My name is Supawadee Kaewchiengtai. My nick name is Kook who wears the glasses and has a short hair. Now I’m 20 years old who like to sit in the second rows of your class. I was born in February 6 1990 at the hospital in Roi-Et. I am eldest sister who have two younger sisters and one youngest brother. My mom is the owner of the stationary who has almost 46 years old. My dad works in Bangkok who has 48 years old. Unfortunately now my mom has the new business in Bangkok so she is rarely come back home. Every weekend I have to go back home to take a good care of my sisters and my brothers. All I usually do is wake them up, take them to school, bring them the meals and bring them to have dinner with our aunt and grandfather. Even though I’m not often seeing my mom and my dad, we still keep in touch by calling or texting. As I grown up in this huge world, I had faced to many good and bad things. When I was young, I was very easy to cry. For example, if I couldn’t get what I want, I automatically started to cry and scream. I also cried when my mom or even my dad complained me because it made me so sad. I entered to the Kindergarten at Anuban Roi-Et School. I was very lazy at class and often sleepy,haha. I remembered once that the teacher gave me the task to pain the picture, but I was sick and took the medicines. I pained for a little while and then became felt asleep with the task. After everyone finished painting, the teacher woke me up and I realized my error that the task was on my face because it adjoined with my snot. I was very shy in that day. Two year later, I studied in Pratomsuksa1 which still be lazy study in class. I hadn’t many friends as the others people. Someday when I was in Pratomsuksa5, I met a teacher who taught me English course. She was very smart and kind teacher. I also took the tutor class with her after school. Then from those days I have interested in English and try to practice English a lot. According to I have confidence to speak English; I like to speak English the foreigners whenever I meet them. My family always supports me to study English and another subject as well. Since this time, I was becoming known by the teacher and the competition. It was indeed different from in the past. I graduated from Anuban Roi-Et with GPA 4.00 and it made me so proud and happy so much. Oh I had more friends than Pratomsuksa1 also. I entered to Strisuksa School for lower secondary school. There were around forty people in class. I didn’t like crowded at all. I went to school late and I didn’t like many teachers at school. I thought they were not the good teacher following the qualities of them which were very low. They were not mature at all. So I intended studying only the class that I like. Unfortunately I didn’t like the teacher who taught at Strisuksa School, so I got the bad grad from her. It is okay because I didn’t pay attention in her class. I liked to complain the teachers that I don’t like to my family. And I didn’t know that my mom called to my class teacher and what I knew is the English teacher blamed me in class and she liked to sarcastic me in class. It was very super bad experience in school for me. At this time I didn’t have any good thing at all except friends that always cheer me up. I was neither good in English nor another subject. My family being complained me more and more everyday. It was driving me crazy about this feeling. So when I have the problems, I would just like on the notebook because I couldn’t tell my family. Nevertheless we became understanding each other when I entered to high school which different from the others. I studied homeschooled course but I went to Strisuksa School for language subjects and studied Science and Mathematics in Roi-Et Wittayalai School. There were some teachers asked me to guide about homeschooled course and I thought I didn’t it not pretty good because there was no one study like me except the foreigners.
(continue) I graduated high school from Non-formal education but I never go to study at this places, I only got to do the test there. And when I entered to the university, I didn’t want to study Education but my mom command me so I have to do it. When I was the freshmen at MSU, I thought I would be the stupid person in class, I didn’t know why I felt like that. So it made me lack of confidence a lot. My day is come when I studied in the second year when I studied with American teacher. My life has got better a lot. I was very happy and have more confidence to speak English. I paid attention in class and review the content after class almost every night. As it said that “The more you learn, the more you know” Because of I love English, I decided to go to work and travel in America during the summer. It was so awesome time of my life. I have known many American friends and traveled in the famous places. I wouldn’t have this experience, if I didn’t change my thought to be positive. I have tried very hard to love every teacher that I took their courses. It is not only student to adjust in class but the teacher also. Now time passes so fast, it has been four years to study at MSU. I love my university, my books, my dorm, my friends, my teachers and my life here and I will try my best to do my duty because there is only one more year to be the student. We can’t move the clock back. So do everything best so that we won’t regret what we have done!
ประวัติวัยแสบตอนเรียนประถมศึกษาถึงมัธยมศึกษา ตอนดิฉันอยู่ประถมศึกษาดิฉันเคยสร้างวีรกรรมกับผู้ชายคนหนึ่งที่ดิฉันไม่เคยชอบขี้หน้าเลยเพราะเป็นคนที่ชอบโชว์จนหน้าเกียจแล้ววันหนึ้งดิฉันนั่งอยุู่ที่ห้องสมุดของโรงเรียนแล้วเข้ามาพูดให้ดิฉันไม่เข้าหูเลยดิฉันเลยสงเคราะห์ให้โดยการผลักตกตู้หนังสือสูงประมาณ 1 เมตร แล้วเผอิญมีเก้าอี้พังอยู่ตังหนึ่งแล้วผู้ชายคนนั้นไปโดยตะปูเข้าอย่างจังจนได้เย็บเลยที่เดียว แล้วเขาไปบอกแม่ของดิฉันแล้วแม่ของดิฉันไม่คุยกับดิฉันเลยแล้วดิฉันน้อยใจมากกว่าทำไมไม่ฟังเหตุผลของดิฉันเลยว่าทำไมทำอย่างนั้น และตอนมัธยมดิฉันเคยหนีเรียนเพราะจะกลับบ้านไปงานบุญบั่งไฟประจำปีเป็นครั้งแรกที่เคยทำอย่างนั้นและสัญญากับตัวเองว่าจะไม่ทำอย่างนี้อีกจนกระทั้งจบการศึกษาระดับมัธยม และเรื่องของความเป็นเพื่อนตอนเรียนก็มีทั้งดีและไม่ดีแล้วแต่เรราจะเลือกครบเพื่อนแต่เพื่อนมนกลุ่มของดิฉันก็มีทั้งดีและไม่ดีเหมือนกันแต่เรามีทางเลือกที่จะทำอย่างไรกับชีวิตของเรา กิจกรรมในโรงเรียนก็มีแต่รำไทยเพราะเป็นสมาชิกของชมรมรำไทยและรำพื้นบ้านของโรงเรียนและเมื่อมีงานอะไรประจำโรงเรียนก็ได้ออกงานตลอดและสิ่งที่ประทับใจมากที่สุดคือได้รำพื้นบ้านชุดรำตังหวายเพื่อถวายหม่อมหญิงอุบลรัตร์ เนื่องในโอกาศ To Be Number One ของโรงเรียนก็ดีใจมากที่ได้ไกล้ชิดเห็นหน้าของท่านไกล้ๆเป็นเรื่องที่ประทับใจมากในชีวิตอีอย่างหนึ้งเลยค่ะ
74 ความคิดเห็น:
ประวัติและผลงาน
ชื่อ – สกุล นางสาวประทุมศรี บริบูรณ์
ชั้นปีที่ 4 สาขาภาษาอังกฤษ คณะศึกษาศาสตร์
ที่พักปัจจุบัน เลขที่ 64/3 หมู่ที่ 20 ห้อง 101 หอสำราญ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ตำบลตลาด
อำเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม 44000
โทรศัพท์มือถือ 088-7323155 E-mail : ringwane.503@เmail.com
ชื่อ – สกุล บิดา นายแสวง บริบูรณ์ อาชีพ รับจ้างทั่วไป โทรศัพท์ 085-7627-7823
มารดา นางทองมา บริบูรณ์ อาชีพ รับจ้างทั่วไป โทรศัพท์ 08- 2861-9733
อาจารย์ที่ปรึกษา รศ.ดร.ธูปทอง กว้างสวาสดิ์ โทรศัพท์ 08-3327-599
ประวัติการศึกษา
กำลังศึกษาชั้น ปริญญาตรี ระบบปกติ
ชื่อสถาบันศึกษา มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
จบการศึกษาระดับ มัธยมศึกษาตอนปลาย ปีการศึกษา 2549
ชื่อสถาบันศึกษา โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 32 จังหวัดอุบลราชธานี
จบการศึกษาระดับ ประถมศึกษา ปีการศึกษา 2543
ชื่อสถาบันศึกษา โรงเรียนกันทรารมย์ จังหวัดศรีสะเกษ
ประสบการณ์การทำกิจกรรมและเข้าร่วมในอดีตถึงปัจจุบัน
1.เป็นตัวแทนนิสิตองค์กรนิสิตมหาวิทยาลัยมหาสารคาม เข้าร่วมโครงการพัฒนาศักยภาพผู้นำนิสิตและบุคลากรฝ่ายพัฒนานิสิตสู่ความเป็นสากล ระหว่างวันที่ 16-19 กันยายน 2552 ณ มหาวิทยาลัยแห่งชาติฟิลิปปินส์ ประเทศฟิลิปปินส์
2.เป็นวิทยากรโครงการ ร่วมต้านภัยไข้หวัด 2009 โรงเรียนบ้านส้มโฮง จังหวัดมหาสารคาม ปีการศึกษา 2552
3.พิธีกร โครงการ คนรุ่นใหม่ ไร้แอลกอฮอล์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ประจำปีการศึกษา 2552
4.เป็นคณะกรรมชุดเตรียมความพร้อมประชุมเชียร์มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ปีการศึกษา 2550
5.เป็นคณะกรรมโครงการคุณธรรมนำความรู้สู่การสร้างสรรค์สังคมน่าอยู่แก่สังคม (ลูกพระธาตุนาดูน) 4 -7 มิถุนายน 2552 ณ พระบรมธาตุนาดูน อ.นาดูน จ.มหาสารคาม
6.เป็นคณะกรรมการพิธีไหว้ครูประจำปี 2550 และประจำปี 2552
7.เป็นคณะกรรมโครงการสัมมนาพัฒนาศักยภาพผู้นำองค์กรนิสิตประจำปี 2550 และประจำปี 2552
8.เป็นคณะกรรมการดำเนินงานประเพณีสงกรานต์รวมใจ มหาวิทยาลัยมหาสารคามกับชุมชนประจำปี 2550,2552
เกียรติประวัติด้านอื่น ๆ
1.ได้รับทุนภูมิพล ประเภทสร้างชื่อเสียงให้แก่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ประจำปีการศึกษา 2553
2.ได้รับทุนการศึกษา ประเภท ทุนอุดหนุนส่งเสริมนักกีฬาและศิลปวัฒนธรรม ปีการศึกษา 2551
3.รองชนะเลิศอันดับ 3 มินิมาราธอน รายการแข่งขันขอนแก่นมาราธอนนานาชาติ ครั้งที่ 5 วันที่ 27 มกราคม 2551 และครั้งที่ 7 วันที่ 24 มกราคม 2553 ณ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
4.รองชนะเลิศอันดับ 2 มินิมาราธอน รายการแข่งขัน อบจ.ลำพูน มินิมาราธอน ครั้งที่ 4 วันที่ 13 ธันวาคม2552 จังหวัดลำพูน
5.รองชนะเลิศอันดับ 2 มินิมาราธอน การแข่งขันมุกดาหารมาราธอน ครั้งที่ 2 วันที่ 20 ธันวาคม 2552 จังหวัดมุกดาหาร
6.รองชนะเลิศอันดับ 1 มินิมาราธอน รายการแข่งขันมินิมาราธอน ครั้งที่ 2 สวนพฤกษาศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ 12 ธันวาคม 2552 จังหวัดเชียงใหม่
7.ชนะเลิศอันดับ 1 รายการแข่งขันกีฬาเปตองหลีก มหาวิทยาลัยมหาสารคาม 1 –10 กุมภาพันธ์ 2551
8.ได้รับทุนการศึกษา ประเภท ทุนเยาวชนดีเด่นประจำปีการศึกษา 2548 จังหวัดอุบลราชธานี
9.ได้รับรางวัลนักกีฬาดีเด่น ประจำปีการศึกษา 2547 จังหวัดอุบลราชธานี
ประวัติส่วนตัว
ชื่อ - สกุล นายกมล บุญเกษม ชื่อเล่น บอย
เกิดวันศุกร์ ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2531 กรุ๊ปเลือด O
บิดาชื่อ นายธวัช บุญเกษม
ปัจจุบันบิดาทำงาน ที่ประเทศ บรูไน เบอร์โทร 009-673-8674572
มารดา นางนงลักษณ์ บุญเกษม
ปัจจุบันทำงาน ครูพี่เลี้ยงศูนย์วัดอรัญญาวาส บ้านโจดกลาง อำเภอคอนสาร จังหวัดชัยภูมิสังกัดกรมการปกครองส่วนท้องถิ่น และ ขณะนี้กำลังฝึกประสบการณ์วิชาชีพครู ของมหาวิทยาลัยราชภัฏเลย เบอร์โทร 0879468874
มีบุตรร่วมบิดามารดา 2 คน
1. นายกมล บุญเกษม กำลังศึกษาที่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม คณะศึกษาศาสตร์
2. นายดนุพล บุญเกษม ประกอบธุรกิจส่วนตัว เป็นเจ้าของรถ แม็คโค
ที่อยู่ตามทะเบียนบ้าน 256 หมู่ 4 บ้านโจดกลาง ตำบลโนนคูณ อำเภอคอนสาร จังหวัดชัยภูมิ 36180
ที่อยู่เมื่อเวลากลับบ้านปัจจุบัน 29 หมู่ 1 บ้านโนนคูณ ตำบลโนนคูณ อำเภอคอนสาร จังหวัดชัยภูมิ 36180
ที่อยู่ปัจจุบัน หอพักชายยศพล 32/2 ซอยนครสวรรค์ 32 ถนนนครสวรรค์ ตำบลตลาด อำเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม 44000
เบอร์โทร 084-8872357
E-mail Kamon_2531@hotmail.com
ประวิติการศึกษา
ชั้นประถมศึกษา จบจากโรงเรียนชุมชนชมแพ อำเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น
ชั้นมัธยมศึกษา จบจากโรงเรียนโนนคูณวิทยาคาร รัชมัคลาภิเษก จังหวัดชัยภูมิ
ปัจจุบันกำลังศึกษาที่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
สาขาวิชาภาษาอังกฤษ ชั้นปีที่ 4
อาจารย์ที่ปรึกษา รศ. ดร. ธูปทอง กว้างสวาสดิ์
ประสบการณ์การทำกิจกรรม
1. เยาวชนสารานุกรมไทย สโมสรไลอ้อนส์ อำเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น
2. ประธานชมรมอาหารและยา โรงเรียนโนนคูณวิทยาคาร รัชมังคราภิเษก
3. ประธานนักเรียนโรงเรียนโนนคูรวิทยาคาร รัชมังคารภิเษก
4. ดีเจประสถานีวิทยุ 105.0 ของอำเภอชุมแพ ให้ความรู้เกี่ยวกับอาหารและยา
5. ชนะเลิศอันสองการประกวดโครงการอาหารและยา ภาคอีสาน สองปีซ้อน
6. ชนะเลิศรองอันดับสองการประกวดพานบายศรี ประยุตร์
7. กรรมการโครงการ เยาวชนวัยใสห่างไกลเอดส์ ที่ร่วมกับทางโรงพยาบาลมหาสารคาม
8. กรรมการค่าย เยาวชนห่างไกลเอดส์ ภาคอีสาน จัดโดยกลุ่มภาคี องค์อิสระ
9. ชนะเลิศการประกวดการจัดรายการโทรทัศน์วิทยุ คณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์
10. ประกวดผู้ประชุมเชียร์ประจำสาขาภาษาอังกฤษ
11. เป็นหัวหน้าสาขาภาษาอังกฤษ ประจำปีการศึกษา 2553
12. เป็นคณะกรรมการประกวดการตัดสินขบวน กีฬาบุนาคเกมส์
ประวัติย่อในสมัยเรียน
กระผมเรียนที่โรงเรียนชุมชนชมแพ ในสมัยประถม เป็นโรงเรียนประจำอำเภอ ในสมัยเด็กเป็นคนดื้อและเอาแต่ใจค่อนข้างมาก แต่พอเรียนในโรงเรียนประถมกระผมต้องปรับตัวให้เข้ากับเด็กในเมืองก็ว่าได้ เพราะตัวเองเป็นเป็นอีกอำเภอหนึ่งที่บ้านอยู่ใกล้กับอำเภอชุมแพ ถ้ามองแล้วตัวเองก็เป็นเด็กบ้านอกครับ เพราะเพื่อนร่วมชั้นต่างมีแต่ลูกคนรวยก็ว่าได้ แต่วัยเด็กก็เป็นอีกวัยหนึ่งที่มีความสนุกสนาน ต้องตื่นแต่เช้าเพราะต้องไปเรียนที่ห่างจากบ้าน แต่ก็ยังดีมีรถรับส่งไปโรงเรียนและเลิกเรียนสี่โมงเรียนมีเวลาพักหนึ่งชั่วโมง เพื่อเตรียมตัวเรียนพิเศษ จันทร์ถึงศุกร์และช่วงนี้ถือว่าเรียนหนักเพราะ เสาร์ อาทิตย์ก็ต้องไปเรียนพิเศษที่โรงเรียนพิเศษแห่งหนึ่งในอำเภอชุมแพ ช่วงปิดเทอมผมกับเพื่อนๆก็ต้องเข้ามาเรียนพิเศษที่ในเมืองจังหวัดขอนแก่นพอจบการศึกษาในระดับประถม ก็ต้องมีการสอบแข่งขันเพื่อเข้าในโรงเรียนชุมแพศึกษา และโรงเรียนแก่นนคร ผมสอบได้ แต่ก็ต้องเสียใจเพราะโรงเรียนที่สอบได้คือ แก่นนคร แต่ตอนนั้นยังไม่อยากมาเรียนไกล ชุมแพศึกษาดันสอบไม่ได้ ก็เลยถามแม่ว่าไปเรียนที่บ้านก็ได้นิครับ ในชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น และระดับตอนปลายกระผมก็เรียนที่โรงเรียนโนนคูณวิทยาคาร รัชมังคลาภิเษก ดีใจจังไม่ต้องตื่นแต่เช้า ไม่ได้เรียนพิเศษ แต่ก็ไม่วายแม่ส่งไปเรียนพิเศษอย่างอื่นตามเคย แต่ก็ถือว่ามีความสุขครับ มายมีการแก่งแย่งชิงดี แต่สิ่งที่ดีคือเราแข่งกลับตัวเอง ในระดับมัธยมก็ให้อะไรหลายๆอย่างมากทั้งการออกค่าย เป็นตัวแทนการประกวดทุกอย่าง วิชาที่ชอบมากตอนนั้นตอบไม่ได้ บอกได้อย่างเดียวอยากเป็นเภสัชกร แต่ช่วงใกล้จบก็ลองทุกอย่างสอบทุน หมอภูมิพล แต่ก็ไม่เสียใจที่ไม่ได้เพราะถือเป็นสนามสอบแรก และคนที่มาสอบก็มีแต่คนเก่ง กลับจากต่างประเทศเพื่อนมาสอบ เราละ คิดแล้วซิ ตั้งใจมาสอบเภสัชที่มหาวิทยาลัยขอนแก่นในรอบโคต้า ส่วนมหาวิทยาลัยมหาสารคาม ได้เลือกคณะเภสัชศาสตร์สอบทั้งสองมหาวิทยาลัยก็ไม่ได้ ผมลองนั่งรถไปกลับขอนแก่นกับชุมแพเพื่อมาสอบเภสัชภาคสมทบ มีทั้งสมทบธรรมดา และอินเตอร์ ผมสอบได้อินเตอร์ก็ดีใจมากครับ คิดไปแล้วทำไมแพงจัง และมหาลัยมหาสารคามผมก็ดันไปติดคณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ ผมก็ตัดสินใจมาเรียนที่นี่ จะปีสองแล้วคิดในใจว่าจะย้ายคณะเลยตัดสินใจย้ายมาที่คณะศึกษาศาสตร์ สาขาภาษาอังกฤษ เพราะใจคิดอยากเป็นครูแล้ว และก็เข้าร่วมกิจกรรมต่างในมหาวิทยาลัย จนถึงปัจจุบัน
ประวัติส่วนตัว แบบย่อ ๆ
ชื่อ – สกุล นางสาวทองจันทร์ ประทุม ชื่อเล่น ริน อายุ 22 ปี
เกิด วันจันทร์ กรุ๊ปเลือด B
สถานภาพ บิดา-มารดา หย่าร้าง
ผู้ปกครอง นายคารม ประทุม
พ่ออุปถัมภ์ Mr. Howard B. Mirkin
ที่พักปัจจุบัน 95 – 109 ศูนย์หอพักตักสิลานคร ตึก T ห้อง T-214 หมู่ 14 ต. เกิ้ง ถ. ถีนานนท์
อำเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม 44000
E-mail : dowlookkai23@hotmail.com
อาจารย์ที่ปรึกษา รศ.ดร.ธูปทอง กว้างสวาสดิ์
งานอดิเรก อ่านหนังสือนิยายทุกประเภท อ่านนิตยสารรายเดือน National Geo Graphic ฟังเพลงสากล
สีที่ชอบ สีน้ำเงิน สีฟ้า
สัตว์ที่ชอบ ปลาโคเมท ปลาทองพันธุ์ออรันดา ปลาทองหัวสิงค์ ปลาคร๊าฟ
ความสามารถพิเศษ นอกจากหายใจเป็นปกติได้ ก็หลับมาราธอน (ขำ ๆ) ความสามารถจริง ๆ ก็เล่นกีฬาวอลเลย์บอล เล่นดนตรีได้บ้างนิดหน่อย เช่น ออร์แกน อิเล็กโทน เบลไลรา เป่าเมโลเดียน
วิชาที่ชอบ คณิตศาสตร์-วิทยาศาสตร์ ภาษาอังกฤษ
คติประจำใจ ถ้าลงมือทำแล้ว ไม่มีสิ่งไหนที่ทำไม่ได้
นิสัย ในมุมมองของคนอื่น มองว่า ข้าพเจ้าเป็นคนเอาแต่ใจ พูดมาก ปากร้าย แต่ในมุมมองของตัวข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าเป็นคนขี้เล่น (แต่ไม่เล่นขี้) อารมณ์ขัน (แต่ไม่ใช่ไก่นะ) ใจดี (เป็นบางครั้ง) เปิดเผย ตรงไปตรงมา
ประวัติการศึกษา
ปัจจุบัน กำลังศึกษาระดับปริญญาตรี ระบบปกติ สาขาภาษาอังกฤษ ชั้นปีที่ 4 คณะศึกษาศาสตร์
ชื่อสถาบันศึกษา มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
จบการศึกษาระดับ มัธยมศึกษาตอนปลาย ปีการศึกษา 2549
ชื่อสถาบันศึกษา โรงเรียนศรีรัตนวิทยา อำเภอ ศรีรัตนะ จังหวัดศรีสะเกษ
จบการศึกษาระดับประถมศึกษา ปีการศึกษา 2543
ชื่อสถาบันศึกษา โรงเรียนบ้านป่าไร อำเภอ พยุห์ จังหวัด ศรีสะเกษ
ประสบการณ์ชีวิตในวัยเรียนตั้งแต่สมัยประถม – มัธยมศึกษา
สมัยเด็ก ๆ ตอนข้าพเจ้าเรียนประถมศึกษา ข้าพเจ้าค่อนข้างเป็นเด็กกะโปโล ซนเป็นลิง นิ่งเหมือนม้าดีดกะโหลก ตอนเรียนอนุบาล ไม่ชอบเข้าห้องเรียน ชอบเล่นกับเด็กผู้ชาย เพราะน้าผู้ชายเลี้ยงตั้งแต่เด็ก ๆ เลยชอบมีเพื่อนเป็นเด็กผู้ชายมากกว่าผู้หญิง พอเข้าเรียนประถมศึกษาได้รับเลือกให้เป็นหัวหน้าห้องตั้งแต่ชั้น ป. 1 – ป. 6 รู้สึกเป็นเกียรติกับตำแหน่งนี้หรือไม่? เปล่าเลย! รู้สึกเป็นทุกข์มากเลยทีเดียว เพราะทุกคนจะมองเราเป็นที่พึ่งกันหมด การบ้านเพื่อนไม่เสร็จลอกหัวหน้า เพื่อนไม่เข้าห้องเรียน หัวหน้าไปตาม เวลาคุณครูให้นำเสนองาน หัวหน้าก่อนตลอด แต่ตอนนี้รู้สึกดีใจมาก เพราะสิ่งเหล่านั้นทำให้ข้าพเจ้ามีนิสัยชอบเป็นผู้นำตั้งแต่เด็ก กล้าตัดสินใจ กล้าแสดงออก และมีความมั่นใจในตัวเองสูง เหตุผลประการหนึ่งที่ข้าพเจ้าได้รับเลือกให้เป็นหัวหน้าห้องเรียนมาโดยตลอด เพราะข้าพเจ้าสอบได้ที่ 1 มาโดยตลอดในสมัยเรียนประถมตั้งแต่ ป.1 – ป.6 การที่ข้าพเจ้าสอบได้ที่ 1 ไม่ใช่เพราะข้าพเจ้าเรียนเก่ง แต่เป็นเพราะน้าผู้ชายจะชอบพาทำการบ้านและให้อ่านหนังสือเป็นประจำ ตอนเด็ก ๆ ข้าพเจ้ารู้สึกน้อยใจทำไมน้าถึงไม่ยอมให้ข้าพเจ้าไปเล่นเหมือนเด็กคนอื่น ๆ แต่ทุกวันนี้ข้าพเจ้ารู้สึกดีใจ และขอบคุณทุกสิ่งทุกอย่างที่น้าของข้าพเจ้าได้ทำให้กับข้าพเจ้า เพราะได้ทำให้ข้าพเจ้าได้รู้จักตัวตนของตัวเองตั้งแต่เด็ก ๆ รู้จักคำว่า หน้าที่ ความรับผิดชอบ และความอดทน เอาชนะใจตนเอง
สมัยมัธยม ตอนสมัยมัธยม ข้าพเจ้าได้รับฉายา จากเพื่อน ๆ มากมาย ได้แก่ ลิงลม (จำไม่ได้ใครตั้งฉายานี้ให้) อีเลื่อม (นี่ก็ไม่รู้ใครตั้ง) เขมากริน (ฉายานี้มาจากการที่ชอบใช้สายตากัดจิกเพื่อนเวลาไม่พอใจ) และฉายาอื่น ๆ อีกมากมายที่เลือนหายไปตามกาลเวลา อย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้าได้รับการไว้วางใจจากเพื่อน ๆ (ไม่รู้ไว้ใจได้ยังไง) และน้อง ๆ โรงเรียนศรีรัตนวิทยา ให้ได้รับเลือกเป็นคณะกรรมการนักเรียน ตั้งแต่ปี 2545-2547 และได้เป็นวิทยากรโครงการพี่อาสาสู่น้องกาชาด พ.ศ. 2549 และวิทยากร โครงการ “
ค่ายผู้นำอาสาพัฒนาสถานศึกษา ปี 2549 และอื่น ๆ อีกมากมาย เป็นต้น
สมัยเรียนมหาลัย-ปัจจุบัน ช่วงชีวิตในมหาลัยข้าพเจ้าไม่ค่อยได้ทำกิจกรรม อย่างเช่น สมัยประถมกับสมัยมัธยม แต่ข้าพเจ้าจะเลือกทำเป็นบางกิจกรรมที่มีความจำเป็นจริง ๆ เช่น เข้าประชุมเชียร์ เข้าค่ายครูภาษาอังกฤษ เข้าค่ายชมรมครูอาสา เป็นต้น และข้าพเจ้าต้องขอขอบพระคุณท่านอาจารย์รังสรรค์ที่ได้มอบตำแหน่งอันทรงเกียรติให้กับข้าพเจ้า นั่นคือ ตำแหน่งหัวหน้าห้องชั้นปีที่ 4 เทอม 2 และประธานสาขาวิชาภาษาอังกฤษในปัจจุบัน ข้าพเจ้ารู้สึกซาบซึ้ง และปลื้มปีติกับตำแหน่งนี้เป็นอย่างยิ่ง จนอยากร้องไห้เป็นภาษาอังกฤษกันเลยทีเดียว ประวัติของข้าพเจ้า กับวีรกรรมส่วนตัวเล่าเป็นชาติก็ไม่จบ ข้าพเจ้าขอจบเพียงเท่านี้ เพราะพื้นที่บล็อกของอาจารย์มีน้อย ด้วยความเคารพอย่างสูง
ดิฉันชื่อนางสาวแพรวมาศ วิทยาวุฒิ ชื่อเล่น ตู่ ที่มาของชื่อเล่นนี้พี่สาวตั้งให้ ตอนที่ตั้งชื่อนั้นหล่อนอายุแค่ 2ขวบ ถ้าหล่อนอายุเยอะกว่านั้น มีสติกว่านั้นดิฉันอาจจะได้ชื่อเพราะๆ เริ่ดๆ เช่น แพนเค้ก โซเฟีย โมนิก้า อะไรแบบนี้ก็ได้ ฮ่าๆๆ ดิฉันเกิดวันอังคารที่5 กรกฏาคม 2531 มีพี่น้องทั้งหมด 2 คน มีพี่สาว 1คน ตอนนี้ดิฉันศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม คณะศึกษาศาสตร์ เอกภาษาอังกฤษ ชั้นปีที่ 4 อายุก็ 22ปีกว่าๆแล้ว รู้สึกว่าตัวเองแก่เหลือเกิน หน้าตาไม่เฟรชเหมือนเมื่อก่อน ฮ่าๆๆ ส่วนที่อยู่ตามสำเนาทะเบียนบ้าน 287 ม.2 ต.เมืองเพีย อ.กุดจับ จ.อุดรธานี 41250 โทรศัพท์ 088-5338334 E-mail address: tutu_paramour@hotmail.com พ่อแม่หย่าร้าง แต่มีพ่อเลี้ยงแสนดีมาดูแลแทนตั้งแต่ดิฉันยังเด็กอยู่
เมื่อวัยเด็กเรียนอนุบาลที่ รร. ประจำหมู่บ้าน ชื่อ รร.บ้านหัวขัว (พูดง่ายๆว่าเป็นเด็กบ้านนอกเต็มตัว) ต้องเดินไป รร.ทุกวัน ได้เงินไป รร. วันละ3บาท เพราะเอาข้าวกล่องไปกินเอง ตอนเที่ยงก็น้ำสับปะรด 1ถุง 1บาท ส้มตำ1ถุง 1บาท ขนม 1บาท กินอิ่มเสร็จสรรพพอดี บางวันเหลือเงินกลับไปหยอดกระปุกด้วย ประสบการณ์วัยเด็กก็มีโชกโชนพอสมควร เช่น แอบแม่ไปยิงนก ยิงหนู ยิงกิ้งก่า หาปลา เล่นน้ำในคลองท้ายหมู่บ้านกับเด็กข้างบ้าน ซึ่งเขาเป็นครอบครัวใหญ่มีเด็กตั้ง 5คนในบ้าน อยากสนุกก็เลยขอไปกับเขาทุกครั้งไป แต่คราวใดที่แม่จับได้ว่าแอบไปก็จะโดนตีด้วยก้านมะยมตามระเบียบ
เรียนชั้นประถมฯเรื่อยๆที่ รร.บ้านหัวขัวจนถึงป.5 ป.6 เริ่มฉายแววเด่นด้านภาษาไทย ทั้งแต่งกลอน เรียงความ ท่องบทอาขยาน ส่งเข้าประกวดทีไรชนะเลิศทุกที คุณครูจึงส่งเข้าแข่งขันการอ่านทำนองเสนาะระดับอำเภอ ได้รางวัลชนะเลิศ ก็ส่งตัวต่อไปในระดับจังหวัด ได้แค่ลำดับที่6 แต่ก็เป็นที่พอใจของทางโรงเรียนพอสมควร ช่วงประถมฯปลายๆดิฉันจำได้ว่ามีใบประกาศนียบัตรเกี่ยวกับการแข่งขันวิชาภาษาไทยเยอะมาก
พอจบ ป.6 ดิฉันก็อยากเข้าเรียนในเมือง เลยสอบเข้าที่ รร.อุดรพิชัยรักษ์พิทยา ได้ลำดับที่ 29 ของ นร.ที่มาสอบแข่งขันทั้งหมด ได้อยู่ห้องkingด้วย (แอบอวดนิดนึง)ตอนนั้นดีใจมาก ช่วงม.ต้นก็เรียนดีพอสมควร ภาษาอังกฤษนี่เก่งเป็นลำดับต้นๆของห้องเลยทีเดียว จบ ม.3ด้วยเกรดเฉลี่ย 3.25 พอจะขึ้น ม. ปลายรู้ว่าตัวเองชอบภาษาอังกฤษเลยเรียนสายศิลป์-คำนวณ ซึ่งเน้นภาษาอังกฤษเป็นหลัก พอเรียนช่วงม.ปลาย รู้สึกว่าตัวเองเป็นสาวแล้ว ไม่ค่อยสนใจเรียน เล่นๆ เรียนๆ โดดๆ เที่ยวๆ จบ ม.6 ด้วยเกรดเฉลี่ยที่ 2.55
หลังจากจบ ม.6 ก็สมัครเรียนไว้หลายที่ แต่ติดที่คณะศึกษาศาสตร์ เอกอังกฤษ มมส. เหตุผลหนึ่งที่เลือกเรียนครูเพราะคิดถึงอนาคตตัวเองและครอบครัวด้วยว่าพ่อเลี้ยงกับแม่ทำงานรับจ้าง ถ้าเกิดแก่ไปเจ็บป่วยขึ้นมาจะเอาเงินไหนไปรักษา สวัสดิการคนในครอบครัวก็ไม่มี ดิฉันก็เลยต้องเรียนครู ซึ่งใจจริง ลึกๆแล้วชอบการแต่งตัว ชอบเสื้อผ้า ชอบแฟชั่นมากกว่า แต่เพื่อนอนาคตที่มั่นคงก็เลยมาทางนี้
ตอนมาเรียนที่นี่แรกๆรู้สึกว่ามันบ้านนอกมาก แต่พออยู่ไปนานๆก็ผูกพันไม่อยากไปไหนแล้ว ตอนเรียนปี1-2 ดิฉันติดเพื่อน ก็เรียนๆ เที่ยวๆ ไม่ค่อยตั้งใจเรียน ทำให้เกรดที่ได้ไม่ค่อยดี ตอนนี้เกรดเฉลี่ยก็อยู่ที่ 2.81 แต่ ณ นัดนี้ไม่ค่อยได้เที่ยวแล้ว งานเยอะแยะมากมาย อีกอย่างก็คิดอะไรได้มากกว่าตอนเป็นเด็กแล้วด้วย เลยลด ละ เลิกการดริ๊งค์ไป เทอมนี้ก็เป็นเทอมสุดท้ายแล้วที่จะได้เรียน เทอมหน้าก็ต้องออกไปฝึกสอนที่ รร.ท่าขอนยางพิทยาคม เลยตั้งใจว่าจะทำเกรดให้ดีๆ
ซัมเมอร์ที่จะถึงนี้วางแผนไว้ว่าจะลงทุนหุ้นกับน้องต่างคณะขายเสื้อผ้าที่ตลาดนัด (ม.ใหม่) เพราะคนเยอะดี ถ้าเอาเสื้อผ้ามาขายก็คงจะมีรายได้เสริมบ้าง เลยอยากลองขายดู อยากเงินด้วยตัวเอง ไม่อยากขอแม่ทุกบาททุกสตางค์แล้ว บางทีช่วงไม่มีเงิน ดิฉันก็ขนเสื้อผ้าที่ไม่ใส่แล้วไปขายมือ2 ตามตลาดนัดกับเพื่อน เสียค่าที่ 100 ก็ขายได้ครั้งละ พันกว่าบาท ซึ่งมันก็โอเคมากในยามที่เราตกทุกข์ได้ยาก ฮ่าๆๆ
ทุกวันนี้แม่เฝ้าภาวนาให้ดิฉันเรียนจบเร็วๆ แม่บอกว่าถ้าจบแล้วก็อยากให้รีบสอบบรรจุให้ติดเลย แต่ดิฉันอยากพักก่อนสัก 1ปี สนองความฝันลำดับแรกของตัวเองด้วยการขายเสื้อผ้าไปก่อนแล้วค่อยสอบ แต่อนาคตไม่แน่ไม่นอน บางทีดิฉันอาจเฟ้นหาหนุ่มตาน้ำข้าว ฐานะมั่นคง สามารถดูแลครอบครัวดิฉันได้มาเป็นคู่ชีวิต แล้วดิฉันก็จะไปประกอบชีพอื่นที่ไม่ใช่แม่พิมพ์ของชาติก็เป็นได้
Patsuda 532
อัตชีวประวัติ
ข้าพเจ้านางสาวภัทรสุดา แก้วลุน เกิดวันที่ 28 เมษายน 2531 (1988) ในบ้านเลขที่ 48/4 หมู่4 ต.กระสัง อ.สตึก จ.บุรีรัมย์ ข้าพเจ้ามีพี่น้องทั้งหมด 3 คน พี่ชาย 1 คนและน้องสาว 1 คน
ที่พักปัจจุบัน : เลขที่ 64/3 หมู่ที่ 20 ห้อง 202 หอสำราญ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ตำบลตลาด
อำเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม 44000 เบอร์โทรศัพท์ 086-0175420 E-mail: g53-50010512532@hotmail.com ชื่อ
บิดา นายอ่วง แก้วลุน อายุ 60 ปี อาชีพ เกษตร มารดา นางทอง แก้วลุน อายุ 55 ปี อาชีพ เกษตร
งานอดิเรก อ่านหนังสือนิยาย เล่นเกมส์ ช้อปปิ้ง
อาหารที่ชอบ ส้มตำ ยำผัก สลัดปลาทู
ประวัติส่วนตัว
ข้าพเจ้าเริ่มเรียนอนุบาลตั้งแต่อายุ 5 ปี ที่โรงเรียนวัดบ้านสำโรง ต.กระสัง อ. สตีก จ.บุรีรัมย์ แล้วก็เริ่มเรียนระดับประถมศึกษาปีที่ 1-6ที่โรงเรียนบ้านหนองปุน ซึ่งในตอนนั้นข้าพเจ้าต้องขาดเรียนบ่อยครั้งตอนศึกษาอยู่ประถมศึกษาปีที่ 4 เพราะไม่สบายจึงเป็นผลทำให้ไม่ค่อยมีเพื่อนเท่าไหร จนกระทั่งข้าพเจ้าย้ายมาเรียนม.1ที่โรงเรียนสะแกพิทยาคม ต.สะแก อ.สตึก จ.บุรีรัมย์ เป็นโรงเรียนมัธยมที่มีขนาดกลาง แล้วการเดินทางมาเรียนก็ค่อนข้างลำบากเพราะโรงเรียนใกล้กับตัวอำเภอ และเป็นครั้งแรกของข้าพเจ้าที่ต้องห่างจากพ่อแม่มาเพื่อมาอาศัยอยู่กับน้า เพราะสะดวกในการเดินทางมาโรงเรียน การมาเรียนโรงเรียนนี้ทำให้ข้าพเจ้ามีเพื่อนมากกว่าเมื่อก่อน แล้วก็มีความรับผิดชอบมากขึ้น ตอนเช้าก่อนไปโรงเรียนข้าพเจ้าก็ต้องทำงานบ้านเพื่อแบ่งเบาภาระของน้า หลังจากนั้นไม่นานครอบครัวของข้าพเจ้าก็ประสบกับปัญหาทำให้ข้าพเจ้าต้องย้ายไปเรียนที่โรงเรียนเพชรรัชต์ ในพระอุปถัมภ์ฯ กรุงเทพมหานคร ในระดับชั้น ม.2 การย้ายโรงเรียนในครั้งนั้นข้าพเจ้าไม่ค่อยเข้ากับอื่นๆได้สักเท่าไหร เพราะเป็นโรงเรียนเอกชน และส่วนมากที่มาเรียนที่นี่ก็ล้วนแล้วแต่ฐานะดี แล้วในภาคการศึกษาที่ 2 ข้าพเจ้าก็ต้องหาที่เรียนใหม่อีกครั้งเพราะการเงินไม่เอื้ออำนวย โรงเรียนสุดท้ายในระดับมัธยมศึกษาตอนต้น คือโรงเรียนมหาภาพ กระจาดทองอุปถัมภ์ฯ จ.สมุทรปราการ เป็นโรงเรียนขยายโอกาส การมาเรียนที่นี่ทำให้ข้าพเจ้ามีเพื่อนที่จริงใจ และเป็นมิตรมาก จึงรู้สึกมีความสุขแล้วก็ประทับใจมากในการมาเรียนที่นี่ จากนั้นข้าพเจ้าก็ได้กลับไปเรียนในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ที่โรงเรียนสะแกพิทยาคม จ.บุรีรัมย์ เป็นการกลับมาเจอบรรยากาศเก่าๆ แล้วก็เพื่อนเก่า และก็เกิดความสัมพันธภาพที่ดีกับเพื่อนทุกคน แล้วนอกจากนั้นข้าพเจ้ายังได้ร่วมกิจกรรมมากมายทั้งการแข่งขันการกล่าวสุนทรพจน์ภาษาอังกฤษ การแข่งขันกีฬาฟุตบอล เป็นพิธีกรในกิจกรรมวันคริสมาสต์ ซึ่งที่ผ่านมาสิ่งเหล่านี้ข้าพเจ้าไม่เคยได้ทำเลย การเรียนตั้งแต่ ม.4-6 นี้เป็นการเรียนที่มากว่าการเรียน ร่วมทุกข์ ร่วมสุข จนมาถึงช่วงที่ทุกคนต้องย้ายไปตามฝันของตนเอง คือ การสอบเข้ามมหาวิทยาลัยต่างๆ ซึ่งตัวของข้าพเจ้าก็สอบเข้าศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ต.ตลาด อ. เมือง จ.มหาสารคาม เพื่อตามความฝันของพ่อแม่ และตัวเองด้วย
ข้าพเจ้ามีนามว่า ภัทรวดี สุวรรณดี เรียกเล่นๆว่า มินตรา ได้กำเนิดขึ้นในวันอังคาร ที่ 21 เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2532 อาศัยบ้านแม่อยู่ ติดต่อได้ที่ บ้านเลขที่ 146 หมู่ 1 ถนนชายโขง ตำบลเชียงคาน อำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย รหัสไปรษณีย์ 42110 ติดต่อได้ทันทีหมายเลขโทรศัพท์ (042) 821219 โทรศัพท์มือถือ 083-6750953 E-mail: Hutsueto@hotmail.com ตั้งแต่เล็กจนโต ชอบกินส้มตำปูปลาร้า ข้าวเหนียว ไก่ย่าง ปลาย่าง ยำหอยนางลม มันเป็นอาหารที่เพิ่มพลังงานได้เป็นอย่างดี สีที่มองแล้วรู้สึกดี คือ ฟ้า เขียว ชมพู แนวดนตรีที่ฟังแล้วยิ้ม อินดี้ ป๊อป ร็อค ตอนนี้ชอบวงดนตรี 25 hours Tatto color AB normal Body slam Big ass เพราะเพลงสื่อความหมายดีมากๆ ส่วนผู้ให้กำเนิด คือ นายตระกูล สุวรรณดี และ นางอรัญญา สุวรรณดี มีพี่น้อง 2 คน พี่สาว 1 คน พี่ชาย 1 คน
