Analysis Psychology and Good Relationship Performing in Community
ให้นิสิตเขียนประวัติ เรื่องราว นิทาน ตำนาน หรือความเป็นมาของชุมชนที่ตนเองอาศัยอยู่ ความยาวขนาด 1 หน้ากระดาษ เป็นรายงานส่วนบุคคล ส่งภายในวันที่ 15 มกราคม 2553 ทางเว็บบล็อกเท่านั้น ไม่รับส่งทางกระดาษ ให้ส่งและตรวจสอบได้ในบล็อกนี้
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
63 ความคิดเห็น:
นางสาวเกศสุดา วัชรบรรจง รหัส 52010517100 PSY
ชุมชนบ้านหนองฮะ
ความเป็นมาของชุมชนบ้านหนองฮะตำบลหนองฮะเป็นตำบลในเขตความรับผิดชอบ อบต.หนองฮะ มี 11 หมู่บ้าน มีประวัติที่เล่าต่อ ๆ กันมาว่า เดิมราษฎรที่เป็นต้นตระกูล ได้อาศัยอยู่ที่บริเวณหนองน้ำ โดยตั้งชื่อว่า หนองฮะ มีผู้นำหมู่บ้านชื่อหลวงอาจ เป็นผู้นำมา และตั้งเป็นหมู่บ้านชื่อบ้านหนองฮะ ต่อมาเกิดโรคระบาดบริเวณที่ตั้ง จึงได้แยกย้ายไปหาที่อยู่ใหม่ ขยายวงกว้างออกไปแล้ว ตั้งเป็นตำบลหนองฮะ เมื่อพ.ศ.2479 มีสภาพทั่วไปของตำบลเป็นที่ราบลุ่ม ส่วนใหญ่ทำการเกษตรได้ดี มีลักษณะภูมิประเทศเป็นลูกคลื่นปนารายณ์ จังหวัดสุรินทร์ ทิศใต้ ติดต่อกับ ต.หนองไผ่ล้อมและ ต.ศรีสุข อ.สำโรงทาบ ทิศตะวันออก ติดต่อกับ ต.ศรีสุข, ต.สะโน,ต.กระออม อ.สำโรงทาบ ทิศตะวันตก ติดต่อกับ ตำบลเสม็จ อำเภอสำโรงทาบ มีจำนวนประชากรของตำบลคือ จำนวนประชากรในเขต อบต. 4,921 คน และจำนวนหลังคาเรือน 941 หลังคาเรือน อาชีพของตำบล อาชีพหลัก ทำนา อาชีพเสริม ทำสวน, ทำไร่, จักสาน, รับจ้าง มีลักษณะการตั้งเป็นแบบกระจุก ตั้งอยู่บนเนินหรือโคกใกล้หนองน้ำ พื้นที่รอบหมู่บ้านเป็นที่เพาะปลูก บ้านเรือนตั้งเป็นกลุ่มรวมกัน ใช้ประโยชน์จากหนองน้ำร่วมกัน ชาวบ้านจะเลี้ยงสัตว์ไว้ใกล้กับหรือใต้ถุนบ้าน มีความใกล้ชิดกับธรรมชาติ มีทุ่งนาที่มีข้าวเขียวขจี มีวัฒนธรรมที่เป็นแบบกันเอง ทุกคนมีความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ส่วนมากมักจะทำสิ่งของใช้เอง มีความเชื่อ ประเพณีและพิธีกรรมทำให้เกิดความอบอุ่น ความมั่นคงทางจิตใจ ประเพณีเกี่ยวข้องกับปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ อาชีพ และความอุดมสมบูรณ์
มีความเป็นพี่น้องกันแม้แต่จะไม่ใช่ญาติของตน ทำงานกันเป็นส่วนรวม เป็นกลุ่ม สามัคคีกัน ลักษณะของครอบครัวเป็นแบบขยายมากกว่าเดี่ยวมักจะมีญาติพี่น้องในครอบครัวด้วย ความผูกพันในครอบครัวมีมาก ใกล้ชิด พบกันแทบทั้งวัน ครอบครัวเป็นหน่วยผลิตและบริโภคเอง ที่เหลือนำไปแจกจ่าย จำหน่าย มีสิ่งที่ศักดิ์สิทธิ์คือ วัดหนองฮะ ตั้งอยู่หมู่ที่ 1 ตำบลหนองฮะ สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย ตั้งเมื่อ พ.ศ.2404 มีสภาพเรียบง่าย มีหอระฆังเป็นเด่นสง่า เป็นที่ปฏิบัติธรรมและจัดงานเทศกาลมาโดยตลอด
นางสาวนาตยา เสาแก้ว 52010517107 สาขาจิตวิทยา ระบบปกติ
บ้านหนองเทา
บ้านหนองเทา ตำบลตะดอบ ไม่สามารถคาดคะเนอายุได้ว่า ชุมชนนี้เริ่มต้นตั้งแต่เมื่อไร คงจะตั้งไล่เลี่ยกับบ้านหนองแคน ชาวบ้านบางคนบอกว่าบ้านหนองเทาไม่ได้อพยพมาจากที่ใด หากตั้งรกรากที่นี่ตั้งแต่เริ่มต้น ผู้ที่เข้ามาอาศัยอยู่ในหมูบ้านนี้ก็มาในลักษณะลูกเขยมากกว่า เช่น ชาวกวยบ้านตะดอบมาแต่งงานกับชาวบ้านหนองเทา จึงทำให้เกิดการผสมผสานกันทางภาษา แต่ก็มีบางคนบอกว่า อพยพมาจากหลายแห่ง วงศ์ตระกูลของนางแปมาจากฟากมูล แถวบ้านเทิน บ้านพะลำ กันทรารมย์ เหตุที่ได้ชื่อว่าบ้านหนองเทาก็เพราะว่าอยู่ติดกับหนองน้ำและในสมัยก่อนหนองน้ำแห่งนั้นก็มีเทาเต็มหนองน้ำเลยได้ชื่อว่าบ้านหนองเทา
ความเชื่อในประเถรีเก่าๆที่ยังเหลืออยู่ในความทรงจำอีกอย่างหนึ่งคือของรักษาโดยเชื่อว่าคนเราต้องมีของรักษาตัวอย่างใดอย่างหนึ่งไว้ยึดเป็นหลักในการดำรงชีวิต เพื่อให้ชีวิตอยู่อย่างสุขสบายไม่ปล่อยชีวิตอยู่อย่างเลื่อนลอย ของรักษาต่างกับปู่ตาคือไม่เกี่ยวกับผีสาง แต่หากเกี่ยวกับคนที่ยังมีชีวิตอยู่ คนโบราณสอนกันว่า ชีวิตคนๆหนึ่งต้องมีผู้คุ้มครอง ผู้คุ้มครองนั้นเรียกว่า ธรรม สามารถคุ้มครองป้องกันความวิบัติได้ เหมือนกับเทวดาประจำถิ่นอย่างที่ชาวบ้านรู้จักกันทั่วไป
ของรักษาแบ่งเป็น 3 พวก พวกหนึ่งเรียกว่า ธรรม อีกพวกหนึ่งเรียกว่า ผีฟ้า ผู้ที่ขึ้นอยู่กับธรรม ก็มีหมอธรรมเป็นผู้คุ้มครอง เจ็บไข้ได้ป่วยก็ให้หมอธรรมรักษา หมอธรรมจะทำพิธีต่างๆ เช่น รดน้ำมนต์ แต่แก้ เสียเคราะห์ (สะเดาะเคราะห์) ปราบผีมีทั้งกันและแก้ ผู้ที่เป็นหมอธรรมโดยมากมาจากนักบวช แต่ต้องเรียนวิธีรักษาคนป่วยอีกต่างหาก มีทั้งหมอธรรมที่อยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน และอยู่หมู่บ้านหรืออำเออื่นที่ห่างไกลออกไป แล้วแต่ความศักดิ์สิทธิ์ของผู้เป็นหมอธรรมจะมีมากเพียงใด คนศรัทธาเพียงใด หมอธรรมเป็นบุคคลจำพวกหนึ่ง ที่ปฏิบัติธรรมในศาสนาได้เป็นอย่างดี ถือศีลห้อย่างเคร่งครัด มิฉะนั้นแล้วจะรักษา “ธรรม” ไว้ไม่ได้ และอาจเป็นคนเป็นผู้มีเมตตาอารีแก่เพื่อนมนุษย์ด้วยกัน รักษาคนโดยไม่หวังลาภผลตอบแทน เป็นที่พึ่งของชาวบ้านได้ดี ธรรมที่ใช้ทำน้ำมนต์รักษาคนไข้ก็เป็นพุทธพจน์ปราบผีก็ใช้พุทธมนต์น่าเลื่อมใสศรัทธายิ่งนัก
พวกที่สองคือ ผีฟ้า จะมีส่วนคล้ายกับหมอธรรม แต่จะแปลกออกไป คือ จะมีการลำล่อง (คือปากร้องรำพันไป มือทั้งสอบข้างก็ฟ้อนไปด้วย) คนที่ลำเป็นหญิง ถ้าเป็นชายก็จะแต่งตัวเป็นหญิง จะมีแคนเป็นเครื่องดนตรีประกอบด้วย ใช้ลำล่องรักษาผู้ป่วย บางคนฟ้อนรำไม่เป็น เมื่อผีฟ้าเข้าทรงก็จะรำได้เอง ผีที่มาเข้าทรงนั้นมาจากไหนไม่ทราบชัด เรียกกันแต่ว่าผีฟ้า แท้จริงแล้วเป็นพวก ”ผีเชื้อ” คือผีให้ตระกูลของหมอผีนั้นเอง บางครั้งหมอผีจะเรียกวิญญาณของญาติผู้ป่วยที่ตายแล้วมาถามถึงอาการป่วยก็ได้ ผีฟ้าใช้รักษาผู้ป่วยด้วยการบนบาน อ้อนวอนผีให้ช่วยให้หายป่วย คนที่นับถือผีฟ้าส่วนมากจะเป็นญาติของผีฟ้าที่เคารพนับถือมาแต่บรรพบุรุษ พวกนี้มักเป็นคนขวัญอ่อน เมื่อรักษาหายแล้วก็ต้องนับถือผีฟ้าสืบต่อไปอีก
รำแถนหรือรำผีฟ้า คล้ายกับการเล่นสะเอง เพียงแต่ว่าการเล่นแถนหรือรำผีฟ้า เป็นวัฒนธรรมความเชื่อของชนเผ่าลาว ที่ชาวกูยรับมาใช้ในวิถีชีวิต มีการประกอบพิธีเข้าธรรมหรือขึ้นธรรม (ครอบหรือฝากตัวเป็นสานุศิษย์) กับหมอธรรมตลอดชีวิต จะมีการรำผีฟ้าประจำปีหรือเพื่อรักษาคนป่วย เมื่อก่อนนิยมปลูกต้นจำปา (ลั่นทม) ไว้เกือบทุกบ้าน ร้อยมาลัยจำปาสำหรับเล่นแถน ปัจจุบันใช้ดอกจานแทนก็ได้ ปลูกปะรำ บวงสรวงเป่าแคน(ผู้เป่าแคนมักเรียกว่าม้า) รำเชิญผีฟ้า (แถน) แต่ละองค์มาเข้าทรง พกดาบไม้ ทำเรือไม้จำลอง เมื่อผีฟ้าหรือแถนมาเข้าทรงจะมีชื่อเฉพาะของผีฟ้าหรือแถนองค์นั้น จะฟ้อนและร้องลำด้วยทำนองที่โหยหวนโต้ตอบกันระหว่างผีฟ้าทั้งวันทั้งคืน หรือติดต่อกันหลายวันหลายคืน เชื่อกันว่าจะรักษาผู้รำผีฟ้า หรือผู้ป่วยให้หายป่วย หรือเพื่อความสุขในชีวิต
การเล่นสะเองและการเล่นแถน เพื่อรักษาชีวิตคนเจ็บป่วยยังเป็นความเชื่อของบ้านจนถึงปัจจุบัน ในวันเดียวกันมีการเล่นสะเองแล้วก็มีการเล่นแถนอีกด้วย นางสะเองบางรายก็เป็นนางแถนด้วย
ชื่อนางสาวพัชรินทร์ คัสเตศรี รหัสนิสิต 52010517081
คณะศึกษาศาสตร์ สาขาจิตวิทยา
หมู่บ้านเบิดใหญ่ ต.วัดธาตุ อ. เมือง จ. หนองคาย 430000
หมู่บ้านของข้าพเจ้ามีตำนานเกี่ยวกับเรื่องการปั้นโอ่ง ไห ปั้นขายซึ่งเป็นอาชีพของคนในหมู่บ้านแต่สมัยก่อน ต่อได้เกิดการขโมยโอ่ง ไห่ กันทำให้คนในชุมชนต่างเดือดร้อน ในสมัยราชกาลที่ 3 ก็ได้เกิดสงครามทำให้เกิดความเสียหาย โอ่ง ไห่ แตกหมดทำให้คนในหมู่บ้านบางส่วนอพยบหนีกันบางส่วน หลังจากสงครามสงบลงหมู่บ้านนี้ก็ได้ใช้ชื่อนี้เป็นอนุสรณ์ ประชากรในชุมชนมีจำนวน500 กว่าหลังคาเรือนหมู่บ้านนี้มีลักษณะการตั้งเป็นแบบกระจุก มีการประกอบอาชีพ เกษตรกรรม รับจ้าง ค้าขาย รับราชการ ส่วนมากพื้นที่รอบๆหมู่บ้านจะมีท้องทุ่งนามีลำน้ำตลอดปีคนในชุมชนส่วนใหญ่จะประกอบอาชีพเกษตรกรและค้าขาย
นางสาว ธิตาภรณ์ ภูโอบ รหัส 52010517103 สาขาจิตวิทยา ระบบปกติ
ประวัติความเป็นมา: บ้านหนองกุง
ประวัติความเป็นมา
เดิมบ้านหนองกุง บรรพบุรุษย้ายมาจากหลายท้องที่ เช่น โคราช กันทรวิชัย บ้านโคกใหญ่ บ้านแดง บ้านคำแมด(อำเภอยางตลาด จังหวัดกาฬสินธุ์)โดยมีคุณพ่อผู้ใหญ่โต๊ะ มาอยู่เป็นครอบครัวแรก และต่อมาได้มีผู้อพยพตามมาอีกเช่น พ่อใหญ่หอม ภูเนตร, พ่อใหญ่โสภา โกฏิรักษ์,พ่อใหญ่พิมพา ภูล้นแก้ว,พ่อใหญ่หนูดำ ภูนาหา,พ่อใหญ่ขุนว่อง ไชยสมบัติ, พ่อใหญ่สุด ภูฉายา
ต่อมาประมาณปีพุทธศักราช 2464 ทางการได้ตั้งให้เป็นหมู่บ้าน ซึ่งในขณะนั้นมีหลังคาเรือนรวมทั้งสิ้น 27 หลังคาเรือน โดยใช้ชื่อว่า “บ้านหนองกุง” โดยมีผู้ใหญ่สุด ภูฉายา เป็นผู้ใหญ่บ้านคนแรก
ที่มาของชื่อหมู่บ้าน
บ้านหนองกุง ตั้งอยู่ระหว่างเนินหิน และบริเวณ ใกล้เคียงเป็นแอ่งน้ำธรรมชาติ มีไม้กุงเป็นจำนวน มาก เมื่อถึงฤดูฝนน้ำจะท่วมบริเวณแอ่งรอบ ๆ ป่ากุงจึงได้ชื่อว่า “บ้านหนองกุง” ซึ่งไม้กุงยังเหลือให้ เห็นอยู่ในปัจจุบัน
ต่อมาทางการได้แต่งตั้งให้พ่อใหญ่ขุนว่อง ไชยสมบัติ เป็นกำนัน และท่านก็ได้ร่วมกับชาวบ้านสร้างพระนอนขึ้นในปี พ.ศ 2485 ที่บริเวณเนินทางด้านทิศตะวันออกของหมู่บ้าน ชาวบ้านจึงนิยมเรียกชื่อบ้านหนองกุงว่า "บ้านหนองกุงกำนัน" หรือบางทีก็เรียกว่า "บ้านหนองกุงเขาพระนอน" มาจนทุกวันนี้
สภาพทางภูมิศาสตร์
ทิศเหนือ ติดกับบ้านหนองแวง หมู่ที่ 3 ต.เขาพระนอน
ทิศใต้ ติดกับป่าสงวนแห่งชาติดงระแนง จังหวัดกาฬสินธุ์
ทิศตะวันออก ติดกับป่าสงวนแห่งชาติดงระแนง จังหวัดกาฬสินธุ์
ทิศตะวันตก ติดกับทุ่งนาบ้านหนองกุง หมู่ 1,2, 4และ หมู่ 9 ต.เขาพระนอน
ลักษณะภูมิประเทศ
บ้านหนองกุงตั้งอยู่ระหว่างเนินและแอ่งน้ำธรรมชาติ เนินที่ดอนเป็นหินลูกรัง และพื้นที่ลาดเอียงไปด้านทิศตะวันตก ซึ่งเป็นทุ่งนา ลักษณะเป็นดินร่วนปนทราย ด้านนอกรอบข้างจะเป็นป่าสงวนแห่งชาติดงระแนง และมีพื้นที่ สปก.4–01 มีการปลูกป่าเฉลิมพระเกียรติและบางส่วน
พืชเศรษฐกิจ
พืชเศรษฐกิจของชาวบ้านหนองกุงคือ ข้าว มันสำปะหลัง และ อ้อย
การคมนาคม
บ้านหนองกุงมีถนนลาดยางของกรมโยธาธิการ เชื่อมกับถนนสายเขื่อนลำปาว ระยะทาง 4กิโลเมตร จากบ้านหนองกุงถึงตัวอำเภอยางตลาด ระยะทาง 22 กิโลเมตร และถึงตัวจังหวัดกาฬสินธุ์ระยะทาง 25กิโลเมตร
อาชีพประชากร
อาชีพหลักของชาวบ้านหนองกุงคือ การทำนาข้าว และทำไร่มันสำปะหลัง ไรอ้อย
จำนวนประชากร
มีประชากรทั้งหมด 2,479 คน
เป็นชาย 1,096 คน
เป็นหญิง 1,383 คน
จำนวนครัวเรือนทั้งสิ้น 630 หลังคาเรือน
ศาสนา วัฒนธรรม ประเพณี
ชาวบ้านหนองกุงยังยึดมั่นในหลักพุทธศาสนา มีวัดเป็นศูนย์กลาง มีประเพณีและวัฒนธรรมสืบทอดมาจากบรรพชนจนถึงปัจจุบัน และได้พัฒนาปรับปรุงให้เหมาะสมกับกาล คือ “ฮีตสิบสอง” ชาวบ้านหนองกุงใช้ภาษาอีสานเป็นภาษาถิ่น รองลงมาคือภาษากลางซึ่งใช้เป็น ภาษาราชการเช่นเดียวกับท้องถิ่นใกล้เคียงอื่น ๆ
ความเชื่อและพิธีกรรม
ชาวบ้านหนองกุงมีความเชื่อตามหลักพุทธศาสนา และเรื่องของผี หรือความศักดิ์สิทธิ์ตามธรรมชาติ และนำมาปรับปรุงให้เหมาะสมกับกาลเวลา เช่น มีการเลี้ยงบ้าน(เลี้ยงปู่ตา)ทำบุญเบิกบ้าน (ซำฮะ)มีตูบ,มีศาล,ผีตาแฮก,ลำทรง /ลำผีฟ้า เพื่อรักษาคนป่วย,การสะเดาะเคราะห์ หรือการรักษาคนป่วยด้วยยาพื้นบ้านเป็นต้น
นางสาวสุกษมา เพียรหา รหัสนิสิต 52010517120 สาขาจิตวิทยา ระบบปกติ
ประวัติความเป็นมา หมู่บ้าน บ้านหนองขุ่น
บ้านหนองขุ่น มีประวัติความเป็นมา เนื่องจากในสมัยก่อนมีพ่อค้าวัว ควาย จำนวนมาก และบริเวณหมู่บ้าน มีพื้นที่กว้างเป็นที่โล่ง เหมาะแก่การเลี้ยงสัตว์ หรือพักแรม ได้มีพ่อค้าวัว ควาย ใช้เส้นทางนี้ในการไล่ต้อนวัว ควาย เพื่อไปค้าขายที่ต่างถิ่น ซึ่งในประวัติเล่าว่า พ่อค้าเหล่านี้ได้ไล่ต้อนวัว ควาย ไปพร้อมกันกว่า 200-300 ตัว เพื่อนำไปขายที่จังหวัดร้อยเอ็ด และได้หยุดพักให้วัว ควาย พักผ่อนที่หนองน้ำประจำหมู่บ้าน และพักแรมอยู่ที่หนองน้ำนั้น เพื่อในตอนรุ่งเช้าจะได้ออกเดินทางต่อ แต่ด้วยจำนวน วัว ควายที่มาก พอลงไปกินน้ำ ก็เลยทำให้น้ำในหนองน้ำนั้นขุ่น หลังจากนั้นน้ำในหนองน้ำแห่งนี้จึงมีสีขุ่นตลอดเวลา จนกระทั่งถึงปัจจุบัน จึงเรียกชื่อหมู่บ้านว่า บ้านหนองขุ่น
ในปัจจุบันบ้านหนองขุ่นมีประชากรประมาณ 700 -800 คน มี 200 กว่าครัวเรือน ลักษณะของหมู่บ้านจะมีลักษณะเป็นกระจุก มีวัด 2 วัด และโรงเรียนประจำหมู่บ้าน ส่วนใหญ่บ้านเรือนจะปลูกตามแนวยาวของถนน และกระจายกันเป็นกระจุก อาชีพของประชากรส่วนใหญ่เป็นอาชีพเกษตรกรรม และเวลาว่างจะประกอบอาชีพเสริมคือ การตัดเย็บเศษผ้า เป็นผลิตภัณฑ์OTOP ของชุมชน ปัจจุบันหมู่บ้านจะแยกกันออกเป็น 2 หมู่บ้าน คือ หมู่ 8 และหมู่ 11 หมู่บ้านอยู่ห่างจากตัวอำเภอม่วงสามสิบ 14 กิโลเมตร และห่างจากอำเภอเมือง 48 กิโลเมตร หมู่บ้านมีหนองน้ำประจำหมู่บ้านอยู่ติดกับถนนชยางกูร เป็นหนองน้ำขนาดใหญ่แต่ไม่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ นอกจากให้สัตว์เลี้ยงใช้ดื่มกิน เพราะน้ำมีลักษณะขุ่น พื้นที่ของหมู่บ้านจะล้อมรอบด้วยทุ่งนา และอีกฝั่งหนึ่งจะเป็นป่าของชุมชน ชาวบ้านก็มีการใช้ประโยชน์จากธรรมชาติบ้าง เพื่อความอยู่รอด แต่ก็มีการปลูกต้นไม้ทดแทนเสมอ
นางสาวชนากานต์ นุริตานนท์ 52010517001
บ้านหนองหญ้าลาด
ตำบลหนองหญ้าลาดแยกออกจากตำบลน้ำอ้อม ในปี พ.ศ. 2536 จนถึงปัจจุบันเป็นเวลา 8 ปี ประชาชนส่วนใหญ่พูดภาษาไทยอีสานและภาษาส่วย นับถือศาสนาพุทธ ตั้งอยู่ในเขตการปกครองของอำเภอกันทรลักษ์ ประกอบไปด้วย 10 หมู่บ้าน ได้แก่ บ้านสมบูรณ์ บ้านกระบี่ บ้านแก บ้านป่าไม้พัฒนา บ้านนาน้ำคำ บ้านดงก่อ บ้านศรีเจริญ บ้านห้วยพอก บ้านดงสูง บ้านหนองหญ้าลาดพัฒนา
สภาพทั่วไปของบ้านหนองหญ้าลาด
พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นดินเหนียว ดินลูกรง น้ำใต้ดินอยู่ลึกประมาณ 2 เมตร มีพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 456.2154 ไร่ บ้านหนองหญ้าลาด ส่วนมากในชุมชมเป็นครอบครัวเดี่ยว เป็นลักษณะชุมชมแบบกระจุก ผู้คนส่วนมากประกอบอาชีพ บริการ รับราชการ เป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากเป็นชุมชมเมืองผู้คนไม่ค่อยสนิทสนมกันมากนัก มีงานที่เกี่ยวกับชุมชนก็มีบางหลังคาเรือนที่เข้าไปช่วยงานชุมชมเป็นประจำ
อาณาเขตของบ้านหนองหญ้าลาด
ทิศเหนือ ติดกับ อบต.ตระกาจ , อบต.จานใหญ่ อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ
ทิศใต้ ติดกับ อบต.ทุ่งใหญ่ , อบต.เมือง อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ
ทิศตะวันออก ติดกับ อบต.จานใหญ่ , อบต.น้ำอ้อม อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ
ทิศตะวันตก ติดกับ อบต.กระแชง อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ
ข้อมูลสถานที่สำคัญของตำบล
1) โรงเรียนการประถมศึกษา 2 แห่ง
2) ศูนย์พัฒนาเด็กก่อนเกณฑ์ 1 แห่ง
3) สถานีอนามัย 1 แห่ง
4) โรงเรียนสอนพระภิกษุสามเณร 1 แห่ง
5) วัด/สำนักสงฆ์ 6 แห่ง
6) ฝายหนองหญ้าลาด 1 แห่ง
นางสาวชนากานต์ นุริตานนท์ 52010517001
บ้านหนองหญ้าลาด
ตำบลหนองหญ้าลาดแยกออกจากตำบลน้ำอ้อม ในปี พ.ศ. 2536 จนถึงปัจจุบัน ประชาชนส่วนใหญ่พูดภาษาไทยอีสานและภาษาส่วย นับถือศาสนาพุทธ ตั้งอยู่ในเขตการปกครองของอำเภอกันทรลักษ์ ประกอบไปด้วย 10 หมู่บ้าน ได้แก่ บ้านสมบูรณ์ บ้านกระบี่ บ้านแก บ้านป่าไม้พัฒนา บ้านนาน้ำคำ บ้านดงก่อ บ้านศรีเจริญ บ้านห้วยพอก บ้านดงสูง บ้านหนองหญ้าลาดพัฒนา
สภาพทั่วไปของบ้านหนองหญ้าลาด
พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นดินเหนียว ดินลูกรง น้ำใต้ดินอยู่ลึกประมาณ 2 เมตร มีพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 456.2154 ไร่ บ้านหนองหญ้าลาด ส่วนมากในชุมชมเป็นครอบครัวเดี่ยว เป็นลักษณะชุมชมแบบกระจุก ผู้คนส่วนมากประกอบอาชีพ บริการ รับราชการ เป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากเป็นชุมชมเมืองผู้คนไม่ค่อยสนิทสนมกันมากนัก มีงานที่เกี่ยวกับชุมชนก็มีบางหลังคาเรือนที่เข้าไปช่วยงานชุมชมเป็นประจำ
อาณาเขตของบ้านหนองหญ้าลาด
ทิศเหนือ ติดกับ อบต.ตระกาจ , อบต.จานใหญ่ อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ
ทิศใต้ ติดกับ อบต.ทุ่งใหญ่ , อบต.เมือง อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ
ทิศตะวันออก ติดกับ อบต.จานใหญ่ , อบต.น้ำอ้อม อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ
ทิศตะวันตก ติดกับ อบต.กระแชง อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ
ข้อมูลสถานที่สำคัญของตำบล
1) โรงเรียนการประถมศึกษา 2 แห่ง
2) ศูนย์พัฒนาเด็กก่อนเกณฑ์ 1 แห่ง
3) สถานีอนามัย 1 แห่ง
4) โรงเรียนสอนพระภิกษุสามเณร 1 แห่ง
5) วัด/สำนักสงฆ์ 6 แห่ง
6) ฝายหนองหญ้าลาด 1 แห่ง
นางสาวอาศุ อุทารจิตต์ 52010517053 ระบบปกติ สาขาจิตวิทยา ชั้นปีที่ 2
