วันเสาร์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2551
0502101 จิตวิทยาในชั้นเรียน กลุ่ม 1 (อ.ดร.รังสรรค์ โฉมยา)
ให้นิสิตทำการศึกษา ค้นคว้า เกี่ยวกับนิทานพื้นบ้าน คนละ 1 เรื่อง โดยเป็นเรื่องราวขนาดไม่เกิน 1 หน้ากระดาษ พร้อมกับสรุปว่านิทานดังกล่าวใช้สอนนักเรียนในเรื่องใด ให้ส่งทาง Blogger เท่านั้น ห้ามส่งเป็นกระดาษ นิทานไม่ควรซ้ำกันโดยเช็คผ่าน Blogger หมดเขตส่งวันที่ 20 สิงหาคม 2551
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
62 ความคิดเห็น:
นิทานพื้นบ้านเรื่อง หัวล้านนอกครู
นายทอง กับนายถม เป็นเพื่อนรักกันมาตั้งแต่เด็กๆ ถ้าเห็นนายทองที่ไหนก็ต้องเห็นนายถมที่นั้น เสมือนเงาติดตามตัวก็ว่าได้ ทั้งคู่ก็มีความแตกต่างกันในเรื่องฐานะคือ นายทองเป็นลูกเศรษฐี ส่วนนายถมเป็นลูกชาวนา อยู่มาวันหนึ่งมีพ่อค้าต่างเมืองนำสินค้าเข้ามาขาย และมีน้ำมันใส่ผม ซึ่งบรรยายสรรพคุณไว้ว่า ใส่แล้วผมดกดำนุ่มสลวย นายทอง และนายถมเห็นเข้าก็รีบซื้อมาใช้คนละขวด ผลปลากดว่าผมร่วงจนหมดกลายเป็นคนหัวล้านกบาลใสทั้งคู่ นายทองและนายถม เศร้าโศกเสียใจเป็นอย่างมากถึงขนาดกินไม่ได้นอนไม่หลับ ชาวบ้านเห็นเข้าก็นึกสนุกชอบกลั้นแกล้ง หลอกให้ใช้ยามั่วๆ และแปลกๆ อยู่เสมอ เช่น ขี้เป็ดขี้ไก่ทาหัวบ้าง น้ำลายยุงบ้าง ให้หนวดเต่าบ้าง ซึ่งเมื่อลองใช้แล้วก็ไม่ได้ผล กลับเป็นเรื่องตลกขบขัน ของชาวบ้านอีก ในที่สุดทั้งคู่ก็ขออนุญาตพ่อแม่ เดินทางไปหาอาจารย์ที่มีฝีมือมาช่วยรักษาผม แล้วทั้งคู่ก็ดีใจเมื่อได้พบกับพระฤๅษีองค์หนึ่งในป่า จึงรีบเข้าไปกราบและขอร้องให้ช่วยเหลือ พระฤๅษีสงสารจึงบอกให้ดำน้ำลงไปในบึงข้างๆ อาศรมคนละ 3 ครั้ง ผมจะขึ้นมาเต็มหัว เหมือนเดิม นายทอง และนายถม ก้มกราบพระฤๅษี แล้วรีบกระโดดลงบึงทันที ดำครั้งแรกหัวล้านมันเลื่อมก็มีผมขึ้นมาหร็อมแหร็ม ดำครั้งที่สองผมขึ้นมาครึ่งหัว ดำครั้งที่สามผมขึ้นมาเกือบเต็ม ยกเว้นบริเวณ ที่มีแผลเป็นเพราะเนื้อตาย แต่แทนที่จะรีบขึ้นมาหาพระฤๅษี ทั้งสองปรึกษากันว่าถ้าดำอีกครั้งตรงส่วนที่เป็นแผลจะต้องมีผมขึ้นแน่นอน จึงดำลงไปเป็นครั้งที่สี่ เมื่อโผล่ขึ้นมาปรากฎว่าผมร่วงหมด ทั้งสองรีบตาลีตาเหลือกไปหาพระฤๅษี แต่พระฤๅษีก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้อีก เพราะนายทอง และนายถมทำนอกเหนือจากคำสั่ง หัวล้านนอกครูได้แต่เสียใจ และก็ เดินทางกลับด้วยความผิดหวัง