ข้าพเจ้าจบการศึกษาระดับชั้นประถมศึกษา ปีการศึกษา 25 จากโรงเรียน บ้านเชียงคาน วิจิตรวิทยา อำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย
จบการศึกษาระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ปีการศึกษา 2546 จากโรงเรียน จุฬาภรณราชวิทยาลัย เลย อำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย
จบการศึกษาระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ปีการศึกษา 2546 จากโรงเรียน จุฬาภรณราชวิทยาลัย เลย อำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย
กำลังศึกษาในระดับชั้น ปริญญาตรี ชั้นปีที่ 4 สาขาวิชาภาษาอังกฤษ คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม จังหวัดมหาสารคาม
จากวัยเด็กสู่วัยรุ่น
ตอนเด็กๆ เป็นเด็กที่ตัวอ้วน ขาวๆ ปากแดงๆ แต่งตัวและทรงผม ยังกะเด็กผู้ชาย เลยทำให้โตขึ้นมีพฤติกรรมคล้ายผู้ชาย สมัยประถม ก็เรียนโรงเรียนใกล้บ้าน เนื่องจากเป็นลูกครูเลยได้พักอยู่ที่บ้านพักครู แถมโรงเรียนที่เรียนก็อยู่ใกล้ๆ ทำให้พ่อกับแม่ไปรับได้สะดวก ตอนเรียนอนุบาล 1 สามารถอ่านหนังสืออกและเขียนได้ เลยทำให้ได้เลื่อนชั้นไปเรียน ป.1 กับรุ่นพี่ อาจจะต้องปรับตัวหน่อย แต่ก้อเรียนใช้ได้เลยทีเดียว สมัยประถมเป็นเด็กที่ ดื้อมาก จนคุณครูต้องเปลี่ยนชื่อให้ จากมินตรา กลายเป็น มึนตราซะงั้น ดื้อขนาดนี้ยังมีครูเอาไปแข่งขันภาษาอังกฤษ แถมชนะเลิศซะด้วย เพราะว่ามีแข่งแค่ 2 โรงเรียน เก่งสุดๆ และยังเป็นนักกีฬาวอลเล่ย์บอลให้กับโรงเรียนด้วย ตอนนี้เริ่มฉายแววว่าจะมีทักษะทางด้านกีฬามากกว่าการเรียนแล้ว
สมัยมัธยม ก็ได้เข้าเรียน โรงเรียนจุฬาภรณราชวิทยาลัย เลย โรงเรียนนี้เป็นโรงเรียนประจำ แม่ให้ไปอยู่เพื่อที่จะฝึกหัดตัวเอง ให้สามารถอยู่บนสังคมได้ด้วยตนเอง แต่จะไม่ได้ทักษะการทำกับข้าวเท่าที่ควร นอกจากต้มมาม่า ช่วงม.ต้น เป็นอะไรที่สนุกสนานมาก เพราะว่าอยู่โรงเรียนมีเพื่อนเยอะ เราอยากทำอะไรก็ทำกับเพื่อน เช่นปลูกผักบุ้ง โดดหอ โดดเรียน ครบทุกรูปแบบ แถมไม่ชอบกลับบ้าน ด้วยซ้ำ ตอนม. 2 ก็เริ่มเล่นกีฬาบาสเกตบอลกับเพื่อนๆ ได้ไปแข่งหลายที่ และทำให้ได้รู้จักกับเพื่อนมากมายหลากหลายที่ ทำให้อยากที่จะเป็นนักกีฬา พอขึ้นม.ปลาย ก็ยังอยู่โรงเรียนเดิม เพราะว่าติดเพื่อนมาก มันมีความสุขที่ได้อยู่กับเพื่อน ช่วงม.ปลาย เริ่มเรียนเกษตร และต้องเลี้ยงปลาดุกอุย ทำให้ชาวเด็กหออย่างข้าพเจ้า ก็ไปเอาปลาดุกมาทอดกินกับเพื่อนๆ สนุกและมีความสุขที่สุด ยิ่งตอนอาจารย์ ขึ้นมาตรวจหอ เราชาวหอต้องเอามาม่า กระทะไฟฟ้า ไปซ่อน เพราะว่าจะทำให้โดนยึด ประสบการณ์ครั้งนี้ ถึงจะต้องเสี่ยงแต่ก็มีความสุขดี พอขึ้นม.6 ก็ต้องตั้งใจเรียนเพิ่มมากขึ้นเพราะว่าต้องหาที่เรียนต่อ เรียนสายวิทย์-คณิต แต่ไม่ได้นำพาอะไรเลย เพราะว่าสอบได้คณะศึกษาศาสตร์ ภาษาอังกฤษ ตอนแรกไม่รู้ว่าจะเรียนอะไรดี เลยเลือกที่จะเรียนครูและต้องเป็นภาษาต่างประเทศ เพราะว่าจะสามารถประกอบอาชีพที่หลากหลายได้ แต่จากลักษณะนิสัย จะเป็นคนชอบเที่ยวไปยังสถานที่ต่างๆ เลยคิดว่าอยากเป็นไกด์ น่าจะได้เงินดีและได้ท่องเที่ยวไปในที่ต่างๆ แต่ติดอยู่ที่ไม่เก่งในเรื่องภาษา แต่ ณ ปัจจุบันนี้ก็เริ่มที่อยากจะเป็นครู เนื่องจากได้รับการอบรมสั่งสอน จากอาจารย์หลายๆท่าน โดยเฉพาะอาจารย์ธูปทอง ที่ได้สั่งสอนอย่างหนักแน่นให้เป็นครูที่ดีในอนาคต ข้าพเจ้าจะเป็นครูที่ดีในอนาคตให้ได้
ชีวประวัติ
นามลือเลื่องของข้าพเจ้าคือ นางสาวประภัสสร เรืองรอง ผู้ที่ตั้งให้ข้าพเจ้าคือมารดาผู้เป็นที่รักของลูกๆนั้นเองซึ่งเหตุผลที่ท่านแม่ได้ตั้งชื่อข้าพเจ้าว่า ประภัสสร เรืองรอง เพราะว่าในขณะที่ท่านได้ตั้งครรภ์ข้าพเจ้าอยู่นั้นท่านฝันเห็นสร้อยทองที่ระยิบระยับท่านจึงตั้งชื่อข้าพเจ้าว่า ประภัสสรซึ่งมีความหมายว่า แสงเรืองๆเปรียบประดุจแสงพระอาทิตย์ที่ส่องแสงสวยงามบนท้องฟ้าส่วนชื่อที่ทุกคนเรียกติดปากคือ
โอ๊คบางคนถ้าได้ยินชื่อโอ๊คคิดว่าข้าพเจ้าเป็นผู้ชายแต่แท้จริงแล้วหญิงสุดๆจ้า เหตุผลที่ท่านแม่ตั้งชื่อเล่นว่าโอ๊คเพราะว่าท่านเห็นสีที่ชื่อว่าสีโอ๊คและต้นโอ๊คท่านจึงตั้งชื่อแก่ข้าพเจ้า ท่านแม่ต้องลำบากและมีความอดทน อดกลั้นมาตั้งแต่ข้าพเจ้าอยู่ในท้องจนถึงเดือนที่เก้าของวันจันทร์ ที่ 18 ตุลาคม 2531 ณ โรงพยาบาลพรรณนานิคม อำเภอพรรณนานิคม จังหวัดสกลนคร ในเวลา 00.32 น. ซึ่งถ้านับแล้วก็เป็นวันอังคาร ท่านก็คลอดข้าพเจ้าโดยวิธีการผ่าตัดเพราะท่านไม่มีแรงที่จะเบ่งข้าพเจ้าออกเพราะท่านจะไอและมีปัญหาเกี่ยวกับปอดซึ่งท่านเป็นถุงลมโป่งพองตั้งแต่ยังเด็กๆถ้าไม่ผ่าตัดข้าพเจ้าออกมาข้าพเจ้าอาจจะลืมตาดูโลกใบนี้โดยปราศจากท่านแม่แต่ท่านพ่อของข้าพเจ้าและท่านแม่ก็ตัดสินใจทำการผ่าตัดเพื่อให้ข้าพเจ้าได้ลืมตาดูโลกอย่างปลอดภัยและได้พบกับท่านแม่โดยมีนายแพทย์ประมาณ 3 คนที่ทำการผ่าตัดให้แก่ท่านแม่ขอขอบคุณคุณหมอทั้ง 3 ท่านมากนะค่ะที่ช่วยให้ข้าพเจ้าได้เห็นหน้าท่านแม่จนถึงทุกวันนี้ ข้าพเจ้าคลอดออกมาเป็นเด็กที่ตัวโตซึ่งข้าพเจ้าหนักประมาณ 3,300 กิโลกรัมซึ่งตัวโตพอสมควรตั้งแต่แรกเกิดครอบครัวของข้าพเจ้าเป็นครอบครัวขนาดใหญ่เพราะอาศัยอยู่ด้วยกันหลายคนแต่ท่านพ่อท่านแม่กำลังดำเนินการสร้างบ้านของตนเองอยู่แต่ยังไม่เสร็จ ท่านยายเป็นคนดูแลข้าพเจ้าในเวลาที่ท่านแม่ไปทำงานซึ่งที่ทำงานของท่านแม่คือโรงเรียนบ้านหนองดุดส่วนท่านพ่อทำงานที่โรงพยาบาลอากาศอำนวย อำเภออากาศอำนวย จังหวัดสกลนคร จนกระทั้งข้าพเจ้าอายุได้ 1 ขวบ ครอบครัวของข้าพเจ้าได้ย้ายเข้ามาอยู่ที่บ้านหลังใหม่นอกจากนี้ข้าพเจ้ายังมีพี่สาว 1 คน พระพี่มีนามว่า นันทิรา เรืองรอง เรียกง่ายๆว่า พี่ส้ม ข้าพเจ้ากับพี่สาวห่างกันประมาณ 5 ปี ซึ่งในปัจจุบันพี่สาวของข้าพเจ้าได้แต่งงานไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วและมีลูกๆสุดแสนน่ารักอยู่ 2 คน หญิง 1 ชาย 1 หลานสาวข้าพเจ้าชื่อน้องข้าวตั้งอายุ 4 ขวบส่วนหลานชายชื่อน้องข้าวตู ปัจจุบันสมาชิกในบ้านมีทั้งหมด 4 คน คือ ท่านพ่อ ท่านแม่ ท่านยาย และตัวข้าพเจ้าเองส่วนพี่สาว หลานๆและพี่เขยก็ได้อยู่บ้านอีกหลังหนึ่ง
ชีวประวัติ
นามลือเลื่องของข้าพเจ้าคือ นางสาวประภัสสร เรืองรอง ผู้ที่ตั้งให้ข้าพเจ้าคือมารดาผู้เป็นที่รักของลูกๆนั้นเองซึ่งเหตุผลที่ท่านแม่ได้ตั้งชื่อข้าพเจ้าว่า ประภัสสร เรืองรอง เพราะว่าในขณะที่ท่านได้ตั้งครรภ์ข้าพเจ้าอยู่นั้นท่านฝันเห็นสร้อยทองที่ระยิบระยับท่านจึงตั้งชื่อข้าพเจ้าว่า ประภัสสรซึ่งมีความหมายว่า แสงเรืองๆเปรียบประดุจแสงพระอาทิตย์ที่ส่องแสงสวยงามบนท้องฟ้าส่วนชื่อที่ทุกคนเรียกติดปากคือ
โอ๊คบางคนถ้าได้ยินชื่อโอ๊คคิดว่าข้าพเจ้าเป็นผู้ชายแต่แท้จริงแล้วหญิงสุดๆจ้า เหตุผลที่ท่านแม่ตั้งชื่อเล่นว่าโอ๊คเพราะว่าท่านเห็นสีที่ชื่อว่าสีโอ๊คและต้นโอ๊คท่านจึงตั้งชื่อแก่ข้าพเจ้า ท่านแม่ต้องลำบากและมีความอดทน อดกลั้นมาตั้งแต่ข้าพเจ้าอยู่ในท้องจนถึงเดือนที่เก้าของวันจันทร์ ที่ 18 ตุลาคม 2531 ณ โรงพยาบาลพรรณนานิคม อำเภอพรรณนานิคม จังหวัดสกลนคร ในเวลา 00.32 น. ซึ่งถ้านับแล้วก็เป็นวันอังคาร ท่านก็คลอดข้าพเจ้าโดยวิธีการผ่าตัดเพราะท่านไม่มีแรงที่จะเบ่งข้าพเจ้าออกเพราะท่านจะไอและมีปัญหาเกี่ยวกับปอดซึ่งท่านเป็นถุงลมโป่งพองตั้งแต่ยังเด็กๆถ้าไม่ผ่าตัดข้าพเจ้าออกมาข้าพเจ้าอาจจะลืมตาดูโลกใบนี้โดยปราศจากท่านแม่แต่ท่านพ่อของข้าพเจ้าและท่านแม่ก็ตัดสินใจทำการผ่าตัดเพื่อให้ข้าพเจ้าได้ลืมตาดูโลกอย่างปลอดภัยและได้พบกับท่านแม่โดยมีนายแพทย์ประมาณ 3 คนที่ทำการผ่าตัดให้แก่ท่านแม่ขอขอบคุณคุณหมอทั้ง 3 ท่านมากนะค่ะที่ช่วยให้ข้าพเจ้าได้เห็นหน้าท่านแม่จนถึงทุกวันนี้ ข้าพเจ้าคลอดออกมาเป็นเด็กที่ตัวโตซึ่งข้าพเจ้าหนักประมาณ 3,300 กิโลกรัมซึ่งตัวโตพอสมควรตั้งแต่แรกเกิดครอบครัวของข้าพเจ้าเป็นครอบครัวขนาดใหญ่เพราะอาศัยอยู่ด้วยกันหลายคนแต่ท่านพ่อท่านแม่กำลังดำเนินการสร้างบ้านของตนเองอยู่แต่ยังไม่เสร็จ ท่านยายเป็นคนดูแลข้าพเจ้าในเวลาที่ท่านแม่ไปทำงานซึ่งที่ทำงานของท่านแม่คือโรงเรียนบ้านหนองดุดส่วนท่านพ่อทำงานที่โรงพยาบาลอากาศอำนวย อำเภออากาศอำนวย จังหวัดสกลนคร จนกระทั้งข้าพเจ้าอายุได้ 1 ขวบ ครอบครัวของข้าพเจ้าได้ย้ายเข้ามาอยู่ที่บ้านหลังใหม่นอกจากนี้ข้าพเจ้ายังมีพี่สาว 1 คน พระพี่มีนามว่า นันทิรา เรืองรอง เรียกง่ายๆว่า พี่ส้ม ข้าพเจ้ากับพี่สาวห่างกันประมาณ 5 ปี ซึ่งในปัจจุบันพี่สาวของข้าพเจ้าได้แต่งงานไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วและมีลูกๆสุดแสนน่ารักอยู่ 2 คน หญิง 1 ชาย 1 หลานสาวข้าพเจ้าชื่อน้องข้าวตั้งอายุ 4 ขวบส่วนหลานชายชื่อน้องข้าวตู ปัจจุบันสมาชิกในบ้านมีทั้งหมด 4 คน คือ ท่านพ่อ ท่านแม่ ท่านยาย และตัวข้าพเจ้าเองส่วนพี่สาว หลานๆและพี่เขยก็ได้อยู่บ้านอีกหลังหนึ่ง
ต่อมาข้าพเจ้าจะพูดถึงประวัติทางด้านการศึกษา ข้าพเจ้าเข้าอนุบาล 1 ที่โรงเรียนบ้านเหล่าพัฒนาซึ่งเป็นโรงเรียนหมู่บ้านใกล้เคียงสาเหตุที่ท่านพ่อท่านแม่ส่งมาเรียนที่นี้เพราะถ้าเรียนที่หมู่บ้านตนเองกลัวติดท่านแม่แล้วไม่ไปเรียนข้าพเจ้าศึกษาเล่าเรียนที่โรงเรียนบ้านเหล่าพัฒนาถึงระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ในชั้นประถมศึกษาที่ 4 ข้าพเจ้าได้ย้ายมาเรียนที่โรงเรียนบ้านหนองดุดซึ่งเป็นบ้านเกิดของตนข้าพเจ้าศึกษาเล่าเรียน ณ ที่แห่งนี้จนข้าพเจ้าเรียนจบระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ข้าพเจ้าศึกษาต่อในระดับมัธยมศึกษาปีที่ 1 ท่านพ่อ ท่านแม่ส่งตัวข้าพเจ้าไปเรียนที่โรงเรียนเฉลิมพระเกียรติ์สมเด็จพระศรีนครินทร์ ร้อยเอ็ด จังหวัดร้อยเอ็ด ข้าพเจ้าได้ไปอยู่ที่หอพักประจำข้าพเจ้าเรียนที่โรงเรียนเฉลิมพระเกียรติ์สมเด็จพระศรีนครินทร์ ร้อยเอ็ด จนถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 และหลังจากนั้นข้าพเจ้าก็ย้ายกลับมาเรียนที่โรงเรียนสกลราชวิทยานุกูลในชั้นมัธยมศึกษาที่ 3 และเรียนต่อชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายในสายการเรียนศิลป์ฝรั่งเศส และ ณ ปัจจุบันข้าพเจ้าเรียนที่มหาวิทยาลัยมหาสารคามในคณะศึกษาศาสตร์ สาขาวิชาเอกภาษาอังกฤษ นิสิตชั้นปีที่ 4 ปัจจุบันข้าพเจ้าอายุ 22 ปี ตั้งแต่ข้าพเจ้าอยู่ปี 1 ข้าพเจ้ารู้สึกศรัทธาในคณะศึกษาศาสตร์เพราะว่าเป็นคณะที่บ่มเพาะความเป็นครูให้แก่นิสิตของคณะ นอกจากนั้นวิชาเอกที่ข้าพเจ้ากำลังศึกษาเล่าเรียนอยู่นั้นมีอาจารย์ที่ปรึกษาไม่เหมือนใครท่านเป็นคนดีของสังคมในมีความอุตสาหะทำงานหนักเพื่อลูกๆนิสิตเอกภาษาอังกฤษและเอกอื่นๆให้มีชีวิตที่สดใสอยู่ในสังคมได้อย่างเป็นสุขอาจารย์ท่านนี้คือ รศ.ดร.ธูปทอง กว้างสวาสดิ์ แม่ธูปของนิสิต EN ทุกคน อาหารที่ข้าพเจ้าชื่นชอบรับประทานมีหลากหลายอย่าง เช่น ส้มตำ ไก่ย่าง ต้มยำ ปลาดุก ผัดพริกแกงอาหารเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ข้าพเจ้าชื่นชอบกินตอนไหนก็อร่อยส่วนสัตว์ที่ชื่นชอบเป็นพิเศษมีอยู่ 2 ชนิดด้วยกันคือ โลมา และนกเพนกวิน เหตุผลที่ชื่นชอบสัตว์เหล่านี้เพราะว่าทั้งโลมาและนกเพนกวินมีความน่ารักและสดใสในตัวของมันและมองดูแล้วรู้สึกสบายใจเมื่อเวลาที่ข้าพเจ้ามีความทุกข์หรือมีเรื่องที่ไม่สบายใจข้าพเจ้าก็จะพูดกับโลมาสีฟ้าของข้าพเจ้าจนนอนหลับไปเพื่อให้ข้าพเจ้ารู้สึกดีขึ้นสุดท้ายนี้อยากจะกล่าวว่าข้าพเจ้าเป็นคนหัวไม่ดีตั้งแต่สมัยเรียนอยู่มัธยมศึกษาแล้วแต่ข้าพเจ้าก็ยึดคติที่ว่าความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น พอข้าพเจ้าได้มาเรียนในระดับอุดมศึกษาข้าพเจ้าก็ยังคงยึดมั่นในคตินี้จึงทำให้ข้าพเจ้าผ่านพ้นทุกอย่างมาได้จนถึงปัจจุบันนี้
ประวัติส่วนตัว
ข้าพเจ้าชื่อ นางสาวเสาวลักษณ์ สกุล บรรดาศักดิ์ ชื่อเล่น ลักษณ์ อายุ 22 ปี
คณะศึกษาศาสตร์ สาขาภาษาอังกฤษ ชั้นปีที่ 4 มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
เชื้อชาติ ไทย สัญชาติ ไทย ศาสนา พุทธ หมู่โลหิต โอ
ที่อยู่ปัจจุบัน 52 หมู่ 14 บ้านหนองบัวแดง ตำบลกุดโบสถ์ อำเภอเสิงสาง จังหวัดนครราชสีมา 30330
ปัจจุบันพักอยู่ เลขที่ 64 / 3 หมู่ที่ 20 หอพักสำราญ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ตำบลตลาด อำเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม 44000
ครอบครัว
สมาชิกในครอบครัวมีทั้งหมด 4 คน ประกอบด้วย บิดา มารดา น้องสาว และ ข้าพเจ้า
บิดาชื่อ นายบุญช่วย บรรดาศักดิ์ มารดาชื่อ นางสมบูรณ์ บรรดาศักดิ์
ข้าพเจ้ามีพี่น้องรวม ทั้งหมด 2 คน ข้าพเจ้าเป็น บุตรคนแรก
น้องสาว 1 คน ชื่อ นางสาวเบญจมาภรณ์ บรรดาศักดิ์
ประวัติการศึกษา
ชั้นอนุบาล สถานศึกษา โรงเรียนบ้านหนองแดง ตอนสมัยเรียนอนุบาลไม่ชอบไปโรงเรียน เพราะคุณครูอนุบาลใจร้าย ตอนเช้าคุณแม่ก็จะไปส่งที่โรงเรียน พอไปถึงโรงเรียนก็ร้องไห้กลับบ้าน พอมาถึงบ้านคุณแม่ ก็เลยลงโทษ จากนั้นมาก็เลยต้องไปโรงเรียนตลอด
ชั้นประถมศึกษา สถานศึกษา โรงเรียนบ้านหนองแดง ตอนสมัยประถมเคยได้รับทุนอยู่หนึ่งครั้งเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวในชีวิตที่ได้รับทุน จำนวน 500 บาท ข้าพเจ้าก็จำไม่ได้ว่าเป็นทุนอะไรวันนั้นข้าพเจ้าไม่ได้ไปโรงเรียนเพราะป่วย นอนอยู่ที่บ้านพอตอนเย็นหลังเลิกเรียนเพื่อนมาบอกว่าเราได้รับทุนจำนวน 500 บาทต้องไปรับที่อำเภอ ครั้งนั้นดีใจมาก พอเวลาใช้จริงได้ใช้แค่ 400 บาท เพราะคุณครูบอกว่าเขาไม่ให้เบิกมาใช้หมด จากนั้นมาไม่เคยได้รับทุนอะไรอีกเลย
ชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น สถานศึกษา โรงเรียนบ้านหนองแดง ตอนที่ข้าพเจ้าเรียนอยู่ชั้น ม. 3 ได้รับคัดเลือกให้เป็นประธานนักเรียน เวลาที่แขกมาเยี่ยมโรงเรียนต้องมาต้อนรับและพูดแนะนำโรงเรียนตลอดเลย และในปีนั้นข้าพเจ้าได้รับคัดเลือกให้เป็นนักเรียนดีเด่นด้วย รางวัล คือ ได้ไปเที่ยวที่จังหวัดชลบุรี เป็นเวลา 3 วัน 2 คืน ได้รับค่าใช้จ่ายคนละ 4,500 บาท ไปด้วยกันทั้งหมด 25 คน รวมคุณครู 3 คน ตอนนั้นสนุกมาก เป็นประสบการณ์ที่น่าประทับใจมาก และน่าจดจำมาก
ชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย สถานศึกษา โรงเรียนเสิงสาง สมัยเรียน ม. ปลาย ข้าพเจ้าได้เป็นคณะกรรมนักเรียน ตอนนั้นมีการรณรงค์เรื่องธนาคารขยะ ทำได้ไม่นานก็ไม่ประสบผลสำเร็จ และสมัยนั้นก็เคยไปแข่งโครงงานภาษาอังกฤษด้วย และตอนเรียน ม. ปลาย นี้เองที่ทำให้ข้าพเจ้าชอบภาษาอังกฤษและตัดสินใจที่จะเรียนต่อด้านภาษาอังกฤษ
ปัจจุบันกำลังศึกษาในระดับปริญญาตรี สถานศึกษา มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ขณะเรียนปริญญาตรีก็ไม่ได้ดำรงตำแหน่งอะไร แต่เวลาที่ทางมหาวิทยาลัยจัดกิจกรรมอะไรก็จะเป็นผู้เข้าร่วม และจะชอบไปค่าย ไม่ว่าจะเป็นค่าย ครูอาสา หรือ ค่าย Kru Eng การที่เข้าร่วมกิจกรรมและเข้าค่ายนี้จะทำให้เราได้รู้จักคนมากขึ้นได้ช่วยเหลือผู้อื่น และมีจิตอาสาด้วย
อาจารย์ที่ปรึกษา รศ.ดร.ธูปทอง สกุล กว้างสวาสดิ์
เพื่อนสนิทขณะเรียนมหาวิทยาลัย
1.นางสาวทองจันทร์ ประทุม 2.นางสาวประทุมศรี บริบูรณ์
3.นางสาวภัทรสุดา แก้วลุน 4.นายสักกรินทร์ แสวงสุนทะริ
อาหารที่ชอบ คือ ขนมจีน น้ำยาไก่กะทิ (ผักเยอะๆ)
สีที่ชอบ คือ สีชมพูชอบ ทุกอย่างที่เป็นสีชมพู
งานอดิเรก คือ อ่านนิยาย ฟังเพลง เล่นเกม อ่านนิตยสาร เล่น facebook
นิสัย ร่าเริง แจ่มใส โกรธง่าย หายเร็ว
กิจกรรมที่ชอบทำ คือ ชอบไปเที่ยวกับกลุ่มเพื่อน
สถานที่ที่ชอบไปเที่ยวคือ ภูเขา แม่น้ำ ทะเล ตอนนี้อยากไปเที่ยวเขาใหญ่และ ทะเลกับเพื่อนๆ
คติประจำใจ ผิดเป็นครู (Experience is the best teacher)
สวัสดีค่ะ ดิฉันนางสาวอมร ติกาพันธ์ รหัสนิสิต 50010512597 ชื่อเล่น อร บ้านเกิดอยู่ที่จังหวัดกาฬสินธุ์ E-mail: orn_as@hotmail.com ปัจจุบันอยู่หอพัก ฟอร์เรสอพาร์ทเมนท์ จบมัธยมจากโรงเรียนประจำอำเภอ โรงเรียนสามชัย พื้นฐานครอบครัวเป็นครอบครัวเกษตรกรรม สมาชิกในครอบครัวมีพ่อ แม่และพี่สาว 3 คน ดิฉันเป็นน้องคนสุดท้องค่ะ ตามจริงพ่อกับแม่กะว่าจะได้ลูกชายสักคนก็ยังดี แต่คนสุดท้ายก็ยังคงเป็นผู้หญิง พ่อกับแม่ตั้งชื่อให้เป็นชื่อผู้ชาย คือ อมร ซึ่งฟังยังไงก็ยังเป็นชื่อผู้ชาย บางครั้งก็รู้สึกอายเพื่อนค่ะเวลาเรียกชื่อ เคยคิดว่าจะเปลี่ยนชื่อดีไหม แต่ก็ไม่กล้าค่ะ ถ้าเปลี่ยนไปแล้วแน่นอนค่ะยังไงก็ยังคงมีคนเรียกชื่อเดิมอยู่ดี เลยไม่เปลี่ยนดีกว่า แต่เดี๋ยวนี้ไม่อายแล้วค่ะ อาจจะเป็นเพราะชิน เอาจริงๆ แล้วทุกอย่างมันก็เป็นแค่ความรู้สึกซึ่งคนอื่นเขาไม่รู้กับเรา
ปัจจุบันกำลังศึกษาอยู่ระดับปริญญาตรี ชั้นปีที่ 4 คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม เหตุผลที่เลือกมาเรียนก็ไม่มีไรมากค่ะ ใกล้บ้าน ไม่อยากอยู่ไกลจากพ่อแม่ เพราะพี่ทั้งสามก็มีครอบครัวไปอยู่ที่อื่นกันหมด ไม่อยากให้พ่อแม่เหงา เคยคิดว่าบางครั้งการที่ไม่มีเงินนี้ก็เป็นปัญหาใหญ่โตมากแล้ว เอาเข้าจริงๆ เรื่องเงินๆ ทองๆ หมดไปก็หาใหม่ได้ ถึงหาได้ไม่มากแต่ก็ได้มาเรื่อยๆ จริงไหมค่ะ ดิฉันเองเคยพูดกะพ่อค่ะว่า ทุกข์สำหรับตัวดิฉันจริงๆ แล้วมันคือ การไม่ได้อยู่กับคนที่เรารัก นั้นคือทุกข์ใจ การคิดถึงใครสักคนก็เป็นทุก เพราะนานๆ ทีเราสี่พี่น้องจะได้มาเจอกาน พอมาเจอก็ต้องจากกันอีก แม่ร้องไห้ทุกครั้งเมื่อลูกทุกคนกลับ เห็นไหมค่ะมันช่างเป็นทุกข์เหลือเกิน เราสี่พี่น้องรักกานมาก อาจเป็นเพราะว่าตอนเด็กๆ เราไม่ค่อยถูกกัน ทะเลาะกันบ่อยพอโตขึ้นเราจึงรักกานมากค่ะ ในอดีตเคยทำอะไรหลายๆ อย่างทั้งดีและไม่ดี มีทั้งเหตุการณ์ที่ลืมไม่ได้และไม่อยากจำ แต่ที่แน่ๆ เคยทำงานโรงงานค่ะ เป็นงานแรกที่ได้ทำแล้วได้เงินเดือน ฟังดูแล้วเป็นงานที่ต่ำต้อยไหม ไม่จริงค่ะ ฉันเองคิดเสมอว่าเมื่อเราได้ทำอะไรที่ต่ำต้อยที่สุด ผู้คนดูถูก เมื่อเราได้ผ่านเหตุการณ์นั้นมาเราจะสามารถทำได้กับทุกงานกับทุกคนค่ะ งานสบายๆ ไม่ต้องฝึกทำก็ทำเป็นค่ะ เป็นประสบการณ์ที่ไม่เคยลืม โดยส่วนตัวเป็นคนท้อง่าย อ่อนไหวแต่ไม่ใจง่าย ยิ้มยาก ปากร้ายใจดี รักครอบครัวเหนือสิ่งอื่นใดค่ะ
สถานะตอนนี้ก็ยังไม่มีคนถูกใจ อาจจะเป็นเพราะเราเองก็ไม่เป็นที่หมายปองของใคร เคยเห็นเพื่อนบอกว่าตอนนี้เรายังไม่มีแฟน ที่ไม่มีแฟนเพราะเลือกไม่ได้ ซึ่งก็ตรงข้ามกับตัวดิฉัน ผู้ชายในฝันไม่มีค่ะ การที่คนเราจะรักกันได้ไม่ใช่เรื่องยากเลย แต่การประคับประคองความรักให้ยืดยาวเป็นสิ่งที่ยากมากกว่าหลายเท่า มีสิ่งหนึ่งที่คิดว่าดีในตัวเองและพอใจคือการร้องเพลงค่ะ ชอบร้องเพลงลูกทุ่ง แต่เพลงสตริงก็ใช้ได้ค่ะ ถ้าเรียนจบไปตกงานก็คงหาอาชีพที่ใช้เสียงค่ะ แต่ต้องไม่ตกงานค่ะ เพราะเดี๋ยวนี้ร้องเพลงเก่งอย่างเดียวได้ที่ไหนกันค่ะ ต้องรูปลักษณ์น่าตาดีค่ะ ซึ่งก็เป็นปัญหาที่แก้ไม่ตกค่ะ อีกอย่างหนึ่งค่ะที่ชอบคือดีเจ ถ้าไม่ได้ให้คนอื่นเปิดเพลงตัวเอง การเปิดเพลงคนอื่นให้ผู้อื่นฟังก็ไม่น่าเกลียดค่ะ ดิฉันมองว่าการพูดเป็นศิลปะอย่างหนึ่ง พูดให้กำลังใจ พูดให้คำแนะนำ พูดให้คนรักกัน พูดให้คนเข้าใจกันถูก พูดให้แง้คิดที่สร้างสรรค์ ล้วนแล้วแต่เป็นศิลปะในการพูด ซึ่งทำได้ไม่ทุกคนค่ะ สิ่งเหล่านี้ต้องออกมาจากใจเวลาพูดออกไป เขาถึงจะศรัทธาในคำพูดของเรา ซึ่งดิฉันก็เคยผ่านการอบรมดีเจเยาวชนต้านภัยยาเสพติดค่ะที่สถานีวิทยุจังหวัดกาฬสินธุ์ เป็นโอกาสเล็กๆ น้อยๆ ที่ทำให้ดิฉันได้สัมผัสการเป็นดีเจค่ะ แต่หลายสิ่งที่ทำแล้วไม่ได้เรื่องก็มีค่ะ เช่นการวาดรูป งานฝีมือ เป็นอะไรที่ไม่ถนัดมากและทำได้ไม่ดีค่ะ อาจจะเป็นเพราะสมาธิสั้นเพราะเป็นคนใจร้อน ชอบอะไรรวดเร็ว ไม่ชอบอะไรที่ชักช้า
ดิฉันชอบเพ้อฝันค่ะ ชอบจินตนาการว่าเป็นนั้นโน้นนี้สารพัด มันเป็นสิ่งหนึ่งที่ทำแล้วมีความสุขค่ะ เหนื่อยจากโลกความเป็นจริง ก็มักจะมาพักผ่อนหาความสุขในโลกจินตนาการ เรื่องเรียนก็ไปได้ค่ะ พอปานกลาง ไม่เก่งค่ะ ความเก่งเขาวัดกันตรงไหนค่ะไม่มีใครเกิดมาไร้ค่า แม้แต่คนโง่สุดยังฉลาดเป็นบางเรื่อง ดิฉันคิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับโอกาสกับการไขว่คว้าบวกความพยายาม ซึ่งมันทำได้ยากมากค่ะ
ปล. ขอบคุณที่อ่านค่ะ
ดิฉัน นางสาวฉวีวรรณ แก้วกุดเลาะ
เรียกสั้นๆ ว่า กอแก้ว
เกิดวันที่ 13 ตุลาคม 2531 ปีมะโมง ตอนนี้ก็อายุ 22
บ้านเกิดเมืองนอน 7 หมู่ 5 ต. โนนทอง อ. เกษตรสมบูรณ์ จ. ชัยภูมิ
บิดาชื่อ นายโกสัญ แก้วกุดเลาะ อาชีพรับจ้างทั่วไป
มารดาชื่อ นางบัวไล แก้วกุดเลาะ อาชีพแม่บ้าน
น้องชายชื่อ วรโชติ แก้วกุดเลาะ ตอนนี้อายุ 12 ขวบ
นิสัยส่วนตัว ร่าเริงสดใส เรียบง่าย เป็นคนตรงๆรักอิสระ เฮฮาเป็นกันเอง
คติประจำตัว เอาชนะความกลัวด้วยความกล้า
งานอดิเรก ชอบทำกิจกรรมเป็นชีวิตจิตใจ ร้องเล่นเต้นรำ
ความสามารถพิเศษ นาฏศิลป์พื้นบ้าน ดีเจสมัครเล่น ยุทูตอนุรักษ์ป่า เล่นดนตรีพื้นบ้าน เช่น เป่าโหวต ตีกลอง ดีดพิณ ตีโปงลาง สามารถขับขี่ยวนยานพาหนะได้อีกด้วย
การศึกษา จบการศึกษาระดับประถมศึกษาที่โรงเรียนบ้านโนนหนองไฮ กิจกรรม เป็นประธานนักเรียนตอนอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 เคยไปแข่งขันรำชนะเลิศระดับเขตพื้นที่การศึกษา และเต้นประกอบเสียงเพลงชนะเลิศ ระดับมัธยมศึกษาจบการศึกษาที่โรงเรียนเกษตรสมบูรณ์วิทยาคม ประสบการณ์การทำกิจกรรมในโรงเรียน ดิฉันเป็นนาฏศิลป์พื้นบ้าน(โปงลาง)ของโรงเรียนชื่อวงว่า โปงลางสาวบ้านแต้ ส่วนมากไปประกวดก็ชนะเลิศอันดับที่ที่ 1 หรือ 2 ตลอดชอบทำกิจกรรมของโรงเรียนทุกอย่าง เข้าประกวดยุทูตอนุรักษ์ป่าโครงการภูเขียวอียูได้รางวัลรองชนะเลิศ มีผู้ใหญ่ผลักดันเข้าวงการให้ไปเป็นดีเจสมัครเล่นของวิทยุชุมชน และได้รับทุนการศึกษาสนับสนุนมาตลอดจนจบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย
ปัจจุบันศึกษาที่ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม คณะศึกษาศาสตร์ สาขาวิชาภาษาอังกฤษ โควตา ส่งเสริมศิลป์วัฒนธรรมพื้นเมือง(โปงลาง) เข้าสังกัดชมรม วงแคน ของมหาวิทยาลัย กิจกรรมที่ทำก็มีนาฏศิลป์โปงลาง ฟ้อนๆรำๆ ไปแข่งประกวดหรือแสดงที่ ชมรมพาไปและทำกิจกรรมของมหาวิทยาลัยทุกอย่าง และเข้าสังกัดชมรมของเอกคือ ชมรมครูภาษาอังกฤษ ที่พัฒนาศักยภาพของนิสิตในสาขาหรือชมรมให้เป็นผู้นำกล้าคิดกล้าแสดงออก ได้เป็นกรรมการของชมรม ออกค่ายทุกค่ายร่วมกับชมรม ตำแหน่งที่สังกัดในชมรมนี้คือ มือกลองและผู้นำสันทนาการ ดิฉันเป็นความหวังของพ่อแม่จะทำตามหน้าที่ให้ดีที่สุดเพื่อปริญญาครูภาษาอังกฤษอย่างภาคภูมิใจ
สามารถติดต่อได้ที่ E-mail: paokaew_love13@hotmail.com *087-2578322
ขอบคุณท่านอาจารย์ รังสรรค์ เป็นอย่างสูงที่เข้ามาทำให้ชีวิตการเรียนในเทอมนี้มีชีวิตชีวามากขึ้น
ดิฉัน นางสาวฉวีวรรณ แก้วกุดเลาะ
เรียกสั้นๆ ว่า กอแก้ว
เกิดวันที่ 13 ตุลาคม 2531 ปีมะโมง ตอนนี้ก็อายุ 22 ปี 3 เดือน
บ้านเกิดเมืองนอน 7 หมู่ 5 ต. โนนทอง อ. เกษตรสมบูรณ์ จ. ชัยภูมิ
บิดาชื่อ นายโกสัญ แก้วกุดเลาะ อาชีพรับจ้างทั่วไป
มารดาชื่อ นางบัวไล แก้วกุดเลาะ อาชีพแม่บ้าน
น้องชายชื่อ วรโชติ แก้วกุดเลาะ ตอนนี้อายุ 12 ขวบ
นิสัยส่วนตัว ร่าเริงสดใส เรียบง่าย เป็นคนตรงๆรักอิสระ เฮฮาเป็นกันเอง
คติประจำตัว เอาชนะความกลัวด้วยความกล้า
งานอดิเรก ชอบทำกิจกรรมเป็นชีวิตจิตใจ ร้องเล่นเต้นรำ
ความสามารถพิเศษ นาฏศิลป์พื้นบ้าน ดีเจสมัครเล่น ยุทูตอนุรักษ์ป่า เล่นดนตรีพื้นบ้าน เช่น เป่าโหวต ตีกลอง ดีดพิณ ตีโปงลาง สามารถขับขี่ยวนยานพาหนะได้อีกด้วย
การศึกษา จบการศึกษาระดับประถมศึกษาที่โรงเรียนบ้านโนนหนองไฮ กิจกรรม เป็นประธานนักเรียนตอนอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 เคยไปแข่งขันรำชนะเลิศระดับเขตพื้นที่การศึกษา และเต้นประกอบเสียงเพลงชนะเลิศ ระดับมัธยมศึกษาจบการศึกษาที่โรงเรียนเกษตรสมบูรณ์วิทยาคม ประสบการณ์การทำกิจกรรมในโรงเรียน ดิฉันเป็นนาฏศิลป์พื้นบ้าน(โปงลาง)ของโรงเรียนชื่อวงว่า โปงลางสาวบ้านแต้ ส่วนมากไปประกวดก็ชนะเลิศอันดับที่ที่ 1 หรือ 2 ตลอดชอบทำกิจกรรมของโรงเรียนทุกอย่าง เข้าประกวดยุทูตอนุรักษ์ป่าโครงการภูเขียวอียูได้รางวัลรองชนะเลิศ มีผู้ใหญ่ผลักดันเข้าวงการให้ไปเป็นดีเจสมัครเล่นของวิทยุชุมชน และได้รับทุนการศึกษาสนับสนุนมาตลอดจนจบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย
ปัจจุบันศึกษาที่ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม คณะศึกษาศาสตร์ สาขาวิชาภาษาอังกฤษ โควตา ส่งเสริมศิลป์วัฒนธรรมพื้นเมือง(โปงลาง) เข้าสังกัดชมรม วงแคน ของมหาวิทยาลัย กิจกรรมที่ทำก็มีนาฏศิลป์โปงลาง ฟ้อนๆรำๆ ไปแข่งประกวดหรือแสดงที่ ชมรมพาไปและทำกิจกรรมของมหาวิทยาลัยทุกอย่าง และเข้าสังกัดชมรมของเอกคือ ชมรมครูภาษาอังกฤษ ที่พัฒนาศักยภาพของนิสิตในสาขาหรือชมรมให้เป็นผู้นำกล้าคิดกล้าแสดงออก ได้เป็นกรรมการของชมรม ออกค่ายทุกค่ายร่วมกับชมรม ตำแหน่งที่สังกัดในชมรมนี้คือ มือกลองและผู้นำสันทนาการ ดิฉันเป็นความหวังของพ่อแม่จะทำตามหน้าที่ให้ดีที่สุดเพื่อปริญญาครูภาษาอังกฤษอย่างภาคภูมิใจ
สามารถติดต่อได้ที่ E-mail: paokaew_love13@hotmail.com *087-2578322
ขอบคุณท่านอาจารย์ รังสรรค์ เป็นอย่างสูงที่เข้ามาทำให้ชีวิตการเรียนในเทอมนี้มีชีวิตชีวามากขึ้น
ประวัติส่วนตัว แบบย่อ ๆ นางสาวยุพา ฝอยจันทร์ EN: 50010512589
ชื่อ – สกุล นางสาวยุพา ฝอยจันทร์ ชื่อเล่น ยุ อายุ 22 ปี
เกิด วันจันทร์ กรุ๊ปเลือด A
บิดาชื่อ นายประยงค์ ฝอยจันทร์ มารดาชื่อ นางบุญช่วย ฝอยจันทร์
E-mail : Yu_naruk0632@hotmail.com
อาจารย์ที่ปรึกษา รศ.ดร.ธูปทอง กว้างสวาสดิ์
คติประจำใจ If you can dream it, you can do it ถ้าคุณฝันได้ คุณก็ทำได้
นิสัย ในมุมมองของคนอื่น มองว่า ข้าพเจ้าเป็นคนพูดมากแต่ไม่มีพิษภัยอะไรแล้วก็ยังชอบช่วยเหลือคนอื่นๆ ด้วย แต่ในบางครั้งข้าพเจ้าจะชอบอยู่เงียบๆ อยู่คนเดียวอยู่กับตัวเองคิดย้อนอดีตกับสิ่งที่ได้ทำไปแล้วเพื่อหาทางแก้ไขในสิ่งที่ไม่ถูกต้องและวางแผนถึงสิ่งที่จะทำในต่อไป
ตอนที่ฉันเรียนในระดับอนุบาลและประถมศึกษา ฉันเป็นเด็กที่กลัวครูมากทำให้ไม่กล้าแม้แต่จะขออนุญาตครูไปเข้าห้องน้ำ ตอนที่ฉันเรียนอยู่อนุบาลมีเหตุการณ์ที่เป็นวีรกรรมของฉันคือฉันเคยหัวแตกเพราะว่าเล่นชิงช้าเด็กเล่นที่โรงเรียนแล้วตกลงมาถูกชิงช้าตีหัวหัวแตกเลือดเต็มหัว ถือว่าฉันเป็นเด็กที่ซนมากเลยทีเดียว แต่เคยได้ยินมั้ยว่าเด็กซนนี่ละเป็นเด็กฉลาด ฉันคิดว่าตอนที่ฉันเรียนในระดับประถมศึกษาฉันเป็นเด็กที่เก่งและฉลาดพอสมควรเมื่อเทียบกับเพื่อนๆในห้องเรียนของฉันที่มีอยู่ทั้งหมด 11คน ฉันสอบได้ที่ 1 ทุกปีและทุกเทอมด้วย ทำให้ตอนที่ฉันเรียนในระดับประถมศึกษาพ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย ของฉันทั้งรักแล้วก็ภูมิใจในตัวฉันมาก ฉันก็พยายามทำตัวเป็นเด็กดีตลอดเพราะอยากให้ทุกๆคนรุมรักฉัน
ในระดับมัธยมศึกษาตอนต้นฉันก็ได้เรียนที่โรงเรียนบ้านสำโรง-โคกเพชร ทุกๆวันฉันจะปั่นจักรยานไปโรงเรียนมันเป็นจักรยานที่ฉันซื้อเองโดยได้เงินจากทุนเรียนดีตอนฉันเรียนอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 เป็นจำนวนเงิน 3,000 บาท มันเป็นเงินก้อนแรกที่ฉันได้รับเป็นรางวัลของความตั้งใจและพยายามของฉัน ฉันจึงใช้มันให้คุ้มค่าที่สุดเท่าที่จะทำได้ ในชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นฉันก็ยังเป็นเด็กที่น่ารักและตั้งใจเรียนเหมือนเดิม ได้รับการคัดเลือกจากเพื่อนให้เป็นหัวหน้าห้องหลายครั้ง แล้วก็ได้รับเลือกให้เป็นประธานนักเรียนด้วย
ในระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายฉันเข้าเรียนที่โรงเรียนวีรวัฒน์โยธิน การเรียนในระดับมัธยมศึกษาตอนปลายเป็นสิ่งที่น่าจดจำมาก ฉันพยายามที่จะตั้งใจเรียนให้มากที่สุดเพื่อที่จะสอบเข้าเรียนในคณะพยาบาลศาสตร์ให้ได้เพราะแม่ของฉันอยากให้เรียนมาก แล้วฉันก็ทำตามความฝันของแม่จนได้ฉันสอบติดในคณะพยาบาลของวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนีสุรินทร์ แต่ในวันที่ฉันสอบสัมภาษณ์ฉันค้นพบว่ามันไม่ใช่สิ่งที่ฉันชอบและไม่ใช่สิ่งที่ฉันอยากจะเป็นจริงๆ ฉันจึงสละสิทธิ์และเลือกที่จะไม่ไปเรียน ฉันได้อธิบายเหตุผลให้แม่ฟังจนในที่สุดแม่ก็เข้าใจฉัน เมื่อฉันรู้ความต้องการที่แท้จริงของตัวเองแล้วฉันจึงเลือกคณะที่จะสอบแอดมิชชั่นเป็นคณะศึกษาศาสตร์ทั้ง 4 อันดับ แล้วฉันก็ทำมันสำเร็จฉันสอบติดคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
ฉันเข้ามาเรียนในมหาวิทยาลัยมหาสารคามปีแรกฉันรู้สึกท้อแท้มากจนในบางครั้งอยากที่จะกลับไปอยู่บ้านไม่อยากเรียนแล้ว ช่วงเดือนแรกฉันก็คงเป็นเหมือนคนอื่นๆที่นอนร้องไห้ทุกวันเพราะคิดถึงบ้าน ฉันจึงคิดว่าคนเรามีสิทธิ์ท้อได้แต่ห้ามถอย คนเราต้องมีความอดทนและพยายาม เมื่อได้อดทนและพยายามแล้วก็จะประสบผลสำเร็จเอง ฉันอยากให้พ่อ แม่ของฉันสบายเพราะท่านเหนื่อยกับฉันมามากแล้วฉันจึงพยายามตั้งใจเรียนและทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเต็มที่ ในตอนนี้ฉันปรับตัวกับการใช้ชีวิตในรั้วมหาลัยได้แล้วฉันพยายามที่จะทำทุกเรื่องให้ดีที่สุดและมีความสุขกับทุกสิ่งที่ฉันทำ
ในอนาคตฉันฝันที่จะเดินทางในสายอาชีพครู ฉันฝันที่จะเป็นแม่พิมพ์ของชาติ คอยให้คำแนะนำและสั่งสอนให้เด็กๆเป็นเด็กดีก้าวไปเป็นผู้ใหญ่ที่ดีของสังคมและประเทศชาติ นอกจากนี้สิ่งที่ฉันจะทำแล้วก็จะทำให้ดีที่สุดก็คือ ฉันจะตอบแทนพระคุณทุกคนที่เคยมีบุญคุณต่อฉันทั้งปู่ย่า ยาย ญาติพี่น้องของฉันทุกคนที่คอยให้ทั้งกำลังทรัพย์และกำลังใจแก่ฉันในการศึกษาเล่าเรียน ที่สำคัญที่สุดฉันจะทำให้พ่อ แม่ของฉันสบายและมีความสุขมากที่สุดเท่าที่ฉันจะทำได้ ฉันสัญญาว่าฉันจะตั้งใจ อดทน พยายาม ทำตามความฝันของฉันให้ได้
