พุทธ
กรุ๊ปเลือด โอ
สูง 159 ซ.ม. หนัก 50 กิโลกรัม
ที่อยู่ 22 หมู่ 1 ตำบล ในเมือง อำเภอ เวียงเก่า
จังหวัด ขอนแก่น รหัสไปรษณีย์ 40150
ปัจจุบันศึกษาที่ ระดับปริญญาตรี ชั้นปีที่ 1
คณะศึกษาศาสตร์ สาขาวิชาจิตวิทยา มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
ปัจจุบันพักที่ หอพักมหาวิทยาลัยมหาสารคาม หอพักการเวก ห้อง 112
ตำบลตลาด อำเภอเมือง
จังหวัดมหาสารคาม รหัสไปรษณีย์ 44150
E-MAIL - madkanun@hotmail.com
- taewxyz-0608@hotmail.com
เบอร์โทร - 085-0090807
อุปนิสัย รักสนุก ร่าเริง พูดเก่ง คุยเก่ง กล้าแสดงออก โกรธง่าย หายเร็ว
สีที่ชอบ ชมพู่ ฟ้า ม่วง
สัตว์ที่ชอบ กระต่าย ปลาทอง
อาหารที่โปรด ทุกอย่าง ยกเว้น หนังเป็ด หนังไก่
ความสามารถพิเศษ เล่นกีฬา พูดสุนธรพจน์
งานอดิเรก ดูหนัง ฟังเพลง
ความใฝ่ฝัน เรียนจบดุษฎีบัณฑิต มีครอบครัวที่สมบูรณ์
อนาคต เป็นคนที่มีรูปร่างน่าตาสวย
อาชีพที่อยากจะเป็น คุณครู นักจิตวิทยา
สเปก ขาว สูง จมูกโด่ง ดูเป็นผู้ใหญ่ ดูแลเอาใจใส่เรา เหมือที่คุณพ่อคุณแม่ดูแลเรา
คติ เรียนดี สวย เพื่อนรวย จบอย่างภาคภูมิใจ
สมาชิกในครอบครัวมีทั่งหมด 5 คนค่ะ แต่คุณแม่ท่านเสียไปแล้ว
คุณแม่ของดิฉันชื่อ นางวาสนา สมศรีแก้ว อายุ 48 ปี ท่านเสียไปเมื่อตอนที่ดิฉันอยู่ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 อายุ 14 ปี ค่ะเสียใจมาก
คุณพ่อชื่อ นายจักรี สมศรีแก้ว อายุ 48 ปี อาชีพประกอบธุรกิจส่วนตัว
มีพี่ชายอีก 1 คน ชื่อ นายนิรันดร์ สมศรีแก้ว อายุ 23 ปี อาชีพประกอบธุรกิจส่วนตัวเช่นเดียวกับคุณพ่อค่ะ อีก 1 คนท่านคือ คุณยายของดิฉันเอง
ชื่อ นางปา กุลลาจันทร์ อายุ 91 ปี ค่ะ
หลังจากที่ เกิดได้ 3 เดือนคุณพ่อก็มารับไปอยู่ที่ กรุงเทพมหานคร อยู่ห้องกับคุณแม่กับพี่คุณแม่ทำยังไงก็ไม่รู้ คุณแม่เล่าให้ฟังว่าดิฉันเหยียบถ้วยมาม่าด้วย เท้าพองหมดแล้วก็เดินตกน้ำเน่าบ่อยด้วย
หลังจากอายุได้ 2 ขวบแล้วคุณแม่ก็พาดิฉันไปฝากไว้กับป้าเลี้ยงให้แล้วคุณแม่ก็ไปทำงานที่ กรุงเทพเหมือนเดิม ตอนอยู่กับป้า ป้าก็พาไปสมัครเข้าโรงเรียนก่อนอนุบาล จนอายุ 5 ขวบ พอ 5 ขวบคุณแม่ก็กลับมาอยู่บ้าน แล้วก็รับดิฉันกลับไปอยู่บ้านด้วย คุณแม่พาไปเข้าโรงเรียนบ้านหนองขาม ซึ่งเป็นโรงเรียนใกล้ ๆ บ้าน ตอนั่นเข้าอนุบาล 1 เรียนที่โรงเรียนบ้านหนองขาม จนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ตอนที่เรียนอยู่ที่นั้นมีความสุขมาก แล้วดิฉันก็เรียนไม่ค่อยเก่งหรอกค่ะ แต่เพราะว่าเพื่อนคนอื่นฉลาดน้อยกว่าหรือยังไงไม่รู้ ดิฉันถึงสอบได้อันดับที่ 1 มาตั้งแต่ ป.4 จนถึง ป.6 เกรดเฉลีย 4.00 ก็เลยได้ทุนการศึกษาเป็นทุนเรียนดีมาตั้งแต่ ป.4 เป็นเด็กกิจกรรมด้วยได้เข้าแข่งขันทักษะวิชาการมาตั้งแต่ ป.3 ตอน ป.3 ไปแข่ง ประดิษฐ์ ก็ได้อันดับที่ 1 มา ป.4 ก็ได้ไปแข่งคณิตศาสตร์ ที่ว่า คณิต คิด เลขเร็ว ได้อันดับที่ 2 เพราะไปแข่งกับรุ่นพี่ ป.6 เพราะมันแข่งเป็นคู่เลยต้องไป 2 คน จำได้ว่าเป็น การ บวก ลบ คุณ หาร เศษส่วน ซึ่งตอนนั่นดิฉันยังไม่ได้เรียน ถามรุ่นพี่เอาก็บอกว่าให้เอาทั่งเศษแล้วส่วนมา บวก ลบ คูณหาร กันเลย เลยทำผิดค่ะเลยได้อันดับที่ 2 เพราะรุ่นพี่แท้ ๆ พอมา ป.6 ก็ได้เข้าแข่งขัน เขียนเรียงความภาษาอังกฤษ ได้อันดับที่ 2 ค่ะ เพราะไม่ได้
เตรียมตัวเลย คุณครูไม่ได้บอกล่วงหน้า พอก่อนจะถึงวันแข่ง 2 วันคุณครูค่อยมาบอก พลาดไปเลยค่ะ
ตอนที่อยู่ชั้น ป.5 ไปแข่งโครงการกล้วยอบเนยค่ะ ได้อันดับที่ 1 เลยได้เป็นตัวแทนไปแข็งในตัวอำเภอ พอไปแข่งที่อำเภอเลยได้อันดับ 2 ค่ะ เป็นนักกีฬาด้วยตอนอยู่ ป.3 – 4 เป็นนักวอลเลย์บอล ทีมสำรองค่ะ มา ป.5 – 6 ก็เป็นนักวอลเลย์บอลแต่เป็นตัวจริงค่ะ ป.5 – 6 ก็เป็นนางลำด้วย ออกงานทุกงานเลยค่ะภูมิใจจริง ๆ เลย จบ ป.6 จากโรงเรียนบ้านหนองขาม
หลังจากจบจาก โรงเรียนบ้านหนองขามดิฉันก็ได้มาสอบเข้าโรงเรียน ภูเวียงวิทยาคมตอนที่ดิฉันศึกษาอยู่ชั้น
มัธยมศึกษาปีที่ 1 ได้เกรดเฉลี่ย 3.33 ตอน ม.ต้น เขาคิดเป็นปี ค่ะ
มัธยมศึกษาปีที่ 2 ได้เกรดเฉลี่ย 3.31 ม.ปลายคิดเป็นเทอมค่ะ
มัธยมศึกษาปีที่ 3 ได้เกรดเฉลี่ย 3.35
มัธยมศึกษาปีที่ 4 เทอมแรกได้ 2.18 เรียนสาย วิทย์-คณิต
ประวัติส่วนตัว
นางสาวอนุศรา สีชาแลน 52010521006 เอก PSY
ประวัติส่วนตัว
ชื่อ : นางสาวอนุศรา
นามสกุล : สีชาแลน
ชื่อเล่น : หวาน
อายุ : 20 ปี
สถานะภาพ : โสด
หมู่โลหิต : เอ
เกิด : วันศุกร์ที่ 27 เดือน ตุลาคม พ.ศ.2532
สถานที่เกิด : โรงพยาบาลภูเวียง
ที่อยู่ตามทะเบียนบ้าน : 305/106 หมู่ 21 ต.บ้านเป็ด อ.เมือง จ.ขอนแก่น 40000
ที่อยู่ที่สามารถติดต่อได้ : 29 หมู่ 1 ต.ในเมือง อ.เมืองเก่า จ.ขอนแก่ 40150
ที่อยู่ที่มหาวิทยาลัย : หอพักการเวก ห้อง 112 เขตพื้นที่ในเมือง มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
เบอร์โทร : 084 – 5106257
บิดาชื่อ : นายไทยนิกร สีชาแอน
อายุ : 44 ปี
อาชีพ : รับจ้าง
สถานะภาพ : เสียชีวิต
มารดาชื่อ : นางลาวัลย์ สีชาแอน
อายุ : 46 ปี
อาชีพ : ทำการเกษตร
เบอร์โทร : 084 – 9561175
สถานะภาพ : ยังมีชีวิตอยู่
มีพี่น้องรวมสายเลือด : 2 คน
คนที่ 1 ชื่อ : นางสาววลิลา สีชาแอน
ชื่อเล่น : ส้ม
อายุ : 23 ปี
กำลังศึกษา : ระดับปริญาตรี คณะสังคมและเทคโนโลยี สาขา การจัดการ ปี 4
มหาวิทยาลัยราชมงคลอีสาน วิทยาเขตกาฬสินธุ์
ความสามารถพิเศษ : ขับรถยนต์
นิสัย : ชอบความสงบ/ไม่วุ่นวาย
คติประจำใจ : ความมุ่งมั่น คือความสำเร็จในชีวิต
ความใฝ่ฝัน : อยากเป็นคุณครูแนะแนว
เวลาว่างชอบทำ : ดู TV,คุยโทรศัพท์,กิน
งานอดิเรก : อาบน้ำให้สุนัก
อาหารที่ชอบ : ทุกอย่าง
อาหารที่ไม่ชอบ : น้ำพริกกะปิ
สีที่ชอบ : ขาว – ดำ
ผู้ชายในฝัน : หน้าตาไม่ต้องขอแค่ซื่อสัตย์จริงใจ
สิ่งที่ทำแล้วมีความสุข : ร้องเพลง
ผลไม้ที่ชอบ : เงาะ
สิ่งที่ไม่ชอบ : การโกหก/เห็นแก่ตัว
ละครที่ชอบ : อยากหยุดตะวันไว้ที่ปรายฟ้า
ดาราที่ชอบ : แพนเค้ก
นักร้องที่ชอบ : ตั๊กแตน
เพลงที่ชอบมากที่สุด : อยากเป็นคนรักไม่ได้อยากเป็นชู้
ชอบอ่านหนังสือ : สถานที่ท่องเที่ยว
สถานที่ท่องเที่ยวที่ชอบ : ทะเล
สิ่งที่ทำให้เสียใจที่สุด : การจากไปของพ่อ
สิ่งที่ทำให้ภูมิใจมากที่สุด : สอบเข้าศึกษา ที่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
ประวัติการศึกษา
เรียนระดับอนุบาล 1 – 2 : ร.ร.บ้านหนองขาม
เรียนระดับประถม 1 – 6 : ร.ร.บ้านหนองขาม
เรียนระดับมัธยมศึกษา 1 – 3 : ร.ร.เวียงวงกตวิทยาคม
เรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย 4 – 6 : ร.ร.เวียงวงกตวิทยาคม
เรียนระดับอุดมศึกษา : มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
ประวัติส่วนตัว
นางสาวอนุศรา สีชาแลน 52010521006 เอก PSY
ประวัติส่วนตัว