ประมาณปี พ.ศ.2321 มีครอบครัวสองครอบครัว โดยการนำของนายสุโพธิ์ พันธ์นา และ มีสมาชิกจำนวน 5 คน ได้มาตั้งบ้านเรือนอยู่บริเวณหนองน้ำ ซึ่งหนองน้ำนี้ ชื่อว่า หนองบัวฮี ตั้งอยู่บริเวณบ้านหนองบัวฮีน้อย หมู่ที่ 1และในสมัยนั้นเป็นหมู่บ้านฝากของตำบลดอนจิก ต่อมาปี พ.ศ.2457 มีการตั้งหมู่บ้านและมีประชากรเพิ่มมากขึ้นเป็นจำนวนมาก ได้ขอมาตั้งเป็นหมู่บ้านและเป็นตำบลหนองบัวฮี เมื่อปี พ.ศ.2465 และมีการปกครองโดยกำนัน ผ่านยุดสมัยมาเนิ่นนานมีการปกครองถึง 6 คน จนถึงกำนันคนปัจจุบัน นายแสนทวี ดาลาด
ปัจจุบันมีจำนวนหมู่บ้านในเขตการปกครอง 16 หมู่บ้าน และมีแพทย์ประจำตำบล นายอำนวย โสภาสาย
บ้านหนองบัวฮี อยู่ห่างจากตัวจังหวัดอุบลราชธานี 60 กิโลเมตร อยู่ห่างจากอำเภอพิบูลมังสาหาร ไปทางทิศใต้ ประมาณ 18 กิโลเมตร มีอาณาเขตติดต่อดังนี้
ทิศเหนือ จด ตำบล ดอนจิก อำเภอพิบูลมังสาหาร
ทิศใต้ จด ตำบลกุดประทายอำเภอเดชอุดม
ทิศตะวันออก จด ตำบลอ่างศิลา อำเภอพิบูลมังสาหาร
ทิศตะวันตก จด ตำบลนาโพธิ์ อำเภอพิบูลมังสาหาร
อยู่ในตำบลหนองบัวฮี โดยมีพื้นที่ประมาณ 96 ตร.กม. หรือ ประมาณ 39,751 ไร่ เป็นพื้นที่อยู่อาศัย ประมาณ 1,690 ไร่ เป็นพื้นที่การเกษตรประมาณ 38,059 ไร่ พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นที่ราบลุ่ม เป็นดินร่วนปนทราย เหมาะแก่การทำนา และการเกษตรกรรมทั่วไป และทางทิศตะวันออกของพื้นที่ มีลำน้ำสายใหญ่ไหลผ่าน 1 สาย คือ ลำห้วยกว้าง
ตำบลหนองบัวฮี มีครัวเรือน 2149 ครัวเรือน มีประชากรทั้งสิ้น 9449 คน โดยประชากรส่วนใหญ่มีอาชีพทำนา ซึ่งพื้นที่แถบนี้สามารถทำนาได้ปีละ 2 ครั้ง เนื่องจากมีคลองส่งน้ำระบบชลประทาน ทำให้เป็นแหล่งผลิตข้าวหอมมะลิ105 ที่สำคัญของอำเภอและจังหวัด โดยมีผลผลิตเฉลี่ย 500 กิโลกรัม ต่อไร่ และยังมีอาชีพลองอื่น ๆ เช่น การเลี้ยงสัตว์ การค้าขาย การทำอุตสาหกรรมในครัวเรือนเป็นต้น นอกจากนี้ยังมีหน่วยธุรกิจซึ่งส่งผลต่อการพัฒนาระบบเศรษฐกิจภายในตำบล เช่น ปั้มน้ำมันและก๊าช โรงงานอุตสาหกรรม โรงสีข้าว เป็นต้น
ทิศเหนือ ติดต่อกับ ต.ดอนจิก อ.พิบูลมังสาหาร จ.อุบลราชธานี
ทิศใต้ ติดต่อกับ ต.กุดประทาย อ.เดชอุดม จ.อุบลราชธานี
ทิศตะวันออก ติดต่อกับ ต.อ่างศิลา อ.พิบูลมังสาหาร จ.อุบลราชธานี
ทิศตะวันตก ติดต่อกับ ต.นาโพธิ อ.พิบูลมังสาการ จ.อุบลราชธานี
ประชากรในเขต อบต.หนองบัวฮี ทั้งสิ้น 10,585 คน แยกเป็น ชาย 5 ,349 คน หญิง 5,236 คน
โรงเรียนประถม 9 แห่ง
โรงเรียนมัธยม 1 แห่ง
ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก 5 แห่ง
วัด 9 แห่ง
ที่พักสงฆ์ 3 แห่ง
ศูนย์สุขภาพชุมชน 2 แห่ง
นางสาวเจนจิรา แก้วเพชร 52010517009 สาขาจิตวิทยา ระบบปกติ
เดิมตลาดท่าช้าง มีสภาพเป็นชุมชนเล็กๆ ริมแม่น้ำมูล เรียกว่าหมู่บ้านท่าช้าง เป็นชุมชนเก่าแก่ที่ความเจริญแห่งหนึ่งของจังหวัดนครราชสีมา เนื่องจากสถานที่ตั้งบ้านเรือนมีความเหมาะสม เพราะตั้งอยู่ในบริเวณที่ชุมทางน้ำ จึงทำหน้าที่เป็นเมืองขนถ่ายสินค้าจากเรือกลไฟในเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนใต้หรืออีสานใต้ เมืองท่าช้างจึงมีความสำคัญในระดับ ในช่วงเวลาดังกล่าวการขนถ่ายสินค้ากระทำได้ด้วยความยากลำบาก เนื่องจากไม่มีถนนหนทางสะดวกสบาย ทางรถไฟก็ยังไม่มี ซึ่งทางรถไฟสายแรกที่สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 นั้นสร้างจากกรุงเทพฯ ไปสิ้นสุดที่ตัวเมืองนครราชสีมา
ช่วงปลายปี 2446 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 โปรดเกล้าฯ ให้สร้างทางรถไฟต่อจากเมืองนครราชสีมาถึงอุบลราชธานี พร้อมกับการสร้างสะพายข้ามแม่น้ำมูล ทำให้ส่งผลกระทบกับการขนถ่ายสินค้าทางเรือ เมื่อทางรถไฟสร้างเสร็จและปิดการดำเนินการ การขนถ่ายสินค้าทางเรือกลไฟก็อันต้องปิดกิจการลง เพราะสินค้าสามารถขึ้นลงได้ที่สถานีรถไฟท่าช้าง รวมทั้งสามารถส่งไปยังเมืองต่างๆ ได้สะดวกรวดเร็ว เมื่อความเจริญเข้ามากับทางรถไฟ รวมทั้งการก่อสร้างถนนหนทาง ทำให้ท่าช้างกลายเป็นเมืองขนาดใหญ่
บ้านตลาดท่าช้าง หมู่ที่ 14 ตำบลท่าช้าง สมัยก่อนอาศัยอยู่กับบ้านหนองบัว หมู่ที่ 11 ตำบลท่าช้าง อำเภอจักราช จังหวัดนครราชสีมา สภาพการตั้งบ้านเรือนจะยึดสองข้างทางรถไฟเป็นสถานที่ตั้งบ้านเรือนเพื่อสะดวกในการประกอบอาชีพค้าขาย ต่อมาการรถไฟแห่งประเทศไทยได้ย้ายรางรถไฟมายังบริเวณบ้านตลาดท่าช้าง ผู้คนจึงได้อพยพบ้านเรือนมายังบริวณสถานีรถไฟท่าช้าง และได้ตั้งชื่อหมู่บ้านว่า “บ้านตลาดท่าช้าง” ต่อมาในปี 2539 ได้แบ่งเขตการปกครองเป็นอำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดนครราชสีมา บ้านตลาดท่าช้าง จึงอยู่ในเขตการปกครอง อำเภอเฉลิมพระเกียรติ จนถึงปัจจุบัน
นายชยุติกร ศรีแสง รหัสนิสิต52010517012
ตำนานเมืองสกลนคร
ตำนานเมืองหนองหาร ครั้งหนึ่งยังมีเมืองอยู่เมืองหนึ่งชื่อ นครเอกชะทีตา มีพระยาขอมเป็นกษัตริย์ปกครองเมืองด้วยความร่มเย็น พระยาขอมมีพระธิดาสาวสวยนามว่า "นางไอ่คำ" ซึ่งเป็นที่รักและหวงแหนมาก จึงสร้างปราสาท 7 ชั้น ให้อยู่พร้อมเหล่าสนม นางกำนัล คอยดูแลอย่างดี
ขณะเดียวกันยังมีเมืองอีกเมืองหนึ่งชื่อ เมืองผาโพง
มีเจ้าชายนามว่า ท้าวผาแดง เป็นกษัตริย์ ปกครองอยู่
ได้ยิน กิตติศัพท์ความงามของธิดา ไอ่คำมาก่อนแล้ว ใคร่อยากจะเห็นหน้า จึงปลอมตัวเป็นพ่อค้าพเนจรถึงนครเอกชะทีตา และติดสินบนนางสนมกำนัลให้นำของขวัญลอบ เข้าไป ให้นางไอ่คำ ด้วยผลกรรมที่ผูกพันมาแต่ชาติปางก่อน นางไอ่คำและท้าวผาแดงจึงได้มีใจ ปฏิพัทธ์ต่อกัน จนในที่สุดทั้งสองก็อภิรมย์สมรักกันก่อนท้าวผาแดงจะจากไป เพื่อจัดขบวนขันหมากมาสู่ขอนางไอ่คำ ทั้งสองได้คร่ำครวญต่อกัน ด้วยความอาลัยยิ่ง วันเวลาผ่านไปถึงเดือน 6 เป็นประเพณีแต่โบราณของเมืองเอกชะทีตา จะต้องมีการทำบุญบั้งไฟบูชาพญาแถน พระยาขอมจึงได้ประกาศบอกไปตามหัวเมืองต่างๆ ว่าบุญบั้งไฟปีนี้จะเป็นการหาผู้ที่จะมาเป็นลูกเขยอีกด้วย ขอให้เจ้าชายหัวเมืองต่างๆ จัดทำบั้งไฟ มาจุดแข่งขันกัน ผู้ใดชนะก็จะได้อภิเษก กับพระธิดาไอ่คำด้วย ข่าวนี้ได้ร่ำลือไปทั่วสารทิศ ทุกเมืองในขอบเขตแว่นแคว้นต่างๆ ก็ส่งบั้งไฟเข้ามาแข่งขัน เช่น เมืองฟ้าแดดสูงยาง เมืองเชียงเหียน เชียงทอง
แม้กระทั่งพญานาคใต้เมืองบาดาล ก็ได้ยินร่ำลือจนสิ้น
จนท้าวพังคีเจ้าชายพญานาคเมือง บาดาลก็อดใจไม่ไหว
ปลอมตัวเป็น กระรอกเผือก มาดูโฉมงามนางไอ่คำ ด้วยในวันงานบุญบั้งไฟ เมื่อถึงวัน แข่งขัน จุดบั้งไฟ ปรากฏว่า
บั้งไฟท้าวผาแดงจุดไม่ขึ้นพ่นควันดำอยู่ 3 วัน 3 คืน จึงระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆ ทำให้ความหวังท้าวผาแดงหมดสิ้นลงขณะเดียวกัน ท้าวพังคีพญานาคที่ปลอมเป็นกระรอกเผือก มีกระดิ่งผูกคอน่ารักมาไต่เต้น อยู่บนยอดไม้ข้าง ปราสาท นางไอ่คำ ก็ปรากฏร่าง ให้นางไอ่คำเห็น นางจึงคิดอยากได้มาเลี้ยง แต่แล้วก็จับไม่ได้ จึงบอกให้นายพรานยิงเอาตัวตายมา ในที่สุดกระรอกเผือกพังคี ก็ถูกยิง ด้วยลูกดอก จนตาย ก่อนตายท้าวพังคีได้อธิษฐานไว้ว่า "ขอให้เนื้อของข้าได้ แปดพันเกวียน คนทั้งเมืองอย่าได้กินหมดเกลี้ยง"จากนั้นร่างของกระรอกเผือกก็ใหญ่ขึ้น
จนผู้คนแตกตื่นมาดูกันและจัดการแล่เนื้อนั้นแบ่งกัน ไปกินทั่วเมือง ด้วยว่าเป็นอาหารทิพย์ ยกเว้นแต่พวก แม่ม่ายที่ชาวเมืองรังเกียจ ไม่แบ่งเนื้อ กระรอกให้ พญานาคแห่งเมืองบาดาล ทราบข่าว ท้าวพังคีถูกมนุษย์ฆ่าตายแล่เนื้อไปกิน กัน ทั้งเมือง จึงโกรธแค้นยิ่งนัก ดึกสงัดของคืนนั้นเอง ขณะที่ชาวเมือง เอกชะทีตากำลังหลับไหล
เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น ท้องฟ้าอื้ออึงไปด้วย พายุฝน ฟ้ากระหน่ำลงมาอย่างหนักอยู่ มิได้ขาด
แผ่นดินเริ่มถล่มตัวยุบตัวลงไปทีละน้อย
ท่ามกลางเสียงหวีดร้องของผู้คนที่วิ่งหนีตาย เหล่าพญานาคผุด ขึ้นมา นับหมื่นนับแสนตัว ถล่มเมืองชะทีตาจมลบงใต้บาดาลทันที คงเหลือไว้เป็นดอน 3-4 แห่ง ซึ่งเป็นที่อยู่ของพวกแม่ม่าย ที่ไม่ได้กินเนื้อ กระรอกเผือกจึงรอดตายฝ่ายท้าวผาแดงได้โอกาสรีบควบม้าหนีออกจากเมือง
โดยไม่ลืมแวะรับพระธิดาไอ่คำไปด้วย แต่แม้จะเร่งฝีเท้าม้าเท่าใดก็หนีไม่พ้นทัพพญานาคที่ ทำให้แผ่นดินถล่มตามมาติดๆ ในที่สุดก็กลืนท้าวผาแดงและพระธิดาไอ่คำ
พร้อมม้าแสนรู้ชื่อ "บักสาม" จมหายไปใต้พื้นดินรุ่งเช้าภาพของเมืองเอกชะทีตาที่เคยรุ่งเรืองโอฬาร ก็อันตธานหายไปสิ้น คงเห็นแต่พื้นน้ำ กว้างยาว สุดตา
ทุกชีวิตในเมืองเอกชะทีตาจมสู่ใต้บาดาล จนหมดสิ้น
เหลือไว้แต่แม่ม่ายบนเกาะร้าง 3-4 แห่ง ในผืนน้ำอันกว้างนี้ ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นหนองหารหลวงดังปรากฏในปัจจุบัน
นางสาวสุธาพร พูนสวัสดิ์ รหัสนิสิต 52010517042 สาขาจิตวิทยา
ชื่อบ้านนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์ค่ะ
สมัยขอมเรืองอำนาจ เมืองนางรองหรือแคว้นพนมโรงเป็นที่อยู่ของชนชาติขอม ขอมได้ปกครองดินแดงส่วนนี้เป็นเวลานาน ได้พบซากเมืองโบราณที่แสดงว่าขอมมีอำนาจแถบนี้เป็นระยะ ๆ จากปราสาทหินพิมายและปราสาทหินพนมรุ้ง โบราณวัตถุที่ค้นพบเก่าแก่ที่สุดคือ เทวรูปต่าง ๆ และหม้อน้ำดินเผาโบราณแบบขอม เมื่อขอมเสื่อมอำนาจลงแล้ว มอญก็เข้ามามีอำนาจในดินแดนแถบนี้ ทำให้เกิดชนชาติใหม่ขึ้นคือ ขอม มอญ เป็น เข-มอญ หรือเขมร ซึ่งก็คือขอมนั่นเองแต่มีเชื้อผสมระหว่างมอญกับขอม ต่อมาเมื่อมอญเสื่อมอำนาจลง ไทยจึงได้แผ่อาณาเขตเข้าครอบครองดินแดนแถบนี้ต่อไป การแผ่อาณาเขตของไทยในดินแดนแถบนี้ จะเห็นได้ว่ามาจาก 2 ทางคือ ทางนครราชสีมาและทางหลวงพระบาง แต่ไม่มีหลักฐานว่ามาครั้งใด สันนิษฐานว่าไทยคงจะเข้าครอบครองดินแดนแถบนี้ในสมัยกรุงสุโขทัยหรือกรุงศรีอยุธยาตอนต้น หลักฐานพอจะอ้างอิงได้คือ พระพุทธรูปโบราณที่ขุดพบ ส่วนมากเป็นพระพุทธรูปสมัยลพบุรี ต่อมาในปี พ.ศ. 2432 เจ้าเมืองนางรองได้คบคิดกับเจ้าโอ เจ้าอิน เจ้าเมืองจำปาศักดิ์แข็งเมืองไม่ขึ้นต่อกรุงธนบุรี พระเจ้ากรุงธนบุรีจึงโปรดเกล้าฯ ให้พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ในขณะนั้นทรงดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าพระยาจักรีมาปราบ พระยานางรองถูกเจ้าเมืองนครราชสีมาจับตัวได้ และถูกประหารชีวิตที่ต้นโพธิ์หน้าสนามโรงเรียนนางรอง (สังขกฤษณ์อนุสรณ์) ในปัจจุบัน เมืองนางรองจึงได้ไปขึ้นต่อเมืองนครราชสีมา
เมื่อพระยานางรองถูกประหารชีวิตแล้ว ทางเมืองหลวงได้ตั้งนายปิ่นและนายมา บุตรพระยานางรองเป็นเจ้าเมืองนางรองปกครองต่อมาจนถึงพระวิเศษสงคราม (กฤษณ์ บุญญกฤษณ์) ลูกหลานของนายปิ่นได้เป็นเจ้าเมืองปกครอง เมื่อพระวิเศษสงครามสิ้นอายุแล้วพระนางรองภักดี (สุดใจ บุญญกฤษณ์) ซึ่งเป็นบุตรได้เป็นเจ้าเมืองแทน ต่อมาพระนางรองภักดีถูกจับในข้อหาฆ่าพ่อตา (หลวงอุดมพนาเวช ต้นตระกูลอุดมพงษ์) ทางเมืองนครราชสีมาจึงได้แต่งตั้งหลวงยกบัตร (ต้นตระกูลสุรัสวดี) มาเป็นผู้รั้งเมืองแทน ท่านผู้นี้ได้สร้างที่ทำการและที่พักขึ้น ณ ท้องสนามชุมพลบริเวณโรงเรียนบ้านนางรอง ในปัจจุบัน เป็นอันว่าเมืองนางรองสมัยมีเจ้าเมืองปกครองก็สิ้น ในปี พ.ศ. 2435 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้โปรดเกล้าฯ จัดระบบการปกครองใหม่เป็น กระทรวง มณฑล ได้รวมเมืองนางรอง เมืองบุรีรัมย์ เมืองตลุง (อำเภอประโคนชัยในปัจจุบัน) เมืองรัตนบุรี เมืองพิมาย เมืองพุทไธสง เข้าเป็นเมืองเดียวกัน เรียกว่า "บริเวณนางรอง" มีพระนครภักดี (ทองดี) รักษาการแทนเจ้าเมืองนางรอง ต่อมาอาณาเขตของเมืองนางรองเปลี่ยนแปลงไปคือ เมืองรัตนบุรีไปขึ้นกับสุรินทร์ เมืองพิมายไปขึ้นกับนครราชสีมา แล้วจึงตั้งเมืองแป๊ะขึ้นเป็นจังหวัดเรียกว่า "จังหวัดบุรีรัมย์" เมืองนางรองจึงเป็นอำเภอหนึ่งของจังหวัดบุรีรัมย์
นางสาวภัสสุดา พละศูนย์ รหัสนิสิต52010517031 ระบบปกติ
บ้านน้ำปลีก ตำบลน้ำปลีก อำเภอเมือง จังหวัดอำนาจเจริญ
ประวัติความเป็นมา
ตำบลน้ำปลีก พื้นที่ส่วนใหญ่อุดมสมบูรณ์ ตั้งอยู่ริมลำเซบาย และมีปากน้ำแยกปลีกออกจากกันจึงเรียกชุมชนแห่งนี้ว่า “น้ำปลีก” ชุมชนน้ำปลีกมีขนาดใหญ่ ปัจจุบันมีหมู่บ้านตั้งอยู่ในเขตเทศบาลตำบลน้ำปลีกบางส่วน จำนวน 3 หมู่บ้าน คือ หมู่ที่ 1,2, และ9 อยู่ในเขตเทศบาลทั้งหมด จำนวน 1 หมู่บ้าน คือ หมู่ที่ 8 ส่วนหมู่บ้านที่อยู่ในเขตขององค์การบริหารส่วนตำบล จำนวน 6 หมู่บ้าน คือ บ้านดงบัง หมู่ที่ 3 บ้านคำสร้างบ่อ หมู่ที่ 4,5 บ้านยางคำ หมู่ที่ 6 บ้านดอนดู่ หมู่ที่ 7 และบ้านดงบัง หมู่ที่ 10
อาณาเขตตำบล
ทิศเหนือ ติดต่อกับ ตำบลนาหมอม้า อำเภอเมืองอำนาจเจริญ จังหวัดอำนาจเจริญ
ทิศใต้ ติดต่อกับ ตำบลคำพระ อำเภอหัวตะพาน จังหวัดอำนาจเจริญ
ทิศตะวันออก ติดต่อกับ ตำบลนาจิก อำเภอเมืองอำนาจเจริญ จังหวัดอำนาจเจริญ
ทิศตะวันตก ติดต่อกับ ตำบลเชียงเพ็ง อำเภอป่าติ้ว จังหวัดยโสธร
นางสาวรจนา โพธิ์เศษ รหัสนิสิต 52010517115 ระบบปกติ
ประวัติบ้านปากคาดพัฒนา
บ้าน ปากคาดพัฒนาเดิมเป็นเพียงหมู่บ้านเล็กๆ ตั้งอยู่ตามริมห้วยคาด ที่ขึ้นอยู่กับตำบลโพนแพง อยู่ในเขตการปกครองของอำเภอโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย ต่อมาได้มีราษฎรย้ายมาตั้งถิ่นฐานบ้านเรือนมากขึ้นจึงได้แยกออกมาตั้งเป็น ตำบลปากคาด
พ.ศ.๒๕๒๑ ได้ยกฐานะในการปกครองจากตำบลปากคาดเป็นกิ่งอำเภอปากคาด
พ.ศ.๒๕๒๔ ได้ยกฐานะการปกครองจากกิ่งอำเภอปากคาดเป็นอำเภอปากคาด ตามพระราชกฤษฎีกาให้จัดตั้งอำเภอ
ประชาชนชาวอำเภอปากคาดส่วนใหญ่ เป็นคนที่อพยพมาจากถิ่นอื่น จากภาคตะวันออกเฉียงเหนือประกอบอาชีพด้านเกษตรกรเป็นส่วนมากเช่น ทำนา ทำสวน ทำไร่ และเลี้ยงสัตว์ มีประเพณีและวัฒนธรรมสืบทอดกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษคือ ประเพณีแห่เทียนเข้าพรรษา ประเพณีออกพรรษา ประเพณีแข่งเรือยาว ประเพณีวันสงกรานต์ ประเพณีบุญบั้งไฟ ประเพณีลอยกระทง เป็นต้น
สภาพทั่วไป
ที่ตั้ง อำเภอปากคาดตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของจังหวัดหนองคาย ตามถนนหนองคาย-บึงกาฬ ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๒๑๒ ที่เรียบคู่ขนานกับลำแม่น้ำโขง อยู่ห่างจากจังหวัดหนองคาย ๙๐ กิโลเมตร
พื้นที่และภูมิประเทศ
อำเภอปากคาดมีพื้นที่ทั้งหมด ๒๗๖ ตารางกิโลเมตร หรือประมาณ ๑๗๒,๕๐๐ ไร่ มีพื้นที่การเกษตรประมาณ ๑๐๙,๓๒๓ ไร่ ส่วนใหญ่เป็นที่ราบสลับต่ำและบางส่วนเป็นที่ดอน ซึ่งเหมาะสำหรับการทำเกษตร จึงทำให้ประชาชนมีอาชีพทำการเกษตรเป็นส่วนใหญ่
แหล่งน้ำที่สำคัญ
๑. หนองยอง มีพื้นที่ขนาด ๑,๕๗๖ ไร่ ๓ งาน ๗ ตารางวา สามารถเก็บน้ำได้ตลอดปีตั้งอยู่ที่ตำบลหนองยอง
๒. หนองมุม มีขนาดพื้นที่ ๖๐๐ ไร่ สามรถเก็บน้ำได้ตลอดปี ตั้งอยู่ในเขตเทศบาลตำบลปากคาด
๓. ห้วยหินตัน มีขนาดพื้นที่ ๔๐๐ ไร่ สามารถเก็บน้ำได้ตลอดปี ตั้งอยู่บ้านเวินโดน ตำบลปากคาด
๔. ห้วยคาด มีขนาดกว้าง ๓๐-๔๐ เมตร ยาวประมาณ ๓๐ กิโลเมตร ต้นกำเนิดอยู่ที่ตำบลพระบาทนาสิงห์ ไหลผ่านตำบลโพนแพง ตำบลบ้านต้อน กิ่งอำเภอรัตนวาปี เข้าสู่ตำบลนาดง อำเภอปากคาด ไหลออกแม่น้ำโขงตรงวัดปากน้ำ บ้านปากคาดหมู่ที่ ๑
๕. ห้วยอังฮ้า มีขนาดก้าง ๘ เมตร ยาวประมาณ ๑๐ กิโลเมตร ไหลผ่านตำบลหนองยอง ตำบลโนนศิลา ตำบลนากั้ง ตรงบ้านต้าย
อาณาเขต
ทิศเหนือ จดแม่น้ำโขงกับ ประเทศลาว อำเภอบึงกาฬ จังหวัดหนองคาย
ทิศใต้ จดอำเภอโซ่พิสัยและอำเภอรัตนวาปี จังหวัดหนองคาย
ทิศตะวันออก จดอำเภอบึงกาฬและอำเภอโซ่พิสัย จังหวัดหนองคาย
ทิศตะวันตก จดแม่น้ำโขงและอำเภอรัตนวาปี จังหวัดหนองคาย
การศึกษา
ระดับประถมศึกษา 3 แห่ง
ระดับมัธยมศึกษา 1 แห่ง
ศาสนาและศิลปวัฒนธรรม
วัด ๕ แห่ง
วัดคริสต์ ๑ แห่ง
งาน"วันผลไม้บั้งประเพณีของดีปากคาด" จัดขึ้นในช่วงปลายเดือน พฤษภาคม ของทุกปี
งานประเพณีแข่งเรือยาว จัดขึ้นในช่วงเดือน ตุลาคม ของทุกปี
งานประเพณีแห่เทียนเข้าพรรษา จัดขึ้นในช่วงเทศกาลเข้าพรรษา
งานประเพณีออกหรรษาบูชาพญานาค จัดขึ้นในเดือน ตุลาคม ของทุกปี
การสาธารณสุข
โรงพยาบาล ๑ แห่ง
คลินิก 4 แห่ง
สถานที่ท่องเที่ยว
วัดถ้ำศรีธน วัดถ้ำพระ แก่งอาฮอง
ท่องเที่ยวในเชิงอนุรักษ์และเกษตร
-ชมสวนผลไม้ ช่วงเดือน เมษา-กรกฎาคม
-ล่องเรือชมนกและทิวทัศน์บริเวณหนองยอง
-ชมถ้ำพระ
-ชมทิวทัศน์แก่งอาฮอง
-ชมวัดถ้ำศรีธน
นางสาวประภัสสร สุพร รหัส 52010517023 ระบบ ปกติ
ชุมชนบ้านผึ่งแดด
บ้านผึ่งแดด ผึ่งแดด ราษฎรในตำบลได้อพยพมาจากบ้านเดื่อวัวแดง แขวงจำปาศักดิ์ ประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ได้อพยพมาตั้งถิ่นฐานตั้งแต่ปี พ.ศ.2101 ตำบลผึ่งแดด อยู่ในเขตการปกครองของอำเภอเมือง
ตำบลผึ่งแดด อำเภอเมืองมุกดาหาร จังหวัดมุกดาหาร ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของอำเภอเมืองมุกดาหาร อยู่ห่างจากที่ว่าการอำเภอเมืองมุกดาหาร 25 กิโลเมตร ตำบลผึ่งแดด ได้จัดตั้งขึ้นเป็นตำบล เมื่อปี พ.ศ.2463 รวมระยะเวลาการจัดตั้ง จนถึงปัจจุบัน รวม 88 ปี โดยใช้ชื่อบ้านผึ่งแดด ซึ่งเป็นหมู่บ้านศูนย์กลางของตำบลใช้เรียกชื่อตำบล