สวัสดีค่ะ ข้าพเจ้า น.ส.พัชรินทร์ สินจะโปะ ชื่อเล่นก็คือ “นก” ทั้งชื่อเล่นและชื่อจริงพ่อเป็นคนตั้งให้ เกิดเมื่อวันอาทิตย์ที่ 12 มีนาคม 2532 ตอนนี้ก็อายุเกือบ 22 แล้วค่ะ ภูมิลำเนาอยู่บ้านเลขที่ 280/1 หมู่ 12 ต.เมืองปัก อ.ปักธงชัย จ.นครราชสีมา 30150 ติดต่อได้ที่ 084-9616062 หรือ nok-na-noo@hotmail.com ค่ะ มีน้องชาย 1 คนชื่อว่า “หนุ่ม” อยู่ชั้น ป.6 ค่ะ ข้าพเจ้ากับน้องชายอายุห่างกัน 9 ปีเนื่องจากข้าพเจ้าเป็นเด็กที่ซนมาก เลี้ยงยาก พ่อกับแม่ก็เลยกะว่าจะมีข้าพเจ้าเพียงคนเดียว แต่พอโตมาเห็นเพื่อนๆ เค้ามีพี่มีน้องก็อยากมีเหมือนเค้าเลยบอกพ่อกับแม่ พ่อกับแม่ก็เลยจัดให้ ข้าพเจ้าจะเรียกน้องชายว่า “หมา” เนื่องจากน้องชายชอบอยู่ติดบ้าน ส่วนน้องชายจะเรียกข้าพเจ้าว่า “ลิง” เนื่องจากดื้อได้ใจ และเป็นฉายาที่เรียกกันในบ้านที่สุดแสนจะอบอุ่นของข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าเป็นเด็กที่ค่อนข้างซนมากเลยทีเดียว เป็นลูกสาวคนโตแต่พ่อก็มักเรียกว่าลูกชาย (ทั้งนิสัยและหน้าตาเหมือนพ่อไม่มีผิดเพี้ยน) เป็นหัวโจกพาน้องแถวบ้านออกไปเล่นตามประสาเด็กและก็เจ็บตัวกลับบ้าน พอเริ่มเข้าเรียนชั้นอนุบาลที่โรงเรียนปักธงชัยชุณหะวัณวิทยาคาร ข้าพเจ้าก็เริ่มหัดเขียนหนังสือ ข้าพเจ้าเป็นคนถนัดซ้ายเหมือนแม่ แต่พ่ออยากให้เขียนมือขวาจึงบอกกับข้าพเจ้าว่าถ้าเขียนมือขวาตัวหนังสือจะสวยกว่ามือซ้าย ข้าพเจ้าก็ไม่ค่อยเชื่อฟังเท่าไหร่ พอพ่อเห็นข้าพเจ้าเขียนมือซ้ายก็จะตีมือ เป็นเช่นนี้ทุกๆ วันจนปัจจุบันข้าพเจ้าถนัดเขียนหนังสือมือขวาแต่เวลาทำกิจวัตรอื่นๆ เช่น แปรงฟัน ทานข้าว ก็ยังใช้มือซ้ายอยู่ ซึ่งพ่อบอกว่าไม่เป็นไรขอแค่เขียนหนังสือมือขวาก็พอ พ่อและแม่ของข้าพเจ้าเรียนจบชั้น ป.4 ทั้งคู่จึงให้ความสำคัญกับการศึกษามาก พ่อกับแม่มีอาชีพสาวไหม-ม้วนไหมซึ่งเป็นอาชีพดั้งเดิมของชาวอำเภอปักธงชัยที่มีชื่อเสียงในเรื่องของผ้าไหม ตั้งแต่อนุบาลที่ยังอ่านหนังสือไม่ออกก็สังเกตเห็นว่ามีคำๆ หนึ่งที่พ่อเขียนไว้ที่เครื่องสาวไหม พอโตขึ้นมาคุณครูพาอ่านหนังสือก็กลับไปสะกดคำที่พ่อเขียนที่เครื่องสาวไหมได้ความว่า “พ่อวิกบริการลูกนก” พอขึ้นชั้นประถมศึกษาก็อยู่โรงเรียนเดิมนั่นแหละค่ะ ผลสอบแต่ละเทอมก็จัดว่าอยู่ในเกณฑ์ดี อยู่โรงเรียนเป็นเด็กเรียบร้อยมาก แต่พอกลับบ้านดื้ออีกตามเคย มักจะถูกพ่อตีด้วยก้านมะพร้าวที่ใช้ม้วนไหมหรือไม่ก็ก้านมะยมทุกวันเนื่องจากไม่ชอบทำงานบ้าน ชอบพูดคำว่า “เดี๋ยว” ตลอด พ่อให้เหตุผลว่าโตแล้วอยากให้ลูกเป็นผู้หญิงเหมือนเด็กคนอื่นๆ แต่สมัยนั้นเรื่องทำงานบ้านเป็นเรื่องที่ใหญ่มากสำหรับข้าพเจ้าส่วนการบ้านโรงเรียนรีบทำเสร็จทุกวัน วันไหนที่พ่อไปโรงเรียนคุณครูมักจะบอกพ่อว่าข้าพเจ้าเป็นเด็กเรียบร้อย แต่พ่อข้าพเจ้าไม่เชื่อ และพ่อของข้าพเจ้าก็บอกคุณครูว่าอยู่บ้านดื้อมาก ต้องถูกตีทุกวัน คุณครูก็ไม่เชื่ออีกเช่นกัน การไปกลับโรงเรียนพ่อก็จะเป็นคนรับ-ส่งทุกวันเนื่องจากแม่ขับรถจักรยานยนต์ไม่เป็น บางวันพ่อก็ปั่นสามล้อไปส่งเนื่องจากทางบ้านไม่มีงาน พ่อเลยต้องรับจ้างปั่นสามล้อด้วย ด้วยเหตุนี้ข้าพเจ้าจึงหัดขับรถจักรยานยนต์เป็นตั้งแต่อยู่ชั้น ป .5 ทั้งๆ ที่ขาของข้าพเจ้ายังค้ำไม่ถึงพื้นเลย (ข้าพเจ้าตัวไม่สูง อยู่หัวแถวด้านหน้าตลอด)
(ต่อ)
ข้าพเจ้าเข้าเรียนชั้นมัธยมศึกษาที่โรงเรียนปักธงชัยประชานิรมิตซึ่งอยู่ติดกันกับโรงเรียนเดิม เป็นโรงเรียนประจำอำเภอและอยู่ใกล้บ้านด้วย มีเพื่อนสนิทอยู่สองคน ชาย 1 หญิง1 กลุ่มของข้าพเจ้าเป็นกลุ่มเด็กเรียน ข้าพเจ้าเริ่มชอบอ่านหนังสือ (เช่น แฮร์รี่ พอตเตอร์ และนวนิยายแปลเยาวชนรวมถึงหนังสือไทยในโครงการแว่นแก้ว) เนื่องจากทนเห็นเพื่อนของข้าพเจ้าทั้งสองซึ่งเป็นหนอนหนังสือคุยกันแล้วข้าพเจ้าฟังไม่เข้าใจ ข้าพเจ้ายอมไม่ได้จึงหาหนังสือมาอ่านบ้างจากนั้นเด็กทั้งสามก็กลายเป็นหนอนหนังสือเหมือนกัน เคยช่วยกันแต่งหนังสือกะว่าจะส่งเข้าประกวดแต่ก็ไม่สำเร็จ 55 ในช่วงชีวิต ม.ปลาย ข้าพเจ้าเรียนสายวิทย์-คณิตซึ่งข้าพเจ้าไม่ชอบวิทย์มาก ไม่มีพรสวรรค์ด้านนี้เลยจริงๆ แต่เป็นคำสั่งท่านพ่ออยากให้ลูกเรียนจบมีทางเลือกเยอะ ข้าพเจ้าจึงต้องเรียน ข้าพเจ้าอยู่ห้องคิงตั้งแต่ชั้น ป.3 ถึง ม.6 จึงแวดล้อมไปด้วยกลุ่มเพื่อนที่กระตือรือร้นด้านการเรียน ข้าพเจ้าจึงไม่ออกนอกลู่นอกทางในสิ่งที่ผิด ข้าพเจ้าเคยถูกรับเลือกให้เป็นประธานนักเรียนหญิงคนแรกเมื่อชั้น ม.5 ก็ภูมิใจค่ะ ข้าพเจ้ามีเพื่อนสนิทเยอะ ดังนั้นเวลามีปัญหาจึงมีเพื่อนคอยให้คำปรึกษาอย่างไม่ขาดสาย เมื่อจบ ม.6 ตั้งใจเรียนต่อคณะที่มุ่งหวังไว้แต่ก็ไม่ได้แม้กระทั่งสอบเพราะพ่ออยากให้เรียนครู อยากให้ลูกรับราชการเนื่องจากพ่อกับแม่ไม่มีโอกาสได้ทำ ข้าพเจ้าจึงต้องทำอย่างไม่เต็มใจนัก นั่งร้องไห้ทุกวันเมื่อคิดถึงเรื่องนี้เพราะข้าพเจ้าตั้งเป้าหมายไว้ตั้งแต่ ป.4 ว่าอยากเป็นนักข่าว แต่พอได้เข้ามาจริงๆ ข้าพเจ้าก็ชอบมากเลยค่ะ เพื่อนๆ ในชั้นมาจากหลายจังหวัด หลากหลายภาษาและจริงใจ มีอาจารย์ที่ปรึกษาที่โหดได้ใจ โอ้โห หาที่ไหนไม่ได้แล้วนะเนี่ย ข้าพเจ้าจึงมีความสุขกับการเรียนอยู่ที่มหาสารคามค่ะ โดยส่วนตัว ข้าพเจ้าไม่ชอบงานบ้าน ทำอาหาร เย็บปักถักร้อย และงานต่างๆ นานาที่ผู้หญิงควรจะทำ ข้าพเจ้าจึงหารายได้ช่วงปิดภาคเรียนตั้งแต่ชั้น ม.4 ด้วยการออกแบบและเพ้นท์ลายผ้าไหมบาติก จากนั้นก็ตามมาด้วยอีกหลายอาชีพแม้ว่าจะได้เงินน้อยแต่ก็ทำให้ข้าพเจ้ารู้จักคุณค่าของเงินมากขึ้น ข้าพเจ้าเป็นคนประหยัด และชอบความท้าทาย เป้าหมายในอนาคตคือ เป็นให้ได้ในอย่างที่พ่อฝันและทำในสิ่งที่ตนเองรัก เป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่น้องชาย อยากทำงานหาเงินเยอะๆ แล้วเปิดร้านผ้าไหมให้พ่อกับแม่ พ่อกับแม่ของข้าพเจ้าเป็นผู้มีความรู้ด้านผ้าไหมมากเลยทีเดียวแต่ไม่มีเงินทุนในการเปิดร้านเป็นเถ้าแก่ ตอนนี้จึงเป็นเพียงลูกจ้างไปก่อน ดังนั้นในอนาคตจึงอยากให้ใครๆ เรียกพ่อว่า “เถ้าแก่วิก” แห่งร้าน “เบญจวรรณไหมไทย” (ชื่อร้านเป็นชื่อของแม่) ค่ะ
ดิฉัน นางสาวลัดดา ขจรโมทย์ ถือว่ามีบุญเยอะที่เกิดมาในครอบครัวที่อบอุ่น มีพ่อมีแม่ครบ มีพี่ชาย หนึ่งคน และมีพี่สาวหนึ่งคน และดิฉันเป็นคนสุดท้าย บิดามารดาของดิฉันทำอาชีพเกษตรกรรม ท่านทั้งสองเป็นคนที่เห็นความสำคัญของการศึกษามาก ท่านได้เคยพูดกับดิฉันว่า มรดกที่สำคัญที่สุดที่พ่อจะยกให้คือการศึกษาไม่ใช่ทรัพย์สินเงินทอง ดังนั้นด้วยฐานนะที่ขัดสนพ่อและแม่ก็ดิ้นรนเพื่อส่งลูกทั้งสามให้เรียนจบปริญญาตรี ชีวิตในสมัยเด็กของดิฉันนั้นก็ถือว่าสนุกสนานไม่ได้เลวร้ายอะไรมากนัก ดิฉันเข้าเรียนโรงเรียนประถมที่โรงเรียนประจำหมู่บ้านคือโรงเรียนบอนเขียวราษฎร์บำรุง ชีวิตในวัยเรียนช่วงชั้นประถม ดิฉันก็เป็นเด็กที่เข้ากับคนอื่นได้ดี แต่ค่อนข้างเป็นเด็กขี้อาย ส่วนด้านการเรียนถือว่าอยู่ในช่วงต้นๆๆ ของชั้น จะชอบมีคนมาแข่งด้วย แต่ดิฉันไม่อยากจะแข่งกับใคร ถ้าวันไหนขี้เกียจวันนั้นคงจะเป็นวันดับของชีวิต แต่มีช่วงหนึ่งที่จะไปสอบชิงทุนของตำบล พี่สาวซึ่งมีอายุห่างกับดิฉันหกปีได้บอกกับดิฉันว่า จะไปแข่งกับคนอื่นทำไมแข่งกับตัวเองสิถึงจะสุดยอด ซึ่งพี่ก็พูดไว้หลายอย่างประมาณนี้แต่จำไม่ค่อยได้ ก็ทำให้ดิฉันต้องพยายามแข่งกับตัวเองแข่งขันกับความขี้เกียจของตนเอง และถ้าแข่งกับตัวเองไม่ชนะก็ไม่รู้จะไปแข่งกับคนอื่นได้ยังไง ในช่วงชีวิตประถมดิฉันถือเป็นเด็กบ้านนอกของจริง เวลาหลังเลิกเรียนก็จะไปเล่นกับเพื่อน ๆ ในหมู่บ้านซึ่งก็เป็นญาติ ๆ กันแต่ก็ค่อยมีวีรกรรมเด่น ๆ ที่ได้สร้างไว้ เป็นชีวิตที่ไม่ได้โดดเด่นอะไรมากมาย แต่ก็เป็นชีวิตที่เรียบง่ายไม่ได้ดิ้นรนแข่งขันอะไรมากมายเช่นกัน ต่อมาเป็นช่วงชีวิตมัธยม ดิฉันได้เข้าเรียนมัธยมที่โรงเรียนบัวขาว เป็นโรงเรียนประจำตำบลแต่ถือว่ามีชื่อเสียงมากกว่าโรงเรียนประจำอำเภอ ซึ่งดิฉันใช้เวลาในการเดินทางโดยรถโดยสารประมาณ สี่สิบนาที่ ชีวิตในวัยมัธยมก็ถือว่าเปลี่ยนไปจากชีวิตประถม ได้พบเพื่อนใหม่ และดิฉันก็ไม่ได้มีปัญหากับการคบเพื่อนเท่าไร่ก็ถือว่าโชคดี ตอนที่เรียนมัธยมดิฉันได้เปลี่ยนห้องเรียนอยู่สามครั้งตามการจัดระบบของทางโรงเรียน ทำให้ดิฉันมีเพื่อนอยู่หลายห้อง ซึ่งปกติแล้วห้อง หนึ่ง สอง สาม จะไม่ค่อยไปมาหาสู่กัน แต่สำหรับดิฉันวิ่งกลับไปมา แต่ถึงอย่างไรก็ตามดิฉันไม่ค่อยมีเพื่อนสนิท จะมีเพื่อนสนิทอยู่กลุ่มหนึ่ง สี่ คน ซึ่งตอนนี้ติดต่อกันบ่อยที่สุดเหลืออยู่คนเดียว ชีวิตตอนมัธยมก็สนุกสนาน ตัวเองอยู่มัธยมปลายก็ชอบไปแซวเด็กมัธยมต้น รักเด็ก ฮ่า ๆ การเรียนช่วงมัธยมก็ต้องแข่งกับตนเองมากขึ้นเพราะต่างจากตอนประถม จากที่อยู่อันดับต้น ๆ ก็มาอยู่อันดับ กลาง ๆ ต้องเอาตัวเองให้รอด แต่การเรียนไม่ได้เครียดอะไรมากมาย เพราะไม่ได้อยากเรียนหมอเรียนพยาบาลเหมือนเพื่อนคนอื่นที่จะต้องเรียนอย่างหนัก เพราะเคยไปฝึกงานที่โรงพยาบาล ก็ทำให้ทราบว่านี่ไม่ใช่เรา แต่ไม่ได้เป็นคนกลัวเข็มหรือกลัวเลือด แต่จะเป็นคนที่ตกใจง่าย ชีวิตมัธยมก็ไม่ค่อยมีวีรกรรมที่โดเด่น อยู่อย่างเรียบง่าย เริ่มมีรูปแบบการคิดที่แตกต่างกับคนอื่น ซึ่งก็เป็นความคิดที่แตกต่างแต่ไม่แตกแยก เช่น มีบางอย่างที่ไม่ชอบเหมือนเพื่อนแต่ก็ทำท่าชอบเหมือนเพื่อนได้โดยที่ไม่ได้ทรมานตนเองแต่อย่างไร ส่วนชีวิตช่วงนี้ในด้านอื่น ๆ หากมีเวลาว่าง ก็จะช่วยพ่อทำงานที่ไร่ที่นา หรือบางวันพ่อก็ให้อยู่เฝ้าบ้าน และหากมีเวลาว่าง ก็ชอบเย็บซื้อผ้า ซึ่งมีคนบอกว่าไม่เข้ากับหน้าตาของเธอเลย ฮ่า ๆ ก็ไม่แคร์อะไร และชอบวาดรูป ชอบสเกตภาพ แต่ก็ไม่ได้วาดสวยอะไรมากมาย และปลูกต้นไม้ ซึ่งชอบมาก และจะไม่ค่อยได้ออกจากบ้าน เหมือนเป็นลูกคนเดียวเพราะพี่ ๆ ก็ ไปทำงานที่อื่น และในที่ที่สุดก็มาถึงปัจจุบันที่ได้มีโอกาสเข้าเรียนครูที่คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ชีวิตเปลี่ยนไปมาก ในเรื่องการใช้ชีวิตช่วงนี้จะได้รับอิทธิพลจากพี่สาวมาก เช่น ตั้งแต่มาสอบ เข้ามาอยู่หอพักในมหาวิทยาลัย การจัดการเรื่องความเป็นอยู่ ต้องทำด้วยตัวเองทั้งหมด ซึ่งมองดูแล้วจะแตกต่างจากเพื่อนคนอื่นที่จะมีพ่อแม่ญาติพี่น้องมาส่ง แต่ก็ภูมิใจมากที่เราดูแลตัวเองได้ ในด้านการคบเพื่อนก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรเข้ากับทุกคนได้ แต่เริ่มไม่แน่นใจว่าคนอื่นจะเข้ากับตัวเองไหม เพราะมีโลกส่วนตัวสูง บางครั้งไม่อยากพูดกับใครเลย แต่ไม่ถึงขนาดอยากอยู่คนเดียว ชีวิตในมหาวิทยาลัยต้องเครียดกับการทำงานมาก เป็นคนที่ทำงานได้แต่จะทำช้า หรือบางครั้งก็ขึ้นอยู่กับอารมณ์ และความคิด ในด้านความคิดจะพยายามบอกกับตัวเองว่า อย่าคิดถึงแต่วันนี้ให้คิดถึงอีกสองสามปีข้างหน้าเดี๋ยวเราก็จะผ่านไปถึงวันนั้น พยามให้ถึงที่สุด ส่วนเรื่องอนาคตอยากเรียนให้จบ ได้ทำอาชีพครูที่ตนเองอยากทำ มีบ้านเป็นของตัวเองตามรูปแบบที่ใฝ่ฝัน มีงานอดิเรกเกี่ยวกับเกษตรกรรม เป็นส่วนหนึ่งที่จะสร้างสังคมนี้ให้อยู่เย็นเป็นสุข
นางสาวลัดดา ขจรโมทย์ 4EN
ในเช้ารุ่งของวันพุธที่ 4 พฤษภาคม 2531 มีเด็กหญิงตัวน้อยได้กำเนิดขึ้น ได้รับนามว่า อรุณี ศรีแก้วน้ำใสย์ ซึ่งแปลว่าผู้หญิงที่เกิดในเวลาเช้า ท่ามกลางความดีใจของญาติพี่น้อง ซึ่งมีพี่น้องร่วมบิดามารดา 3 คน มีพี่ชาย 2 คน ดิฉันเป็นบุตรคนที่ 3 ดิฉันได้เริ่มเติบโตขึ้นตามวัย และได้เข้าเรียนในระดับชั้นประถมศึกษาที่โรงเรียนบ้านหนองหอไตร ตำบลลำหนองแสน อำเภอหนองกุงศรี จังหวัดกาฬสินธุ์ ในระดับนี้ เรื่องที่เลวร้ายที่สุดก็เข้ามาในชีวิตของดิฉัน เมื่อดิฉันได้ป่วยหนักมาก และหมอได้วินิจฉัยแล้วว่าดิฉันป่วยเป็นโรคหัวใจ ในช่วงอายุเพียง 9 ขวบ เมื่อได้รับการรักษาอาการของดิฉันก็เริ่มดีขึ้น และสิ่งที่ประทับใจที่สุดในช่วงนี้ก็คือ น้าบอกว่าถ้าสอบได้ที่ 1-5 น้าจะซื้อจักรยานให้ ดิฉันสอบได้ที่ 3 เลยได้จักรยานคันเก่ง ขี่ไปโรงเรียน ในช่วงประถมนี้ข้าพเจ้าค่อนข้างที่จะติดยาย ตามก้นยายต้อย ๆ ตอนเด็กยายบังคับให้ทำการบ้าน ให้อ่านหนังสือแล้วค่อยให้ไปเล่นกะเพื่อน วันไหนที่ไม่ทำก็โดนยายตี ร้องไห้ไปหาแม่ ตอนเด็กก็ไม่เข้าใจแต่เดี๋ยวนี้ก็เข้าใจดีสำหรับสิ่งที่ยายพร่ำสอน เมื่อจบการศึกษาระดับประถมศึกษาได้ศึกษาต่อ ในระดับมัธยมศึกษาที่โรงเรียนหนองกุงศรีวิทยาคาร เมื่อเข้า ม. 1 ใหม่ ๆ หาเพื่อนใหม่ ประสบการณ์ใหม่ ๆ เพราะเข้าไปเราไม่รู้จักใครเลย แต่เมื่อเราได้รู้จักเพื่อนใหม่เราก็กลายเป็นเพื่อนสนิท ไปไหนไปด้วยกันเป็นเพื่อนตายกันเลยทีเดียวแระ แต่ก็ไม่เคยชวนกันหนีเรียนนะ เพราะเราอยู่ในห้องคิงเราก็ต้องรักษาการเรียนของเราเหมือนกัน แต่อาจจะเรียกได้ว่าแก้งเรา เป็นแก้งที่ดื้อที่สุดในห้องก็ว่าได้เราเรียนด้วยกัน เป็นเพื่อนกัน สนุกสนานด้วยกันจนจบ ม. 6 ก็แยกย้ายบางคนก็ออกไปทำงานมีครอบครัว บางคนก็เรียนต่อจนได้ทำงานมีเงินเดือนเป็นข้าราชการแล้วหลายคน ดีใจกะเพื่อน ๆ จังเลย ส่วนดิฉันเมื่อจบ ม. 6 แล้วก็ได้ศึกษาต่อระดับอุดมศึกษาที่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม คณะศึกษาศาสตร์ สาขาภาษาอังกฤษ ตอนนี้กำลังศึกษาอยู่ชั้นปีที่ 4 ที่เลือกเรียนคณะนี้ก็เพราะรักและชอบความเป็นครู อาจจะเป็นเพราะคนรอบข้าง น้า รับราชการครู และมีความประทับใจครูหลายคนที่โรงเรียนที่ปฏิบัติให้เราเห็น เราจึงชอบและอยากที่จะประกอบอาชีพนี้ อีกเหตุผลหนึ่ง อาชีพครูเป็นอาชีพที่มั่นคง และมีสวัสดิการสำหรับตัวเองซึ่งมีโรคประจำตัว และสวัสดิการสำหรับพ่อแม่ ในการได้เข้ามาอยู่ในมหาวิทยาลัยแห่งนี้ได้ประสบการณ์หลาย ๆ อย่าง ซึ่งเราหาที่ไหนไม่ได้ ขอขอบคุณอาจารย์ทุกท่านที่มอบความรู้และการอบรมสั่งสอน ดิฉันจะเป็นคนดีของสังคม และเป็นครูที่ดีในอนาคตกับสิ่งที่อาจารย์ได้พร่ำสอนมา
(ต่อ)ข้าพเจ้าได้เป็นกรรมการโรงเรียนและมีส่วนช่วยงานในหลายๆด้าน ซึ่งช่วงนั้นโรงเรียนกำลังอยู่ในช่วงการประเมินโรงเรียนในฝัน ซึ่งข้าพเจ้าได้ทำโครงงานวิชาฟิสิกส์ในตอนนั้นตื่นเต้นมากๆ เพราะ ดร.ชัดเจน เป็นกรรมการประเมินข้าพเจ้าสั่นไปทั้งตัวเลยเวลาถามมาแต่ละทีแทบจะตอบไม่ได้ไม่รู้ตื่นเต้นอะไรนักหนาเซ็งตัวเองและในวันนั้นเอง โรงเรียนมัธยมวานรนิวาสก็ได้เป็นโรงเรียนหนึ่งอำเภอหนึ่งโรงเรียนในฝัน เป็นผลงานที่ภาคภูมิใจก่อนที่ข้าพเจ้าจะจบการศึกษา และหลังจากนั้นภาควิชาภาษาอังกฤษก็ได้มีโครงการคัดเลือกนักเรียนเข้าร่วมแข่งขันในโครงการSpelling Beeเกี่ยวกับภาษาอังกฤษข้าพเจ้าผ่านการคัดเลือกและก็ได้ไปแข่งขันSpelling Bee ณ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ไปด้วยกันทั้งหมด16คนและแล้วกิจกรรมก็ผ่านไป ผลการแข่งกันผ่านรอบแรกกันทุกคน ส่วนรอบสองตกระนาวแต่ก็ทำให้ข้าพเจ้าใฝ่ฝันที่จะเรียนภาษาอังกฤษในคณะที่เกี่ยวกับภาษาในอนาคตตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมาในที่สุดข้าพเจ้าก็ได้เข้ามาเรียนในคณะศึกษาศาสตร์ เอกวิชาภาษาอังกฤษสมดังความตั้งใจ เพราะพ่อแม่และพี่ๆสนับสนุนให้เรียนเต็มที่ชีวิตในมหาวิทยาลัยเป็นช่วงชีวิตที่มีความสุขคือสุขทั้งการเรียนและการใช้ชีวิตมีความเป็นอิสระแต่ต้องอยู่ในความพอดีและเหมาะสมส่วนกิจกรรมก็จะมีการออกค่ายชมรมครูEngซึ่งข้าพเจ้าเป็นกรรมการชมรมและต้องออกค่ายสร้างซึ่งก็จะมีชมรมครูอาสาหรือชมรมของมหาวิทยาลัยที่ต้องมีส่วนร่วมในการออกค่ายทำประโยชน์แก่สังคมต่อไป ข้าพเจ้าดีใจที่มีอาจารย์แม่คอยแนะนำสั่งสอน ทำให้ข้าพเจ้ามีความหวังที่จะเป็นครูที่ดีโดยสมบูรณ์แบบ หาที่ไหนไม่ได้อีกแล้วนอกจากคณะศึกษาศาสตร์เอกวิชาภาษาอังกฤษ อยากจะบอกว่ารักเพื่อนๆมากเพราะชาวENช่วยเหลือเกื้อกูลกันมาโดยตลอดทุกข์ก็ทุกข์ร่วมกันสุขก็สุขร่วมกัน จนปัจจุบันข้าพเจ้าอยู่ชั้นปีสี่แล้ว และหลังจากนี้อีกหนึ่งปีข้าพเจ้าต้องใช้ชีวิตอีกหนึ่งปีเต็มในการฝึกประสบการณ์วิชาชีพครูที่โรงเรียนท่าขอนยางพิทยาคมขอให้พบเจอแต่สิ่งดีๆตลอดการฝึกสอนด้วยเทอญ ข้าพเจ้ารู้สึกตื่นเต้นเพราะอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้แล้วจะต้องมีความรับผิดชอบสูงกว่าเดิม ซึ่งตอนนี้ก็มีงานที่ต้องสะสางอีกเยอะ ข้าพเจ้าขอขอบพระคุณท่านอาจารย์ ดร.รังสรรค์ที่ให้ข้าพเจ้าได้เขียนประวัติส่วนตัวของข้าพเจ้าเล็กๆน้อยๆขอบพระคุณครับ
(ต่อ)ข้าพเจ้าได้เป็นกรรมการโรงเรียนและมีส่วนช่วยงานในหลายๆด้าน ซึ่งช่วงนั้นโรงเรียนกำลังอยู่ในช่วงการประเมินโรงเรียนในฝัน ซึ่งข้าพเจ้าได้ทำโครงงานวิชาฟิสิกส์ในตอนนั้นตื่นเต้นมากๆ เพราะ ดร.ชัดเจน เป็นกรรมการประเมินข้าพเจ้าสั่นไปทั้งตัวเลยเวลาถามมาแต่ละทีแทบจะตอบไม่ได้ไม่รู้ตื่นเต้นอะไรนักหนาเซ็งตัวเองและในวันนั้นเอง โรงเรียนมัธยมวานรนิวาสก็ได้เป็นโรงเรียนหนึ่งอำเภอหนึ่งโรงเรียนในฝัน เป็นผลงานที่ภาคภูมิใจก่อนที่ข้าพเจ้าจะจบการศึกษา และหลังจากนั้นภาควิชาภาษาอังกฤษก็ได้มีโครงการคัดเลือกนักเรียนเข้าร่วมแข่งขันในโครงการSpelling Beeเกี่ยวกับภาษาอังกฤษข้าพเจ้าผ่านการคัดเลือกและก็ได้ไปแข่งขันSpelling Bee ณ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ไปด้วยกันทั้งหมด16คนและแล้วกิจกรรมก็ผ่านไป ผลการแข่งกันผ่านรอบแรกกันทุกคน ส่วนรอบสองตกระนาวแต่ก็ทำให้ข้าพเจ้าใฝ่ฝันที่จะเรียนภาษาอังกฤษในคณะที่เกี่ยวกับภาษาในอนาคตตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมาในที่สุดข้าพเจ้าก็ได้เข้ามาเรียนในคณะศึกษาศาสตร์ เอกวิชาภาษาอังกฤษสมดังความตั้งใจ เพราะพ่อแม่และพี่ๆสนับสนุนให้เรียนเต็มที่ชีวิตในมหาวิทยาลัยเป็นช่วงชีวิตที่มีความสุขคือสุขทั้งการเรียนและการใช้ชีวิตมีความเป็นอิสระแต่ต้องอยู่ในความพอดีและเหมาะสมส่วนกิจกรรมก็จะมีการออกค่ายชมรมครูEngซึ่งข้าพเจ้าเป็นกรรมการชมรมและต้องออกค่ายสร้างซึ่งก็จะมีชมรมครูอาสาหรือชมรมของมหาวิทยาลัยที่ต้องมีส่วนร่วมในการออกค่ายทำประโยชน์แก่สังคมต่อไป ข้าพเจ้าดีใจที่มีอาจารย์แม่คอยแนะนำสั่งสอน ทำให้ข้าพเจ้ามีความหวังที่จะเป็นครูที่ดีโดยสมบูรณ์แบบ หาที่ไหนไม่ได้อีกแล้วนอกจากคณะศึกษาศาสตร์เอกวิชาภาษาอังกฤษ อยากจะบอกว่ารักเพื่อนๆมากเพราะชาวENช่วยเหลือเกื้อกูลกันมาโดยตลอดทุกข์ก็ทุกข์ร่วมกันสุขก็สุขร่วมกัน จนปัจจุบันข้าพเจ้าอยู่ชั้นปีสี่แล้ว และหลังจากนี้อีกหนึ่งปีข้าพเจ้าต้องใช้ชีวิตอีกหนึ่งปีเต็มในการฝึกประสบการณ์วิชาชีพครูที่โรงเรียนท่าขอนยางพิทยาคมขอให้พบเจอแต่สิ่งดีๆตลอดการฝึกสอนด้วยเทอญ ข้าพเจ้ารู้สึกตื่นเต้นเพราะอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้แล้วจะต้องมีความรับผิดชอบสูงกว่าเดิม ซึ่งตอนนี้ก็มีงานที่ต้องสะสางอีกเยอะ ข้าพเจ้าขอขอบพระคุณท่านอาจารย์ ดร.รังสรรค์ที่ให้ข้าพเจ้าได้เขียนประวัติส่วนตัวของข้าพเจ้าเล็กๆน้อยๆขอบพระคุณครับ
ประวัติส่วนตัว
ชื่อ-สกุล นางสาวธีรยา สุจริต ชื่อเล่น ตัสนีม
เกิด 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2532
ที่อยู่ ศูนย์หอพักตักสิลานคร
เบอร์โทรศัพท์ 084-480-4052
อีเมล์ neem_pooh@hotmail.com
คติประจำใจ อยากทำอะไรก็รีบทำ เพราะเวลาไม่เคยย้อนกลับ
กำลังศึกษาใน มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
คณะศึกษาศาสตร์ สาขาวิชาภาษาอังกฤษ ชั้นปีที่ 4
ประสบการณ์ชีวิตในวัยเรียน
การเรียนระดับมัธยมต้น ชั้นได้เรียนโรงเรียนเอกชนใกล้บ้าน ทุกในโรงเรียนคือญาติพี่น้องและเพื่อนๆของพ่อกับแม่หมดเลย แต่ก็ใช่ว่าจะเข้าได้ง่ายๆ แต่มันก็ไม่เกินความสามารถหรอก ฉันก็เฉียดฉิวมาแบบสบายๆ ชีวิตในมัธยมช่างแตกต่างกันลิบลับกับประถมซะเหนือเกิน ฉันต้องเดินมาโรงเรียนทู๊กกกกวัน เพราะถ้าจะนั่งรถไปก็ดูจะเว่อไปหน่อยเพราะมันใกล้บ้านม๊ากมาก 3นาที ก็ถึงแล้ว เพียงแต่อยู่คนละซอย ฉันเป็นคนมีเพื่อนมากมายเพราะว่าฉันย้ายโรงเรียนมาตั้งสี่โรง ฉันเลยมีกลุ่มตั้งแต่เริ่มเรียนเลย และทุกคนก็ได้เรียนห้องเดียวกันหมด ฉันได้เรียนในห้องเด็กเก่ง ทำไมทุกคนเก่งกันอย่างนี้ แล้วฉันจะเรียนไหวไหมน่ะ ฉันจึงต้องขยันเข้าไว้ ชั้นแบกกระเป๋าไปโรงเรียนจนอาจารย์แซวว่าแบกบ้านมาเรียนทำไม แต่ฉันก็จัดตารางสอนนะ แต่ม่ายรู้ว่าทำไมมันถึงเยอะแยะ เวลาว่างฉันก็จะเอาหนังสือมาอ่าน ทำการบ้านระหว่างพัก ชาวบ้านเขาไปกินขนมกันหมดแต่ตัวเองทำไม่ได้เพราะพ่อให้เงินมาแค่ยี่สิบบาท แถมแม่ยังบังคับให้กินนมอีก เพราะฉันตัวเล็กมาก แล้วฉันจะเอาเงินที่ไหนกินขนมกันล่ะ แค่ข้าวกับนมก็ตังหมดและ ฉันเลยให้พ่อทำปิ่นโตมากินที่โรงเรียนทุกวัน มีแค่ฉันที่ทำอย่างนี้ ต่อมาเพื่อนสนิทเลยทำตามกันหมด เพราะกินไปนั่งเม้ากันไปสนุกสุดๆ กลับมาเรื่องเรียนดีกว่า ด้วยความที่เป็นคนหัวปานกลางไม่เด่นอะไรซักอย่าง เรียนเท่าที่สมองตัวเองรับไหว แต่ดีว่าที่บ้านฉันมีคอมพิวเตอร์มาตั้งนานแล้ว ฉันจึงมีทักษะด้านนี้บ้างเลยมีโอกาสช่วยงานครูด้านนี้มาตลอด พอมีการแข่งขันก็จะโดนเรียกตัวไปเข้าประกวด การเรียนในมัธยมต้นมันทำให้ฉันรู้สึกว่าฉันชอบวิชาภาษาอังกฤษมากเพราะว่าฉันชอบอาจารย์ผู้สอน ถึงแกจะให้ท่องจำแต่ช่องสาม เรียนแต่ไวยกรณ์แต่ก็สนุกมากๆเลย แต่วิชาที่เกลียดที่สุดคือคณิต เพราะไม่ว่าจะเทอมไหนก็ได้แต่เกรดสองและหนึ่ง มันทำให้พ่อด่าฉันทุกปีเลย พอมาอยู่ม.3 กลายเป็นว่าต้องย้ายห้องเรียนใหม่มาอยู่ห้องคิง โหยมีแต่หัวกะทิของโรงเรียนทั้งนั้นเลย แล้วเราเล็ดลอดมาได้ไงว่ะ มาอยู่ห้องนี้ก็กดดันมาก เพราะเราไม่เก่งคณิตและวิทย์เลย ฉันเลยต้องพยายามสุดชีวิตเลย แต่ก็สู้เด็กเก่งไม่ได้เลย เขาก้าวได้สิบก้าว แต่เราก้าวไปได้แค่หนึ่ง มันแย่มากๆเลย แต่สุดท้ายก็ผ่านมันมาได้ด้วยดี
พอมาเรียนระดับมัธยมปลาย เกือบหันเหไปทางสายอาชีพแล้ว เพราะแต่งตัวสวยดีเหมือนการ์ตูนญี่ปุ่นเลย แต่แม่ไม่ยอมเด็ดขาด สุดท้ายก็ได้เรียนที่เดิม แต่คนที่เขาเก่งๆ เขากลับไปเรียนด้านสายอาชีพกันหมด ไม่เข้าใจเหมือนกัน เราเป็นรุ่นที่สอง เพราะทางโรงเรียนเพิ่งจะก่อตั้งมัธยมปลาย ดีไหมล่ะ!! ทั้งห้องมีแค่33คน ทั้งคนที่ไม่มีที่ไป และโดนบังคับอย่างฉัน กับคนที่เขาตั้งใจมาเรียนจริงๆ และใน ม. ปลายมีแค่สายเดียวคือ ศิลป์ภาษา อังกฤษ-อาหรับ ภาษาอังกฤษพอรับได้ แต่ภาษาอาหรับเนี่ยไม่ได้จริงๆ แม้จะอ่านออกเขียนได้ แต่เรียนไม่รู้เรื่องเลย ได้เวลาเรียนอาหรับ ฉันก็หลับตลอด รู้ไปถึงหูแม่อีกตามเคย จนต้องมีการเรียนพิเศษกันเกิดขึ้นหลังเลิกเรียน การเรียนในช่วงนั้นฉันมีความสุขมากๆ วิชาคณิตฉันก็ทำได้ดีขึ้นเยอะเลย ได้เกรด สามสี่ตลอด จะมาแย่ก็วิชาอาหรับเนี่ยแหละ ฉุดเกรดฉันลงทุกปีเลย แต่มันก็ผ่านมาได้อีกตามเคย
มาถึงมหา’ลัยซักที ชีวิตมหา’ลัยมันอิสระมาก ความเป็นอยู่ที่นี่ก็ไม่เหมือนที่กรุงเทพ ฟังภาษาอีสานก็ไม่ออก ลำบากมากในช่วงแรก การเรียนก็ยากมาก ยิ่งเรียนก็ยิ่งยาก แต่ฉันก็ปรับตัวได้หมด ตอนนี้ก็อยู่ปีสี่แล้ว ปีหน้าก็ฝึกสอนแล้ว มันเหมือนกับเป็นการทดลองการใช้ชีวิตจริงๆ เราจะมาทำตัวเหลวไหลไม่ได้แล้ว เพราะเหมือนกับว่าเราเริ่มทำงานแล้ว ตอนแรกคิดไว้ว่า จบไปจะไม่เป็นครู ยังไงก็ไม่เป็น มันดูไม่ใช่ตัวเองเลย อยากไปประกอบอาชีพค้าขายหรือมีธุรกิจส่วนตัวก็ได้ ไม่อยากเป็นครูเลย แต่พออาจารย์ธูปให้เราเอาแผนไปสอนตามโรงเรียนต่างๆ ความคิดต่างๆก็เปลี่ยนไป ฉันอยากทำให้เด็กๆรู้เรื่องภาษาอังกฤษมากขึ้น และฉันก็อยากกลับไปอยู่บ้าน เป็นครูใกล้บ้านคอยดูแลพ่อกับแม่ด้วย
ประวัติโดยย่อ
ชื่อ-สกุล นางสาววิราภรณ์ ลานนท์
เกิดเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 29 กันยายน พ.ศ.2531
อายุ 22 ปี
ปัจจุบันกำลังศึกษาระดับปริญญาตรี ชั้นปีที่4
สาขาวิชา ภาษาอังกฤษ
เบอร์โทรศัพท์มือถือ 087-6357239
E-mail:jaewjung_ohlala@hotmail.com
ชีวิตในวัยเด็ก
แม่คลอดดิฉันที่โรงพยาบาลกุดข้าวปุ้น เป็นโรงพยาบาลประจำอำเภอและอยู่ใกล้บ้านมากที่สุด ขณะนั้นอยู่บ้านหลังเดิม แต่ภายหลังมีการย้ายบ้านใหม่ แม่เล่าให้ฟังว่าตอนใกล้จะคลอด ดิฉันดิ้นเก่งมากและ หมอบอกแม่ว่าลูกแข็งแรงดีแม่ก็ดีใจมากและแม่ก็คิดว่าดิฉันคงจะซนน่าดู(แล้วมันก็ใช่จริงๆฮ่าๆ)แม่เล่าให้ฟังว่าพอถึงวันคลอดมีเหตุการณ์ตลกเกิดขึ้นในห้องคลอดซึ่งนั่นคือตอนคลอดดิฉันออกมานั้นเสียงร้องอุ๊แว๊ๆๆๆของดิฉันดังมาก ไม่รู้ว่าพ่อเป็นอะไร ตื่นเต้นดีใจหรืออะไรก็ไม่รู้ทำให้พ่อวิ่งพรวดพราดเข้าไปในห้องคลอดจนหมอได้บอกให้ออกมาก่อน(ตลกพ่อมากเลยฮ่าๆ)ดิฉันมีพี่สาวหนึ่งคนซึ่งอายุมากกว่าดิฉันอยู่ 6ปี พี่จึงช่วยแม่เลี้ยงดิฉันได้แต่บางครั้งพี่ก็เอาน้องไม่อยู่หมัด เพราะตอนเด็กดิฉันตัวอ้วนตุ๊ต๊ะแถมยังซนอีก ส่วนพี่จะเรียบร้อยและตัวผอมๆบางครั้งก็พาล้มบ้าง แม่บอกว่าใครก็อยากอุ้ม อยากหยอกอยากจับแก้มหอมแก้ม (ว้าย!!เสียว55)นี่คือส่วนหนึ่งของชีวิตในวัยเด็ก
ชีวิตในวัยเรียน
ศึกษาระดับอนุบาล-ประถมศึกษา ที่โรงเรียนชุมชนบ้านข้าวปุ้น(ศาสนานุเคราะห์)
อำเภอกุดข้าวปุ้น จังหวัด อุบลราชธานี ช่วงแรกๆที่เข้าเรียนอนุบาลร้องไห้แทบทุกวัน แต่พออยู่ๆไปก็ติดเพื่อน รีบมาเรียนแต่เช้าทุกวัน คุณครูบอกว่าดิฉันฉลาด เรียนรู้เร็ว (ซึ่งปัจจุบันนี้เหมือนกับว่าเอาความฉลาดคืนครูไปหมดแล้ว แต่ความขี้เกียจกลับเพิ่มขึ้นมาแทน ฮ่าๆ) เมื่อเรียนในระดับประถม คุณครูพาไปแข่งขันทักษะทางวิชาการ และเข้าร่วมประกวดกิจกรรมต่างๆ ดังนี้ ตอบปัญหาทางวิชาการ คัดลายมือ เรียงความ แต่งกลอน อ่านทำนองเสนาะ ร้องเพลง วาดภาพ และเรียงความจากภาพ เป็นต้น ซึ่งช่วงชีวิตในวัยนั้นสนุกสนานไม่ต้องคิดอะไรมากมาย (ชิวๆ) นอกจากนี้ยังมีเหตุการณ์ตลกๆเกิดขึ้นในช่วงที่ดิฉันอยู่ ป. 2 คือมีรุ่นพี่ผู้ชาย ป. 5 จำได้ว่าชื่อ ขวัญ (ชื่ออะไรเหมือนผู้หญิง) จะชอบเดินผ่านหน้าห้อง ซึ่งดิฉันนั่งตรงประตูพอดี เลยมองเห็น ก็งงๆว่าทำไมขยันเดินมาบ่อยจัง (อิอิ)และพอช่วงพักเที่ยงของวันหนึ่งก็มีเพื่อนเอาขนมมาให้และบอกว่าพี่ที่ชื่อขวัญฝากมาให้ เพื่อนเลยแซวจนหน้าแดง แล้วดิฉันก็ไม่ยอมกินไม่รู้เป็นอะไร เขินก็คงไม่ใช่หรอกมั๊ง เลยเอาขนมให้เพื่อน พูดถึงแล้วก็ขำเพราะตอนนั้นยังเป็นเด็กอยู่เลย (อิอิ) และเมื่อตอนที่ดิฉันอายุ 9ปี เรียน ป.3 ได้ย้ายไปอยู่บ้านหลังใหม่ ซึ่งเป็นหมู่บ้านเดียวกับคุณยาย ซึ่งหมู่บ้านนั้นไม่ได้อยู่ในตัวอำเภอแต่ก็ไม่ไกลมากนัก แต่เป็นพื้นที่เหมาะ สำหรับประกอบอาชีพเสริมได้หลากหลายกว่าในอำเภอ ตอนแรกๆดิฉันก็คิดถึงเพื่อนข้างบ้าน เคยเล่นด้วยกันตอนเลิกเรียน และวันหยุด จึงได้เจอกันเฉพาะตอนไปโรงเรียนเพราะยังเรียนอยู่ที่เดิม หลังจากย้ายบ้านไปก็ได้เพื่อนใหม่ และได้อยู่ใกล้ชิดกับญาติๆทำให้ชีวิตในวัยนี้สนุกสนานมากๆ
ศึกษาระดับมัธยมศึกษา ที่โรงเรียนกุดข้าวปุ้นวิทยา อำเภอ กุดข้าวปุ้น จังหวัด อุบลราชธานี
ดิฉันเป็นคณะกรรมการสภานักเรียนฝ่ายวิชาการ มีการจัดกิจกรรมต่างๆในโรงเรียน เช่น กิจกรรมตอบปัญหาทางวิชาการชิงรางวัล จัดรายการเสียงตามสาย และมีช่วงหนึ่งที่อาจารย์พาไปจัดรายการที่สถานีวิทยุในอำเภอซึ่งอยู่ไม่ห่างจากโรงเรียนมากนักซึ่งเป็นกิจกรรมที่ชอบและสนุกมาก นอกจากนี้ดิฉันยังร่วมกิจกรรมทางโรงเรียน และเป็นตัวแทนไปร่วมแข่งขันทักษะกับโรงเรียนอื่นๆอีกด้วย เช่น กล่าวสุนทรพจน์ ร้องเพลง คัดลายมือ เรียงความและอื่นๆซึ่งเป็นกิจกรรมประเภทที่ดิฉันชอบและเคยทำมา ซึ่งรางวัลที่ดิฉันภูมิใจมากในตอนนั้นคือรางวัล เรียงความเรื่องพระคุณแม่
หลังจากที่ดิฉันได้รางวัลแล้วอาจารย์ก็ให้ไปอ่านในวันแม่แห่งชาติที่ทางโรงเรียนจัดขึ้น ในขณะที่อ่านก็ร้องไห้ไปด้วย ตอนแรกพยายามจะไม่ร้องไห้แต่มันก็กลั้นไว้ไม่ได้ กิจกรรมที่โรงเรียนจัดขึ้นไม่มีกิจกรรมที่เป็นทักษะภาษาอังกฤษเลย ซึ่งต่างจากโรงเรียนในเมืองที่มีหลายกลุ่มสาระ พอมาถึงช่วงใกล้จะจบ ม. 6 ก็ยังไม่แน่ใจว่าจะเรียนต่อด้านใด ยังตัดสินใจไม่ได้ แต่รู้ว่าตัวเองชอบเรียนวิชาภาษาอังกฤษ และชอบสอนวิชาภาษาอังกฤษทั้งสวยและใจดี นี่คือเหตุผลที่จะเลือกเรียนต่อในสาขาวิชานี้
การศึกษาในระดับอุดมศึกษา (มีต่อ)
ศึกษาในระดับอุดมศึกษา ปัจจุบันศึกษาระดับปริญญาตรีชั้นปีที่ 4 มหาวิทยาลัยมหาสารคาม สาขาวิชาภาษาอังกฤษ ชีวิตที่เคยสนุกสนานเหมือนเด็กๆ เริ่มหายไปเพราะมีหลายอย่างให้คิดอีกมากมาย ซึ่งเป็นวัยที่จะเป็นผู้ใหญ่แล้ว มีหน้าที่ต้องรับผิดชอบมากมาย คิดถึงชีวิตในอนาคต การเรียนในระดับนี้ทำให้ดิฉันได้เรียนรู้ประสบการณ์ชีวิตมากมายมีทั้งความสุขและความทุกข์จากปัญหาหรืออุปสรรคต่างๆซึ่งถือเป็นเรื่องธรรมดาของชีวิตคนเรา ที่มีไว้ให้เราแก้ไข และการเรียนในระดับนี้ดิฉันมีความประทับใจทุกๆคนที่เรียนเอกเดียวกันนี้ คือทุกๆคนจะรักกัน ช่วยเหลือกันดีมากเป็นเหมือนบ้านอีกหลังหนึ่งที่อบอุ่น
คิดบวกชีวิตบวก คือคติสั้นๆที่ดิฉันนำมาเป็นคำนำทางของชีวิต โลกจะสวยงามหรือหม่นหมองมันก็ขึ้นอยู่กับมุมมองของคนเรานี่แหละค่ะ โชคชะตาอาจเป็นส่วนหนึ่งที่ขีดเส้นกราฟให้กับชีวิตคน แต่ตัวคนเป็นส่วนใหญ่และสำคัญที่สุดที่จะขีดเส้นกราฟให้กับชีวิตตนเอง คนเราเกิดมาล้วนผ่านร้อนผ่านหนาวผ่านสายฝนกระหน่ำกันมาทั้งนั้นแต่จะหนักหนามากน้อยอย่างไรอาจจะมีความแตกต่างกัน ทุกคนล้วนต้องฝ่าฟันกับปัญหาใหญ่น้อยที่เข้ามาให้ได้ใช้ความสามารถต้านทานมันอย่างเต็มแรง ทุกคนคงไม่สบอารมณ์นักกับคำว่าปัญหา ดิฉันก็เช่นกันค่ะ แต่ดิฉันก็ไม่นำมันมาเป็นเรื่องที่ต้องทำให้ตนเองตกอยู่ในความทุก เพราะดิฉันคิดเสมอว่ามันต้องมีทางออก ทางออกที่ดีที่สุด การคิดบวกช่วยให้ชีวิตของเรามีแต่ความสดใส แต่การคิดบวกใช่ว่าเราจะมองโลกในแง่ดีเสมอไป จนทำให้เราเป็นคนอ่อนต่อโลก ไม่ทันคน แต่การคิดบวกมักจะเดินทางคู่กับคำนี้เสมอค่ะ คือ คิดเป็น คิดแบบมีวิจารณญาณ แต่กว่าที่ดิฉันจะคิดแบบนี้ได้ก็ใช้เวลาเกือบทั้งชีวิตของดิฉัน ณ ขณะที่เดินทางมาถึงเวลานี้เลยค่ะ ดิฉัน ชื่อ ชนม์ชนก จันโทริ (นามสกุลปัจจุบัน) เคยเป็นเด็กหญิง และปัจจุบันเป็นนางสาว แต่อนาคตยังไม่ทราบว่าจะมีโอกาสได้เปลี่ยนคำหน้านามเป็นนางหรือไม่ เมื่อไรที่คำนำหน้านามเปลี่ยนนามสกุลก็จะเปลี่ยนทันที ดิฉันเป็นบุตรีของ นายชุมพล จันโทริ อาชีพ ข้าราชการบำนาญ และนางจันทร์เพ็ญ จันโทริ อาชีพ นักการเมืองท้องถิ่น ดิฉันมีพี่สาวสองคนคือ ณัฏฐิณี และ ณัฏฐรีย์ ซึ่งเป็นที่สงสัยของคนทั่วไปว่าทำไมตั้งชื่อลูกให้เขียนยากจัง แต่ว่าแต่ละชื่อล้วนมีความหมายที่ดีซึ่งดิฉันจำไม่ได้ แต่ชื่อของดิฉันคือ ชนม์ชนก แยกมาจากคำว่า ชนม์ หมายถึง ชีวิต และ ชนก หมายถึง พ่อ เมื่อนำมารวมกันก็จะเป็นชื่อที่มีความหมายลึกซึ้งมาก คือ ชีวิตพ่อ ซึ่งดิฉันนิยามชื่อของตัวดิฉันไว้ว่า ตัวแทนของพ่อ เป็นมือเป็นเท้าเป็นปากของครอบครัวที่สามารถดูแลทุกคนในครอบครัวให้อยู่ดีมีสุขได้ พ่อเคยบอกดิฉันว่าดิฉันจะเป็นความภาคภูมิใจของครอบครัว ทุกคนฝากความหวังไว้ที่ดิฉันและดิฉันก็เต็มใจที่จะรับหน้าที่นี้ ดิฉันมีชื่อเล่นที่ไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือน คือ บ้าน ดิฉันชอบชื่อนี้มากค่ะเพราะบ่งบอกถึงตัวดิฉันได้ตรงที่สุด ทีมาของชื่อนี้ก็มีอยู่ว่า ออและจะเป็นตำนานของครอบครัวดิฉันเลยค่ะสำหรับชื่อนี้คือเรื่องมีอยู่ว่า พี่สาวคนแรกคลอดที่โรงพยาบาลในจังหวัดร้อยเอ็ด พี่สาวคนรองคลอดที่โรงพยาบาลในอำเภอโพนทอง ส่วนดิฉันวันที่แม่ดิฉันปวดท้องคลอดเกิดฝนตกหนักทำให้พ่อไม่สามารถพาไปคลอดที่โรงพยาบาลทันขณะนั้นพ่อก็กำลังทำงานและด้วยเทคโนโลยียังไม่ทันสมัยทำให้ดิฉันคลอดที่บ้านนั่นคือที่มาของชื่อที่ดิฉันชอบมากที่สุด ดิฉันและพี่สาวทั้งสองมีอายุห่างกันกว่าสิบปี ซึ่งปัจจุบันพวกเธอก็มีครอบครัวกันหมดแล้ว และอีกไม่กี่วัน ดิฉันก็จะเป็นลูกสาวคนเดียวที่ยังใช้นามสกุลพ่อ ชีวิตในวัยเด็กก็ไม่มีอะไรมากมาย ดิฉันใช้ชีวิตในวัยเด็กไม่ต่างจากบุตรข้าราชการทั่วไป คือลูกชาวบ้านเขาไม่เล่นด้วยก็จะเล่นแต่กับลูกครูด้วยกันและจะถูกเรียกจากชาวบ้านว่าน้องบ้านซึ่งต่างจากที่เขาเรียกลูกเขาว่า (ขออนุญาตใช้คำไม่สุภาพ) อีเขียว บักขาว และในปัจจุบันก็ยังได้ยินอยู่ซึ่งดิฉันเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องแบ่งแยกทั้งที่เกิดมาเป็นเด็กเหมือนกัน ดิฉันใช้ชีวิตเป็นคุณหนู พ่อแม่ทำอะไรให้หมด อยากได้อะไรได้หมดแต่แปลกที่ไม่เอาแต่ใจอยากได้ของเล่นแต่พ่อบอกว่าไม่มีเงินดิฉันก็ไม่เคยอ้อนและร้องไห้เรียกร้องความสนใจ แต่มีครั้งหนึ่งซึ่งดิฉันจำได้ขึ้นใจ คือไปเที่ยวในจังหวัดกับพ่อแล้วเห็นตู้แช่ขายน้ำมีแบรนด์ก็อยากกินเพราะดูจากโฆษณาในทีวีแล้วอยากกินมาก น่าจะอร่อยแล้วก็อ้อนพ่อให้ซื้อแบรนด์ให้ตอนแรกพ่อห้ามแต่ดิฉันรั้นอ้อนจนพ่อก็ซื้อให้แต่เมื่อได้กินแบรนด์ซุบไก่สกัดฝาสีเหลืองนั้นทำให้ดิฉันไม่กินแบรนด์จนกระทั่งทุกวันนี้ พ่อไม่เคยตีดิฉันเลยแม่แต่สักครั้งเดียว ดิฉันมีความสุขมากสำหรับชีวิตช่วงนั้นได้อยู่กับพ่อกับแม่พี่ก็ไม่อยู่ไปเรียนหนังสือในเมือง