ข้อคิดที่ได้จากนิทานเรื่องนี้
1.ควรเชื่อฟังคำสั่งของครูและปฏิบัติตนตามคำสั่งครูเมื่อสิ่งที่สั่งเป็นสิ่งที่ดี
2.อย่าหลงเชื่อคำโฆษณาที่เกินความเป็นจริง เช่น ครีมล้างหน้าโมโม ใช้แล้วเห็นผลภายใน 3 วัน
นายรณชัยสุพร
50010511001 GS
นิทานพื้นบ้าน
เรื่องผัวเมียอยากอยู่กระท่อมสูง
มีผัวเมียคู่หนึ่ง เพิ่งจะแต่งงานกันใหม่ๆ พ่อแม่ก็ให้ไปปลูกกระท่อมอยู่กันที่ปลายนา เพื่อคอยดูแลข้าวปลาที่ทำไว้แล้วกำลังงาม เกรงว่าวัว ควาย นก หนู จะมากัดกินข้าวเสียหายผัวเมียทั้งสองก็มิได้ขัดข้องหรือรังเกียจเกี่ยงงอนแต่ประการใด เมื่อพ่อแม่ให้ไปก็ไป เมื่อไปถึงก็ช่วยกันปลูกกระท่อมด้วยไม้ไผ่ และพยายามปลูกให้สูงที่สุดเท่าที่จะสูงได้ เพราะว่าผัวจึงไปตัดไม้ไผ่เอามาทำเสากระท่อม ตัดมามากมายก่ายกองเหลือประมาณ ปลูกกระท่อมจนเสร็จ กระท่อมนั้นนับว่าสูงที่สุดเลยทีเดียว
ครั้นเสร็จแล้วก็ขึ้นไปอยู่กัน นอนหลับสบายทั้งคืน จนรุ่งเช้าผัวตื่นขึ้นไม่เห็นเมียก็ตกใจ มองหาจนทั่วก็ไม่เห็นเมีย ผัวสงสัยคิดว่าเมียตกกระท่อม จึงก้มลงไปดูข้างล่าง เห็นเมียตกกระท่อม ร่างของเมียยังลอยอยู่พึ้น ยังสูงอีกมาก แล้วไม่รู้ว่าเมื่อไรจะตกถึงพื้นดิน เลยยังไม่รู้ว่าผลเป็นอย่างไร...
ข้อคิดที่ได้จากนิทานเรื่องนี้:
การทำอะไรเกินพอดี อาจเกิดโทษภัยต่างๆ ขึ้นได้ฉะนั้นควรพิจารณาให้รอบคอบก่อนทำ และควรทำแต่พอดี
นายนิรันดร์ วราศรี 50010511019 GS
GS0060
นิทานพื้นบ้าน
จอมโกหก กับเรื่องพญานาคเล่นไพ่
มีเด็กวัดอยู่สองคน โกหกชั้นหนึ่งไม่มีใครจับได้
วันหนึ่งทั้งสองคนได้ไปอาบน้ำที่ท่าน้ำแห่งหนึ่ง
และได้ตกลงกันว่า ถ้าใครโกหกได้ดีกว่าจะมีรางวัลให้
คนหนึ่งกระโดดลงไปในแม่น้ำ
โดยได้อมเหรียญห้าบาทลงไปด้วย
พอโผล่ขึ้นมาก็บอกแก่เพื่อนว่า
“เฮ้ย! ฉันดำน้ำลงไปเจอพญานาคกำลังเล่นไพ่กันอยู่
ฉันยังขอเหรียญห้าบาทมาหนึ่งเหรียญเลย”
เพื่อนอีกคนหนึ่งรู้ว่าโกหกแต่ไม่รู้จะทำอย่างไรก็เลย
โดดลงไปในน้ำด้วยความโมโห หัวเลยไปชนตอหัวแตก
พอโผล่ขึ้นมาก็บอกแก่เพื่อนว่า
"เฮ้ย! ฉันโดดลงไปในน้ำโชคไม่ดีเลย ท่านพญานาค
กำลังเล่นไพ่เสีย เลยตีหัวข้าแตก แล้วบอกว่าให้ฉัน
มาเอาเงินที่แกครึ่งหนึ่งไปซื้อยา"
ข้อคิดจากนิทานเรื่องนี้ ...