คำว่า “ผึ่งแดด” เปลี่ยนมาจากคำว่า “ตากแดด” ซึ่งเป็นภาษาถิ่นอีสาน ที่มาของคำนี้มาจากคำบอกเล่าว่า บริเวณบ้านผึ่งแดดหมู่ที่ 1, 2 ในปัจจุบันนี้ มีราษฎรกลุ่มหนึ่งอพยพมาจากบ้านท่าวัวแดง แขวงสุวรรณเขต ประเทศลาว ตั้งแต่ พ.ศ.2285 ได้ตั้งหมู่บ้านมาจนถึงปัจจุบันเป็นเวลา 266 ปี และบริเวณดังกล่าวชาวบ้านสมัยนั้น ใช้สำหรับซักและตากเสื้อผ้า ซึ่งมีกันคนละชุด พอจะซักเสื้อผ้าก็จะนัดหมายกันแยกกันไปอยู่ในป่าและถอดเสื้อผ้าออกซัก และตากรวมกันไว้ เป็นอย่างนี้อยู่นาน จึงเรียกบริเวณนี้ว่า “บ้านตากแดด” และเป็นต้นกำเนิดของต้นสกุล “สุพร” มีกำนันคนแรกคือ นายวงศ์จันทา สุพร และได้เปลี่ยนเป็น “บ้านผึ่งแดด” นั่นเอง
ชาวตำบลผึ่งแดดมีความเชื่อว่า “หอปู่ตา” ศักดิ์สิทธิ์มาก หากใครทำผิด ธรรมเนียม หรือล่วงเกิน มักจะมีอันเป็นไป และถ้าผู้ใดให้ความเคารพเชื่อถือจะช่วยคุ้มครองให้แคล้วคลาดปลอดภัย และช่วยให้อยู่เย็นเป็นสุข ชาวบ้านจะทำพิธีบวงสรวงบูชา ในเดือน 3 ของทุกปี เรียกพิธีนี้ว่า “วันเลี้ยงหอ”
นางสาวอัญภิชา ไชยทองพันธ์ 52010517123 ระบบปกติ
ประวัติความเป็นมา บ้านแสนสุข
ตำบลแสนสุข ได้รับการจัดตั้งตามกฎหมายลักษณะปกครองท้องที่ พ.ศ. 2457 เมื่อปี พ.ศ. 2492 แยกออกจากตำบลธาตุ และได้รับการยกฐานะเป็นองค์การบริหารส่วนตำบล ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2540 ตำบลแสนสุขเป็นจุดเริ่มต้นของเส้นทางสู่ประตูการค้าชายแดน ไทย - ลาว บนเส้นทางสายวาริน - พิบูลฯ และสายสิรินธร - ช่องเม็ก จึงนับเป็นจุดสำคัญที่จะพัฒนาให้เป็นแหล่งการค้า และการลงทุนโดยเฉพาะส่งเสริมการค้าซึ่งตำบลแสนสุข มีพื้นที่กึ่งเมือง กึ่งชนบท หรือ ชานเมือง เหมาะแก่การมีตลาดรวมสินค้าขนาดใหญ่ ทันสมัย ได้รับมาตรฐาน ไว้รองรับการขยายตัวทางการค้าในอนาคต และพื้นที่ของตำบลแสนสุข ยังสามารถรองรับการเติบโตของเมือง ซึ่งเหมาะแก่การเป็นที่ตั้งของสถานศึกษา สถานที่ราชการ ที่พักอาศัยแหล่งธุรกิจ อีกทั้งยังมีถนนหลวงสายหลัก ที่มุ่งไปสู่เมืองใหญ่ๆ ของภาคอีสาน และกรุงเทพมหานคร อีกด้วย
ดวงตาเทศบาลตำบลแสนสุข เป็นรูปต้นโพธิ์ต้นไทร จำนวน 5 ต้น ตั้งอยู่ริมสระบัว ซึ่งหมายถึง มีความร่มเย็นเป็นสุข ดอกบัวในสระเป็นสัญลักษณ์ดอกไม้ประจำจังหวัดอุบลราชธานี ข้อเท็จจริงในเขตเทศบาลตำบลแสนสุข มีหนองน้ำขนาดใหญ่ เรียกว่า "หนองปลิง" เป็นสถานที่ร่มรื่นด้วยสภาพแวดล้อมธรรมชาติที่สมบูรณ์ เทศบาลตำบลแสนสุข จึงได้ปรับปรุงภูมิทัศน์เป็นสวนสาธารณะ มีสถานที่ออกกำลัง และมีสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ สำหรับประชาชนทั่วไปได้ใช้บริการอย่างทั่วถึง สวนสาธารณะหนองปลิงนับว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวและปอดแห่งใหม่ของอำเภอวารินชำราบ
สภาพทั่วไปของตำบล
สภาพพื้นที่ตั้งอยู่บริเวณที่เรียกว่า "แอ่งโคราช" สูงจากระดับน้ำทะเลโดยเฉลี่ยประมาณ 68 เมตร (227 ฟุต) ลักษณะโดยทั่วไปเป็นที่ราบลุ่มน้ำท่วมถึงง่าย ลักษณะของดินเป็นดินเหนียว ดินร่วนเหนียวปนทราย และดินร่วนทรายหรือดินร่วน เหมาะแก่การทำนา ปลูกพืชไร่ และปลูกผลไม้ พื้นที่ทั้งหมด ประมาณ 17,500 ไร่ หรือ ประมาณ 28 ตารางกิโลเมตร
อาณาเขตตำบล
ทิศเหนือ ติดต่อกับ เทศบาลเมืองวารินชำราบ
ทิศใต้ ติดต่อกับ ต.ธาตุ และ ต.โนนผึ้ง อ.วารินชำราบ
ทิศตะวันออก ติดต่อกับ ต.บุ่งไหม และ ต.คำขวาง อ.วารินชำราบ
ทิศตะวันตก ติดต่อกับ ต.โนนผึ้ง อ.วารินชำราบ
จำนวนประชากรของตำบล
จำนวนประชากรในเขต อบต. 25,786 คน และจำนวนหลังคาเรือน 3,878 หลังคาเรือน
ข้อมูลอาชีพของตำบล
อาชีพหลัก ทำนา
อาชีพเสริม เลี้ยงสัตว์, หัตถกรรมในครัวเรือน, อุตสาหกรรมในครัวเรือน
ข้อมูลสถานที่สำคัญของตำบล
1.วัดแสนสุข หมู่ที่ 2
2.วัดบ้านไม้ค้าง หมู่ที่ 4
3.วัดบ้านธาตุ หมู่ที่ 5
4.วัดเกาะลอย หมู่ที่ 9
5.วัดทองสว่าง หมู่ที่ 7
6.วัดก่อนอก หมู่ที่ 8
7.วัดห้วยไผ่ หมู่ที่ 13
8.วัดดอนหนองบัว หมู่ที่ 14
9.ค่ายทหารสรรพสิทธิประสงค์ ในพื้นที่หมู่ที่ 2
10.โรงพยาบาลค่ายสรรพสิทธิประสงค์ ในพื้นที่หมู่ที่ 2
11.โรงเรียนลือคำหาญโรงเรียนมัธยมประจำอำเภอวารินชำราบ หมู่ที่ 11
12.ตลาดวารินเจริญศรี (ตลาดสินค้าการเกษตรขนาดใหญ่)
13.วิทยาลัยอาชีพวารินชำราบ หมู่ที่ 6
สุกัญญา ภูมิหาทอง 52010517004
ตำบลตลาด
ประวัติความเป็นมา
เทศบาลเมืองมหาสารคามได้รับการยกฐานะขึ้นเป็นเทศบาลเมืองมหาสารคาม เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2479 มีคณะเทศมนตรีชุดแรก เมื่อวันที่ 3 เมษายน 2480 โดยนายบุญช่วย อัตถากร เป็นนายกรัฐเทศมนตรี สำนักงานเทศบางเมืองมหาสารคาม ระยะเริ่มแรกได้อาศัยสถานที่สโมสรเสือป่า เป็นที่ทำการของสำนักงานเทศบาล จนถึง พ.ศ.88 จึงย้ายไปอยู่สุขศาลา อำเภอเมืองมหาสารคาม เป็นเวลา 5 ปีเศษ แล้วย้ายสำนักงานมาอยู่ชั้นบนตึกแถว 2 ชั้น (ปัจจุบันคอบริเวณตลาดสด) จนถึง พ.ศ.01 จึงย้ายมาอยู่อาคารหลังใหม่ และต่อมาในปี 19 ได้ย้ายสำนักงานไปสร้างที่ดินที่ดินซึ่งผู้อุทิศให้จนถึงปัจจุบัน และมีเนื้อที่ทั้งสิ้น 24.14 ตารางกิโลเมตร
สภาพทั่วไปของตำบล
มีลักษณะโดยทั่วไปเป็นสันเนินสูงตามแนวถนนนครสวรรค์ ซึ่งอยู่ตอนกลางของพื้นที่ โดยมีระดับความสูงเฉลี่ย 150 เมตร เหนือระดับน้ำทะเลปานกลาง และลาดลงจากทั้งสองด้านของถนนนครสวรรค์ สู่ระดับประมาณ 143 เมตร เหนือระดับน้ำทะเลปานกลางพื้นที่คล้ายรูปกระทะคว่ำ
อาณาเขตตำบล
ทิศเหนือ ติดกับต.เกิ้ง อ.เมืองมหาสารคาม
ทิศใต้ ติดกับ ต.แวงน่าง อ.เมืองมหาสารคาม
ทิศตะวันออก ติดกับ ต.เขวา อ.เมืองมหาสารคาม
ทิศตะวันตก ติดกับ ต.ท่าสองคอน อ.เมืองมหาสารคาม
จำนวนประชากรของตำบล
จำนวนประชากรทั้งสิ้น 46,117 คน ชาย 19,128 คน หญิง 20,989 คน
ข้อมูลอาชีพของตำบล
อาชีพหลัก ทำนา
ข้อมูลสถานที่สำคัญของตำบล
1) วัดมหาชัย
2) สวนสาธารณะหนองข่า
3) ศูนย์ศิลปวัฒนธรรมอีสาน
นางสาวชนากานต์ เข็มเพชร รหัส 52010517101 ระบบปกติ 2PSY
ชุมชนบ้านหวาย
ประวัติและความเป็นมาของหมู่บ้าน บ้านหวาย หมู่ที่ 15 ตำบลสามัคคี อำเภอเลิงนกทา จังหวัดยโสธร
บ้านหวาย หมู่ที่ 15 ตั้งอยู่ในตำบลสามัคคี อำเภอเลิงนกทา จังหวัดยโสธร ได้ก่อตั้งมาแล้ว ประมาณ 170 ปี ได้แยกออกจากตำบลห้องแซง เมื่อปี 2516 โดยมีหลวงฉิมมา มูลบุตรดา เป็นผู้ใหญ่บ้านคนแรก บ้านหวายได้มาตั้งตำบลใหม่ ขึ้นอยู่กับตำบลสามัคคี และได้แยกออกเป็น 2 หมู่บ้าน คือ บ้านหวาย หมู่ที่ 4 หมู่ที่ 15
บ้านหวาย หมู่ที่ 15 ตำบลสามัคคี อำเภอเลิงนกทา จังหวัดยโสธร ตั้งอยู่ในพื้นที่ เทศบาลตำบลสามัคคี มีเนื้อที่ 3,793 ไร่ เป็นพื้นที่ทำการเกษตร ประมาณ 2,081 ไร่ และใช้เป็นที่อยู่อาศัยประมาณ 250 ไร่ จำนวนครัวเรือน 319 ครัวเรือน ประชากร 1,071 คน ชาย 528 คน หญิง 543 คน
อาณาเขต / ที่ตั้งหมู่บ้าน
ทิศเหนือ จดบ้านนาจาน ตำบลสามัคคี อำเภอเลิงนกทา จังหวัดยโสธร
ทิศตะวันออก จดบ้านกุดปลาดุก ตำบลสามัคคี อำเภอเลิงนกทา จังหวัดยโสธร
ทิศตะวันตก จดบ้านไทยเจริญ ตำบลสามัคคี อำเภอเลิงนกทา จังหวัดยโสธร
ทิศใต้ จดบ้านหวาย หมู่ที่ 4 ตำบลสามัคคี อำเภอเลิงนกทา จังหวัดยโสธร
นางสาวเพ็ชรรัตน์ ปิ่นทอง 52010517029 สาขาวิชาจิตวิทยา คณะศึกษาศาสตร์ ระบบปกติ
ประวัติความเป็นมาของหมู่บ้านแห่ใต้
บ้านแห่ใต้ ตำบลแห่ใต้ อำเภอโกสุมพิสัย จังหวัดมหาสารคาม เป็นหมู่บ้านที่ตั้งขึ้นประมาณ280ปี สภาพเดินเป็นที่รกร้างว่างป่าว มีหนองแห่งหนึ่งอยู่ห่างจากที่ก่อตั้งหมู่บ้านประมาณ5เส้น ที่หนองน้ำมีหินปนทรายอยู่ชนิดหนึ่งเรียก หินแห่ จึงได้ชื่อว่าบ้านแห่ ตามประวิติเล่ามาว่าได้มี นายศรี สงคราม นายแสง พระคลัง นายกัญหา นายสุวอ นายสุพรมมาตร ซึ่งอพยพมาจากจังหวัดอุบลราชธานี ร่วมกันก่อตั้งหมู่บ้านขึ้นประมาณ280 ปี
สถานที่สำคัญ
ในหมู่บ้านนี้มีที่สำคัญคือ วัดทองมงคลบ้านแห่ใต้ ซึ่งเป็นวัดที่เก่าแก่ เมื่อก่อนขึ้นตำบลเขื่อน และเปลี่ยนมาเป็นตำบลยางน้อย ปัจจุบันเป็นตำบลแห่ใต้ โรงเรียนจัดตั้งขึ้นเมื่อพ.ศ.2464 โดยครั้งแรกอาศัยศษลาการเปรียญวัด ต่อมาพ.ศ.2490 จึงได้แยกออกจากวัดจัดตั้งเป็นโรงเรียนเป็นเอกเทศถาวร เรียกว่าโรงเรียนบ้านแห่บริหารวิทย์
หนองน้ำที่สำคัญคือ
หนองคู เดิมยังไม่มีการพัฒนา มีป่าไม้ปกคลุมไปด้วยต้นไม้คลุมไปด้วยต้นไผ่ป่าอยู่อย่างหนาแน่น ชาวบ้านถือว่าหนองน้ำศักสิทธ์ จึงมีสัตว์ป่าอาศัยอยู่จำนวนมากเช่นงูเหลือม งูจงอาง งูหลาม เต่า และสัตว์ ภายในป่าเป็นหนองน้ำและมีหอตาปู่อยู่ตรงกลาง ชาวบ้านเรียกดอนตาปู่ ชาวบ้านได้ทำโครงการของบประมาณ พร้อมกันสร้างศาลตาปู่ สีน้ำเงิน
หนองสระ เดิมเป็นที่ธรณีสงฆ์ อยู่ติดกับวัดทางทิศเหนือ เป็นสระมาแต่เดิมมีบัวทองเกิดขึ้นมาก จึงเรียกหนองสระว่าสระทอง และมีศาลหลวงปู่ศักสิทธ์ประจำหมู่บ้านคือ ศาลหลวงปู่อ่อน เมื่อก่อนมีศาลาไม้มุงด้วยไม้เก่าแก่อยู่หลังหนึ่งมีต้นงิ้วผาดอกแดงขนาดใหญ่หนึ่งต้นและต้นกระนวนใหญ่หนึ่งต้นเป็นสระมาจากธรรมชาติมีเนื้อที่5ไร่ เมื่อก่อนมีพวกควาญช้างเคยมาพักผ่อนที่นี้บ่อยๆและแขกสัญจรไปมามีพวกเกวียนขายกระบองมาพักเป็นประจำ ศาลหลวงปู่อ่อนศักสิทมาก หากใครมาพักต้องบอกกล่าวเล่าแจ้งเจ้าที่ก่อนถ้าไม่กล่าวจะมีอันเป็นไปเหมือนกับหลวงปู่หนองคู ปัจจุบันเปลี่ยนไปจากเดิม ด้านตะวันออกได้ถมดินสร้างเป็นอ.บ.ต.แห่ใต้ ฝั่งตะวันตกเป็นศาลหลวงปู่อ่อนอยู่เช่นเคย ชาวบ้านแห่ใต้จึงเคารพบูชาเพราะเป็นหลักบ้านหลักเมืองมาโดยตลอด จัดตั้งเป็นหมู่บ้านขึ้นตรงต่อเมืองโกสุมพิสัย
ลักษณะภูมิประเทศ
เป็นที่ราบลุ่มดินเป็นทรายเหมาะสำหรับปลูกพืช ข้าว และ เลี้ยงสัตว์
นางสาวสุภาพร ศรีอาราม รหัส 52010517044 PSY
ประวัติหมู่บ้านหนองสำโรงน้อย
หมู่บ้านหนองสำโรงน้อย ตั้งอยู่หมู่ที่ 4 ถนน ราษีไศล-อุทุพรพิสัย ตำบลหัวช้าง อำเภออุทุพรพิสัย จังหวัดศรีสะเกษ 33120 จากที่ได้ฟังการเล่าขานของคนแก่ที่เล่าให้ฟังว่าสมัยก่อนหมู่บ้านของเราเป็นสนามแข่งม้าที่ใหญ่มากในแถวนั้นและต่อมาได้ทำการรกร้างตัดไม้เกิดเป็นหมู่บ้านและมีหนองน้ำหน้าหมู่บ้านเป็นหนองน้ำขนาดใหญ่และมีดอกบัวเต็มไปหมดต่อมาได้มีการขุดลอกหนองน้ำด้วยชาวบ้านได้ร่วมกันลงแรงโดยการใช้จอบขุดลอกนอกน้ำเป็นเวลาสองเดือนและได้ตั้งถิ่นฐานอยู่รอบๆแถวนั้นบริเวณแถวนั้นเป็นป่าช้าเก่าและผีดุมากเวลาตอนกลางคืนชาวบ้านได้ออกไปหาปูหาปลาอยู่ทุกวันและกลับเข้ามาบ้านตนเองไม่ได้และเกิดไปลื่นตกสระน้ำหน้าหมู่บ้านตายอยู่หลายคน แต่ชาวบ้านไม่เชื่อว่าเป็นการลื่นตกสระน้ำแต่กลับไปเชื่อว่าโดนผีหลอกผีดุโดนผีหักคอแต่ละคนที่ตายไปมักจะตายแถวๆสระน้ำและในหนองน้ำแต่แล้วชาวบ้านพากันตั้งศาลเจ้าที่ให้และก็ยังไม่ดีขึ้นอีกและสมัยแต่ก่อนชาวบ้านก็พากันบนบาลสารกล่าวว่าถ้าเกิดไม่มีคนตายเกิดขึ้นอีกเขาจะตั้งชื่อหมู่บ้านว่าบ้านหนองสำโรงน้อยและนี่ก็คือที่มาของหมู่บ้านของดิฉันค่ะ
นางสาวเพ็ชรรัตน์ ปิ่นทอง 52010517029 สาขาวิชาจิตวิทยา คณะศึกษาศาสตร์ ระบบปกติ
ประวัติความเป็นมาของหมู่บ้านแห่ใต้
บ้านแห่ใต้ ตำบลแห่ใต้ อำเภอโกสุมพิสัย จังหวัดมหาสารคาม เป็นหมู่บ้านที่ตั้งขึ้นประมาณ280ปี สภาพเดินเป็นที่รกร้างว่างป่าว มีหนองแห่งหนึ่งอยู่ห่างจากที่ก่อตั้งหมู่บ้านประมาณ5เส้น ที่หนองน้ำมีหินปนทรายอยู่ชนิดหนึ่งเรียก หินแห่ จึงได้ชื่อว่าบ้านแห่ ตามประวิติเล่ามาว่าได้มี นายศรี สงคราม นายแสง พระคลัง นายกัญหา นายสุวอ นายสุพรมมาตร ซึ่งอพยพมาจากจังหวัดอุบลราชธานี ร่วมกันก่อตั้งหมู่บ้านขึ้นประมาณ280 ปี
สถานที่สำคัญ
ในหมู่บ้านนี้มีที่สำคัญคือ วัดทองมงคลบ้านแห่ใต้ ซึ่งเป็นวัดที่เก่าแก่ เมื่อก่อนขึ้นตำบลเขื่อน และเปลี่ยนมาเป็นตำบลยางน้อย ปัจจุบันเป็นตำบลแห่ใต้ โรงเรียนจัดตั้งขึ้นเมื่อพ.ศ.2464 โดยครั้งแรกอาศัยศษลาการเปรียญวัด ต่อมาพ.ศ.2490 จึงได้แยกออกจากวัดจัดตั้งเป็นโรงเรียนเป็นเอกเทศถาวร เรียกว่าโรงเรียนบ้านแห่บริหารวิทย์
หนองน้ำที่สำคัญคือ
หนองคู เดิมยังไม่มีการพัฒนา มีป่าไม้ปกคลุมไปด้วยต้นไม้คลุมไปด้วยต้นไผ่ป่าอยู่อย่างหนาแน่น ชาวบ้านถือว่าหนองน้ำศักสิทธ์ จึงมีสัตว์ป่าอาศัยอยู่จำนวนมากเช่นงูเหลือม งูจงอาง งูหลาม เต่า และสัตว์ ภายในป่าเป็นหนองน้ำและมีหอตาปู่อยู่ตรงกลาง ชาวบ้านเรียกดอนตาปู่ ชาวบ้านได้ทำโครงการของบประมาณ พร้อมกันสร้างศาลตาปู่ สีน้ำเงิน
หนองสระ เดิมเป็นที่ธรณีสงฆ์ อยู่ติดกับวัดทางทิศเหนือ เป็นสระมาแต่เดิมมีบัวทองเกิดขึ้นมาก จึงเรียกหนองสระว่าสระทอง และมีศาลหลวงปู่ศักสิทธ์ประจำหมู่บ้านคือ ศาลหลวงปู่อ่อน เมื่อก่อนมีศาลาไม้มุงด้วยไม้เก่าแก่อยู่หลังหนึ่งมีต้นงิ้วผาดอกแดงขนาดใหญ่หนึ่งต้นและต้นกระนวนใหญ่หนึ่งต้นเป็นสระมาจากธรรมชาติมีเนื้อที่5ไร่ เมื่อก่อนมีพวกควาญช้างเคยมาพักผ่อนที่นี้บ่อยๆและแขกสัญจรไปมามีพวกเกวียนขายกระบองมาพักเป็นประจำ ศาลหลวงปู่อ่อนศักสิทมาก หากใครมาพักต้องบอกกล่าวเล่าแจ้งเจ้าที่ก่อนถ้าไม่กล่าวจะมีอันเป็นไปเหมือนกับหลวงปู่หนองคู ปัจจุบันเปลี่ยนไปจากเดิม ด้านตะวันออกได้ถมดินสร้างเป็นอ.บ.ต.แห่ใต้ ฝั่งตะวันตกเป็นศาลหลวงปู่อ่อนอยู่เช่นเคย ชาวบ้านแห่ใต้จึงเคารพบูชาเพราะเป็นหลักบ้านหลักเมืองมาโดยตลอด จัดตั้งเป็นหมู่บ้านขึ้นตรงต่อเมืองโกสุมพิสัย
ลักษณะภูมิประเทศ
เป็นที่ราบลุ่มดินเป็นทรายเหมาะสำหรับปลูกพืช ข้าว และ เลี้ยงสัตว์
นางสาวอาติญา ไชยยศ 52010521007(พิเศษ) psy2
ชุมชนบ้านของดิฉัน อยู่เขตพื้นที่ในเมือง ตั้งที่พักอาศัยอยู่ในพื่นที่ของตัวเอง หลังโรงเรียนอันดับสองของจังหวัดคือ รร สตรีศึกษา คนในจังหวัดมักจะพูดถึงแถวบ้านของฉันว่า สมัยก่อยแถวบ้านฉันจะเป็นป่าช้าของวัด และที่ชำระร้างร่างกายหลังการสู้รบของทหาร เพราะจะเป็นบริเวณของวัดใกล้หัวเมือง แถวนั้นจะอยู่ห่างไม่ไกลจากหัวเมืองซึ่งปัจจุบันก็คือบึงพลาญชัย ต่อมาเจ้าเมืองเริ่มที่จะปรับเปลี่ยนการเป็นอยู่ จึงมีการขยายอณาเขตไปเรื่อง เลยปล่อยตรงนี้ให้เป็นที่ว่างเปล่าไม่การทำกิจกรรมใดๆ ต่อมาเริ่มมีการพัฒนาเริ่มมีการแบ่งที่ให้กลับประชาชน ที่ที่เป็นวัดและป่าช้าส่วนใหญ่จะถูกสร้างโรงเรียนทับ และบริเวณรอบจะเป็นที่ที่ถูกบูรณะให้เป็นพื้นที่อยู่ของผ่ายข้าราชการและเป็นศุนย์กลางการระจายข่าวและอำนาจไปสู่หัวเมือง 11 ประตูเมืองต่างๆ
นางสาวฟ้าใส ลีเลิศ รหัสนิสิต 52010517030 2PSY ประวัติองค์การบริหารส่วนตำบลจำปาโมง
ความเป็นมา เหตุที่ตำบลจำปาโมง ได้ชื่อดั้งนี้เพราะ พื้นที่บ้านหมู่1,3 ในอดีตเป็นดงไม้ลั่นขามซึ่งชาวบ้านเรียกว่า "ดงจำปา" ประกอบกับมีลำห้วย ไหลผ่านกลางหมู่บ้าน เรียกลำห้วยนี้ว่าลำห้วย โมง จึงได้ประกอบเป็นตำบลรวมเรียกว่า "ตำบลจำปาโมง" โดยให้บ้านจำปาโมงเป็นบ้านเริ่มแรก หมู่1
ที่ตั้ง องค์การบริหารส่วนตำบลจำปาโมง จัดตั้งเป็นองค์การบริหารส่วนตำบลเมื่อวันที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2539 อยู่ในเขตพื้นที่ของอำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี ห่างจากอำเภอบ้านผือไปทางทิศตะวันตก ไปตามเส้นทางบ้านผือ-นาคำไฮ ประมาณ 3 กิโลเมตร เลี้ยวขวาไปอีกประมาณ 5 กิโลเมตร ทิศเหนือติด อบต. เมืองพาน ทิศใต้ อบต. ข้าวสาร ทิศตะวันออกติด อบต. บ้านผือ ทิศตะวันตกติดอำเภอสุวรรณคูหา จังหวัดหนองบัวลำภู
เนื้อที่ องค์การบริหารส่วนตำบลจำปาโมง มีเนื้อที่ประมาณ 119 ตร.กม. หรือ ประมาณ 74,375 ไร่
ภูมิประเทศ เนื้อที่ส่วนใหญ่ทางตอนเหนือเป็นที่ราบลุ่ม ส่วนทางตอนใต้เป็นที่ลูกคลื่น ดอนลาด และเป็นแหล่งต้นน้ำ จำนวน 2 สาย คือ ลำห้วยงาว และห้วยโมง เหมาะสำหรับทำการเกษตร
ทิศเหนือ ติดต่อกับ ตำบลบ้านผือ ตำบลเมืองพาน อำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี โดยมีแนว เขตเริ่มต้นบริเวณพิกัด ทีอี 164496 ไปทางทิศตะวันออก ตามแนวเขตเชิงเขาภูพาน ถึงบริเวณพิกัด ทีอี 185497 จุดต้นลำห้วยคำใหญ่ ไปตามแนวกึ่งกลางลำห้วยจนถึงบริเวณพิกัด ทีอี 218506 ไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ตามแนวกึ่งกลางลำห้วยน้ำฟ้า จนถึงพิกัด ทีอี 254561 ไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ผ่านหนองทุ่งมนติดกับถนนลาดยาง รพช. บริเวณพิกัด ทีอี 287539 ระยะทาง ประมาณ 17 กิโลเมตร
ทิศตะวันออก ติดกับตำบลข้าวสาร อำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี โดยมีแนวเขตเริ่มต้นจากบริเวณพิกัด ทีอี 287539 ไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ตามแนวกึ่งกลางลำห้วยกระโดง (หรือห้วยงาว) สิ้นสุดบริเวณพิกัด ทีอี 228445 จุดบรรจบกับลำห้วยทรายระยะทางประมาณ 12 กิโลเมตร
ทิศใต้ ติดต่อกับ ตำบลหนองแวง อำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี โดยมีแนวเขตเริ่มต้นจากบริเวณพิกัด ทีอี 228445 ไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ตามแนวกึ่งกลางลำห้วยทราย จนถึงบริเวณพิกัด ทีอี 200425 จุดต้นลำห้วยทรายไปทางทิศตะวันตก ตัดผ่านสันเขาภูพาน สิ้นสุดบริเวณพิกัด ทีอี 173423 จุดผาแดง ระยะทางประมาณ 7 กิโลเมตร
ทิศตะวันตก ติดต่อ ตำบลกุดผึ้ง ตำบลนาลี อำเภอสุวรรณคูหา จังหวัดหนองบัวลำภู มีแนวเขต เริ่มต้นบริเวณพิกัด ทีอี 173423 จุดผาแดง ไปทางทิศเหนือตามแนวสันเขาภูพาน สิ้นสุดบริเวณพิกัด ทีอี 164496 ระยะทางประมาณ 7.5 กิโลเมตร
จำนวนหมู่บ้าน จำนวน 17 หมู่บ้าน
1.4.1 จำนวนหมู่บ้านในเขต อบต. เต็มทั้งหมู่บ้าน 17 หมู่บ้าน ได้แก่...