จนมาวันหนึ่งวันที่ชีวิตถึงจุดเปลี่ยนวันที่ต้องย้ายออกจากบ้านมาอาศัยอยู่บ้านอาที่ต่างจังหวัดเนื่องจากต้องมาศึกษาต่อในระดับมัธยมศึกษา ต้องย้ายออกมาอยู่กับญาติตั้งแต่อายุ 12 ปี อาขอดิฉันจากพ่อมาเพราะต้องการแบ่งเบาภาระพี่ชายที่ครั้งหนึ่งเคยส่งเสียให้เรียนจนจบปริญญาตรี เป็นช่วงเวลาที่ตื่นเต้นมากเมื่อดิฉันต้องเตรียมตัวสอบเข้าโรงเรียน อาสะใภ้พาไปสมัครและสอบ ดิฉันสอบเข้าโรงเรียนผดุงนารีได้ที่ 5 เมื่อรู้ผลดิฉันดีใจมากเด็กบ้านนอกอย่างดิฉันสอบติดอันดับหนึ่งในสิบ ชีวิตตอนเรียน ม.ต้นของดิฉันก็ไม่จากจากเด็กทั่วไปในวัยเดียวกัน คือ ตื่นเช้าแต่งตัวไปโรงเรียนและใช้ชีวิตอยู่ในโรงเรียนก่อนถึงเวลาเลิกเรียนแล้วก็กลับบ้านในช่วงวันราชการ ส่วนวันหยุดบ้างก็อยู่บ้านช่วยอาทำงาน อยู่บ้านอาประกอบธุรกิจส่วนตัว จึงช่วยทำตามที่เด็กคนหนึ่งจะทำได้ บ้างก็นัดทำรายงานที่โรงเรียน ดิฉันปั่นจักรยานไปโรงเรียนทุกวันและใช้จักรยานเดินทางไปไหนมาไหนแต่ในระยะทางใกล้ๆชีวิตช่วงนั้นดิฉันเป็นเด็กที่อยู่ในกรอบค่อนข้างเรียนเก่งคือได้เป็นนักเรียนเรียนเด่นได้เกรดเฉลี่ยสะสม 3 เทอม 4.00 และมีโอกาสได้เป็นตัวแทนโรงเรียนเข้าประกวดแข่งขันรายการต่างๆมากมาย จนชีวิตมาเปลี่ยนอีกครั้งเมื่อเรียน ม.ปลาย เริ่มมีความคิดที่ต่างเนื่องจากเข้าสู่วัยรุ่น ความรับผิดชอบมากขึ้นเริ่มมีความคิดไม่อยากอยู่ในกรอบมีความขัดแย้งกับอาซึ่งเป็นผู้ปกครองขณะนั้น ดิฉันเป็นคนชอบทำกิจกรรมแต่ผู้ปกครองไม่สนับสนุนทำให้ได้เสียน้ำตากันอยู่เรื่อยๆอย่างไรก็ตามดิฉันก็ยังแอบทำกิจกรรมของโรงเรียนอยู่เรื่อยๆ ดิฉันเป็นนักเรียนที่อยู่ฝ่ายประชาสัมพันธ์คอยจัดรายการเสียงตามสายในโรงเรียน และได้มีโอกาสเป็นตัวแทนจังหวัดมหาสารคามไปประกวด speech ที่ขอนแก่นโดยผ่านการคัดเลือกจากการแข่งขันในโรงเรียนระดับจังหวัด แม้ว่าจะได้กลับมาเพียงรางวัลชมเชยแต่ดิฉันก็ภูมใจในตนเองมากเชื่อว่าพ่อและแม่คงคิดเช่นกัน ดิฉันชอบร้องเพลงมาก และได้เข้าประกวดในรายการต่างๆที่จัดภายในโรงเรียนและได้มีโอกาสเป็นส่วนหนึ่งในวงดนตรีไทยสากลของโรงเรียนไปแข่งขันในระดับจังหวัดและได้รางวัลที่สามมาครอง ดิฉันรู้สึกดีที่ได้ทำในสิ่งที่ชอบแต่ติดที่อาไม่สนับสนุนเพราะตอนนั้นผลการเรียนตกจาก 4.00 ในม.ต้น อยู่ที่ประมาณ 3.2 3.3 ในช่วงม.ปลาย ดิฉันเรียนสายวิทย์-คณิต ก็เรียนได้แต่ไม่ได้ดี วิชาคณิต ฟิสิกส์ ที่มีคำนวณลอกเพื่อนตลอด แต่กลับเป็นต้นฉบับในวิชาภาษาอังกฤษ ภาษาไทยและสังคมศึกษา ดิฉันอยากเป็นผู้ประกาศข่าว พิธีกรรายการทีวี แต่ดิฉันอยากทำงานอยู่ใกล้บ้านมีอาชีพหนึ่งที่มีโอกาสได้ทำในทุกอย่างที่ดิฉันชอบและมั่นคงมากสำหรับผู้หญิงดิฉันจึงมุ่งมั่นที่จะเรียนครูในระดับอุดมศึกษา ชอบทำงานที่ต้องใช้คำพูด ครั้งหนึ่งดิฉันได้ทำฉากช่วยกันกับเพื่อนในการแสดงละครงานโรงเรียนและไม่ได้กลับบ้านและไม่ได้ขออนุญาต เพราะกฎที่บ้านอาคือ จะไปไหนทำอะไรต้องขออนุญาตดิฉันทำผิดกฎบ่อยครั้งเพราะเกรงว่าถ้าขออนุญาตจะไม่ได้ทำและเป็นสาเหตุให้ดิฉันทะเลาะกับอาจนท่านรับผิดชอบดิฉันไม่ไหวดิฉันได้ปรึกษากับพ่อและพ่อก็ให้ออกมาอยู่หอจนเรียนจบม.6 และก็ตั้งใจอ่านหนังสือสอบจนได้เรียนครูสมใจ ดีใจมาก ดิฉันมุ่งเป้ามาที่ มมส.เป็นที่เดียวเนื่องจากมีสาขาที่ต้องการและใกล้บ้านมากในช่วงที่อยู่กับอาพ่อและแม่ก็ไม่ได้มาเยี่ยมบ่อย หลายคนก็ถามว่าทำไมพ่อแม่ไม่มาเยี่ยมบ้าง ดิฉันไม่เคยน้อยใจพ่อแม่เลยที่ไม่มาเยี่ยมบ้างเพราะเป็นสไตล์สอนลูกให้รู้จักอดทนและเข้มแข็ง พ่อจะให้ลูกทุกคนอยู่ไกลพ่อแม่เพื่อจะได้แกร่งพ่อแม่คอยดูอยู่ห่างๆ เพราะลูกจะรายงานทุกครั้ง พ่อบอกว่าต้นไม้เล็กจะเติบโตได้เช่นไรหากถูกบดบังจากต้นไม้ใหญ่ ดิฉันมีปัญหาอะไรก็ปรึกษาพ่อและแม่ตลอดดิฉันเกลียดการโกหกจึงไม่ค่อยปกปิดเพราะดิฉันคิดว่าจะแก้ปัญหาตรงจุดได้อย่างไรถ้าสารที่สื่อมาคลาดเคลื่อนจากความจริง ขณะนี้ดิฉันศึกษาอยู่ที่คณะศึกษาศาสตร์ สาขาภาษาอังกฤษ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ชั้นปีที่ 4 และไม่นานจะได้เป็นนิสิตฝึกประสบการวิชาชีพครู ชีวิตในมหาวิทยาลัยก็มีสุข ทุกข์ ต้องอดทนและทำตนให้มีแรงต้านทานกับปัญหาน้อยใหญ่ที่เข้ามา มีเพื่อน มีความรัก เชื่อว่าทุกข์จะกลายเป็นสุขในไม่ช้า หากรู้จักคิดให้เป็น Positive Thinking Positive Life
นางสาวพรอนงค์ หงษ์คำผิว เรียกง่ายๆ จู ชั้นปีที่ 4 สาขาวิชาภาษาอังกฤษ คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม เกิดวันอาทิตย์ ที่ 30 เดือน ตุลาคม พ.ศ. 2531 ปัจจุบันอายุ 22 ปี ที่อยู่ 57 หมู่ 8 ต.โนนสวรรค์ อ. นาจะหลวย จ. อุบลราชธานี 34280
ชีวิตในช่วงวัยเด็กช่างเป็นอะไรที่เกินบรรยายเลยทีเดียว จากที่เป็นลูกคนโตและ เป็นหลานคนแรกของตาและยาย ก็จะถูกเลี้ยงดูอย่าง เรียกได้ว่าทุกคนตามใจทุกอย่าง จนกระทั่งวันที่ 18 ตุลาคม 2536 แม่ก็คลอดน้องสาวออกมา ดิฉันดีใจมากที่ได้เห็นเด็กตัวเล็กๆ น่ารักๆ ความรู้สึกในตอนนั้น ฉันอยากอุ้มน้องมากๆ ตอนนั้นดิฉันอายุประมาณ 5 ขวบ กำลังศึกษาอยู่ระดับอนุบาล 1 บ้านของดิฉันอยู่ไม่ไกลจากโรงเรียนมากหนัก เวลาไปโรงเรียนยายก็จะส่ง และไปรับเวลาโรงเรียนเลิก แต่ก็มีบางวันที่ตาไปรับกลับบ้าน แต่มาไม่นานตาของดิฉันก็มีอาการป่วยหนัก เนื่องจากเป็นโรคตับ และตาก็ได้เสียชีวิตในไม่ช้า ต่อจากมาครอบครัวของดิฉันดิฉันก็เหลือสมาชิกอยู่ 5 คน เวลาที่พ่อกับแม่ไปทำนา ทำสวน ดิฉันและน้องสาวก็จะอยู่กับยาย และในวันเสาร์และอาทิตย์
ชีวิตสมัยเรียนชั้นประถมศึกษา มีคติประจำใจที่ว่า เรียนๆเล่นๆ จากที่ดิฉันเป็นเด็กตัวเล็กๆและผอม เพื่อนๆก็จะให้ฉายาว่า แห้ง (แต่ทุกวันนี้อ้วนสุดๆ อิอิ) และดิฉันก็วีรกรรมที่ทำให้เพื่อนต้องเจ็บตัวหลายๆอย่าง ตอนที่ฉันอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 มีเพื่อนผู้ชายคนหนึ่งชื่อ พินิต เขาชอบมาล้อ มาทำให้ดิฉันโมโหอยู่ตลอดเวลา และในวันหนึ่ง ในช่วงพักกลางวัน ดิฉันและเพื่อนผู้หญิงอีกคนชื่อ อภิญญา กำลังนั่งรับประทานอาหารอยู่ด้วยกัน ไอ้ พินิตก็เดินมาทำน้ำหกถูกดิฉันและอภิญญา ดิฉันโกรธมากและจับได้ไม้กวาด ส่วนอภิญญาก็จับตัวไอ้พินิตไว้ ดิฉันได้ใช้ไม่กวาดฟาดไปโดนปากพินิต ฟันหักหนึ่งเล่ม และเพื่อนๆก็วิ่งมาเชียกันใหญ่เลย และจากนั้นคุณครูชวลิต ก็วิ่งมาแล้วพูดว่า “ แห้ง ตีเพื่อนทำไม” พอเหตุการณ์สงบลง คุณครูก็เรียกเราไปสอบถาม และก็โดนทำโทษด้วย ฮ่าๆๆๆๆ ส่วนในช่วงสมัยเรียนมัธยมต้น เป็นช่วงที่มีอะไรตื่นเต้นอยู่ตลอดเวลาโดนเฉพาะในช่วงหน้าหนาว เพราะโรงเรียนของดิฉันมีต้นไม้เยอะมากโดนเฉพาะต้นขี้เหล็ก ซึ่งในช่วงหน้าหนาวก็จะมีหนอนมากมายเลยที่เดียวในต้นขี้เหล็ก เวลาเดินผ่านที่ไรเป็นต้องผวา เพราะดิฉันเป็นคนที่กลัวหนอน และเพื่อนๆก็ชอบมาแกล้ง จนบางครั้งคิดไม่อยากไปโรงเรียน แต่ก็เป็นอะไรที่สนุกสนานเล่นๆไป มีเสียงหัวเราะของเพื่อนๆและเสียงกรี๊ดของดิฉัน เวลาที่ฉันกรี๊ดเพื่อนก็หัวเราะสนุกสนานมากเลย ( คิดซะว่าเป็นความสุขของเพื่อนแล้วกัน) ส่วนชีวิตในช่วงมัธยมปลายดิฉันก็ได้ย้ายเข้ามาเรียนโรงเรียนในอำเภอ เพื่อนๆบางคนก็ไม่ได้เรียนต่อ บางคนก็ไปเรียนที่โรงเรียนอื่นก็มี ช่วงแรกๆดิฉันรู้สึกแย่มากเพราะยังปรับตัวกับการเดินทางไปกลับไม่ไหว เพราะต้องตื่นแต่ตีหน้าครึ่ง อาบน้ำแต่งตัวรอรถรับส่งนักเรียน ความรู้สึกเหนื่อยและก็ท้อแท้มากเลย แต่พอนานไปก็เริ่มจะชินและชอบที่จะไปโรงเรียนเพราะแอบชอบเพื่อนคนหนึ่งที่อยู่ต่างห้องกัน เวลาเข้าแถวฉันก็จะแอบมองดูเวลาที่เขายิ้ม เขาพูด โอ๊ย!! ทำไมน่ารักจังนะ แต่ก็ไม่มีอะไรเพราะมันเป็นแค่การแอบปลื้ม และในช่วงม.6 เป็นช่วงที่ชีวิตย่ำแย่ เพราะยังไม่รู้ว่าตัวเองจะเรียนอะไร ที่ไหน อย่างไร และในที่สุดก็เลือกที่จะเรียนที่คณะศึกษาศาสตร์ สาขาวิชาภาษาอังกฤษ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม และก็ได้เรียนดังใจหมาย
ชีวิตในมหาวิทยาลัย ตั้งแต่วันแรกที่เดินเข้าในมหาวิทยาลัยแห่งนี้ ก็ได้เจออะไรหลายๆอย่าง ทำให้เราได้รู้ว่าการที่เราจากครอบครัวมาอยู่เพียงลำพัง (นี่คือสิ่งที่เราคิด) แต่มันไม่ใช่เลย เรามาอยู่หอพัก เราก็มีเพื่อนเยอะแยะและที่สำคัญเวลาที่เรามาอยู่อย่างนี้ เพื่อนคือคนที่เราพึ่งพาอาศัยเขาได้มากที่สุด ครั้งแรกที่เรียนกับอาจารธูปทอง ดิฉันก็รู้สึก โอ๊ยๆๆ เลยที่เดียว แต่ดิฉันก็สู้กับทุกสิ่งทุกอย่าง ร้องไห้กับหลายๆเรื่อง และที่หนักที่สุดคือ ตอนที่ดิฉันอยู่ชั้นปีที่ 3 ช่วงปีใหม่ เรียกได้ว่า มีน้ำตาเป็นของขวัญปีใหม่เลยก็ว่าได้ ซึ่งเป็นช่วงที่ดิฉันและเพื่อนๆทำ CAI ส่งอาจารย์ธูปทอง แต่ก็ไม่ผ่านสักที และในวันหนึ่งที่ได้รับโทรศัพท์จากทางบ้านว่า ยายไม่ค่อยสบายตอนนี้อยู่
โรงพยาล ทำให้ฉันคิดว่าชีวิตในช่วงนั้นของดิฉันย่ำแย่มากๆ งานก็ยังไม่เสดยายก็ไม่สบาย ฉันต้องเดินทางกลับอุบลเพื่อไปเยี่ยมยาย โดนทิ้งงานให้เพื่อนทำกันอยู่สองคน พอทำงานเสด แต่พอในวันต่อๆมา งานเสดและในวันนั้นก็เป็นวันเสาร์ ฉันก็จะกลับไปเยี่ยมยายอีกครั้ง ก่อนที่จะกลับจึงได้โทรศัพท์หาแม่ และข่าวล่าสุดที่ฉันได้ฟังคือ ยายไม่ไหวแล้วนะลูก เราจะพายายกลับบ้าน หมอเขาไม่มีทางรักษาแล้ว เพียงแค่นั้นฉันก็ได้แต่ร้องไห้ และก็ขึ้นรถกลับอุบล สิ่งเดียวที่ฉันทำได้คือ การนั่งอยู่ข้างๆยายที่นอนหลับตา ไม่พูด หายใจเพียงเบาๆ นั่งอยู่ตรงนั้นจนวินาทีสุดท้ายของยาย ทุกคนที่นั่งอยู่ตรงนั้นมองมาที่จะฉันตลอดเวลา เพราะกลัวว่าฉันจะเป็นลม แต่ความรู้สึกตอนนั้นของฉันคือทำใจได้แล้ว และหยุดร้องไห้ แต่หลังจากนั้นก็ได้รับข่าวดีจากเพื่อนว่า CAI เราผ่านนะ ถึงฉันจะเสียใจที่เสียยายไป แต่ก็ยังดีที่ CAI ผ่าน ชีวิตคนเราไม่ได้มีด้านเดียวเสมอไป บางครั้งอาจจะทุกบ้าง สุขบ้างคลุกเคล้ากันไป
ดิฉัน นางสาวสายรุ้ง นามสกุล เสมอใจ เกิดเมื่อวันที่2 ธันวาคม 2531 ที่โรงพยาบาลศรีบุญเรือง จังหวัดหนองบัวลำภู เพื่อนๆเรียก สายรุ้ง เป็นลูกคนเดียวซึ่งเป็นเรื่องน่าเศร้าใจสำหรับดิฉันมาก เพราะในวัยเด็กตั้งแต่จำความได้ใช้เวลาส่วนมากอยู่กับพ่อแม่ จะเป็นเด็กที่ค่อนข้างติดพ่อมากกว่า นิสัยตอนนี้ก็เลยดูห้าวๆเพราะถูกเลี้ยงมาแบบไม่ได้สอนให้เป็นผู้หญิงจ๋า เหมือนเด็กหญิงทั่วไป ถูกเลี้ยงแบบเรียบง่าย คุยกันด้วยเหตุผล เราสามารถพูดในสิ่งที่เราคิดอย่างเต็มที่ แต่เมื่ออยู่มาวันหนึ่งชีวิตของเด็กหญิงคนหนึ่งก็ได้รับการเปลี่ยนการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิตเพราะตอนอายุ8ขวบ พ่อได้เสียชีวิต ตอนนั้นพ่ออายุแค่ 37 ปี หมอบอกว่าพ่อหัวใจล้มเหลว พ่อไม่ได้เป็นโรคหรือป่วยมาก่อน แต่ทุกอย่างมันกระทันหันมาก จนความรู้สึกของฉันในตอนนั้นแทบอยากจะตายตามไป ฉันรู้สึกได้ว่าแม่ของฉันก็คงจะรู้สึกไม่แตกต่างกับฉันเลยแม้แต่น้อย แม่กับฉันร้องไห้กอดกันเป็นเวลาหลายวันหลังเสร็จงานศพพ่อ เพราะเราเคยมีกัน3คน ไปไหนไปด้วยกัน ฉันมีพ่อกับแม่เป็นเพื่อนเล่นตอนอยู่บ้าน เราทำกิจกรรมหลายอย่างร่วมกัน ไปเที่ยวกันในวันหยุด นั่นเป็นความทรงจำดีๆที่ฉันยังจำได้เสมอ ฉันกับแม่อยู่บ้านโดยมียายเป็นที่พึ่ง ยายย้ายมาอยู่กับเราที่บ้านแต่ก็อยู่ได้ไม่กี่ปียายก็เสีย ฉันกับแม่เลยต้องอยู่กันสองคน หลังจากนั้นแม่ก็แต่งงานใหม่เพราะไม่มีคู่คิด ที่ปรึกษา หลังจากยายเสียแล้ว โชคดีที่แม่เจอคนดีๆเราก็เลยไม่มีปัญหาภายในครอบครัว ที่อาสาดูแลแม่และฉัน หลังจากนั้นสมาชิกในบ้านก็กลับมามีสามคนเหมือนเดิม เราใช้ชีวิตแบบเรียบง่าย ตอนเช้าพ่อขับรถไปทำงาน แวะส่งฉันที่โรงเรียนใกล้บ้าน แม่ก็เป็นแม่บ้านคอยดูเรา พอเรียนจบจากโรงเรียนประถมศึกษาใกล้บ้านฉันก็เข้าเรียนต่อโรงเรียนมัธยมศึกษาใกล้บ้านเช่นเคย ซึ่งเป็นโรงเรียนมัธยมศึกษาประจำอำเภอขนาดใหญ่ ฉันเข้าเรียนในระดับมอต้นที่ห้องระดับดีมาก แต่ทุกอย่างในตอนนั้นดูเหมือนจะง่ายสำหรับฉันไปซะทุกอย่าง ตอนเช้าไปโรงเรียน เล่นกับเพื่อนที่โรงเรียน เลิกเรียนก็ไปเรียนพิเศษต่อ เรียกได้ว่าเป็นชีวิตที่มีความสุข เพราะมีเพื่อนสนิทที่รู้ใจ และยังได้อยู่ใกล้บ้านอีกด้วย ฉันเรียนจบในระดับชั้นมัธยมต้นและเข้าเรียนต่อในระดับมัธยมปลายที่เดิม ในตอนนั้นฉันร่วมกิจกรรมโรงเรียนเป็นอย่างดี ฉันเป็นคณะกรรมการนักเรียนร่วมกับเพื่อนในห้องเกือบทุกคนมีหน้าที่ที่จะต้องรับผิดชอบร่วมกันทั้งหมด เราทุกคนไปโรงเรียนแต่เช้าและเลิกเรียนช้ากว่านักเรียนปกติ ฉันเป็นคณะกรรมการนักเรียนหนึ่งปีการศึกษาได้รับประสบการณ์ในโรงเรียนมากมาย ซึ่งเป็นประสบการณ์ทำงานที่ไม่มีสอนในตำราเรียน ซึ่งพ่อเคยสอนฉันแบบนั้น ประสบการณ์ที่เราสามารถเรียนรู้ได้ ไม่ได้มีอยู่ในหนังสือเรียนทุกอย่าง แต่ขึ้นอยู่กับเวลาและโอกาสที่เราจะได้เรียนรู้เอง ฉันจึงชอบทำกิจกรรมมากกว่าการนั่งเรียนหรือถ่องตำราในตอนนั้น ซึ่งเป็นความรู้สึกของวัยรุ่นทั่วไปที่มีความคิดเป็นของตัวเองแต่อยู่ภายในกรอบที่พ่อแม่เป็นคนชี้แนะ แต่หลายครั้งที่ฉันแอบทำผิดแต่ไม่ได้บอกแม่เพราะคิดว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรมากมาย เช่นการมีแฟน แต่ก็เหมือนว่าฉันโชคดีที่ตอนนั้นมีแฟนเป็นเพื่อนในห้อง ตอนนั้นอยู่ระดับชั้นมัธยมปลาย มีเพื่อนติวข้อสอบให้ มีเพื่อนโทรเตือนให้อ่านหนังสือสอบเอนทราน แต่ช่วงนั้นเครียดมาก กลัวไม่มีที่เรียนต่อ ฟังแล้วไม่ดีแต่ก็ไม่ได้ร้ายแรงมากในความคิดของฉัน มีแฟนในตอนนั้นก็เหมือนเพื่อนสนิทมากกว่า (มีต่อ)
ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทที่เป็นผู้ชาย ตอนนั้นเป็นความคิดในวัยรุ่นที่บางทีพูดไปแล้วผู้ใหญ่ก็คงไม่เข้าใจ ทำให้วัยรุ่นเซง ว่าการมีแฟนแล้วจะเลวร้ายซึ่งเราก็ไม่เชื่อ แต่อาจารย์ที่โรงเรียนบอกกับฉันว่ามันเป็นความรักแบบเด็กๆไม่เสียหายหรอกถ้าอยู่ในกรอบก็เหมือนกับการได้เพื่อนสนิทอีกคน เพราะอาจารย์เห็นสอนการบ้านในห้องสมุด อาจารย์ก็เลยเดินมาแซวและนั่งคุยด้วย อีกอย่างแม่ก็ชมเพื่อนคนนี้ว่าเรียนเก่ง เป็นเด็กดี ก็เลยตัดสินใจคุยกัน แต่ชีวิตสนุกสนานไปวันๆก็เปลี่ยนแปลงไปเมื่อช่วงสอบเอนทรานมาถึง ทำให้ฉันเครียดมาก แต่ในที่สุดก็มีที่เรียนต่อ ดีใจมาก จากชุดนักเรียนมัธยมปลายสู่ชุดนักศึกษา เข้าเรียนต่อในคณะศึกษาศาสตร์ สาขาภาษาอังกฤษ ปีหนึ่งเป็นน้องใหม่ในรั้วมหาวิทยาลัยแต่รู้สึกแปลกที่ต้องห่างแม่ เพราะเราไม่เคยห่างกัน ความรู้สึกตอนแรกที่มาเรียนไม่สนิทกับใคร ความรู้สึกเพื่อนๆทุกคนก็คงไม่ต่างกัน พอลงทะเบียนก็ลงเองไม่มีใครแนะนำ เกรดออกแทบช็อค คิดว่าได้น้อยถ้าเทียบกับเพื่อนในสาขาเดียวกัน เพราะเทอมแรกไม่รู้ว่าต้องเรียนวิชาอะไรบ้าง เรียกง่ายๆว่ากำลังเคว้งอยู่ในเทอมแรก จนร้องไห้ แต่พอมีเพื่อน เริ่มสนิทกัน ทุกอย่างก็สนุกสนานในชีวิตมหาวิทยาลัย ได้ทำกิจกรรมหลายอย่างเช่น ทำงานในชมรม ออกค่ายสอนภาษาอังกฤษในต่างจังหวัด ออกค่ายอาสาพัฒนาได้พบเพื่อนใหม่ๆ ประสบการณ์มากมาย ถ้าหากไม่ได้มาเรียนต่อในมหาลัยประสบการณ์ชีวิตเช่นนี้คงหาทำได้ยาก ปัจจุบันฉันเรียนอยู่ชั้นปีที่4แล้ว เตรียมตัวออกฝึกสอนในปีการศึกษาหน้า เป็นเรื่องน่าตื่นเต้นสำหรับคุณครูในอนาคตเช่นฉันเหลือเกิน เพราะจะไม่ได้มานั่งเรียนแต่ต่อไปจะเป็นผู้สอน
ประวัติส่วนตัว แบบย่อ ๆ นางสาวจิตรลดา มาตศรี EN: 50010512561
ชื่อ – สกุล นางสาวจิตรลดา มาตศรี ชื่อเล่น นุ้ย อายุ 22 ปี
เกิด วันพุธ ที่ 18 เมษายน 2532 กรุ๊ปเลือด B
บิดาชื่อ นายบุญสิน มาตศรี อาชีพ ทำนา และ รับเหมาก่อสร้าง มารดาชื่อ นางสุนา มาตศรี อาชีพ ทำนา และ ครูผู้ดูแลเด็ก( ศูนย์พัฒนาเด็กก่อนเกณฑ์ )
E-mail: jitlada_matsri_561@hotmail.com
อาจารย์ที่ปรึกษา รศ.ดร.ธูปทอง กว้างสวาสดิ์
นิสัย ในมุมมองของคนอื่น มองว่า ข้าพเจ้าเป็นคนที่ร่าเริงสดใสสบายๆ ใครๆอยู่ด้วยต้องมีเสียงหัวเราะตลอดเวลา ฉันไม่ได้มองโลกในแง่ร้ายแต่ฉันก็ไม่ได้มองโลกในแง่ดี
ข้าพเจ้าเป็นคนสดใสร่าเริงมาตั้งแต่เด็กๆและเป็นเด็กที่ตุ้ยนุ้ยมาก คุณปู่จึงให้ชื่อเล่นว่า ตุ้ยนุ้ย ที่บ้านของข้าพเจ้าอาศัยอยู่แบบครอบครัวใหญ่นอกจากคุณพ่อคุณแม่และน้องชายตัวแสบของฉันแล้วยังมีทั้งคุณปู่คุณย่าและคุณอาสาวอีกหนึ่งคน โดยส่วนมากคุณอาสาวจะเป็นคนดูแลฉันมากกว่าคุณแม่เพราะคุณพ่อคุณแม่ทำงานนอกบ้าน ฉันจึงเรียกคุณอาว่าแม่และยังเรียกคุณย่าว่าแม่ด้วยใครจะโชคดีเท่าฉันล่ะที่มีแม่ตั้งสามคน นอกจากจะมีแม่หลายคนแล้วยังมีเพื่อนเยอะด้วย ตอนที่ฉันเรียนอยู่ชั้นอนุบาลน้องชายฉันยังไม่เกิด พ่อฉันก็อยากได้ลูกผู้ชายมากๆ จึงชอบให้ฉันเล่นอะไรเหมือนผู้ชาย ของขวัญวันเกิดชิ้นแรกที่พ่อมอบให้ นั่นก็คือรถขุดดินของเล่นสีเหลือง และชิ้นต่อๆมาก็เป็นรถเป็นหุ่นยนต์ ฉันไม่ชอบมันแต่ฉันก็ไม่เกลียดมันเพียงแค่ไม่รู้จะเล่นมันได้อย่างไรเพราะฉันไปเล่นกับเพื่อนผู้หญิงของที่พ่อมอบให้มามันไม่มีค่ากับการเล่นของฉันกับเพื่อนๆผู้หญิงเลย
ในระดับชั้นประถมศึกษาการเรียนของฉันอยู่ในระดับต้นๆของห้องและฉันก็มีความเป็นผู้นำพอสมควรเคยเป็นหัวหน้าห้อง ผู้นำหน่วยยุวกาชาด รองประธานนักเรียน และประธานนักเรียน เมื่อชีวิตย่างเข้าวัยรุ่นจากเด็กช่างพูดก็กลายเป็นสาวน้อยขี้อายละความเป็นนำที่พอมีอยู่ก็ค่อยๆเลือนหายไป ช่วงที่เรียนในระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นที่ โรงเรียนจันทรุเบกษาอนุสรณ์ อ.เกษตรวิสัย ฉันเป็นคนที่มีเพื่อนเยอะมากและดื้อมากๆ เป็นช่วงที่ทำให้คุณแม่คุณแม่หนักใจทั้งด้านผลการเรียนและฉันติดเพื่อนมากๆทั้งเพื่อนผู้ชายและเพื่อนผู้หญิงแต่ก็ที่ฉันคบแบบเพื่อนจริงๆไม่ใช่คบแบบแฟน เมื่อจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่3 คุณแม่จึงให้ย้ายโรงเรียนเพราะฉันติดเพื่อนมากเกินไป จากที่ฉันเคยอยู่บ้านที่มีคนเยอะๆไปโรงเรียนก็มีเพื่อนเยอะๆกลายมาเป็นว่าต้องมาอยู่หอพักในตัวจังหวัดคนเดียวแต่ก็มีเพื่อนสนิทอยู่ 2 คนซึ่งถือว่าไม่เยอะเลยสำหรับฉัน แต่ฉันว่าก็ดีนะที่ไม่มีเพื่อนเยอะ เพื่อนไม่จำเป็นต้องมีเยอะมีน้อยแต่รู้ใจกันมันดีกว่า ฉันเป็นคนที่ไม่ค่อยมีจุดยืนเพื่อนชวนทำอะไรฉันก็ทำและเพื่อนสนิทของฉันก็เป็นเด็กเรียนมากๆเธอจบจากโรงเรียนจุฬาภรณ์ จ.บุรีรัมย์เธอก็ผลัดถิ่นไม่มีเพื่อน ฉันก็เป็นเหมือนเธอเราจึงได้คบกันเป็นเพื่อน เธอชอบชวนฉันเข้าห้องสมุดอ่านหนังสือ ฉันก็มีความสุขที่ใช้ชีวิตในโรงเรียนแบบนี้ทั้งที่เมื่อก่อนไม่เคยทำ ผลการเรียนดีขึ้นเรื่อยๆ เมื่อจบชั้นมัธยมปลายโรงเรียนสตรีศึกษา (ร้อยเอ็ด) ฉันก็เลือกมาเรียนที่ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ทั้งๆที่ก็ได้สิทธ์เรียนที่อื่นด้วย แต่อีกเหตุผลหนึ่งที่เลือกมาเพราะใกล้บ้านไม่ต้องปรับตัวมากมายนัก คุณแม่คุณพ่อเห็นด้วยและเป็นคณะและสาขาที่ฉันชอบ นั่นก็คือ คณะศึกษาศาสตร์ สาขาวิชาภาษาอังกฤษ ฉันใฝ่ฝันอยากเป็นคุณครูมากๆ ฉันอยากสอนหนังสือเด็ก แต่ ณ ตอนนี้คงไม่ต้องพูดความเป็นผู้นำของฉันเพราะมันลดลงจนไม่มี ฉันไม่ชอบทำกิจกรรม ฉันไม่ชอบไปค่าย จนมาถึง ณ วันนี้ ฉันเรียนอยู่ชั้นปีที่ 4 ฉันว่าฉันเริ่มสนใจกิจกรรม อยากไปค่ายชมรมต่างๆ เสียดายเวลาจริงๆ
อัตชีวประวัติ ปิยมาลย์ สุขแก้ว รหัส 50010512529 4EN
เฮ้อ ...อะไรในโลกนี้นี่มันไม่เที่ยงจริงๆ เลย เพิ่งรู้สึกว่าเมื่อวานนี้เองที่คุณครูเพิ่งขานชื่อฉันว่า “ปิยมาลย์ สุขแก้ว” เด็กหญิงตัวดำ เหาเต็มหัว แถมยังตัดผมบ๊อบยังกะเด็กผู้ชายที่คอยรังควานคนอื่น ขนาดที่ว่าไม่ให้ใครได้ดีเกินตัวเอง (คดีนมช็อกโกแล็ต VS นมจืด) จนกระทั่งว่าไม่มีใครเขาอยากเล่นด้วยเมื่อสมัยอนุบาล จนเจ้าคุณพ่อตัดสินใจไม่ให้เข้าโรงเรียนประจำอำเภอเหมือนพี่สาวคนเก่งและฉลาดเอาการ ช่างเหอะ พอหยวนๆ ให้ เพราะตอนประถมก็ยังยอมให้เข้าโรงเรียนเกือบจะประจำอำเภอ ยังไงก็ใกล้ๆ กับโรงเรียนประจำอำเภอแหละน่า ก็ใครเค้าจะไปไว้ใจให้ she โกอินเตอร์ได้ล่ะ ก็มีโรค “ขี้ลืมขึ้นสมอง” แถมยัง มีเวลาที่ไม่ค่อยจะตรงกับคนอื่นซักเท่าไหร่ แฮะๆๆ
แหม!! ดูเหมือนว่าประวัติไม่ค่อยจะสวยซักเท่าไหร่ ตั้งแต่อนุบาลเลย และที่สำคัญป๊ะป๋าก็ดูเหมือนจะไม่ค่อยเหมือนชาวบ้านเค้าซักเท่าไหร่ ก็จะอาไร้ ถ้าไม่ใช่คอยอบรมเรื่องมารยาทให้ตั้งแต่ประถมก่อนที่ฉันจะเดินต๊อกแต๊กไปโรงเรียนอนุบาลใกล้บ้าน ก็คงทำให้ฉันไปเข้าแถวเคารพธงชาติทันเพื่อนมั่งแหละน่า (ที่จริงตัวเองตื่นสายจนต้องถูกทำโทษก่อนไปโรงเรียน) บางทีนะให้เด็กอนุบาลที่น่าสงสารอย่างฉันวิ่งรอบบ้านซัก 10 รอบ กระโดดตบ 20 ครั้ง เก็บขยะรอบๆ บริเวณบ้าน โอ๊ย! ก่อนจะได้ออกจากบ้านเหมือนเพื่อนะเล่นทำเอาหอบทั้งพี่ทั้งน้อง บางวันฉันรีบตื่นแต่เช้าไปโรงเรียนแต่ก็ถูกมาตามให้กลับบ้านตามประกาศเคอร์ฟิว เหตุผลเพราะไม่เสียบสายกาน้ำร้อนต้มกาแฟให้ท่านพ่อ ก็ใครล่ะจะไปเก่งเหมือนลูกสาวคนโตที่อยู่ ป. 2 สอบได้ที่ 1 ทุกปี และแสนจะน่ารักเหมือนยัยน้ำลายยืด ที่ทำให้ฉันต้องแก่กว่าถึง 5 ปี จนทำให้เด็กอนุบาลอย่างฉันต้องเป็นพี่สาวตั้งแต่อายุยังไม่พร้อม
จะบอกว่าตอนอนุบาลยังน้อยไป เมื่อเทียบกับวาระที่ฉันอยู่โรงเรียนประถม(โรงเรียนบ้านหัวหนอง) ต้องให้คุณป๊ะป๊าไปส่งที่โรงเรียนนี่สิ ฉันต้องวิ่งตามตูดรถกระบะคันสีน้ำเงินเพื่อนยากคันนั้นเพื่อให้ทันไปโรงเรียนทุกวัน บางวันฉันก็สายด้วยเรื่องที่ไม่คาดฝันนั่นคือ หาถุงเท้า รองเท้า กระเป๋า สมุดการบ้าน ไม่เจอ โดยเฉพาะรองเท้าที่ต้องเข้าไปหาที่ป่ากล้วยทุกวันเพราะถูกผู้ประกาศอัยการศึก(ก็จะใครล่ะ) โยนทิ้งข้อหาถอดไว้ไม่เป็นที่เป็นทาง จนทำให้ฉันเจอกับเจ้าหนอนบุ้งที่ห้อยอยู่กับต้นกล้วย และทำให้ฉันต้องกลัวมันเท่าทุกวันนี้ (บางคืนก็ยังฝันร้ายเพราะเจ้าหนอนตัวนั้นแหละ) และด้วยความที่ฉันเป็นตัวของตัวเองมากเกินไปจนทำให้ต้องย้ายโรงเรียนเพื่อหาประสบการณ์ถึง 3 โรงเรียนแน่ะ
ชุมแพศึกษาแหล่งวิชาให้ความรู้ สีเขียวชมพูสู่ศรัทธาพาฟูเฟื่อง....และแล้วชีวิตวัยทีนก็มาถึงแบบเต็มรูปแบบ ฉันเข้าเรียนมัธยมที่โรงเรียนชุมแพศึกษา เป็นโรงเรียนขนาดใหญ่มากกก เพราะมีนักเรียนเกือบๆ 3,000 คน ฉันตั้งใจเรียนที่สุดเลยเพราะรู้สึกว่าสนุกไปหมดเลย ยกเว้นกฎที่กักบริเวณคนที่เข้ามาโรงเรียนหลัง 08.00 น. และการตัดผมที่ฉันรักนักรักหนา และการมาอยู่ที่นี่ทำให้ฉันได้เรียนรู้กับภาษาอังกฤษอย่างเต็มรูปแบบ ฉันรักการเรียน การอ่าน และแม้แต่การร้องเพลงฝรั่ง ก็เพราะมีครูที่ดีที่คอยเป็นแบคอัพอยู่เบื้องหลัง สอนทั้งก่อนนอนและหลังเลิกเรียน (สงกรานต์ยังสอน) นั่นคือ คุณครูอนงค์ สุขแก้ว ก็พ่อฉันเป็นครูนี่นา ดูนามสกุลก็รู้ว่าพ่อใครเนอะ พอฉันอยู่ ม. 5 พี่สาวฉันก็เข้ามหาวิทยาลัย (ตอนนี้กำลังเรียนเนติบัณฑิต) น้องสาวฉันก็เข้าเรียน ม. 1 ทำให้แม่ทำงานหนักเพิ่มขึ้นและอีก 1 ปีต่อมา แม่ก็ได้กลายเป็น talk of the town ของหมู่บ้านเพราะตั้งครรภ์ลูกชายคนเล็ก แต่ใครถ้าเห็นแม่ฉันก็คงจะอิจฉาเพราะหน้าเด้งยังกะเด็กปีหนึ่ง ท่านขายของที่ตลาดเช้าโรงหนังเก่าที่ค่าเช่าแผงแพงหูขี้ (ตอนนี้ 180 แล้ว) ต่อวัน ก็ขายผักสด พริกแดง กระเทียม ขิง ประมาณนี้แหละแบบว่าขายหลายอย่าง และก็มี order ส่งร้านอาหารเกือบทุกวัน พอฉันเลิกโรงเรียนปั๊บ งานแรกที่ต้องทำก็คือเด็ดพริก และปอกเปลือกกระเทียม เตรียมขายตอนเช้าและส่งร้านอาหารมั่ง ตอนนี้มี order เยอะมั่กๆ โดยเฉพาะช่วงเทศกาล ถ้ามาตลาดนี้ถามหาเจ๊สมหมาย รับรองรู้กันทั่วตลาด บางครั้งฉันก็ไปขายของกับแม่ โดยเฉพาะตอนที่แม่ตั้งท้องลูกคนที่ 4 ฉันกับยายก็ไปขายแทน ยายฉันนะคิดเลขเร็วโคตรๆ ไอ้เรายังคิดไม่ทันเลย ก็แกเป็นแม่ค้าเก่า แถมขยันจนบางครั้งฉันเครียดลงกระเพราะ เพราะแกพาหอบของไปขายตั้ง 3 ตลาด ไอ้เรานี่สิทั้งเรียนทั้งเตรียมตัวจะเข้ามหาวิทยาลัย เล่นเอาไม่มีแม้กระทั้งเวลาทำการบ้าน กลับมาถึงบ้านก็ตี 3 ตี 4 เพราะขับรถมอ’ไซด์ไปส่งยายที่ตลาด จนกระทั่งแม่คลอดน้องนั่นแหละยายจึงได้ไปปฏิบัติธรรมที่วัด…เอาวัยทีนช้านคืนมาฮือๆๆ
ปิยมาลย์ สุขแก้ว 50010512529 4EN
(ต่อ)
ถึงฉันจะทำงานหนักแต่ก็ไม่ทิ้งเรื่องการเรียนเหมือนที่พ่อประชดหรอกน่ะ เพราะขนาดไม่ค่อยได้อ่านหนังสือหลังเลิกเรียน ขนาดไปโรงเรียนสายทุกวัน ขนาดหลับในห้อง ยังได้เกียรตินิยมอันดับ 2 ทั้ง ม. 4 5 และ ม. 6 เทอมแรกเลย คงเป็นเพราะพ่อคอยจ้ำจี้จ้ำไชตอนที่แกเลิกโรงเรียน และเวลาดูละครของฉันก็ไม่เคยมีมาในอดีต พ่อดูข่าวเราก็ได้ดูแต่ข่าว กฎของบ้านคือห้ามดูละคร (ยกเว้นแต่ตอนที่ท่านไม่อยู่) เวลาดูละครคือเวลาที่ฉันต้องอ่านหนังสือให้พ่อฟัง และรอยต่อแห่งอนาคตของฉันก็มาถึง เมื่อสมัครเข้าเรียนต่อคณะศึกษาศาสตร์ สาขาภาษาอังกฤษ พ่อฉันสนับสนุนให้เรียนครู 100 เปอร์เซ็นต์ เด็กสาวแสนสวยและดีอย่างฉันก็ต้องตามใจท่านเพราะอยากเรียนภาษาอังกฤษอยู่แล้ว และอีกอย่างพ่อสามารถที่จะเบิกค่าศึกษาบุตรได้ ก็คงจะลดภาระได้เพราะพี่สาวฉันเรียนมหาลัยเอกชน
เห็นหรือยังว่าเรื่องราวของฉันมันเหมือนเกิดขึ้นเมื่อวานนี้ ก็เพิ่งเริ่มเมื่อตอน29 พฤศจิกายน 2531 นี่เองตอนนี้ฉันก็อายุ 22 แล้วละ จริงๆ นะ ถึงแม้บางคนจะบอกว่าเหมือนเด็กอายุ 12 ชีวิตที่มหาวิทยาลัยฉันก็มหาวิทยาลัยจริงๆ ปี 1 ยันปี 4 ก็ยังอยู่หอพักในมหาวิทยาลัย เปลี่ยนหอทุกปีดังนี้แล ตอนปีหนึ่งอยู่พุทธรักษา 210 ปีสองย้ายไปกุดรัง 103 ปีสามกลับมาที่ ม. เก่า อยู่ก๊ะเจ๊ไข่ (นุ้ย) ที่เบญจมาศ 110 แต่พอเทอม 2 มีเหตุให้ต้องคืนไปที่หอกุดรัง ทีนี้ไปอยู่ห้อง 129 พอปี 4 ก็อยู่กุดรังนั่นแหละแต่เปลี่ยนห้องมาเป็น 103 และแล้วข้าพเจ้าก็มีเรียนแต่ที่ ม. เก่า ก็เลยต้องย้ายมาอยู่ที่หอเบญจมาศ 103 เจ้าค่ะ ฉันมีเพื่อนที่สนิทอยู่ 2 คน คือบุญภา (ไข่นุ้ย) และก็ สุภาภรณ์ (ปั๊ก) นั่นแหละที่นัด นัด นัด ทำงานแต่ ม. เก่า แต่ก็ด้วยแรงบันดาลใจของสองคนนี้ทำให้ฉันมาเรียนทันเวลากะเขาซะที ฉันเปลี่ยนหอบ่อยจนมีเพื่อนเกือบทุกคณะแล้วล่ะ แต่ก็เสียดายอย่างหนึ่งที่มาอยู่ม.เก่าไม่มีสระว่ายน้ำเหมือนอยู่ที่กุดรังม.ใหม่ ฉันไปว่ายน้ำทุกวันสมัยอยู่ที่โน่น คิดถึงซิทแพ็คหนุ่มๆ จัง (ล้อเล่น) สายตาสั้นตั้ง 250 จะไปมองเห็นอะไร ถ้าไม่ดำน้ำไปดูใกล้ๆ แฮะๆๆ อันนี้แค่บังเอิญเห็นเฉยๆ หรอกน่า...ฉันว่ายน้ำเป็นเพราะเกือบเคยจมน้ำแต่ไม่ยักกลัวน้ำเหมือนกลัวหนอนบุ้ง ตอนนี้ว่ายเป็นทั้ง 4 ท่า ผีเสื้อ Free Style กบ และกรรเชียง ตอนที่ว่ายน้ำน่ะหุ่นดี๊..ดี แต่ตอนนี้ลดยังไงก็ไม่ลง
และแล้วชีวิตที่รั้วเหลืองเทาแห่งนี้ก็ใกล้สิ้นสุดลงทุกเมื่อเชื่อวัน เพราะข้าน้อยจะได้เป็นนิสิตฝึกประสบการณ์วิชาชีพครู ที่โรงเรียนบ้านหนองคู ว้า...คงคิดถึงที่นี่แย่เลย EN Fighting
ดิฉันชื่อนางสาวจรรยารักษ์ บัวภา ชื่อเล่น ปุ๋ย แม่ชื่อ นางเพียร บัวภา อายุ 47 ปี อาชีพเกษตรกร พ่อชื่อ นายใบ บัวภา อาชีพเกษตรกรและ ค้าขายวัว ดิฉันมีน้องสาว 1 คน ชื่อ นางสาวพักตร์วิไล บัวภา ชื่อเล่น ยุ้ย ตอนนี้กำลังศึกษาอยู่ที่วิทยาลัยพยาบาลศรีสารคาม ชั้นปีที่2 ดิฉันเกิดวันอังคาร ที่ 25 ตุลาคม 2531 ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 เป็นวันออกพรรษาซึ่งเป็นวันที่เกิดปรากฏการณ์บั้งไปพญานาค ชื่อจริงแม่บอกว่าพระตั้งให้ ส่วนชื่อเล่นป้าตั้งให้เพราะปีที่เกิดตรงกับ ปุ๋ย ภรณ์ทิพย์ ได้รับตำแหน่งนางงามจักรวาล คนที่เกิดปีนี้ส่วนใหญ่ก็เลยได้ชื่อปุ๋ย ตอนแรกแม่จะชื่อ “ไอ”เพราะคล้องจองกับชื่อพ่อ แต่ก็อดยังนึกเสียดายชื่อนี้อยู่ ช่วงที่พ่อแม่แต่งงานใหม่ดิฉันอาศัยอยู่ที่บ้านยาย แต่พออายุได้ประมาณ2ขวบ ก็ย้ายมาอยู่กับย่าจนถึงปัจจุบันนี้ คือ อยู่บ้านเลขที่ 75หมู่ 13 ต.โหรา อ.อาจสามารถ จ. ร้อยเอ็ด
ตอนเด็กๆไม่ค่อยซนเหมือนเด็กทั่วไป ตอนนี้เลยไม่ค่อยมีรอยแผลเป็น เคยตกจากบ้านแต่ไม่เป็นอะไรเลย หลังจากที่ย้ายมาอยู่กับย่าก็เข้าเรียนอนุบาลจนถึงมัธยมศึกษาต้นที่โรงเรียนบ้านแคน(วันครู2503)เป็นโรงเรียนขยายโอกาส การเรียนในช่วงนี้ก็อยู่ในเกณฑ์ดีมากอยู่ระดับต้นๆของห้อง จากนั้นก็เข้าไปเรียนมัธยมปลายที่ในเมืองที่โรงเรียนสตรีศึกษา เป็นโรงเรียนประจำจังหวัด สอบเข้าสายวิทย์-คณิต อยู่ห้อง4 การเรียนอยู่ในระดับกลางๆไม่ค่อยได้ร่วมกิจกรรมกับทางโรงเรียน แต่ชีวิตในช่วงนี้ก็สนุกมาก ชอบมานอนกับเพื่อนที่ในเมืองบ่อยๆเพราะเบื่อการต้องนั่งรถรับส่งไปกลับทุกวัน ตอนอยู่ม.4 เพื่อนก็ตั้งชื่อให้ใหม่ว่า “ยูบิน” ชอบชื่อนี้มากเพราะจะออกแนวเกาหลี ช่วงนั้นเทรนเกาหลีกำลังมาแรง ได้ชื่อนี้เพราะชอบดูหนังเกาหลีเรื่อง Punch ฝากหัวใจติดปลายนวม นางเอกชื่อจางยูบิน เพื่อนๆในห้องเลยเรียกยูบินมาตลอดจนถึงเดียวนี้ พอถึงม.5ก็ประสบอุบัติเหตุตกจากรถมอเตอร์ไซค์ระหว่างทางกลับบ้านไปเยี่ยมตาที่โรงพยาบาล จำได้ว่าตกแล้วกลิ้งไปตามถนน 3 รอบถ้ามีรถผ่านมาตอนนั้นคง…ไม่อยากจะคิด เมื่อตั้งสติได้รับลุกขึ้นในมือยังถือถุงกับข้าวอยู่ตอนแรกไม่รู้สึกเจ็บแต่พอกลับถึงบ้านถึงรู้ว่าตัวเองเจ็บมาก นึกถึงทีไรยังนึกกลัวไม่หายเวลานั้งซ้อนมอเตอร์ไซค์กับยังเกร็งๆอยู่