ชื่อ : นางสาวอนุศรา
นามสกุล : สีชาแลน
ชื่อเล่น : หวาน
อายุ : 20 ปี
สถานะภาพ : โสด
หมู่โลหิต : เอ
เกิด : วันศุกร์ที่ 27 เดือน ตุลาคม พ.ศ.2532
สถานที่เกิด : โรงพยาบาลภูเวียง
ที่อยู่ตามทะเบียนบ้าน : 305/106 หมู่ 21 ต.บ้านเป็ด อ.เมือง จ.ขอนแก่น 40000
ที่อยู่ที่สามารถติดต่อได้ : 29 หมู่ 1 ต.ในเมือง อ.เมืองเก่า จ.ขอนแก่ 40150
ที่อยู่ที่มหาวิทยาลัย : หอพักการเวก ห้อง 112 เขตพื้นที่ในเมือง มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
เบอร์โทร : 084 – 5106257
บิดาชื่อ : นายไทยนิกร สีชาแอน
อายุ : 44 ปี
อาชีพ : รับจ้าง
สถานะภาพ : เสียชีวิต
มารดาชื่อ : นางลาวัลย์ สีชาแอน
อายุ : 46 ปี
อาชีพ : ทำการเกษตร
เบอร์โทร : 084 – 9561175
สถานะภาพ : ยังมีชีวิตอยู่
มีพี่น้องรวมสายเลือด : 2 คน
คนที่ 1 ชื่อ : นางสาววลิลา สีชาแอน
ชื่อเล่น : ส้ม
อายุ : 23 ปี
กำลังศึกษา : ระดับปริญาตรี คณะสังคมและเทคโนโลยี สาขา การจัดการ ปี 4
มหาวิทยาลัยราชมงคลอีสาน วิทยาเขตกาฬสินธุ์
ความสามารถพิเศษ : ขับรถยนต์
นิสัย : ชอบความสงบ/ไม่วุ่นวาย
คติประจำใจ : ความมุ่งมั่น คือความสำเร็จในชีวิต
ความใฝ่ฝัน : อยากเป็นคุณครูแนะแนว
เวลาว่างชอบทำ : ดู TV,คุยโทรศัพท์,กิน
งานอดิเรก : อาบน้ำให้สุนัก
อาหารที่ชอบ : ทุกอย่าง
อาหารที่ไม่ชอบ : น้ำพริกกะปิ
สีที่ชอบ : ขาว – ดำ
ผู้ชายในฝัน : หน้าตาไม่ต้องขอแค่ซื่อสัตย์จริงใจ
สิ่งที่ทำแล้วมีความสุข : ร้องเพลง
ผลไม้ที่ชอบ : เงาะ
สิ่งที่ไม่ชอบ : การโกหก/เห็นแก่ตัว
ละครที่ชอบ : อยากหยุดตะวันไว้ที่ปรายฟ้า
ดาราที่ชอบ : แพนเค้ก
นักร้องที่ชอบ : ตั๊กแตน
เพลงที่ชอบมากที่สุด : อยากเป็นคนรักไม่ได้อยากเป็นชู้
ชอบอ่านหนังสือ : สถานที่ท่องเที่ยว
สถานที่ท่องเที่ยวที่ชอบ : ทะเล
สิ่งที่ทำให้เสียใจที่สุด : การจากไปของพ่อ
สิ่งที่ทำให้ภูมิใจมากที่สุด : สอบเข้าศึกษา ที่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
ประวัติการศึกษา
เรียนระดับอนุบาล 1 – 2 : ร.ร.บ้านหนองขาม
เรียนระดับประถม 1 – 6 : ร.ร.บ้านหนองขาม
เรียนระดับมัธยมศึกษา 1 – 3 : ร.ร.เวียงวงกตวิทยาคม
เรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย 4 – 6 : ร.ร.เวียงวงกตวิทยาคม
เรียนระดับอุดมศึกษา : มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
ชื่อ นางสาวดั่งฤทัย วรรัตน์ 50010510609 ปกติ
ชีวิตของข้าพเจ้า
ดิฉันเกิดในครอบครัวที่มีฐานะปานกลาง เป็นลูกคนที่ 2 มีพี่สาวอีกหนึ่งคน ซึ่งอายุห่างกันไม่มากเพียง 3 ปีเท่านั้น ดิฉันมีชื่อจริงว่าดั่งฤทัย ซึ่งแปลว่าได้ดั่งใจ ซึ่งไม่รู้ว่าได้ดั่งใจพ่อแม่ หรือว่าได้ดั่งใจตัวเอง ชื่อนี้พ่อเป็นคนตั้งใจ ส่วนชื่อเล่นของดิฉันชื่อว่ากิ๊ก แต่ส่วนมากคนในครอบครัวจะเรียกว่ากุ๊กกิ๊กมากกว่า ชื่อเล่นเป็นแม่คนตั้งใจเพราะในสมัยที่ดิฉันเกิดแม่ชอบนางเอกในละครที่มีชื่อว่ากิ๊ก แม่เลยตั้งตามดาราคนนั้น ตั้งแต่เด็กจนโตแม่สอนให้คิดเอง แม่จะไม่บังคับว่าลูกต้องทำอะไร เป็นแบบไหน ส่วนมากฉันจะติดแม่มากกว่าพ่อ เพราะพ่อดูจะดุมากเมื่อสมัยฉันยังเป็นเด็ก ตอนอนุบาลฉันเรียนที่โรงเรียนอนุบาลปิ่นทิพย์ ตอนเช้าจะเป็นเวลาที่รถรับ-ส่งจะมารับไปโรงเรียนแต่ฉันก็ไม่เคยที่จะได้ไปโรงเรียนโดยรถรับ-ส่งเลย เพราะว่าตอนเด็กฉันเป็นคนที่ทำอะไรช้ามากจนโดยแม่ตีก่อนไปโรงเรียนทุกวันเลย กว่าจะไปโรงเรียนได้แต่ละวันฉันต้องใส่ถุงเท้าให้เท่ากัน โดยการเอาไม้บรรทัดมาวัดจนไปโรงเรียนสายทุกวัน นี่จึงเป็นสาเหตุที่โดนแม่ตีทุกวันก่อนไปโรงเรียน พอเริ่มประถมดิฉันก็ได้ย้ายโรงเรียนมาเรียนที่โรงเรียนสนามบิน ซึ่งความแต่ก่อนที่แห่งนั้นเคยเป็นสนามบินเก่ามาก่อน จึงได้ชื่อว่าโรงเรียนสนามบิน โรงเรียนฉันจะติดกับโรงเรียนของพี่สาวของฉันเองซึ่งก็คือโรงเรียนอนุบาลขอนแก่น ตอนเช้าแม่หรือพ่อจะเป็นคนมาส่งที่โรงเรียนเองเพราะแม่บอกว่า ขึ้นรถรับ-ส่งก็เสียตังค์เปล่าๆเพราะยังไงก็ไม่เคยขึ้นรถทันเลย แม่ต้องคอยตามมาส่งที่โรงเรียนเอง จึงไม่ได้ขึ้นรถรับ-ส่งอีก ส่วนตอนเย็นนั้นแม่ไม่ได้มารับ
เพราะว่าแม่บอกว่าโตแล้วต้องช่วยเหลือตัวเองให้เป็น เมื่อเลิกโรงเรียนพี่สาวของดิฉันจะเป็นคนมารอรับที่ด้านหลังของโรงเรียนแล้วขึ้นรถโดยสารสองแถวกลับบ้านกันเองสองคน เพราะว่ารถสองแถวจะจอดที่หน้าบ้านพอดี แต่ฉันและพี่ก็กลับบ้านค่ำทุกวันเพราะฉันมัวแต่เล่นกับเพื่อนๆก่อนจนใกล้มืดจึงจะขึ้นรถกลับบ้าน พอเริ่มเข้าประถมแม่เริ่มให้ทำงานบ้านเองทุกอย่าง โดยที่แม่บอกว่าโตแล้วต้องทำทุกอย่างให้เป็น ชีวิตในวัยประถมก็เป็นไปแบบปกติทั่วไป จนปิดเทอมของป. 5 ฉันและพี่สาวจึงรู้ว่าพ่อกับแม่จะแยกทางกันโดยพ่อและแม่ให้เลือกว่าจะอยู่กับใคร แต่ฉันและพี่สาวก็เลือกที่จะอยู่กับแม่ทั้งสองคน ช่วงนั้นเป็นช่วงที่แม่อ่อนแอที่สุด เราสามคนจึงต้องเป็นทุกอย่างให้กัน ให้กำลังใจกัน จนเริ่มเข้าม. 1 ฉันก็ได้เปลี่ยนที่เรียนอีกโรงเรียนของดิฉันมีชื่อว่าเทพศิรินทร์ ฉันเรียนที่นี่ตั้งแต่ม. 1 – 3 เริ่มเข้าม. 1 ที่โรงเรียนแห่งนี้ฉันก็เริ่มมีเพื่อนมากขึ้น ติดเพื่อนมากขึ้น แต่แม่ก็ไม่ได้ว่าอะไรเพราะว่าเวลาจะไปไหนทำอะไรจะฉันบอกแม่เสมอ แต่พอเริ่มเข้าโรงเรียนเริ่มมีคนหมั่นไส้ฉันมากขึ้น แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม แม่เลยบอกว่าหน้าตาเราอาจดูไม่ค่อยยิ้มก็ได้ แต่ความเป็นจริงแล้วฉันก็ไม่ได้สนใจใครเหมือนกัน ใครจะว่าอย่างไรก็ชั่ง แต่อย่ามายุ่งกับฉับก็พอ เพราะว่าฉันก็จะไม่ยอมเหมือนกัน ช่วงเวลาม. 1– 3 เป็นช่วงเวลาที่มีความสุขมากเพราะได้ใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่า แต่ก็ไม่เคยจะทำให้แม่เสียใจหรือผิดหวังเลย เพราะการเรียนของฉันก็พอใช้ได้ จนจบม. 3 แม่เลยบอกว่าอยากให้ฉันไปเรียนที่นาฏศิลปกาฬสินธุ์ ซึ่งที่นั่นเป็นโรงเรียนประจำ ตอนแรกก็ร้องไห้ไม่อยากไปแต่แม่บอกว่าโตแล้วต้องห่างบ้านได้แล้ว จะได้เข้มแข็ง ฉันเลยยอมไปเรียนที่นั่น วันแรกที่เข้าไปเรียนจะให้นอนที่นั่นเลยเพราะว่าจะได้ชิน และก็จะมีการเข้าค่ายปรับพื้นฐานแล้วก็มีการรับน้องโดยอาจารย์และรุ่นพี่ ตอนแรกฉันร้องไห้ทุกวันเลยเพราะว่าคิดถึงบ้านมากไม่อยากอยู่เลย โทรไปร้องไห้กับแม่ทุกวันเลย แต่ก็ต้องอยู่ให้ได้ พอเข้าค่ายรับน้องเสร็จ อาจารย์ก็ให้มาเข้าหอพักที่ในวิทยาลัยนาฏศิลปเลยเป็นห้องนอนแบบหญิงรวม มีตู้กับเตียงนอนให้แค่นั้น ส่วนห้องน้ำเป็นแบบรวมไม่มีห้องน้ำส่วนตัว ตอนนั้นปรับตัวไม่ได้เลย ที่วิทยาลัยเค้าให้นักเรียนทุกคนตื่นมาตอนตี5 เพื่อออกกำลังกายและก็ทำภารกิจส่วนตัวให้เสร็จก่อน 7 โมงเช้า ช่วงแรกฉันตื่นช้ากว่า