- หมู่ที่ 1 บ้านจำปาโมง - หมู่ที่ 7 บ้านโนนสว่าง - หมู่ที่ 13 บ้านนาเจริญ
- หมู่ที่ 2 บ้านนาอ่าง - หมู่ที่ 8 บ้านแดง - หมู่ที่ 14 บ้านโนนสว่าง
- หมู่ที่ 3 บ้านจำปาดง - หมู่ที่ 9 บ้านขัวล้อ - หมู่ที่ 15 บ้านม่วง
- หมู่ที่ 4 บ้านเหล่าคราม - หมู่ที่ 10 บ้านลาน - หมู่ที่ 16 บ้านลาน
- หมู่ที่ 5 บ้านวังสวย - หมู่ที่ 11 บ้านม่วง - หมู่ที่ 17 บ้านเหล่าคราม
- หมู่ที่ 6 บ้านกลางน้อย - หมู่ที่ 12 บ้านเหล่ามะแงว
1.4.2 จำนวนหมู่บ้านในเขต อบต. บางส่วน - หมู่
ท้องถิ่นอื่นในตำบล
- จำนวนเทศบาล - แห่ง
- จำนวนสุขาภิบาล - แห่ง
ประชากร
ประชากรทั้งสิ้น 10,516 คน แยกเป็นชาย 5,223 คน หญิง 5,293 คน
มีความหนาแน่นเฉลี่ย 88.37คน/ตารางกิโลเมตร
บ้านของข้าพเจ้า บ้านจำปาดง หมู่ที่ ๓
บ้านจำปาดงเดิมชื่อบ้านจำปาขาว ส่วนใหญ่อพยพมาจากบ้านจำปาโมง ชื่อบ้าน “จำปาดง” เกิดขึ้นเนื่องจากในพื้นที่นี้มีต้นจำปา (ลั่นทม) ขึ้นอยู่ตามคลองน้ำธรรมชาติ ที่เรียกกันว่า “กุดจำปา” โดยแนวห้วยน้ำกั้นระหว่างบ้านจำปาดงกับจำปาโมง อีกทั้งที่ตั้งของหมู่บ้านมีพื้นที่ป่าดงมาก จึงเรียกกันว่า บ้านจำปาดง
นางสาวจิรนันท์ จันทะรี รหัสนิสิต 52010521014 ระบบปกติ เอกจิตวิทยา
ประวัติ บ้านตากแดด ต.หัวโทน อ.สุวรรณภูมิ จ.ร้อยเอ็ด
บ้านตากแดด เป็นหมู่บ้านที่ตั้งอยู่ใน ต.หัวโทน อ.สุวรรณภูมิ จ.ร้อยเอ็ด แบ่งออกเป็นสามหมู่ ได้แก่ หมู่ที่ 12 ,2,11 คนในหมู่บ้านส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม ค้าขาย รับราชการ มีโรงเรียนประจำหมู่บ้านคือ โรงเรียนตากแดดสุธรรมประชาสรรค์ ผู้คนในหมู่บ้านรักใคร่กันดี มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มีน้ำใจ สำหรับประวัติการเกิดหมู่บ้าน ตามตำนานที่ผู้เฒ่าผู้แก่เล่ามา ตอนที่จำความได้ เล่าว่าตำนานการเกิดชื่อหมู่บ้านนั้นสันนิษฐานว่ามีอยู่ สองนัย
นัยที่ 1 เชื่อ ว่าสมัยหนึ่งมีลิงโทนตัวหนึ่งออกอาละวาทไปทั่วแถวหมู่บ้านนั้น เข้ามากินของที่ไร่นาของชาวบ้าน โดยลิงตัวนี้อาศัยอยู่ในป่าใกล้ ๆ หมู่บ้าน เมื่อลิงโทนออกอาละวาทชาวบ้านหนักเข้า กลุ่มนายพรานจึงรวมตัวกันจัดกำลังเพื่อออกล่าลิงโทนตัวนี้ จึงเข้าไปในป่าออกล่า จนไปเจอลิงตัวนี้เข้า (จำไม่ได้ว่าลิงขนาดตัวเท่าไหร่) นายพรานก็ต่างลุมล้อมลิงโทนและสามารถฆ่าลิงได้สำเร็จ หลังจากฆ่าลิงตัวนั้นเสร็จนายพรานกลุ่มนี้ก็ตกลงกัน ว่าจะแบ่งลิงตัวนี้อย่างไรดี นายพรานคนหนึ่งบอกว่า จะเอาหนัง ส่วนนายพรานอีกคนหนึ่งบอกว่า จะเอาหัว เมื่อตกลงกันได้จึงแบ่งหนัง กับ หัวลิง ไป ส่วนเนื้อและส่วนอื่น ๆ ก็ แบ่งกันคนละเล็กล่ะน้อย นายพรานกลุ่มที่เอาหนังก็นำหนังมาตากแดดไว้ กลุ่มนายพรานกลุ่มนี้จึงตั้งชื่อหมู่บ้านว่าบ้านตากแดดในปัจจุบัน ส่วนกลุ่มนานพรานที่เอาหัวลิงไปก็เดินทางไปทางทิศตะวันออกและไปตั้งหมู่ บ้านว่า
"หัวโทน" ซึ่งเรียกกันจนถึงปัจจุบัน
นัยที่ 2 เชื่อกันว่าในสมัยพุทธกาลมีวัดอยู่วัดหนึ่งซึ่งเป็นวัดป่า มีสามเณรรูปหนึ่งซึ่งเป็นผู้ที่ฉลาดเฉลียว และเก่งกล้าด้านคาถาอาคม อยู่ยงคงกะพันตั้งแต่อายุยัเด็กได้เดินทางไปนำพระไตรปิฎก ณ ชมพูทวีป ระหว่างทางเจอกับปัญหาต่าง ๆ มากมาย สามเณรรูปนี้ไปถึงชมพูทวีปและได้นำพระไตรปิฎกกลับมา ระหว่างทางเมื่อใกล้จะถึงบริเวณของบ้านตากแดดในปัจจุบัน ฝนก็ตกลงมาอย่างหนักทำให้พระไตรปิฎกที่นำมาเปียกไปส่วนหนึ่ง ไม่สามารถเดินทางต่อไปได้ สามเณรรูปนี้จึงต้องหยุดพักที่บริเวณนั้น เช้าวันรุ่งขึ้นจึงนำพระไตรปิฎกที่เปียกฝนออกมาตากแดด เมื่อชาวบ้านได้มาพบสามเณรก็ได้นิมนต์ให้อยู่จำพรรษาที่หมู่บ้านนี้ เนื่องจากเอาพระไตรปิฎกมาตากไว้ที่หมู่บ้านนี้จึงได้ ตั้งชื่อหมู่บ้านนี้ว่า "บ้านตากแดด" ในปัจจุบัน
สำหรับพื้นที่อำเภอสุวรรณภูมิ สภาพพื้นที่เป็นที่ราบและเนินทางด้านทิศเหนือของอำเภอ และเป็นที่ราบทุ่งกว้างทางทิศใต้และทิศตะวันตกของอำเภอ สภาพพื้นดินโดยทั่วไปเป็นดินร่วนปนทราย ไม่สามารถกักเก็บน้ำได้ดี พื้นที่ รับผิดชอบมีเนื้อที่ ประมาณ 1,107.042 ตารางกิโลเมตร หรือประมาณ 691,901.25 ไร่
อาณาเขต อำเภอสุวรรณภูมิ
ทิศเหนือ ติดกับอำเภอเมืองสรวง อำเภออาจสามารถ จังหวัดร้อยเอ็ด
ทิศใต้ ติดต่อกับอำเภอโพนทราย จังหวัดร้อยเอ็ด และอำเภอท่าตูม จังหวัดสุรินทร์
ทิศตะวันออก ติดต่อกับกิ่งอำเภอหนองฮี อำเภอพนมไพร จังหวัดร้อยเอ็ด
ทิศตะวันตก ติดต่อกับอำเภอเกษตรวิสัย จังหวัดร้อยเอ็ด
สภาพพื้นที่ เป็นที่ราบและเนิน ทางทิศเหนือของอำเภอ และเป็นที่ราบทุ่งกว้างทางทิศใต้และทิศตะวันตกของอำเภอ สภาพดิน โดยทั่วไปเป็นดินร่วนปนทราย ไม่สามารถกักเก็บน้ำได้ดี มีความเหมาะสมที่จะทำการเกษตร เช่นปลูกข้าว ทำไร่ ปลูกพืชผัก และยังมีดินเค็มอยู่ทั่วไปจะมีมากในเขตทุ่งกุลาร้องไห้ ในเรื่องนี้มีหน่วยงานรับผิดชอบโดยตรงได้แก้ ศูนย์พัฒนาที่ดินทุ่งกุลาร้องไห้ จังหวัดร้อยเอ็ด ตั้งอยู่ในเขตตำบลสระคู อำเภอสุวรรณภูมิ ได้ทำการศึกษาวิจัย และนำมาพัฒนาทรัพยากรดินไปบ้างแล้ว อำเภอสุวรรณภูมิ มีลำน้ำเสียวและลำน้ำพลับพลาไหลผ่านมีน้ำทุกฤดูกาล ส่วนลำน้ำห้วยหินลาด หน้าแล้งจะมีน้ำเล็กน้อย ถึงไม่มีน้ำ แหล่งน้ำอื่นๆ เช่นอ่างเก็บน้ำ หนอง คลอง ฝาย มีประมาณ147แห่ง ชลประทานอ่างเก็บน้ำ มีจำนวน 1 แห่ง ได้แก่อ่างเก็บน้ำท่าหนองจอก การใช้ทรัพยากรน้ำส่วนใหญ่ใช้ในการเกษตร
นางสาวศิรดา จันทรเรนทร์ รหัส 50010510600 คณะศึกษาศาสตร์ สาขา จิตวิทยา ชั้นปีที่ 4
ตามประวัติของหมู่บ้านพะเนา หมู่ 6 ต.พะเนา อ.เมือง จ.นครราชสีมา ที่ได้เล่าสืบต่อกันมา ตั้งแต่คนรุ่นก่อน ๆ มีชาวเขมรนำปลามาจากประเทศเขมร มาขายที่จังหวัดนครราชสีมา แล้วได้พักอยู่บริเวณนี้ และชาวเขมรเรียกบริเวณนี้ว่า “พะเน้า” เหตุที่เรียกว่า พะเน้า เพราะชาวเขมรขายปลาไม่หมด จึงเหลือปลากลับมา ปลามันเน่า เลยเรียกแผลงมาเป็น “พะเน้า” (ปลาเน่า)
เมื่อประมาณ ปี พ.ศ.2300 หรือประมาณ 200 กว่าปีมาแล้ว คนกลุ่มแรกที่เข้ามาก่อตั้งบ้านเรือน สันนิษฐานว่าเป็นชาวเขมร สภาพหมู่บ้านในขณะนั้นเป็นป่ารกร้าง เป็นป่าที่มีต้นไม้เล็ก ๆ และหญ้าปกคลุมอยู่จำนวนมาก มีบ้านเรือนตั้งอยู่ประมาณ 10-20 หลังคาเรือน และต่อมามีชาวไทยอพยพมาอยู่รวมกัน และได้ตั้งเป็นหมู่บ้าน โดยเรียกชื่อหมู่บ้านว่า “บ้านพะเนา” มาจนทุกวันนี้ ซึ่งบ้านพะเนา เป็นบ้านหมู่ที่ 6 ของตำบลพะเนา อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา ข้อมูลทางกายภาพ
1. หลังคาเรือนและประชากร
บ้านพะเนา หมู่ 6 ตำบลพะเนา อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา มีจำนวนครัวเรือนทั้งหมด 138 ครัวเรือน จำนวนประชากรทั้งหมด 559 คน เป็นชาย 260 คน เป็นหญิง 299 คน (ข้อมูลจาก จปฐ. ปี 2553) 2. ที่ตั้ง ภูมิประเทศ
บ้านพะเนา หมู่ 6 ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของอำเภอเมืองนครราชสีมา อยู่ห่างจากอำเภอเมืองนครราชสีมา ประมาณ 10 กิโลเมตร มีสภาพพื้นที่เป็นที่ราบลุ่ม ตั้งอยู่ในเขตการปกครองขององค์การบริหารส่วนตำบลพะเนา มีพื้นที่ทั้งหมด 1,318 ไร่ เป็นพื้นที่เกษตร 769 ไร่ พื้นที่ทำนา 285 ไร่ มีอาณาเขตติดต่อกับหมู่บ้านใกล้เคียง ดังนี้
ทิศเหนือ ติดต่อ บ้านมะเริงน้อย หมู่ 1 ตำบลพะเนา อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา
ทิศใต้ ติดต่อ บ้านหนองไทร หมู่ 2 ตำบลหนองระเวียง อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา
ทิศตะวันออก ติดต่อ บ้านพะเนา หมู่ 5 ตำบลพะเนา อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา
ทิศตะวันตก ติดต่อ บ้านหนองสายไพร หมู่ 3 ตำบลพะเนา อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา 3.ด้านการคมนาคม
ทางรถยนต์ เป็นทางหลวงจังหวัด หมายเลข 2162 (ถนนเพชรมาตุคลา) เป็นถนนคอนกรีต 4 ช่องจราจร ใช้คมนาคมติดต่อกับตัวจังหวัดนครราชสีมาและอำเภอเมืองนครราชสีมา ระยะทาง 12 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางเพียงเที่ยวเดียว 25 นาที มีรถรับจ้างวิ่งเป็นประจำสม่ำเสมอ
ทางรถไฟ มีรถไฟสายนครราชสีมา – อุบลราชธานี โดยมีสถานีรถไฟในหมู่บ้าน สำหรับผู้ต้องการเดินทางโดยรถไฟ
นาย กฤษณะ เริงสูงเนิน รหัส 52010521010 PSY ชุมชนบ้านศิลา ต.ศิลา อ.จังหวัดขอนแก่น 40000
ความเป็นมาของบ้านศิลาเดิมก่อนนั้นแถวบริเวณบ้านศิลานั้นเป็นป่ารกทึบ หลังจากไม่นานต่อมาแถวๆบ้านศิลานั้นก็มีคนเข้ามาทำไรไถ่นาจนป่าที่รกทึบนั้น จนกลายเป็นที่โล่งหลังจากที่มีถนนตัดผ่านก็เริ่มมีประชาชนชาวบ้าน ก็เริ่มเข้ามาอยู่อาศัย บ้านศิลานั้นมีจุดก็คือแถวๆบ้านศิลานั้นจะมีหนองสองแมวอยู่เป็นบ่น้ำขนาดใหญ่ที่จะทำให้ชาวในนั้นศิลานั้นบริโภคน้ำนั้นได้ทั้งหมู่บ้านเลยทีเดียว โดยไม่ต้องเพิ่งน้ำจาก อบต เลย ชื่อเสียงของบ้านศิลาที่ชาวจังหวัดขอนแก่นจักกันก็คือ การรอยมาลัย และการปลูกดอกกุหลาบเนื่องจากหลังจากการทำนาชาวบ้านศิลาก็หาวิธีการที่จะทำให้พวกเขามีรายได้จากการทำนามากขึ้น ก็คือการลอยมาลัยส่งขายตลาด หลังจากที่ชาวบ้านศิลาทำการขายรอยมาลัยได้ซักพัก พวกชาวบ้านก็พบว่าการปลูกดอกไม้ขายและรอยมาลัยนั้นทำยอดขายได้ดีกว่าการทำนา หลังจากนั้นชาวบ้านทุกคนภายในบ้านศิลาก็เริ่มทำการปลูกดอกไม้แทนที่นาที่พวกเข้าทำ หลังจากไม่นานชาวบ้านศิลาเป็นหมู่บ้านที่ส่งออกดอกไม้เป็นอันดับต้นๆของจังหวัดขอนแก่นเลยที่เดียว ทุกคนๆภายในจังหวัดขอนแก่นจะทราบเลยทีเดียวว่าถ้ามาลัยที่สวยๆนั้นต้องมาจากบ้านศิลาเท่านั้น หลังจากที่มีการแข่งขันงานหัตถกรรมของนักเรียนที่จังหวัดขอนแก่นทีไรตัวเต็งในการทำงานฝีมือและการรอยมาลัยก็จะเป็นเด็กบ้านศิลาที่ได้ที่1ในการแข่งขันทุกครั้งก็ว่าได้ เพราะเนื่องจากชาวบ้านศิลานั้นมีความชำนาญและมีความตั้งใจจริง เลยทำให้มีเด็กๆหรือลูกหลานที่จะสืบทอดในอนาคตต่อไป
บ้านศิลานั้น มีจำนวนครัวเรือน 330 คน แบ่งเป็นชาย 501 คน แบ่งเป็นหญิง 505 รวม 1006 คนอาชีพ
เนื่องด้วยสภาพพื้นที่ของตำบลศิลาที่มีชายขอบติดต่อทั้งเขตเทศบาลนคร และเขตชนบท อีกทั้งอยู่ในเขตชลประทานหนองหวาย ประชากรในเขตพื้นที่องค์การบริหารส่วนตำบลศิลา จึงประกอบอาชีพที่หลากหลาย ดังนี้
- ด้านการเกษตร โดยมีพื้นที่เศรษฐกิจที่สำคัญคือ ข้าวนาปี ข้าวนาปรัง ไม้ดอก ไม้ประดับ ผัก ผลไม้
- ด้านปศุสัตว์ เช่น โค กระบือ สุกร ไก่
- ด้านรับราชการ/รัฐวิสาหกิจ
- รับจ้างทั่วไป และอื่น ๆ
หน่วยธุรกิจ
- สถานีบริการน้ำมัน จำนวน 1 แห่ง
- สถานีบริการแก๊ส จำนวน 1 แห่ง
- โรงสีข้าว จำนวน 2 แห่ง
ด้านการศึกษา ศาสนา
ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก จำนวน 1 แห่ง
โรงเรียนประถมศึกษา จำนวน 1 แห่ง
โรงเรียนขยายโอกาส จำนวน 1 แห่ง
โรงเรียนมัธยมศึกษา จำนวน 1 แห่ง
โรงเรียนเอกชน จำนวน 1 แห่ง
ด้านการสาธารณสุข
- สถานีอนามัยประจำตำบล/หมู่บ้าน จำนวน 1 แห่ง
- คลินิกเอกชน จำนวน 1 แห่ง
ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน
- ที่พักสายตรวจตำรวจชุมชน จำนวน 1 แห่ง
- หอกระจายข่าวไร้สาย จำนวน 2 แห่ง
การคมนาคม
การคมนาคม การจราจร สภาพทางคมนาคมส่วนใหญ่สะดวกสบาย มีถนนสายสำคัญ 3 สาย คือ
- ถนนสายหลัก : ถนนมิตรภาพเชื่อมระหว่างตัวเมืองขอนแก่น - บ้านหนองกุง
- ถนนสายรอง : ถนนกสิกรทุ่งสร้างเชื่อมตั้งแต่บ้านดอนหญ้านาง- บ้านห้วยชัน
- ถนนเลี่ยงเมืองช่วงระหว่างบ้านบ้านดงพอง – บ้านเต่านอ
การสื่อสาร
- โทรศัพท์ส่วนบุคคล 901 เลขหมาย
- โทรศัพท์สาธารณะ 8 เลขหมาย
แหล่งน้ำ
- น้ำประปา
-ใช้ระบบประปาส่วนภูมิภาค
แหล่งน้ำธรรมชาติ
ลำห้วย จำนวน 2 สาย
แม่น้ำ ลำคลอง จำนวน 1 สาย
คลองชลประทาน จำนวน 2 สาย
คลองส่งน้ำ จำนวน 1 สาย
หนอง บึง จำนวน 1 แห่ง
ไฟฟ้า
* หมู่บ้านที่ใช้ไฟฟ้า 28 หมู่บ้าน ประชากรมีไฟฟ้าใช้ทุกครัวเรือน
* ระบบไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ 2 ครัวเรือน
ทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่
หนองซองแมว ในเขตพื้นที่บ้านศิลา
นางสาวศุภรักษ์ สิริโสม 52010521025 ระบบพิเศษ
หมู่บ้านสมสะอาด ตำบลโคกสำราญ อำเภอเลิงนกทา จังหวัดยโสธร เดิมชื่อ หมู่บ้านกุดแดง ก่อตั้งเมื่อปี 2485 ผู้ใหญ่บ้านคนแรกชื่อนายเมษ สิริโสม เริ่มแรกย้ายมาจาก อำเภอยโสธร จังหวัดอุบลราชธานี ต่อมาขึ้นสังกัดกับตำบลสวาท หมู่ที่ 14 อำเภอเลิงนกทา จังหวัดอุบลราชธานี พ.ศ.2517 อ.ยโสธรได้ขึ้นเป็น จังหวัดยโสธร จึงได้สังกัดจังหวัดยโสธรหมู่ที่ 14 จากนั้นต่อมาประมาณปี 2540 ได้เป็นหมู่บ้านสมสะอาด ตำบลโคกสำราญ และจากนั้นได้แยกออกเป็นสองหมู่คือหมู่ที่ 9 และ 12 ดิฉันอาศัยอยู่หมู่ 9 ซึ่งปัจจุบันมีนายทวี คุณธรรมเป็นผู้ใหญ่บ้าน
น.ส.จารุนี สมศรีแก้ว รหัส 52010521013 PSY
ประวัติความเป็นมา :
บ้านหนองขาม ตำบลในเมือง เป็นตำบลเก่าแก่ของอำเภอภูเวียง เกิดจากการยุบรวมของสองตำบล คือ ตำบลเมืองเก่าและตำบลหนองขาม มีพื้นที่ครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมดในหุบเขาภูเวียง ต่อมาได้แยกออกเป็นตำบลเขาน้อย และตำบลเมืองเก่าพัฒนา เดิมตำบลในเมืองเป็นที่ตั้งที่ว่าการอำเภอภูเวียง แต่เนื่องจากการคมนาคมในสมัยก่อนไม่สะดวกประกอบกับมีหมู่บ้านตำบลต่าง ๆ อยู่นอกเขตหุบเขาเป็นจำนวนมาก จึงย้ายที่ว่าการอำเภอภูเวียงออกมาตั้ง ณ ที่ตั้งปัจจุบัน เมื่อปี พ.ศ.2491
สภาพทั่วไปของตำบล :
สภาพพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นที่ราบหุบเขา มีภูเขาล้อมรอบทั้งสามด้าน และเป็นที่ตั้งที่ทำการอุทยานแห่งชาติภูเวียง ซึ่งเป็นสถานที่ที่พบซากฟอสซิลไดโนเสาร์ เป็นไดโนเสาร์สายพันธุ์ใหม่ที่ยังไม่เคยพบจากที่ใดในโลกหลายสายพันธุ์
อาณาเขตตำบล :
ทิศเหนือ ติดกับ ต.กุดธาตุ กิ่ง อ.หนองนาคำ จ.ขอนแก่น
ทิศใต้ ติดกับ ต.เมืองเก่าพัฒนา อ.ภูเวียง จ.ขอนแก่น
ทิศตะวันออก ติดกับ ต.เขาน้อย ต.เมืองเก่าพัฒนา และ ต.นาชุมแสง อ.ภูเวียง จ.ขอนแก่น
ทิศตะวันตก ติดกับ ต.วังเพิ่ม ต.ศรีสุข และ ต.นาจาน อ.สีชมพู จ.ขอนแก่น
จำนวนประชากรของตำบล :
จำนวนหลังคาเรือน ในเขตพื้นที่รับผิดชอบ 2,175 หลังคาเรือน จำนวนประชากรทั้งหมด 9,025 คน แยกเป็นชาย คน หญิง คน
ข้อมูลอาชีพของตำบล :
อาชีพหลัก ทำนา
อาชีพเสริม ทำไร่อ้อย ทำสวนผลไม้ เลี้ยงสัตว์ ทอผ้า
ข้อมูลสถานที่สำคัญของตำบล :
1. อบต.ในเมือง
2. อุทยานแห่งชาติภูเวียง
3. พิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์
4. หลุมขุดค้นซากฟอสซิลไดโนเสาร์
5. อ่างเก็บน้ำหนองคู
6. น้ำตกตาดฟ้า
7. น้ำตกวังสักสิ้ว
8. น้ำตกตาดฮางริน
ในสมัย เมื่อยังไม่มีชื่อหมู่บ้าน จากการบอกเล่าต่อๆ กันมา ราวพุทธศักราช ๒๔๒๐ และกล่าวถึงสาเหตุที่ได้ชื่อว่า บ้านผักกาดหญ้า เพราะกำหนดเอาชื่อต้นผักชนิดหนึ่ง มีต้นเป็นพุ่มสูงประมาณ๑-๒ เมตร ลำต้นและกิ่งเป็นหนามแหลมคม ใบแสกคล้ายใบกระถิน มีกลิ่นฉุน รสอมเปรี้ยวมีดอกสีเหลือง ใช้รับประทานกับอาหารจำพวกห่อหมก เช่นหมกหน่อไม้ หรือรับประทานสดๆ กับ ลาบ ก้อย เรียกตามภาษาอีสานว่า “ต้นผักกาดหญ้า” ทุกวันนี้เห็นสูญพันธ์ไปมาก มีเหลือปลูกไว้เป็นสัญลักษณ์บ้านเล็กน้อย ความจริงก็ควรจะหามาปลูก เพราะพื้นดิน อากาศ เหมาะแก่ต้นผักชนิดนี้ และจะได้เห็นเป็นสัญลักษณ์ของหมู่บ้าน นับวันผักกาดหญ้าจะสูญพันธุ์ (ตอนนี้กำลังเก็บภาพต้นผักกาดหญ้าเพิ่มเติมอีก ต้อง ขอขอบคุณคุณครูอำนาจ-คุณครูศุภวรรณ พลไชย คุณโยมดิเรก-คุณครูวันทนี ศรีมณี ที่ได้ซื้อกล้องถวายเป็นของขวัญเมื่อปีใหม่นี้)(เรื่องมีคนมาเลี้ยงช้างในบริเวณนี้ ข้อมูลกำลังรวบรวมยังไม่สมบูรณ์ จึงไม่ขอนำมาลงไว้)
ผักกาดหญ้าของเรา ที่จริงก็น่าจะเรียกว่า ผักชะเลือด เหมือนเขา แต่เรียกว่าผักกาดหญ้าเหมือนเดิมก็ดีเหมือนกัน คนจะได้สนใจว่ามันแบบไหนนะ และก็เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว อีกอย่างก็พ้องกับชื่อหมู่บ้าน บางพื้นที่ก็เรียกผักชนิดนี้ว่า ผักกะย่า เพราะมีหมู่บ้านนึงชื่อ บ้านผักกะย่า อ.กกุดชุม หมู่บ้านนั้นก็มีผักชนิดนี้มากเช่นกัน ผักชะเลือด นี้มีเรียกกันมาก ชื่อทางการก็ใช้ชื่อนี้ กำแพงเพชรก็เรียกชื่อนี้ มีผู้ให้ความเห็นเอาไว้อีกอย่างนึงแต่ไม่รู้ว่าชื่ออะไร อ่านเจอเขาเขียนเอาไว้บอกว่าเหตุที่ได้ชื่อว่าชะเลือด เนื่องจากก้านและยอดมีสีแดง ลำต้น กิ่งก้าน มีหนามเยอะ เวลาเด็ดยอด หรือไปตัดยอดมากิน คนไปตัดจะต้องได้เลือดกลับมา อันนี้ก็เป็นเพียงความเห็น ที่เขาพูดมาก็ใช่ ถ้าไม่ระวังก็ต้องได้เลือด ผักชะเลือดจะมีกลิ่นฉุน คนที่เคยกินและชอบจะบอกว่าหอม และที่ชัยภูมิมีป่าชุมชนป่านึงที่ ผักชะเลือดนี้มาก จนถึงกับเก็บไปขาย และยังได้รับรางวัลเป็นป่าชุมชนของภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่มีอาหารอุดมสมบูรณ์ ทางภาคเหนือเรียกว่าผักผีปู่ย่า ที่นครพนมเรียกผักขะยา เลย เรียกว่าผักคายา แต่ละพื้นที่จะเรียกไม่เหมือนกัน แต่ก็เป็นที่สังเกตได้อย่างนึงว่า พื้นที่ ที่เรียกว่า "เลิง" ผักชนิดนี้ชอบเกิด (ส่วนมากนะ) คำว่าเลิงในที่นี้ แปลว่า บริเวณใกล้น้ำ แต่ไม่ใช่พื้นที่ชุ่มน้ำ ดังคำกลอนบทนึงว่าที่พระเดชพระคุณพระสุทธิสารมุนี วัดสำราญนิเวศ ซึ่งภูมิลำเนาเดิมของท่านอยู่ที่ อำเภอเลิงนกทา (นกทานี้เพิ่มทีหลังเป็นสร้อย เพิ่มโดย สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ วัดบรมนิวาส พระนคร) ท่านได้อธิบายคำว่าเลิงไว้ใน คำกลอนนิราศชีวิตท่านตอนนึงว่า .....
คำว่าเลิงหมายถึงแหล่งแห่งใกล้น้ำ ดินชุ่มฉ่ำพงหนาน่าสรรเสริญ
จะทำนาหรือไร่ให้เพลิดเพลิน ไม่ขาดเขินการทำมาหาเลี้ยงตน
พูดเรื่องผักกาดหญ้าเลยมาถึงคำว่า"เลิง" เรื่องชื่อนั้นก็แล้วแต่ละภูมิภาคจะเรียก ใครถนัดอะไรก็เรียกชื่อนั้น แต่บ้านผักกาดหญ้าก็คงเรียกผักกาดหญ้าเช่นเดิม แต่ใคร่ขอบอกว่าผักนี้มีหลายชื่อ อย่าได้ไปถกเถียงกับคนอื่นเพราะเรื่องชื่อผัก สรุปแล้วเหมือนกันโดยอรรถต่างกันโดยพยัญชนะ พืชชนิดเดียวกัน เรียกและเขียนไม่เหมือนกันนั่นเอง เรื่องนี้จะเข้าข่ายคำไวพจน์มั้ยนะ เรื่องผักกาดหญ้านี้ก็อยากจะให้ปลูกกันมากๆ เป็นการอนุรักษ์ ปลูกไว้เป็นผักก็ได้ ตอนนี้ที่เห็นปลูกยังไม่ใช่การอนุรักษ์ เรียกว่าเป็นอนุสรณ์มากกว่า เพราะมีน้อยเหลือเกิน เรื่องนี้ก็ขอฝากผู้ที่เป็นลูกหลานชาวผักกาดหญ้าด้วย ปัจฉิมาชนตาชน คนผู้เกิดทีหลัง เดี๋ยวจะไม่รู้จักความเป็นมาของผักกาดหญ้า..