หลังจากจบม.6 จากสตรีศึกษาก็สอบได้คณะศึกษาศาสตร์ เอกภาษาอังกฤษ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ในรอบ admission ซึ่งก่อนหน้านี้ก็ไปสมัครไว้หลายที่เหมือนกันตาไม่ได้เลือก ตอนเลือกอันดับที่ไม่ได้ตั้งใจจะเลือกศึกษาศาสตร์แต่ญาติๆและครอบครัวอยากให้เรียนเพราะเป็นอาชีพที่มั่นคงและความคิดตอนนั้นคือไม่อยากเรียนครู อยากเป็นนักข่าวหรือไม่ก็เป็นพิธีกรรายการบันเทิง ชีวิตในมหาวิทยาลัยช่วงแรกๆก็เหมือนกับเพื่อนๆคือ อยากกลับบ้าน เข้าเรียนคาบแรกกับอาจารย์ที่ปรึกษาไม่รู้เรื่องเลย เกิดความกังวลจนอยากจะย้ายเอกรู้สึกว่าตัวเองไม่ไหวแล้ว แต่พอเวลาผ่านไปได้เรียนภาษากับอาจารย์ฝรั่งบ่อยๆ มีเพื่อนมากขึ้นเราก็สามารถปรับตัวได้ รู้สึกดีขึ้น ตอนอยู่ปีสองเพื่อนๆก็ตั้งชื่อให้ใหม่อีกว่า”ฟู”เพราะไปดัดผมแล้วผมฟูมากบวกกับเป็นคนหัวโตอยู่แล้ว ชื่อนี้ก็ชอบมากเหมือนกัน เพื่อนๆที่สนิทกันก็จะเรียนเราว่าฟูจนลืมไปแล้วว่าตัวเองชื่อ”ปุ๋ย”นานๆทีจะมีคนเรียก”ปุ๋ย”ซึ่งไม่ชินกับชื่อนี้เลย ก็จะบอกว่า”เรียกฟูน่ะดีแล้ว เป็นกันเอง ดูสนิทกันดี” ตอนนี้ก็อยู่ปี4เทอมสุดท้ายแล้ว เทอมหน้าก็จะออกฝึกสอนถือว่าผ่านครึ่งทางมาแล้วเหลือเวลาอีกแค่ปีเดียวก็จะจบแล้ว ช่วงนี้ก็มีความสุขดีได้อยู่กับเพื่อน ได้ทำในสิ่งที่ไม่เคยทำรู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้ใหญ่ขึ้น มีความรับผิดชอบมากขึ้น ได้เจอประสบการณ์และได้เรียนรู้ในสิ่งใหม่ทั้งจากเพื่อน อาจารย์ และคนรอบข้างสิ่งเหล่าเองที่สอนเรามาตลอด ทำให้ตอนนี้เราเปลี่ยนแปลงความคิดใหม่ๆไปในด้านดี
ชื่อเข้าโรงเรียน “นางสาวฐิติมา สีสันต์” หรือเรียกเล่นๆว่า “อ้อม” ปัจจุบันอายุอานามก็จะว่า 22 ก็ได้ค่ะ เพราะอีกไม่แค่กี่วัน จุติมาบนโลกนี้เมื่อ “วันพุธที่ 22 กุมภาพันธ์ 2532” เวลา 11 นาฬิกาค่ะ เป็นลูกคนโต กำลังศึกษาอยู่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ชั้นปีที่ 4 คณะศึกษาศาสตร์ สาขาวิชาภาษาอังกฤษ มีน้องสาวหนึ่งคน ชื่อ นางสาวหิรัญญา สีสันต์ ตอนนี้กำลังศึกษาอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนกันทรลักษ์วิทยา ครอบครัวเรามีด้วยกัน 4 คน พ่อ แม่ ข้าพเจ้า และก็น้องสาว พ่อกับแม่นั่นเหรอค่ะเป็นเกษตรกรค่ะ ทำสวนยางพารา รายได้พอเลี้ยงปากเลี้ยงท้องสี่คนในบ้าน ตามที่อยู่ในทะเบียนราษฎร์บ้านเลขที่ 130 หมู่ 7 ตำบล ชำ อำเภอ กันทรลักษ์ จังหวัด ศรีสะเกษ 33110 ส่วนตอนนี้เหรอค่ะ ข้าพเจ้าอาศัยอยู่ที่หอพักศิริงาม 4/30 ถ.ศรีสวัสดิ์ดำเนิน ต.ตลาด อ.เมือง จ.มหาสารคาม 44000 ถึงจะขึ้นชื่อว่าเป็นพี่สาว แต่ก็ไม่ได้รับภาระเหมือนน้องสาวเลยค่ะ ส่วนมากงานหลายๆ อย่างน้องจะเป็นคนทำ ไม่ว่าจะเป็นงานบ้านบ้าง งานช่วยเหลือพ่อแม่บ้าง เพราะน้องจะแข็งแรงกว่า แต่ส่วนมากแล้วเราสองคนก็เป็นคนว่างงานตลอด เพราะส่วนใหญ่พ่อกับแม่จะจ้างคนงานมากกว่า
ชีวิตในวัยเด็กเหรอค่ะ ตั้งแต่จำความได้ ย่าเล่าให้ฟังว่า “ตอนคลอดออกมาจากท้องแม่น้ำหนัก 2.8 กิโลกรัม” ถือว่าตัวเล็กมาก วันที่ออกจากโรงพยาบาล ย่าเป็นคนอุ้มออกมาจนคนแถวหน้าโรงพยาบาล ถามว่า “ยายอุ้มอะไร?” แต่มาเปรียบเทียบกับตอนนี้เหรอค่ะ เทียบกันไม่ได้เลย ไม่รู้โตมาได้ยังไง ฮ่าๆๆ ถ้าจะว่าตอนเด็กดื้อไหมก็ไม่เชิง เพราะข้าพเจ้าเป็นลูกคนโต และเป็นหลานคนแรก ทำให้ติดนิสัยชอบเอาแต่ใจตั้งแต่เด็ก ก็จะงอแงมากเมื่ออยากได้อะไร แต่ส่วนใหญ่แล้วจะได้จากปู่มากกว่า ปู่จะใจดี ส่วนย่านั้นตามใจตลอด ตั้งแต่เด็กข้าพเจ้าไม่ค่อยได้อยู่กับพ่อแม่ เพราะส่วนมากจะอยู่กับปู่ยา ที่จริงแล้วบ้านข้าพเจ้ากับบ้านย่าก็อยู่ตรงข้ามกันแหละค่ะ แต่พ่อกับแม่จะออกไปกรีดยางตั้งแต่สี่ทุ่ม-ห้าทุ่ม ก็เลยได้มาอยู่กับย่า จำได้ว่าตอนนั้นอายุประมาณ 5 ขวบได้ พ่อกับแม่เอาข้าพเจ้าไปฝากไว้กับยายที่ อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี เพราะ ตอนนั้นพ่อกับแม่ไม่ค่อยว่างเลย ปกติแล้วจะนอนกับปู่กับย่าทุกคืนแล้ววันนั้นแม่โดนย่าด่าเลยค่ะเพราะว่าเอาข้าพเจ้าไปไม่บอกแก ปู่กับย่าก็เลยได้ไปรับที่อุบลราชธานีตอนตี 1 เป็นอะไรที่น่าภูมิใจมากที่ได้เป็นหลานคนแรก จนทำให้ปัจจุบันนี้น้อง และลูกพี่ลูกน้องของข้าพเจ้าว่าย่าลำเอียง เพราะย่าจะตามใจมาก
ชีวิตในช่วงประถมศึกษา ข้าพเจ้าเข้าเรียนชั้นประถมที่โรงเรียนในตัวอำเภอ เป็นโรงเรียนเอกชน เพราะเรียนต่อจากอนุบาลเลย นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้ข้าพเจ้าชอบภาษาอังกฤษตั้งแต่เด็ก แต่ก็ไม่ได้ช่วยให้เก่งขึ้นมาเลย ชื่อโรงเรียนว่า โรงเรียนมารีย์อุปถัมภ์ อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ ข้าพเจ้าเรียนที่โรงเรียนนี้จนถึง ป. 6 ตั้งแต่ ป. 1 จนถึง ป. 6 ก็อยู่ห้อง 1 แต่ก็ไม่ได้เก่งอะไรหรอกค่ะ จำได้ว่ามีครั้งหนึ่งไม่อยากไปโรงเรียน ตอนเช้าปู่มาปลุก แล้วขี้เกียจไปโรงเรียนก็เลยไปหลบอยู่หลังตู้ พอปู่จับได้โดนตีจนนอนหงายไม่ได้เลย ตอนนั้นโกรธปู่มาก ปู่เคยซื้ออะไรให้โยนทิ้งหมดเลย ด้วยความที่เป็นเด็กไงค่ะ ก็เลยไม่ได้คิดว่ามันมีค่าหรือป่าว มาคิดได้อีกทีก็ตอนโตเนี่ยแหละค่ะ เพราะของที่โยนทิ้งนะ มันเป็นสร้อยกับแหวน วันต่อมาก็เลยไม่ได้ไปโรงเรียนจริงๆ เพราะไม่สบายเพราะฤทธิ์ไม้เรียว ฮ่าๆๆๆ วันนั้นก็กลายเป็นว่าปู่กับย่าทะเลาะกันเพราะเรา ย่าจะตามใจแต่ปู่จะเป็นคนโมโหร้าย แต่เวลาใจดีนะใจดีมาก ขออะไรก็ได้ ช่วงที่เรียนโรงเรียนนี้ ด้วยความที่เราเป็นเด็กบ้านนอกไงค่ะ ก็เลยได้ขึ้นรถรับส่ง ทำให้ได้เพื่อนเยอะ
Titima 562 (ต่อ)
ชีวิตช่วงมัธยมศึกษา ช่วงนี้จะเป็นช่วงเวลาที่น่าสนุก เพราะเรากำลังเข้าสู่วัยรุ่น มีอะไรที่น่าตื่นเต้นหลายอย่าง และช่วงนี้ข้าพเจ้าก็ได้ไปผจญภัยหลายที่ เพราะต้องไปสอบเรียนต่อหลังจากจบประถมศึกษา เมื่อจบ ป. 6 ข้าพเจ้าไปสอบเรียนต่อที่โรงเรียนแห่งหนึ่งใน จ.อุทัยธานี เพราะมีคนแถวบ้านเรียนที่นั่น เขาเรียนแค่สี่ปีจบ ม. 6 ไงค่ะ แม่ก็เลยอยากให้ไปเรียนที่นั่น แต่จะเป็นคล้ายโรงเรียนวัด เพราะอาจารย์จะเป็นพระเกือบทั้งหมด และโรงเรียนจะอยู่ที่วัด สุนัขเยอะมาก ตอนนั้นไปด้วยกัน 4 คน การสอบเหรอค่ะ ไม่ค่อยมีอะไรมากมีสอบข้อเขียน ถ้าสอบข้อเขียนผ่านก็สอบปฏิบัติ รู้ไหมค่ะสอบปฏิบัติคืออะไร? นั่งสมาธิค่ะ แล้วจะถามเราว่าเวลานั่งอยู่เห็นอะไร ไปถึงไหน พวกเราไปสี่คนแต่สอบข้อเขียนผ่านสองคน คือข้าพเจ้าและเพื่อนอีกคนหนึ่งชื่อ “แป๋ม” แต่มีเพื่อนอีกคนหนึ่งซึ่งเป็นญาติกับข้าพเจ้าอยากเรียนด้วย แต่สอบไม่ผ่านก็เลยไปขอก็ได้ ก็กลายเป็นว่าพวกเราติดสามคน อีกคนหนึ่งกลับบ้านแล้ว พวกเราสามคนก็ไปนั่งสมาธิพร้อมกัน รู้สึกว่าตัวเองบาปมาก เพราะตอนที่ให้นั่งสมาธิ ตัวเองหลับพอตื่นขึ้นมาพระอาจารย์ก็มาถามว่าไปถึงไหน เห็นอะไรบ้าง ก็ตอบได้นะค่ะ แต่ว่าตอบเหมือนเพื่อน ฮ่าๆๆๆ บาปที่สุดโกหกแม้กระทั่งพระ พอผ่านไปชั่วโมงหนึ่งการสอบปฏิบัติก็เสร็จสิ้นลง พวกเราก็เลยลงมาหาพ่อแม่ แล้วก็พากันกลับ บทสุดท้ายเหรอค่ะ ติดแต่ไม่ไปเรียน (แล้วจะไปสอบเพื่ออะไรเนี่ย งงตัวเองเหมือนกัน??) ผลสรุปได้เรียนที่อุบลราชธานี โรงเรียนเอกชนตามเคย ชื่อโรงเรียนว่า “โรงเรียนอาเวมารีอา” คราวนี้ไม่ได้พักอยู่บ้านค่ะ พักอยู่หอเพราะเป็นโรงเรียนประจำแต่เราสามารถที่จะไปพักอยู่ข้างนอกได้ ก็เลยกลายเป็นว่าซึมซับศาสนาคริสต์ตั้ง 9 ปี เพราะเรียนอยู่ที่โรงเรียนอาเวมารีอาถึง ม. 2 และย้ายกลับไปเรียนที่บ้าน ที่โรงเรียนกันทรลักษ์วิทยา ม. 3 – ม. 6 เหตุผลที่ต้องย้ายเหรอค่ะ เพราะว่านิสัยไม่เหมือนกันกับเพื่อนที่ไปเรียนด้วยกัน ที่จริงแล้วก็เป็นญาติกันแหละค่ะ คนที่ไปสอบด้วยกันที่อุทัยธานี ก็เลยจะย้ายหนี แต่มันก็ดันย้ายตามไปอีก ก็เลยกลับมาเสียดายทีหลัง แต่ก็เอาเหอะที่ไหนก็เหมือนกัน สุดท้ายก็เลยจบชั้นมัธยมศึกษาที่โรงเรียนกันทรลักษ์วิทยา
ชีวิตช่วงอุดมศึกษา หลังจากที่จบ ม. 6 แล้วก็ต้องก้าวหน้าสู่อุดมศึกษา ตอนแรกก็ไม่ได้คิดว่าจะมาเรียนที่มหาวิทยาลัยมหาสารคามหรอกค่ะ เพราะติดที่ราชภัฏสวนสุนันทา ในคณะครุศาสตร์ สาขาภาษาอังกฤษ เหมือนกัน แต่ก็อย่างว่าแหละค่ะหน้าเราไม่ให้คนกรุง ก็เลยได้มาอยู่ที่มหาสารคาม (ฮ่าๆๆๆ มันเกี่ยวไหมเนี่ย) ที่จริงแล้วคือแม่ไม่ให้ไปค่ะ เพราะแม่บอกว่ามันไกลเกินไปแม่ไปหายาก สรุปก็เลยได้เรียนต่อที่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม คณะศึกษาศาสตร์ สาขาภาษาอังกฤษ แท้จริงแล้วข้าพเจ้าเป็นแค่ตัวสำรองด้วยซ้ำ ยังดีที่เรียกถึงไม่งั้นคงไม่มีที่เรียนแน่นอน แต่ก็ดีอย่างค่ะ เพราะถ้าไม่ได้มาเรียนที่นี่ ก็คงไม่ได้เจอเพื่อนๆ EN ที่น่ารัก ที่คอยช่วยเหลือตลอดเวลา คงไม่ได้เจออาจารย์ธูปทอง ผู้ที่มีอุดมคติที่แข็งแกร่ง ท่านคือแรงบันดาลใจให้ข้าพเจ้าอยากเรียนต่อ และก็คงไม่ได้เจออาจารย์รังสรรค์ ผู้ที่มีแต่ความสนุกสนาน ทำให้ผู้ที่อยู่ใกล้ หรือผู้เรียนมีรอยยิ้ม ชีวิตในมหาวิทยาลัยเป็นชีวิตที่น่าตื่นเต้นมากกว่าช่วงมัธยมศึกษา เพราะได้สัมผัสกับทุกรสชาติของชีวิต ทั้งความเหน็ดเหนื่อย ความท้อแท้ ความสนุกสนาน และอื่นๆ อีกมากมาย แต่เนื่องจากว่าเรามีกำลังใจที่ดีจากพ่อ แม่ จาก ครู อาจารย์ ก็เลยทำให้เราอยากสู้ต่อไป และด้วยความมุ่งหวังของพ่อแม่ที่ฝากไว้กับเราด้วย ก็อย่างว่าชีวิตคนเรา “ท้อได้แต่ห้ามถอย” แหละค่ะ
สวัสดีอาจารย์รังสรรค์และเพื่อนๆ EN ทุกๆคน....ดิฉันมีชื่อว่า: นางสาวศุภาวรรณ พาลแก้ว
(หมายเหตุ: นามสกุลเดิมคือ “พานแก้ว” พอดีว่าพนักงานที่อำเภอเขียนผิด พ่อก็เลยขี้เกียจไปเปลี่ยนเลยกลายเป็นว่านามสกุลคนพาลเลยนิ แต่ดิฉันคิดว่าจะเปลี่ยนทีเดียวเลยแหละ)
ชื่อเล่นมาจาก..สัตว์ตัวเล็กๆ น่ารักๆ แต่มีพิษร้ายแรง)=Antแม่บอกว่าเมื่อประมาณ 4 ทุ่มกว่าๆของวันที่ 12 สิงหาคม 2531 แม่เกิดปวดท้องกะทันหันไม่รู้ว่าว่าปวดท้องคลอดหรือท้องขี้...อิอิ....แต่จะยังไงก็แล้วแต่ไปโรงบาลไม่ทันค่ะ....เพราะอยู่บ้านนอกโรงบาลก็ค่อนข้างไกล...แม่ดิฉันจึงคลอดมันซะที่บ้านเลย...เฮ้อเกือบไม่ได้เกิดวันวันแล้วไหมล่ะ...ตรู
^-^ เอ้า!!ต่อไปจะเป็นการนำเสนอเบื้องลึกเบื้องหลังเกี่ยวกับดิฉันค้า............................
ส่วนสูง/น้ำหนัก: เมื่อตอนเป็นเด็กประถม....เข้าแถวอยู่ข้างหน้าตลอดแต่พอโตขึ้นจนเข้ามหาลัยกลายเป็นว่าสูงกว่าเพื่อนทุกคนในกลุ่ม อาจเป็นเพราะว่าเราชอบดื่มนม...หรือเป็นเพราะเพื่อนไม่ชอบดื่มนม...แต่มีคนชมว่าหุ่นดี..อิอิ(165 ซม./47 กก.)
เลือดกรุ๊ป: ไม่เคยรู้มาก่อนว่าตัวเองมีกรุ๊ปเลือดตัวเองคืออะไร..จนมามอสี่.ทางโรงเรียนให้คุณหมอหน้าตาดีมาตรวจสุขภาพและกรุ๊ปเลือดได้เป็นกรุ๊ป B ฉึกๆ
สีตา/สีผม: น้ำตาลอมดำหน่อยๆ/ส่วนสีผมตอนเด็กๆเนี่ยจะผมสีเหมือนผมฝรั่ง..เพราะชอบวิ่งเล่นกลางแจ้งตามประสา...ส่งผลให้ตอนมัธยม อ.ฝ่ายปกครองเข้าใจผิดคิดว่าไปทำสีผมมาเลยตตะเพิดให้ย้อมดำ...จนมาถึงยุคทองของ อ.ธูปนี่แหละค้า...
สีที่ชอบ: สีท้องฟ้า,สีชาเย็น
หนังที่ดูและชอบมากที่สุด: The Road of the ring =หนังเรื่องนี้ชอบมาก..ชอบพระเอกและตัวรองไอ้ผมขาวๆนะโคตรหล่อเลย...แต่จำชื่อไม่ได้
สัตว์เลี้ยงที่ชอบ: เมื่อตอนเป็นเด็กๆน่ารักๆ ก็จำได้ว่านอกจากจะชอบเล่นกับเพื่อนแล้วก็ยังชอบเล่นกับลูกหมา เนื่องจากว่าคุณตาของดิฉันชอบเลี้ยงสุนัข มันเลยเกิดความซึมซับจากรุ่นสู่รุ่น...
งานอดิเรก: เล่นคอมพิวเตอร์ ร้องเพลง ดูหนัง และถ่ายรูปแล้วตกแต่ง
ความใฝ่ฝัน: ตอนแรกอยากเป็นเภสัช แต่เกรดไม่ถึง..บุญพาวาสนาถีบส่งให้มาเรียนครู..แต่แม่ดิฉันก็ชอบนะ..อยากให้เรียนคณะนี้มากมาย
อุปนิสัย: ไม่ดื่มเหล้า ไม่สูบบุหรี่ เป็นคนตรง ไม่ชอบการดูถูกเหยียดหยาม
คติในการทำงาน: ทำงานเหนื่อยก็พัก...ช็อปปิ้งบ้าง..อะไรบ้างกับเพื่อนๆ
คติในการดำเนินชีวิต: อ่อนน้อมถ่อมตน ไปลามาไหว้
เบอร์โทรศัพท์ 0872157566 หรือว่าจะเป็น E-mail: wilawan_69@windowslive.com, cascade_11@yahoo.com, Facebook : wilawan Taweephan (Boi vi em yeu anh lam)(เพราะว่าฉันรักเธอมาก: ภาษาเวียดนามค่ะ)
งานอดิเรก ข้าพเจ้าเป็นบุคคลที่ไม่ชอบอยู่นิ่งค่ะ ดังนั้นสิ่งที่ชอบทำคือ ทำอาหาร ท่องเที่ยว ร้องเพลง ฝึกพูดภาษาเวียดนาม
สิ่งที่อยากทำในตอนนี้มากที่สุด ทำตามหัวใจสั่ง ที่อยากจะบอกลากับใครคนหนึ่งที กำลังลาไปไกลแสนไกล ทีไม่รู้ว่าฟ้าเบื้องบนจะลิขิตให้เจอกันอีกเมื่อไหร่ และสิ่งที่อยากบอกตอนนี้คือ คิดถึงบ้าน คิดถึงพ่อแม่ คิดถึงน้องที่น่ารัก
ข้าพเจ้าเป็นครอบครัวที่มีฐานะปานกลาง พ่อแม่เป็นชาวนา ที่ทำงานหนัก หลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดิน สู้ทนเพื่อลูกหวังให้ลูกได้เรียนสูงๆๆ มีวิชาความรู้ และกลับมาพัฒนาและเป็นที่พึงของพ่อแม่ในอนาคตถ้าพูดถึงครอบครัวทีไร ไม่รู้ทำไมน้ำตามันก็หลั่งรินทุกที เอาเป็นว่าแค่คร่าวๆนะค่ะ
จุดเด่นของข้าพเจ้าเป็นบุคคลที่มีมนุษยสัมพันธ์ดีเยี่ยม บุคลิกภาพดีมีความกระตือรือร้น ที่พร้อมจะทำงานอย่างเต็มที่เสมอ
ความสามารถพิเศษ ทำอาหารอร่อยมาก (ต้องลองค่ะ)
สีที่ชอบ สีดำ เพราะเป็นสีที่หนักแน่นและเป็นสีที่น่าเชื่อถือ เรียบร้อย ดูเป็นผู้ใหญ่ ที่สำคัญ อำพรางหุ่นค่ะ
คติประจำใจ “You’re not alone”
เป้าหมายในชีวิต เพื่อก้าวเป็นส่วนหนึ่งในแม่พิมพ์ของชาติ เพื่อพัฒนาเด็กไทยให้ก้าวไกล และ ตอบแทนผู้มีพระคุณ
นางสาวบุญภา พงษ์ชะเกาะ 50010512525 4 EN
อัตชีวประวัติ
ฉันชื่อ นางสาวบุญภา พงษ์ชะเกาะ ชื่อเล่นชื่อ นุ้ย ขณะเรียนอยู่ชั้นประถมศึกษาและมัธยมศึกษา เพื่อนๆ ชอบเรียกฉันว่า บุญภา ไม่มีใครเรียกฉันว่านุ้ยสักคน พอฉันเข้ามหาวิทยาลัยเพื่อนก็เปลี่ยนชื่อเล่นให้ฉันอีกว่า ไข่นุ้ย เพราะห้องฉันมีคนชื่อ นุ้ย สองคน ทีนี้ก็มีแต่คนเรียกฉันว่าไข่นุ้ย ฉันเกิดวันเสาร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ.2531 ปีมะโรง อายุ 22 ปี 7 เดือน ตอนเด็กๆ แม่บอกฉันว่าฉันเกิดปีมะเส็ง ฉันก็ไปเถียงกับเพื่อนว่าฉันเกิดปีมะเส็ง ฉันก็เลยถามเพื่อนในห้องทุกคนก็บอกว่าเกิดปีมะโรง ฉันนี่มันโง่จริงกว่าฉันจะรู้ว่าแม่ฉันจำปีเกิดของพี่กับฉันสลับกัน เพราะพี่ฉันเกิดก่อนฉันปีหนึ่งหรือที่เขาเรียกกันว่า ลูกหัวปีท้ายปี ฉันมีพี่น้องด้วยกัน 4 คน ฉันเป็นลูกคนสุดท้าย พี่คนโตห่างจากฉันประมาณสิบกว่าปี เขาเป็นเหมือนพ่อของฉันคนหนึ่ง ใครๆมักคิดว่า ลูกคนสุดท้ายเป็นคนชอบเอาแต่ใจ แม่รักที่สุด ฉันว่ามันก็จริงอยู่บางส่วน แต่สำหรับแม่ฉัน ฉันว่าแม่ฉันรักทุคนเท่ากัน แม่บอกเสมอว่า ลูกทุกคนเลี้ยงได้แต่ตัว แต่หัวใจก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง พ่อของฉัน ชื่อ นายสมศรี พงษ์ชะเกาะ ถ้าพ่อฉันมีชีวิตอยู่คงอายุประมาณ 70 ปี พ่อฉันตายตั้งแต่ฉันเข้า ม.1 ขณะที่พ่อมีชีวิตอยู่ พ่อทำงานลำบาก ตรากตรำยอมทำทุกอย่างเพื่อให้ลูกสบาย พ่อทำงานแบกหาม ทำเสาปูน มันเป็นงานหนัก ฉันสงสารพ่อมาก แต่ฉันไม่มีปัญญา พ่อของฉันเป็นคนง่ายๆ เช้าไปทำงาน เย็นกลับมาก็เลี้ยงไก่ชน พอค่ำก็เข้านอน พ่อชอบกินข้าวซาวน้ำมันที่ทอดอาหาร ชอบเอา ผงซักฟอกมาสระผมตัวเอง พ่อไม่เคยบ่นว้าเหนื่อยสักนิด พ่อฉันตายด้วยโรคมะเร็งในหลอดอาหาร เพราะพ่อทำงานอยู่แต่กับฝุ่นละอองปูน ไม่ใช้ผ้าปิดปากปิดจมูก ตอนพ่อป่วยฉันและแม่ไปเฝ้าพ่ออยู่โรงพยาบาลเป็นเดือน ฉันสงสารพ่อมาก เขาให้อาหารพ่อทางสายยาง เวลาพวกเราจะกินอะไรต้องออกไปกินข้างนอก สงสารพ่อเหลือเกินที่ไม่ได้กินข้าวเหมือนพวกเรา ฉันเคยลอกถามพ่อ “พ่ออาหารเหลวมันอร่อย” พ่อเลยบอกฉันว่า “มันจะอร่อยได้ไง ในเมื่อไม่ได้ชิมรส มันไหลลงกระเพาะเลย” ที่ฉันถามฉันอยากให้พ่อหัวเราะและยิ้มได้ แล้วมันก็เป็นความโง่ของฉันอีก หลังจากพ่ออยู่โรงพยาบาลจนเบื่อ พ่อก็เลยขอหมอออกจากโรงพยาบาลทั้งๆ ที่ตนเองยังไม่หาย แม่ห้ามก็ไม่ฟัง เราก็เลยต้องพาพ่อออกจาโรงพยาบาล พ่อกลับมาอยู่บ้านได้เกือบสองอาทิตย์ พ่อก็จากพวกเราไป ส่วนแม่ แม่ของฉันชื่อ นางแปลก พงษ์ชะเกาะ แม่ของฉันก็เป็นคนสู้ชีวิตคนหนึ่งเหมือนพ่อ ยอมทำทุกอย่างเพื่อลูก ถึงแม่ไม่สบายแม่ก็ยังทำงานได้ตั้งแต่เกิดมาพ่อกับแม่ไม่เคยตีฉันเลย ตอนนี้แม่ฉันอายุประมาณ 58 ปี แม่ทำขนมไทยขาย ทั้งข้าวต้มผัด ขนมใส่ไส้ ขนมห่อแล้วก็ขนมเทียน แม่ทำอร่อยมาก ฉันชอบฝีมือการทำอาหารของแม่ บ้านเกิดของฉันคือ บ้านเลขที่ 80 หมู่ 1 ตำบลโคกสูง อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา
ครอบครัวเราเป็นครอบครัวใหญ่ มีพี่น้องของแม่มาอาศัยอยู่ที่บ้านอีกหลายคน ทำให้บ้านเราไม่เงียบเหงา มีผู้คนพลุกพล่านเต็มไปหมด บางครั้งฉันยังคิดว่าบ้านฉันเหมือนสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ฉันพ่อตาย ลูกของน้าที่มาอยู่ด้วยพ่อก็ไม่ไยดี หลานอีกคนพ่อทิ้ง อีกคนแม่ทิ้ง อีกสองคนทั้งพ่อและแม่ไม่สนใจ เขาเอามาฝากไว้กับน้า ตอนกลางวันน้าไปทำงานก็เป็นหน้าที่ของพี่สาวและแม่ที่จะต้องดูแล ใครๆ ก็ชอบเอาเด็กน้อยมาฝากไว้ที่บ้าน ฉันยังคิดว่าจะให้แม่จัดตั้งสถานที่เลี้ยงเด็กกำพร้า
นางสาวบุญภา พงษ์ชะเกาะ 50010512525 4 EN
(ต่อ)
ประวัติการศึกษา
เริ่มต้นจากอนุบาล ฉันเป็นเด็กขี้แงร้องไห้หาแม่ตลอด ตอนเช้าแม่จะมาส่งแล้วก็ไปทำงาน ฉันมักโดนเพื่อนๆแกล้งตอนอนุบาลฉันเป็นคนไม่สู้คน เขาก็เลยแกล้งแต่ฉัน พอฉันขึ้นชั้นประถม ฉันมีเพื่อนเพิ่มขึ้น ฉันต้องทำเหมือนไม่กลัวใครแม้ว่าลึกๆแล้วฉันจะรู้สึกกลัว ฉันไม่อยากให้ใครมาแกล้งฉันอีก จากนั้นก็เลยไม่มีใครกล้ายุ่งกับฉันอีกเลย แต่ฉันก็ไม่ได้อยู่อย่างโดดเดี่ยว ฉันก็มีเพื่อนสนิทเหมือนคนอื่นๆ
ฉันไม่เคยอ่านหนังสือเลยเวลาเรียน แต่ฉันไม่เข้าใจว่าฉันสอบได้ยังไง มีอยู่ครั้งหนึ่งพ่อ บอกว่า ถ้าฉันสอบได้ที่หนึ่งพ่อจะซื้อจักรยานให้ มันเป็นจักรยานสีฟ้า คันแรกของฉันเมื่อตอนฉันอยู่ ป.3 กว่าฉันจะขับได้ต้องใช้เวลานานและเจ็บตัวบ่อย มีครั้งหนึ่งชนเสาไฟ บาดเจ็บเล็กน้อย เข็ดไปพักหนึ่งแต่ก็ยังหัดจนขับได้
พอเข้ามัธยมฉันก็เรียนอยู่ที่โรงเรียนบุญเหลือวิทยานุสรณ์จนจบ ม.6 ฉันไปโรงเรียนสายเป็นประจำจนโดนอาจารย์ทำโทษ ฉันเป็นลูกที่พ่อแม่ไม่เคยตีแต่กลับโดนอาจารย์ตี เพื่อนในห้องมักบอกว่าฉันเป็นคนตรง ขนาดฉันเป็นหัวหน้าห้องเป็นคนเช็คชื่อเพื่อน ฉันมาสายฉันยังลงว่ามาสาย แล้วก็โดนตี ฉันชอบเรียนเกี่ยวกับงานเย็บปักถักร้อยและสิ่งประดิษฐ์มาก ฉันสามารถตัดชุดนอนได้ 1 ชุด ผ้ากันเปื้อน 1 ตัว ฉันภูมิใจมากที่สุด ฉันชอบมากผ้ากันเปื้อนสีเขียวลายการ์ตูน ณ ปัจจุบันฉันยังไม่กล้าเอามาใส่เลย เก็บไว้ในตู้อย่างเดียว เป็นผลงานชิ้นโบว์แดง พอเข้าม.ปลาย ฉันไม่รู้จะเรียนอะไร ตัดสินใจไม่ถูก ฉันจะเรียนตามเพื่อน ฉันไม่เคยตัดสินใจอะไรด้วยตนเองต้องให้มีคนบอกฉันถึงจะทำ พี่ตัดสินใจให้ฉันไปเรียนสายวิทย์-คณิต หลายคนคิดว่าฉันเป็นคนเก่ง เพราะเขาเห็นฉันใส่แว่นตา ต้องเป็นเด็กเรียน เลยไม่ค่อยมีใครชวนฉันไปเที่ยวไหน ฉันไม่ค่อยรู้เกี่ยวกับโลกภายนอก ฉันจะรู้เพียงแค่ในระแวกที่ฉันอยู่เท่านั้น มันเป็นการเสียเปรียบที่ฉันไม่รู้เกี่ยวกับที่อื่นเลย เวลาคนอื่นถามก็ไม่รู้เรื่อง เพราะฉันไม่หาความรู้เพิ่มเติมอีก พอฉันเข้าเรียนมหาวิทยาลัยฉันไม่คาดฝันมาก่อนว่าจะได้เรียนที่มหาสารคาม ฉันไม่เคยคิดเรียนต่อมหาวิทยาลัย แต่หลายคนในครอบครัวอยากให้ฉันเรียน พวกเขาให้ฉันไปสอบแพทย์ พยาบาล ฉันก็ไปสอบให้ แต่ไม่ติดสักที่เพราะฉันมันโง่ไม่สนใจอ่านหนังสือ ฉันไม่เคยอ่านหนังสือเพื่อเตรียมสอบเลยสักครั้ง ถึงวันฉันก็ไปสอบอย่างไม่มีจุดหมายปลายทาง ตอนแรกฉันเกือบจะไม่ได้มาเรียนที่นี่ เพราะครอบครัวเราไม่มีเงินดีที่ไม่มีคนมาอุปการะ ส่งค่าเล่าเรียนมาให้ ถ้าไม่มีเขาฉันก็ไม่ได้เรียนที่นี่ ครั้งแรกฉันมาสอบสัมภาษณ์ ฉันกลัวมากๆ ฉันพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ ก่อนมาสอบฉันให้อาจารย์ที่โรงเรียนสอนให้ แต่สุดท้ายฉันก็ทำมันพัง ฉันตอบไม่ได้ว่าแม่ฉันมีอาชีพอะไร โชคดีที่ฉันได้เจออาจารย์ใจดี ฉันก็เลยขอสัมภาษณ์เป็นภาษาไทย แล้วก็ได้มาเรียนที่นี่ คณะศึกษาศาสตร์ สาขาวิชาภาษาอังกฤษ ฉันเรียนไม่ค่อยรู้เรื่องและมักจะหลีกเลี่ยงการพูดภาษาอังกฤษ ไม่กล้าที่จะพูด ไม่มีคลังคำศัพท์ในสมอง แต่ฉันชอบการเขียนภาษาอังกฤษ แม้มันจะไม่ถูกหลักไวยากรณ์ก็ตาม ฉันก็ต้องพยายามทำ เพราะฉันเลือกเดินทางนี้แล้ว ฉันไม่มีวันที่จะถอย ฉันไม่อยากเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ มันเสียเวลาและเสียเงินทอง ตอนนี้ฉันอยู่ปีสี่ ใครมักคิดว่าฉันเป็นเด็กน้อยปีหนึ่งทั้งๆที่หน้าตาก็ไม่ให้อยู่แล้วฉันพักอยู่หอมอเก่าตั้งแต่ปีหนึ่งยันจะจบยังไม้ได้ย้ายหนีไปไหนเลย การที่ฉันได้มาเรียนนี้มันทำให้ฉันรู้อะไรหลายๆอย่าง เมื่อก่อนฉันเป็นไข่ในหิน ตอนนี้ฉันพบปะผู้คนมากหน้าหลายตา ทั้งความคิดความรู้สึกการกระทำที่แปลกใหม่แปลกจากวิถีชีวิตสมัยก่อน และฉันก็ทำให้แม่เดือดร้อน ฉันเพิ่งคิดได้ว่าฉันไม่สมควรที่จะมาเรียนมหาวิทยาลัย ฉันควรช่วยแม่หาเงินมากกว่า ภาระต่างๆเลยต้องตกมาอยู่ที่แม่ และฉันเป็นคนเดียวในบ้านที่ได้เรียนมหาวิทยาลัย เพราะฉะนั้นฉันจะต้องทำให้แม่ภูมิใจให้ได้ ไม่ให้ใครดูถูก ก่อนที่ฉันจะมาเรียนมีคนแถวบ้านบอกว่า ไม่น่าไปเรียนเลย น่าจะช่วยแม่ทำงานหาเงินดีกว่า แต่แม่ฉันอยากให้ฉันเรียนก็เลยไม่สนใจใคร ฉันก็เลยต้องทำให้มันดีที่สุด
สิ่งที่ฉันชอบมากที่สุดคือ งานประดิษฐ์และงานฝีมือต่างๆ เวลาว่างๆฉันไม่มีอะไรทำหรือต้องการสมาธิ ฉันก็จะเอาไหมพรมมานั่งถักกระเป๋า มันเป็นยารักษาโรคแก้เหงาและโรคเครียดได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ละครน้ำเน่าทุกเรื่อง ฉันมักจะรู้ดีกว่าใครๆ เพราะฉันดูประจำไม่เคยพลาด
นางสาวสุภาภรณ์ แสนเลิศ 50010512596 4EN
ประวัติส่วนตัว
ข้าพเจ้าชื่อ นางสาวสุภาภรณ์ แสนเลิศ เรียกสั้นๆง่ายๆว่า ปั๊ก(ซึ่งมันเป็นชื่อสายพันธุ์ของหมาชนิดหนึ่ง)หรือตอนข้าพเจ้าเกิดมาอาจจะบังเอิญหน้าตาเหมือนหมาสายพันธุ์นี้ก็ไม่รู้ ข้าพเจ้าลืมตามาดูโลกอันแสนจะสดสวยในวันศุกร์ ที่ 15 เดือนเมษายน พ.ศ.2531 เกิดในช่วงเทศกาลสงกรานต์พอดี แล้วตอนนี้ข้าพเจ้า 22 ปีแล้วแต่หน้าตายังเอาะๆอยู่เลย สำหรับสัดส่วนของข้าพเจ้านั้น สูง153 เซนติเมตร หนัก 46 กิโลกรัม ซึ่งกะเกณฑ์ดูแล้วรูปร่างเหมือนหลักกิโลดีๆนี่เอง ข้าพเจ้ามีหมู่เลือด กรุ๊ปโอ งานอดิเรกของข้าพเจ้าคือการ ฟังเพลงดังๆ แล้วก็นอนอ่านการ์ตูนเป็นการงานอดิเรกที่น่าสนใจมากเลย สีเหลืองและสีขาวเป็นที่ข้าพเจ้าชอบ คติประจำใจของข้าพเจ้าคือนิ่งเป็นหลับ ขยับเป็นกิน ครอบครัวของข้าพเจ้ามีทั้งหมด 4 คนกับอีกหนึ่งตัวประกอบไปด้วย พระบิดาคือ นายนิยม ปรานมาก แสนเลิศ พระมารดาคือ นางปิ่นทอง แสนเลิศ น้องสาวของข้าเจ้าคือ นางสาวรัตนา แสนเลิศ และน้องหมาที่แม่ข้าพเจ้ารักมากกว่าลูกชื่อ น้องปิงปอง แสนเลิศ รวมข้าพเจ้าด้วยก็เป็น4คนกับอีก 1 ตัวพอดี ภูมิลำเนาของข้าพเจ้าอยู่ที่บ้านเลขที่ 343 หมู่ที่ 3 บ้านหนองแวง ต.กุดดู่ อ.โนนสัง จ.หนองบัวลำภู รหัสไปรษณีย์ 39140 ถ้ามีธุระติดต่อข้าเจ้าได้ที่หมายเลข 082-1069958, Email.g53_50010512596@hotmail.com ณ ปัจจุบันนี้ข้าพเจ้าพำนักอยู่ที่ พอพักหญิงศิริงาม อยู่แถวๆหลัง ม.เก่า ส่วนลักษณะนิสัยของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเป็นคนน่ารัก อัธยาศัยดี แต่เสียทีปากหมาไปหน่อย โกรธง่าย หายเร็วมาก
ประวัติด้านการศึกษา
ประวัติด้านการศึกษาของข้าพเจ้านั้นก็ไม่มีอะไรมาก ซึ่งข้าพเจ้าเป็นคนเรียนไม่ค่อยเก่งตั้งแต่ตอนเป็นเด็กเพราะข้าพเจ้าเป็นคนที่ค่อนข้างมีสมาธิสั้น เลยทำให้ไม่ค่อยจะตั้งใจเรียนมันเลยเป็นกกรมติดจรวดมาถึงทุกวันนี้ที่ข้าพเจ้าปึกจนเกินจะเยียวยา แต่ก็มีบางรายวิชาที่ข้าพเจ้าจะตั้งใจเรียนมากคือรายวิชาภาษาอังกฤษด้วยความที่เป็นเด็กบ้านนอกเลยทำให้อยากเรียนรู้ว่าภาษาอังกฤษมันคืออะไร ข้าพเจ้าเข้าศึกษาในโรงเรียนวัดตอนอายุประมาณ 4 ขวบ หลังจากนั้นก็เข้าเรียนในระดับชั้นอนุบาลและชั้นประถมศึกษาที่โรงเรียนบ้านหนองแวง ซึ่งในช่วงชั้นประถมศึกษาปีที่ 6นี่เองที่ข้าพเจ้าชอบเรียนภาษาอังกฤษอย่างจริงจังเพราะเป็นรายวิชาที่เรียนแล้วสนุกมากเพราะได้กิจกรรมต่างๆที่ไม่เคยทำมาก่อน ทั้งร้องเพลง และเรียนรู้เรื่องต่างๆที่เป็นภาษาอังกฤษ ด้วยเหตุนี้จึงเป็นแรงจูงใจให้ข้าพเจ้าเข้าศึกษาต่อในสาขาภาษาอังกฤษ พอมาถึงช่วงระดับมัธยมศึกษานั้นแม่ของข้าพเจ้าอยากให้ข้าพเจ้าได้เข้าเรียนในโรงเรียนที่ดีๆมีสื่อและอุปกรณ์พร้อมมากกว่าโรงเรียนแถวบ้านเลยส่งข้าพเจ้าเข้าเรียนในระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นที่โรงเรียนกุดดู่พิทยาคม ซึ่งเป็นโรงเรียนประจำตำบล ผลการเรียนของข้าพเจ้าในช่วงระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นนี้ก็ยังพอรับแต่แม่ของข้าพเจ้าคิดว่ามันยังน่าพอใจ เลยอยากส่งให้ข้าพเจ้าเข้ามาเรียนในเมือง โดยให้ข้าพเจ้ามาเรียนที่ขอนแก่นในระดับมัธยมศึกษาตอนปลายที่โรงเรียนขามแก่นนคร จ.ขอนแก่น ในม.ปลายนี้ข้าพเจ้าก็ยังเรียนๆ เล่นๆเหมือนเดิม เกรดเลยออกมาไม่ดีซักเท่าไหร่ แต่ในช่วงนี้นี่เองที่ทำให้ข้าพเจ้าได้พบกับเพื่อนที่เรียกว่าเพื่อนจริงๆ อาจจะเนื่องจากนิสัยของเราที่คล้ายกัน ซึ่งกลุ่มเรานั้นถือว่าเป็นกลุ่มเฮฮาของห้องเลยก็ว่าได้ พอถึงช่วงที่ข้าพเจ้ารู้ว่าใกล้จะเรียนจบแล้ว ข้าพเจ้าและเพื่อนต้องแยกกันหาที่เรียนก็ทำให้ข้าพเจ้าหงอยไปหลายเดือนเลยเพราะข้าพเจ้าและเพื่อนเลือกที่เรียนกันคนละที่คนละคณะเลย และ ณ ตอนนี้ข้าพเจ้าเข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาที่ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ในคณะศึกษาศาสตร์ สาขาวิชาภาษาอังกฤษ ซึ่งตอนแรกข้าพเจ้าก็ยังไม่แน่ใจว่าข้าพเจ้าจะสามารถเรียนในสาขานี้ได้เพราะเจออาจารย์สุดโหดคือ ท่านอาจารย์ธูปทองผู้ยิ่งใหญ่ คนอะไรน่ากลัวสุดๆ ข้าพเจ้าทั้งเรียนทั้งกลัวจนหัวหดเรียนก็ไม่รู้เรื่องเพราะไม่มีสมาธิ แต่ก็เพราะอาจารย์ธูปนี่แหละที่ทำให้ข้าพเจ้ากลายเป็นคนขยันขึ้นมาบ้าง และทำให้ข้าพเจ้าได้เรียนรู้การเป็นคุณครูอย่างจริงจัง จน ณ ตอนนี้ข้าพเจ้าก็อยู่ชั้นปีที่สี่แล้วพร้อมที่จะออกสนามรบในการฝึกสอนในปีที่ห้า เพื่อจะออกไปเป็นคุณครูที่ให้ความรู้กับนักเรียนอย่างเต็มภาคภูมิ จบการรายงานเพียงเท่านี้สวัสดีค่ะ^^
ประวัติความทรงจำ
ชื่อ : นางสาวนวลถนอม เพียรเสมอ มีชื่อเล่นๆว่า เอ๋ ครอบครัวของดิฉันไม่ว่าจะเป็นคุณพ่อ คุณแม่ คุณลุง คุณป้า คุณน้า คุณอา และพี่ๆ มักจะเรียกดิฉันสั้นๆว่า “ดั้งแหมบ” ซึ่งชื่อนี้ได้กลายเป็นชื่อประจำตัวของดิฉันไปแล้วเมื่ออยู่กับครอบครัว แต่ดิฉันก็ชอบชื่อนี้นะค่ะไม่มีใครเหมือนดี
วันเกิด : เกิดเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2531
บ้านเกิดเมืองนอน : เป็นคนตำบลจอมพระ อำเภอจอมพระ จังหวัดสุรินทร์
ลักษณะนิสัย : เป็นคนนิสัยง่ายๆ สบายๆ ชอบความเป็นส่วนตัว มีจินตนาการสูง เพ้อฝัน
สีที่ชื่นชอบ : สีฟ้า เขียว น้ำเงิน และม่วง
ดาราที่ชื่นชอบ : แต้ว ณฐพร เวียร์ ศุกลวัฒน์ และหมาก ปริณ
นักร้องที่ชื่นชอบ : D2B Celin dion
หนังที่ดูและชอบมากที่สุด : สิ่งเล็กๆที่เรียกว่ารัก Harry potter
ความใฝ่ฟัน : ในชีวิตนี้ที่เกิดมาอยากเป็นหลายอย่างค่ะ เริ่มตั้งแต่ตอนเด็กๆอยากเป็นคุณหมอมาก เวลามีใครมาถามว่าโตขึ้นอยากเป็นอะไรก็จะตอบไปทันทีว่า อยากเป็นคุณหมอค่ะ เพราะอยากรักษาคนป่วยให้หาย แต่พอโตขึ้นมาเริ่มไม่อยากเป็นแล้วคุณหมอ อยากเป็นเภสัชกรมากกว่าจึงมุ่งมั่นขยันเรียนเพื่อที่จะได้เป็นเภสัชกรตามที่ใฝ่ฟัน แต่พออยู่มอปลายความขี้เกียจเริ่มเข้าครอบงำ ทำให้สอบตรงเข้าคณะเภสัชศาสตร์ไม่ได้ดิฉันจึงตัดสินใจรอรอบ Admission ที่เลือกได้ 4 คณะสุดท้ายก็ได้เรียนเป็นคุณครูค่ะ แต่ก็ชอบอาชีพนี้นะค่ะเพราะเราได้ช่วยให้ผู้อื่นมีความรู้ ทำให้ดิฉันเข้าใจกับคำว่า ชีวิตคนเราไม่ได้เป็นดังที่เราวาดฝันไว้เสมอไปแต่เราก็เลือกที่จะทำมันให้ดีที่สุดได้
คติประจำใจ : ทุกย่างก้าวของความพยายาม คือย่างก้าวแห่งความสำเร็จ
ชีวิตในวัยเด็กจนถึงปัจจุบัน
ดิฉันเริ่มเข้าเรียนตั้งแต่ชั้นอนุบาล1จนถึงชั้นประถมศึกษาปีที่6 ที่โรงเรียนไตรมิตรวิทยาสรรค์ซึ่งเป็นโรงเรียนใกล้บ้านเพราะตอนเด็กๆติดคุณพ่อกับคุณแม่มาก คุณแม่เลยให้เรียนโรงเรียนใกล้บ้านตอนอยู่โรงเรียนนี้เป็นเด็กเรียนและเด็กกิจกรรมมาก ดิฉันจะได้ทำกิจกรรมทุกอย่างของโรงเรียนไม่ว่าจะเป็น
กิจกรรมอะไรก็ตามตอนเด็กๆจะขยันเรียนหนังสือมาก เพราะคุณพ่อกับคุณแม่จะพาอ่านหนังสือและทำการบ้านทุกวันทำให้ตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาปีที่1-6 ดิฉันจะสอบได้ที่1ตลอด (อวดนิดหนึ่งนะคะ)ซึ่งคุณแม่เคยเล่าให้ฟังว่าตอนเด็กๆดิฉันอ่านหนังสือออกตั้งแต่ยังไม่เข้าโรงเรียนเพราะคุณแม่กับคุณป้าจะชอบเล่านิทานให้ฟังก่อนนอนทุกวันทำให้ดิฉันรักการอ่านหนังสือตั้งแต่เด็ก หลังจากจบการศึกษาชั้นประถมศึกษาปีที่6 ดิฉันก็ได้ไปสอบเข้าเรียนในโรงเรียนประจำอำเภอคือ โรงเรียนจอมพระประชาสรรค์ ซึ่งได้เข้าเรียนในชั้นมัธยมศึกษาปีที่1/6 ซึ่งเป็นห้องคิงด้วยนะคะมีเพื่อนในห้องเรียนทั้งหมด 45 คน มีเพื่อนสนิทด้วยกัน 4 คนชีวิตในมอต้นเป็นชีวิตที่สนุกสนานมีความสุขมาก ตอนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่2เคยร้องไห้กับการเรียนหลายครั้ง ยกตัวอย่างเช่นได้การบ้านวิชาคณิตศาสตร์แล้วทำโจทย์คณิตศาสตร์อยู่ 1 ข้อที่แก้โจทย์ยังไงก็ทำไม่ได้ซักทีทำให้เกิดอาการท้อ ก็แล้วนั่งร้องไห้ไปเลยประมาณเกือบ 1 ชั่วโมง และตอนที่รู้เกรดวิชาภาษาอังกฤษตอนเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่2 เทอม 2 เพราะเราตั้งใจเรียนมากและคิดว่ายังไงก็ต้องได้เกรด 4 แต่พอรู้เกรดกลับได้แค่เกรด3 ก็เลยร้องไห้ไปเลยแต่ไปแอบร้องไห้คนเดียวนะคะกลัวเพื่อนมั๋นไส้ เคยสอบแข่งขันตอบปัญหาวิชาสังคมศึกษาได้ชนะเลิศอันดับ1 ได้เงินรางวัล 300 บาท ซึ่งดิฉันรู้สึกภูมิใจมากกับเงินรางวัลนี้ จบการศึกษาจากชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น ม.1-3 ด้วยเกรดเฉลี่ย 3.50 ซึ่งได้รับเกียรติบัตรผู้ที่มีผลการเรียนยอดเยี่ยมของโรงเรียน จากนั้นก็มาสอบเข้าเรียนในโรงเรียนประจำจังหวัดคือ โรงเรียนสิรินธรในแผนการเรียนวิทย์-คณิตตั้งแต่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่4-6 ตอนแรกที่ได้เข้าไปเรียนในโรงเรียนนี้ต้องปรับตัวอย่างมากในการเรียนเพราะเพื่อนๆมีแต่คนที่เรียนเก่งๆ รวยๆ และไฮโซกันทั้งนั้น เราก็เลยต้องขยันเรียนให้มากขึ้นกว่าเดิม ดิฉันมีเพื่อนสนิททั้งหมด 8 คน เพื่อนๆในห้องจะเรียกกลุ่มพวกดิฉันว่า แก๊งหญิงเรียน แต่ดิฉันไม่ค่อยเก่งเท่าเพื่อนๆหรอกค่ะเพราะเริ่มรู้สึกว่าความขี้เกียจได้เข้าครอบงำดิฉันซะแล้ว ช่วงเวลานี้เป็นชีวิตการเรียนที่มีความสุขมากๆไปกับเพื่อนๆแต่ก็ต้องเคร่งเครียด จดจ่อกับที่เรียนต่อใหม่ในระดับอุดมศึกษาว่าจะได้เรียนในคณะที่อยากเรียนไหม จากนั้นก็ Admission เข้าเรียนได้ในคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคามค่ะ ปัจจุบันเป็นนิสิตชั้นปีที่ 4 คณะศึกษาศาสตร์ เอกภาษาอังกฤษ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ชีวิตในมหาวิทยาลัยเป็นชีวิตที่เรามาอยู่ไกลบ้าน เราต้องดูแลตนเองเป็นผู้ใหญ่ขึ้น ทำให้เราต้องคิดเกี่ยวกับทุกอย่างในชีวิตของเราให้เป็นแบบที่ผู้ใหญ่เขาคิดกัน วางแผนอนาคตให้มั่นคง ก่อนอื่นก็ต้องขยันอ่านหนังสือจะได้สอบบรรจุติดไปเป็นแม่พิมพ์ที่ดีของชาติค่ะ
My name is Supawadee Kaewchiengtai.