เพื่อนๆ จนอาจารย์ต้องเรียกไปตักเตือน พอเริ่มเข้าชั่วโมงเรียนฉันก็ไม่มีกระจิตกระใจเรียนเลยเพราะเอาแต่คิดถึงบ้านอย่างเดียว ร้องไห้ตั้งแต่คาบแรกจนเลิกเรียนเลย จนมีอาจารย์ท่านหนึ่งเห็นว่าฉันเอาแต่ร้องไห้จึงเดินเข้ามาพูดกับดิฉันว่า พ่อแม่ส่งมาเรียนหรือส่งมาร้องไห้ ฉันจึงตอบอาจารย์ไปว่าส่งมาเรียนคะ อาจารย์จึงบอกว่างั้นก็เลิกร้องไห้ได้แล้ว ตั้งแต่นั้นมาดิฉันก็ไม่ร้องไห้อีก แต่การใช้ชีวิตในหอพักหญิงเป็นครั้งแรกในชีวิตทำให้ฉันลำบากมาก เพราะฉันแพ้น้ำในหอพักอย่างรุนแรง ตัวเป็นผื่นแดงไปหมดทั้งตัว อยู่ในหอพักในวิทยาลัยได้แค่เทอมเดียวก็ย้ายออกมาอยู่หอนอกแต่หอนอกก็เป็นของอาจารย์ในวิทยาลัยอยู่ดี แต่ก็ดีหน่อยที่เป็นห้องส่วนตัวของใครของมัน พอเริ่มปรับตัวได้ก็เริ่มเรียนซึ่งการเรียนของฉันเริ่มว่าหนักมากเพราะฉันไม่เคยรู้จักและเล่นดนตรีไทยเป็นเลย ต้องหัดตั้งแต่พื้นฐานเลย การเรียนดนตรีไทยของฉันเป็นการเรียนแบบตัวต่อตัวกับอาจารย์เพียงสองคนเท่านั้น แต่อาจารย์ที่สอนฉันก็ค่อนข้างที่จะใจดีมาก อาจเป็นเพราะอาจารย์ก็ได้ทำให้ฉันได้อะไรหลายอย่างมากกว่าในห้องเรียนอาจารย์จะสอนดนตรีไทยทุกอย่างที่ฉันอยากเรียน อาจารย์คนนั้นฉันจะเรียกสั้นๆว่าครูหล้า ครูหล้าสอนฉันจนฉันได้ออกงานของวิทยาลัย สอนตั้งแต่เริ่มจนฉันเรียนจบ ครูหล้าอายุมากกว่าฉันมาก แต่ครูหล้าก็พยายามเป็นทุกอย่างให้ฉัน ครูหล้าเป็นครูที่ดีเข้าใจเด็ก เป็นที่ปรึกษาที่ดี ฉันจึงรักครูหล้ามาก พอฉันมีเพื่อนมากขึ้นก็มีคนมีจีบบ้าง แต่มีคนนึงที่อดทนกับฉันมากๆเพราะเค้าจะคอยมาร้องเพลงจีบฉัน แต่ตอนนั้นฉันเกลียดเค้ามากเพราะว่าเค้าตามตื้อมาก แต่สุดท้ายฉันก็แพ้ใจตัวเองจนได้ เพราะความจริงใจเพราะความอดทน ฉันกับแฟนคบกันมาจนจบปวช.3 แต่ก็พอเข้ามหาวิทยาลัยต่างคนก็ต้องต่างแยกย้ายกันไปเรียน ฉันตั้งใจจะมาเข้ามาเข้าที่มหาวิทยาลัยมหาสารคามเลย แต่แม่ของฉันอยากให้ฉันไปเรียนในกรมศิลปากรเพราะตรงกับสายที่เรียนมาตอนมอปลาย
ชื่อ นางสาวดั่งฤทัย วรรัตน์ 50010510609 ปกติ
แต่ฉันก็ไม่ยอมไปเพราะอยากเรียนที่นี่เพราะพี่สาวของฉันก็จบที่นี่เหมือนกัน ก็ทะเลาะกับแม่รุนแรงพอสมควร แต่สุดท้ายแม่ก็ต้องยอมจนได้ ส่วนแฟนของดิฉันได้โควตานักร้อง จึงได้ไปเรียนที่มหาวิทยาลัยนเรศวร ที่จังหวัดพิษณุโลก แต่เราก็ยังติดต่อกันมาเรื่อยๆจนถึงปัจจุบัน จนทุกวันนี้เข้าใจกันมากกว่าคำว่าแฟน กลายเป็นคนในครอบครัวไปแล้ว พอเข้ามหาวิทยาลัยมหาสารคามฉันก็เลือกคณะวิทยาการสารสนเทศเพราะคิดว่าตอนนั้นชอบที่สุด แต่พอเรียนไปเรียนมามันไม่ใช่อย่างที่คิดไว้ แล้วไม่ได้ชอบเหมือน
ตอนแรก จึงเริ่มหาคณะและเอกที่ตัวเองชอบมาที่สุด ก็เลยเลือกศึกษาศาสตร์ เอกจิตวิทยา เพราะคิดว่าชอบที่สุดแล้ว พอได้มาเรียนก็คิดว่ามาถูกทางแล้ว ตอนปี 1 ฉันได้อยู่หอพักกับเพื่อนที่มาจากโรงเรียนเดียวกัน พอเริ่มใช้ชีวิตในมหาวิทยาลัยก็คิดว่าเป็นชีวิตที่อิสระมากๆ แต่ต้องมีความรับผิดชอบอย่างสูง ฉันก็เริ่มไปเที่ยวบ้าง แต่ไม่ค่อยบ่อย ชีวิตในมหาวิทยาลัย สอนให้ฉันรู้อะไรหลายๆอย่างเกี่ยวกับการเรียน การใช้ชีวิต การคบเพื่อน การรู้จักคบคนมากขึ้น ทำให้ฉันเข้มแข็งเพราะฉันต้องทำอะไรด้วยตัวของตัวเองทั้งหมด ไม่มีใครมาบอกให้ทำได้ เพราะเป็นชีวิตของการเริ่มเข้าสู่วัยผู้ใหญ่แล้ว ตอนปี 1 รู้สึกว่ามีความสุขมากเพราะเป็นเวลาที่ได้รู้จักกับเพื่อนใหม่ สังคมใหม่ แต่ช่วงนั้นกิจกรรมของมหาวิทยาลัย และของคณะเยอะมาก จนทำให้การเอาใจใส่การเรียนน้อยลง เลยต้องเริ่มหันกลับมาใส่ใจในการเรียนมากขึ้น ตอนปี 1ได้รู้กับเพื่อนตั้งแต่วันแรกที่เขามา แล้วก็สนิทกันจนถึงทุกวันนี้ ฉันคิดว่าแม้ในมหาวิทยาลัยจะมีคนมากมายแต่การที่เราจะมีเพื่อนที่เข้าใจเรา อยู่ข้างๆเรานั้นมีน้อยมาก แต่ฉันก็โชคดีที่มีเพื่อนแบบนั้น ฉันเป็นคนไม่ค่อยพูดกับคนแปลกหน้าเท่าไหร่ คนอื่นที่มองจึงว่าฉันหยิ่งบ้าง แต่ฉันก็ไม่ได้สนใจใครเพราะคนเหล่านั้นก็ไม่ได้ทำให้ชีวิตฉันดีขึ้น ฉันจึงมีเพื่อนไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่ แต่เพื่อนที่คบกันจึงเป็นเพื่อนที่สนิทจริงๆ พอขึ้นปีสองมาฉันเริ่มมาดำเนินการเรื่องย้ายคณะ เพราะคิดว่าอยากย้ายให้เร็วที่สุด จะได้เรียนไม่ช้ากว่าเพื่อนๆเกินไป แต่ฉันย้ายพึ่งย้ายเอกได้ตอนปี3 เทอมหนึ่ง ฉันจึงคิดว่าจะเริ่มขยันให้มากขึ้นเก็บหน่วยกิจให้มากขึ้น จนได้ไม่จบช้าไป เพราะในบ้านเหลือฉฮันเป็นความหวังคนสุดท้าย เพราะพี่สาวก็จบมาแล้วก็ได้ทำงานเป็นพนักงานธนาคารที่จังหวัดภูเก็ต แม่จึงตั้งความหวังว่าอยากให้ฉันจบมาเป็นข้าราชการ ส่วนตัวฉันก็อยากเป็นคุณครูอยู่แล้ว ฉันเคยวาดฝันไว้ว่าจบมาอยากทำงานเป็นครูที่ภาคเหนือ เพราะตั้งแต่เด็กพ่อและแม่จะพาฉันและพี่สาวไปเที่ยวช่วงปิดเทอมที่ภาคเหนือเสมอ ฉันจึงชอบภาคเหนือมาตั้งแต่เด็กๆ จึงคิดว่าถ้าได้เป็นครูก็อยากไปสอนในภาคเหนือ และช่วงวันหยุดเทศกาลค่อยจะกลับมาเยื่ยมญาติๆที่บ้านเกิด ถึงตอนนี้พ่อกับแม่ฉันกลับมาคุยกันแล้ว ถึงแม้ว่าจะไม่ได้กลับมาใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันก็ตามแต่ฉันก็ดีใจที่ได้เห็นพ่อกับแม่คุยกับแบบมีความสุขมากกว่าแต่ก่อนที่มีแต่ทะเลาะกัน ตอนนั้ทั้งแม่และพ่อก็ต่างเป็นโสด ไม่ได้มีใคร พ่อบอกฉันว่าจะใช้ชีวิตที่เหลือที่ขาดหายไปกับลูกๆให้มากที่สุด ส่วนแม่นั้นก็ไม่ต้องเป็นห่วงเพราะว่า เราสามคนแม่ลูกอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว และฉันก็คิดว่าแม่กับฉันคงขาดกันไม่ได้เพราะอาทิตย์ไหนที่ฉันไม่กลับบ้าน แม่จะโทรมาตั้งแต่ 6 โมงเช้าเพื่อที่จะถามว่าอาทิตย์นี้ไม่กลับบ้านหรอลูก แต่ถ้าแม่คิดว่าฉันกลับบ้านบ่อยแม่ก็จะบอกว่ากลับมาทำไมบ่อย แต่ถ้าไม่กลับมาโทรมาถามอยู่นั่นแหละว่าทำไมไม่กลับบ้าน ฉันจึงไม่เข้าใจแม่เลยว่าตกลงแม่อยากให้กลับหรืเอไม่อยากให้กับ พูดไปแล้วก็ขำแม่เหมือนกันคะ ตอนนั้นแม่ยังทำงานอยู่เลย ก็เคยถามแม่เหมือนกันว่าทำไมแม่ยังทำงานก็ในเมื่อพี่สาวของฉันก็มีเงินเดือนแล้ว แต่แม่ก็บอกฉันว่ายังเป็นห่วงฉันอยู่ไม่อยากให้ลูกลำบาก ฉันคิดเสมอว่าคนเราเมื่อมีแฟนมักให้ความสำคัญกับพ่อแม่น้อยลง แต่เมื่อแฟนทิ้งก็มักมานั่งเสียใจฟูมฟาย บางคนก็ฆ่าตัวตาย แต่ทำไมไม่เคยคิดว่าคนที่รักเราที่สุด และไม่เคยทอดทิ้งเราเลยนั่นก็คือพ่อแม่ แต่ทำไมเราจึงให้ความสำคัญกับคนอื่นๆมากกว่าพ่อแม่ ด้วยเหตุนี้เองฉันจึงชอบกลับบ้านทุกอาทิตย์เพราะคิดถึงบ้าน คิดถึงแม่ ไม่อยากให้แม่เหงาถ้าอาทิตย์ไหนที่ฉันไม่ได้กลับบ้านฉันจะบ่นจนเพื่อนๆรำคาญ บ่นว่าอยากกลับบ้าน ฉันจึงคิดว่าฉันเป็นคนที่โชคดีที่มีความครอบครัวรักฉัน มีแม่ที่ทำทุกๆอย่างเพื่อฉันเสมอ ฉันจึงไม่ค่อยกล้าที่จะทำอะไรให้แม่และครอบครัวเสียใจ ฉันต้องเรียนให้จบให้ได้ แล้วต้องได้ทำงานงานเป็นข้าราชการ หรืเป็นครูให้ได้ เพราะฉันคือความหวังของครอบครัว แม้ว่าตอนนี้ฉันยังเรียนอยู่ปี 3 ฉันก็จะพยายามให้มากที่สุด และตอนนี้ฉันก็มีวคามสุขในการเรียน และชีวิตครอบครัวแล้ว