ขึ้นชื่อว่าคนโกหกแล้ว จะโกหกได้ทุกอย่าง ถ้าหากว่าจับไม่ได้ไล่ไม่ทัน
นางสาวนงนุช ขาวเมืองน้อย
50010511060
ปลาบู่ทอง
ชายผู้หนึ่งชื่อ นายทอง เป็นชาวบ้านเมืองพาราณสี นายทองมีภรรยา ๒ คน ชื่อขนิษฐาและขนิษฐี ขนิษฐาเป็นผู้ที่มีจิตใจเมตตา โอบอ้อม ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ขนิษฐามี ลูกสาวที่สวยน่ารัก ๑ คน ชื่อ เอื้อย ซึ่งเป็นเด็กสาวที่มีจิตใจดีงาม ขนิษฐี ภรรยาอีกคนหนึ่งของนายทอง เป็นผู้ที่มีจิตใจหยาบกระด้าง อิจฉาริษยาขนิษฐาและเอื้อย อยู่ตลอดเวลา ขนิษฐีมีลูกสาววัยไล่เลี่ยกับเอื้อย ๒ คน ชื่อ อ้ายกับอี่ ซึ่งอุปนิสัยและจิตใจเช่นเดียวกับผู้เป็นแม่ ขนิษฐีและลูกสาวทั้งสองมักหาโอกาสกลั่นแกล้ง รังแกขนิษฐาและเอื้อยโดยหวังกำจัดให้พ้นไปจากบ้าน
วันหนึ่งนายทองออกไปจับปลาตั้งแต่เช้าจนเที่ยงได้ปลาบู่มาหนึ่งตัว จึงนำมาบ้านให้ขนิษฐาทำ ต้มยำปลาบู่ ขนิษฐาพยายามขอชีวิตปลาบู่ไว้แต่ไม่สำเร็จ จึงทำทีว่าจะฆ่าปลาบู่แล้วแกล้งปล่อยให้หนีลงน้ำไป นายทองและขนิษฐีโกรธจัดจับขนิษฐาลงเรือบังคับให้ออกไปจับปลากลับมาทำอาหาร แต่ขนิษฐาไม่สามารถ จับปลาได้ ซ้ำยังประสบอุบัติเหตุ จนตกจากเรือจมน้ำเสียชีวิตไป ขนิษฐีอยู่บนบ้านเห็นขนิษฐาตกน้ำก็ดีใจ และไม่ได้ช่วยเหลือแต่อย่างใดเอื้อยกลับมาบ้านในตอนเย็นและทราบว่าแม่ตกน้ำหายไปก็ร้องให้เศร้าโศกเสียใจ
ด้วยผลแห่งกรรมดีที่ขนิษฐากระทำไว้ เทวดาจึงยอมให้ขนิษฐาซึ่งเป็นนางฟ้าอยู่บนสวรรค์กลับลงมาอยู่ใกล้ๆเอื้อยในร่างของปลาบู่ทอง เมื่อเอื้อยรู้ว่าแม่กลับมาเกิดเป็นปลาบู่ทองอยู่ที่ท่าน้ำก็ดีใจ ทุกวันเอื้อยจะมาพูดคุย และนำอาหารมาให้แม่ปลาบู่ทอง ขนิษฐี สงสัยที่เห็นเอื้อยมีความสุข จึงสะกดรอยตามเอื้อยจนรู้ เรื่องปลาบู่ทอง และวางแผนฆ่าแม่ปลาบู่ทองได้สำเร็จ แม่เป็ดเก็บเกล็ดปลาบู่ทองได้และนำมาให้เอื้อย ขณะเดียวกันขนิษฐาก็อ้อนวอน เทวดาขอลงมาอยู่กับลูกอีก เอื้อยนำเกล็ดปลาไปฝังไว้ในดิน เทวดาสงสารขนิษฐาจึงแปลงร่าง ให้กลายเป็นต้นมะเขือ