My nick name is Kook who wears the glasses and has a short hair. Now I’m 20 years old who like to sit in the second rows of your class.
I was born in February 6 1990 at the hospital in Roi-Et. I am eldest sister who have two younger sisters and one youngest brother.
My mom is the owner of the stationary who has almost 46 years old. My dad works in Bangkok who has 48 years old. Unfortunately now my mom has the new business in Bangkok so she is rarely come back home. Every weekend I have to go back home to take a good care of my sisters and my brothers. All I usually do is wake them up, take them to school, bring them the meals and bring them to have dinner with our aunt and grandfather. Even though I’m not often seeing my mom and my dad, we still keep in touch by calling or texting.
As I grown up in this huge world, I had faced to many good and bad things. When I was young, I was very easy to cry. For example, if I couldn’t get what I want, I automatically started to cry and scream. I also cried when my mom or even my dad complained me because it made me so sad. I entered to the Kindergarten at Anuban Roi-Et School. I was very lazy at class and often sleepy,haha. I remembered once that the teacher gave me the task to pain the picture, but I was sick and took the medicines. I pained for a little while and then became felt asleep with the task. After everyone finished painting, the teacher woke me up and I realized my error that the task was on my face because it adjoined with my snot. I was very shy in that day. Two year later, I studied in Pratomsuksa1 which still be lazy study in class. I hadn’t many friends as the others people. Someday when I was in Pratomsuksa5, I met a teacher who taught me English course. She was very smart and kind teacher. I also took the tutor class with her after school. Then from those days I have interested in English and try to practice English a lot. According to I have confidence to speak English; I like to speak English the foreigners whenever I meet them. My family always supports me to study English and another subject as well. Since this time, I was becoming known by the teacher and the competition. It was indeed different from in the past. I graduated from Anuban Roi-Et with GPA 4.00 and it made me so proud and happy so much. Oh I had more friends than Pratomsuksa1 also.
I entered to Strisuksa School for lower secondary school. There were around forty people in class. I didn’t like crowded at all.
I went to school late and I didn’t like many teachers at school. I thought they were not the good teacher following the qualities of them which were very low. They were not mature at all. So I intended studying only the class that I like. Unfortunately I didn’t like the teacher who taught at Strisuksa School, so I got the bad grad from her. It is okay because I didn’t pay attention in her class. I liked to complain the teachers that I don’t like to my family.
And I didn’t know that my mom called to my class teacher and what I knew is the English teacher blamed me in class and she liked to sarcastic me in class. It was very super bad experience in school for me. At this time I didn’t have any good thing at all except friends that always cheer me up. I was neither good in English nor another subject. My family being complained me more and more everyday.
It was driving me crazy about this feeling. So when I have the problems, I would just like on the notebook because I couldn’t tell my family. Nevertheless we became understanding each other when I entered to high school which different from the others. I studied homeschooled course but I went to Strisuksa School for language subjects and studied Science and Mathematics in Roi-Et Wittayalai School. There were some teachers asked me to guide about homeschooled course and I thought I didn’t it not pretty good because there was no one study like me except the foreigners.
ประวัติส่วนตัว
ชื่อเสียงเรียงนามของข้าพเจ้ามีชื่อว่า นางสาวอนุสรา ผลาปรีย์ ชื่อเล่นชื่อ กุ๊ก เพื่อนๆชอบเรียกว่ากุ๊กขาเหล้า อายุ 22 ปี
เกิดวันจันทร์ที่ 14 มีนาคม 2531 ใกล้จะถึงวันเกิดแล้ว อย่าลืมของขวัญนะ อิอิ
จบการศึกษาชั้นประถมศึกษาที่โรงเรียนบ้านแก้งขอ จังหวัดอุบลราชธานี
จบการศึกษาชั้นมัธยมต้นที่โรงเรียนนาจะหลวย จังหวัดอุบลราชธานี
จบการศึกษาชั้นมัธยมปลายที่โรงเรียนกมลาไสย จังหวัดกาฬสินธุ์
ขณะนี้ข้าพเจ้ากำลังศึกษาที่ คณะศึกษาศาสตร์ สาขาภาษาอังกฤษ ชั้นปีที่ 4 มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
เบอร์โทร 085-4659664 E-mail: g53_anusara.50010512572@hotmail.com
ที่อยู่ตามทะเบียนบ้าน บ้านแก้งขอ หมู่ 6/10 ตำบลพรสวรรค์ อำเภอนาจะหลวย จังหวัดอุบลราชธานี 34282
ที่อยู่ปัจจุบัน หอพักวกุล ห้อง 111 ตำบลตลาด อำเภอในเมือง จังหวัดมหาสารคาม 44000
ข้าพเจ้ามีภูมิลำเนาอยู่ที่จังหวัดอุบลราชธานี สมาชิกในครอบครัวของข้าพเจ้ามีทั้งหมด 4 คน ได้แก่ บิดาชื่อนายถวัลย์ ผลาปรีย์ อายุ 48 ปี มีอาชีพ รับจ้าง มารดาร ชื่อนางบัวสอน ผลาปรีย์ อายุ 46 ปี อาชีพ รับจ้าง น้องสาวชื่อเล่นว่าก้อย ชื่อจริง นางสาวจีราวรรณ ผลาปรีย์ ตอนนี้น้องสาวของข้าพเจ้ากำลังศึกษาอยู่ชั้น ม. 4 บิดาของข้าพเจ้าภูมิลำเนาเดิมเป็นจังหวัดกาฬสินธุ์ มารดารเป็นคนจังหวัดอุบลราชธานี ทั้งสองได้ไปพบรักกันที่กรุงเทพ สอนสมัยเป็นหนุ่มเป็นสาว และจึงได้กำเนิดข้าพเจ้าและน้องข้าพเจ้ามา แม่ได้เล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่าตอนคลอดข้าพเจ้าคลอดง่ายมาก แต่ข้าพเจ้าได้คลอดก่อนกำหนด เกือบ 2 เดือน หมอบอกแม่ว่าต้องทำใจเด็กเกิดมาอาจจะไปแข็งแรง พอคลอดออกมาข้าพเจ้าหนักแค่ 2 กิโลกรัม 9 ขีด แม่บอกว่าหมอต้องเอาไปเข้าห้องอบ พอออกมาจากโรงพยาบาลแม่ก็ต้องพาไปหาหมออยู่เป็นประจำ เพราะตอนนั้นข้าพเจ้าไม่สบายบ่อย แล้วเป็นดื้อยา ไม่ทานยา แม่ต้องบังคับให้ทานแต่ก็ดื้อไม่ทาน แม่บอกว่าหมอจำหน้าข้าพเจ้าได้เสมอชอบเรียกว่าตัวเล็กมาอีกแล้ว วันนี้เป็นไรอีก แล้วก็มีเหตุการณ์หนึ่งที่เกือบทำให้ข้าพเจ้าเกือบตาย คือ ตอนอายุ 4 ขวบ ข้าพเจ้าดื้อมาก ข้าพเจ้าเล่นอยู่ชั้นสองของบ้าน พอข้าพเจ้าเห็นแม่ที่เดินอยู่ข้างล่าง ก็เลยกระโดดลงข้างล่าง ศีรษะกระทบกับพื้น มีก้อนหินติดหน้าผากด้วย เกือบไม่รอดแล้ว พอเข้าอนุบาลข้าพเจ้าก็เริ่มฉายแววความฉลาดซึ่งตอนนี้ไม่มีแล้ว ฮ่าๆ ตอนอนุบาลได้เป็นตัวแทนของโรงไปประกวดแข่งขัน เช่น แข่งปั้นดินน้ำมัน แข่งคณิตศาสตร์ ก็ได้รางวัลมาเยอะพอสมควร พอขึ้นประถม ข้าพเจ้าเรียนได้ที่ 1 ตลอด ถึงแม้โรงเรียนข้าพเจ้าจะเป็นโรงเรียนขนาดเล็กแต่โรงเรียนของข้าพเจ้ามีชื่อเสียงหลายๆอย่างๆ ไม่ว่าด้านวิชาการ ด้านกีฬา ตอน ป. 3 ข้าพเจ้าได้เป็นตัวแทนไปแข่งขันคณิตคิดเร็ว ได้รางวัลที่ 1 ของอำเภอมา ข้าพเจ้าดีใจมาก
(continue)
I graduated high school from Non-formal education but I never go to study at this places, I only got to do the test there. And when I entered to the university, I didn’t want to study Education but my mom command me so I have to do it. When I was the freshmen at MSU, I thought I would be the stupid person in class, I didn’t know why I felt like that. So it made me lack of confidence a lot. My day is come when I studied in the second year when I studied with American teacher. My life has got better a lot. I was very happy and have more confidence to speak English. I paid attention in class and review the content after class almost every night. As it said that “The more you learn, the more you know” Because of I love English, I decided to go to work and travel in America during the summer. It was so awesome time of my life. I have known many American friends and traveled in the famous places. I wouldn’t have this experience, if I didn’t change my thought to be positive.
I have tried very hard to love every teacher that I took their courses. It is not only student to adjust in class but the teacher also.
Now time passes so fast, it has been four years to study at MSU. I love my university, my books, my dorm, my friends,
my teachers and my life here and I will try my best to do my duty because there is only one more year to be the student. We can’t move the clock back. So do everything best so that we won’t regret what we have done!
ประวัติส่วนตัวของอนุสรา ผลาปรีย์ (ต่อ)
พอได้เกียรติบัตรมาข้าพเจ้ารีบเอาไปให้พ่อกับแม่ดู พ่อแม่ชมใหญ่เลย อิอิ พอเริ่มขึ้น ป. 4 ข้าพเจ้าก็ได้เป็นนักกีฬาของโรงเรียน ข้าพเจ้าเล่นกีฬาได้หลายอย่าง ยกตัวอย่างกีฬาที่ข้าพเจ้าได้รางวัลมา วิ่งแข่งได้มาเยอะมาก จำไม่ได้เลยว่าได้มากี่เหรียญส่วนมากจะได้ที่ 1 อันนี้ไม่ได้คุยหรือโม้ เพราะมันเป็นความจริง กีฬาต่อมาก็คือวอลเลย์บอล กีฬาประเภทนี้ดูจะเป็นอะไรที่ดูยิ่งใหญ่มากเพราะว่ากีฬาประเภทนี้มีการแข่งขันกันระหว่างโรงเรียนสูง ถ้าโรงเรียนไหนได้ถ้วยจะดูเป็นโรงเรียนที่เก่งมาก แล้วโรงเรียนของข้าพเจ้าก็ได้ที่ 1 โดยที่มีข้าพเจ้าเป็นหัวหน้าทีม ฮ่าๆๆ คุยอีกแล้ว กีฬาต่อมาที่ข้าพเจ้าทำได้ดีคือตระกร้อ นี้ก็ได้รางวัลที่ 1 มาเช่นกัน และกีฬาสุดท้ายที่ได้รางวัลตอนประถมคือ แชร์บอล ก็ได้ที่ 1 เหมือนกัน ตอนนั้นจะได้เกียรติบัตรเยอะมาก แต่ตอนนี้ไม่รู้เก็บไว้ไหน พออยู่ ป.6 ตอนนั้นเป็นช่วงที่กำลังเลือกที่เรียน สุดท้ายข้าพเจ้าก็ได้เรียนที่ โรงเรียนนาจะหลวยตอน ม. ต้น เข้าไปเรียนโรงเรียนตอนแรกข้าพเจ้ารู้สึกตื่นเต้นมากเพราะไม่รู้จักใครเลย แต่โชคดีที่มีรุ่นพี่ที่บ้านไปเรียนที่นั้นก่อนก็เลยไม่เครียดเท่าไร ช่วง ม. 2-3 ข้าพเจ้าได้รับเลือกให้ไปเป็นนักกีฬาประจำโรงเรียนให้ไปแข่งขันระดับจังหวัด ข้าพเจ้าต้องไปพักที่บ้านพักนักกีฬาโรงเรียน ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ได้อยู่แต่กับรุ่นพี่ มีเราเป็นรุ่นน้องกว่าเพื่อนคนเดียว ก็เลยดูเป็นคนที่พี่ๆชอบแกล้งมาก แกล้งให้ไปจีบผู้ชาย แกล้งเยอะมาก ฮ่าๆๆ แต่ก็สนุกดี เพราะพี่ๆเขาจะเลี้ยงดูเรา เราก็ไม่ค่อยได้ออกเงิน อิอิ พอถึงช่วงไปแข่งพ่อกับแม่ก็มาเชียร์ถึงสนาม วันนั้นข้าพเจ้าได้เข้าชิงที่ 1 แต่วันนั้นแพ้ไปแบบชิวๆ แต่ก็ไม่เป็นไร แค่นี้ก็เกินความคาดหมายแล้ว เพราะว่าเราได้ที่ 2 ของจังหวัด อย่างน้อยก็มีรางวัลติดมือ พอจบ ม.3 ข้าพเจ้าได้ย้ายโรงเรียนไปเรียนที่บ้านเกิดของพ่อไปอยู่กับอา ตอนนั้นข้าพเจ้ารู้สึกทั้งเก็บกด น้อยใจ ไม่มีความสุขเลย เพราะข้าพเจ้าไม่ค่อยรู้จักญาติทางนั้นเท่าไร แต่พออยู่ไปสักพักข้าพเจ้าก็เริ่มปรับตัวเข้าได้ แม้ว่าบางครั้งอาจจะมีเรื่องบ้าง แต่มันก็ผ่านไปแล้ว ช่วงนั้นข้าพเจ้าเริ่มมีความรัก ตอนนั้นได้รู้จักกับรุ่นน้องคนหนึ่ง เขาเป็นนักดนตรีประจำโรงเรียน หน้าตาก็พอใช้ได้ แต่มีสาวมากรี๊ดเยอะมาก ก็คุยกันได้ 2 ปี ข้าพเจ้าก็ได้มาศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ก็ไม่ค่อยได้ติดต่อกันอีก จะพูดถึงเรื่องที่เข้ามาเรียนที่ มมส ข้าพเจ้าคิดว่าเป็นอะไรที่ไม่เคยเจอมาก่อน ทั้งที่ข้าพเจ้าก็ต้องพึ่งตัวเองตลอด ไปสอบเข้าโรงเรียนที่กาฬสินธุ์ก็ไปคนเดียว พอมาเรียนที่นี้ก็ต้องมาคนเดียว เหมือนสู้คนเดียว แต่ก็มีพ่อแม่คอยสนับสนุน มามหาสารคามครั้งแรกตอนมาสอบสัมภาษณ์ที่คณะศึกษาศาสตร์ ตอนนั้นมาไม่รู้จักใครเลย แต่ก็สนุกดี ได้คุยกับเพื่อนใหม่ๆ พอรู้ผลว่าได้เรียนที่นี้ ตอนแรกข้าพเจ้าไม่อยากเรียนที่นี้ พอน้าคนหนึ่งเขามาพูดแล้วก็อธิบายเกี่ยวสาขานี้เป็นยังไง ภาษาอังกฤษเป็นสาขาที่น่าเรียน ไม่ตกงาน พ่อกับแม่ก็อยากให้เรียน ก็เลยตัดสินใจเรียนที่นี้ มาอยู่ที่นี้ก็มีความสุขมากรู้สึกว่าเป็นอิสระ เราสามารถตัดสินใจเอง คิดเอง ได้เรียนรู้อะไรต่างๆเอง มีเพื่อนใหม่ๆ ได้รู้จักคนใหม่ๆ มีแง่คิดที่เปลี่ยนไป ดูโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้น ข้าพเจ้าคิดว่าที่นี้ทำให้ข้าพเจ้าเป็นคนจริงๆ แต่ก่อนข้าพเจ้าไม่ชอบคุยกับใคร ไม่ชอบคนมาก ไม่ชอบความวุ่นวาย ไม่ชอบอะไรหลายๆอย่าง แต่พอมาอยู่ที่นี้ทำให้ข้าพเจ้าเปลี่ยนความคิดไป ที่จริงแล้วข้าพเจ้าก็ไม่ได้เก่งภาษาอังกฤษ เรียกได้ว่าไม่เก่ง แต่ข้าพเจ้าชอบภาษาอังกฤษ เพราะข้าพเจ้าเรียนสายวิทย์-คณิตมา แล้วรู้สึกว่าปวดหัว สูตรเยอะจัง ไม่ชอบตัวเลขเลย พอมาเรียนภาษาอังกฤษมันก็ทำให้ข้าพเจ้ารู้ว่าอะไรคือสิ่งที่เราชอบ และอะไรคือสิ่งที่เราไม่ชอบ แม้ว่าเรียนภาษาอังกฤษมันไม่ง่ายเลย ยากมากแต่ข้าพเจ้าก็รู้สึกว่าชอบที่เรียน รักที่จะเป็นครู ทั้งที่จริงไม่อยากเป็นครู พอมาเรียนแล้วทำให้รู้สึกรักความเป็นครูมาก แม้ว่าข้าพเจ้าอาจจะไม่ใช่ครูที่ดีพอก็ตาม แต่ข้าพเจ้าก็ชอบ และรักที่จะเรียนครูภาษาอังกฤษ ข้าพเจ้าได้เจอเพื่อนใหม่ๆ ได้รู้จักเพื่อนหลายคน แต่ละคนก็คนละแนว มีแนวเป็นของตนเอง ได้ทำงานด้วยกัน กินข้าวด้วยกัน นอนด้วยกัน ไปเที่ยวด้วยกัน เมาด้วยกัน อ้วกด้วยกัน มันมีหลากหลายอารมณ์ที่ได้พอเจอ และที่สำคัญข้าพเจ้าได้มาเรียนกับอาจารย์ธูปทอง ซึ่งอาจารย์เป็นคนที่ดูข้างนอกดูโหดแต่จริงๆแล้วท่านใจดี ท่านก็เป็นบุคคลตัวอย่าง ที่ข้าพเจ้าจะยึดไว้ปฏิบัติ ข้าพเจ้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าถ้าข้าพเจ้าไปเรียนที่อื่นไม่รู้ว่าจะได้พบเจอความรู้สึกแบบนี้ไหม ถ้าหากข้าพเจ้าไม่ได้มาเรียนที่นี้ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
คดีเด็ดภาค 11 เสนอข่าว
วันเวลาแห่งความฝัน เรื่องราวร้อยพัน คอยแต่งเติมให้โลกงดงามและมีคุณค่า วัยที่ร่าเริงและวัยแห่งหนทาง เพียงแค่เราต้องก้าวตามความฝันของเราต่อไป ข้าพเจ้านางสาวจิรัชยา หัสคำ ทุกๆคนเรียก นุช อายุ 22 ปี วันที่มองดูโลก วันเสาร์ ที่ 23 เดือนกรกฎาคม 2531 ปีมะโรง หมู่โลหิต โอ ปัจจุบันกำลังศึกษาอยู่คณะศึกษาศาสตร์ สาขาภาษาอังกฤษ ชั้นปีที่ 4 มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ที่พักที่สบายที่สุด 53 หมู่8 บ้านโคกสำโรง ตำบลตาวัง อำเภอบัวเชด จังหวัด สุรินทร์ 32230 หรือติดต่อ jiratchaya_na@hotmail.com นิสัย (ด้านบวก)เป็นคนโกรธยาก แต่ถ้าได้โกรธใครแล้วจะโกรธนาน ยิ่งถ้าเกลียดจะฝังใจ และอาฆาต จริงจัง ชอบอิสระ เข้ากับบุคคลอื่นได้ง่าย สบายๆ ลุยๆ รักครอบครัว รักใครรักจริง ชอบห่วงใยใส่ใจคนอื่น (ด้านลบ) ใจร้อน กังวล พูดก่อนคิด หูเบา เชื่อคนง่าย ทำอะไรตามอารมณ์ แต่ชอบสิ่งที่มีความท้าทาย การท่องเที่ยว ชอบ สีฟ้า (อิสรเสรี) สีขาว และสีดำ กิจกรรมยามว่าง อ่านหนังสือ(นิยาย) ฟังเพลง ดูหนัง ทำงานฝีมือ(หมวก ผ้าพันคอ กระเป๋า ฯลฯ) กีฬาที่ชอบ (ดู) ฟุตบอล ว่ายน้ำ แข่งรถ คำยึดมั่นประจำใจ อย่าคิดว่าเราลำบาก เพราะยังมีคนที่ลำบากกว่าเรา อย่าคิดว่าเราไม่ดี จงทำให้ดีที่สุดถึงที่สุด จำนวนพี่น้องร่วมสายโลหิต 3 คน น้องชาย 1 คน (ตอง) อายุ 17 ปี ปัจจุบันเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 และ น้องสาว 1 คน (น้องนุ่น) อายุ 6 ขวบ เรียนอยู่ชั้นอนุบาล 2 บิดาชื่อ นายพุธ หัสคำ อายุ 44 ปี มารดาชื่อ นางอัมไพ หัสคำ อายุ 44 ปี อาชีพเกษตรกรรม ครอบครัวของข้าพเจ้าฉายาจากญาติๆว่าครอบครัว ต-น (มาจากชื่อเล่นของทุกคน ผู้ชายจะเป็น ต หญิง น)
การมีชีวิตอยู่กับโลกที่ค่อนข้างสับสน เราต้องอยู่อย่างเชื่อมั่น และเข้าใจในตัวเองให้มากที่สุด ครอบครัวข้าพเจ้าเป็นครอบครัวเล็กๆ อาศัยอยู่ในบ้านนอก ซึ่งห่างไกลจากตัวอำเภอ 23 กิโลเมตร ข้าพเจ้าเรียนชั้นประถมศึกษาจากโรงเรียนบ้านตาคง จังหวัดสุรินทร์ ระยะทางจากบ้านถึงโรงเรียนประมาณ 3 กิโลเมตร พ่อจะไปส่ง-รับทุกวันด้วยการปั่นจักยาน กระทั่งเรียนอยู่ชั้น ป.3 เดินไปโรงเรียนกับเพื่อนๆ จำได้ว่าได้จักรยานคันแรกจากพ่อขณะเรียนชั้น ป. 5 และจะได้เงินค่าขนมวันละ 2-3 บาท พร้อมข้าวกล่องไปโรงเรียน โรงเรียนจะมีโครงการออมเงิน เมื่อจบชั้นประถมจึงมีเงินประมาณ 2,350 บาท เป็นสิ่งที่ข้าพเจ้าภูมิใจมาก ชีวิตในช่วงประถมมีความสุข สนุก เพื่อนเยอะ ข้าพเจ้าชอบที่จะเข้าร่วมกิจกรรมของโรงเรียน ไม่ว่าจะเป็นการแข่งขันกีฬา การประกวดเขียนเรียงความ แต่งกลอน ซึ่งได้รางวัลชนะเลิศทุกปี ตั้งแต่ชั้น ป.4- ป.6 การแข่งขันโครงงานต่างๆ เช่น โครงงานวิทยาศาสตร์ ผลการเรียนก็อยู่ในขั้นดี
(ต่อ)ส่วนชีวิตในระดับมัธยมศึกษานั้น ข้าพเจ้าเรียนที่โรงเรียนตาคงวิทยา รัชมังคลาภิเษก จังหวัดสุรินทร์ ระยะทาง 3 กิโลเมตร ได้เงินวันละ 10 บาทและมีข้าวกล่องไปทุกวัน ข้าพเจ้าได้เป็นหัวหน้าห้อง เข้าร่วมสภานักเรียน มีกลุ่มเพื่อนสนิทเป็นกลุ่มใหญ่มาก มีเพื่อนผู้ชาย 6 คน ผู้หญิง 3 คน มีวีรกรรมมากมายไม่ว่าจะหนีเรียน ไปปีนต้นมะขามหน้าโรงเรียน แอบตั้งฉายาครูฟิสิกส์และวาดรูปอาจารย์ที่เราไม่ชอบกัน แต่มันเป็นมิตรภาพและความผูกพันระหว่างเพื่อน ชีวิตวัยนี้เป็นช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุด ข้าพเจ้ามักจะได้ฉายาจากเพื่อนๆมากมายไม่ว่าจะเป็น จิน บัว หมูน้อย ตัวเล็ก ลิง และด้วยการที่เป็นคนสนุกสนาน เฮฮา เพื่อนๆชอบขอคำปรึกษาปัญหาและก็ทำได้ดีทีเดียว (แต่ปัญหาตัวเองยากยิ่ง555) และถ้าวันใดไม่มีงานหรือกิจกรรมในตอนเย็น ต้องไปช่วยพ่อแม่เกี่ยวข้าวหรือดำนาถึงหนึ่งทุ่ม เสาร์อาทิตย์ ก็ต้องช่วยที่บ้านทำงานดูแลน้องชายและน้องสาวคนเล็กซึ่งห่างกันถึง 15 ปี ถึงอายุของน้องทั้งสองจะห่างกับข้าพเจ้ามาก แต่เรามีความสนิทสนมกันมากเช่นกัน ช่วงปิดเทอมต้องไปอยู่กับคุณคุณยายที่ศีรสะเกษ ปิดเทอมชั้น ม.3 ไปทำงานที่โรงงานเย็บผ้าในกรุงเทพกับพี่สาวข้างบ้าน ม. 4 ไปทำงานซักรีดที่ชลบุรี ม. 5 ทำงานที่โรงงานอิเล็กทรอนิกส์ เขตโรจน พระนครศรีอยุธยา ม. 6 ทำที่บริษัทคอลเกต ปาล์มโอลีฟ จังหวัดชลบุรี จากประสบการณ์การทำงาน ทำให้ข้าพเจ้าโตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นได้เรียนรู้ประสบการณ์ชีวิตที่ดีมากมาย และข้าพเจ้ามาเรียนสาขาภาษาอังกฤษ เพราะมีแรงบันดาลใจจากการเห็นสมุดของรุ่นพี่คนหนึ่งคัดตัวอักษรเขียนอย่างสวยงาม อยากจะเขียนได้จึงลองสมัครและสอบแล้วได้จริงๆ ทั้งๆที่เรียนจบสายวิทย์-คณิต ชอบวิชาเคมี แต่ด้วยการที่คิดถึงอนาคตและสุขภาพของพ่อแม่ จึงเลือกที่จะเรียนครู ที่เป็นงานราชการ ซึ่งสาขาภาษาอังกฤษทำให้ข้าพเจ้าได้สิ่งต่างๆมากมาย ทั้งความรู้ การคิด การบริหาร ทำให้มองโลกหลากหลายด้าน อยู่กับความจริง มีเพื่อน มีอาจารย์ที่ดี ซึ่งข้าพเจ้าเป็นคนที่หัวช้า เรียนไม่เก่ง แต่ก็อาศัยความขยัน อดทน ต่อสู้เพื่อวันแห่งชัยชนะ “ไม่มีใครสามารถแก้ไขอดีตที่ผ่านไปแล้วได้ ไม่มีใครล่วงรู้อนาคตได้ ดังนั้นควรทำวันนี้ให้ดีที่สุด”
ประวัติของข้าพเจ้า
ชื่อ นางสาวอลิศรา สัพโส ชื่อเล่น อ๊อฟ
เกิดเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2531 ปัจจุบันอายุ 22 ปี
เกิดที่บ้านไฮหย่อง อำเภอพังโคน จังหวัดสกลนคร
ที่อยู่ 2 หมู่ 1 บ้านไฮหย่อง ตำบลไฮหย่อง อำเภอพังโคน จังหวัดสกลนคร
มีพี่ชาย 1 คน อายุแก่กว่าดิฉันประมาณ 6 ปี
เริ่มเข้าศึกษาระดับชั้นอนุบาลที่โรงเรียน บ้านไฮหย่อง ซึ่งเป็นโรงเรียนที่อยู่ใกล้บ้านการเรียนในชั้นอนุบาลนั้นเท่าที่จำความได้ เป็นการฝึกเขียนตัวอักษร ภาษาไทยซึ่งคุณครูจะให้คัดตัวเหลี่ยม เรียนประมาณครึ่งวัน นอนอีกครึ่งวัน จำได้ว่าชอบเล่นขายของมากเพราะในห้องเรียนจะมีการจัดมุมต่างๆไว้สำหรับให้เล่นมีมุมุบ้าน มุมขายของ มุมสำหรับคุณหมอ ดิฉันจะชอบสมมุติตัวเองเป็นแม่ค้าเสมอ ตอนกลับบ้านก็จะนั่งรอพี่ชายมารับที่ห้องประจำเพราะจะต้องกลับบ้านพร้อมกันเนื่องจากช่วงที่เรียนชั้นอนุบาลครอบครัวของดิฉันจะนอนที่ทุ่งนาจนกว่าหน้านาจะเสร็จ ดิฉันจำได้ว่าต้องซ้อนท้ายจักรยานพี่ชายที่ตอนนั้นอายุ 12ขวบ ทางที่กลับนานั้นจะต้องลัดเลาะไปตามห้วยซึ่งมันออกจะดูน่ากลัวซักหน่อยสำหรับดิฉันตอนนั้นเพราะกลัวจักรยานล้มแล้วตกลงไปในห้วย ดังนั้นตลอดเวลาที่ต้องนั่งซ้อนทายกลับนานั้นจะต้องใช้สองมือยึดกับเบาะของจักรยานไว้แน่นที่สุดเพราะกลัวตกลงไปในห้วยพอมานึกย้อนดูแล้วก็ตลกตัวเองดี ตอนเรียนอนุบาลดิฉันเคยแข่งขันระบายสีได้รางวัลชนะเลิศ แล้วก็ต้องไปแข่งกับโรงเรียนอื่นซึ่งดิฉันได้รับรางวัลอันดับที่สาม เพราะดันไประบายสีผมของนางนพมาศเป็นสีน้ำตาล เพราะคิดอยากจะทำอะไรที่มันแตกต่างจากเพื่อน ถ้าเทียบกับตอนนี้แล้วดิฉันคิดว่าอาจารย์ช่างไม่ทันสมัยเอาเสียเลย
พอเรียนระดับชั้นประถมศึกษาชีวิตในวัยนั้นมีวีรกรรมเยอะพอสมควร ชอบไปจับปลา จับปู ไปขุดจิ้งหรีดหัวโตหรือเรียกแบบบ้านๆว่า จิโป่ม โดยดิฉันจะถือขวดน้ำที่ใส่น้ำเต็มแล้วเพื่อจะใช้เป็นเครื่องมือในการจับจิโป่ม โดยจะเดินตามหลังพวกพี่ๆ เนื่องจากตอนนั้นดิฉันถือว่าอายุน้อยที่สุด ส่วนมากเวลาเล่นกันเขาจะไล่ดิฉันไปเล่นอย่างอื่นแทนเพราะเขาคิดว่าเด็กพาไปด้วยคงจะไม่สะดวก แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหายังไงก็ได้ไปอยู่ดี สำหรับการเรียนช่วงประถมนี้เองที่ทำให้ดิฉันรู้สึกชื่นชอบภาษาอังกฤษขึ้นมา ได้รู้จักกับภาษาอังกฤษตอนเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 และได้รับโอกาสไปแข่งขันภาษาอังกฤษที่เขาจะให้แข่งเขียน คำศัพท์ พร้อมทั้งร้องเพลงภาษาอังกฤษซึ่งจะแข่งขันกันเป็นทีม พอดิฉันได้รับคัดเลือกให้เข้าไปก็จะต้องซ้อมเขียนคำศัพท์ ร้องเพลงพร้อมทั้งท่าประกอบด้วย ณ ตอนนั้นรู้สึกว่าค่อนข้างยากที่จะจำเนื้อเพลงที่เป็นภาษาอังกฤษ จำได้ว่าเพลงที่ใช้ประกวดคือเพลงลอยกระทง รอบที่ได้ไปแข่งระดับอำเภอนี้เองที่น่าตลกมากๆก็คือชุดที่สวมนั้นจะเป็นชุดไทย ชุดของดิฉันเรียบร้อยดีแต่ชุดของเพื่อนมีปัญหาเพราะตะขอผ้าถุงนั้นดันหลุดสิ่งสุดท้ายที่ทำได้ก็คือเชือกฟาง ดิฉันได้ไปต่อจนถึงรอบจังหวัดแต่ก็ไม่ได้รางวัลแต่ก็ไม่เป็นไรนั่นคือประสบการณ์ที่ดีมากๆ
(ต่อ)จบช่วงเวลาของประถมแล้วก็ต้องไปต่อมัธยม ดิฉันเข้าเรียนระดับมัธยมศึกษาที่โรงเรียนพังโคนวิทยาคม เป็นโรงเรียนประจำอำเภอห่างจากหมู่บ้านที่ดิฉันอาศัยอยู่ประมาณ 10 กิโลเมตรพอเข้าเรียนชั้นมัธยมพี่ดิฉันก็จบพอดี นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ออกไปเรียนไกลๆบ้าน ทุกเช้าจะต้องตื่นแต่เช้าเพื่ออาบน้ำแต่งตัวเตรียมตัวรอรถรับส่งเพื่อไปโรงเรียน ดิฉันมักจะไปรถรอบแรกเสมอเพราะกลัวไม่ทันเข้าแถวเคารพธงชาติ ดิฉันจำได้ว่าช่วงนั้นได้เงินไปโรงเรียนวันละยี่สิบบาทเพราะกินข้าวเช้าไปจากบ้าน แต่พอถึงช่วงมอปลายก็ขอแม่เพิ่มขึ้นอีกหน่อยสักสิบบาทชีวิตการเรียนก็เรื่อยๆ แต่สิ่งที่ทำให้ชีวิตดิฉันต้องหักเหมากที่สุดคือจากที่เคยเล่นสนุกสนานตามวัย ไม่คิดถึงอนาคตแล้วแต่ก็มีสิ่งที่ทำให้เปลี่ยนคือต้องสูญเสียเสาหลักของบ้านเมื่อบิดาของดิฉันเสียชีวิตจากโรคมะเร็งเมื่อปี 2546 นั่นทำให้ครอบครัวต้องเปลี่ยนไป จากที่เคยมีพ่อที่คอยเป็นหลักแต่ต่อจากนี้ไปจะไม่มีอีกแล้ว แม่กลับต้องมาเป็นเสาหลักแทน ต้องหาเงิน ทำงานทุกอย่างแทนพ่อ ดิฉันเองก็ช่วยได้เท่าที่ทำได้ พี่ชายของข้าพเจ้าต้องเดินทางไปทำงานที่กรุงเทพฯหลังจากที่จบชั้น ปวส เพื่อช่วยครอบครัวแม่เคยหวังว่าพี่ชายจะได้เรียนสูงๆแต่ก็ไม่สามารถทำได้ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ดิฉันคิดว่าขาดพ่อเลยเพราะพ่อจะยังอยู่ในใจและใกล้ๆเสมอท่านไม่เคยจากไปไหนไกล แม้ว่าจะไม่มีพ่อแล้วแต่แม่ก็สามารถเติมเต็มส่วนที่หายได้ ไม่น้อยกว่าคนที่มีพ่อเลย ดิฉันตั้งใจไว้แล้วว่าต้องจบมหาลัยให้ได้และพี่ชายก็ต้องจบเช่นเดียวกัน ดังนั้นเมื่อฤดูกาลแห่งการสอบแข่งขันเข้าสู่มหาลัย ดิฉันก็ต้องหาที่ๆจะเรียนต่อเพื่ออนาคตของตัวเอง ดิฉันเลือกที่จะเรียนในคณะศึกษาศาสตร์ สาขาวิชาภาษาอังกฤษ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
ชีวิตในมหาลัยที่ๆไกลจากบ้านเป็นหลายร้อยกิโลเมตร ที่ๆมีแต่คนแปลกหน้ามาอยู่รวมกัน ดิฉันจะสามารถอยู่ได้หรือไม่นั่นคือคำถามที่พยายามถามตัวเองมาโดยตลอดตอนที่เข้ามาอยู่ใหม่ๆ เนื่องจากดิฉันเป็นคนติดบ้านไม่เคยไปอยู่ที่ไหนไกลๆนานๆ ยิ่งเห็นตอนที่รถของแม่ที่มาส่งฉันเริ่มแล่นออกไปเรื่อยๆรู้สึกอยากร้องไห้ขึ้นมาทันที โชคดีอย่างหนึ่งคือดิฉันได้พักอยู่กับพี่ที่มาจากหมู่บ้านเดียวกันแถมยังเรียนคณะเดียวกันอีกเดียวด้วยจึงไม่ค่อยมีปัญหาในเรื่องที่พัก การอยู่ การกิน แต่สิ่งทำให้คิดว่าคงจะเรียนต่อในสาขาที่เลือกไม่ได้แล้วคือการเรียนกับท่าน รศ.ดร.ธูปทอง กว้างสวาสดิ์ ยังจำได้ในครั้งแรกที่มาเรียนนั้นกลัวมากเพราะไม่เคยเจออาจารย์แบบนี้มาก่อนเลย แต่นั่นก็ไม่ใช่แค่เหตุผลเดียวแต่เพราะยังต้องไปเรียนกับอาจารย์ที่คณะมนุษยศาสตร์อีก ต้องเจอกับอาจารย์ชาวต่างชาติเนื่องจากพื้นฐานภาษาอังกฤษของข้าพเจ้าก็ไม่ค่อยจะดีอยู่แล้วจึงทำให้ไม่ค่อยทันเพื่อน และยังคิดที่จะย้ายสาขาที่เรียนอีกแต่ก็คิดว่าได้มาขนาดนี้แล้วลองดูอีกสักตั้งจะเป็นไรไป ดิฉันเลยพยายามใหม่อีกครั้งและก็ทำให้ดิฉันสามารถอยู่ได้จนถึงทุกวันนี้ ทุกวันนี้ดิฉันอยากเรียนให้จบเพื่อจะได้หางานทำและมีรายได้เลี้ยงตัวเองและครอบครัว และความพยายามทำให้คนเราสามารถทำสิ่งที่ตั้งใจไว้ได้สำเร็จ แม้ว่ามันอาจจะช้าสักหน่อยแต่นั่นมันก็คุ้มค่าที่จะทำ ดีกว่ามานั่งเสียดายที่ไม่ได้พยายาม
ข้าพเจ้าชื่อนางสาวสุพัฒตรา อัตโน ชื่อเล่นน้ำฝน หรือเพื่อนเรียก ฝน ที่มาของชื่อเล่นเพราะวันที่เกิดนั้นฝนตกหนักทั้งที่ฝนไม่ตกมานานมากแล้ว เกิดเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2531 อายุ 22 ปี เป็นบุตรคนที่ 1 มีพี่น้องสองคน บิดาชื่อนายวิชาญ อัตโน มารดาชื่อนางหนู อัตโน อาชีพเกษตรกรรม ปัจจุบันอาศัยอยู่ที่ บ้านเลขที่ 42 หมู่ 8 บ้านหนองขี้นก ตำบลหว้านคำ อำเภอราษีไศล จังหวัดศรีสะเกษ ข้าพเจ้าอาศัยอยู่บ้านอีกหลังหนึ่งซึ่งเป็นบ้านของยายกับป้าเพราะต้องดูแลท่าน ส่วนพ่อแม่และน้องชายอาศัยอยู่ด้วยกันที่บ้านอีกหลังหนึ่งซึ่งอยู่ใกล้เคียงกัน ข้าพเจ้าชอบสีฟ้า ชอบอ่านนิยายและชอบดูฟุตบอลเป็นอย่างมาก ทีมฟุตบอลที่ชอบคือ ทีมลิเวอร์พูล
ชีวิตในวัยเด็กของข้าพเจ้า เราจะอยู่กันเป็นครอบครัวใหญ่เพราะยังไม่แยกบ้าน จะมียายเป็นคนดูแลในช่วงที่ยังไม่เข้าอนุบาล มีเพื่อนเล่นส่วนมากเป็นผู้ชาย เพราะข้าเจ้าชอบเล่นโลดโผนและเด็กผู้หญิงส่วนใหญ่จะเล่นขายของกันเท่านั้น ข้าพเจ้าจะชอบไปเลี้ยงวัวกับที่บ้านเพราะจะไปกินลูกหว้า เม็ดมะค่าแต้กับเม็ดหลวมไทร รวมถึงไปจับปลา ลูกอ๊อด แมงละงำ และไปเก็บรวงข้าวที่หล่นในทุ่งนามาขาย ซึ่งทั้งสนุกและได้ตังด้วย พอถึงช่วงที่จะต้องไปโรงเรียนก็จะชอบมากเพราะมีเพื่อนเล่นเยอะ ได้ใส่ชุดนักเรียน แม่ของข้าพเจ้าเคยเล่าให้ฟังว่า ข้าพเจ้าจะชอบไปเฝ้าพี่ชายกับพี่สาวที่อยู่บ้านข้าง ๆ เพื่อจะไปโรงเรียนด้วยทุกวัน ทั้งที่อายุยังไม่ถึงเกณฑ์เข้าเรียน ข้าพเจ้าจะหาตังไปโรงเรียนโดยการเอาถั่ว เม็ดทานตะวัน ฝรั่ง ไปขายเพื่อใช้แทนการขอเงินแม่ไปโรงเรียนตั้งแต่อยู่ชั้น ป.1 ข้าพเจ้าจะช่วยงานที่บ้านทุกอย่างเพราะพ่อกับแม่แก่แล้ว ทำให้ข้าพเจ้าสามารถเลี้ยงไหม ทอผ้าได้ตั้งแต่ยังเป็นเด็ก พอเข้าเรียนมัธยมข้าพเจ้าก็จะเป็นเด็กเรียนมากว่าเมื่อไหร่ก็จะเข้าห้องสมุดเสมอ แต่จะไม่ค่อยใสใจกับหน้าตาตัวเองเท่าไหร่ เพื่อน ๆ จะเรียก สิงโต เพราะผมจะชี้ฟูมาก พอขึ้นมัธยมปลาย ข้าพเจ้าก็จะทำกิจกรรมทุกอย่างที่สามารถทำได้ แต่ก็จะต้องกลับบ้านก่อนห้าโมงเย็นทุกวันเพราะต้องมาช่วยงานที่บ้าน ข้าพเจ้าชอบวิ่งมาก ๆ โดยเฉพาะระยะทางไกล ๆ เคยไปคัดตัวได้เป็นนักกีฬาเขต แต่ก็ต้องหยุดเพราะซ้อมวิ่งเสร็จเย็นซึ่งยายของข้าพเจ้าจะคอยจนกว่าจะกลับบ้านจึงจะเข้านอน ข้าพเจ้าจึงไม่ไปซ้อมเพราะเป็นห่วงยาย และทุก ๆ วันเริ่มตั้งแต่ 20.30น. เป็นต้นไปข้าพเจ้าจะอ่านหนังสือเพื่อเตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัย โดยจะตกลงกับเพื่อนว่าเราจะโทรหากันเวลา 23.00 น. เพื่อจะได้ปลุกคนที่หลับให้ตื่นขึ้นมาอ่านและใครที่ไม่รับก็จะถูกปรับให้ติวหนังสือให้เพื่อนในช่วงหลังเลิกเรียนของวันนั้น ๆ พอถึงเวลาที่จะเข้ามหาวิทยาลัยข้าเจ้าก็เลือกเรียนที่ คณะศึกษาศาสตร์ สาขาภาษาอังกฤษ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม เพราะเป็นที่ ๆ ป้าของข้าพเจ้าชื่นชม และข้าพเจ้าก็อยากเรียนที่นี่ด้วย เมื่อเข้ามาเรียนข้าพเจ้ารู้สึกว่ามันยากมาก ๆ เลย งานก็เยอะด้วย บางทีก็ท้อ แอบร้องให้ก็มี แต่ก็ผ่านมาได้ด้วยความช่วยเหลือของเพื่อนและรุ่นพี่ ปัจจุบันข้าพเจ้ารักและเทิดทูนอาจารย์ของข้าพเจ้ามากเทียบเท่ากับท่านคือแม่อีกคนหนึ่งของข้าพเจ้า เพราะท่านได้ให้อะไรกับข้าพเจ้ามากเหลือเกิน ข้าพเจ้าจะผูกพันกับที่บ้านเป็นอย่างมากถึงแม้จะมาเรียนไกลบ้านแต่ข้าพเจ้าก็จะกลับบ้านทุกครั้งที่ว่างและจะต้องโทรศัพท์กลับบ้านทุก ๆ วัน มีเพียงปีสี่เท่านั้นที่ข้าพเจ้าได้กลับบ้านเพียงเทอมละสองครั้งเท่านั้น เพราะภาระงานที่เยอะขึ้นนั่นเอง