คติประจำใจของฉันคือ ท้อได้แต่ห้ามถอย
ชื่อ นางสาวดั่งฤทัย วรรัตน์ 50010510609 ปกติ
ประวัติส่วนตัว
ผมมีนามว่า นายภัทรพงษ์ รัตนวงษา ชื่อเล่น แบงค์ เกิดเมื่อ วันที่ ภ เดือน เมษายน พ.ศ. 2533 วันพุธ ที่อยู่ บ้านเลขที่ 45 หมู่ที่ 11 บ้านเขื่อน ต.เขื่อน อ.โกสุมพิสัย จ.มหาสารคาม 44140 บิดา ชื่อ นายชัยศิลป์ รัตนวงษา อาชีพรับราชการตำรวจ มารดา ชื่อนางอุดร รัตนวงษา อาชีพรับราชการครู ผมมีน้องสาวหนึ่งคนชื่อ นางสาวภัสราภรณ์ รัตนวงษา อายุ 16 ปี ศึกษาอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนโกสุมวิทยาสรรค์ อ.โกสุมพิสัย จ.มหาสารคาม
ตอนเด็กแม่เล่าให้ฟังว่าคลอดผมออกมาตัวอ้วนมาก จนแม่ได้รับคุณแม่ดีเด่น พอคลานได้ผมเป็นเด็กที่ไม่ซน เวลามีคนอุ้มไปไหนผมก็จะนั่งนิ่งๆ บ้างครั้งหลับคามือคนอุ้ม คนแก่แถวบ้างจึงชอบอุ้มผมไปเลี้ยงที่บ้านเพราะผมเป็นเด็กที่โดนอุ้มแล้วไม่ดิ้นแรงและไม่ซน แล้วมีครั้งหนึ่งพี่สาวบ้านตรงข้ามมาอุ้มผมไปเล่นที่บ้านของพี่แล้วอุ้มผมไปแถวๆ หน้าบ้าน ผมมองไปเห็นแม่ผมเลยดิ้นจนหลุดจากมือพี่ตกลงไปในร่องน้ำหน้าบ้าน ผมร้องไห้ไม่หยุดเกือบทั้งวันขาผมก็บวมทั้งสองข้าง แม่บอกว่าแม่ตกใจมากที่เห็นขาผมบวมทั้งสองข้างแม่กับยายเลยพาไปนวดขากับคนแก่ในหมู่บ้าน แต่ก็ไม่หายยิ่งบวมกว่าเดิมอีก ยายบอกว่าไม่เป็นไรหรอกมั้งไปต้องไปหาหมอหรอก หลังจากวันนั้นผ่านไปได้สามวันขาผมก็หายบวม พออายุถึงเวลาไปโรงเรียนเด็กเล็กผมไปโรงเรียนครั้งแรกที่ศูนย์เด็กเล็กบ้านเขื่อน จนอายุถึงเกณฑ์ที่ต้องเข้าเรียนในชั้นอนุบาลผมเข้าเรียนที่โรงเรียนจรวิทยาคม โรงเรียนจรหากจากบ้านผมประมาณ 7 กิโลเมตร ถือว่าไม่ไกล ผมต้องไปกลับทุกวันกับแม่เพราะแม่สอนอยู่โรงเรียนอนุบาลจรด้วยตอนนั้น ผมกับแม่เดินทางไปโรงเรียนโดยรถจักรยานยนต์ทุกวัน เวลาหน้าหนาวขี่รถไปหนาวมาก แต่ก็สนุกเพราะถึงเวลาเลิกเรียนแม่จะได้ไปส่งเด็กนักเรียนถึงบ้านโดยรถรับส่งนักเรียนของทางโรงเรียนจรวิทยาคมผมก็จะไปด้วยเกือบทุกครั้ง เด็กบ้างคนบ้านอยู่ไกลบ้างคนบ้านอยู่ใกล้ผมก็ถือว่าเป็นการไปขี่รถเที่ยวทุกวัน พ่อแม่เด็กบ้างคนก็เอาของมาฝากแม่ผม เช่น ของกินประจำถิ่นของอาหารแปลกก็มี พอส่งเด็กกลับหมดรถรับส่งก็จะมาส่งแม่กับผมที่โรงเรียนเหมือนเดิม ผมกับแม่จะต้องขับรถกับบ้านตอนเย็น ๆ เกือบทุกวัน พอถึงวันหยุดเป็นเวลาที่มีความสุขมากเพราะไม่ได้ไปโรงเรียน พ่อกับแม่และญาติๆ จะพากันไปกินข้าวที่นาของผม เวลาทำกับข้าวพ่อก็จะพาผมกับหลานๆ ไปตกปลาที่บ่อน้ำของพวกเรามาให้แม่กับยายทำกับข้าว ผมกับหลานๆ ชอบมาเวลาไปตกปลามันสนุกที่มีการแข่งกันระหว่างเด็กๆ ว่าใครจะได้ปลาก่อนกันและมากกว่ากัน ส่วนมากพวกผมยังไม่ได้สักตัวพ่อก็ได้ปลาจนพอที่จะทำกับข้าวมื้อนี้แล้ว ช่วงที่รอแม่กับยายทำกับข้าวพวกผมก็จะไปวิ่งเล่นวิ่งจับตั๊กแตนที่ทุ่งนา ตั๊กแตนตัวใหญ่มันจะบินสูงพวกผมก็จะพากันวิ่งตามแล้วจับมันมายางไฟกินอร่อย แต่บ้างครั้งก็จะไปจับปูนามายางไฟกินเหมือนกัน ตอนผมเข้าชั้นอนุบาลผมเป็นคนผอมมากกินอะไรก็ไม่อ้วนเหมือนคนอื่น พอถึงเวลาทานข้าวพ่อก็จะมาเรียกพวกผมไปทานข้าวที่เถียงนา ทานข้าวเสร็จพวกผู้ใหญ่ก็จะพากับจับกลุ่มพูดคุยบ้างคนก็นอนหลับ แต่พวกผมจะไปวิ่งเล่นที่กลางทุ่งนาเหมือนเดิมไม่มีเหนื่อย ตกเย็นพ่อกับแม่ก็จะพากลับบ้านโดยรถอีแต๋น เด็กๆก็จะวิ่งมาขึ้นรถคันเดียวกันหมด ถึงผมก็จะไปวิ่งเล่นกับเด็กน้อยแถวบ้านอีกจนดึกแม่ก็จะออกมาเรียนผมกลับ ไปอาบน้ำแต่งตัวแล้วมาทานข้าวเย็นกันที่หน้าบ้านกับญาติพี่น้องบ้านข้างๆ กัน
วัยถึงเกณฑ์เข้าประถมศึกษาผมเข้าชั้นประถมศึกษาที่โรงเรียนบ้านเขื่อนศึกษาคาร ชั้นประถมศึกษาที่ 1 มีสองห้อง ผมได้อยู่ห้องสอง อาคารที่เรียนเป็นอาคารไม้สีฟ้าชั้นเดียวแต่ยกสูงขึ้น ผมไปเรียนชั้นประถมครั้งวันแรกผมร้องไห้อยากกลับบ้านเพระมองไปทางไหนก็มีแต่เด็กที่โตกว่าเราและไม่มีแม่มาโรงเรียนด้วยเหมือนที่เคย แต่ไปนานๆ เข้าผมก็ชินเพราะมีเพื่อนใหม่หลายคนทั้งเพื่อนใหม่ที่ต่างหมู่บ้านทั้งเพื่อนใหม่ที่อยู่ในหมู่บ้านเดียวกันกับผม เวลาเดินทางไปโรงเรียนผมจะให้แม่ขับไปส่งก่อนทุกเช้าเพราะผมขี่รถจักรยานไม่เป็น บ้างครั้งแม่ไม่ว่างน้าก็จะไปส่งผมแทน พอถึงโรงเรียนผมจะเข้ากระเป๋าไปไว้ที่ห้องเพื่อจองโต๊ะแล้วไปหาเพื่อนๆ รอเข้าแถวหน้าเสาธงตอนเช้า พอเลิกแถวคุณครูก็จะพาเดินเข้าห้องเรียนเป็นแถวยาวเข้าเรียนวิชาแรกทั้งเช้าจนถึงเที่ยง พักเที่ยงผมก็จะไปทานข้าวที่บ้านโดยน้าจะขับรถมอเตอร์ไซต์มารับไปทานข้าวที่บ้านของน้าบ้างก็บ้านของผมเพราะน้าจะทำกับข้าวไว้ให้ผมทานทุกเที่ยงของแต่ละวัน ทานข้าวเที่ยงเสร็จน้าก็จะไปส่งผมที่โรงเรียนเหมือนเดิมถึงโรงเรียนผมจะวิ่งไปหาเพื่อนๆ เพื่อเข้าเรียนวิชาต่อไปตอนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ผมได้เรียนสองวิชาคือวิชาคณิต และวิชาภาษาไทย คุณครูจะพาเขียนตามรอยปะ ก.-ฮ. ทุกวัน และคัดตามรอยปะเป็นคำสั้นๆ
พอถึงเวลาเลิกเรียนผมก็จะไปนั่งรอน้ามารับที่หน้าอาคารเรียนที่ผมเรียน แต่ก่อนกลับบ้านผมจะขอให้น้าแวะซื้อขนมทานก่อนจะกลับบ้านเกือบทุกวัน มาถึงบ้านผมก็จะเข้ากระเป๋าไปไว้ในบ้านแล้วรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วรีบวิ่งออกไปเล่นกับเพื่อนๆ แถวบ้าน
พอผมเรียนอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่สามผมก็ได้ย้ายไปเข้าโรงเรียนศรีโกสุมวิทยามิตรภาพที่209 ในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ผมไป รร.ศรีโกสุมวันแรกผมร้องไห้หาแม่เพราะผมกลัวคนเยอะ รร. ศรีโกสุมเป็น รร. ประจำจังหวัดเด็กที่มาเรียนเลยเยอะแล้วไม่รู้จัก มาจากต่างบ้านต่างถิ่นผมก็เลยกลัว แต่นานๆไปผมก็ชินและเริ่มมีเพื่อนใหม่ทำให้ไม่กลัว มีแต่สนุกกับการวิ่งเล่นกับเพื่อนๆ มากกว่าครับ ผมเดินทางจากบ้านไปเรียนที่ รร. ศรีโกสุม โดยรถรับส่งทุกวัน ต้องตื่นแต่เช้าขึ้นเพื่อไปรอรถรับส่งที่หน้าบ้านญาติเพราะบ้านผมอยู่นอกบ้านเป็นหลังสุดท้ายของซอยครับ ผมจะขึ้นรถรับส่งประมาณเจ็ดโมงตรงไปถึง รร. ก็ประมาณ เจ็ดโมงสี่สิบถึงโรงเรียนรีบวิ่งเอากระเป๋าไปเก็บที่โต๊ะในห้องเรียน แล้วลงมาเข้าแถวที่หน้าเสาธรในเวลาสองโมงตรง พอเข้าแถวเสร็จก็เข้าเรียนตามปกติ พักเที่ยงผมจะไปทานข้าวกับเพื่อนที่โรงอาหารของโรงเรียนทุกวัน เลิกเรียนก็ไปรอรถรับส่งที่สนามเด็กเล่นกับเพื่อนๆ บ้านเดียวกันเพื่อรอรถรับส่ง ประมาณสี่โมงเย็นรถรับส่งก็มารับที่ข้างสนามเด็กเล่น ผมก็จะรีบวิ่งไปขึ้นรถรับส่งเพื่อจองที่นั่งที่นอกที่สุดเพื่อจะได้รับลมเย็นและเห็นวิวข้างทางตอนเดินทางกลับเพราะบ้านผมห่างจากโรงเรียนสิบสามกิโลเมตร