ชื่อ นางสาวอุมาพร นามบุตร รหัส 52010521034 เอก จิตวิทยา ปี2 คณะศึกษาสตร์ ระบบ พิเศษ
บ้านนาคำ ต.ผึ่งแดด อ. เมือง จ.มุกดาหาร
ข้อมูลทั่วไป
ที่ตั้ง / อาณาเขตติดต่อ / และการคมนาคม
บ้านนาคำ หมู่ที่ 6 ตั้งอยู่ทางทิศเหนือ ของตำบลผึ่งแดด โดยมีอาณาเขตติดต่อ ดังนี้
- ทิศเหนือ ติดต่อกับ บ้านหนองแล้ง หมู่ที่ 10 ตำบลผึ่งแดด
- ทิศใต้ ติดต่อกับ บ้านนาคำ หมู่ที่ 5 ตำบลผึ่งแดด
- ทิศตะวันออก ติดต่อกับ ตำบลดงมอน
- ทิศตะวันตก ติดต่อกับ บ้านผึ่งแดด หมู่ที่ 1 - 2 ตำบลผึ่งแดด
การคมนาคม มีถนนติดต่อระหว่างหมู่บ้าน กับ ที่ทำการองค์การบริหารส่วนตำบลผึ่งแดด เป็นถนนลาดยาง ระยะทาง กิโลเมตร และถนนติดต่อระหว่างหมู่บ้าน กับ ทีว่าการอำเภอเมืองมุกดาหาร เป็นถนนลาดยาง ระยะทาง 27 กิโลมตร
สามารถสัญจรไปมาได้ทุกฤดูกาล ขนาด / ลักษณะของพื้นที่ / และสภาพอากาศ
บ้านนาคำ มีเนื้อที่ทั้งหมด จำนวน 661 ไร่ แยกเป็น
- ที่ทำการเกษตร 565 ไร่ ( ทำนา 400 ไร่ , ทำไร่ 125 ไร่, ทำสวน 40 ไร่ )
- ที่อยู่อาศัย 60 ไร่
- ป่าชุมชน 36 ไร่
ลักษณะพื้นที่เป็นที่ราบลุ่ม สภาพดิน เป็นดินร่วนปนทราย ทำให้ซึมซับน้ำได้ดี ลักษณะอากาศ จะมีอากาศร้อนอบอ้าวและหนาวเย็น ผันแปรไปตามฤดูกาลของตะวันออกเฉียงเหนือ ครัวเรือน ประชากร การประกอบอาชีพ และรายได้
บ้านนาคำ มีจำนวนครัวเรือน 126 ครัวเรือน ประชากร 684 คน แยกเป็น ชาย 353 คน หญิง 331 คน อาชีพหลัก คือ ทำนา อาชีพรอง ทำไร่ ปลูกผักสวนครัวและเลี้ยงสัตว์ ประชาชนมีรายได้เฉลี่ย 26,853 บาท / คน / ปี ( ข้อมูล จปฐ. ปี 2551 ) โดยทุกครัวเรือนดำเนินชีวิตตามแนวทางปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
ประวัติความเป็นมาของหมู่บ้าน
ภูมิลำเนาเดิมของประชาชนบ้านนาคำ หมู่ที่ 6 อาศัยอยู่บ้านผึ่งแดด หมู่ที่ 1 ตำบลผึ่งแดด และได้อพยพเข้ามาอยู่ที่บ้านดอน ในช่วงปี พ.ศ. 2347 โดยการนำของ นายเพีย พันธ์นุราช หลังจากนั้นก็ได้ย้ายมาอยู่บ้านกลาง ( บริเวณที่ทำการศูนย์เรียนรู้ชุมชนหมู่บ้านนาคำ ในปัจจุบัน ) และในปี พ.ศ. 2375 จึงได้ก่อตั้งขึ้นเป็นหมู่บ้านพร้อมกับตั้งชื่อหมู่บ้านว่า “ บ้านนาคำ ” ที่ใช้ว่า นาคำ เพราะพื้นที่ตั้งหมู่บ้านเป็นพื้นที่ลุ่มน้ำเหมาะแก่การเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์ โดยมี นายโพ สุพร เป็นผู้ใหญ่บ้านคนแรก ปัจจุบัน นายมาย ขำคม เป็นผู้ใหญ่บ้าน
วัฒนธรรม ภูมิสังคม ประเพณี
ศาสนา ประเพณี และวัฒนธรรม
ประชาชนในหมู่บ้านนับถือศาสนาพุทธมีวัด 1 แห่ง พระภิกษุ สามเณร จำนวน 4 รูป สำหรับเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ ในการประกอบศาสนกิจปฏิบัติธรรมอย่างสม่ำเสมอและสืบสานประเพณีที่สำคัญมาจากบรรพบุรุษที่ได้ปฏิบัติต่อเนื่องกันมาเป็นประจำทุกปี เช่น การทำบุญผะเหวด ( บุญมหาชาติ ) บุญขวัญข้าว บุญบั้งไฟ บุญเข้าพรรษา บุญออกพรรษา บุญกฐิน ประเพณีสงกรานต์ ลอยกระทง เป็นต้น ส่วนวัฒนธรรมนั้นได้ดำเนินชีวิตในระบบเครือญาติ มีการให้เกียรติ การเคารพ นอบน้อม ต่อบุพการี ผู้สูงวัยกว่า และผู้นำประเภทต่าง ๆ คอยให้การสนับสนุนช่วยเหลือ เอื้ออารีย์ต่อกันอย่างแน่นแฟ้น แก่เด็ก คนชรา คนพิการ และผู้ด้อยโอกาส
นางสาวภาสุรีย์ อ่อนฉวี 52010517085 ตามตำนานเล่ากันมาว่าบริเวณที่ตั้งจังหวัดร้อยเอ็ดในปัจจุบัน เดิมเป็นเมืองใหญ่ชื่อว่า เมืองสาเกตนคร (อาณาจักรกุลุนทะนคร) เป็นเมืองที่เจริญรุ่งเรืองมาแต่โบราณกาลมีเมืองขึ้นถึงสิบเอ็ด เมือง (ในสมัยโบราณนิยมเขียนสิบเอ็ด เป็น ๑๐๑ คือ สิบกับหนึ่ง) มีทางเข้าสู่เมืองถึงสิบเอ็ดประตู มีเจ้าผู้ครองนครเรียกว่าพระเจ้ากุลุนทะ มีเชื้อสายสืบสันติวงศ์ติดต่อกันมาเป็นเวลาหลายร้อยปี เมืองสาเกตนครหรืออาณาจักรกุลุนทะนครนอกจากจะมีประตูและเส้นทางเข้าสู่เมืองถึงสิบเอ็ดทางแล้ว ยังมีรหัส ควบคุมความปลอดภัยความมั่นคงของบ้านเมืองอย่างเข้มแข็ง เช่น มีวัดตามรายทางเข้าเมือง และมีปี่ซาววา (ซาว เป็นภาษาอีสานหมายความว่า ๒๐)สามารถส่งสัญญาณเข้าสู่ตัวเมืองบอกข่าวสาร แจ้งเหตุร้ายดีที่จะมาถึงเมืองสาเกตนครให้ทราบล่วงหน้าได้เป็นอย่างดีเมืองสาเกตนครหรืออาณาจักรกุลุนทะนคร จึงเป็นอาณาจักรที่จัดระบบการปกครองและรัฐประศาสนศาสตร์แตกต่างไปจากอาณาจักรอื่น ๆ สมัยพระเจ้าสุริยวงศาไชยเชษฐาธรรมิกราช เมืองขึ้นกับเมืองสาเกตนครทั้ง ๑๑ เมืองคือ
(๑) เมืองเชียงเหียน (บ้านเชียงเหียน อำเภอเมืองมหาสารคาม) (๒) เมืองฟ้าแดด (บ้านฟ้าแดดสูงยาง อำเภอกมลาไสย จังหวัดกาฬสินธุ์)
(๓) เมืองสีแก้ว (บ้านสีแก้ว อำเภอเมืองร้อยเอ็ด) (๔) เมืองเปือย (บ้านเมืองเปือย อำเภอเมืองร้อยเอ็ด) (๕) เมืองทอง (บ้านเมืองทอง อำเภอเมืองร้อยเอ็ด) (๖) เมืองหงษ์ (บ้านเมืองหงษ์ อำเภอจตุรพักตรพิมาน) (๗) เมืองบัว (บ้านเมืองบัว อำเภอเกษตรวิสัย) (๘) เมืองคอง (อยู่บริเวณ อำเภอเมืองสรวง) อำเภอสุวรรณภูมิ) (๙) เมืองเชียงขวง (บ้านจาน อำเภอธวัชบุรี) (๑๐) เมืองเชียงดี (บ้านโนนหัว อำเภอธวัชบุรี) (๑๑) เมืองไพ (บ้านเมืองไพร อำเภอเสลภูมิ) และในสมัยพระเจ้าสุริยวงศาไชยเชษฐาธรรมิกราช อาณาจักรกุลุนทะนครก็ถึงคราวเสื่อม เมืองขึ้นต่างๆ ทั้งสิบเอ็ดหัวเมืองจึงกระด้างกระเดื่อง ทำตัวกบฏกับเมืองสาเกตนคร ต่างยกทัพมารบราฆ่าฟันกัน ผู้คนล้มตายกันเป็นจำนวนมาก ในที่สุดก็จับพระเจ้าสุริยวงศาไชยเชษฐาธรรมิกราชสำเร็จโทษราษฎรที่เหลือ รอดตายก็อพยพทิ้งฐานไปทำมาหากินและตั้งถิ่นฐานใหม่ แต่หลักฐานทางประวัติศาสตร์ ดินแดนประเทศไทยปัจจุบัน เดิมเป็นดินแดนที่เรียกว่าอาณาจักร สุวรรณภูมิ แบ่งแยกอำนาจการปกครองเป็น ๓ อาณาเขต คือ ๑. อาณาเขตทวารวดี อยู่ตอนกลาง มีเมืองนครปฐมเป็นราชธานี ๒. อาณาเขตยาง หรือโยนก อยู่เหนือ มีเมืองเงินยางเป็นราชธานี ๓. อาณาเขตโคตรบูร ดินแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือรวมทั้งฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขง มีเมืองนครพนมเป็นราชธานี ในสมัยนั้นชนชาติเขมรหรือขอมเป็นชนชาติที่เจริญรุ่งเรืองกว่าชนชาติอื่นใดในภูมิภาคนี้ เนื่องจากได้รับ อิทธิพลจากชาวอินเดีย ต่อมาขอมก็มีอำนาจครอบครองอาณาจักรนี้เหนือชนชาติอื่นและได้นำความเจริญรุ่งเรือง มาสู่อาณาเขตต่าง ๆ รวมทั้งพื้นที่จังหวัดร้อยเอ็ดในปัจจุบันซึ่งอยู่ในอาณาเขตโคตรบูรก็เป็น เมือง ที่ขอมสร้างขึ้นในสมัยขอมเรืองอำนาจ หลักฐานที่ยังปรากฏได้แก่ ที่อำเภอพนมไพรยังปรากฏมีซากแสดงภูมิฐานที่ตั้งเมือง เป็นรูปสระรอบ ๆ แสดงว่าเป็นคูเมือง ใกล้สระด้าน ในเป็นรูปเนินดินสูงแสดงว่าเป็นกำแพงเมือง ตอนกลางมีสระโชติ (สระขี้ลิง) รอบ ๆ สระเป็นเนินสูง ลักษณะ เป็นเมืองเก่า และมีแผ่นหินทำเป็นรูปเสมาจมในพื้นดินกว่าสิบแผ่นซึ่งแสดงว่าเป็นศิลปการสร้างของขอมจึงสันนิษฐานว่าพวกขอมเป็นผู้สร้างเมืองนี้ไว้และ ยังไม่เสร็จเรียบร้อย แต่ต่อมาเข้าใจว่าอพยพไปอยู่ที่อื่น ซึ่งอาจจะเป็นเพราะการศึกสงคราม หรือโรคระบาด กู่กาสิงห์ ในท้องที่อำเภอเกษตรวิสัย มีลักษณะเป็นปรางค์กู่ที่ก่อสร้างด้วยศิลาแลง รูป สี่เหลี่ยมจตุรัส กว้างด้าน ละ ๔๐ เมตร สูง ๘ เมตร มีประตูเข้าออกทั้งสี่ด้านภายในมีศิลาแลงวางทับกันเป็นชั้น ๆ ขนาดกว้างด้านละ ๙ เมตร สูง ๒ เมตร ทางด้านทิศตะวันออกสร้างเป็นบันไดด้วยศิลาแลง มีหินแกะสลักเป็นรูปสิงโต ขนาดใหญ่นั่งตรงเชิงบันได จำนวน ๒ ตัว ถึงแม้ว่าจะไม่ปรากฏว่าสร้างในสมัยใดแต่รูปลักษณะของโบราณสถานนเข้าใจว่าสร้างในสมัยเดียวกับปราสาทหินพิมาย จากหลักฐานซากโบราณสถานเหล่านี้พอจะเป็นเหตุอนุมานได้ว่า อาณาเขตพื้นที่จังหวัดร้อยเอ็ดปัจจุบัน เป็นเมืองที่ขอมสร้างขึ้นในสมัยเดียวกับขอมสร้างปราสาทหินพิมาย และอาณาบริเวณนี้คงเป็นดินแดนที่มีความเจริญรุ่งเรืองในสมัยนั้น และได้เสื่อมลงตามที่ชนชาติขอมเสื่อมอำนาจลง
นางสาวเกศสุดา บุตรใส รหัส 52010521012 สาขา จิตวิทยา ระบบพิเศษ
ตามตำนานเล่าขานกันมากันมาว่าชนชาวภาคอีสานของประเทศไทยและชนชาวเวียงจันทนของประเทศลาวล้วนแล้วแต่เป็นพวกเชื้อสายเดียวกันมีตระกูลกำเนิดมาจากแหล่งเดียวกันและเคยอยู่ร่วมโพธิ์สมภาณของประเทศไทยด้วยกันแต่สำเนียนภาษาพูดอาจผิดแผกแตกต่างกันไปบ้างแต่เนื้อความและความหมายของคำคออันเดียวกันเช่น พูดลาวแบบสกลนคร นครพนม เรียกว่า ภาษาญ้อ ลาวแบบกาฬสินธุ์ นครพนม สกลนคร บางส่วนเรียกว่า ภูไท แบบอุบล ร้อยเอ็ด มหาสารคาม เรียกว่า ลาว หรือ ไทยอีสาน บ้านน้ำใสเป็นส่วนหนึ่งของลาวพวก สกลนครนครพนม ซึ่งเรียกว่า ไทญ้อ ตามตำนานกล่าวว่าชนเผ่านี้แต่ก่อนอาศัยอยู่บริเวณผ้าขาวลาวเวียงจันทร์แขวงคำม่วงในประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวปัจจุบันแต่ก่อนเป็นส่วนหนึ่งของประเทศไทยซึ่งปกครองใน ราชรัชกาลที่1(พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช) ถึง รัชกาลที่5(พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว) ในช่วงนั้นชนเผ่าผ้าขาวลาวเวียงจันทร์ยังเชื่อถือในลัทธิผีสางเทวดา ซึ่งมีการฆ่าคนและสัตว์เช่นไหว้ผีบ่อเงินบ่อทอง เป็นประเพณีทุกปี เพ่อความอยู่เย็นเป็นสุขของชาวบ้านตามความเชื่อถือปฏิบัติกันมาหากใครละเมิดเป็นถือว่าผิดผีจะถูกชาวบ้านประจานสาบแช่งนินทาหรือถูกปองร้ายอยู่กับเขาไม่ได้ 3วันต่อไปจะเป็นร่อยที่ตากับหลานครอบครัวหนึ่งจะต้องถูกฆ่าถวายผี ตากับหลานเฝ้าครุ่นคิดจนนอนไม่หลับต้องตาม เช่นลัทธิอย่างแน่นอนในที่สุดจึงคิดหลบหน้าในคืนก่อนจะถึงวันตาย โดยมีครอบครัวญาติๆใกล้ชิดติดตามไปด้วย 4-5ครอบครัวข้ามแม่น้ำโขง เข้าเขตประเทศไทยปัจจุบันมาอาศัยแบบเลยๆซ่อนไม่แน่นอนต่อมาสมัยรัชกาลที่1รองไทยได้ไปปรายเวียงจันทร์และได้กวาดต้อนชาวเวียงจันทร์มาอยู่ประเทศไทยด้วยพวกของตากับหลานและญาติๆก็ได้มาตั้งรดรากอยู่แถบลุ่มแม่น้ำชีบริเวณบ้านท่าขอนยางปัจจุบันจนมีลูกมีหลานและเป็นบ้านใหญ่ขึ้นแต่บริเวณดังกล่าวการทำต้องเสียงกับภัยธรรมชาติ คือน้ำชีไกลล้นท่อมที่นาทุกๆปีทำมาหากินลำบากข้าวยากหมากแพงทั้งแล้วทั้งห่วง ร.ศ.5-6(พ.ศ.2330-2391)พ่อตาเสนา (พระมหา)เสนาเห็นว่าการอยู่ใกล้ลำชีบริเวณบ้านท่าขอนยางมันลำบากต้องต่อต่อสู้กับภัยธรรมชาติทุปี และทำ6ทิศเหนือของบ้านท่าขอนยางมีภูมิถิ่นอุดมสมบรูณ์อยู่หลายแห่งจึงชักชวนลูกหลานอพยพหมีน้ำชีขึ้นมาหาที่อยู่ใหม่มีลูกหลานพร้อมใจกับประมาณ 4-5ครอบครัว อพยพตามพ่อตาเสนาไปส่วนอีกพวกอพยพขึ้ไปทางเหนือของเมืองขอนยางบริเวณบ้านโนนปัจจุบันในเมืองคันธารราษฎร์ตระกูลของพ่อตาเสนาได้อพยพผ่านมาทางบ้านยางขี้น(เพราะมีนกคอก๊ากอาศัยนอนอยู่ตามต้นยางใหญ่เป็นจำนวนมาก)มี2-3ครอบครัวขออาศัยทำมาหากินที่นั่น ส่วนพ่อตาเสนากับหลานๆอีก 2 ครอบครัวอพยพขึ้นมาทางเหนือนิดหน่อยมาพบบริเวณดอนน้ำใสซึ่งเป็นที่สูงมีป่ามีน้ำใสสะอาดรอบๆมีบริเวณที่เหมาะแก่การทำไร่ทำนาจึงยึดบริเวณเหนือดอนเป็นที่อาศัยต่อมามีชาวอุบลราชธานี อพยพมาอยู่ด้วยตั้งบ้านขึ้นบริเวณนั้นเรียกว่า บ้านโนนทองหลาง อยู่ได้ประมาณปีเศษๆก็เคลื่อนมาสร้างบ้านอยู่ทางตะวันออกและทิศใต้ของน้ำใส เรียกว่า บ้านน้ำใสในฐานะที่ชาวบ้านนับถือศาสนาพุทธจึงช่วยกันจัดที่สร้างวัดบำเพ็ญศาสนากิจทางด้านทิศใต้ของหมู่บ้านในราว พ.ศ.2331เพื่อเป็นเกียติรแก่ผู้นำชาวบ้านให้ชื่อว่า “วัดเสนานิคม”บ้านน้ำใสได้เจริญขึ้นมาเรื่อยๆตามลำดับทั้งนี้เพราะเนื่องด้วยความสามัคคี ความรักในตัวผู้นำ ความรักในชาติตระกูลซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของ ชาวญ้อ
นางสาวสาวิตรี หล้าสรวย รหัส 52010521026 สาขาจิตวิทยา ระบบพิเศษ
บ้านดงสว่าง
เป็นหมู่บ้านตั้งใหม่ แยกตัวออกมาจากบ้านห้วยสวย แต่ก่อนเรียกคุ้มดงสว่าง เนื่องจากก่อนนี้หน้านี้ บริเวณที่ตั้งหมู่บ้านเป็นป่าดงมีต้นไม้ขึ้นหนาทึบ ผู้คนจะไม่ค่อยเดินทางผ่านบริเวณนี้ เพราะ น่ากลัว ต่อมามีชาวบ้านเข้ามาหักล้างถางพง และปลูกสร้างบ้านเรือนขึ้นจนเกิดเป็นชุมชนขึ้น เมื่อมีการจัดตั้งเป็นหมู่บ้าน จึงตั้งชื่อบ้านดงสว่าง อันเนื่องมาจากการหักล้างถางป่าจนทำให้บริเวณดังกล่าวนี้สว่างขึ้น ไม่มืดครึ้มจากป่าดงอีกต่อไป
น.ส.วิราภรณ์ ทิพสุวรรณ์ 52010517037
สาขาจิตวิทยา ระบบปกติ ชุมชนบ้านโพนแคน้อย
ประวัติความเป็นมาของ บ้านโพนแคน้อย ตำบลนาตงวัฒนา อำเภอโพนนาเเก้ว จังหวัดสกลนคร จากการสัมภาษณ์นายชอบ คันทะนาต ซึ่งเป็นผู้ใหญ่บ้านได้ทราบประวัติความเป็นมาว่าแต่เดิมนั้นมีหมู่บ้านหนึ่งชื่อว่าบ้านโพนแค เหตุที่ชื่อว่า โพนแคเพราะชาวบ้านสมัยก่อนนิยมการเผาถ่านเป็นจำนวนมาก ทำให้เกิดการจับจองจอมปลวกกันมากมายเพราะถือว่าเป็นโพรงดินที่ดี แต่ด้วยในสมัยก่อนวิทยาการความรู้ในด้านกฎหมายยังไม่ดีพอ ชาวบ้านก็จะนำต้นแค ซึ่งค่อนข้างหาง่ายในอดีตก็จะนำมาปลูกไว้รอบๆจอมปลวกคล้ายๆรั้วกั้นเพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่าที่ตรงนี้มีคนจองแล้วแต่ไม่มีหลักฐานยืนยันแน่ชัดเนื่องจากไม่มีการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรมีแต่เพียงการบอกเล่าสืบต่อกันมาเดิมนั้นจะได้ชื่อหมู่บ้านว่า บ้านจอมแค แต่โดยภาษาญ้ออะไรที่มันเป็นเนินขึ้นไปคล้ายสามเหลี่ยมจะเรียกว่า โพน ตั้งแต่นั้นมาจึงได้ชื่อว่า บ้านโพนแค แล้วมาเป็นบ้านโพนแคน้อยได้อย่างไร? เนื่องจากยุคสมัยเปลี่ยนไปมีคนมาอยู่มากขึ้นทำให้จำนวนคนก็มากขึ้นยากต่อการปกครอง คณะกรรมการหมู่บ้านจึงมีมติแยกหมู่บ้านเป็นสามหมู่บ้าน คือ บ้านโพนแคใหญ่ บ้านโพนแคกลาง และบ้านโพนแคน้อยตามลำดับ บ้านโพนแคน้อยมีประชากรจำนวน 400 หลังคาเรือน จารีตประเพณีที่ยึดถือเช่น มีการรำปอบผีฟ้าของคนในหมู่บ้านด้วยความเชื่อว่าจะช่วยปัดเป่าความชั่วร้ายให้กับตนเองเเละหมู่บ้านได้ งานวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา งานบุญ งานบวช งานแต่งงาน หรืองานวันรวมญาติในวันขึ้นปีใหม่ อาชีพของคนในหมู่บ้านส่วนใหญ่คือทำการเกษตร ปลูกพริก ปลูกมะเขือในฤดูแล้ง สถานที่ท่องเที่ยวก็จะเป็น เขื่อนกักเก็บน้ำ นาตงวัฒนา ไม่มีอะไรให้น่าดูนอกจากสายน้ำที่ไหลไปข้างหน้าไม่ย้อนกลับหลัง และบรรยากาศธรรมชาติๆ มีโรงเรียนหนึ่งแห่ง ชื่อว่า โรงเรียนบ้านนาตง
สหราษฏร์อุทิศ เป็นโรงเรียนในโครงการหนึ่งอำเภอหนึ่งโรงเรียนในฝัน เป็นเมื่อดิฉันจบแล้ว มีวัดหนึ่งแห่งคือวัดรัตนสามัคคี ศูนย์กลางและที่พึ่งทางจิตใจของชาวบ้าน เวลาไม่มีเงินชาวบ้านก็มักจะมายืมจากหลวงลุงในวัดนี้ ไม่ค่อยคืนกันหรอก ท่านมีเมตตากับสรรพสิ่งทั้งหลาย บางที่ก็ให้ทุนการศึกษานักเรียนที่ประพฤติดีแต่ขาดทุนทรัพย์ ระบบการคมนาคมสะดวกสบาย มีสถานีอนามัยหนึ่งแห่ง ช่วยปฐมพยาบาลเบื้องต้นให้คนในหมู่บ้าน
• อาณาเขตตำบล :ทิศเหนือ ติดกับ อบต.กุสุมาลย์ อ.กุสุมาลย์ จ.สกลนคร
• ทิศใต้ ติดกับ อบต.โคกก่อง อ.เมือง จ.สกลนคร
• ทิศตะวันออก ติดกับ อบต.บ้านโพน อ.โพนนาแก้ว จ.สกลนคร
• ทิศตะวันตก ติดกับ อบต.บ้านแป้น และ อบต. นาแก้ว อ.โพนนาแก้ว จ.สกลนคร
ลักษณะภูมิประเทศพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นที่ราบ และที่ราบสูง ลาดเอียงจากทิศเหนือสู่ทิศใต้ของพื้นที่ทั้งหมด ติดกับหนองหาร และบึงคัน มีป่าไม้เบญจพรรณเหลืออยู่บางส่วนในเขนป่าสงวนแห่งชาติ ทางด้านทิศเหนือมีทางหลวงแผ่นดินสายนาแก้ว-ดงน้อยตัดผ่านตำบล มีแหล่งน้ำธรรมชาติ อ่างเก็บน้ำและลำห้วยขนาดเล็กไหลผ่าน สภาพดินเป็นดินลูกรัง คิดเป็นร้อยละ 90 ของพื้นที่ทั้งหมด
• ลักษณะภูมิอากาศ:สภาพภูมิอากาศแห้ง ความชื้นของอากาศมีน้อย ภูมิอากาศเป็นแบบมรสุมมี 3 ฤดู
• ฤดูร้อน เริ่มตั้งแต่กลางเดือนกุมภาพันธ์ ถึงกลางเดือนพฤษภาคม ท้องฟ้าโปร่งอากาศร้อนถึงร้อนจัด
• ฤดูฝน เริ่มตั้งแต่กลางเดือนพฤษภาคมถึงกลางเดือนตุลาคม ฝนตกค่อนข้างมาก แต่ดินเป็นดินลูกรังซึ่งไม่อุ้มน้ำ จึงทำให้การประกอบอาชีทางการเกษตรไม่ได้ผลดีเท่าที่ควร
• ฤดูหนาว เริ่มตั้งแต่กลางเดือนตุลาคมถึงกลางเดือนกุมภาพันธ์ จะมีอากาศแห้งหนาวเย็น
• เส้นทางการคมนาคม การเดินทางเข้าสู่ตำบล :เดินทางจากตัวเมือง จ.สกลนครไปทาง จ.นครพนม ถึง ต.ท่าแร่ อ.เมือง ระยะทาง ประมาณ 26 กม. เลี้ยวขวาเข้า ต.ถนน รพช.สายนาแก้ว - ดงน้อย ถึงตำบล ระยะทางประมาณ 15 กม. รวมระยะทางจาก จ.สกลนคร ถึง ต.นาตงวัฒนา 41 กม.
• ข้อมูลผลิตภัณฑ์ที่น่าสนใจในตำบล ของกลุ่มชุมชน ต.นาตงวัฒนา ผลิตภัณฑ์ ผ้าลายมุก เป็นผลิตภัณฑ์ประเภทผ้าทอมือ โดยใช้ด้ายโทเรน้ำหนึ่ง เป็นวัตถุดิบ นำด้ายมาทอเป็นลวดลายต่าง ๆ ตามความต้องการ ซึ่งเป็นลายเฉพาะของผ้าลายมุกที่มีความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์
นางสาวจุฬาลักษณ์ ศรีเฉลิม รหัสนิสิต 52010521015 ระบบพิเศษ สาขาจิตวิทยา
ประวัติความเป็นมา บ้านคำพระ
เนื่องจากสมัยก่อนชาวบ้านได้อพยพมาอาศัยอยู่ที่นี้ โดยแบ่งเป็น 4 คุ้ม มี คุ้มเหนือ คุ้มใต้ คุ้มปลาม่วง คุ้มนาน้อย ในหมู่บ้านก็จะมีโรงเรียน 1 แห่ง วัด 1 แห่ง สำนักสงฆ์ 1 แห่ง เวลาฝนตกก็มักจะมีน้ำคำไหลมาทุกๆครั้งผ่านหมู่บ้าน วัด โรงเรียนและดงป่า ซึ่งดงป่าแห่งนั้นชาวบ้านจะเรียกว่า “ดงกุดโอ” ทำให้เกิดน้ำท่วมบ่อยครั้ง จึงเรียกชื่อหมู่บ้านว่า กุดโอ หรืออีกชื่อหนึ่งที่นิยมเรียก คือ บ้านคำพระ นั้นเอง
ปัจจุบัน มี 209 หลังคาเรือน ทั้งหมด 2 หมู่
สภาพการดำเนินชีวิต ความเป็นอยู่ของประชากรจะอาศัยอยู่รวมกันตามลักษณะของสังคมไทยสมัยก่อน อยู่อย่างเรียบง่าย รักความสงบ จะมีบางส่วนเริ่มแยกครอบครัวและมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นตามยุคสมัยปัจจุบันการจัดการในครัวเรือนขึ้นอยู่กับผู้นำครอบครัวเป็นหลัก ประชาชนส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ
ขนบธรรมเนียมประเพณี ยึดมั่นในขนบธรรมเนียมประเพณีของไทยอีสาน เช่น ประเพณีการจุดบั้งไฟ การแต่งงาน งานศพ และประเพณีตามเทศกาลต่าง ๆ เช่น สงกรานต์ ลอยกระทง การสรงกู่เก่า และพิธีสำคัญทางศาสนา
สังคมชุมชน ชุมชนพื้นบ้านดั้งเดิม เป็นระบบเครือญาติพี่น้อง มีความผูกพันกันอย่างใกล้ชิด มีการช่วยเหลือเกื้อกูล มีขนบธรรมเนียมประเพณีเหมือนกัน นับถืออาวุโส ประกอบอาชีพคล้ายกัน มีวัดเป็นศูนย์รวมจิตใจ
อาชีพ เกษตร ค้าขาย รับจ้าง รับราชการ อาชีพอื่น ๆ เช่นอาชีพปั้นเตา ถักสาน ส่วนใหญ่จะประกอบอาชีพทางการเกษตร
ชื่อนางสาวชลธิดา มะลาคุ้ม รหัสนิสิต 52010517013 สาขาจิตวิทยา
ประวัติบ้านหนองโก
บ้านหนองโกตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ.2440โดยมีพ่อใหญ่หัง ชื่อเดิมอยู่ที่บ้านโคกลาม อ.จัตตุรัส จ.ร้อยเอ็ด นายไตง่า นายหลวงจันทร์ จันทะปะสา ได้ย้ายมาจากบ้านซ่อง อ.บรบือ จงมหาสารคาม ได้มาตั้งบ้านอยู่ที่บ้านหนองบอน ตงหัวขวาง อ.โกสุพิสัย จงมหาสารคาม ได้มาล่าสัตว์บริเวณป่าแห่งหนึ่งเดิมเป็นป่าไม้ใหญ่มีสัตว์ป่านานาชนิดอาศัยอยู่เป็นจำนวนมากแล้วจึงได้มาพบหนองน้ำแห่งหนึ่งซึ่งมีสัตว์ป่ามากินน้ำเป็นประจำแล้วที่ริมหนองน้ำนี้มีต้นไม้ขนาดใหญ่ต้นหนึ่งคือ ต้นตะโก นายหลวงจันทร์จึงได้ทำที่เป็นที่พักอาศัยในการล่าสัตว์ โดยการปลูกกระท่อมเป็นที่พักอาศัย ต่อมาเห็นว่าบริเวณแห่งนี้เป็นที่อุดมสมบูรณ์จึงได้จับจองเอาที่ดินแถวนี้ แล้วบุกล้างถางป่าเป็นพื้นที่ที่ไร่นาทำกินและจากนั้นจึงได้กลับไปขนย้ายครอบครัวออกมาจากบ้านหนองบอนหมู่ที่ 8 ต.หัวขวาง มาตั้งบ้านใหม่เพื่อมาอยู่ใกล้ไร่นาของตนเอง มีประมาณ 20 ครัวเรือน จึงได้ชื่อว่า “บ้านหนองโก” มีนายพรมหลวงศรี เถื่อนหงษา เป็นผู้ใหญ่บ้านคนแรก
นางสาวรัตติกาล ตุ้มทอง 52010517034
ชั้นปีที่ 2 คณะศึกษาศาสตร์ สาขาจิตวิทยา
ประวัติความเป็นมา ตำบลบึงเนียม
เมื่อประมาณ ปี 2457 ได้มีชายชื่อว่า " เนียม " เดินทางมาพร้อมกับช้างพลาย ได้มาแวะพักบริเวณซึ่งเป็นที่ตั้งบ้านบึงเนียมปัจจุบัน เห็นสภาพพื้นที่ทำเลภูมิประเทศอุดมสมบูรณ์มีแม่น้ำไหลผ่าน (ลำน้ำพอง) จึงได้ถากถางพื้นที่และสร้างบ้านพักอาศัย ต่อมาช้างพลายที่นำมาด้วยตายบริเวณบึงที่ตั้งหมู่บ้าน ชาวบ้านจึงพูดต่อกันต่อกันมาว่าช้างตายที่บึงนายเนียม ชาวบ้านได้ตั้งชื่อบ้านตามคนที่มาอยู่คนแรกคือ นายเนียม ว่า "บ้านบึงเนียม"