ข้าพเจ้ามีความสุขทุกครั้งที่ได้ออกค่ายไปสอนภาษาอังกฤษให้กับน้อง ๆ ตามโรงเรียนต่าง ๆ เพราะรอยยิ้มและเสียงตอบรับที่ได้มาคือรางวัลที่มีค่าที่สุดโดยไม่เกี่ยวกับค่าตอบแทนใด ๆ ข้าพเจ้ารู้แล้วว่าได้เลือกเส้นทางชีวิตไม่ผิดเลยคงไม่มีอาชีพอะไรจะเหมาะกับข้าพเจ้าท่าอาชีพครูอีกแล้วและข้าพเจ้ามักจะบอกกับใคร ๆ ว่า ข้าพเจ้าคงทำอาชีพอื่นไม่ได้อีกแล้วนอกจากเป็นครู และคงจะทำหน้าที่นี้อย่างเต็มความสามารถอย่างแน่นอน เพื่อจะนำความรู้ที่มีอยู่ไปถ่ายทอดให้ได้มากที่สุด ให้คุ้มค่ากับความยากลำบากกับการเรียน และสิ่งที่ข้าพเจ้าจะไม่ลืมเลยก็คือจรรยาบรรณและหน้าที่ของความเป็นครู
ประวัติส่วนตัว
ชื่อนางสาว วิไลรัตน์ ชาติชำนาญ เกิดวันอังคาร ที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2531 ชื่อเล่น จิ๊บ
สถานที่เกิด โรงพยาบาลศรีนครินทร์ จังหวัดขอนแก่น น้ำหนักแรกเกิด 1,900 กรัม
ที่อยู่ปัจจุบัน บ้านเลขที่ 23 หมู่ 6 ตำบล ห้วยยาง อำเภอ คอนสาร จังหวัด ชัยภูมิ รหัสไปรษณีย์ 36180
มีพี่น้องด้วยกันทั้งหมด 3 คน พี่ชาย 1 คน พี่สาวฝาแฝด 1 คน และข้าพเจ้าเป็นน้องสาวฝาแฝด
บิดาชื่อ นาย วีระ ชาติชำนาญ อาชีพ รับราชการครู
มารดาชื่อ นาง สังวาลย์ ชาติชำนาญ อาชีพรับราชการครู
ปัจจุบันข้าพเจ้าเรียนอยู่ชั้นปีที่ 4 คณะศึกษาศาสตร์ สาขาวิชา ภาษาอังกฤษ
ความสามารถพิเศษ เล่นวอลเลย์บอล สีที่ชอบ สีเขียว แดง
E-mail: wilairat_chatchumnan@hotmail.com, Jibsexxy@hotmail.com
เบอร์โทรศัพท์ 083-1518856
ประวัติการศึกษา
ชั้นอนุบาล1-3 เรียนที่โรงเรียน ชุมชนห้วยยาง
ชั้นประถม 1 เรียน เรียนที่โรงเรียนชุมชนห้วยยาง
ชั้นประถม 2-6 เรียนที่โรงเรียนชุมชนชุมแพ
ชั้นมัธยม 1 เรียนที่โรงเรียนกาญจนาภิเษกวิทยาลัยชัยภูมิ
ชั้นมัธยม 2-6 เรียนที่โรงเรียนชุมแพศึกษา
ประสบการณ์และเรื่องราวต่างๆเกี่ยวกับข้าพเจ้า
ที่ข้าพเจ้ามีชื่อเล่นชื่อ จิ๊บ เพราะ ตอนเกิดมาข้าพเจ้าเป็นคนปากเล็กนมแม่เข้าปากไม่ได้แม่ต้องได้เอามืออ้าปากให้จึงชื่อเล่นว่า จิ๊บ ส่วนพี่สาวชื่อจุ๊บเพราะปากใหญ่กว่า และตอนเกิดมาข้าพเจ้าน้ำหนักตัวน้อยต้องเข้าตู้อบที่โรงพยาบาล เป็นเวลา 1 สัปดาห์ ข้าพเจ้าเป็นคนชอบเล่นกีฬาตั้งแต่เด็ก เล่นกีฬาได้หลายชนิด และที่ถนัดที่สุดคือวอลเลย์บอล ตอนอยู่ชั้นประถมเคยเป็นนักกีฬาวอลเลย์บอลของโรงเรียน แต่เมื่อเรียนมัธยมพ่อและแม่ห้ามไม่ให้เป็นนักกีฬาวอลเลย์บอลของโรงเรียนจึงไม่ได้เล่นมาถึงปัจจุบันนี้ ตอนเด็กๆวันเป็นคนตัวเล็กแม่กลัวไม่โตเลยเลี้ยงแบบให้กินเต็มที่ พอโตมาจึงเป็นคนค่อนข้างจะเป็นเด็กสมบูรณ์ ตอนมัธยมศึกษาปีที่1 พ่อและแม่ให้ไปเรียนที่โรงเรียนกาญจนาภิเษกวิทยาลัยชัยภูมิซึ่งเป็นโรงเรียนประจำ ซึ่งที่โรงเรียนนี้ค่อนข้างเคร่งเรื่องระเบียบวินัยและทำให้ข้าพเจ้าเป็นคนมีระเบียบในตัวเอง และช่วงที่เรียนอยู่ที่ชัยภูมิแม่จะโทรศัพท์ไปหาทุกวันจนเพื่อนๆอิจฉา ซึ่งการเรียนที่นี่สนุกและได้ประสบการณ์ต่างๆมากมาย แต่ข้าพเจ้าต้องย้ายกลับมาเรียนที่ชุมแพเพราะพ่อกับแม่กลัวไม่ตั้งใจเรียนกลัวข้าพเจ้าเล่นแต่กีฬา หลังจากนั้นก็เลิกเล่นมาจนถึงปัจจุบัน เมื่อมัธยม 4 ข้าพเจ้าติดอ่านนิยายเล่มละ 12 บาทมาก จนบางครั้งไม่กินข้าวก็มี สมัยมัธยมข้าพเจ้ามีเพื่อนสนิทด้วยกันทั้งหมด 7 คน พวกเราตั้งใจเรียนกันทุกคน ตอนมัธยม 6 ข้าพเจ้าเคยถูกเพื่อนผู้ชายในห้องแกล้งบางครั้งก็ดึงเก้าอี้ออกจนข้าพเจ้าล้มก็มี หรือบางทีก็ตบหัว เพื่อนผู้ชายในห้องชอบแกล้งข้าพเจ้าแรงๆ เหมือนไม่คิดว่าเป็นผู้หญิง แต่ข้าเพจ้าก็ไม่โกรธหรอกมีแต่แกล้งคืน ความฝันวัยเด็กของข้าพเจ้านั้นคืออยากเป็นครู เพราะเห็นพ่อกับแม่เป็นตัวอย่าง และถูกปลูกฝังมาเกี่ยวกับอาชีพครู ตอนสอบเข้ามหาวิทยาลัย ข้าพเจ้าจึงเลือกคณะศึกษาศาสตร์ แต่ที่ได้มาเรียนที่มหาวิทยาลัยมหาสารคามเพราะพ่อกับแม่บังคับให้เรียนที่นี่ จนข้าพเจ้าร้องไห้เลยทีเดียวเพราะใจนั้นอยากไปเรียนภาคเหนือ แต่ฟ้าคงลิขิตมาแล้วข้าพเจ้าจึงได้เรียนที่นี่ อนาคตถ้าจบปริญญาตรีแล้ว ข้าพเจ้าจะเรียนต่อปริญญาโท และถ้าเป็นไปได้ข้าพเจ้าอยากเรียนถึงปริญญาเอก และในอนาคตต่อไปถ้าข้าพเจ้าได้เป็นครูข้าพเจ้าจะพัฒนาวงการศึกษาไทยให้ดียิ่งๆขึ้นไป
ณิชนันท์ 520
ประวัติส่วนตัวโดยย่อ
ชื่อจริงตามสำเนาทะเบียนบ้าน นางสาวณิชนันท์ จั่นขุนทด พ่อ แม่ พี่ น้อง ญาติสนิท มิตรสหายเรียกสั้นๆ ว่า นิก เกิดเมื่อวันที่ 13 เดือน ตุลาคม 2531 ตรงกับวันตำรวจ ที่โรงพยาบาลสุรินทร์ ที่อยู่ตามภูมิลำเนา บ้านสังแก หมู่ 10 ตำบลเมืองที อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์ 32000 บิดาชื่อนายสิริศักดิ์ จั่นขุนทด ปัจจุบันทำงานอยู่ที่โรงแรมโอเรียนเต็ล กรุงเทพ มารดาชื่อนางระเบียบ จั่นขุนทด ปัจจุบันเป็นครูโรงเรียนบ้านประปืด ตำบลเมืองที อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์ มีพี่น้องร่วมสายเลือด 2 คน มีน้องสาวหนึ่งคนชื่อนางสาววรุณภา จั่นขุนทด ปัจจุบันเรียนคณะวิศรกรรมศาสตร์ มศว. องค์รักษ์
ประวัติการศึกษา
อนุบาล 1 ถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนบ้านประปืด ตำบลเมืองที อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์
ประถมศึกษาปีที่ 3 ถึง ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนเมืองสุรินทร์ อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์
มัธยมศึกษาปีที่ 1 ถึง มัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนสิรินธร อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์
ปัจจุบันกำลังศึกษาระดับปริญญาตรี คณะศึกษาศาสตร์ สาขาวิชาภาษาอังกฤษ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
ประสบการณ์ในวัยเด็กถึงปัจจุบัน
แม่เล่าให้ฟังว่าตั้งแต่เกิดนึกว่าจะเกิดไม่ได้ ไม่โตซะแล้ว เนื่องจากมีพัฒนาการช้า ฟันไม่ขึ้นตามระยะเวลา เดินก็ไม่เดิน คลานก็ไม่คลาน พ่อต้องขุดหลุมให้เดิน พอเดินได้ก็ต้องอยู่บ้านกะยาย แม่ไปสอน พ่อไปทำงานที่กรุงเทพ ด้วยความที่อยากไปหาแม่มากเอามีดเหลาดินสอนไปยืนรอทางไปโรงเรียนแม่ พอเจอพี่ที่สนิทกันก็เอามีดที่ถือมาไปจ่อหน้าพี่เค้าให้เค้าพาไปหาแม่ พออายุสามขวบก็ไปโรงเรียนกับแม่สร้างวีรกรรมมากมายเริ่มด้วย แกล้งรุ่นพี่ในห้องเรียนเพราะแม่เอาไปฝากไว้ที่ห้องอนุบาล 1 หยิกบ้าง แตะบ้าง อะไรบ้าง หนุกหนาน ไม่มีใครกล้าว่าอะไร พอเข้าโรงเรียนก็ได้เป็นหัวหน้าห้องเลย ขั้นป.2 แม่ว่าไม่ไหวอยู่โรงเรียนแกล้งแต่คนอื่น พอเลื่อนชั้นก็เลยได้ย้ายมาเรียนในเมือง เลยซ่าส์ไม่ค่อยออก แต่อยู่ไปซักพักเพื่อนแยะ แกล้งกันเหมือนเดิม แต่อยู่ในโรงเรียนก็พอถูๆไถๆ งานก็ต้องทำส่ง การบ้านไม่ทำ ครูกะแม่รู้จักกันไม่ทำอ่ะซวยแน่ ใกล้จบ ป.6 เพื่อนๆเค้าสมัครเรียนกันแต่เราอ่ะ อยากกลับไปเรียนอยู่โรงเรียนอยู่กรุงเทพ แต่พอเอาเข้าจริง จับฉลากเข้าโรงเรียนสิรินธรได้ เราไม่อยากได้ก็ฉับฉลากได้ คนอื่นเค้าอยากได้ทำไมเค้าไม่ได้ เข้ามาได้ โห้ทั้งห้องม.หนึ่ง มาจากอนุบาลครึ่งห้อง โรงเรียนเมืองครึ่งห้อง กว่าจะปรับตัวเข้ากันได้ก็นานอยู่ พอขึ้นมอสองจัดห้องใหม่ เลือกสายใหม่ แม่ไม่ให้เรียนวิทย์-คณิต ให้เรียนสายศิลป์ภาษาแทน ขึ้นมามอสอง มอสาม เริ่มเกเร ไม่เข้าเรียน หนีออกนอกโรงเรียนตลอด จนโรงเรียนส่งหนังสือถึงผู้ปกครอง ให้ผู้ปกครองมาพบ จากนั้นมาก็ดีขึ้น จนขึ้น ม.ปลาย เกรดดีขึ้น แต่ยังคงเกเรเหมือนเดิม จนได้ทำทัณฑ์บน จำได้เลยว่าเป็นวันเกิดแม่ เป็นวันที่เริ่มคิดอะไรใหม่ๆ จากนั้นมาก็พยายามปรับตัวให้ดีขึ้น จนกระทั่งเลือกมหาลัยแม่อยากให้เรียนครูแต่เราอยากเรียนนิเทศ แต่ก็ยอมเรียนเพื่อแม่ ส่งใบสมัครแม่ก็ส่ง พามาสัมภาษณ์แม่ก็มาส่ง วันประกาศผมแม่ก็เป็นคนดู พอเข้ามาอยู่มหาลัยก็เรียนบ้างเล่นบ้างเที่ยวบ้าง ตอนนี้ก็รู้สึกรักในวิชาชีพของตัวเองแล้วล่ะ ชีวิตในมหาลัยสอนให้รู้อะไรมากมาย รู้จักชีวิต รู้จักสังคมที่กว้างขึ้น ทำให้เราโตขึ้นด้วย
ประวัติส่วนตัว
ชื่อนางสาว วิไลรัตน์ ชาติชำนาญ เกิดวันอังคาร ที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2531 ชื่อเล่น จิ๊บ
สถานที่เกิด โรงพยาบาลศรีนครินทร์ จังหวัดขอนแก่น น้ำหนักแรกเกิด 1,900 กรัม
ที่อยู่ปัจจุบัน บ้านเลขที่ 23 หมู่ 6 ตำบล ห้วยยาง อำเภอ คอนสาร จังหวัด ชัยภูมิ รหัสไปรษณีย์ 36180
มีพี่น้องด้วยกันทั้งหมด 3 คน พี่ชาย 1 คน พี่สาวฝาแฝด 1 คน และข้าพเจ้าเป็นน้องสาวฝาแฝด
บิดาชื่อ นาย วีระ ชาติชำนาญ อาชีพ รับราชการครู
มารดาชื่อ นาง สังวาลย์ ชาติชำนาญ อาชีพรับราชการครู
ปัจจุบันข้าพเจ้าเรียนอยู่ชั้นปีที่ 4 คณะศึกษาศาสตร์ สาขาวิชา ภาษาอังกฤษ รหัสนิสิต 50010512545
ความสามารถพิเศษ เล่นวอลเลย์บอล สีที่ชอบ สีเขียว แดง
E-mail: wilairat_chatchumnan@hotmail.com, Jibsexxy@hotmail.com
เบอร์โทรศัพท์ 083-1518856
ประวัติการศึกษา
ชั้นอนุบาล1-3 เรียนที่โรงเรียน ชุมชนห้วยยาง
ชั้นประถม 1 เรียน เรียนที่โรงเรียนชุมชนห้วยยาง
ชั้นประถม 2-6 เรียนที่โรงเรียนชุมชนชุมแพ
ชั้นมัธยม 1 เรียนที่โรงเรียนกาญจนาภิเษกวิทยาลัยชัยภูมิ
ชั้นมัธยม 2-6 เรียนที่โรงเรียนชุมแพศึกษา
(ต่อ) ประสบการณ์และเรื่องราวต่างๆเกี่ยวกับข้าพเจ้า
ที่ข้าพเจ้ามีชื่อเล่นชื่อ จิ๊บ เพราะ ตอนเกิดมาข้าพเจ้าเป็นคนปากเล็กนมแม่เข้าปากไม่ได้แม่ต้องได้เอามืออ้าปากให้จึงชื่อเล่นว่า จิ๊บ ส่วนพี่สาวชื่อจุ๊บเพราะปากใหญ่กว่า และตอนเกิดมาข้าพเจ้าน้ำหนักตัวน้อยต้องเข้าตู้อบที่โรงพยาบาล เป็นเวลา 1 สัปดาห์ ข้าพเจ้าเป็นคนชอบเล่นกีฬาตั้งแต่เด็ก เล่นกีฬาได้หลายชนิด และที่ถนัดที่สุดคือวอลเลย์บอล ตอนอยู่ชั้นประถมเคยเป็นนักกีฬาวอลเลย์บอลของโรงเรียน แต่เมื่อเรียนมัธยมพ่อและแม่ห้ามไม่ให้เป็นนักกีฬาวอลเลย์บอลของโรงเรียนจึงไม่ได้เล่นมาถึงปัจจุบันนี้ ตอนเด็กๆวันเป็นคนตัวเล็กแม่กลัวไม่โตเลยเลี้ยงแบบให้กินเต็มที่ พอโตมาจึงเป็นคนค่อนข้างจะเป็นเด็กสมบูรณ์ ตอนมัธยมศึกษาปีที่1 พ่อและแม่ให้ไปเรียนที่โรงเรียนกาญจนาภิเษกวิทยาลัยชัยภูมิซึ่งเป็นโรงเรียนประจำ ซึ่งที่โรงเรียนนี้ค่อนข้างเคร่งเรื่องระเบียบวินัยและทำให้ข้าพเจ้าเป็นคนมีระเบียบในตัวเอง และช่วงที่เรียนอยู่ที่ชัยภูมิแม่จะโทรศัพท์ไปหาทุกวันจนเพื่อนๆอิจฉา ซึ่งการเรียนที่นี่สนุกและได้ประสบการณ์ต่างๆมากมาย แต่ข้าพเจ้าต้องย้ายกลับมาเรียนที่ชุมแพเพราะพ่อกับแม่กลัวไม่ตั้งใจเรียนกลัวข้าพเจ้าเล่นแต่กีฬา หลังจากนั้นก็เลิกเล่นมาจนถึงปัจจุบัน เมื่อมัธยม 4 ข้าพเจ้าติดอ่านนิยายเล่มละ 12 บาทมาก จนบางครั้งไม่กินข้าวก็มี สมัยมัธยมข้าพเจ้ามีเพื่อนสนิทด้วยกันทั้งหมด 7 คน พวกเราตั้งใจเรียนกันทุกคน ตอนมัธยม 6 ข้าพเจ้าเคยถูกเพื่อนผู้ชายในห้องแกล้งบางครั้งก็ดึงเก้าอี้ออกจนข้าพเจ้าล้มก็มี หรือบางทีก็ตบหัว เพื่อนผู้ชายในห้องชอบแกล้งข้าพเจ้าแรงๆ เหมือนไม่คิดว่าเป็นผู้หญิง แต่ข้าเพจ้าก็ไม่โกรธหรอกมีแต่แกล้งคืน ความฝันวัยเด็กของข้าพเจ้านั้นคืออยากเป็นครู เพราะเห็นพ่อกับแม่เป็นตัวอย่าง และถูกปลูกฝังมาเกี่ยวกับอาชีพครู ตอนสอบเข้ามหาวิทยาลัย ข้าพเจ้าจึงเลือกคณะศึกษาศาสตร์ แต่ที่ได้มาเรียนที่มหาวิทยาลัยมหาสารคามเพราะพ่อกับแม่บังคับให้เรียนที่นี่ จนข้าพเจ้าร้องไห้เลยทีเดียวเพราะใจนั้นอยากไปเรียนภาคเหนือ แต่ฟ้าคงลิขิตมาแล้วข้าพเจ้าจึงได้เรียนที่นี่ อนาคตถ้าจบปริญญาตรีแล้ว ข้าพเจ้าจะเรียนต่อปริญญาโท และถ้าเป็นไปได้ข้าพเจ้าอยากเรียนถึงปริญญาเอก และในอนาคตต่อไปถ้าข้าพเจ้าได้เป็นครูข้าพเจ้าจะพัฒนาวงการศึกษาไทยให้ดียิ่งๆขึ้นไป
ชื่อ นางสาว ขนิษฐา ทาอามาตย์ ชื่อเล่น ปุ้ย เกิดวันที่ 9 เดือนตุลาคม 2531
บิดาชื่อ นายประยูร ทาอามาตย์ มารดาชื่อ นางพิกุลทอง ทาอามาตย์
ที่อยู่ 35 หมู่ 6 ตำบลโคกสีทองหลาง อำเภอวาปีปทุม จังหวัดมหาสารคาม 44120
โทร : 0833276925 E-mail : Khanitta_puy@hotmail.com
ประวัติการศึกษา
จบชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่โรงเรียนเมืองวาปีปทุม อำเภอวาปีปทุม จังหวัดมหาสารคาม
จบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ที่โรงเรียนวาปีปทุม อำเภอวาปีปทุม จังหวัดมหาสารคาม
ปัจจุบันกำลังศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม คณะศึกษาสาสตร์ สาขาภาษาอังกฤษ ชั้นปีที่ 4
ฉันได้เกิดที่โรงพยาบาลมหาสารคามเมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2531 ฉันอาจจะเป็นคนที่พ่อแม่ไม่ได้สนใจนักในตอนแรกๆ เพราสาเหตุที่ว่าพ่อแม่ อยากได้ลูกผู้ชายก็เลยผิดหวัง และในช่วงวัยเด็กก่อนเข้าเรียนอนุบาล พ่อแม่ได้ฝากฉันไว้กับป้าให้ดูแล เพราะพ่อกับแม่ต้องไปทำงาน ในช่วงที่เรียนอนุบาลฉันจะเป็นเด็กที่ขี้อายและกลัวมากจึงให้แม่ไปส่งที่โรงเรียนทุกวันและบางวัน ก็ร้องให้เพราะอยากกลับบ้านแต่ก็ถูกแม่ทำโทษ ฉันขี้อายและกลัวแม้กระทั่งเจอเหรียญที่ตกอยู่ก็ไม่กล้าเก็บเพราะกลัวคนอื่นว่า ในช่วงที่เรียนอยู่โรงเรียนประจำหมู่บ้านถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ฉันจะสอบได้ที่1 ตลอด พ่อกับแม่จึงให้ย้ายเข้าไปเรียนที่โรงเรียนประจำอำเภอ ฉันได้เรียนชั้นประถมศึกษาปีที่3 ที่โรงเรียนเมืองวาปีปทุม ในช่วงที่ฉันย้ายเข้าไปเรียนนั้นทางโรงเรียนได้จัดให้เด็กนักเรียนที่ย้ายเข้าไปเรียนใหม่ ได้เรียนอยู่ห้องเดียวกัน ในตอนแรกที่ย้ายเข้าไปฉันก็กลัวไม่กล้าแสดงออกบางครั้งถึงกับร้องให้ แต่พอต่อมามีเพื่อนเยอะจึงทำให้สนุกมากขึ้น และฉันก็สอบได้ที่ 1 ของห้องด้วย จึงทำให้มีความมั่นใจมากขึ้น ชีวิตในช่วงประถมศึกษาของฉัน ฉันจะเล่นกับพี่สาวและเพื่อนของพี่เพราะว่าที่บ้านของฉันมีเพื่อนรุ่นเดียวกันแค่ 3 คน เวลาหลังเลิกเรียนพ่อจะไปรับกลับบ้านแต่ต้องรอจนเพื่อนกลับบ้านหมดเพราะว่าพ่อต้องเลิกเรียนก่อนถึงไปรับ และโรงเรียนของพ่อกับโรงเรียนของปุ้ยก็อยู่ห่างกันมาก ปุ้ยกับพี่สาวต้องรอนานมากบางวันเกือบจะค่ำ และเวลาหลังเลิกเรียนของฉัน ฉันและเล่นอยู่ริเวรบ้านกับพี่ๆ กิจกรรมที่พวกเราเล่นสมัยนั้น ก็เช่น กระโดดยาง ดีดลูกแก้ว และเล่นขายของที่เป็นกิจกรรมที่สนุกมากสำหรับเด็กผู้หญิง ในช่วงวันหยุด เสาร์อาทิตย์ฉันและพี่ๆที่เป็นญาติกัน จะไปทุ่งนาเพราะว่าพวกเราจะไปเล่นน้ำและจับปลา มันเป็นสิ่งที่น่าจดจำมากเพราะว่า นานทีจะได้ไปครั้ง
มีอยู่วันหนึ่ง ที่เป็นวันเด็กแห่งชาติ โรงเรียนของพ่อได้จัดไปเที่ยวที่ เขื่อนลำปาว จังหวัดกาฬสิน ฉันกลับครอบครัวก็เลยไปด้วยแต่ไปรถตัวเองเพราะมีญาติไปด้วย พอไปถึงฉันเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าจะไปเล่นน้ำได้เจอกระเป๋าตังมีคนทำหล่น และหลังจากนั้นได้ไปเล่นน้ำ ฉันได้จมน้ำแต่โชคดีที่พี่มาช่วยทัน ฉันคิดว่าฉันไปรับเคราะห์จากคนที่ทำกระเป๋าหล่นจึงทำให้ปุ้ยตกน้ำ หลังจากนั้นปุ้ยก็ไม่ค่อยชอบเก็บของที่หล่นเลย
ในช่วงที่ฉันเรียนอยู่มัธยมเป็นช่วงที่สนุกสนานมากสมัยมัธยมต้นเป็นเวลาที่สนุกสนานมากแต่พอมามัธยมปลายปุ้ยรูสึกว่าเครียดและต้องแข่งขันมากขึ้นเพราะว่าต้องสอบเรียนต่อ ในช่วงที่สอบเข้าเรียนต่อมหาวิทยาลัยในตอนแรกๆ ฉันสอบได้ ราชภัฎสวนดุสิต แต่เป็นสาขาที่ตนไม่ชอบเลยไม่รายงานตัว และคณะการท่องเที่ยวและการโรงแรม มหาวิทยาลัยมหาสารคาม แต่พ่อไม่ให้เรียนจึงต้องรอสอบรอบ Admission เลือกคณะศึกษาศาสตร์ และสอบได้สาขาภาษาไทยพอเรียนได้ 1 เทอม ก็คิดว่าตนเองอยากเรียนสาขาภาษาอังกฤษจึงย้ายเข้ามาเรียนและต้องเก็บหน่วยกิตให้ทันเพื่อน และก็ได้เรียนสาขาภาษาอังกฤษตามที่ตั้งใจไว้แต่ก็มีอุปสรรคมากมาย คือเรียนค่อนข้างจะไม่เข้าใจเพราะว่าได้เรียนกับอาจารยืที่เป็นชาวต่างชาติจึงทำให้ปรับตัวยากและคิดว่าจะเรียนไม่ทันเพื่อน จนถึงกับร้องให้ แต่ก็มีแม่ที่คอยให้กำลังใจว่าไม่ต้องกังวลจึงทำให้เราก้าวผ่านมาได้ และเรียนมาจนถึงปัจจุบันนี้
ชื่อ – สกุล: นางสาวดารุณี พลนาดี ชื่อเล่น แพร อายุ 22 ปี
เกิด วันเสาร์ ที่ 9 เดือนเมษายน 2531 กรุ๊ปเลือด B
ที่อยู่ตามสำเนาทะเบียนบ้าน: 121/1 ม. 4 บ. บ้านห้วยสะอาด ต. ถ้ำเจริญ อ. โซ่พิสัย จ. หนองคาย 43170
โทรศัพท์ : 083-4179643
บิดา ชื่อ: นาย ตุงอา พลนาดี
มารดาชื่อ: นางเสวย พลนาดี
ที่พักปัจจุบัน A 2 บน หอพัก สุพัตรา อำเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม 44000
E-mail : darunee_8@hotmail.com
อาจารย์ที่ปรึกษา: รศ.ดร.ธูปทอง กว้างสวาสดิ์
งานอดิเรก: ชอบฟังเพลง และไปตกปลากับเพื่อน
ความสามารถพิเศษ: นอน กับ เล่น
วิชาที่ชอบ: สังคมศึกษา
คติประจำใจ: อายครูไม่รู้วิชา
นิสัย: ชอบขี้โม ขี้เล่น ขี้ถี่ บางครั้งจะเป็นคนเอาแต่ใจ เพราะเป็นลูกสาวล่า พ่อ แม่ ก็เลยตามใจทุกอย่างเมื่อเราต้องการอะไร เป็นคนที่พูดแล้วคนฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง เพราะเราสื่อให้เขาฟังในส่วนที่เราเข้าใจเอง ชอบใช้คำสั้นๆ เพื่อสื่อความหมายทำให้คนฟังไม่รู้เรื่อง
ประวัติการศึกษา
ปัจจุบัน กำลังศึกษาระดับปริญญาตรี ระบบปกติ สาขาภาษาอังกฤษ ชั้นปีที่ 4 คณะศึกษาศาสตร์
ชื่อสถาบันศึกษา มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
จบการศึกษาระดับประถมและมัธยมศึกษาตอนต้น: โรงเรียน สังวาลวิทย์ 1 อ. โซ่พิสัย จ. หนองคาย
จบการศึกษาระดับประถมและมัธยมศึกษาตอนปลาย: โรงเรียน บึงกาฬ อ. บึงกาฬ จ. หนองคาย
ในครอบครัวของฉันมีทั้งหมด 4 คน คือ พ่อ แม่ พี่ชาย และฉัน ฉันเป็นลูกคนสุดท้องหรือ คนที่2 ฉันมีพี่ชายหนึ่งคน อายุห่างกัน 3ปี ตอนเกิดมาฉันมีผิวขาวมาก ส่วนพี่ชายฉันตรงข้ามกับฉันเลย คือเขาดำมาก เพื่อนบ้านชอบล้อฉันว่าเป็นลูกของคนข้างบ้าน เพราะแปลกกว่าเพื่อน และเขาจะชอบเรียกเราสองคนว่า ทางม้าลายเวลาเราไปไหนด้วนกันในสมัยเด็กๆ ในคุ้มของฉัน จะไม่ค่อยมีเด็กผู้หญิง ส่วนคุ้มอื่นจะมีเด็กผู้หญิงเยอะมาก ฉันไม่ค่อยไปเล่นกับพวกเขา เพราะมันไกลจากบ้าน แดดร้อน ขี้เกียจเดิน ในตอนนั้นฉันยังไม่มีจักยานขี่ ฉันจึงเล่นแต่กับพี่ชาย และพี่ชายก็มีพวกมาก ถ้าจะไปไหนก็จะไปแต่กับพี่ เล่นกับพี่ เล่นเหมือนเด็กผู้ชายเล่น บางครั้งเล่นกับมันมาก มันก็เบื่อ แอบหนีฉันไปเที่ยว แอบซ่อนไป ฉันจะชอบตีกันกับพี่ฉันมาก ตีกันเมื่อไร ฉันชนะทุกที มันร้องไห้ตลอด ฉันไม่กลัวมันเพราะฉันมีพ่อหนุนหลังอยู่ แต่เราสองคนก็รักกันเหมือนเดิม พอโตขึ้นฉันกับพี่ก็แยกกันเรียนฉันเรียนฝ่ายสามัญศึกษา ส่วนพี่ฉันเรียนทางสายอาชีพ เราก็เลยไม่ค่อยได้คุยกัน ในตอนที่เรียนมัธยมปลายที่ รร.บึงกาฬ ฉันเรียนค่อนข้างเรียนเก่งกว่าทุกคนในห้องแต่ฉันเป็นคนขี้เกียจ เพื่อนของฉันมีมากมาย ทั้งผู้หญิง ผู้ชาย อ้วน ดำ ต่ำ สูง ในตอนนั้นฉันจะติดเพื่อนมากไปไหนไปด้วยกัน มันเป็นเวลาที่ฉันมีความสุขมาก ถ้ามีงานบุญบ้านไหนฉันและเพื่อนจะต้องไปแจมทุกครั้ง กลุ่มของฉันมีสมาชิกเยอะมากประมาณ 10 กว่าคนได้ ถ้าอยู่ในโรงเรียน รุ่นน้องจะให้ความเคารพยำเกลง ฉันไม่ค่อยเข้ากิจกรรมทางโรงเรียนซักเท่าไร เพราะฉันไม่ชอบอะไรที่เป็นวิชาการเท่าไร และฉันไม่มีเวลาในการทำกิจกรรมหลังเลิกเรียนทุกๆ วันต้องเดินทางไปโรงเรียนตั้งแต่เช้าเพราะบ้านฉันอยู่ไกล บางวันก็ไม่ถึงโรงเรียนนะแอบลงข้างทางไปเที่ยวบ้านเพื่อน เพราะว่าเป็นเทอมสุดท้ายที่ต้องจบการศึกษาระดับมอปลาย และฉันก็ได้ที่เรียนต่อใหม่ในระดับมหาวิทยาลัย ฉันจึงขอใช้เวลานี้อยู่กับเพื่อนให้มากที่สุด ในปัจจุบันฉันศึกษาอยู่คณะศึกษาศาสตร์ชั้นปีที่ 4 เอกภาษาอังกฤษ ที่อยู่ในเขตพื้นที่ในเมือง
ประวัติส่วนตัว
ชื่อ-สกุล ดิฉันนางสาวเปรียว จินวงษ์ รหัสนิสิต 50010512530 4 EN ชื่อเล่น นุ่ม อายุ 23 ปี กรุ๊ปเลือด โอ เกิดวันเสาร์ ที่ 20 เดือน มกราคม พ.ศ.2531 ที่อยู่ปัจจุบัน หมู่บ้านโนนม่วง บ้านเลขที่ 17 หมู่ 9 ตำบลหัวนา อำเภอเมือง จังหวัดหนองบัวลำภู 39000 เบอร์โทรศัพท์มือถือ 084-3917021
E-mail:priew_mepoo@hotmail.com
ที่มาของชื่อคำว่า เปรียว มาจากตอนแรกพ่อตั้งให้ว่าจะให้เป็นชื่อเล่นเพราะพี่สาวชื่อเล่นเหมียว แต่พี่ที่อยู่ข้างบ้านมาเรียกชื่อเล่นว่านุ่ม เพราะผิวตอนเด้กๆนุ่มมากพี่ก็เลยเรียกนุ่มก็เลยได้ชื่อจริงว่านางสาวเปรียว จินวงษ์ และมีชื่อเล่นว่านุ่ม จนถึงปัจจุบัน
บิดา ชื่อนายสัมฤทธิ์ จินวงษ์ อายุ 59 ปี
มารดา ชื่อนางฉลอง จินวงษ์ อายุ 60 ปี
ครอบครัวมีพี่น้องทั้งหมด 5 คน คือพี่ชาย 3 คน พี่สาว 1 คน และดิฉันเป็นน้องคนเล็ก แต่พี่ชาย 3 คน เป็นลูกคนละพ่อกับดิฉันกับพี่ และพี่ๆทั้ง 4 คน ก็มีครอบครัวกันหมดแล้ว
ประวัติการศึกษา
จบการศึกษาระดับประถมศึกษาปีที่ 6 จากโรงเรียนบ้านโนนม่วง
จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาปีที่ 3 จากโรงเรียนหนองบัวพิทยาคาร
จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาปีที่ 6 จากโรงเรียนหนองบัวพิทยาคาร
ปัจจุบันดิฉันกำลังศึกษาระดับปริญญาตรีปีที่ 4 ที่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม คณะศึกษาศษสตร์ สาขาภาษาอังกฤษ หลักสูตร 5 ปี
อาจารย์ที่ปรึกษา รศ.ดร.ธูปทอง กว้างสวาสดิ์
สิ่งที่โปรดปราน
อาหารที่ชอบ:ส้มตำ,ต้มยำกุ้ง,กระเพราปลากระป๋อง
สีที่ชอบ:สีชมพู,สีเขียว,สีน้ำตาล,สีน้ำตามเข้ม
สัตว์เลี้ยงที่ชอบ:สุนัข
ความสามารถพิเศษ:รำไทย,รำพื้นบ้าน
คติประจำใจ:วันเวลาที่ผ่านเข้ามาทุกวันพยายามทำให้ดีที่สุดก็เพียงพอพอ
ที่อยู่หอพักปัจจุบัน:หอพักธนาวุฒิ เลขที่ 20 หมู่ที่ 15ห้อง A 01 ตำบลขามเรียง อำเภอกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม 44150 เบอร์โทรศัพท์ 081-8732077
พฤติกรรม/นิสัย
เป็นคนที่อารมณ์ไม่อยู่กับร่องกับรอย โกรธง่ายหายเร็ว โกรธ 1 นาที หายโกรธภายใน 30 วินาที อิอิ เป็นคนที่เข้าใจอยากต่อการอธิบายในแต่ละครั้ง แต่ก็พยายามในแต่ละครั้งที่จะเข้าใจในเรื่องนั้นๆ และเพื่อนๆก็จะรำคาญที่จะกลับมราอธิบายให้เราฟังอีกรอบ แต่เพื่อนชินในกานเข้าใจอยากของเรามาเป็นเวลานานพอสมควรแล้ว และในบางครั้งได้บอกเราว่าไม่ต้องถามในห้องออกมาถามข้างนอกจะอธิบายให้ฟัง และเพื่อนนๆก็ดีทุกคนนะค่ะที่ช่วยกันมาถึงทุกวันนี้ ดิฉันก็ถือว่าเป็นเพื่อนแท้ของดิฉันกลุ่มหนึ่งที่มาจากตอนเรียนที่มัธยมศึกษา และเป็นคนที่เร็วในการเดินมากๆๆเพื่อนๆได้ว่าให้เราว่าทำไหมไม่หัวเร็วเหมือนเดิมบ้าง ก็เลยบอกเพื่อนว่า โอเค จะพยายามนะ
ประวัติวัยแสบตอนเรียนประถมศึกษาถึงมัธยมศึกษา
ตอนดิฉันอยู่ประถมศึกษาดิฉันเคยสร้างวีรกรรมกับผู้ชายคนหนึ่งที่ดิฉันไม่เคยชอบขี้หน้าเลยเพราะเป็นคนที่ชอบโชว์จนหน้าเกียจแล้ววันหนึ้งดิฉันนั่งอยุู่ที่ห้องสมุดของโรงเรียนแล้วเข้ามาพูดให้ดิฉันไม่เข้าหูเลยดิฉันเลยสงเคราะห์ให้โดยการผลักตกตู้หนังสือสูงประมาณ 1 เมตร แล้วเผอิญมีเก้าอี้พังอยู่ตังหนึ่งแล้วผู้ชายคนนั้นไปโดยตะปูเข้าอย่างจังจนได้เย็บเลยที่เดียว แล้วเขาไปบอกแม่ของดิฉันแล้วแม่ของดิฉันไม่คุยกับดิฉันเลยแล้วดิฉันน้อยใจมากกว่าทำไมไม่ฟังเหตุผลของดิฉันเลยว่าทำไมทำอย่างนั้น
และตอนมัธยมดิฉันเคยหนีเรียนเพราะจะกลับบ้านไปงานบุญบั่งไฟประจำปีเป็นครั้งแรกที่เคยทำอย่างนั้นและสัญญากับตัวเองว่าจะไม่ทำอย่างนี้อีกจนกระทั้งจบการศึกษาระดับมัธยม และเรื่องของความเป็นเพื่อนตอนเรียนก็มีทั้งดีและไม่ดีแล้วแต่เรราจะเลือกครบเพื่อนแต่เพื่อนมนกลุ่มของดิฉันก็มีทั้งดีและไม่ดีเหมือนกันแต่เรามีทางเลือกที่จะทำอย่างไรกับชีวิตของเรา
กิจกรรมในโรงเรียนก็มีแต่รำไทยเพราะเป็นสมาชิกของชมรมรำไทยและรำพื้นบ้านของโรงเรียนและเมื่อมีงานอะไรประจำโรงเรียนก็ได้ออกงานตลอดและสิ่งที่ประทับใจมากที่สุดคือได้รำพื้นบ้านชุดรำตังหวายเพื่อถวายหม่อมหญิงอุบลรัตร์ เนื่องในโอกาศ To Be Number One ของโรงเรียนก็ดีใจมากที่ได้ไกล้ชิดเห็นหน้าของท่านไกล้ๆเป็นเรื่องที่ประทับใจมากในชีวิตอีอย่างหนึ้งเลยค่ะ
Samira 099
ประวัติโดยย่อนะคร้า....
ชื่อนางสาวสมิหรา อุตรวิเศษ เพื่อนๆเรียก กอล์ฟ
อายุ 22 ปี เกิดวันศุกร์ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ.2531 กรุ๊ปเลือด โอ
บิดา ชื่อนายวิเชียร อุตรวิเศษ อาชีพ รับราชการตำรวจ
ปัจจุบันทำงานที่ สถานีตำรวจบุ่งคล้า อำเภอบุ่งคล้า จังหวัดหนองคาย
มารดาชื่อ นางไพจิตร อุตรวิเศษ อาชีพ ค้าขาย
มีพี่น้องร่วมบิดามารดา 3คน คือ
1.นางสาวสมิหรา อุตรวิเศษ กำลังศึกษาอยู่ที่คณะศึกษาศาสตร์มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ชั้นปีที่ 4
2.นายคมกฤษ อุตรวิเศษ กำลังศึกษาอยู่ที่คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ชั้นปีที่ 3
และ3.นางสาว อิงฟ้า อุตรวิเศษ กำลังศึกษาอยู่ที่โรงเรียนบึงกาฬ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4
ที่พักปัจจุบันของดิฉันคือ หอพักสมสกุลฤกษ์ 239 หมู่ 1 ต.ท่าขอนยาง อ.กันทรวิชัย จ.มหาสารคาม 44150
E-mailที่ติดต่อได้ golfpy2@hotmail.com
อาจารย์ที่ปรึกษา รศ.ดร.ธูปทอง กว้างสวาสดิ์
งานอดิเรก เวลาว่างๆๆชอบออน facebook ฟังเพลง ร้องเพลง เต้นคนเดียวยุในห้อง
สีที่ชอบสุดๆๆ สีนำเงิน สีขาว และ สีชมพู ตามลำดับ
สัตว์ที่เกลียดในชีวิต จิ้งจก หนู แมลงสาบ หนอน งู เป็นต้น
สัตว์ที่ชอบไม่มีเพราะไม่ชอบเลี้ยงสัตว์ลำพังเลี้ยงตัวเองยังไม่รอดเลย 555
คติประจำใจ ความรักให้ได้แค่ครั้งละคนความเชื่อใจให้ได้แค่คนละครั้ง
จบการศึกษาระดับประถมศึกษาปีที่ 6ที่โรงเรียน บ้านหนองเดิ่นทุ่ง จังหวัดหนองคาย
ชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 จากโรงเรียนบุ่งคล้านคร จังหวัดหนองคาย
ส่วนมัธยมศึกษาตอนปลายจบจากโรงเรียนบึงกาฬ จังหวัดหนองคาย พ.ศ.2549
ปัจจุบันกำลังศึกษาระดับปริญญาตรี สาขาภาษาอังกฤษ ระบบปกติ ชั้นปีที่ 4 คณะศึกษาศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยมหาสารคาม
ประสบการณ์ตั้งแต่เล็กจนโต
ในสมัยที่ดิฉันเป็นเด็กดิฉันเคยใฝ่ฝันว่าอยากเป็นนางพยาบาลมากเพราะคิดว่าเมื่อจบมาแล้วก็จะได้ดูแลสุขภาพของคนในครอบครัวและอยากดูแลพ่อกับแม่ให้มีสุขภาพที่แข็งแรงในเวลาที่ไม่สบายแต่พอเรียนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่หกก็ได้ไปสอบพยาบาลแบบเดินสายทั่วราชอาณาจักรเลยแต่ผลสุดท้ายก็สอบไม่ได้จากนั้นก็ร้องไห้อยู่นานพ่อแม่ก็ปลอบใจอยู่นานมากและก็ทำใจว่าฟ้าอาจจะไม่ได้ลิขิตมาให้ดิฉันเรียนพยาบาลดังนั้นดิฉันจึงตัดสินใจลงรอบadmition เป็นคณะศึกษาศาสตร์หมดเลยทั้งสี่อันดับโดยไม่ได้ลงคณะพยาบาลเลยซักอันดับ วันแรกเลยที่เข้ามาปีหนึ่งยังจำความรู้สึกนั้นได้เป็นอย่างดีคือเมื่อได้ทราบผลว่าติดคณะศึกษาศาสต์ที่มหาวิทยาลัยมหาสารคามความรู้สึก ณ ตอนนั้น คือ เฮ้อ จากนี้ไปเราต้องเรียนครูจริงๆหรอนี่และอาชีพที่เราฝันไว้พยาบาลละเราก็ต้องทำใจสินะเพราะมันเป็นไปไม่ได้แล้วก็เศร้านิดหนึ่งแต่พอคิดถึงหน้าพ่อกับแม่ขึ้นมาก็มีใจสู้กับสิ่งที่ต้องเผชิญและก็ต้องตั้งใจทำหน้าที่ของตัวเองเพื่อพ่อกับแม่ให้ดีที่สุดเนื่องจากดิฉันเป็นลูกคนแรกด้วยมั้งจึงรู้สึกว่าตัวเองกดดันมากจากพ่อกับแม่ทั้งๆที่ความจริงแล้วพ่อกับแม่ก็ไม่ได้กดดันอะไรแต่ตัวดิฉันเองนี่แหละที่กดดันตัวเองก็เราเป็นลูกคนแรกน้อก็คิดกับตัวเองเสมอว่าพ่อกับแม่ก็คงหวังอะไรกับเราไว้เยอะมากเลยโดยเฉพาะกับเรื่องเรียนและหน้าที่การงานของเราเพราะเราต้องเป็นเสมือนเสาหลักให้กับน้องทั้งสองคนด้วยในการหาเงินส่งน้องเรียนแทนพ่อกับแม่หลังจากที่ท่านต้องทนทำงานหนักเพื่อส่งลูกทุกคนเรียนดิฉันก็อยากให้ท่านสบายหายเหนื่อยหลังจากที่ท่านทั้งสองคนต้องสู้เพื่อลูกทุกคนมาตั้งนานหลายปี เวลาที่พ่อแม่ทำงานหนักไม่ได้หลับได้นอนดิฉันมักนำภาพเหล่านั้นเก็บมาคิดในใจตัวเองตลอดเวลา สงสารพ่อกับแม่เพราะคงจะเหนื่อยกับลูกทุกคนน่าดูทุกครั้งแม่ต้องตื่นแต่เช้าเพื่อมาขายของยิ่งช่วงนี้อากาศยิ่งหนาวแม่ก็ต้องลุกตื่นขึ้นมาจัดเตรียมข้าวของตั้งแต่เช้า สุขภาพแม่ก็ไม่ค่อยแข็งแรงก็ยิ่งทำให้ดิฉันรู้สึกนำตาไหลทุกครั้งที่คิดถึงอยากให้แม่กับพ่อได้พักผ่อนอยากให้ท่านทั้งสองคนได้นอนตื่นสายและอยากทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อพ่อกับแม่นี่คือสิ่งที่ดิฉันใฝ่ฝันเมื่อเรียนจบไปต้องทำให้ได้ ดังนั้นในความรู้สึกของดิฉัน ณ เวลานี้ไม่อยากเป็นพยาบาลแล้วและคิดว่าตัวเองคิดถูกแล้วที่เลือกมาเรียนครู ตั้งแต่เข้าปีหนึ่งอาจารย์หลายท่านก็ได้กล่อมเกลาให้มีจิตวิญญาณรักในวิชาชีพครู จึงทำให้ดิฉัน ณ ตอนนี้รักในอาชีพครูมากกว่าอาชีพที่ใฝ่ฝันไว้ตั้งแต่เด็กและดีใจที่วันนี้ในอนาคตข้างหน้าก็จะได้เป็นครูและก็จะนำวิชาความรู้ที่มีติดตัวอาจจะน้อยนิดหรือไม่มากเท่าไหร่มอบให้แก้เด็กนักเรียนทุกคนอย่างเต็มใจ
Samira 099
ประวัติโดยย่อนะคร้า....