ถึงบ้านผมก็จะออกไปหาพี่แถวบ้านเพื่อไปใส่(ทำกับดัก)หนูนาที่ทุ่งนา ใส่เสร็จก็ประมาณหกโมงเย็นพอดีผมก็จะรีบกลับมาทานข้าวเพื่อรอออกไปยามหนูนา(ตรวจกับดัก) พอเวลาหนังหนึ่งทุ่มจบพวกพี่แถวบ้านก็จะมาเจอกันที่หน้าบ้านผมจนครบแล้วพากันอออกไปยามหนูนาที่ตัวเองใส่ไว้ แต่ผมจะไปกับพี่โน้ตเพราะไปใส่ด้วยกันและสนิจกันมากเวลายามเสร็จพวกผมจะไม่รีบกลับบ้านแต่จะพากันวิ่งเล่นตามภาษาเด็กๆ วิ่งไล่ตีกันวิ่งไล่จับหนูนาบ้างจนเหนื่อยจึงพากันกับบ้านไปนอน พอถึงตอนเช้าก็ตื่นแต่เช้าประมาณตีห้าเพื่อออกไปยามหนูนาตอนเช้าแล้วเก็บกับดักกลับมาด้วย เก็บกับดักเสร็จจะรีบกลับมาอาบน้ำทานข้าวแล้วออกไปรอรถรับส่งที่หน้าบ้านญาติตามเคย ไปโรงเรียนเรียนตามปกติ แต่วันไหนเป็นวันหยุดผมก็จะไปใส่หนูนากับพวกพี่มีกับดักที่เยอะขึ้นแล้วพอไปเก็บกับดักตอนเช้าก็จะพากันกลับไปอาบน้ำที่บ้านแล้วรีบออกมาเจอกันที่บ้านพี่โน้ตเพื่อนำหนูนาที่จับได้มาทำอาหารทานกับ ทำอาหารก็เช่น คั้วหนูนาใส่ใบกระเพรา หมกหนูนาใส่หยวกกล้วย ย่างหนูนา ผัดเผ็ดหนูนา เป็นต้น อร่อยมากๆ กินเสร็จก็จะพากันนอนดูทีวีที่บ้านพี่โน้ตจนถึงเย็นก็จะพากันออกไปใส่หนูนาอีกครั้งที่ทุ่งนาที่ไกลออกไปเรื่อยๆ เพราะใส่ที่เก่าก็จะไม่ได้เพราะหนูเริ่มหมด
ถึงชั้นมัธยมศึกษาผมได้เข้าเรียนที่โรงเรียนโกสุมวิทยาสรรค์ ตั้งแต่มัธยมหนึ่งจนถึงมัธยมปีที่หกที่โรงเรียนโกสุมวิทยาสรรค์ ขึ้นมัธยมปีที่หนึ่งผมอ้วนมากน้ำหนักอยู่ที่หกสิบกิโลกรัม อ้วนมากและดำสุดๆ พอดีในช่วงนั้นหนังเรื่องแฟนฉันดังเพื่อนๆ เลยล้อผมว่า อ้วนดำๆ ผมก็จะวิ่งไล่ตีคนที่ล้อจนร้องไห้เพราะผมตัวใหญ่กว่า จนผมมีฉายาใหม่ว่าเสบอม พอผมจบชั้นมัธยมต้นช่วงปิดภาคเรียนผมก็มีความตั้งใจอย่างยิ่งว่าจะลดหุ่น เพราะผมไม่อยากโดนล้อเหมือนตอนมัธยมต้นอีกแล้ว ผมเริ่มลดความอ้วนโดนการไม่ทานอาหารเย็นทานแต่อาหารเช้าและอาหารเที่ยง แต่อาหารเช้ากับอาหารเที่ยงเวลาทานก็ทานครั้งละน้อยพออิ่ม เป็นเวลาหนึ่งเดือนเต็ม ๆ คือเดือนมีนาคมที่ผมลดหุ่น พอถึงเดือนเมษายนหุ่นผมก็เริ่มลดเริ่มผอม ขึ้นชั้นมัธยมปลายผมเข้าศึกษาที่โรงเรียนโกสุมวิทยาสรรค์ สอบเข้าสายวิทย์คณิตได้เรียนห้องหกตอนมัธยมปีที่สี่ ขึ้นมัธยมปีที่ห้าห้องสายศิลป์ภาษาได้เริ่มลาออกที่ละคนบ้างคนก็โดนไล่ออกเพราะสาเหตุต่างๆ นานา เช่น ไม่เข้าเรียน ตีกับบ้าง เล่นการพนันที่โรงเรียนบ้าง มีคู่ครองบ้าง เป็นต้น ขึ้นมัธยมปีที่หกห้องสายศิลป์ภาษาก็ถูกรวมสองห้องเข้าเป็นห้องเดียวกันเพราะนักเรียนห้องหนึ่งน้อยเกินไปที่จะเรียน ห้องผมเลยถูกลดไปเป็นห้องห้าตอนมัธยมปีที่หก เรียนถึงภาคเรียนที่สองผมก็เริ่มไม่เข้าเรียนพากันไปเที่ยงบ้าง ไปนั่งเล่นสวนสาถารณที่ข้างๆโรงเรียน ไปนั่งเล่นที่ริมบึงต่าง ๆ นั่งทานขนมกับเพื่อนคุยกันเรื่องต่างๆ นานา ที่ผ่านมาในชีวิตของแต่ละคนว่าสนุกอย่างไร พอถึงเวลาเลิกเรียนก็ไปขึ้นรถรับส่งกับบ้านตามปกติ จนจบชั้นมัธยมปีที่หก วันปฐมนิเทศผมก็ไม่เข้าพากันชวนเพื่อนๆ กลุ่มเดิมออกไปนั่งเล่นที่ริมบึงบอลที่เดิม วันรับวุฒิบัตรผมก็ไม่ไปรับ เพราะพวกผมไปนั่งเล่นที่เดิมที่ริมบึงบอล พากันนั่งทานขนมแล้วนอนเล่นจนถึงเลิกเรียนก็ไปขึ้นรถรับส่งกลับบ้านเหมือนเช่นวันปกติ พอมาถึงบ้านพ่อกับแม่ถามหาวุฒิบัตรผมก็ตอบว่าผมยังไม่ได้วันต่อมาแม่ก็พาผมไปขอใบวุฒิบัตรเองที่ห้องวิชาการ ตอนแรกแม่ด่าผมเพราะคิดว่าที่ผมไม่ได้ใบวุฒิบัตรเพราะผมไม่ผ่านบ้างติดศูนย์บ้างไม่เข้าเรียนบ้าง แต่พอไปดูในใบวุฒิบัตรผม ผมไม่ติดอะไรสักอย่างแต่ที่ผมไมไปรับเพราะวันซ้อมผมไม่ได้ไปซ้อมและเพื่อนๆ ผมก็ไม่มีใครไปรับเลยผมเลยไปตามเพื่อนๆ สุดท้ายผมก็จบชั้นมัธยมปีที่หกสักที ได้เข้ามหาลัยสักที ผมไปติวทุกที่เกี่ยวกับติวเข้ามหาวิทยาลัย ผมไปสอบมหาวิทยาลัยขอนแก่น เพราะพ่อกับแม่บอกให้รองไปดู แต่มหาวิทยาลัยที่ผมอยากเข้าศึกษามากที่สุดคือมหาวิทยาลัยมหาสารคาม คณะศึกษาศาสตร์ สุดท้ายผมก็ได้เข้าเรียนมหาวิทยาลัยมหาสารคามที่ผมตั้งไว้ในคณะศึกษาศาสตร์สาขาวิชาจิตวิทยา ตอนนี้ผมศึกษาในระดับปริญญาตรีปีหนึ่ง ใช้ชีวิตอยู่ที่มหาวิทยาลัยบ้านเกิดของผมเอง พักอยู่หอพักนอนที่เขตพื้นที่ในเมืองอย่างมีความสุข
อาหารที่ชอบ กระเพราหมูกรอบ,ส้มตำ
ผลไม้ที่ชอบทาน ทุเรียน
สีที่ชอบ สีเหลือง,เขียว,แดง
สัตว์เลี้ยงที่ชอบ สุนัข
สถานที่ท่องเที่ยวที่อยากไป ทะเลอันดามัน,ภูเขาภาคเหนือ
วิชาที่ชอบ ภาษาไทย
งานอดิเรก เล่นเน็ต,ดูหนัง,ฟังเพลง
หมู่โลหิต โอ
ตุ๊กตาที่ชอบ อุนตราแมน
คติประจำใจ ทำพรุ่งนี้ให้ดีกว่าวันนี้
52010521017 ชาญณรงณ์ วงค์ธรรม เอก PYS
วันเกิด หรือ คือ วันที่ถือว่าเป็นวันที่คน ๆ หนึ่งเกิดมาแล้วมีชีวิตอยู่บนโลกนี้เป็นวันแรก โดยเมื่อวันเกิดของคน ๆ หนึ่งเวียนมาครบรอบปี จะเรียกวันนั้นว่าเป็นวันคล้ายวันเกิด ในหลายวัฒนธรรมจะมีการฉลองวันเกิดในวันนั้น หนึ่งในรูปแบบการฉลองงานวันเกิดที่เป็นที่นิยมที่สุดคือการเป่าเทียนบนเค้กวันเกิด โดยที่บนเค้กวันเกิดจะมีการปักเทียน จากนั้นเพื่อนร่วมงานวันเกิดจะร้องเพลงวันเกิด เมื่อเพลงจบแล้วให้เจ้าของวันเกิดอธิษฐานสิ่งที่ตนหวังไว้แล้วเป่าเทียน จากนั้นก็จะมีการทานเค้ก หรือมีการมอบของขวัญ ผมนายชาญณรงค์ วงศ์ธรรมที่วันเกิดใกล้หมุนเวียนเข้าทุกที่ ผมเองเกิดวันที่ 31 มกราคม 2533
ผมเป็นลูกคนที่ 2 ของครอบครัว ผมมีพี่สาว 1 คับ ผมกับพี่สาวมีโอกาสที่ต้องอยู่กับครอบครอบ แค่ไม่กี่ปี เพราะพ่อแม่ต้องย้ายที่ทำงาน ต้องอยู่กับญาติ ที่เลี้ยงผมมาจนถึงทุกวัน แต่บางคนเค้าบอกว่าเป็นเด็กที่โชคดีมากที่เกิดมาเป็นแบบนี้ จริงที่มีความสุขกับสิ่งของที่ในตอนนั้นแต่เมื่อพอโตขึ้นทุกอย่างที่ว่ามีความสุขที่แท้จริงมันคืนอะไร
ชีวิตผม ผมว่าเกือบมีแทบทุกอย่างแต่ไม่รู้เลยว่าสิ่งสำคัญที่สุดคือพ่อแม่ จนอายุ13 เข้าเรียนมัธยมชีวิตก็อะไรๆก็เปลี่ยนมากขึ้นตอนมัธยมต้นผมต้องอยู่คนเดียวเพราะพี่สาวย้ายที่เรียน พ่อแม่เลยชื้อบ้านให้ ต้องดูแลตัวเองมาตลอด 3ปีบ้างครั้งก็รู้สึกเหงาบ้างเป็นเรื่องธรรมดาถ้ามีปัญหาผมมักจะคุยกับเพื่อนสนิทเป็นคนแรก บางครั้งก็ชอบอยู่คนเดียวรู้สึกว่าอยู่คนเดียวทำให้ทุกอย่างดีขึ้นมีเรื่องราวมากมายที่ผ่านมาทุกครั้งที่คิดถึงมันก็เสียใจและ ดีใจ จนกระทั้งเรียนจบ ม. 3 แล้วก็ย้ายที่เรียนอีกครั้ง แล้วครั้งนี้อาจเป็นการเริ่มต้นใหม่สำหรับการปรับตัวเข้าสถานการศึกษาแห่งใหม่ การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ คือเปลี่ยนชีวิตผมทั้งชีวิต