เดิมพื้นที่ตำบลบึงเนียมอยู่ในเขตพื้นที่ตำบลพระลับ ต่อมามีความเจริญมากขึ้นการปกครองดูแลของตำบลพระลับไม่ทั่วถึง จึงได้มีการขอแบ่งแยกออกมาเป็นตำบลบึงเนียม ซึ่งตอนที่แบ่งแยกตำบลครั้งแรกมีหมู่บ้านทั้งหมด 8 หมู่บ้าน จึงได้ตกลงเอาชื่อบ้านบึงเนียมเป็นชื่อตำบล เพราะว่าเป็นที่รู้จักของคนทั่วไปมากกว่าบ้านอื่น ๆ ในจำนวน 8 หมู่บ้าน ซึ่งถือเป็นจุดชุมชนที่เป็นจุดดั่งเดิม มีความเจริญและมีความหนาแน่นของประชากรมากกว่าบ้านอื่น ๆ โดยแยกออกจากตำบลพระลับเมื่อปี พ.ศ. 2528 หลังจากนั้น ได้ก่อตั้งเป็นองค์การบริหารส่วนตำบล เมื่อวันที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2539
ประวัติหมู่บ้าน
บ้านกุดโดน ตำบลกุดโดน อำเภอห้วยเม็ก จังหวัดกาฬสินธุ์
หมู่บ้านนี้ตั้งขึ้นเมื่อประมาณปี พ.ศ. 2440 โดยมีผู้ดำเนินการดังนี้ โดยนายแสงชัย ที่ย้ายถิ่นฐานมาจากบ้านโนนสูง ตำบลอิตื้อ อำเภอยางตลาด จังหวัดกาฬสินธุ์ ซึ่งหมู่บ้านได้ตั้งอยู่ติดกับริมน้ำและมีต้นกระโดนขึ้นอยู่จำนวนมาก จึงได้ตั้งชื่อบ้านว่า “บ้านกุดโดน” ต่อมาได้แยกเป็นบ้านกุดโดน ตำบลกุดโดน อำเภอห้วยเม็ก ปัจจุบันมี นายทองอินทร์ สีสัน เป็นกำนันตำบลกุดโดน ทำหน้าที่ปกครองหมู่บ้าน
สิ่งที่มองเห็นโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ของหมู่บ้าน คือ วัดอุทัยกุดโดน ซึ่งมีพระบรมสารีริกธาตุประดิษฐานอยู่ (พระมหาเจดีย์ศรีรัชมงคลธรรม)
ขณะนี้ผู้ใหญ่บ้านชื่อ นายทองอินทร์ สีสัน ได้ทำหน้าที่ดูแล ปกครองหมู่บ้านมาด้วยดีตลอด โดยดูแลครอบครัว 164 ครัวเรือน พื้นที่ของหมู่บ้านประมาณ 2,627 ไร่
ลักษณะภูมิประเทศ พื้นที่เป็นที่ราบสูง ดินปนทราย อากาศแห้งแล้ง
ลักษณะภูมิอากาศ มี 3 ฤดู คือ ฤดูร้อน ฤดูผน ฤดูหนาว ลักษณะภูมิอากาศส่วนใหญ่เป็นอากาศร้อน
ตั้งหมู่บ้าน ทิศเหนือ ติดบ้านกุดท่าลือ หมู่ที่ 9 ตำบลห้วยเม็ก
ทิศใต้ ติดบ้านกุดโดน หมู่ที่ 10 ตำบลกุดโดน
ทิศตะวันออก ติดบ้านกุดโดน หมู่ที่ 13 ตำบลกุดโดน
ทิศตะวันตก ติดบ้านมิตรหนองเรียง หมู่ที่ 8 ตำบลกุดโดน
การคมนาคม
เดินทางจากศาลากลางจังหวัดกาฬสินธุ์ท่านจะต้องขับรถไปตามถนนลาดยางสาย กาฬสินธุ์-ขอนแก่น (หมายเลขทางหลวงแผ่นดิน 2156) ประมาณ 26 กิโลเมตร ถึงบ้านฮ่องฮี ตำบลยางตลาด อำเภอยางตลาด จังหวัดกาฬสินธุ์ เลี้ยวขวาตามถนนลาดยางไปประมาณ 20 กิโลเมตร (หมายเลขทางหลวงแผ่นดิน 2110) เลี้ยวขวาถึงปากทางเข้าบ้านมิตรหนองเรียง หมู่ที่ 8 ตำบลกุดโดน ไปเรื่อยๆ ประมาณ 500 เมตร ก็ถึงบ้านกุดโดน หมู่ที่ 1 ตำบลกุดโดน อำเภอห้วยเม็ก จังหวัดกาฬสินธุ์
ส่งประวัติหมู่บ้านค่ะ นางสาว อรวรรณ ละมอม 52010517050 ระบบปกติ คณะศึกษาศาสตร์ สาขาจิตวิทยา มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
นางสาวปรียานุช ศรีหาโคตร รหัส 52010517025 ระบบปกติ คณะศึกษาศาสตร์ เอกจิตวิทประวัติความเป็นมาของบ้านนาง้อง ต.นางิ้ว อ.เขาสวนกวาง จ.ขอนแก่บ้านนาง้องขึ้นตามกฎหมายปกครองส่วนภูมิภาคเมื่อ พ.ศ. 2474 เป็นหมู่บ้านหมู่ที่ 9 ต.เขาสวนกวาง อ.น้ำพอง จ.ขอนแก่น เมื่อ พ.ศ. 2525 ทางราชการได้เปลี่ยนเขตการปกครอง เพื่อสะดวกกาการติดต่อราชการและการพัฒนาท้องถิ่นให้เจริญก้าวหน้าในด้านต่างๆจึงได้แบ่งเขตการปกครองเป็น อ.เขาสวนกวาง ปัจจุบันบ้านนาง้องเป็นหมู่บ้านหมู่ที่ 2 ต.นางิ้ว อ.เขาสวนกวาง จ.ขอ เหตุที่ได้ชื่อว่าบ้านนาง้องมีเรื่องเล่าว่า มีนายพรานคนหนึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ที่บ้านกุดกว้าง ต.พลโค อ.กุมภวาปี จ.อุดรธานี ได้เดินทางมาล่าสัตว์ซึ่งมีอยู่ในชุมชนในป่าบริเวณบ้านนาง้อง ตกหน้าแล้งไฟไหม้ป่า ทำให้เกิดฝุ่นไฟเหมาะแก่การเพาะปลูก นายพรานจึงนำเมล็ด พริก มะเขือ แตงไทย แตงร้าน ฟัก แฟงมาปลูกไว้เกิดผลงอกงาม แกจึงพาภรรยามาอยู่ด้ว ต่อมาภรรยาได้คลอดบุตร แต่ร่างกายไม่สมประกอบ มีขาท่อนร่างงอเหมือนง่องขูดแตงเพื่อทำตำส้มแตง จึงมีชื่อว่าอ้ายง่องนายพรานล่าสัตว์มักจะถามกันว่า ไปล่าสัตว์ถึงไหน มักได้คำตอบว่าถึงนาพ่อง่อง คือพ่ออ้ายง่องนั่นเอง นานเข้าจึงเป็นนาง้อง ด้วยประการฉะนี้เมื่อทางราชการมาตั้งหมู่บ้าน จึงตั้งชื่อหมู่บ้านนาง้อง จนถึงปัจจุบัน
น.ส. สุภาภรณ์ วิชัย 52010521032 ระบบพิเศษ สาขาจิตวิทยา
ประวัติ ความเป็นมาของ หมู่บ้านแก่งโกสุม ตำบลหัวขวาง อำเภอโกสุมพิสัย จังหวัด มหาสารคาม เมื่อสมัยก่อน บรรพบุรุษ ของข้าพเจ้า มาจากคนล่ะทิศคนล่ะทาง อพยพมาจาก อุบล มาตั้งถิ่นฐาน อยู่ที่นี่ เริ่มแรก มาตั้งถิ่นฐานอยู่ ลุ่มน้ำที่ถัดจากหมู่บ้าน ของข้าพเจ้าไปอีก แต่อยู่ไปอยู่มาเริ่มมีโรคระบาด ทำให้คนล้มตาย จึงย้าย มาเรื่อยๆ จนมาถึง หมู่บ้านที่อยู่ปัจจุบันของข้าพเจ้า เดิมทีหมู่บ้านของข้าพเจ้าไม่ได้ชื่อ หมู่บ้านแก่งโกสุม เริ่มตั้งทีแรก ตั้งตามภาษาชาวบ้านเรียกว่า บ้านแจ้งขี้เหล้าโท เพราะตอนสมัยนั้น หมูบ้านของข้าพเจ้าทั้งหมู่บ้านจะหมักเหล้าโท ไว้กิน จนเป็นที่เลื่องชื่อ จนได้ชื่อว่าบ้านแจ้ง ขี้เหล้าโท ต่อมาก็เลย เห็นชื่อว่าชื่อนี้มันไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ก็เลยเปลี่ยนเป็น บ้านแจ้งตูม เพราะเป็นชื่อหนองน้ำที่อยู่ ตรงท้ายหมู่บ้านของข้าพเจ้า เป็นหนองน้ำขนาดใหญ่ ไว้สำหรับอุปโภค บริโภค ของคนในหมู่บ้าน พอใช้ชื่อนี้ได้มาเกือบหลายสิบปี เห็นว่ามันยังไม่เข้าท่าเท่าไหร่ ก็เลยเปลี่ยน มาเป็นบ้านแก่งโกสุมที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน หมู่บ้านของข้าพเจ้าเป็นหมู่บ้านที่มีความสามัคคี สงบสุขโดยมีหลวงปู่ บุญ มีเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของคนในหมู่บ้าน คนในหมู่บ้านเคารพและสัทธา ท่านมาก หมู่บ้านของข้าพเจ้า ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตร เป็นชุมชนแบบพึ่งพาอาศัยกัน เพราะคนในชุมชนส่วนมากจะเป็นพี่น้องกัน ไปมาหาสู่กัน รวมทั้งหมู่บ้าน ใน ละแวก นั้นด้วย เพราะโดยส่วนใหญ่ การแต่งงาน ถ้าไม่แต่งกับคนในหมู่บ้านของตัวเองก็จะแต่ง กับหมู่บ้านใกล้เคียง หมู่บ้านของข้าพเจ้าจะติดกับแม่น้ำชี มีความอุดมสมบูรณ์ดี และยังมี พุทธศาสนสถานให้ผู้คนไปกราบไหว้ คือ หลวงปู่ทันใจที่ศักสิทธ์ มีพระธาตุ เจดีย์ ที่เก็บ กระดูกของพระพุทธเจ้า และยังมีรูปปั้น หลวงปู่บุญมี ให้แก่ผู้คนที่ไปเยี่ยมชมกราบไหว้ หมู่บ้านของข้าพเจ้า เป็น หมู่บ้านนึง ในอำเภอโกสุมพิสัย ที่ใครไปแล้วก็ต้องไปกราบไหว้พระธาตุเจดี เพื่อ เป็น ศิริมงคล แก่ผู้ที่มาเยือน หมู่บ้านของข้าพเจ้า มีโรงเรียนประจำหมู่บ้าน ชื่อ โรงเรียนบ้านแก่งโกสุม และไม่แค่ประจำเฉพาะหมู่บ้านข้าพเจ้าแต่ยัง เปิดโอกาส ให้คนที่อยู่หมู่บ้านใกล้เคียง มาเข้าศึกษาด้วย ต่อมาจึงเปลี่ยนชื่อ มาเป็นโรงเรียนบ้านแก่งโกสุมท่างาม เพราะหมู่บ้านท่างามไม่มีโรงเรียนเพราะเป็นหมู่บ้านเล็กๆ จึงมาเข้าโรงเรียนที่หมู่บ้านของข้าพเจ้า จึงได้ใช้ชื่อว่าโรงเรียนบ้านแก่งโกสุมท่างาม
นางสาวกาญจนา สายกระสุน รหัส 52010521011
ประวัติหมู่บ้านทวารไพร ตำบลเมืองลีง อำเภอจอมพระ จังหวัดสุรินทร์
ในสมัยก่อนคนเรียกหมู่บ้านนี้ว่าเสราะเทวียรเปร็ย (ภาษาเขมร) ซึ่งแปลว่า ประตูป่าแต่เดิมหมู่บ้านนี้มีแต่ป่าเป็นที่อุดมสมบูรณ์เป็นป่ารกทึบเป็นที่อาศัยของสัตว์ป่าและในป่าก็มีแหล่งน้ำซึ่งสัตว์ป่าได้เข้าไปดื่มกิน จากป่าที่รกทึบก็มีทางเข้าออกของสัตว์ป่าเป็นช่องว่างเหมือนประตูเมื่อมองดูทางทิศตะวันออกตอนพระอาทิตย์ขึ้นแสงจะส่องผ่านมองดูเหมือนประตู คนในสมัยนั้นจึงตั้งชื่อว่าเสราะเทวียรเปร็ย ซึ่ง เสราะ แปลว่า บ้าน เทวียร แปลว่า ประตู เปร็ย แปลว่า ป่า รวมกันแปลว่า ประตูป่า หลังจากนั้นก็ได้เปลี่ยนมาเป็นทวารไพร ซึ่ง ทวารได้มาจากคำว่าเทวียรแปลว่าประตู ไพรก็ได้มาจากคำว่าเปร็ยแปลว่าป่า ทวารไพรก็คือประตูป่านั่นเอง
นางสาว สุพัตรา จอมคำศรี 52010521030
ระบบพิเศษ
ทุ่งกุลาร้องไห้
เป็นทุ่งกว้างใหญ่ของภาคอีสาน มีพื้นที่ 2,107,681 ไร่ ครอบคลุมพื้นที่ 5 จังหวัด คือ ทิศเหนือครอบคลุม อ.ปทุมรัตน์ อ.เกษตรวิสัย และ อ.สุวรรณภูมิ จ.ร้อยเอ็ด ทิศใต้มีลำน้ำมูลทอดยาวตลอดพื้นที่ อ.ชุมพลบุรี อ.ท่าตูม จ.สุรินทร์ ทิศตะวันตกผ่าน อ.พุทไธสง จ.บุรีรัมย์ อ.มหาชนะชัย จ.ยโสธร และ อ.พยัคฆภูมิพิสัย จ.มหาสารคาม
พื้นที่ 3 ใน 5 อยู่ในเขต จ.ร้อยเอ็ด และปรากฏอยู่ในคำขวัญ จ.ร้อยเอ็ด ที่ว่า “ร้อยเอ็ดเพชรอีสาน พลาญชัยบึงงาม เรืองนามพระสูงใหญ่ ผ้าไหมชั้นดี สตรีโสภา ทุ่งกุลาสดใส งานใหญ่บุญผะเหวด” ปัจจุบันทุ่งกุลาร้องไห้กลายเป็นแหล่งผลิตข้าวอันดับหนึ่งของประเทศไทยไป แล้ว บางครั้งมีการแซวว่า คนทุ่งกุลาเลิกร้องไห้ กันแล้ว
มีตำนานเล่าถึงชื่อของทุ่งกุลาร้องไห้ว่า พวกกุลา ซึ่งเป็นพ่อค้าเร่ในสมัยโบราณ แม้ว่าได้ชื่อเป็นนักต่อสู้ มีความเข้มแข็งอดทนเป็นเลิศ แต่เมื่อเดินทางมาถึงทุ่งกว้างแห่งนี้ได้รับความทุกข์ยากจนถึงขั้นต้อง ร้องไห้ เพราะตลอดทุ่งนี้ไม่มีหนองน้ำหรือต้นไม้ใหญ่ไว้คอยพักกายพักใจ ฤดูแล้งผืนดินก็แห้งแตกระแหงร้อนระอุ ปลูกพืชไม่ได้ผล
สภาพความเป็นจริงผืนดินทุ่งกุลาร้องไห้เป็น ดินทรายจัด ขาดแร่ธาตุอาหาร มีคุณสมบัติเป็นกรด ทำให้ดินเค็ม กอปรกับปัญหาการ ขาดแคลนน้ำ เนื่องจากฝนทิ้งช่วง ปัญหาน้ำท่วมในช่วงต้นและช่วงปลายฤดูทำนา ส่งผลให้ได้ผลผลิตทางการเกษตรค่อนข้างต่ำ กระทั่ง รัฐบาลจอมพลถนอม กิตติขจร เล็งเห็นความสำคัญจึงสั่งให้กระทรวงเกษตรฯ ทำการสำรวจ จนถึงปี 2522 รัฐบาลจึงอนุมัติ แผนแม่บทโครงการพัฒนาทุ่งกุลาร้องไห้ เป็นครั้งแรก.
นางสาวกฤษดาภรณ์ สวัสดิ์ผล รหัส 52010517099 ระบบปกติ 2PSY
ประวัติความเป็นมาขงบ้าหัวนาคำ
บ้านหัวคำ ได้จัดตั้งขึ้นในปี พ. ศ. 2541 โดยได้อพยพมาจาก บ้านโพนสวาง หมู่ที่ 12 ตำบลหนอง
อำเภอแกดำ จังหวัดมหาสารคาม โดยการนำของพ่อหำ เรืองศักดิ์ สาเหตุของการอพยพเนื่องจากได้มาจับจองที่สำหรับทำนา ถ้าไปกลับก็ไกล เดินทางไม่สะดวกจึงได้ตั้งบ้านเรือนอยู่ที่นา ต่อมาก็มีลูกหลานและชาวบ้านอพยพตามมา สาเหตุที่ใช้ชื่อว่า บ้านหัวนาคำ เพราะสถานที่ตั้งหมู่บ้านมีน้ำคลำซึมอยู่บริเวณหมู่บ้านอยู่ตลอด
และตามหัวไร่ปลายนาก็มีน้ำซึมอยู่ตลอดเหมือนกัน จึงได้พร้อมใจกันตั้งชื่อหมู่บ้านว่า “ บ้านหัวนาคำ”
บ้านหัวนาคำ ตั้งอยู่ในตำบลหนองกุง อำเอแกดำ จังหวัดมหาสารคาม ห่างจากตัวอำเภอไปทางทิศตะวันออกประมาณ 13 กิโลเมตร มีพื้นที่รวม 2,002 ไร่ เป็นพื้นที่ทำการเกษตร 1,725 ไร่ ที่อยู่อาศัย 71 ไร่ 12 งาน
การคมนาคม
ถนนสายที่อยู่เฉพาะในเขตพื้นที่ของหมู่บ้าน แยกเป็นถนนลาดยางหรือคอนกรีต 690 เมตร ลูรัง 250 เมตร
ถนนดิน 950 เมตร เส้นทางที่สะดวกที่สุดจากหมู่บ้านถึงอำเภอที่ใกล้ที่สุดระยะทางทั้งหมด 10 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทาง 20 นาที
ลักษณะภูมิประเทศ
ลักษณะภูมิประเทศเป็นที่ราบลุ่ม สภาพดินเป็นดินร่วนปนทราย
นายมโน ฤทธิ์มนตรี 52010521037 สาขาจิตวิทยา ระบบพิเศษ
ประวัติความเป็นมา :
ตำบลศรีสองรัก เป็นตำบลที่ตั้งอยู่ในเขตการปกครองของอำเภอเมือง มีหมู่บ้านทั้งสิ้น 14 หมู่บ้าน ได้แก่ หมู่ 1 บ้านน้อยนาซำ หมู่ 2 บ้านนาโคก หมู่ 3 บ้านใหม่พัฒนา หมู่ 4 บ้านนาม่วง หมู่ 5 บ้านท่าบุ่ง หมู่ 6 บ้านปากหมาก หมู่ 7 บ้านปากหมาก หมู่ 8 บ้านวังโป่ง หมู่ 9 บ้านท่าวังแคน หมู่ 10 บ้านโคกสว่าง หมู่ 11 บ้านศรีสองรัก
สภาพทั่วไปของตำบล :
มีเนื้อที่ทั้งหมด 128.5 ตร.กม. สภาพพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นที่ราบสูงมีภูเขาล้อมรอบตำบล
อาณาเขตตำบล :
ทิศเหนือ ติดกับ ต.ธาตุ อ.เชียงคาน จ.เลย
ทิศใต้ ติดกับ ต.นาอ้อ อ.เมือง จ.เลย
ทิศตะวันออก ติดกับ ต.น้ำสวย อ.เมือง จ.เลย
ทิศตะวันตก ติดกับ ต.นาแขม อ.เมือง จ.เลย
จำนวนประชากรของตำบล :
จำนวนประชากรในเขต อบต. 5,872 คน และจำนวนหลังคาเรือน 1,466 หลังคาเรือน
ข้อมูลอาชีพของตำบล :
อาชีพหลัก ทำสวน ทำไร่
อาชีพเสริม รับจ้าง
ข้อมูลสถานที่สำคัญของตำบล :
1. อบต.ศรีสองรัก
2. ค่ายทหารศรีสองรัก
ค่ายทหารศรีสองรัก
. กองพันทหารราบที่ ๔ กรมทหารราบที่ ๘ แปรสภาพจากกองพันทหารราบที่ ๕ กรมทหารราบที่ ๑๓ ตามคำสั่งกองทัพบก (เฉพาะ) ลับ ที่ ๑๑๑/๒๕ ลง ๒๖ พฤษภาคม ๒๕๒๕ เรื่อง การปรับการบังคับบัญชาหน่วยระดับกองพันทหารราบให้กับ ร.๗, ร.๑๗ และ ร.๘ โดยให้กรมทหารราบที่ ๑๓ มอบอำนาจการบังคับบัญชา กองพันทหารราบที่ ๕ กรมทหารราบที่ ๑๓ ให้ กรมทหารราบที่ ๘ และเปลี่ยนนามหน่วยใหม่ว่า “กองพันทหารราบที่ ๔ กรมทหารราบที่ ๘” เรียกนามหน่วยโดยย่อว่า “ร.๘ พัน.๔” เครื่องหมายสังกัดใช้ “ร.๘/๔” มีที่ตั้งอยู่ที่ค่ายศรีสองรัก ตำบลนาอ้อ อำเภอเมือง จังหวัดเลย แต่ต่อมากองทัพบกได้ปรับปรุงกำลังกองทัพบกใหม่ เพื่อให้กรมทหารราบมีหน่วยรอง จำนวน ๓ กองพันทหารราบ จึงให้ปิดการบรรจุหน่วยนี้ ในปีงบประมาณ ๒๕๓๕ ตามอนุมัติผู้บัญชาการทหารบก ท้ายหนังสือกรมยุทธการทหารบก ที่ กห ๐๔๐๓/๒๒๔๘ ลง ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๓๔ เรื่อง แผนการปรับปรุงกำลังกองทัพบกในห้วงปี ๓๕ - ๓๙
นายปรัชญา หมื่นขันธ์ 52010521036 สาขาจิตวิทยา ระบบพิเศษ
อำเภอสุวรรณภูมิ
ประวัติศาสตร์
อำเภอสุวรรณภูมิ(เดิมชื่อเมืองศรีภูมิ) เป็นอำเภอหนึ่งของจังหวัดร้อยเอ็ด
เมื่อปี พ.ศ. 2256 เจ้าสร้อยศรีสมุทรพุทธางกูร กษัตริย์แห่งอาณาจักรล้านช้างโปรดเกล้าฯ ให้อาจารย์แก้ว(จานแก้ว)ควบคุมไพร่พลประมาณ 3,000 คน มาสร้างเมืองขึ้นใหม่ในดินแดนอีสานตอนล่าง เรียกว่า เมืองท่ง ปัจจุบันอยู่ในเขตอำเภอสุวรรณภูมิ มีเจ้าเมืองต่อมาคือ ท้าวมืด ท้าวทน ท้าวเชียง และท้าวสูน
ในปีเดียวกัน สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชได้โปรดเกล้าฯ ให้พระยากรมท่าและพระยาพรหมเดินทางมาดูแลหัวเมืองในภาคอีสาน ท้าวทนจึงได้เข้ามาขออ่อนน้อม พระยาทั้งสองจึงมีใบบอกไปยังกรุงธนบุรีขอตั้งท้าวทนเป็นเจ้าเมือง โดยยกบ้านกุ่มฮ้างขึ้นเป็น เมืองร้อยเอ็ด ตามนามเดิม ท้าวทนได้รับแต่งตั้งเป็นพระขัติยะวงษา นับว่าเป็นเจ้าเมืองร้อยเอ็ดคนแรก ส่วนเมืองท่งนั้นบรรดากรมการเมืองเห็นว่าเป็นชัยภูมิที่ไม่เหมาะสม จึงได้ย้ายไปตั้งบริเวณดงท้าวสารและให้ชื่อว่า เมืองสุวรรณภูมิ นับแต่นั้นมาทั้งเมืองร้อยเอ็ดและเมืองสุวรรณภูมิต่างมีฐานะขึ้นตรงต่อกรุงธนบุรีเช่นเดียวกัน
พ.ศ. 2325 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์เป็นราชธานีแห่งใหม่ ทำให้เมืองร้อยเอ็ดและบรรดาหัวเมืองอีสานล้วนต้องขึ้นตรงต่อกรุงรัตนโกสินทร์ และเมืองร้อยเอ็ดก็ได้มีพัฒนาการอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งมีฐานะทางการเมืองและความสำคัญเหนือเมืองสุวรรณภูมิในเวลาต่อมา
ประชากร
ประชากรส่วนใหญ่ประกอบอาชีพหลัก คือ เกษตรกรรม รับจ้างทั่วไป และมีอาชีพเสริมอื่น ๆ เช่น เลี้ยงสัตว์ รวมกลุ่มทำสินค้าหัตถกรรม และอุตสาหกรรมในครัวเรือน โดยมีซึ่งลำน้ำสายสำคัญที่หล่อเลี้ยงชาวบ้านมีหลายสาย คือ ลำน้ำเสียว ลำน้ำพลับพลา ห้วยหินลาด และลำน้ำมูล
วัด
วัดที่สำคัญในเขตอำเภอสุวรรณภูมิมีดังต่อไปนี้
1. วัดใต้วิไลรรม
2. วัดกลาง
3. วัดสว่างโพธิ์ทอง
4. วัดเจริญราษฎร์
5. วัดทุ่งลัฎฐิวัน
6. วัดเหนือสุพรรณวราราม
สถานศึกษา
ระดับวิทยาลัย วิทยาลัยเทคนิคสุวรรณภูมิ โรงเรียนระดับมัธยมศึกษาที่สำคัญในเขตอำเภอสุวรรณภูมิมีดังต่อไปนี้
1. โรงเรียนสุวรรณภูมิพิทยไพศาล
2. โรงเรียนสุวรรณภูมิวิทยาลัย
โรงเรียนระดับประถมศึกษาที่สำคัญในเขตอำเภอสุวรรณภูมิมีดังต่อไปนี้
1. โรงเรียนเมืองสุวรรณภูมิ
2. โรงเรียนเมืองใหม่สุวรรณภูมิ
3. โรงเรียนดอนแฮดวิทยา
4. โรงเรียนกระดิ่งทอง
5. โรงเรียนการกุศลวัดกลาง
6. โรงเรียนเจริญศึกษา
7. โรงเรียนอนุบาลศรีภูมิวิทยารักษ์
สถานที่ท่องเที่ยว
1. ปรางค์กู่พระโกนา
2. บ่อพันขัน
3. งานบุญบั้งไฟ
นางสาวชนากานต์ ยานุวงษ์ รหัสนิสิต 52010521003 พิเศษ
ประวัติค่ายค่ายพลร.6
กองพลทหารราบที่ 6 จัดตั้งขึ้นตามคำสั่งกองทัพบก (เฉพาะ) ที่ 155/22 ลงวันที่ 11 ธันวาคมพุทธศักราช 2522 มีที่ตั้งปกติ ณ บ้านโสกเชือก ตำบลโพธิ์สัย อำเภอศรีสมเด็จ จังหวัดร้อยเอ็ด โดยได้รับพระราชทานชื่อค่ายทหารว่า “ ค่ายสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช” ตามประกาศกองทัพบก เมื่อวันที่ 11 เมษายน พุทธศักราช 2527ปัจจุบันมี พลตรี ชวลิต ชุนประสาน เป็นผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 6
ภารกิจและการจัดหน่วย กองพลทหารราบที่ 6 เป็นหน่วยกำลังรบของกองทัพบก ขึ้นตรงกองทัพภาคที่ 2 มีภารกิจ 4 ประการคือ การป้องกันประเทศ รักษาความ มั่นคงภายใน รักษาความสงบเรียบร้อยภายในประเทศ และพัฒนาประเทศ ในพื้นที่รับผิดชอบ 7 จังหวัด ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่างได้แก่ จังหวัดอำนาจเจริญ จังหวัดอุบลราชธานี จังหวัดศรีสะเกษ จังหวัดสุรินทร์ จังหวัดบุรีรัมย์ จังหวัดยโสธร และ จังหวัดร้อยเอ็ด
กอง พลทหารราบที่ 6 มีหน่วยขึ้นตรง จำนวน 16 หน่วย ได้แก่ กองบัญชาการและกองร้อยกองบัญชาการ กองพลทหารราบที่ 6 กรมทหารราบที่ 6 กรมทหารราบที่ 16 กรมทหารราบที่ 23 กรมทหารปืนใหญ่ที่ 6 มีกองพัน และหน่วยขึ้นตรงกองบัญชาการกองพลทหารราบที่ 6 จำนวน 10 หน่วย ได้แก่ กองพันทหารม้า 21 กองพันทหารช่างที่ 6 กองพันทหารสื่อสารที่ 6 กองพันทหารเสนารักษ์ที่ 6 กองสรรพาวุธเบา กองพลทหารราบที่ 6 กองทหารพลาธิการ กองพลทหารราบที่ 6 กองร้อยต่อสู้รถถังอาวุธนำวิถีที่ 6 กองร้อยทหารม้าที่ 6 กองร้อยลาดตระเวนระยะไกลที่ 6 กองร้อยทหารสารวัตร กองพลทหารราบที่ 6 และ กองร้อยบิน กองพลทหารราบที่ 6
ในภารกิจการป้องกันประเทศและการรักษาความมั่นคงภายในนั้น กองพลทหารราบที่ 6 เป็นหน่วยหลัก รับผิดชอบจัดกำลังพลและยุทโธปกรณ์ สนับสนุนกองกำลังสุรนารี และกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 2 ส่วนแยก 2 ซึ่งมีที่ตั้ง อยู่ในค่ายวีรวัฒน์โยธิน จังหวัดสุรินทร์ โดยเป็นหน่วยบัญชาการทางยุทธวิธีในสนาม รับผิดชอบการปฏิบัติการ ในพื้นที่ภาคอีสานตอนล่าง มีพื้นที่รับผิดชอบตามแนวชายแดนติดต่อกับสาธารณรัฐประชาชนลาว 387 กิโลเมตร และราชอาณาจักรกัมพูชา 363 กิโลเมตร
นอกจากภารกิจ การป้องกันประเทศ การรักษาความมั่นคงภายใน รักษาความเรียบร้อยภายในประเทศแล้วยังได้จัดกำลังในภารกิจการรักษาสันติภาพ สนับสนุนสหประชาชาติ ปีพุทธศักราช 2543 ได้จัดกำลัง กองบัญชาการกองกำลัง 972 ไทย-ติมอร์ตะวันออก ผลัดที่ 2 ซึ่งประกอบด้วย 1 กองบัญชาการ จาก กรมทหารราบที่ 6 และ 1 กองพันทหารราบ จาก กองพันทหารราบที่ 1 กรมทหารราบที่ 6 ปฏิบัติภารกิจรักษาสันติภาพ ณ ประเทศติมอร์ตะวันออก
ปีพุทธศักราช 2549 ได้จัดกำลัง ปฏิบัติภารกิจรักษาสันติภาพ ไทย-บุรุนดี จากกรมทหารราบที่ 23 และกองพันทหารช่างที่ 6 โดยจัดเป็นกองร้อยทหารช่างผสม ไทย – บุรุนดี ผลัดที่ 2 และผลัดที่ 3 ณ ประเทศบุรุนดี
ภารกิจการช่วยพัฒนาประเทศ กองพลทหารราบที่ 6 ได้ร่วมกับส่วนราชการอื่น เพื่อพัฒนาภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ได้แก่ โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ของทุกพระองค์อย่างเต็มขีดความสามารถ โดยได้จัดตั้งสำนักงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 2 ส่วนแยก 2 ขึ้นการดำเนินการ ของโครงการ มีวัตถุประสงค์เพื่อแก้ไขปัญหาความยากจน และช่วยเหลือราษฎรผู้ด้อยโอกาส ซึ่งส่วนมากจะเกี่ยวกับการพัฒนาแหล่งน้ำ การพัฒนาคุณภาพชีวิต และการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