ชื่อนางสาวสมิหรา อุตรวิเศษ เพื่อนๆเรียก กอล์ฟ
อายุ 22 ปี เกิดวันศุกร์ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ.2531 กรุ๊ปเลือด โอ
บิดา ชื่อนายวิเชียร อุตรวิเศษ อาชีพ รับราชการตำรวจ
ปัจจุบันทำงานที่ สถานีตำรวจบุ่งคล้า อำเภอบุ่งคล้า จังหวัดหนองคาย
มารดาชื่อ นางไพจิตร อุตรวิเศษ อาชีพ ค้าขาย
มีพี่น้องร่วมบิดามารดา 3คน คือ
1.นางสาวสมิหรา อุตรวิเศษ กำลังศึกษาอยู่ที่คณะศึกษาศาสตร์มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ชั้นปีที่ 4
2.นายคมกฤษ อุตรวิเศษ กำลังศึกษาอยู่ที่คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ชั้นปีที่ 3
และ3.นางสาว อิงฟ้า อุตรวิเศษ กำลังศึกษาอยู่ที่โรงเรียนบึงกาฬ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4
ที่พักปัจจุบันของดิฉันคือ หอพักสมสกุลฤกษ์ 239 หมู่ 1 ต.ท่าขอนยาง อ.กันทรวิชัย จ.มหาสารคาม 44150
E-mailที่ติดต่อได้ golfpy2@hotmail.com
อาจารย์ที่ปรึกษา รศ.ดร.ธูปทอง กว้างสวาสดิ์
งานอดิเรก เวลาว่างๆๆชอบออน facebook ฟังเพลง ร้องเพลง เต้นคนเดียวยุในห้อง
สีที่ชอบสุดๆๆ สีนำเงิน สีขาว และ สีชมพู ตามลำดับ
สัตว์ที่เกลียดในชีวิต จิ้งจก หนู แมลงสาบ หนอน งู
เป็นต้น
สัตว์ที่ชอบไม่มีเพราะไม่ชอบเลี้ยงสัตว์ลำพังเลี้ยงตัวเองยังไม่รอดเลย 555
คติประจำใจ ความรักให้ได้แค่ครั้งละคนความเชื่อใจให้ได้แค่คนละครั้ง
จบการศึกษาระดับประถมศึกษาปีที่ 6ที่โรงเรียน บ้านหนองเดิ่นทุ่ง จังหวัดหนองคาย
ชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 จากโรงเรียนบุ่งคล้านคร จังหวัดหนองคาย
ส่วนมัธยมศึกษาตอนปลายจบจากโรงเรียนบึงกาฬ จังหวัดหนองคาย พ.ศ.2549
ปัจจุบันกำลังศึกษาระดับปริญญาตรี สาขาภาษาอังกฤษ ระบบปกติ ชั้นปีที่ 4 คณะศึกษาศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยมหาสารคาม
ประสบการณ์ตั้งแต่เล็กจนโต
ในสมัยที่ดิฉันเป็นเด็กดิฉันเคยใฝ่ฝันว่าอยากเป็นนางพยาบาลมากเพราะคิดว่าเมื่อจบมาแล้วก็จะได้ดูแลสุขภาพของคนในครอบครัวและอยากดูแลพ่อกับแม่ให้มีสุขภาพที่แข็งแรงในเวลาที่ไม่สบายแต่พอเรียนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่หกก็ได้ไปสอบพยาบาลแบบเดินสายทั่วราชอาณาจักรเลยแต่ผลสุดท้ายก็สอบไม่ได้จากนั้นก็ร้องไห้อยู่นานพ่อแม่ก็ปลอบใจอยู่นานมากและก็ทำใจว่าฟ้าอาจจะไม่ได้ลิขิตมาให้ดิฉันเรียนพยาบาลดังนั้นดิฉันจึงตัดสินใจลงรอบadmition เป็นคณะศึกษาศาสตร์หมดเลยทั้งสี่อันดับโดยไม่ได้ลงคณะพยาบาลเลยซักอันดับ วันแรกเลยที่เข้ามาปีหนึ่งยังจำความรู้สึกนั้นได้เป็นอย่างดีคือเมื่อได้ทราบผลว่าติดคณะศึกษาศาสต์ที่มหาวิทยาลัยมหาสารคามความรู้สึก ณ ตอนนั้น คือ เฮ้อ จากนี้ไปเราต้องเรียนครูจริงๆหรอนี่และอาชีพที่เราฝันไว้พยาบาลละเราก็ต้องทำใจสินะเพราะมันเป็นไปไม่ได้แล้วก็เศร้านิดหนึ่งแต่พอคิดถึงหน้าพ่อกับแม่ขึ้นมาก็มีใจสู้กับสิ่งที่ต้องเผชิญและก็ต้องตั้งใจทำหน้าที่ของตัวเองเพื่อพ่อกับแม่ให้ดีที่สุดเนื่องจากดิฉันเป็นลูกคนแรกด้วยมั้งจึงรู้สึกว่าตัวเองกดดันมากจากพ่อกับแม่ทั้งๆที่ความจริงแล้วพ่อกับแม่ก็ไม่ได้กดดันอะไรแต่ตัวดิฉันเองนี่แหละที่กดดันตัวเองก็เราเป็นลูกคนแรกน้อก็คิดกับตัวเองเสมอว่าพ่อกับแม่ก็คงหวังอะไรกับเราไว้เยอะมากเลยโดยเฉพาะกับเรื่องเรียนและหน้าที่การงานของเราเพราะเราต้องเป็นเสมือนเสาหลักให้กับน้องทั้งสองคนด้วยในการหาเงินส่งน้องเรียนแทนพ่อกับแม่หลังจากที่ท่านต้องทนทำงานหนักเพื่อส่งลูกทุกคนเรียนดิฉันก็อยากให้ท่านสบายหายเหนื่อยหลังจากที่ท่านทั้งสองคนต้องสู้เพื่อลูกทุกคนมาตั้งนานหลายปี เวลาที่พ่อแม่ทำงานหนักไม่ได้หลับได้นอนดิฉันมักนำภาพเหล่านั้นเก็บมาคิดในใจตัวเองตลอดเวลา สงสารพ่อกับแม่เพราะคงจะเหนื่อยกับลูกทุกคนน่าดูทุกครั้งแม่ต้องตื่นแต่เช้าเพื่อมาขายของยิ่งช่วงนี้อากาศยิ่งหนาวแม่ก็ต้องลุกตื่นขึ้นมาจัดเตรียมข้าวของตั้งแต่เช้า สุขภาพแม่ก็ไม่ค่อยแข็งแรงก็ยิ่งทำให้ดิฉันรู้สึกนำตาไหลทุกครั้งที่คิดถึงอยากให้แม่กับพ่อได้พักผ่อนอยากให้ท่านทั้งสองคนได้นอนตื่นสายและอยากทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อพ่อกับแม่นี่คือสิ่งที่ดิฉันใฝ่ฝันเมื่อเรียนจบไปต้องทำให้ได้ ดังนั้นในความรู้สึกของดิฉัน ณ เวลานี้ไม่อยากเป็นพยาบาลแล้วและคิดว่าตัวเองคิดถูกแล้วที่เลือกมาเรียนครู ตั้งแต่เข้าปีหนึ่งอาจารย์หลายท่านก็ได้กล่อมเกลาให้มีจิตวิญญาณรักในวิชาชีพครู จึงทำให้ดิฉัน ณ ตอนนี้รักในอาชีพครูมากกว่าอาชีพที่ใฝ่ฝันไว้ตั้งแต่เด็กและดีใจที่วันนี้ในอนาคตข้างหน้าก็จะได้เป็นครูและก็จะนำวิชาความรู้ที่มีติดตัวอาจจะน้อยนิดหรือไม่มากเท่าไหร่มอบให้แก้เด็กนักเรียนทุกคนอย่างเต็มใจ
ดิฉันนางสาวสกุลเกศ รูปสม ชื่อเล่น " นุ่น "
ส่วนสูง : 165 ซม น้ำหนัก: 50 กก
กรุ๊ปเลือด : บี
เกิดวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2532 ปัจจุบันอายุ 21ปี
ที่อยู่ 77 หมู่ 5 ตำบลโนนม่วง อำเภอศรีบุญเรือง จังหวัดหนองบัวลำภู 39180
นิสัยใจคอ : เป็นคนง่ายๆ อารมณ์ดี แต่ขี้แย
อาหารโปรด : แกงอ่อมไก่ ไก่ย่าง ส้มตำ
สีที่ชอบ : ขาว ชมพู ฟ้า
งานอดิเรก : ฟังเพลง เล่นอินเตอร์เน็ท อ่านหนังสือ
คติประจำใจ : ความสุขอยู่กับเราไม่นาน และความทุกข์ก็เช่นกัน
จบการศึกษาระดับประถมศึกษา โรงเรียนเฉลิมจักรศึกษา จังหวัดอุดรธานี
จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษา โรงเรียนยางหล่อวิทยาคาร จังหวัดหนองบัวลำภู
ปัจจุบันกำลังศึกษาอยู่ที่ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
คณะศึกษาศาสตร์ สาขาภาษาอังกฤษ
ระดับปริญญาตรี ชั้นปีที่ 4
สมาชิกในครอบครัวมี 5 คน พ่อ แม่ ตา ดิฉันและน้องชาย
ดิฉันเป็นลูกสาวคนโต และมีน้องชาย1 คน น้องชายอายุ 19 ปี ห่างกับดิฉัน 2 ปี ตอนนี้กำลังศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยราชภัฎเลยชั้นปีที่ 2
บิดาชื่อ นายชัยพิชิต รูปสม ประกอบอาชีพรับราชการครู ร.ร. บ้านป่าคา อำเภอศรีบุญเรือง จังหวัดหนองบัวลำภู
มารดารชื่อ นางฤทธิตา เวียงสงค์ ประกอบธุรกิจส่วนตัว
และคุณตาประกอบธุรกิจส่วนตัว ฐานะทางครอบครัวปานกลาง
ในวัยเด็ก เป็นคนที่ตัวขาว ผมแดงๆ บางๆ ขอบสวมใส่เสื้อผ้าสีขาวโดยเฉพราะกระโปรงเหมือนชุดเจ้าหญิง และชอบแอบเอาลิบสติกของแม่ไปเขียนบนกระจกเงา และมักจะโดนแม่ตีอยู่เสมอ ตอน7 ขวบชอบชวนน้องชายไปปีนต้นมะขามข้างบ้านจนวันหนึ่งปีนขึ้นไปแล้วลงไม่ได้ทั้งพี่และน้องจนพ่อต้องมาเอาลงจากต้นมะขาม และตอน 14 ปี เคยฝันอยากเป็นพยาบาล แต่ว่าดิฉันไม่ได้เรียนสายวิทย์- คณิต เพราะเรียนแผนศิลป์- ภาษาตังแต่มัธยมศึกษาตอนต้น เลยต้องหยุดความฝันนี้ไว้เพียงแค่นี้ และเมื่อค้นพบตัวเองอีกทีก็ฝันที่อยากจะเป็นครูเหมือนพ่อ ญาติๆของดิฉันประกอบอาชีพครูแทบหมดเลยนี่เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ดิฉันอยากเป็นครูมากขึ้น และตอนนี้ความฝันก็ใกล้เข้ามาเเล้วรู้สึกดีใจมากคงอีกไม่นานเเล้วสิ จะมีคนหลายๆคนเรียกดิฉันว่าคุณครู อิอิ ในอนาคตฉันฝันที่จะเดินทางในสายอาชีพครู ฉันฝันที่จะเป็นแม่พิมพ์ของชาติ คอยให้คำแนะนำและสั่งสอนให้เด็กๆเป็นเด็กดีก้าวไปเป็นผู้ใหญ่ที่ดีของสังคมและประเทศชาติ นอกจากนี้สิ่งที่ฉันจะทำแล้วก็จะทำให้ดีที่สุดก็คือ ฉันจะตอบแทนพระคุณทุกคนที่เคยมีบุญคุณต่อฉันคือพ่อ แม่ ญาติพี่น้องของฉันทุกคนที่คอยให้ทั้งกำลังทรัพย์และกำลังใจแก่ฉันในการศึกษาเล่าเรียน ที่สำคัญที่สุดฉันจะทำให้พ่อ แม่ของฉันสบายและมีความสุขมากที่สุดเท่าที่ฉันจะทำได้ ฉันสัญญาว่าฉันจะตั้งใจ อดทน พยายาม ทำตามความฝันของฉันให้ได้
E-mail.sakunket_noon@hotmail.com
ประวัติส่วนตัว
ชื่อ : นางสาว นันทนา นาลา
ชื่อเล่น : อ๋อย
วันเกิด : วันเสาร์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ.2531ปีมะโรง
อายุ : 22 ปี
กรุ๊ปเลือด : B
นิสิตชั้นปีที่ 4 คณะศึกษาศาสตร์ สาขาภาษาอังกฤษ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
ตำบล ตลาด อำเภอ เมือง จังหวัดมหาสารคาม 44000
รหัสประจำตัวนิสิต : 50010512523 (4 EN)
อาจารย์ที่ปรึกษา รศ.ดร. ธูปทอง กว้างสวาสดิ์
ที่อยู่ปัจจุบัน : 48 หมู่ 5 ตำบล ยางหล่อ อำเภอศรีบุญเรือง จังหวัดหนองบัวลำภู
พี่น้อง : มีน้องชาย 1 คน คือ
1. นายวิชัย นาลา กำลังศึกษาอยู่ที่วิทยาลัยการอาชีพศรีบุญเรือง ปวส. สาขาไฟฟ้ากำลัง ปี 2
บิดาชื่อ : นายวิเชียร นาลา อาชีพ เกษตรกร
มารดาชื่อ : นางหนูเพชร นาลา อาชีพ เกษตรกร
E-Mail: Lovelygirl-252@hotmail.com
Nantana.50010512523@gmail.com
Web Blog : http://nantana-vdo.blogspot.com/2011/01/my-blog.html
เบอร์โทรศัพท์ : 084-9341572
การศึกษา : ระดับประถมศึกษา จบจากโรงเรียนยางหล่อโนนสวนกล้วย
ระดับมัธยมศึกษา จบจากโรงเรียนยางหล่อวิทยาคาร
ระดับปริญญาตรี ปัจจุบันกำลังศึกษาระดับปริญญาตรี คณะศึกษาศาสตร์ สาขาภาษาอังกฤษ
ชั้นปีที่ 4 มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
ดอกไม้ที่ชอบ :ดอกกล้วยไม้, ดอกคุณนายตื่นสาย และดอกชวนชม
สีที่ชอบ : สีชมพู
งานอดิเรก : อ่านหนังสือนิยาย การ์ตูน อ่านนิตยสาร ฟังเพลง เล่นเกมจับคู่ภาพเหมือน
เมื่อวัยเด็กสมัยเรียนอนุบาล ที่ โรงเรียนยางหล่อโนนสวนกล้วย ซึ่งเป็นโรงเรียนประจำหมู่บ้านของฉันเอง เวลาไปโรงเรียน ต้องเดินไปมียายไปเฝ้าที่โรงเรียนทุกวันและมีเพื่อนผู้ชายคนหนึ่งที่สนิทกันมากๆเดินไปโรงเรียนด้วยกันทุกวัน มีวันหนึ่งเพื่อนคนนี้ป่วยไปโรงเรียนไม่ได้ ฉันก็แกล้งป่วยเพราะไม่อยากไปโรงเรียนคนเดียว พอแม่รู้ก็บังคับให้ไปโรงเรียน แม่บอกว่าเราไม่ได้ป่วยต้องไปโรงเรียนเพื่อเราจะได้มีความรู้ มันเป็นนิสัยไม่ดีที่เพื่อนป่วยแล้วไม่อยากไปโรงเรียนแต่ฉันก็ไม่ยอมไปจนในที่สุดแม่ก็ใช้ไม้เรียวตีก้นฉัน มันเป็นครั้งแรกที่แม่ตีฉันเลยก็ว่าได้ เจ็บมากๆๆ แล้วก็ต้องไปโรงเรียนเหมือนเดิมโดยมียายไปเฝ้าที่โรงเรียนด้วยเช่นเดิม วันนั้นมันเป็นวันที่ทำให้ฉันรู้รสของไม้เรียว
นอกจากนั้นจะเล่าวีรกรรมสมัยเด็กๆให้ฟังซึ่งเมื่อสมัยเด็กๆฉันเป็นคนนิสัยซนมาก พูดเก่ง ดื้อ ขี้เล่น มีวันหนึ่งพ่อ แม่พาฉันไปเล่นที่เถียงนาของฉัน (บ้านฉันอยู่บ้านนอกนะค่ะ) วันนั้นเป็นวันที่พ่อ แม่ จ้างรถสีข้าวมาสีข้าวที่นาของฉันซึ่งมันเป็นช่วงเกี่ยวข้าวเมื่อเกี่ยวเสร็จก็สีข้าวแล้วก็เอาข้าวเปลือกขึ้นยุ้ง อาและน้าของฉันก็มาทำกับข้าวช่วยแม่เลี้ยงคนงานที่มารับจ้างสีข้าว ฉันเป็นเด็กไม่มีอะไรทำก็ปีนป่ายอยู่บนต้นไม้อย่างสนุกสนาน สักพักแม่ก็เดินมาดุบอกว่าเดี๋ยวตกต้นไม้ขาแข้งหักจะทำยังไง ลงมาเดี๋ยวนี้แล้วเล่นอยู่ข้างล่างไม่ต้องขึ้นต้นไม้ ฉันก็ต้องยอมลงมาจากต้นไม้อย่างว่าง่าย แล้วก็ขึ้นไปบนเถียงนากับแม่ จากนั้นฉันก็ไปปีนป่ายไม้ที่พ่อทำเป็นชานไว้นั่งเล่น ด้านข้างๆของชานพ่อจะเอาไม้มาตีล้อมไว้กลัวมาฉันจะตกเถียงนาลักษณะเหมือนกล่องสี่เหลี่ยมเลย ซึ่งพ่อไม่รู้เลยว่าตรงนี้แหละที่มันทำให้ฉันสนุกได้ ฉันก็ไปปีนไม้นี้ ปีนเล่นมันสนุกมากๆๆขนาดเล่นอยู่คนเดียวก็ยังสนุกมากเลย แม่ก็บอกให้หยุดปีนเดี๋ยวนี้มันจะตกเถียงนานะ แต่มีหรือฉันจะเชื่อฟังมันสนุกอย่างนี้ไม่หยุดง่ายๆหรอก และแล้วซึ่งไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นทันใด ฉันปีนขึ้นไปที่ไม้ด้านข้างของชานแล้วมันเกิดลื่นแล้วฉันตีลังกาลงจากเถียงนาโดยเอาศีรษะลงมาคือพูดง่ายๆว่าลงมาแบบนี้ไม่ตายก็อัมพาต แม่และอาที่เห็นเหตุการณ์นี้ช็อกเลย ท่าที่ตกจากเถียงนาของฉันเหมือนกับนักกระโดดน้ำท่าที่เอาศีรษะลงมาที่สระน้ำ ทุกคนก็รีบวิ่งลงมาจากบันไดแล้วมาดูฉัน ซึ่งสิ่งที่ทุกคนได้เห็นคือฉันยืนดูทุกๆคนโดยไม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่นิดเดียว ไม่มีร่องรอยของบาดแผลเลย ทุกคนยืนนิ่ง ช็อก แล้วก็บอกว่ามันเหลือเชื่อคิดว่าจะได้มาเก็บศพหรือพาไปโรงพยาบาลแน่ๆ จากนั้นแม่ก็รีบวิ่งมากอดฉันแล้วร้องไห้กลัวว่าฉันจะเป็นอะไรไป
อัตชีวประวัติ
นางสาวนิศาชล พลมณี
50010512586 (4 EN)
ดิฉันนางสาวนิศาชล พลมณี ชื่อเล่นกุ้ง ดิฉันมีชื่อเล่นหลายชื่อตั้งแต่เข้ามัธยมศึกษาตอนปลายครูประจำชั้นจะเรียก “โป” ซึ่งเรียกตามลักษณะของตานั่นเอง เนื่องจากดิฉันจะมีตาที่เหมือนคนง่วงนอนตลอดเวลา จนกระทั่งเรียนระดับปริญญาตรี อาจารย์ประจำสาขาก็จะเรียก”หยืด” เรียกตามลักษณะของตาเช่นเคย ส่วนเพื่อนจะเรียกหลายชื่อมาก เช่น แห้ง ก้าง จ่อย แต่นามปากกาที่ใช้และเพื่อนๆรู้จักคือ “เหม่ง” เพราะหน้าผากกว้าง นิศาชล เป็นชื่อที่หลวงตาซึ่งเป็นญาติผู้ใหญ่ท่านได้ตั้งให้ ซึงมีความหมายว่า น้ำค้าง เนื่องจากดิฉันเกิดตอนกลางคืน ดิฉันเกิดเมื่อวันที่19เมษายน 2531 ปีมะโรง อยู่ที่บ้านเลขที่29 ม.9 บ้านนาชุมแสง ตำบลกุดชุมแสง อำเภอหนองบัวแดง จังหวัดชัยภูมิ ดิฉันไม่ได้เกิดในโรงพยาบาลเหมือนเด็กคนอื่นๆ แต่เกิดที่บ้าน โดยหมอประจำหมู่บ้านเป็นผู้ทำคลอดเนื่องจากไปโรงพยาบาลไม่ทัน ดิฉันมีพี่น้องทั้ง3คน คือมีพี่ชายซึ่งเสียชีวิตด้วยอายุเพียงไม่ถึงเดือน เนื่องจากมีน้ำหนักน้อยจึงเสียชีวิต หลังจากนั้นไม่นานแม่ก็ให้กำเนิดดิฉัน ซึ่งน้ำหนักเพียง2.4กิโลกรัม ดิฉันเกือบเสียชีวิตสามครั้งคือไม่หายใจไปชั่วขณะญาติผู้ใหญ่จึงได้นิมนต์พระซึ่งเป็นญาติมาเป่าให้ซึ่งดิฉันก็กลับมาหายใจเหมือนปกติ หลังจากนั้นไม่กี่นาทีก็มีอาการตัวเขียวพระท่านเป่ายังไงก็ไม่หายจึงมียายข้างบ้านซึ่งได้ใช้ผ้าถุงพัดสามครั้ง ดิฉันจึงมีอาการดีขึ้นจนถึงปัจจุบัน ดิฉันจึงกลายเป็นพี่คนโต ในบ้านจึงมีสมาชิกสามคน ในตอนนั้นพ่อดิฉันมีอาชีพปลูกมันสำปะหลัง รายได้ในตอนนั้นอยู่อย่างลำบาก จนกระทั่งดิฉันอายุครบ1ขวบ พ่อจึงไปสอบบรรจุพนักงานราชการเป็นข้าราชปกครองซึ่งปัจจุบันเป็นหัวหน้าฝ่ายทะเบียนและบัตรจากนั้นครอบครัวจึงสบายขึ้น แม่ดิฉันเป็นแม่บ้านและมีร้านเสริมสวยเล็กๆซึ่งปัจจุบันเลิกทำแล้ว ครอบครัวดิฉันมีอาชีพทำนาแม้ว่าพ่อจะทำงานข้าราชการท่านก็ไม่ทิ้งไร่นา หลังเลิกงานพ่อก็ไปทำนาเหมือนชาวบ้าน เลิกงานเปลี่ยนชุดทำงานใส่ชุดไปไถนา พ่อจึงไม่ค่อยมีราศีเหมือนข้าราชการคนอื่นๆ ที่มีราศี มีรถใหม่ขับ แต่งตัวดีมีฐานะ ชาวบ้านส่วนใหญ่ที่ไปติดต่องานจะรู้จักพ่อเนื่องเพราะพ่อเป็นคนคุยเก่ง หรือพูดมาก(อย่างที่แม่บอก)ไม่ค่อยถือตัวจนบางทีดูไม่น่าเชื่อถือในสายตาคนอื่นเพราเล่นกับชาวบ้านเกินไป พ่อไปทำงานแต่เช้าทุกวัน พ่อทำทุกอย่างทั้งที่ไม่ใช่หน้าที่ ถึงที่ทำงานแต่เช้า เตรียมห้องสำหรับให้บริการ เปิดแอร์ เปิดไฟ เตรียมเอกสาร ทั้งที่ไม่ใช่หน้าที่ ทั้งที่มีภารโรง มีพนักงานรับผิดชอบ พ่อบอกว่างานเล็กๆน้อยๆไม่จำเป็นต้องรอให้ใครทำ จากที่ทำประจำ พนักงานคนอื่นเลยคิดว่าเป็นหน้าที่พ่อที่ต้องมาแต่เช้าแล้วเตรียมห้องรอให้บริการงานทะเบียน ส่วนแม่ดิฉันที่ทำร้านเสริมสวย ในวัยเด็กดิฉันจำได้ว่าในหมู่บ้านมีสามร้านที่มีอาชีพเสริมสวย ร้านแม่จะมีลูกค้าประจำคือคุณครูประจำหมู่บ้านและเจ้าสาวที่มาแต่งหน้า ปัจจุบันนี้ร้านแม่ไม่ค่อยได้บริการแล้วเนื่องจากมีร้านเปิดใหม่มากขึ้น
ช่วงชั้นที่2
เหตุการณ์ก็ดำเนินมาเรื่อยๆ แม่เลิกปลูกถั่ว แต่หันมาปลูกแตงกวากับข้าวโพดแทน ตอนนี้ได้มาขอเช่าที่นาลุงที่อยู่ใกล้บ้านปลูก อีกอย่างใกล้หนองน้ำด้วย แต่ตอนนี้หนูต้องอยู่กับพ่อกับแม่3คน เพราะพี่ชายพี่สาวไปเรียนต่อที่อื่น พี่ชายไปเรียนเทคนิคบุรีรัมย์ ส่วนพี่สาวไปเรียน กศน อยู่ ศรีษะเกษ หน้าที่ของหนูก็เช่นเคย วันธรรมดาไปเรียน วันหยุดไปสวนกับพ่อแม่ แต่เหมือนฟ้าแกล้งครอบครัวของเรายังไงไม่รู้ อยู่มาวันหนึ่งแม่เกิดไม่สบายขึ้นมาปวดท้องมา ก็นึกว่าไม่เป็นอะไร พอตื่นเช้ามาหนูก็ไปเรียนตามปกติ แม่ก็อยู่บ้าน แต่พอหนูกลับมาถึงบ้านไม่เห็นแม่ ถามป้า ป้าบอกว่าแม่ไม่สบายมากไปโรงพยาบาล และป้าก็บอกอีกว่าแม่เป็นมะเร็งในมดลูกระยะสอง และตอนนี้นอนอยู่โรงพยาบาล รอส่งไปกรุงเทพพรุ่งนี้เช้า โห ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก หนูไม่มีโอกาสเห็นหน้าแม่เลย เพราะสมัยนั่นยังไม่มีรถยนต์เหมือนเดี๋ยวนี้ ถ้าจะไปบุรีรัมย์ต้องนั่งรถไปหลายต่อและต้องรอเป็นตอนเช้า พอรู้ว่าแม่ป่วยหนูร้องไห้ใหญ่เลย เดินไปเอาควายก็เดินไปร้องไป พี่สาวพี่ชายอยู่ไหนไม่รู้ หนูต้องอยู่กับพ่อสองคน ส่วนแม่ก็อยู่กับน้าที่โรงพยาบาลวชิรที่กรุงเทพ แม่เข้าผ่าตัดและรักษาตัวอยู่โรงพยาบาลเป็นเวลาเกือบ 3เดือน หนูไม่มีโอกาสได้ดูแลแม่เลย หลังจากแม่ออกจากโรงบาลมา แต่ก็ยังเทียวไปรักษาที่กรุงเทพฯปีละ3ครั้ง ส่วนค่ารักษาทั้งหมดน้าเป็นคนจ่าย
ช่วงชั้นที่3
หนูขึ้น ม.1แล้ว ตอนนี้หนูไม่ได้เลี้ยงควายแล้ว เพราะแม่ขายควายยกคอกเพื่อให้พี่ชายเรียน ที่จริงครอบครัวเราเริ่มพออยู่พอกินล่ะ ที่ต้องขายควายเพราะแม่สงสารพี่ชายคนโต แกสอบติดวิศวะที่ มข (ที่จริงแม่ไม่อยากให้เรียนหรอกเพราะไม่มีเงินส่งเรียนต่อมหาลัย แต่พี่ชายแอบไปสอบโดยไม่บอกกลับบ้านมาบอกแม่ว่าอยากเรียน แม่เลยสงสารลูก เลยขายควายยกคอกเพื่อเป็นค่าเทอมเทอมแรก ตั้งหลายหมื่น) ตอนพี่ชายเรียนที่เทคนิคแม่ก็เอาพี่ชายไปฝากไว้ที่วัดกลางบุรีรัมย์ 5ปีจนจบ ปวส. หลังจากที่ขายควายแล้ว แม่ก็เอาหมูมาเลี้ยง เลี้ยงทีละ10ตัว หน้าที่ก็ตกอยู่กับหนูอีกและ หลังเลิกเรียนต้องรีบกลับบ้านไปเก็บผักมาต้มใส่ข้าวให้หมูกิน บางวันข้าวปลายหมด หนูต้องเอาข้าวเปลือกมาตำแล้วก็ต้มให้มันกิน บางวันรำหมดก็ต้องปั่นจักรยานไปหาซื้อรำตามโรงสีข้าวแถวบ้าน แถวบ้านไม่มีต้องไปหมู่บ้านใกล้ๆ พอถึงวันหยุดแม่กับพ่อก็จะพาหนูขับรถไถนาไปหาซื้อรำมาตุนไว้ ไปมันทุกหมู่ที่มีโรงสีข้าว เลี้ยงอยู่แบบนี้มาจนจบ ม.3 เงินที่ขายหมูได้แต่ละทีก็ส่งให้พี่ชายหมด ส่วนตัวอยากได้อะไรไม่เคยได้ แม่จะบอกเสมอว่าให้พี่ก่อนเพราะพี่อยู่ไกล บางครั้งก็น้อยใจมากเพราะไม่เคยได้ใส่อะไรสวยๆงามเหมือนคนอื่นเขาเลย รถจักรยานก็เป็นมรดกตกทอดมา3รุ่นแล้ว รองเท้าแตะสวยๆสักคู่ยังไม่ได้ใส่ แม่จะซื้อแต่ดาวเทียมให้ใส่เพราะมันทนดี หนูก็เลยต้องใส่มาถึงทุกวันนี้ ส่วนชีวิตในโรงเรียนก็ต้องเรียน เรียนเสร็จก็รีบกลับบ้าน กีฬาไม่เคยได้เล่นกับเขา แต่ตอนอยู่ ม.2 ได้เป็นนักวอลเล่ย์ของโรงเรียนก็ต้องอยู่ซ้อมทุกหลังเลิกเรียน ถ้าวันไหนพ่อกับแม่อยู่บ้านถึงได้อยู่ซ้อม แต่ถ้าวันไหนพ่อกับแม่ไปนากลับค่ำหนูต้องรีบกลับมาเลี้ยงหมู หุงข้าว ทำกับข้าวรอ เป็นแบบนี้มาเรื่อยๆอีกตามเคย วันหยุดก็ไม่เคยได้ไปเที่ยวไหนเลย เพราะต้องไปสวนกับพ่อแม่ บางสัปดาห์ก็ใส่ปุ๋ยแตง บางสัปดาห์ก็สูบน้ำใส่แตง พอถึงช่วงเก็บขายก็ไปเก็บกันทั้งพ่อแม่และหนูด้วย เก็บแล้วก็เอาชั่งกิโลขาย โลละ5บาท ก็จะแบ่งเอาไปขายกับแม่คนละครึ่ง ครั้งละ10โล 20โลบ้าง ในแต่ละปี ทำนาทำสวนตลอดไม่เคยปล่อยให้ว่างเลย ถึงฤดูทำนานก็ทำนา ไปหว่านข้าวไว้ ระหว่างที่รอเกี่ยวก็มาทำสวน โดยการปลูกแตงกว่า เดือนกว่าก็สามารถเก็บขายได้ พอเริ่มเก็บแตงขาย แม่ก็จะพาไปปลูกข้าวโพดรอ พอแตงขายหมดงวด ข้าวโพดก็ได้ขาย พอขายข้าวโพดหมดงวด ก็ถึงฤดูเกี่ยวข้าวต่อ เกี่ยวข้าวเสร็จก็ปลูกพริก แต่ปลูกพริกนานหน่อยกว่าจะได้เก็บขาย แม่ก็พาไปปลูกแตงอีกงวดและก็ตามด้วยข้าวโพดต่อ ข้าวโพดหมดงวดก็ลงหว่านข้าว เวียนกันแบบนี้ทั้งปีและทุกปี ชีวิตนี้เกิดมาชินกับการทำนาทำสวนมาก ทำจนทำเป็นทุกอย่าง ทำสวน ทำนา งานหนักงานเบาทำได้หมด ถึงหน้าทำนาก็ไปไถนากับพ่อกับแม่ ไถทั้งวันแต่ก็เปลี่ยนกับทั้งสามคน หนูกับพ่อไถนา ส่วนแม่หว่านข้าว แม่หว่านข้าวเสร็จก็มาไถ่นาช่วย แต่ส่วนมากมีแต่พ่อไถเพราะหนูยังไถนาไม่ค่อยเก่งเท่าไหร่ พอถึงคราวใส่ปุ๋ยข้าวก็จะไปกันทั้งสามพ่อแม่ลูกตามเคย โดยหน้าที่หลักของหนูคือ แบกถุงปุ๋ย(แบ่งครึ่ง)ไปไว้ตามจุดต่าง แล้วพ่อกับแม่ก็จะเป็นคนหว่าน อยากบอกว่าเหนื่อยๆ มากแต่ก็ภูมิใจที่ได้ช่วยพ่อกับแม่ทำงานทุกอย่าง
ช่วงชั้นที่4
ตอนนี้เรียนจบ ม.3แล้ว ต้องย้ายโรงเรียนมาเรียนอีกโรงเรียนหนึ่ง แต่ไม่ใช่ในตัวเมือง ไปเรียนแต่ละวันต้องนั่งรถรับส่งไป เพราะไม่มีมอไซค์ขับไปเหมือนคนอื่น(มีแต่RCรุ่นเก่ามาก) ชีวิตใหม่ในโรงเรียนใหม่เริ่มต้นได้สวยงาม แต่กว่าจะสวยงามก็เกือบเน่าเหมือนกัน เพราะดันไปกวนตีนรุ่นปี ม.6เข้าในวันแรกของการเปิดเรียน เรื่องก็มีอยู่ว่า ตอนพักเที่ยงได้เดินไปกินขข้าว พอดีรุ่นพี่แก๊งค์ที่ใหญ่ที่สุดในโรงเรียน(ผู้ชาย)ยืนอยู่ร้านนั่นพอดี หนูก็เดินไปซื้อข้าวแต่หนูไม่ได้ทักทายพี่เขา เขาเลยถามว่า เฮ้ยน้อง เด็กใหม่หรอ –ค่ะ ---รุ่นน้องทำไม่ไหว้รุ่นพี่---หนูเลยตอบไปว่า หนูไม่รู้ว่าพวกพี่เป็นรุ่นพี่ที่รู้คือพวกพี่ไม่ได้หาเงินให้หนูใช้ ตอบเสร็จก็เดินหนี พอกินข้าวเสร็จพี่เขาก็เดินมาหา ในใจก็เริ่มหวั่นแล้วกลัวเขามาตบ แต่ไม่ใช่อย่างที่คิด เขามาขอจับมือและพูดกับหนูว่า เขาเรียนโรงเรียนนี้มาสามปี ไม่เคยมีรุ่นน้องคนไหนพูดกับเขาอย่างนี้ น้องทำไมกวนตีนพี่จัง แต่พี่ชอบแบบนี้แหละ จากนั่นมาก็เลยได้เป็นเด็กในสังกัดพี่เขา(ไม่ใช่เด็กแบบนั่นนะคะ เด็กในนามของแก๊งค์เฉยๆ) และยังมีวีรกรรมแสบๆอีกเยอะ ทั้งตีกันกับรุ่นพี่ ม.5ผู้ชาย(ต่อยหน้ามันแล้วรีบวิ่ง5555) ที่แสบสุดกับรุ่นพี่คนนี้คือ มีวันหนึ่งขาเขาเป็นไรไม่รู้ แต่เห็นพันผ้าก้อตไว้ พอดีวันนั้นเรียนห้องติดกัน ไอ้รุ่นพี่ก็นั่งอยู่ติดประตูแล้วก็ยื่นขาข้างที่เจ็บออกนอกห้อง หนูจะเดินไปเข้าห้องน้ำพอดี กำลังจะเดินผ่านไปพอดี นึกหมั่นไส้ขึ้นมา ก็เลยเดินไปเตะขาสุดแรงเกิด ไอ้รุ่นพี่แหกปากร้องสุดขีดอาจารย์ก็สอนในห้องด้วย เตะเสร็จก็วิ่งลงอาคารไปเลย พอขึ้นมาเห็นแต่เขานั่งร้องไห้ เขาชี้หน้าด้วย หลังจากนั่นมาก็ทะเลาะกันตีกันแทบทุกอาทิตย์ จนในที่สุดกลายเป็นพี่รักน้องรักกันตอนไหนไม่รู้ ด้วยความแสบ หน้าด้านหน้ามึน มั่นใจในตัวเองอย่างสูง เลยทำให้คนในโรงเรียนรู้จักเป็นอย่างดี(ก็นักเรียนมันน้อย) ส่วนวันหยุดก็เหมือนเดิมมีหน้าที่ทำแบบไหนก็แบบนั้นเหมือนเดิม ชีวิตม.ปลายเดินทางมาถึงตอนใกล้จบ เทอมสองเริ่มออกสนามสอบเข้าเรียนต่อมหาลัย โคราช อุบล ไปมาหมด สนุกสนามตามประสาชีวิตเด็กม.ปลาย
ช่วงชั้นที่5
นางสาววราภรณ์ ธิธรรมมา นิสิตชั้นปีที่1 เอกวิชาภาษาอังกฤษ คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ชีวิตใหม่ที่กว้างกว่าเดิม อยู่กับครอบครัวมาจนจบม.ปลาย ไม่เคยเดินทางไปไหนไกลๆเลย ตอนนี้ต้องมาอยู่กับใครต่อใครก็ไม่รู้ แต่กว่าชีวิตจะมาตกอยู่ในสถานการณ์นี้ได้ ต้องฟันฝ่าอุปสรรคอะไรมากมาย แต่คงไม่มีอุปสรรคหรือว่าเหตุการณ์ไหนที่ทำให้เหงื่อแตกจนเสื้อเปียกได้เท่าการสอบสัมภาษณ์เข้าเรียนต่อสาขาวิชาภาษาอังกฤษนี้แน่ๆ เพราะโชคชะตานำพาให้มาเจอบุคคลท่าน เห็นครั้งแรกนึกว่าชีวิตเจอปีศาจยังไงอย่างงั้น จะเป็นใครไม่ได้ถ้าไม่ใช่ ท่าน รศ.ดร ธูปทอง กว้างสวาสดิ์ นั่งรอสัมภาษณ์ ได้ยินเพื่อนคนที่เข้าไปก่อนออกมามาเล่าให้ฟังแทบช็อค เหงื่อตกจนเสื้อเปือก พอเข้าไปก็ใช่อย่างที่ใจคิด ขาสั่นพับๆๆ พูดไม่ออก อาจารย์ก็พูดอะไรไม่รู้ ฟังไม่รู้เรื่อง ในหัวไม่นึกไม่ฟังอะไรเลย นั่งท่องการแนะนำตัวที่เตรียมมาให้ขึ้นใจ อาจารย์สั่งให้พูดอะไม่รู้ รู้แต่ว่าหนูจะพูดอนที่หนูท่องมานี่ล่ะ ห้าๆๆๆ ไม่ถึงสามนาที ออกมาทั้งเหงื่อทั้งขาสั่น ออกมาได้แล้วคิดอย่างเดียวเลย ได้ไม่ได้ก็ไม่สนใจแล้ว น่ากลัวสุดๆ แต่ผลสุดท้าย ต้องขอขอบพระคุณท่านอาจารย์อย่างสูงที่ให้โอกาสเด็กน้อยบ้านนอกที่ปึกแสนปึกได้เข้ามาอยู่ในรั้วมหาลัยตามที่ใฝ่ฝัน เปิดเทอมใหม่ เริ่มต้นใหม่ อะไรใหม่ๆ แต่ดูเหมือนชีวิตวุ่นวายมาก ไม่รู้จักอะไรสักอย่าง ไม่มีใครให้ปรึกษา ทำไมโลกมันช่างกว้างใหญ่ขนาดนี้ ลงทะเบียนเรียนก็ไม่เป็น กว่าจะลงได้ก็แสนจะยาก ปีหนึ่งเทอมหนึ่งไม่มีอะไรดีสักอย่าง แต่ยังดีที่มีเพื่อนรักมาด้วยหนึ่งคน เราเป็นเพื่อนรักกันมาตั้งแต่สมัยเรียนมอปลาย เรียนก็เรียนด้วยกันทุกวิชา แต่ละวันต้องนั่งรถสายไปเรียน ไม่มีรถมอไซค์ ชีวิตรันทดมาก ดราม่าสุดๆ สมัยนั่นลงทะเบียนยังเป็นจองที่นั่ง ลงเสร็จต้องรีบไปจ่ายตังค์ ไงละคอมก็ไม่มีต้องไปใช้คอมของมหาลัย จำได้เลยล่ะว่าไปลงทะเบียนที่มอเก่าเสร็จแล้วต้องนั่งรถสายไปจ่ายตังค์ที่มอใหม่ ไปถึงก็เข้าแถว บางวิชาก็มีคนจ่ายตังค์ก่อนก็ไม่ได้ต้องลงวิชาใหม่ คราวนี้เปลี่ยนมาลงที่มอใหม่ ลงที่ตึกพลาซ่า ลงเสร็จต้องรีบเดินจากตึกพลาซ่า มาตึก B มันใกล้ซะเมื่อไหร่ล่ะ กว่าจะเดินมาถึงก็เหมือนเดิมในที่สุดลงได้ 16หน่วย เรียนมันแค่นี้ล่ะ บอกเพื่อนเพราะมันเหนื่อยมาก รำคาญด้วย เรียนก็เรียนไม่รู้เรื่อง วิชาอิ้งต้องเรียนกับฝรั่ง โคตรเรียนไม่รู้เรื่องชีวิตเริ่มดราม่าขึ้นอีก เรียนห่วยแตกมาก เกรดก็ไม่ดีเพราะได้แต่เกรด D ห้าๆๆๆ แย่สุดๆคือตอนปีสามเทอมหนึ่ง เรียนแปดวิชา ได้D เกือบทุกวิชา ยิ่งเรียนยิ่งแย่จริงๆ ส่วนชีวิตนอกเวลาเรียนก็เหมือนคนอื่นๆ ไปเที่ยวกินเหล้า คบผู้ชาย ผู้ชายทิ้ง ทิ้งผู้ชาย จนรู้สึกว่าจะชอบผู้หญิงแล้วล่ะ ชีวิตมีอะไรมากมายแต่ร่ายไปก็เหมือนน้ำท่วมทุ่ง พอแค่นี้ก่อนละกันนะคะ เดี๋ยวมาเล่าใหม่
นางงสาววราภรณ์ ธิธรรมมา 50010512541 4EN
ประวัติ นางสาววราภรณ์ ธิธรรมมา
ช่วงชั้นแรกเกิด
เกิดเมื่อวันที่4 เมษายน 2531 ซึ่งเป็นลูกสาวคนสุดท้อง มีพี่ชายคนโต พี่สาวคนรอง อย่างละ1คน
แม่เล่าให้ฟังว่าหนูเกิดมาด้วยน้ำหนัก 3.5 กิโลกรัม ผิวสีดำแดง หัวใหญ่ พุงโล แถมพ่วงด้วยโรคอะไรไม่รู้แต่ที่แม่เรียกคือไข้ออกเหลือง หลังจาก 3วันที่นอนอยู่โรงพยาบาล หมอก็สั่งให้แม่กับลูกน้อยกลับบ้านได้ แต่หมอสั่งแม่ว่าต้องอุ้มลูกน้อยตากแดดวันละ3ชั่วโมง (ไม่แปลกใจเลยที่ดำมาจนถึงทุกวันนี้) และแม่ยังบอกอีกว่าหมอโรงบาลช่วยไม่ได้ต้องอาศัยหมอชาวบ้านรักษา โดยการเป่า เป่าอะไรไม่รู้ รู้แต่ว่าใช้หมอไป11คน หมอไหนดีแม่ก็หามาเป่า ยิ่งฟังยิ่งน่าสลดใจเมื่อแม่เล่าไปถึงว่าตอนเกือบ2เดือน ลูกน้อยเหมือนกำลังจะลาโลกนี้ไปแล้ว เพราะอาการไม่ดีขึ้น จากที่ผิวดำแดง ก็เริ่มเป็นสีช้ำ ผิวหนังเหี่ยว เลือดไหลออกทุกรูในร่างกายตรงไหนมีรู้ออกหมด พ่อกับแม่และญาติๆเตรียมใจจนลุงต้องเอ่ยปากบอกว่า ถ้าจะไปจริงๆให้ไปตอนกลางวันนะ ถ้าไปตอนกลางคืนขี้เกียจไปป่าช้า (เพราะถ้าเด็กตายชาวบ้านว่าให้เอาไปฝังทันทีที่ป่าช้า) จนในที่สุดรอดชีวิตมาด้วยปาฏิหาริย์ และด้วยหมอเป่าคนสุดท้าย จนมาถึงทุกวันนี้ จากที่เคยถูกเรียกว่าน้องเหี่ยว น้องดำตับเป็ด น้องอะไรต่อมิอะไร ตอนนี้โตเป็นสาวแล้วและยังตัวโตกว่าทุกคนในบ้านอีก พ่อกับแม่นี้รักมากเพราะท่านบอกว่าหนูรอดตายมาอย่างปาฏิหาริย์
ช่วงชั้นอนุบาลวัด และ ป.เด็กเล็ก
- ชีวิตในโรงเรียน
หนูเข้าโรงเรียนที่อนุบาลวัดตั้งแต่ 4ขวบ ไม่ค่อยมีอะไรน่าสนใจเพราะจำได้บ้างไม่ได้บ้าง คงจะเล่าเท่าที่จำได้แล้วกัน หลังจากที่เข้าโรงเรียน ด้วยความที่เป็นเด็กน้อยตายคืน เลยเป็นเด็กที่ค่อนข้างหน้ามึน เป็นหัวโจกพาเพื่อนเล่นอะไรแปลกๆอยู่ตลอดเวลา ต่อยกับผู้ชายก็บ่อย เข้าแถวตอนเช้าก็ได้ร้องนำเพลงชาติตลอดเพราะเป็นคนที่เสียงดัง พออายุ6ขวบก็เข้าไปเรียน ป.เด็กเล็กที่โรงเรียนใหญ่ใกล้บ้าน ไปวันแรกแม่ไปส่ง ไม่ร้องไห้เลยสักแอะ แต่คนอื่นร้องกันจะเป็นจะตายเพราะมาเจอเพื่อนใหม่ โรงเรียนใหม่ คนก็เยอะขึ้น ที่ไม่ร้องเพราะมีพี่สาวเรียนที่โรงเรียนนี้ด้วย สบายล่ะ
- ชีวิตภายในครอบครัว
ด้วยความที่เป็นครอบครัวที่ค่อนข้างไม่พอกิน แต่ยังดีที่มีที่นาพอไว้ทำกิน พ่อกับแม่เลยต้องทำนาและไร่อยู่ตลอดทั้งปี ปลูกนั่นปลูกนี้พอขายเอาเงินมาให้ครอบครัวใช้ เท่าที่จำได้เกิดมาก็เห็นพ่อกับแม่ปลูกปอกับงาไว้ขาย พอถึงฤดูตัดปอ พ่อกับแม่ก็จะพาลูกๆ นั่งรถเข็นน้ำไปนา พ่อก็จะจูงควายไปด้วยเพื่อพาลูกๆไปตัดปอแล้วใส่รถเข็นเข็นเอาปอไปแช่น้ำ ระยะทางจากนามาถึงหนองน้ำที่บ้านห่างเกือบ15โล วันหนึ่งเข็นปอไปแช่น้ำได้วันละ2เที่ยว พอปอมันเปื่อยได้ที่ หนูกับพี่กับพ่อแม่ก็ไปลอกปอกัน ชาวบ้านคนที่เขาอยากได้ลำมันเขาก็มาลอกช่วยแต่เอาลำมันเป็นการตอบแทน ถ้าปีไหนไม่ปลูกปอ พ่อกับแม่ก็จะปลูกแตงโม ทำในช่วงที่เกี่ยวข้าวเสร็จพอดี เสาร์-อาทิตย์ พี่ๆก็ไปปลูกช่วย ส่วนตัวหนูไปเกือบทุกวัน เพราะเรียนโรงเรียนวัด วันไหนขี้เกียจไปเรียนก็ไปนากับแม่ พอแตงโมเริ่มโตได้ที่ พ่อกับแม่ก็จะไปนอนเฝ้าแตงเพราะกลัวคนมาขโมยเก็บ วันปกติแม่ก็จะตื่นมาเก็บแตงแต่เช้าเพื่อสายๆๆจะได้เข็นรถกลับจากนาแล้วเร่ขายมาตลอดทางกลับบ้าน พอถึงวันหยุด ก็จะไปเฝ้ากันทั้งบ้าน ตื่นเช้าก็พากันเก็บแตงโมใส่รถเข็นเข็นกลับบ้านและขายตามทาง สนุกสุดๆ
ช่วงชั้นที่1
เด็กหญิงวราภรณ์ ธิธรรมมา ตอนนี้ยังเรียนอยู่โรงเรียนเดิม อีกอย่างไม่มีพี่สาวเรียนอยู่ที่นี้อีกแล้ว เพราะพี่สาวได้ย้ายไปเรียนโรงเรียนขยายโอกาสอีกแห่งหนึ่ง ส่วนหนูก็เหมือนเดิม จะเพิ่มขึ้นก็น่าจะเป็นความน่ามึนมากกว่าไม่เคยกลัวใครทั้งนั้น นิสัยส่วนตัวก็เป็นคนที่มั่นใจในตัวเอง กล้าทำทุกอย่าง ผลการเรียนก็ยังดีอีกต่างหาก ป.1-3 สอบได้ที่1 ตลอด(เดี๋ยวนี้ละปึกๆ) ได้รับทุนการศึกษาเรียนดีทุกปี(ภูมิใจสุดๆ) ส่วนชีวิตนอกโรงเรียนก็ยังเหมือนเดิม แต่ตอนนี้ได้หันมาปลูกถั่วลิสงขาย งานนี้หนูก็ยังได้ขายเหมือนเดิม แต่เปลี่ยนจากเร่ขายเหมือนที่ผ่านมา ก็เป็นมาขายช่วยแม่ตอนเที่ยง ตอนเช้าแม่จะต้มถั่วแล้วใส่เข่งใส่ท้ายจักรยานเพื่อปั่นไปขายที่โรงเรียนตอนเที่ยง กินข้าวเที่ยงเสร็จหนูก็ไปขายช่วยแม่ วันหยุดหนูก็ไปนากับพ่อกับพี่ชาย ส่วนแม่กับพี่สาวจะเป็นคนไปขายถั่วต้ม บางวันขายแถวบ้านไม่ดี แม่ก็จะพาพี่สาวข้ามแม่น้ำชีไปขายฝั่งสุรินทร์(บ้านติดเขตสุรินทร์) ก็เป็นแบบนี้มาเรื่อยๆ
แสดงความคิดเห็น