เมื่อเก้าแรกที่เดินเข้าเรียนที่โรงเรียนใหม่ผมรู้สึกว่าอ้างว้างและรู้สึกเหงา แต่พยายามที่จะหาเพื่อนแต่ไม่รู้ว่าความพยายามนั้นไม่มีประโยชน์อะไรเลย ผมก็มีรู้ว่าเป็นเพราะตัวผมเองหรือว่าอะไรปัญหาที่ผมที่ยังไม่สามารถแก้ไข้ได้ทุกวันนี้คือการคบเพื่อน แต่เมื่อวันเวลาผ่านไปทุกอย่างก็เริ่มลงตัว ทุกอย่างก็ดีขึ้นมาเรื่อยมาจนในเวลานั้นเองที่ผมไม่รู้ตัวเลยว่าทุกอย่างที่ผ่านมากลับมาทำร้ายตัวผมเอง ผมไม่รู้เลยว่ามันเริ่มเมื่อไหร่ ความสนุกกับการคบเพื่อนทำให้ผมต้อง เปลี่ยนไป คงเป็นเพราะตัวผมเองที่ไม่คิดที่เลือกคบเพื่อน ไม่รู้จักแยกแยะในเรื่องที่ถูกและผิด หลายสิ่งหลายอย่างที่เข้ามาในชีวิตทั้งดีและไม่
ผมทำให้แม่ต้องร้องไห้หลายครั้งต่อหลายครั้ง รู้ทั้งรู้ว่าที่ทำอยู่เป็นเรื่องที่ผิด การกระทำของผมที่ใครๆก็พยายามเตือน ทั้งเรื่องดื่มเหล้า บุหรี่ และอีกหลายเรื่อง แล้วมันก็ทำให้ทุกอย่างแย้ลงเรื่อยเช่นกัน ทั้งการเรียนการใช้เงินในแต่ละเดือน แต่บางทีผมก็รู้สึกว่าทุกอย่างมันสายไปแล้วที่เริ่มต้นใหม่ เวลาที่มีปัญหาหลายอย่าง ที่ผมไม่สามารถแก้ไขได้ มองไปทางไหนก็มืดมัวไปหมด และผมก็คิดว่าผมต้องอยู่เพื่ออะไร ทุกครั้งที่ผมคิดเรื่องแบบนี้คนที่ผมนึกถึงคนแรกคือแม่ เพราะเหตุการณ์แบบนี้เคยเกิดขึ้นกับตัวผมเอง และผมทำแบบนี้ลงไปมันก็ไม่ช่วยให้ปัญหาจบลง แต่กลับยิ่งเพิ่มปัญหามาขึ้น
แต่ในวันนี้ผมเองเวลามีปัญหา ไม่รู้ว่าคนอื่นเป็นเหมือนผมหรือเปล่า ผมจะชอบอยู่คนเดียว ถึงแม้มันจะไม่ช่วยแก้ปัญหาก็ตาม ผมรู้สึกว่ามีความสุขและคิดอะไรได้หลายๆอย่าง
""""
ประวัติส่วนตัว นาย ปวริศ เชยคำดี
นับตั้งแต่ที่ระบบสุริยะจักรวาลได้ถือกำเนิดหลังจากการระเบิดบิ๊กแบง และ มวลสารรวมตัวกันเป็นโลก พระผู้เป็นเจ้าได้ประทานมนุษย์อาดัม-อีฟ ให้กำเนิดสรรพชีวิตทั้งหลายในโลกอันสวยงามใบนี้ ไม่รู้ว่ากี่ร้อยล้านปีที่มีการเกิดขึ้นและสูญสลายของสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย จนกลายมาเป็นเผ่าผันมนุษย์ที่มีชีวิตอยู่ทุกวันนี้อย่างมากมาย ถึงแม้สิ่งที่ผมกล่าวมาจะไม่ค่อยถูกข้องอะไรมากมายนัก แต่ผมก็รู้สึกดีใจอย่างมากที่ผมได้เกิดมาเป็นมนุษย์ บนโลกอันพิสดารของระบบสุริยะจักวาลแห่งนี้………….
มาเข้าเรื่องกันดีกว่านะครับ ออกนอกเรื่องมาเยอะละ ย้อนอดีตไปประมาณ 18 ปีก่อน ที่ตัวของผมได้เกิดหมดผลบุญที่ได้สร้างไว้ พระอินทร์ท่านทรงได้ให้ตัวของกระผมได้ลงมาจุติยังโลกมนุษย์อีกครั้ง ซึ่งตรงกับวันขึ้น 12 ค่ำ เดือน 5 ปีมะแม แต่ถ้าตามปฏิทินของสากลโลก ก็ตรงกับวัน พุธ ที่ 27 เดือน มีนาคม 2534 พุทธศักราช 2534
โดยแม่ผู้ให้กำเนิด ชื่อว่า แม่สวย ส่วนพ่อบังเกิดเกล้า ชื่อ บรรจง และยั้งมีพี่สาวที่แย่งมาเกิดก่อนตัวผม 17 เดือน ชื่อ พี่แอน และเรื่องราวที่เหมือนกับนวนิยายน้ำเน่าในชีวิตของผมก็ได้กำเนิด เกิดขึ้น
ครอบครัวของผมมีอยู่ด้วยกัน 4 คน ผมจะขอเล่าอุปนิสัยของสมาชิกในครอบครัวของผมในแต่ละคนก่อนนะครับ
คนที่ 1 ^ แม่ ^ แม่ของผมเป็นผู้หญิงที่แกร่งที่สุดเท่าที่ผมได้เคยเห็นมา ไม่ใช้แค่ร่างกายของแม่เท่านั้นที่แกร่วนะครับ แต่เป็นจิตใจของแม่ต่างหากที่แกร่งดุจดังหินผา ทำหน้าที่เป็นทั้ง พ่อ และ แม่เป็นกุ๊กฝีมือยอดเยี่ยมที่สุดเท่าที่ผมเคยได้ชิมมา เป็นพนักงานทำความสะอาดดีเด่น และแม่ยังเป็นเหมือนเพื่อนที่รู้ใจของตัวผมเองไม่ว่าผมจะคุยเรื่องใดกับแม่ก็สนุกสนานและเข้าใจกันดี
คนที่ 2 ^ พ่อ ^ ถึงแม้เราจะใช้ชีวิตอยู่รวมกันได้ไม่นานเท่าไรนัก แต่ตัวผมเองก็รู้สึกถึงความรักที่พ่อมีให้ เพราะพ่อของผมท่านเป็นคนใจเย็น ไม่ดุด่าว่ากล่าว แม้แต่จะเฆี่ยนตีก็ยังไม่เคย อาชีพของพ่อ คือ เป็นช่างตัดผมที่มีฝีมือยอดเยี่ยมที่สุดในอำเภอและร้านตัดผมของพ่อผมเป็นร้านที่เจ๋งที่สุดในอำเภอ แต่มีอย่างหนึ่งที่ทุกคนในครอบครัวไม่ชอบ คือ พ่อชอบเล่นการพนัน และพ่อชอบมีเรื่องชูสาวอยู่บ่อยๆ จนในวันหนึ่งแม่ของผมได้ทนพฤติกรรมของพ่อไม่ไหว จึงต้องพาผมและพี่สาวของผมย้ายบ้านหนีไปจากพ่อ ตอนนั้นตัวของผมมีอายุแค่เพียง 11 ปีเท่านั้น
เหตุการณ์ในครั้งนั้นจึงทำให้ แม่ พี่สาว และตัวผมเองต้องร่วมฝ่าฟันอุปสรรค์ต่างๆนานๆนับประการ มันเป็นแรงผลักดันให้ตัวผมต้องเข็มแข็ง ซึ่งกิจกรรมในวัยเด็กบ้างอย่างต้องหาย เพราะ ทุกๆวันหลังเลิกเรียนตัวผมและพี่สาว ต้องรีบกลับจากโรงเรียนเพื่อมาช่วยแม่ขายอาหาร ซึ่ง
ร้านอาหารของเรานั้นขายอาหารตามสั่ง และเมนูที่สร้างชื่อเสียงให้ร้านของเราคือ ^ ผัดไทย ^ ซึ่งใครๆที่ได้กินต้องติดอกติดใจชื้อใส่กล่องกลับบ้านเกือบทุกราย ในช่วงเวลาขณะนั้นตัวของผมเองก็แอบมีความน้อยใจ ว่าทำไมผมนั้นต้องมาขายอาหารกับแม่ทุกๆเย็น โดยที่ไม่ได้ออกไปเที่ยวสนุกสนานเหมือนกับเพื่อนคนอื่นๆ ในบ้างครั้งมีเทศกาลหรืองานต่างๆยังไม่มีโอกาสได้ไป แต่มีครั้งหนึ่งผมแอบออกไปเที่ยวกับเพื่อน พอกลับมาถึงบ้านเห็นแม่กับพี่สาวทำงานอย่างเหน็ดเหนื่อย เหตุการณ์ในครั้งนั้นทำให้ตัวผมเกิดความระอายแก่ใจตัวเอง ผมจึงได้สัญญากับตัวเองว่าต้องไม่ทำแบบนี้อีก
คนที่ 3 พี่สาวสุดที่รักของผม คือ ^ พี่แอน ^ ตั้งแต่เกิดมาผมไม่เคยเรียกแอนว่าพี่สักที อาจเป็นเพราะเราเกิดไม่ห่างกันมากนัก แต่ตัวผมเองมักทำตัวเป็นพี่ชายว่างกล้ามมากกว่า เพราะไม่ว่าจะออกไปไหนมาไหนผมต้องค่อยเป็นคนพาไปตลอด และมีเรื่องอะไรต้องให้คำปรึกษาแนะนำเราสองคนก็จะเล่าให้กันฟังตลอด และบ้างครั้งแม่จะชอบเล่าเรื่องราววีรกรรมสมัยเด็กๆให้ฟัง เช่น แอนจะชอบรังแกอาร์ท อาจจะเป็นเพราะนิสัยของเด็กที่ชอบอิจฉากัน พี่อิจฉาน้องที่พ่อแม่เอาใจมากกว่า แต่พอโตขึ้นมา แอน รักและเป็นห่วงอาร์ทมาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงานบ้านแอนจะทำให้ทุกอย่าง เช่น ชักผ้าให้ แม้แต่กางเกงในยังชักให้ ขึ้น ม ปลายจึงรู้สึกอายจึงหันมาชักผ้าเอง และถ้าเกิดทะเลาะกันขึ้นเมื่อไรแอนจะต้องโดนแม่ตีก่อนทุกครั้ง คิดย้อนกับไปครั้งใดก็ยังน่าขำชีวิตในวัยเด็กของตัวเอง แต่มันก็ทำให้ความสัมพันธ์ของเราเกิดความแน่นแฝนเป็นอย่างมาก และเมื่อเราเกิดความห่างกันเพราะต่างคนต่างต้องมีหน้าที่ต้องทำ คือ การไปศึกษาหาความรู้ มันก็ทำให้เรารู้ว่าความคิดถึงมันเป็นยังไง
หลังจากเล่าประวัติความเป็นมาก่อนที่จะมาเป็น ^ อาร์ท ปวริศ เชยคำดี ^ ในทุกวันนี้จากข้างต้นอาจเป็นแค่เศษเสี้ยวหนึ่งของชีวิต แต่วีรกรรมมากมายที่ได้ทำ ถ้าจะให้ผมเล่าจริงๆคงจะหลายพันหน้า และ หลายวันเพื่อจะจบ งั้นผมก็ของเล่าประวัติย่อๆละกันนะครับ
ภูมิลำเน่าบ้านเกิด เกิดที่ ต. พานพร้าว อ.ศรีชียงใหม่ จ.หนองคาย ส่วนบ้านเลขที่ของผม จำไม่ได้เพราะตัวผมเป็นคนที่ย้ายบ้านบ่อยมากๆ เพราะผมไม่มีบ้านเป็นของตัวเอง ด้านการศึกษาจบ โรงเรียนประถมศึกษาที่ โรงเรียนบ้านศรีเชียงใหม่ โรงเรียนมัทธยม โรงเรียนท่าบ่อ ซึ่งตัวของผมเป็นเด็จกิจกรรมชะส่วนใหญ่ ออกแนวทำนองเรียนไม่มาดนตรีไม่ขาด เวลาส่วนใหญ่ในโรงเรียนก็จะมีเล่นดนตรีและจีบสาวไปวันๆหาอะไรทำตามประสาของวัยรุ่นแต่สิ่งที่ผมทำก็ทำตามขอบเขตของสังคม และผมชอบศึกษาธรรมะ เรื่องราวลึกลับ จิตวิทยา ซึ่งตัวผมชอบมาก ดังนั้นผมจึงเลือกเรียนสาขาจิตวิทยา มหาวิทยาลัยมหาสารคามแห่งนี้ ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่ามหาลัยแห่งนี้คงจะทำให้ตัวของกระผมเองเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ และเป็นผู้ที่มัปัญญาเป็นอยู่เพื่อมหาชนนั้นเอง