โดยกองพลทหารราบที่ 6 ได้ให้การสนับสนุนกำลังพลและเครื่องมือ รวมทั้งจัดชุดติดต่อประสานงานประจำพื้นที่ คอยให้คำแนะนำช่วยเหลือราษฎรและประสานการปฏิบัติกับส่วนราชการท้องถิ่น ปัจจุบันมีการดำเนินตามโครงการต่าง ๆ ได้แก่โครงการส่งเสริมศิลาชีพและโครงการฟาร์มตัวอย่าง ตามแนวพระราชดำริ ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่างรวมทั้งสิ้น 24 โครงการ
จากการดำเนินงานของกองพลทหารราบที่ 6 นับตั้งแต่จัดตั้งหน่วยจนถึงปัจจุบัน ถือได้ว่ากองพลทหารราบที่ 6 เป็นหน่วยงานหลักในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ที่กระทรวงกลาโหมได้จัดตั้งและวางรากฐานไว้ เพื่อทำหน้าที่ป้องกันเอกราชอธิปไตยของชาติ และในปัจจุบันได้สนองแนวพระราชดำริในโครงการต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง กำลังพลในกองพลทหารราบที่ 6 ทุกคน จึงมีความมุ่งมั่นที่จะปฏิบัติงานตามภารกิจที่ได้รับมอบหมายให้ บรรลุเป้าหมายที่กำหนดให้โดยเร็ว ทั้งนี้ เพื่อปกป้องเอกราชอธิปไตย และพัฒนาพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ให้ประชาชนมีความอยู่ดีมีสุข มีพื้นที่ ที่มีความอุดมสมบูรณ์ และมีความมั่นคงปลอดภัยอย่างถาวร
ศศิวรรณ เลยหยุด 52010517095 สาขาจิตวิทยา
ประวัติเมืองชนบถ ขอนแก่น
จากการสืบค้น ประวัติ อำเภอชนบท หรือเมืองชลบถ แต่ครั้งโบราณอำเภอชนบทเป็นเมืองเก่าแก่ มีอารยธรรมที่รุ่งเรืองมาแต่โบราณตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์ จะเป็นรองเฉพาะ เมืองนครราชสีมา เท่านั้นพ.ศ. 2326 กวนเมืองแสน สมุหกลาโหมแห่งเมืองสุวรรณภูมิ เกิดขัดใจกันกับเจ้าเมือง จึงได้พาสมัครพรรคพวกอพยพหนีออกจากเมืองสุวรรณภูมิมาพักที่บ้านหนองกองแก้ว ซึ่งเป็นเขตในความปกครองของเจ้าเมืองนครราชสีมาพ.ศ. 2486 ทางราชการมีแผนที่จะยุบอำเภอชนบทเป็นตำบล ประกอบกับเกิดไฟไหม้ที่ว่าการอำเภอ ทางราชการจึงยุบอำเภอชนบทลงเป็นตำบล และให้ทุกตำบลในเขตอำเภอชนบทไปขึ้นกับอำเภอบ้านไผ่ จนถึงวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2509 ทางราชการจึงได้ตั้งเมืองชนบทขึ้นเป็นอำเภออีกครั้งหนึ่ง จนถึงปัจจุบัน และได้มีการจัดพิธีเฉลิมบ้านฉลองเมืองชนบทครบ 200 ปี ไปเมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2526
อำเภอชนบทแบ่งการปกครองออกเป็นการปกครองท้องที่ 8 ตำบล ประกอบด้วยตำบลชนบท, ศรีบุญเรือง, กุดเพียขอม, โนนพะยอม, ห้วยแก, บ้านแท่น, ปอแดง และวังแสง จำนวนหมู่บ้าน 78 หมู่บ้าน และการปกครองส่วนท้องถิ่นจำนวน 8 องค์การบริหารส่วนตำบล กับ 1 เทศบาลตำบลชนบท
Sasiwan Lasyyud 29 มกราคมเวลา 14:04 น. รายงานผู้ดูแลระบบ
พ.ศ. 2486 ทางราชการมีแผนที่จะยุบอำเภอชนบทเป็นตำบล ประกอบกับเกิดไฟไหม้ที่ว่าการอำเภอ ทางราชการจึงยุบอำเภอชนบทลงเป็นตำบล และให้ทุกตำบลในเขตอำเภอชนบทไปขึ้นกับอำเภอบ้านไผ่ จนถึงวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2509 ทางราชการจึงได้ตั้งเมืองชนบทขึ้นเป็นอำเภออีกครั้งหนึ่ง จนถึงปัจจุบัน และได้มีการจัดพิธีเฉลิมบ้านฉลองเมืองชนบทครบ 200 ปี ไปเมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2526
คำว่า “ชลบถ กับ ชนบท”
ชนบท เป็นคำนามแปลว่า บ้านนอก ( ไม่พัฒนา ) ชลบถ เป็นคำผสมระหว่างชล เป็นคำนามแปลว่า น้ำ กับ บถ เป็นคำนามแปลว่า ทาง แปลรวมกันได้ความว่า “ทางน้ำ ”
ดังนั้นหากอาศัยหลักทางวิชาการ “ภูมินามวิทยา” ( Toponymy ) และหลักภูมิรัฐศาสตร์ ( Geo-political Sciences ) ซึ่งเป็นศาสตร์ค้นคว้าเกี่ยวกับการตั้งชื่อถิ่นฐานบ้านเมืองตามทำเลที่ตั้ง “เมืองชลบถ” จึงน่าจะถูกต้องกว่า เพราะแปลว่าเมืองที่เป็นทางผ่านของน้ำ หรือ เมืองแห่งทางน้ำไหล หรือ เมืองซึ่งมีน้ำล้อมรอบ ( 35 หนอง ) และคำว่า เมืองชนบทหรืออำเภอชนบท ซึ่งหมายถึงบ้านนอกนั้น อาจจะเป็นมาโดยเพราะความไม่รู้เข้าใจศัพท์ หรือเพราะความไม่ชอบของเจ้านายผู้หลักผู้ใหญ่มีอำนาจทั้งหลายในอดีตก็เป็นได้ ดังนั้นถ้าจะถามความรู้สึกของประชาชนชาวอำเภอชนบทแล้ว ส่วนใหญ่จะมีความรู้สึกที่ดีต่อคำว่า “ชลบถ” มากกว่าคำว่า “ชนบท”
อำเภอชนบทแบ่งการปกครองออกเป็นการปกครองท้องที่ 8 ตำบล ประกอบด้วยตำบลชนบท, ศรีบุญเรือง, กุดเพียขอม, โนนพะยอม, ห้วยแก, บ้านแท่น, ปอแดง และวังแสง จำนวนหมู่บ้าน 78 หมู่บ้าน และการปกครองส่วนท้องถิ่นจำนวน 8 องค์การบริหารส่วนตำบล กับ 1 เทศบาลตำบลชนบถ
พื้นที่ทั้งหมด 402 ตารางกิโลเมตร หรือประมาณ 251,250 ไร่
นางสาวพรนภา แก้งคำ 52010521038 psy
ระบบพิเศษ
ประวัติความเป็นมา :
บ้านดอนบม ย้ายมาจากบ้านหนองแสงเป็นหนองขุดในสมัยขอมกลาง เป็นชัยภูมิกว้างขวาง มีคันคูรอบหนองโดยรอบ ภายหลังมีผู้คนมาตั้งบ้านเรือน คือ คุ้มหนองคูและบ้านจอกขวาง ซึ่งบ้านจอกขวางอพยพมาจากเมืองศรีภูมิ ก่อนตั้งเมืองสุวรรณภูมิ ซึ่งมีพระผู้ใหญ่พาญาติโยม อพยพมา ตอนแรกอยู่โนนหนองแต้ใกล้ดงสองห้อง ต่อมาเห็นว่าโนนจอกขวางกว้างขวางดี จึงย้ายมาตั้งบ้านเรือนอยู่โนนจอกขวาง และขยายหมู่บ้านออกไปเรื่อย ๆ
สภาพทั่วไปของหมู่บ้าน :
เป็นพื้นที่ราบตอนกลางและตอนล่าง (ทิศใต้ของตำบล) เป็นที่ราบลุ่มมีลำน้ำไหลผ่าน ทิศตะวันตกเฉียงใต้เป็นที่ราบสูง และมีสภาพดินเค็ม ไม่เหมาะแก่การเพาะปลูก มีป่าไม้สาธารณะ คือ ป่าโคกใหญ่
อาณาเขต :
ทิศเหนือ ติดกับ ต.หนองทุ่ม อ.วาปีปทุม จ.มหาสารคาม
ทิศใต้ ติดกับ ต.หัวเรือ, ต.โพธิ์ชัย อ.วาปีปทุม จ.มหาสารคาม
ทิศตะวันออก ติดกับ ต.ประชาพัฒนา, ต.หนองไฮ อ.วาปีปทุม จ.มหาสารคาม
ทิศตะวันตก ติดกับ ต.โคกสีทองหลาง, ต.บ้านหวาย อ.วาปีปทุม จ.มหาสารคาม
จำนวนประชากรของหมู่บ้าน
200 หลังคาเรือน
ข้อมูลอาชีพของชาวบ้าน:
อาชีพหลัก ทำนา
อาชีพเสริม เลี้ยงสัตว์
ข้อมูลสถานที่สำคัญของหมู่บ้าน
วัดสุวรรณพัตร
วัดคาทอลิค
สถานปฏิบัติธรรม
นาวสาวปภารดา สิทธิอาภากุล ระบบปกติ
รหัสสนิสิต 52010517022 ประวัติอ.บัวใหญ่
พื้นที่อำเภอบัวใหญ่เดิม มีประวัติศาสตร์ความเป็นมายาวนาน จากหลักฐานทางโบราณสถานและโบราณวัตถุที่พบกระจัดกระจายอยู่ในเขตพื้นที่เป็นจำนวนมาก อาทิ บ่อไก่แก้วปรางค์ บ้านสีดา ที่กิ่งอำเภอสีดา ปราสาทนางรำ ที่อำเภอประทาย ปรางค์กู่ที่บ้านกู่ ต.ดอนตะหนิน เครื่องภาชนะดินเผาพบที่บริเวณบ้านบัวใหญ่ กำไรสำลิดและไหหินพบที่บริเวณบ้านจาน เสมาหินทรายที่บ้านเสมาใหญ่ เทวรูปสำริดที่ขุดพบจากพื้นที่หลายแห่ง ภาชนะดินเผาบรรจุกระดูก ฝังเรียงรายทับซ้อนลงไปเป็นชั้น ๆ เป็นจำนวนมาก ซึ่งเคยขุดพบที่บ้านหนองไอ้แหนบ บ้านหญ้าคา และหลังสุดขุดพบไหหรือหม้อดินเผาที่บรรจุกระดูกเป็นจำนวนมากที่เนินดินท้ายหมู่บ้านกระเบื้อง เมื่อ พ.ศ. 2545 ซึ่งมีภาชนะบรรจุกระดูกนับพันไห เจ้าหน้าที่ที่ดำเนินการขาดของทางราชการ ให้ข้อมูลเบื้องต้นว่าน่าจะมีอายุราว 1,500 ปี เป็นประเพณีฝังศพครั้งที่สอง โดยครั้งแรกจะนำศพไปฝังก่อน ภายหลังจะทำการขุดศพมาทำพิธีกรรมอีกครั้งหนึ่ง แล้วจึงนำโครงกระดูกบรรจุลงหม้อดินเผาฝังบรรจุในสุสาน หลักฐานทั้งหลายเหล่านี้ทำให้น่าเชื่อว่าพื้นที่อำเภอบัวใหญ่เป็นที่ตั้งถิ่นฐานอยู่อาศัยของมนุษย์มาตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ มีอายุไม่น้อยกว่า 4,000 ปีมาแล้ว ร่องรอยทางประวัติศาสตร์เหล่านี้คือแหล่งความรู้ที่ทำให้ประชาชนอำเภอบัวใหญ่ในปัจจุบันสืบสานรับวัฒนธรรมเหล่านั้น มาเป็นขนบธรรมเนียมประเพณีถ่ายทอดมาจนถึงยุคปัจจุบัน
นางสาวเมทินี หอมเนตร รหัสนิสิต52010517086 สาขาจิตวิทยา ระบบปกติ
ประวัติ
อำเภอสร้างคอมเดิมชื่อ "บ้านส่างคอม" คำว่า "ส่าง" หมายถึงบ่อน้ำ ส่วน "คอม" คือชื่อต้นไม้ชนิดหนึ่ง เมื่อตอนสร้างหมู่บ้านประมาณปี พ.ศ. 2441 มีการขุดบ่อน้ำและต้นคอมก็ขึ้นอยู่ริมน้ำ ชาวบ้านจึงเรียกกันว่าบ้านส่างคอม ต่อมาจึงเพี้ยนไปเป็นบ้านสร้างคอม[1]
บ้านสร้างคอมได้พัฒนามาเป็น 'ตำบลสร้างคอม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของอำเภอเพ็ญ จังหวัดอุดรธานี จากนั้นจึงแบ่งออกอีกเป็นสองตำบลได้แก่ ตำบลเชียงคาและตำบลบ้านยวด เนื่องจากมีพื้นที่กว้างขวาง ต่อมาวันที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2518 กระทรวงมหาดไทยได้ประกาศจัดตั้งทั้งสามตำบลเป็น กิ่งอำเภอสร้างคอม และในที่สุดก็ยกฐานะเป็น อำเภอสร้างคอม เมื่อปี พ.ศ. 2533[1]
บ้านนาหว้า
ประวัติหมู่บ้าน บริเวณบ้านนาหว้า เมื่อครั้งก่อนเคยมีต้นหว้ามากมายหลายชนิด “ หว้า “ เป็นชื่อไม้ยืนต้นชนิดหนึ่ง สามารถขึ้นได้ทั้งในที่ลุ่มและที่ดอน เวลาออกดอกช่อดอกสีขาว ผลสุกออกสีดำอมม่วง “ นา “ คือ พื้นที่สำหรับปลูกข้าวของชาวนา มีลักษณะเป็นคูดินกั้นรอบ ๆ ทั้งสี่ด้านเพื่อให้น้ำขังทั่วแปลงนา นาผืนหนึ่งอาจจะมีแปลงนาหลาย ๆ แปลงติดต่อกันก็ได้ขึ้นอยู่กับสภาพพื้นที่นั้น ๆ สมัยก่อนเมื่อแรกจะมาตั้งบ้านนาหว้านั้น ราษฎรส่วนมากยังเป็น ชาวบ้านโพนฆ้องและบ้านสร้างคอม แต่มีที่นาอยู่ไกลบ้าน สมัยนั้นการคมนาคมไม่สะดวก ราษฎรต้องใช้เวลาในการเดินทางออกไปทำนาซึ่งอยู่ไกลจากหมู่บ้านของตนเอง ทำให้หลายครอบครัวต้องนอนพักอยู่ที่นาของตัวเองตลอดฤดูการทำนา หลังเก็บเกี่ยวข้าวเสร็จก็ต้องเดินทางกลับเข้าหมู่บ้านตามเดิม มีบางครอบครัวที่อยู่ทำกินในที่นาของตนเองโดยไม่กลับเข้าบ้าน
เล่ากันว่าผู้คนกลุ่มแรกที่ได้ชักชวนกันเข้ามาตั้งถิ่นฐานในที่นาของตนเองนั้นมี นายผิว สิงสัตย์ , นาฟอง สิงห์สัตย์ , นายจันดา บัวคอม , นายผง สิงห์สัตย์ , นายสมบูรณ์ ก่องขัน นายอุ้ย คำจันทร์ , นายน้อย คำจันทร์ และนายเคน คำจันทร์ เป็นผู้นำในการสร้างบ้านแปลงเมืองให้เจริญรุ่งเรือง และได้ขอตั้งบ้านขึ้นใหม่ในนาม “ บ้านนาหว้า “ เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพพื้นที่นา และต้นหว้าดังกล่าว เมื่อประมาณปี พ.ศ. ๒๔๘๒ โดยมี นายสมบูรณ์ ก่องขัน เป็นผู้ใหญ่บ้านคนแรก
นางสาวธนัฏฐา พูนวัฒนานุกูล 52010517102
บ้านหนองแจ้งใหญ่
ประวัติความเป็นมา :
ตำบลหนองแจ้งใหญ่ แยกมาจาก 3 ตำบล คือ ต.บัวใหญ่ ต.โนนทองหลาง และ ต.หนองบัวสะอาด และได้จัดตั้งตำบลขึ้นเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2536 และเดิมในตำบลนี้มีต้นไม้ยืนต้นชื่อว่า ต้นแจ้งเกิดขึ้นมากมาย ชาวบ้านจึงตั้งชื่อว่า ต.หนองแจ้งใหญ่ ประกอบด้วย 10 หมู่บ้าน หมู่ที่ 1 บ้านหนองแจ้งใหญ่, หมู่ที่ 2 บ้านหญ้าคา, หมู่ที่ 3 บ้านบุเสมา, หมู่ที่ 4 บ้านแจ้งเจริญ, หมู่ที่ 5 บ้านเสมาทอง, หมู่ที่ 6 บ้านตลุกยาง, หมู่ที่ 7 บ้านอีโค, หมู่ที่ 8 บ้านโนนมะเฟือง, หมู่ที่ 9 บ้านดอนเค็ง, หมู่ที่ 10 บ้านหนองไข่ผำ
สภาพทั่วไปของตำบล
พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นที่ราบสูง ลักษณะภูมิอากาศเป็นแบบร้อนชื้น ประชาชนส่วนใหญ่มีอาชีพ มีพื้นที่ทั้งหมด 22,412 ไร่ จำนวนครัวเรือน ผลจากการพัฒนาตามข้อมูล มีหมู่บ้านก้าวหน้า 3 หมู่บ้าน บ้านปานกลาง 7 หมู่บ้าน
อาณาเขตตำบล
ทิศเหนือ ติดต่อกับ ตำบลโนนทองหลาง อำเภอบัวใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา
ทิศใต้ ติดต่อกับ ตำบลบัวสะอาด อำเภอบัวใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา
ทิศตะวันออก ติดต่อกับ ตำบลบัวใหญ่ อำเภอบัวใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา
ทิศตะวันตก ติดต่อกับ ตำบลโนนทองหลาง และ ตำบลหนองบัวสะอาด อำเภอบัวใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา
จำนวนประชากรของตำบล
จำนวนประชากรในเขต อบต. 6,816 คน และจำนวนหลังคาเรือน 1,446 หลังคาเรือน
ข้อมูลอาชีพของตำบล
อาชีพหลัก ทำนา
อาชีพเสริม เลี้ยงสัตว์
ข้อมูลสถานที่สำคัญของตำบล
1. อบต.หนองแจ้งใหญ่
ข้อมูลผลิตภัณฑ์ที่น่าสนใจของตำบล
ข้าวกล้องหอมมะลิ
เป็นสินค้าเพื่อบริโภคในครัวเรือน บรรจุถุงขนาดต่าง ๆ กันดังนี้
- ขนาดบรรจุ 5 ก.ก. ราคา 60 บาท
- ขนาดบรรจุ 2 ก.ก. ราคา 25 บาท
1. นำข้าวเปลือกที่รับซื้อจากสมาชิกมาตากแห้งตามความชื้นมาตรฐาน
2. นำข้าวเปลือกที่ตากแล้วมาสีเป็นข้าวกล้อง
3. นำข้าวที่สีแล้วมาบรรจุถุงเพื่อจำหน่าย
หัตถกรรม-ผ้าไหม
ผ้าไหม
เป็นผ้าไหมทอมือ มีลวดลายสวยงาม มีหลายประเภท เช่น ผ้าไหมมัดหมี่ ผ้าไหมพื้นเรียบ ผ้าไหมหางกระรอก ผ้าไหมหมี่ข้อ มีราคา ดังต่อไปนี้
1. ผ้าไหมพื้นเรียบ 300 บาท/เมตร
2. ผ้าไหมมัดหมี่ ผืนเดี่ยว (0.90 x 2) 1,200 บาท/เมตร
3. ผ้าไหมมัดหมี่ ผืนคู่ (0.90 x 4 ) 2,400 บาท/เมตร
4. ผ้าไหมมัดหมี่ 2 เมตร ผ้าไหมพื้นเรียบ 2 เมตร (ตัดเสื้อ ประโปรง 1 ชุด) 1,600 บาท
- นำเส้นไหมที่คัดไว้ไปฟอกแล้วผึ่งลมให้แห้ง
- นำเส้นไหมที่ฟอกแล้วไปมัดลวดลายตามที่ต้องการ
- นำเส้นไหมไปย้อมสีตามลวดลายที่มัดไว้ แล้วผึ่งลมให้แห้ง
- นำไปทอเป็นผืนตามลวดลายต่าง ๆ
เส้นทางการคมนาคม การเดินทางเข้าสู่ตำบล
- ทางรถยนต์ จากจังหวัดนครราชสีมา โดยทางหลวงหมายเลข 2 (มิตรภาพ) ถึงกิ่งอำเภอสีดาแยกซ้ายเข้าเขต อ.บัวใหญ่ ระยะทาง 100 กม. เดินทางโดยรถรับจ้าง ถึงตำบล ระยะทาง 4 กม.
- ทางรถไฟ จากจังหวัดนครราชสีมา ถึงสถานีชุมทางบัวใหญ่ ระยะทาง 86 กม. เดินทางต่อ โดยรถรับจ้างเข้าถึงตำบล ระยะทาง 4 กม.
สภาพพื้นที่และระบบสาธารณูปโภค
จำนวนครัวเรือนที่มีไฟฟ้าใช้ในเขต อบต. 1,350 ครัวเรือน คิดเป็นร้อยละ 96.00 จำนวนบ้านที่มีโทรศัพท์ 27 หลังคาเรือน คิดเป็นร้อยละ 3.52 ของจำนวนหลังคาเรือน
ประวัติส่วนตัว
ชื่อ นางสาวรัชนี ตาลพวง ชื่อเล่นชื่อบุ๋ม
อายุ 22 ปี กรุ๊ปเลือด A
บิดาชื่อ นายบัวเรียน ตาลพวง อาชีพ ค้าขาย
มารดาชื่อ นางสมหมาย ตาลพวง อาชีพ ค้าขาย
ที่อยู่ 88 หมู่ที่ 2 บ้านซำจำปา ตำบลดงลาน อำเภอสีชมพู จังหวัดขอนแก่น 40220
E-mail : rutchanee_bum@hotmail.com
อาจารย์ที่ปรึกษา รศ.ดร.ธูปทอง กว้างสวาสดิ์
งานอดิเรก ชอบอ่านหนังสือนิยาย ฟังเพลง เลี้ยงสุนัข เล่นกับสุนัข
มีสุนัข 1 ตัว ชื่อ ชูก้า เพศเมีย อายุ 1 ปี 7 เดือน สายพันธ์ อเมริกันพิทบลู สีนำตาลค่ะ
สีที่ชอบ สีขาว สีฟ้า
นิสัย เป็นคนที่ค่อนข้างชอบพูด ชอบจะอยู่กับเพื่อน เฮฮา ชอบการไปท่องเที่ยวในสถานที่ที่เป็นธรรมชาติ
ประวัติการศึกษา
ปัจจุบัน กำลังศึกษาระดับปริญญาตรี ระบบปกติ สาขาภาษาอังกฤษ ชั้นปีที่ 4 คณะศึกษาศาสตร์
ชื่อสถาบันศึกษา มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
จบการศึกษาระดับ มัธยมศึกษาตอนปลาย ปีการศึกษา 2549
ชื่อสถาบันศึกษา โรงเรียนสีชมพูศึกษา อำเภอสีชมพู จังหวัดขอนแก่น
จบการศึกษาระดับประถมศึกษา ปีการศึกษา 2543
ชื่อสถาบันศึกษา โรงเรียนบ้านซำจำปา อำเภอ สีชมพู จังหวัด ขอนแก่น
ประสบการณ์ชีวิตในวัยเรียนตั้งแต่สมัยประถม – มัธยมศึกษา
ตอนที่ข้าพเจ้าเรียนอนุบาลข้าพเจ้าจะเรียนอยุ่ในหมู่บ้าน ข้าพเจ้าอาศัยอยู่กับแม่และพี่สาวพี่ชาย ในช่วงเข้าเรียนใหม่ๆแม่ของข้าพเจ้าจะไปส่ง ต่อมาก็ซื้อจักยานให้ข้าพเจ้า ให้ข้าพเจ้าปั่นไปโรงเรียนกับเพื่อนๆในหมู่บ้าน ตอนเด็กๆข้าพเจ้าซนมาก ตอนอยู่ ป. 1 ข้าพเจ้าหนีกลับบ้านพร้อมกับเพื่อนมาปีนต้นไม้เล่น จนตกลงมาเป็นแผลใหญ่มาก ข้าพเจ้าร้องไห้เสียงดังมากจนครูที่ขับรถเข้ามาซื้อของในหมู่บ้านได้ยิน ครูก็เลยพาข้าพเจ้าไปอนามัย หมอบอกต้องเย็บข้าพเจ้าจำไม่ได้ว่าเย็บกี่เข็มแต่รู้ว่าแผลใหญ่มาก จนในปัจจุบันบนศีรษะของข้าพเจ้ายังมีรอยแผลเป็นขนาดใหญ่อยู่เลย ตั้งแต่วันนั้นมาข้าพเจ้าก็ไม่กล้าปีนต้นไม้อีกเลย สมัยประถมข้าพเจ้าจะชอบวิชาคณิตศาสตร์มาก ครูมักจะพาไปแข่งขันวิชาคณิตศาร์และดาราศาสตร์อยู่บ่อยๆ จำได้ว่าเข้าไปถึงระดับเขต และตอนมัยมัธยมข้าพเจ้าก็ยังเรียนคณิตศาสตร์ได้เกรด 4 และตอนสมัครเข้าเรียนมหาวิทยาลัยก็ได้ไปสอบตรงคณะศึกษาศาสตร์ สาขาคณิตศาสตร์ แต่ก็ไม่ติดทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกท้อมากจนได้มาสมัครสอบในสาขาวิชาภาษาอังกฤษ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม และผลก็คือติด ทำให้ๆด้มาเรียนอยูที่นี้จนถึงปัจจุบัน
น.ส.อริสรา พงษ์สระพัง รหัส 52010517051
สาขาจิตวิทยา คณะศึกษาศาสต์
ประวัติอำเภอภูเขียว
เดิมพื้นที่แถบบริเวณ อ.ภูเขียวเป็นชมชนโบราณมาตั้งแต่สมัยทวารวดีโดยมีหลักฐานคือ คูดิน ใบเสมาจารึกอักษรปัลลวะ ร่วมทั้งโบราณสถานหลายแห่ง เช่น พระธาตุกลางบ้าน ต.ผักปัง มีพระพุทธรูปโบราณปรากฏอยู่ พระธาตุบ้านโนนธาตุงาม ต.ผักปัง พระธาตุวัดธาตุบ้านค้าว ต.โอโล และยังมีอีกหลายเแห่งที่ใกล้เคียงรอบๆ เช่น พระธาตุแก้งกอย หรือว่าโนนเมือง จึงสรุปได้ว่าเป็นชุมชนเมืองมานานแล้ว อีกอย่างในตำนานอุรังคนิทาน ได้กล่าวถึงเมืองที่ชื่อ กุรุนทนคร อยู่ด้านทิศตะวันตกของเมืองหนองหาร ส่วนมากจะเข้าใจผิดว่ากุรุนทนครเป็นเมืองแถบจังหวัดร้อยเอ็ด แต่ที่จริงแล้วคือบริเวณอ.ภูเขียวนี้เอง โดยในตำนานกล่าวว่า พระยากุรุนทนคร ไม่ได้มาร่วมสร้างพระธาตุด้วย และปรากฏอีครั้งเมื่อสมัยอยุทธยา มีฐานะเป็นเมืองเมืองหนึ่งในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น มีที่ตั้งเมืองอยู่ที่บ้านเมืองเก่า (ปัจจุบันอยู่ในท้องที่อำเภอเกษตรสมบูรณ์) หลวงไกรสิงหนาทเป็นเจ้าเมืองปกครองขึ้นตรงต่อกรุงเทพมหานคร ต่อมาได้บรรดาเป็นพระยาไกรสิงหนาท พระไกรสิงหนาทผู้นี้ไม่มีบุตรสืบตระกูล จึงได้มีใบบอกแจ้งไปทางกรุงเทพมหานครให้ตั้งนายฤๅชาซึ่งเป็นผู้มีความรู้ ความสามารถดีให้เป็นเจ้าเมืองแทน โดยได้บรรดาศักดิ์เป็นหลวงไกรสิงหนาทและพระยาไกรสิงหนาทตามลำดับ
น.ส.สุภาพร คำเเสน รหัสนิสิต 52010517119
ประวัติจังหวัดนครพนม
จังหวัดนครพนมเป็นจังหวัดที่เก่าแก่จังหวัดหนึ่งทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีประวัติสืบทอดกันมานานหลายร้อยปี ซึ่งเดิมพื้นที่จังหวัดนครพนมเคยเป็นมหานครของอาณาจักรศรีโคตรบูรณ์ที่รุ่งเรืองในอดีตประมาณราวต้นพุทธศตวรรษที่ 12 เป็นอาณาจักรอิสระไม่ขึ้นกับใคร มีอาณาจักรร่วมสมัยคือ อาณาจักรทวาราวดี อาณาจักรละโว้ และอาณาจักรศรีวิชัย เป็นต้น ซึ่งอาณาจักรต่างๆ ได้ผลัดเปลี่ยนกันมีอำนาจเหนืออาณาจักรอื่น ประมาณพุทธศตวรรษที่ 16 อาณาจักรศรีโคตรบูรณ์ ได้เสื่อมอำนาจลง ตกอยู่ภายใต้การปกครองของอาณาจักรขอม ต่อมาในราวพุทธศตวรรษที่ 18 ชื่อของ ศรีโคตรบูรณ์ ได้ปรากฏขึ้นอีกครั้งในนาม เมืองโคตรบูรณ์ เป็นเมืองในอาณาจักรล้านช้าง มีฐานะเป็นเมืองลูกหลวง โดยพระเจ้ากรุงศรีสัตนาคนหุตล้านช้าง ทรงสร้างเมืองที่ปากห้วยหินบูรณ์ (ปากห้วยบรรจบลำน้ำโขงฝั่งซ้ายตรงข้ามอำเภอท่าอุเทน เหนือเมืองนครพนม) ให้ชื่อเมืองใหม่ว่า ศรีโคตรบูรณ์ สืบราชสมบัติมาได้หลายองค์ ต่อมาย้ายเมืองมาตั้งที่ป่าไม้รวก ห้วยศรีมัง ริมแม่น้ำโขงฝั่งซ้าย (คือเมืองเก่าใต้เมืองท่าแขกในปัจจุบัน)
ถึงปี พ.ศ. 2297 มีพระนครานุรักษ์ ครองเมืองศรีโคตรบูรณ์ มีความเห็นว่าเมืองมิได้ตั้งอยู่ที่ปากห้วยหินบูรณ์แล้ว จึงได้เปลี่ยนนามเมืองใหม่ว่า เมืองมรุกขนคร เพราะถือว่าสร้างขึ้นในดงไม้รวก นามเมืองศรีโคตรบูรณ์ จึงได้เปลี่ยนไปตั้งแต่ครั้งนั้น
ปี พ.ศ. 2330 ย้ายเมืองมาตั้งทางฝั่งขวาแม่น้ำโขงที่ปากห้วยบังฮวก บรรจบกับแม่น้ำโขง (ปัจจุบันอยู่ระหว่างบ้านดอนนางหงส์ท่า ตำบลดอนนางหงส์ อำเภอธาตุพนม เลยลงไปถึงบ้านธาตุน้อยศรีบุญเรือง ตำบลพระกลางทุ่ง อำเภอธาตุพนม) เมืองรุกขนคร เมื่อย้ายมาตั้งที่ปากห้วยบังฮวก โดยประมาณ 20 ปี น้ำได้กัดเซาะตลิ่งพังลงมามาก จึงได้ย้ายเมืองมาตั้งที่บ้านหนองจันทร์ (ห่างจากตัวเมืองนครพนมปัจจุบันไปทางทิศใต้ประมาณ 4 กิโลเมตร) ตั้งชื่อเมืองใหม่ว่า นครบุรีราชธานี
ปี พ.ศ. 2337 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนนามเมืองเสียใหม่ว่า เมืองนครพนม ขึ้นตรงต่อกรุงเทพฯ การที่พระราชทานนามว่า เมืองนครพนม สันนิษฐานได้ว่าอาจจะเนื่องด้วยแต่เดิมเมืองนี้เป็นเมืองลูกหลวงมาก่อน เป็นเมืองที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ จึงให้ใช้คำว่า นคร หรืออีกนัยหนึ่งคำว่า นคร นี้ อาจรักษาชื่อเมืองเดิมคือเมืองนครบุรีราชธานีไว้ ส่วนคำว่า พนม อาจจะเนื่องด้วยจังหวัดนี้มีองค์พระธาตุพนมประดิษฐานอยู่ หรืออาจจะเนื่องจากเดิมมีอาณาเขตกินไปถึงดินแดนฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขง คือบริเวณเมืองท่าแขก ซึ่งมีภูเขาสลับซับซ้อนมากมายไปถึงดินแดนของประเทศเวียดนาม จึงใช้คำว่า พนม เพราะแปลว่า ภูเขา