ประวัติส่วนตัว
ชื่อ นางสาวกาญจนา สายกระสุน
ชื่อเล่น น้ำ
รหัสนิสิต 52010521011
คณะศึกษาศาสตร์
สาขา จิตวิทยา
เกิดวัน พุธ ที่ 11 เดือน กรกฎาคม พ.ศ. 2533 ที่โรงพยาบาลสุรินทร์ อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์ 32180
ที่อยู่บ้านเลขที่ 276 หมู่ 13 บ้านทวารไพร ตำบลเมืองลีง อำเภอจอมพระ จังหวัดสุรินทร์ 32180
ด้านการศึกษา จบการศึกษาศูนย์เด็กก่อนเกณฑ์ จากวัดศรีโพธิ์ทอง
จบชั้นอนุบาล 1 - ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 จากโรงเรียนบ้านทวารไพร
จบชั้นประถมศึกษาปีที่ 4-6 จากโรงเรียนบ้านจอมพระ
จบชั้นมัธยมต้นและมัธยมปลายจากโรงเรียนจอมพระประชาสรรค์
ปัจจุบันกำลังศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม คณะศึกษาศาสตร์
สาขา จิตวิทยา
เบอร์โทร 085-4652360
งานอดิเรก อ่านนิยาย ฟังเพลง ปลูกต้นไม้ดอกไม้
อาหารที่ชอบ คะน้าหมูกรอบ
ศิลปินที่ชื่นชอบ LABANOON
นิสัยส่วนตัว เป็นคนร่าเริงแจ่มใส เข้ากับผู้อื่นได้ง่าย เป็นคนขี้เล่น (ไม่ใช่เล่นขี้นะคะ)
คติประจำใจ ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น
ตั้งแต่ที่ฉันจำความได้ตอนที่ฉันยังเป็นเด็กฉันอยู่กับตายาย ตายายเป็นคนเลี้ยงดูฉันพ่อกับแม่ต้องไปหางานทำที่กรุงเทพเพราะที่บ้านค่อนข้างฐานะยากจนตากับยายก็ประกอบอาชีพทำนาฉันจำได้ว่าทุกเช้ายายก็จะตื่นมาหุงหาอาหารตั้งแต่เช้ามืดคนในสมัยนั้นจะออกไปทำนาตั้งแต่เช้ามืดพอยายเตรียมข้าวปลาอาหารเพื่อจะเอาไปนาเสร็จก็ต้องมาไล่ป้อนข้าวฉันกับน้องชายอีกเพราะช่วงนั้นฉันกับน้องซนมาก ยายก็จะเอาข้าวมาโรยเกลือนิดหน่อยแล้ก็เอามาปั้นเป็นก้อนๆให้กินพอป้อนเสร็จก็เรียมตัวที่จะไปทำนา ยายก็เตรียมหาบข้าวส่วนตาก็เตรียมเอาควายออกจากคอก ไม่นานพ่อกับแม่ก็กลับมาจากกรุงเทพซื้อเสื้อผ้าและขนมมาให้ฉันกับน้องมากมายแต่ฉันกับน้องชายดีใจมากและก็วิ่งเข้าไปกอดวันนั้นทั้งวันฉันกับน้องไม่ยอมห่างพ่อกับแม่เลยน้องชายของฉันอายุห่างจากฉัน 3 ปี น้องชายฉันดื้อมากชอบแกล้งฉันและก็ชอบแย่งของเล่นของฉัน จนวันหนึ่งฉันบอกพ่อกับแม่ว่าให้เอาน้องชายของฉันไปทิ้งในป่า ตอนนั้นเด็กมากประมาณ 3 ขวบ พ่อกับแม่จึงพาฉันไปเข้าเรียนที่ศูนย์ที่วัดศรีโพธิ์ทองเพราะอยู่ใกล้บ้านฉันสนุกมากเพราะมีเพื่อนๆมากมายคุณครูก็พาร้องเพลงพาเต้นตอนเที่ยงก็มีอาหารกลางวันเลี้ยงมีผลไม้มีขนมพอตอนบ่ายคุณครูก็จะให้นอนคุณครูก็จะเล่านิทานให้ฟังจนเด็กทุกคนหลับพอประมาณบ่าย 2โมง คุณครูก็จะปลุกให้ตื่นและก็พาไปอาบน้ำทาแป้งให้และก็แจกนมให้ดื่มและก็รอกลับบ้านหลังจากเรียนที่ศูนย์แล้วก็เข้าสู่ชั้นอนุบาล 1 ตอนแรกๆ ฉันยังปรับตัวไม่ได้ต้องให้แม่อยู่เป็นเพื่อนเพราะถ้าแม่กลับบ้านฉันก็จะกลับด้วยตอนนั้นฉันให้แม่มาอยู่กับฉันเกือบ 2 อาทิตย์จนทำให้แม่ไม่ได้การได้งานเลยแม่จึงหาวิธีโดยการที่นำเอาไม้เรียวไปด้วยวันนั้นแม่จะกลับบ้านฉันวิ่งตามแม่ก็เลยถือไม้เรียวเตรียมที่จะตีฉัน ฉันก็วิ่งออกห่างแม่พอแม่หันกลับฉันก็วิ่งมาตามทำอย่างนี้หลายครั้งจนแม่ทนไม่ได้แม่จึงไปบอกให้คุณครูจับฉันไว้และก็พาเข้าไปในห้องแล้วก็ล็อคประตูไว้ไม่ให้ออกได้ในนั้นมีเด็กมากมายต่างคนต่างร้องไห้รวมถึงฉันด้วยในห้องเต็มไปด้วยเสียงร้องไห้ทุกคนก็เป็นเหมือนฉันหมดไม่ใช่เป็นแต่ฉันคนเดียวต่างคนก็ต่างคิดถึงแม่ของตัวเองแต่พอนานๆเข้าก็ปรับตัวได้ทีนี้ก็อยากแต่จะไปโรงเรียนเพราะมีเพื่อนมากมายมีของเล่นเยอะแยะเยอะกว่าที่ศูนย์อีกหลังจากนั้นก็ขึ้นอนุบาล2 คุณครูเริ่มให้หัดเขียน ก-ฮ คัดตามเส้นประในหนังสือ เริ่มให้ท่องจำ และก็ทำกิจกรรมร้องรำทำเพลงต่างๆตามประสาเด็ก ต่อมาก็ขึ้น ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 คุณครูเริ่มให้เขียนชื่อของตัวเองและ
ให้วาดภาพระบายสีดิฉันสอบได้ที่ 1 ของห้องดีใจมากแล้วก็ขึ้นชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ฉันได้อยู่ห้องที่เรียนเก่งและก็สอบได้ที่ 1 ของห้องอีกเช่นกัน พอขึ้นชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ฉันได้เป็นหัวหน้าห้องและได้รับคัดเลือกเป็นตัวแทนไปสอบคัดไทยที่โรงเรียนบ้านเมืองลีงแต่ฉันคัดได้ที่ 3 แต่ก็ไม่เป็นไรที่ 3 ฉันก็ดีใจแล้ว หลังจากจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 พ่อกับแม่ก็ได้ย้ายโรงเรียนให้ฉันมาเรียนอยู่ในอำเภอตอนนั้นฉันรู้สึกกลัวมากเพื่อนๆต่างก็พากันมองฉันเรียนโรงเรียนในอำเภอตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 จนถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 แล้วก็ขึ้นชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่โรงเรียนจอมพระประชาสรรค์ฉันได้อยู่ชั้นม. 1/6 ในสายชั้น ม. 1 มี 7 ห้อง ฉันได้เจอทั้งเพื่อนใหม่และเพื่อนเก่าและก็เพื่อนต่างโรงเรียนในห้องของฉันมีทั้งหมด 52 คน ตอนนั้นการเรียนยังง่ายๆอยู่ยังไม่ค่อยเข้มข้นมากการเข้ากับเพื่อนบางคนก็เข้าได้บางคนก็เข้ายังไม่ค่อยได้พอขึ้นชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ก็ต้องเลือกเรียนมีสายการงานอาชีพ สายศิลป์ภาษา สายศิลป์คำนวณ และสายวิทย์คณิต ฉันเลือกเรียนสายศิลป์ภาษาเพราะฉันคิดว่าเรียนง่ายๆไม่ต้องคิดคำนวณไม่ต้องเรียนวิทยาศาสตร์ไม่ต้องทดลองในสายชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ฉันอยู่ชั้น ม. 2/5 ม.3 ก็อยู่ ม.3/5 ในช่วงนี้มีทั้งเล่นมีทั้งเรียนแต่เล่นจะมาก่อนไม่ค่อยเข้าเรียนบางวันอาจารย์เข้าช้า 15 นาที ก็พากันเดินออกจากห้องทั้งลูกน้องทั้งหัวหน้าห้องโดยเฉพาะหัวหน้าห้องชอบพาหนีเรียนแอบไปกินส้มตำบ้างกินไก่ทอดบ้างหรือไม่ก็แอบไปเล่นเกมส์ที่ห้องคอมพิวเตอร์วันหนึ่งมาเรียนแทบจะไม่ได้สาระอะไรเลยมีแต่เล่นแล้วก็ไม่ชอบแต่งชุดนักเรียนชอบแต่งแต่ชุดพละทั้งอาทิตย์แล้วก็ไม่ค่อยอยากจะเข้าแถวเพราะมันร้อนแต่ฉันไม่ค่อยไปตามเพื่อนสักเท่าไรอาจมีบ้างเป็นบางครั้งแต่เพื่อนของฉันแทบจะไม่เข้าเรียนเลยเพราะช่วงนั้นเพื่อนของฉันติดแฟนวันๆก็คุยแต่โทรศัพท์แต่พวกเราก็ผ่ายการเรียนในชั้นม.ต้นได้ฉันได้เกรดเฉลี่ย 3.33 ฉันดีใจมากถึงฉันจะไม่ค่อยตั้งใจเรียนแต่ฉันก็อ่านหนังสือเวลาหลังเลิกเรียนเพราะพ่อกับแม่จะบังคับให้อ่านหลังเลิกเรียนทุกวัน พอจบม.ต้น เพื่อนบางคนก็เลือกเรียนในสายอาชีพบางคนก็ไม่เรียนต่อเข้าไปทำงานที่กรุงเทพฯต่างคนก็ต่างแยกย้ายกันไปตอนแรกๆก็รู้สึกคิดถึงบางครั้งก็ร้องไห้ออกมาเพราะในการอยู่เรียนด้วยกันมันช่างผูกพันกันมากมีอะไรก็ช่วยเหลือซึ่งกันและกันเวลามีปัญหาก็เปิดใจพูดคุยกันเพื่อนก็ให้คำปรึกษาและก็สามารถหาทางออกได้เวลามีอะไรกินมีขนม มีข้าว มีน้ำ ก็เรียกกันมากินมีน้อยก็กินน้อยมีมากก็กินมากกินจนพุงกางเลยก็ว่าได้ ตอนแรกฉันอยากเข้าไปเรียนในเมืองกับเพื่อนฉันเพราะมีคนไป
เรียนมากและในช่วงนั้นคนให้ความสนใจก็คือ อาชีวะ แต่แม่ไม่ยอมให้ไปเพราะในเมืองมีสถานที่เทียวมากมายมีแสงสีแสงจนเราอาจจะหลงผิดเลยก็ว่าได้เพราะใครที่เข้าไปเรียนที่นั่นก็เสียคนกันทั้งนั้นแม่บอกว่าไม่ใช่ว่าแม่ไม่ไว้ใจแต่ถ้าไปเรียนไกลแล้วใครจะดูแลที่จริงแล้วแม่ก็เป็นห่วงเรานั่นแหละฉันก็เลยตัดสินใจเรียนอยู่ที่เดิมกับเพื่อนอีกคนหนึ่งแต่ก่อนฉันมีเพื่อนอยู่ 3 คน อีกคนก็เรียนอาชีวะ อีกคนก็ทำงานอยู่ที่กรุงเทพฯฉันเลือกเรียนสายศิลป์ภาษาตามเดิมส่วนเพื่อนเลือกเรียนสาย วิทย์-คณิต พอได้ขึ้นม. 4 ฉันได้อยู่ชั้นม. 4/3 ฉันก็ได้เจอกับเพื่อนเก่าและก็เพื่อนใหม่ต่างโรงเรียนตอนนั้นก็สามารถเข้ากับเพื่อนใหม่ได้เร็วเพราะเราเป็นเด็กเก่าเด็กใหม่ก็ต้องมาถามเด็กเก่าอยู่แล้วก็ทำให้สนิทกันเร็วมากเรียนไป ขึ้น ม.5 มีความรู้สึกว่าเร็วมาก อีกปีเดียวก็จะจากกันแล้ว
ต่างคนก็ต่างมีคณะที่ใฝ่ฝัน ที่ชอบ ที่อยากเป็น เพื่อนๆของฉัน บางคนก็อยากเป็นหมอ พยาบาล แน่นอนหมอกับพยาบาลจบมาแล้วมีงานทำ ใครๆก็อยากเป็น อยากเรียน
แต่ดิฉัน อยากเป็นครู ก็ได้แต่ตั้งใจเรียน เพื่ออนาคตอีกปีที่จะถึง ดิฉันและเพื่อนๆเริ่มที่จะบ้าถ่ายรูปกัน ถ่ายทั้งวัน ถ้ามีเวลาว่าง ถ่ายรูปไว้เยอะๆเยอะมากมาย เพื่อความทรงจำ
พอปิดเทอม ม.5 เปิดเทอมมา ขึ้น ม.6 คิดไปคิดมา เวลาก็เร็วจริงๆ เหลืออีกไม่กี่เดือน ก็จะจากกันแล้ว จากไปเพื่อเรียนศึกษาต่อในมหาวิทยาลัย ดิฉันก็ได้แต่นั่งคิดว่าจะเรียนที่ไหน ยังไง อะไร คือเหตุผล ที่แรกที่สมัครในช่วงโควตารับตรง ของมหาวิทยาลัยมหาสารคาม คือ คณะ การท่องเที่ยวและการโรงแรม ลงการท่องเที่ยวอันดับที่สอง อันดับแรก คือ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ สาขา ภาษาไทย แต่ไม่ติด ไปติดการท่องเที่ยวและการโรงแรม ก็ได้มาสอบสัมภาษณ์ อาจารย์ก็ให้ดิฉันแนะนำตัวเอง ถามประวัติส่วนตัว ผลประกาศ ว่า ติด แต่ไม่เอา เรียนไปอีกสักพัก ก็มีการเปิดรับสมัครที่มหาวิทยาลัยราชภัฎสุรินทร์ ลงคณะ ครุศาสตร์ สาขา ภาษาอังกฤษ มีข้อสอบข้อเขียนด้วย ทำได้บ้าง ไม่ได้บ้าง แต่ก็ติด แต่ไม่เอา เพราะ น้าต้องการให้เรียนที่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม เนื่องจากน้าได้รับราชการครู อยู่ที่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม คณะ วิทยาศาสตร์ น้าได้ซื้อใบสมัครของมหาวิทยาลัยมหาสารคาม ระบบ พิเศษ อยากให้ดิฉันเรียนครู ระบบพิเศษเปิดสามสาขา คือ จิตวิทยา วิทยาศาสตร์การกีฬา และเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา ดิฉันได้ลงสาขา จิตวิทยา ได้มาทำการสอบสัมภาษณ์ ตื่นเต้นมาก วันแรกที่ได้สอบสัมภาษณ์ที่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม คณะศึกษาศาสตร์ ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่ในเมือง หรือ เรียกอีกอย่างว่า ม.เก่า ในวันนั้นอาจารย์ที่มีชื่อ อารยา เป็นผู้สัมภาษณ์ดิฉัน
อาจารย์สวยมาก ขาวๆ เนียนๆ อาจารย์สัมภาษณ์ได้นานมาก ทำให้ดิฉันกดดัน ถามเรื่องต่างๆ สัมภาษณ์เสร็จก็ออกมาดูเพื่อนที่ลงสาขาเดียวกัน ก็เยอะนะ ทำให้ได้พูดคุยกัน ได้รู้จักกัน แลกเบอร์ ตั้งแต่นั้นมาก็ได้ติดต่อถามข่าวว่า อาจารย์ประกาศผลหรือยัง พออาจารย์ประกาศผล ก็ปรากฎว่า ก็สอบสัมภาษณ์ผ่าน ดีใจมาก เพราะตั้งใจที่จะเป็นครู เรียนครู สอนนักเรียนได้ พอเปิดเทอม ได้ปฐมนิเทศ ใส่รองเท้าครัชชู แล้วนั่งประชุมนานมาก นิสิตชั้นปีที่ หนึ่ง เยอะมาก ทุกคนคงจะตื่นเต้นมากๆ ดิฉันยิ่งตื่นเต้น เป็นครั้งแรกในชีวิตของการเป็น เพรชชี่ และก็เป็นได้แค่ปีเดียว ได้ไปนมัสการพระธาตุนาดูน อันเป็นที่เคารพ ศรัทธาของชาวมหาสารคาม และ จังหวัดที่ใกล้เคียง ก็ได้ไปพักเป็น เวลาสองคืน สามวัน มีกิจกรรมให้นิสิตได้ร่วมสนุก มีทั้งสนุกทั้งร้องไห้เพราะซึ้งกับคำพูดที่พระอาจารย์ได้สอน และก็เหนื่อยด้วย คนเยอะ เวลาเข้าห้องน้ำต่อคิว นานมาก กว่าจะได้อาบน้ำ ทำภารกิจส่วนตัว อีกวัน ตื่นขึ้นมา ตื่นเช้า ตีสี่ พี่ก็ปลุกให้อาบน้ำ เพื่อจะพาไปทำกิจกรรม บำเพ็ญประโยชน์ วันนี้ได้เดินทางไกล ไปดูบ้านโบราณ ได้เดินดูบรรยายกาศรอบๆพระธาตุ มีต้นไผ่พันธุ์ต่างๆให้ได้ศึกษา ตกเย็นพาไปสักการะพระธาตุนาดูน เพื่อรับพวกเราทุกคนเป็นลูกพระธาตุ ได้เวียนเทียน และพระก็ได้มาสอนปฏิบัติธรรม หลักธรรมต่างๆ เพื่อจะใช้ในการดำรงชีวิตที่มีค่า เสร็จกิจกรรมก็พากันเก็บของ เพื่อตอนเช้าจะได้เดินทางกลับมหาวิทยาลัย คืนนี้เป็นคืนที่เหนื่อย หลับไปอย่างไม่รู้เรื่อง ตื่นขึ้นมา เพื่อนพากันอาบน้ำ เก็บของเสร็จแล้ว ดิฉันเลยไม่ได้อาบน้ำ เก็บแต่ของทัน ก็หอบของขึ้นรถ มาหลับบนรถอีกที เพราะเหนื่อย นอนไม่อิ่ม นอนจนถึงมหาวิทยาลัยมหาสารคาม แล้วก็แยกย้ายกันกลับหอ ดิฉันประทับใจในการเดินทางไปนมัสการพระธาตุนาดูน ประทับใจเพื่อนๆทุกคน ต่างคณะ ต่างสาขา แต่ก็เป็นเพื่อนกัน เก็บความรู้สึกดีๆไว้ ต่างคนต่างทำหน้าที่ เรียน เพื่ออนาคตที่ดี เจอกันตามอาคารเรียน ก็ทักทายกัน ดิฉันก็มาหาเพื่อนใหม่ในสาขา เจอเพื่อนมีแต่คนน่ารัก บางคนก็พูดเก่ง บางคนก็ไม่พูด แต่ดิฉันก็มีเพื่อนสนิท ที่เรียนด้วยกัน ไปไหนมาไหนด้วยกัน ปรึกษากัน ลงวิชาเลือกเหมือนกัน ดิฉันเลือกเรียนสี่ปี ก็หวังว่า สาขาที่เราเรียน จะทำให้เรียนไปแล้วมีความสุข จบไปมีงานทำ
นางสาว รุ่งทิวา ชะบา 52010517116 ชั้นปีที่2 คณะศึกษาศาสตร์ สาขาจิตวิทยา
ประวัติความเป็นมา :
ตำบลขวัญเมือง แยกออกมาจากตำบลกลาง เมื่อปี 2529 มีจำนวน 11 หมู่บ้าน มีนายแสวง มณีรัตน์ เป็นกำนันคนแรก ปัจจุบันอยู่ในเขตพื้นที่เทศบาลทั้งหมด
สภาพทั่วไปของตำบล :
สภาพพื้นดินเป็นพื้นที่ราบลุ่ม ตั้งอยู่ทางซ้ายมือของถนนแจ้งสนิท เป็นที่ตั้งของที่ว่าการอำเภอเสลภูมิ
อาณาเขตตำบล :
ทิศเหนือ จรดตำบลหาเมือง อ.เสลภูมิ จ.ร้อยเอ็ด
ทิศใต้ จรดตำบลกลาง อ.เสลภูมิ จ.ร้อยเอ็ด
ทิศตะวันออก จรดตำบลเมืองไพร อ.เสลภูมิ จ.ร้อยเอ็ด
ทิศตะวันตก จรดตำบลมะบ้า กิ่ง อ. ทุ่งเขาหลวง จ.ร้อยเอ็ด
จำนวนประชากรของตำบล :
จำนวนประชากรทั้งสิ้น 3,174 คน เป็นชาย 1,528 คน เป็นหญิง 1,546 คน
ข้อมูลอาชีพของตำบล :
อาชีพหลัก ทำนา ทำไร่
อาชีพเสริม ค้าขาย
ข้อมูลสถานที่สำคัญของตำบล :
1) วัดป่าขวัญเมือง
2) ที่ว่าการอำเภอ
3) โรงเรียน 3 แห่ง (รร.เสลภูมิพิทยาคม,รร.เสลภูมิ,รร.ศรีอรุณวิทย์)
แสดงความคิดเห็น