จังหวัดนครพนม มีองค์พระธาตุพนมเจดีย์อันศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองมาแต่โบราณกาล เป็นศูนย์รวมศรัทธาของพุทธศาสนิกชนทั่วไปทั้งชาวไทยและชาวลาว มีงานเฉลิมฉลององค์พระธาตุพนมในระหว่างวันเพ็ญเดือนสามของทุกปี
น.ส.สุภัตรา สีหาบุญลี รหัส 52010521005
ประวัติมหาสารคาม
ได้รับการแต่งตั้งเป็นเมือง เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2408 แต่ก่อนจะตั้งเป็นเมืองมหาสารคามนั้น บริเวณนี้เคยเป็นที่อยู่ของมนุษย์มานาน บางยุค บางสมัยก็รุ่งเรือง บางยุคสมัยก็เสื่อมโทรม ตามบันทึกของหลวงอภิสิทธิ์สารคาม (บุดดี) ตลอดจนประวัติศาสตร์ภาคอีสานและเมืองมหาสารคาม ของ บุญช่วย อัตถากร ระบุว่า ท้าวมหาชัย (กวด) พาผู้คนออกจากเมืองร้อยเอ็ดมาทางทิศตะวันตก ประมาณ 1,000 เส้น จึงหยุดตั้งอยู่บริเวณที่ดอน แต่ราษฎรนิยมเรียกว่า “วัดข้าวฮ้าว” อยู่ได้ประมาณ 6 เดือน เห็นว่าขาดแคลนแหล่งน้ำ จึงย้ายมาตั้งระหว่างกุดยางใหญ่กับหนองท่ม ซึ่งเป็นที่ชุมชนที่มีผู้อาศัยอยู่บ้างแล้ว คือ บ้านจาน ประกอบกับห่างออกไปเล็กน้อยก็เป็นห้วยตะคาง จึงนับว่าเป็นชัยภูมิที่มีแหล่งน้ำสมบูรณ์ เมืองมหาสารคามเมื่อแรกตั้งอยู่ในความดูแลบังคับบัญชาของพระขัติยวงษา (จัน) เจ้าเมืองร้อยเอ็ด ซึ่งเป็นผู้กราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ขอรับพระราชทาน “บ้านลาด กุดยางใหญ่” เป็นเมือง ของท้าวมหาชัย (กวด) เป็นเจ้าเมือง
ราชสำนักได้มีสารตรามาถึงพระขัติยวงษา (จัน) ลงวันอังคาร เดือน 10 ขึ้น 1 ค่ำ ปีฉลู สัปตศก จุลศักราช 1227 ซึ่งตรงกับวันที่ 22 สิงหาคม 2408 ดังข้อความตอนหนึ่งว่า
จึงมีพระบรมราชโองการดำรัสว่า ซึ่งเจ้าพระยาภูธราภัย ฯ พร้อมกับเจ้าพระยานครราชสีมาไล่เลียงแลทำแผนที่เมืองจะตั้งใหม่ เห็นการไม่เกี่ยวข้องแก่บ้าน แก่เมืองใดแล้ว จึงโปรดเกล้า ฯ ขนานนามบ้านลาดกุดยางไย เป็นเมืองมหาษาร ตามพระราชทานนามสัญญาบัติ ประทับพระราชลัญจกอร ตั้งท้าวมหาไชยเป็นที่พระเจริญราชเดช เจ้าเมือง ทำราชการขึ้นแก่เมืองร้อยเอ็ด ให้พระราชทานท้าวมหาไชย ผู้เป็นที่พระเจริญราชเดชเจ้าเมืองมหาสารคาม
เมืองมหาสารคาม นับเป็นแหล่งรวมวัฒนธรรมของชาวอีสาน มีชุมชนโบราณมากมาย ไม่ว่าจะเป็นชุมชนบ้านเชียงเหียน หมู่บ้านปั้นหม้อของชาวบ้านหม้อ ตำบลเขวา อำเภอเมืองมหาสารคามแหล่งโบราณสถาน และสถานที่สำคัญทางศาสนาก็มี พระธาตุนาดูน กู่สันตรัตน์ อำเภอนาดูน กู่บ้านแดง อำเภอวาปีปทุม ปรางค์กู่ ตำบลเขวา อำเภอเมืองมหาสารคาม ที่น่ามาศึกษาหาความรู้ทางประวัติศาสตร์เป็นอย่างยิ่ง
ปัจจุบันจังหวัดมหาสารคามเป็นเมือง ตักสิลา เมืองการศึกษาของชาวเมืองตักสิลา เมืองการศึกษาของชาวอีสาน มีทั้ง มหาวิทยาลัยมหาสารคาม มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม วิทยาลัยพลศึกษา วิทยาลัยเทคนิค วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยี วิทยาลัยอาชีวศึกษา รวมทั้งสถานศึกษาอุดมศึกษาของภาคเอกชน ซึ่งในช่วงเปิดภาคเรียนจังหวัดมหาสารคาม จะครึกครื้นไปด้วยนักศึกษาจากต่างถิ่นที่มาศึกษาหาความรู้จากสถานศึกษาต่าง ๆ ในจังหวัดมหาสารคาม
น.ส.อนุชิดา คำสวัสดิ์ รหัสนิสิต 52010517122
ประวัติเทศบาลชุประวัติความเป็นมา
เทศบาลตำบลนาจารย์ เดิมฐานะเป็นสุขาภิบาล จัดตั้งโดยประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การจัดตั้งสุขาภิบาลนาจารย์ อำเภอเมือง จังหวัดกาฬสินธุ์ ประกาศ ณ วันที่ ๑๕ มกราคม พ.ศ. ๒๕๓๕ ประกอบด้วยพื้นที่ ๑๒.๖๐ ตารางกิโลเมตร และได้มีการเปลี่ยนแปลงฐานะเป็นเทศบาลตำบล โดยพระราชบัญญัติเปลี่ยนแปลงฐานะสุขาภิบาลเป็นเทศบาล พ.ศ. ๒๕๔๒ โดยผลเมื่อวันที่ ๒๕ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๔๒
ต่อมาได้มีการประกาศกรทรวงมหาดไทย เรื่องการยุบรวมองค์กบริหารส่วนตำบลกับเทศบาลตำบล ประกาศลงวันที่ ๒๔ กันยายน พ.ศ. ๒๕๔๗ ให้ยุบรวมองค์การบริหารส่วนตำบล ซึ่งมีพื้นที่ ๓๙.๓๘ ตารางกิโลเมตร รวมกับเทศบาลตำบลนาจารย์ จึงทำให้เทศบาลตำบลนาจารย์ มีพื้นที่รวม ๕๑.๙๘ ตารางกิโลเมตร หรือประมาณ ๓๒,๔๘๗.๕๐ ไร่
เทศบาลตำบลนาจารย์ อำเภอเมือง จังหวัดกาฬสินธุ์ ประกอบด้วย ๓ ตำบล (ตำบลนาจารย์ , ตำบลภูปอ และตำบลไผ่) ๑๒ หมู่บ้าน ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของจังหวัดกาฬสินธุ์ อยู่ห่างจากศาลากลางจังหวัดกาฬสินธุ์ ประมาณ ๑๘ กิโลเมตร
ที่ตั้งและอาณาเขต
ที่ตั้ง ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของจังหวัดกาฬสินธุ์ ตามทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 213
อาณาเขต
ทิศเหนือ ติดต่อกับเขตองค์การบริหารส่วนตำบลหนองแวง อำเภอสมเด็จ จังหวัดกาฬสินธุ์
ทิศใต้ ติดต่อกับเขตองค์การบริหารส่วนตำบลกลางหมื่น อำเภอเมืองกาฬสินธุ์ / องค์การบริหารส่วนตำบลไผ่ อำเภอเมืองกาฬสินธุ์
ทิศตะวันออก ติดต่อกับเขตองค์การบริหารส่วนตำบลไผ่ อำเภอเมืองกาฬสินธุ์ / องค์การบริหารส่วนตำบลกลางหมื่น อำเภอเมืองกาฬสินธุ์
ทิศตะวันตก ติดต่อกับเขตองค์การบริหารส่วนตำบลไผ่ อำเภอเมืองกาฬสินธุ์ / องค์การบริหารส่วนตำบลกลางหมื่น อำเภอเมืองกาฬสินธุ์
มชนนาจารย์ กาฬสินธุ์
นางสาวสุภัทตรา เนื่องพนอม
รหัส 52010517125 สาขาจิตวิทยา ระบบปกติ
ชุมชนบ้านหมากหญ้า
ประวัติความเป็นมาบ้านหมากหญ้า ตั้งอยู่ในพื้นที่ราบสูงตำบลเชียงยืนอำเภอเชียงยืนจังหวัดมหาสารคาม ชาวบ้านรุ่นแรกอพยพมาจากถิ่นฐานจังหวัดร้อยเอ็ด เมื่อพ.ศ. 2457 เนื่องจากเป็นหมู่บ้านที่มี หญ้าเจ้าชู้มากเลยตั้งชื่อว่า บ้านหมากหญ้า และขยับขยายไปเป็นชุมชนขนาดใหญ่มีที่สาธารณะเพื่อกิจกรรมส่วนรวม ในชุมชนอาทิวัดประมาณปี พ.ศ. 2464 ซึ่งปัจจุบันใช้ร่วมกันกับ บ้านหนองศิริราษฎร์ และศาลาประชาคมงบ SML สร้าง พ.ศ.2548 จำนวนครัวเรือนทั้งหมด 141 ครัวเรือน ประชากรรวม 576 คน บ้านหมากหญ้า อยู่ทางทิศเหนือ ของอำเภอเชียงยืน เส้นทางการเดินทางออกจากที่ว่าการอำเภอเชียง ถึงสี่แยกไฟแดง เลี้ยวขวาตรงไป ประมาณ 2 กิโลเมตรก็ถึงบ้านหมากหญ้า การประกอบอาชีพ อาชีพหลักของบ้านหมากหญ้า คือ การทำนา อาชีพรองคือ เลี้ยงสัตว์ ประชาชนบ้านหมากหญ้า ส่วนใหญ่ใช้ภาษาถิ่นเป็นภาษาอีสาน นับถือศาสนาพุทธทั้งหมด การศึกษาราษฎรส่วนใหญ่ จบการศึกษาภาคบังคับและราษฎรอายุระหว่าง 15-60 ปี อ่านและเขียนภาษาไทยได้ทุกคน ซึ่งจะเห็นได้ว่าราษฎรบ้านหมากหญ้า สนใจในด้านการศึกษามากโดยการสนับสนุนให้ลูกหลานที่เรียนจบการศึกษาภาค บังคับ(ป.6) จากโรงเรียนบ้านหมากหญ้าเรียนต่อในระดับมัธยมหรือสูงกว่าสำหรับการศึกษาส่วนใหญ่อยู่จบการศึกษาระดับประถม ราษฎรบ้านหมากหญ้า ทุกคนนับถือศาสนาพุทธ ซึ่งมีวัดเป็นศูนย์กลางในการประกอบพิธีทางศาสนาและมีความศรัทธาในการทำบุญ เป็นประเพณีสืบทอดกันมา เช่น การทำบุญใน วันพระวันสำคัญต่าง ๆ หรืองานบุญประเพณีฮีตสิบสอง คลองสิบสี่ ชาวบ้านหมากหญ้าได้สืบทอดวัฒนธรรมประเพณีที่ทำกันมาในทุก ๆ ปี ไม่เคยเว้น เช่น บุญข้าวจี่บุญเผวส งานสงกรานต์ บุญข้าวประดับดิน บุญกระยาสารท บุญออกพรรษา บุญบั้งไฟ เป็นต้น นอกจากนี้พระสงฆ์ยังมีบทบาทในการอบรมสั่งสอนให้ชาวบ้านละเล่นการทำความชั่ว ให้ประพฤติยึดมั่นในการกระทำความดี ลักษณะของครอบครัวบ้านหมากหญ้า ส่วนมากจะเป็นครอบครัวเดี่ยว ประกอบไปด้วย พ่อ แม่ ลูก สมาชิกในครัวเรือนมีความสัมพันธ์และจะมีการปลูกบ้านอยู่บริเวณใกล้ ๆ กับครอบครัวของพ่อแม่ ญาติพี่น้องของตนเอง การแต่งงานของสมาชิกในครอบครัวระยะแรกนิยมแต่งงานกับคนในหมู่บ้านเดียวกัน ต่อมาระยะหลังก็มีการแต่งงานกับคนต่างหมู่บ้าน.....
นายปวริศ เชยคำดี 52010517002
ประวัติอำเภอศรีเชียงใหม่เมืองพานพร้าวหรืออำเภอศรีเชียงใหม่ในปัจจุบัน เป็นเมืองเก่าแก่ที่มีประวัติศาสตร์ความเป็นมายาวนาน โดยมีเอกสารปรากฎชื่อเมืองพานพร้าวอยู่หลายแห่ง กล่าวคือ เมืองพานพร้าวในพงศาวดารลาว(มหาสีลา วีระวงศ์) บางแห่งเป็นธารพร้าว หรือพั่งพ่าว ซึ่งต่างก็หมายถึงเมืองพานพร้าว ที่เป็นชื่อเมืองโบราณ ปรากฏอยู่ในประวัติศาสตร์ลาว มาตั้งแต่ พ.ศ. 2078 เป็นต้นมา เมืองพานพร้าว เป็นตำบลที่ตั้งอำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคายปัจจุบัน ซึ่งแต่เดิมเป็นส่วนหนึ่งของเมืองเวียงจันทน์ ซึ่งสร้างเมืองมาพร้อม ๆ กับการตั้งเมืองเวียงจันทน์ในสมัยทวารวดีตอนปลาย “พุทธศตวรรษที่ 14 – บริเวณนี้เป็นเมืองโบราณขนาดใหญ่อยู่สองฝั่งแม่น้ำโขงลักษณะเป็นเมืองอกแตก และมีรูปร่างไม่สม่ำเสมอเป็นแบบเมืองทวารวดีทั่วไป ทางฝ่ายเวียงจันทน์มีร่องรอยของกำแพงดินและคูน้ำอยู่ในสภาพที่เห็นได้ชัดเจน แสดงถึงการขุดลอกและบูรณะในระยะหลัง ๆ นอกจากนั้นยังมีการขยายคันดิน ซึ่งอาจจะเป็นถนนหรือดินกั้นน้ำเป็นรูปสี่เหลี่ยมไปทางด้านเหนืออีกด้วย ส่วนทางศรีเชียงใหม่ คูเมืองและคันดินอยู่ในลักษณะที่ลบเลือน แสดงให้เห็นถึงการปล่อยทิ้งร้างมานาน โบราณวัตถุ และโบราณสถานที่พบในเขตเมืองโบราณทั้งสองฟากนี้ มีตั้งแต่สมัยทวาราวดีลงมาจนถึงล้านช้างและอยุธยา..” (ศรีศักร วัลลิโภดม) ภาพสลักเสมาหิน พระวิธูรชาดกโปรดปุณณกยักษ์ประฏิมากรรมชิ้นเอก ยุคทราวดีพันกว่าปี ใต้ฐานมีรอยสกัดอักษรโบราณออก กล่าวได้ว่า ชุมชนที่อาศัยอยู่ในบริเวณสองฟากแม่น้ำโขง ทั้งฝั่งเวียงจันทน์และเมืองพานพร้าวในยุคเริ่มต้นการสร้างบ้านเมืองคือ กลุ่มเดียวกันมีวัฒนธรรม ประเพณีเดียวกัน บริเวณที่เมืองพานพร้าวในอดีต หรืออำเภอศรีเชียงใหม่ในปัจจุบัน จึงน่าจะเป็นชุมชนขนาดใหญ่ ในขณะที่เมืองเวียงคุก-ซายฟอง เริ่มต้นพัฒนาเป็นบ้านเมืองมาก่อน พอมาถึงสมัยเวียงจันทน์ กลายเป็นบ้านเป็นเมือง ชุมชนทางฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงก็คงเริ่มขยายตัว มากขึ้นไปพร้อมๆกับเมืองเวียงจันทน์ แต่ไม่มีความสำคัญมากนัก จึงยังไม่มีชื่อเฉพาะเรียกของชุมชนบริเวณฝั่งซ้าย จนกระทั่ง พ.ศ.2078 ซึ่งเป็นระยะหลังของราชอาณาจักรล้านช้างเชียงทอง (หลวงพระบาง) ที่ได้แผ่อิทธิพลครอบคลุมไปทั่วทั้งดินแดนทางใต้และตะวันตกของอาณาจักรแล้ว เมืองพานพร้าวเป็นที่อยู่ของชาวล้านนา ในรัชกาลพระเจ้าโพธิสาลราช ผู้ครองนครเชียงทองล้านช้าง (พ.ศ.2053-2093) ทรงมีนโยบายที่จะปรับปรุงให้เวียงจันทน์เป็นศูนย์กลางการเมืองการปกครองของ อาณาจักรล้านช้างมากขึ้น เพื่อทดแทนที่นครเชียงทองซึ่งตั้งอยู่ในยุทธภูมิที่ทุรกันดาร ทั้งอยู่ใกล้กับข้าศึกคือพม่าในรัชกาลนี้ยังมีความสัมพันธ์อันดีกับราชอาณาจักรล้านนา คงปรากฏในประวัติศาสตร์ และกลายมาเป็นตำนานของเมืองศรีเชียงใหม่มาจนปัจจุบัน
นายนฤดม พิมพ์ศรี รหัสนิสิต 52010521021
ชุมชนบ้านนาง่ามเล้า
เพิ่งรู้ประวัติความเป็นมาครับเลยเอามาเล่าให้ฟัง
แต่ก่อนชื่อ หมู่บ้านนางามเล้า เนื่องจากที่ตั้งก่อนที่จะมาเป็นหมู่บ้านเคยเป็นทุ่งนามาก่อนและดินในที่นั้นเป็นดินร่วนปนทรายทำให้ปลูกข้าวได้ดี "ข้าวงาม" "นางาม" ต่อมามีคนกลุ่มหนึ่งเข้ามาก่อตั้งชุมชนอยู่ที่นั่น ถางป่าที่เคยรกออกจนหมด แล้วตั้งหมู่บ้าานขึ้นและได้สร้าง ศาลหลักหมู่บ้านขึ้น เรียกศาลเจ้าปู่ ในปัจจุบัน คนที่ขับรถผ่านตอนกลางคืนบางครั้งจะเห็นเหมือนคนแก่มานั่งริมถนน ซึ่งศาลนี้เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจชาวบ้าน เชื่อว่าเจ้าปู่จะช่วยคุ้มครองให้แคล้วคลาดปลอดภัย เมื่อตั้งศาลเจ้าปู่เสร็จแล้วจึงได้ตั้งชื่อหมู่บ้าน ซึ่งที่ตั้งทำนาได้ดีปลูกข้าวดีจึงได้ตั้งชื่อหมู่บ้านว่า "บ้านนางาม" ต่อมาเมื่อมีคนมาอยู่เยอะขึ้น ก็เลยได้ทำยุ้งฉางไว้เก็บข้าวไว้กิน และได้ตั้งชื่อหมู่บ้านใหม่เป็น "นางามเล้า" และเพี้ยนไปเป็น "นาง่ามเล้า" ปัจจุบันอยู่ในเขตเทศบาลตำบลวานรนิวาส อำเภอวานรนิวาส จังหวัดสกลนคร ปัจจุบันมี 125 หลังคาเรือน เป็นหมู่บ้านขนาดเล็กมีทุ่งนาล้อมรอบ เนื่องจากก่อนที่จะมาเป็นหมู่บ้านเคยเป็นทุ่งนามาก่อน
นางสาวปิยธิดา ปริพุฒ รหัส 52010517109 สาขา จิตวิทยา ระบบ ปกติ
ชุมชนบ้านหนองแก้ว
ความเป็นมา บ้านหนองแก้ว ตำบลหนองแก้ว อำเภอเมือง จังหวัดร้อยเอ็ด
บ้านหนองแก้วมีชื่อเดิมว่า"บ้านหนองทูต" เพราะในหมู่บ้านมีหนองน้ำที่ใช้ร่วมกันในชุมชนขนาดใหญ่ คนในชุมชนใช้ในการทำเกษตรกรรม ปลูกข้าว ปลูกผัก เลี้ยงวัว เลี้ยงควาย ฯลฯ หนองน้ำแห่งนี้จึงเปรียบเสมือนเป็นแหล่งน้ำที่ใช้เลี้ยงทุกชีวิตในหมู่บ้านแห่งนี้ มีตำนานที่คนเฒ่าคนแก่เล่าสืบทอดกันต่อมาว่า มีผู้ชายในหมู่บ้านกินเหล้า แล้วไปพูดจาลบหลู่หนองน้ำแห่งนี้ ตอนเช้ามาเขาก็ตายอย่างไม่มีสาเหตุ
ทำให้ชาวบ้านลือกันว่า เพราะเขาไปพูดจาลบหลู่แหล่งน้ำ ยมทูตที่เป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ ที่ดูแลหนองน้ำจึงได้เอาชีวิตเขาไป ชาวบ้านจึงเรียกหนองน้ำแห่งนี้ว่า หนองทูต และได้ตั้งชื่อหมู่บ้านตามชื่อหนองน้ำว่า "บ้านหนองทูต"
ต่อมาผู้นำของหมู่บ้านเห็นว่าชื่อหมู่บ้านเป็นชื่อที่ไม่มงคล เพราะเป็นชื่อที่เกี่ยวกับยมทูต ชาวบ้านก็ได้เห็นพ้องกันด้วยว่าควรเปลี่ยนชื่อให้เป็นชื่อทีมงคลกับหมู่บ้าน และได้ลงมติเปลี่ยนชื่อหมู่บ้านเป็น"บ้านหนองแก้ว" จนมาถึงปัจจุบันนี้
บ้านหนองแก้วเป็นหมู่บ้านขนาดใหญ่ มีบ้านทั้งหมด 310 หลังคาเรือน ประชากรส่วนใหญ่มีอาชีพ เกษตกร เลี้ยงสัตว์ เป็นส่วนใหญ่ มีเศรษฐกิจพอเพียง พออยู่พอกิน มีวัดและโรงเรียน เป็นศูนย์กลางของชุมชน มีวัฒนธรรมและประเพณีที่สืบทอดกันมาตั้งแต่รุ่นบรรพบุรุษ เช่น ประเพณีบุญข้าวสาก ประเพณียามย่า ประเพณีเลี้ยงดอนตาปู่ และมีอีกหลายประเพณีที่อาจกล่าวไม่หมด ประเพณีส่วนใหญ่ที่ทำกันนั้น ก็ขึ้นอยู่กับปรากฏการณ์ของธรรมชาติเป็นสำคัญ
ความร่วมมือของคนในชุมชน มีความสามัคคีกันมาก แบ่งกันกินแบ่งกันใช้ บ้านหนึ่งมีอาหารเยอะ ก็เอาไปแบ่งเพื่อนบ้านด้วย ซึ่งเป็นนิสัยของคนในหมู่บ้าน เวลามีงานมีเทศกาลสำคัญ ทุกคนก็ต่างพร้อมใจที่จะมาช่วยงานโดยที่ไม่ต้องให้บอก ถือว่าเป็นน้ำหนึ่งเดียวกันของคนในหมู่บ้าน
นางสาวรุ่งทิวา ชะบา 52010517116 ระบบปกติ
คณะศึกษาศาสตร์ สาขาจิตวิทยา ชั้นปี2
ชุมชนบ้านขวัญเมือง
ประวัติความเป็นมา :
ตำบลขวัญเมือง แยกออกมาจากตำบลกลาง เมื่อปี 2529 มีจำนวน 11 หมู่บ้าน มีนายแสวง มณีรัตน์ เป็นกำนันคนแรก ปัจจุบันอยู่ในเขตพื้นที่เทศบาลทั้งหมด
สภาพทั่วไปของตำบล :
สภาพพื้นดินเป็นพื้นที่ราบลุ่ม ตั้งอยู่ทางซ้ายมือของถนนแจ้งสนิท เป็นที่ตั้งของที่ว่าการอำเภอเสลภูมิ
อาณาเขตตำบล :
ทิศเหนือ จรดตำบลหาเมือง อ.เสลภูมิ จ.ร้อยเอ็ด
ทิศใต้ จรดตำบลกลาง อ.เสลภูมิ จ.ร้อยเอ็ด
ทิศตะวันออก จรดตำบลเมืองไพร อ.เสลภูมิ จ.ร้อยเอ็ด
ทิศตะวันตก จรดตำบลมะบ้า กิ่ง อ. ทุ่งเขาหลวง จ.ร้อยเอ็ด
จำนวนประชากรของตำบล :
จำนวนประชากรทั้งสิ้น 3,174 คน เป็นชาย 1,528 คน เป็นหญิง 1,546 คน
ข้อมูลอาชีพของตำบล :
อาชีพหลัก ทำนา ทำไร่
อาชีพเสริม ค้าขาย
ข้อมูลสถานที่สำคัญของตำบล :
1) วัดป่าขวัญเมือง
2) ที่ว่าการอำเภอ
3) โรงเรียน 3 แห่ง (รร.เสลภูมิพิทยาคม,รร.เสลภูมิ,รร.ศรีอรุณวิทย์)
นางสาวชลลดา ตันนารัตน์ รหัส52010517065 ชั้นปีที่ 2 สาขาวิชาจิตวิทยา ระบบปกติ คณะศึกษาศาสตร์
หมู่บ้านที่ดิฉันอาศัยอยู่ คือบ้านวังยาง โดยแยกออกมาจากบ้านเมืองบาง ตำบลวัดธาตุ อำเภอเมือง จังหวัดหนองคาย
ประวัติความเป็นมา :
เดิมตำบลวัดธาตุขึ้นอยู่กับตำบลหาดคำ ซึ่งมีหมู่บ้านจำนวน 17 หมู่บ้าน ต่อมาในปี 2510 ได้แยกออกจากตำบลหาดคำ มาตั้งเป็นตำบลวัดธาตุ เริ่มแรกมี 9 หมู่บ้าน ปัจจุบันมี 14 หมู่บ้าน
สภาพทั่วไปของตำบล :
ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของที่ว่าการอำเภอเมืองหนองคาย ไปทางถนนอำเภอโพนพิสัย ห่างจากที่ว่าการอำเภอ 4.50 กิโลเมตร เนื้อที่ 59.20 ตารางกิโลเมตร หรือ 37,000 ไร่ เป็นพื้นที่ราบลุ่ม มีหินลูกรังปะปนบางส่วน
อาณาเขตตำบล :
ทิศเหนือ ติดกับ ตำบลหาดคำ และ เทศบาลเมืองหนองคาย อำเภอเมือง จังหวัดหนองคาย
ทิศใต้ ติดกับ ตำบลจอมศรี อำเภอเพ็ญ จังหวัดอุดรธานี
ทิศตะวันออก ติดกับ ตำบลจอมศรี อำเภอเพ็ญ จังหวัดอุดรธานี
ทิศตะวันตก ติดกับ ตำบลโพธิ์ชัย และ ตำบลค่ายบกหวาน อำเภอเมือง จังหวัดหนองคาย
จำนวนประชากรของตำบล :
จำนวนประชากรในเขต อบต. 9,339 คน และจำนวนหลังคาเรือน 2,193 หลังคาเรือน
ข้อมูลอาชีพของตำบล :
อาชีพหลัก ทำนา
อาชีพเสริม ค้าขายและรับจ้าง
ข้อมูลสถานที่สำคัญของตำบล :
1. อบต.วัดธาตุ
2. สถานีอนามัย
3. วัดศรีบัวนาง
สภาพชุมชนโดยรวม
1) สภาพชุมชนรอบบริเวณเป็นชุมชน ชนบท ..มีประชากรประมาณ…1,386 .คน บริเวณใกล้เคียง
โดยรอบได้แก่ หมู่บ้านและทุ่งนา อาชีพหลักของชุมชน คือ การทำนา เนื่องจากพื้นที่เป็นที่ลุ่ม
ส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ ประเพณี/ศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่นที่เป็นที่รู้จักโดยทั่วไป
คือ งานบุญมหาชาติ (บุญพระเหวด)
2) ผู้ปกครองส่วนใหญ่ จบการศึกษาระดับประถมศึกษา
ร้อยละ 100 .ประกอบอาชีพ อาชีพหลักการทำนา อาชีพรอง คือการรับจ้าง
ร้อยละ 100 นับถือศาสนา พุทธ
ฐานะทางเศรษฐกิจ /รายได้โดยเฉลี่ยต่อปี 50,000 บาท
นายชิโนรส ชมภูคำ
52010521018 ระบบพิเศษ
ภาษาในท้องถิ่น
ภาษาที่ใช้ในชุมชนบ้านท่าขอนยาง
ความเป็นมาของชาวญ้อ
เดิมอยู่ที่เมืองหงสา ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของประเทศลาว มีพรมแดนติดต่อกับจีน พุทธศักราช 2341 สมัยรัชการที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ชาวญ้อส่วนหนึ่งได้อพยพมาตามแม่น้ำโขง มาตั้งเมืองไชยบุรี อยู่บริเวณปากน้ำสงคราม จนถึงสมัยรัชกาลที่ 3 ชาวญ้อเมืองชัยบุรีถูกเจ้าอนุวงศ์กวาดต้อนไปอยู่เมืองปุนเลง เมืองคำม่วนและเมืองคำเกิด ทางฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงพุทธศักราช 2375 เจ้าพระยาบดินทร์เดชา แม่ทัพไทยได้กวาดต้อนชาวญ้อจากเมืองปุนเลง เมืองคำม่วน เมืองคำเกิด กลับมาอยู่ในภาคอีสาน ที่เมืองอุเทน จังหวัดนครพนมจากจดหมายเหตุรัชการที่ 3 จุลศักราช 1200 กล่าวว่า เมื่อครั้งแม่ทัพไทย พระยาสุนทรราชวงศา พระยาประเทศธานี ได้นำตัวท้าวคำก้อน เจ้าเมืองคำเกิด พร้อมด้วยเพี้ยไชยสงคราม เพี้ยวงศ์ปัญญา และเพี้ยเมืองขวา ของเมืองคำม่วน กับท้าวเพี้ยเมืองต่างๆลงไปเฝ้าพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 3 ที่กรุงเทพฯ ต่อมาได้โปรดเกล้าฯให้ครัวคำก้อน เมืองคำเกิด 1,000 คนเศษ ไปตั้งบ้านเรือนอยู่ที่บ้านท่าขอนยาง ครัวเมืองขวา เมืองคำม่วน 4,000 คนเศษ ไปตั้งอยู่ที่บ้านแซงบาดาล อำเภอสมเด็จ จังหวัดกาฬสินธุ์ต่อมาได้โปรดเกล้าฯ เกลี้ยกล่อมผู้คนจากเมืองคำม่วน เมืองคำเกิด ให้อพยพม่าอยู่ในเขตไทยมากขึ้น และโปรดเกล้าฯ ให้ไปตั้งบ้านเมืองอยู่ที่ไชยบุรี 133 เมืองท่าอุเทน 30 โดยให้เลือกอยู่ตามใจสมัคร ชาวญ้อ เดิมอยู่ที่ไหนและมีเชื้อสายติดต่อมาจากชาติใดไม่ปรากฏ เมื่อขุนบรมชาวเวียงจันทร์ได้ปลีกตัวออกเป็นก๊กขึ้นที่เมืองคำเกิด ซึ่งเป็นพวกญ้อ ขึ้นอยู่ในความปกครอง ของเมืองเวียงจันทร์ ในพุทธศักราช 2379 เมืองเวียงจันทร์เสียแก่กรุงเทพฯ รัชกาลที่ 3ทรงรับไว้อยู่ใต้ร่ม
เมื่อพุทธศักราช 2382 ได้อพยพราษฎรจากเมืองคำเกิfมาตั้งที่บ้านท่าขอนยางต่อมาในปีพุทธศักราช 2427 พระยาสุวรรณภักดี ( ผู้บุตร ) พาไพร่พลประมาณ 300คนอพยพไปทำราชการขึ้นกับเมืองท่าอุเทนในสมัยปัจจุบันนี้ชาวญ้อกระจัดกระจายอยู่ในหลายท้องที่ทั่วประเทศไทยเฉพาะภาคอีสานมีชาวญ้ออยู่ในท้องที่จังหวัดอุดรธานี จังหวัดกาฬสินธุ์ จังหวัดสกลนคร จังหวัดนครพนม จังหวัดมุกดาหารและจังหวัดมหาสารคาม
ซึ่งอยู่ในท้องที่อำเภอกันทรวิชัย ได้แก่ บ้านท่าขอนยาง บ้านหนองขอน บ้านยาง
บ้านส้มป่อย บ้านกุดน้ำใส
แสดงความคิดเห็น