ต่อมาขนิษฐีสงสัยว่าต้นมะเขือที่มีผลหวานอร่อยคือขนิษฐากลับมาเกิด จึงทำลายต้นมะเขือทิ้งไป บังเอิญอี่ทำลูกมะเขือหล่นลงไปใต้ถุนบ้าน ปูนาซึ่งเป็นเพื่อนของเอื้อยเก็บได้ จึงนำไป ให้แม่เป็ด เอื้อยได้รับลูกมะเขือจากแม่เป็ดก็แอบไปฝังที่ชายป่า เทวดายอมให้ขนิษฐาลงมาอยู่กับลูกอีกครั้งเป็นต้นโพธิ์เงินโพธิ์ทอง ซึ่งเมื่อต้องลมก็จะบังเกิดเสียงไพเราะดังกรุ๊งกริ๊งกริ๊ิ๋ง เอื้อยก็มีโอกาสมาหาแม่ที่เป็นต้นโพธิ์เงินโพธิ์ทองได้ทุกวันโดยสามแม่ลูกไม่สงสัย
วันหนึ่งพระเจ้าพรหมทัตผู้ครองกรุงพาราณสีเสด็จประพาสย่านหัวเมืองเพื่อเยี่ยมเยียนราษฎร เมื่อมามาถึงชายป่า ทรงสดับเสียงกรุ๋งกริ๋งที่ไพเราะ จึงทรงม้าออกตามหาที่มาของเสียง จนพบต้นโพธิ์เงินโพธิ์ทองและเอื้อย เอื้อยตกใจวิ่งหนีไปก่อน พระเจ้าพรหมทัตมีพระราชประสงค์จะนำต้นโพธิ์ไปปลูกในวัง แต่ก็ไม่สามารถนำไปได้ จึงทรงประกาศว่าผู้ที่เคลื่อนย้ายต้นไม้ได้จะได้รับรางวัลอย่างงาม
วันรุ่งขึ้นมีคนมาแสดงตัวเป็นเจ้าของของต้นโพธิ์หลายราย หนึ่งในนั้นคือขนิษฐีและลูกสาวทั้งสอง ซึ่งไม่สามารถทำได้ เอื้อยเห็นความมุ่งมั่นของพระเจ้าพรหมทัต และคิดว่าแม่จะมีความสุขหากได้เข้าไปอยู่ในวัง จึงขอให้แม่ยอมเข้าไปอยู่ในวัง แล้วตนจะเข้าไปทำงานรับใช้ในวังเพื่อดูแลต้นโพธิ์จึงยอมขยับเขยื้อน พระเจ้าพรหมทัตดีพระทัยและประกาศรับเอื้อยเข้าวังเป็นมเหสี ท่ามกลางความอิจฉาเคียดแค้นของขนิษฐี อ้ายและอี่ที่เห็นเอื้อยได้ดีต่อหน้าต่อตา
หลายเดือนผ่านไป ขนิษฐี และลูกสาวทนเก็บความริษยาไว้ไม่ได้ จึงออกอุบายไปส่งข่าวบอกเอื้อยว่าพ่อเจ็บหนักให้กลับมาเยี่ยม พอทราบข่าวเอื้อยก็รีบไปทันที สามแม่ลูกวางแผนให้เอื้อยเดินข้ามสะพานไม้ที่วางหลอกไว้จนเอื้อยตกน้ำตาย แล้วให้อ้ายเข้าไปในวังแทน เอื้อยเมื่อตายไป เทวดาเห็นว่ายังไม่สิ้นอายุขัยจริง แต่ไม่สามารถกลับเป็นมนุษย์ได้ทันทีจึงกลายเป็นนกแขกเต้าบินกลับเข้าวัง และตัดพ้อต่อว่าพระเจ้าพรหมทัตจนพระเจ้าพรหมทัตเกิดความสงสัย
ขณะเดียวกันก็ทรงเอ็นดูนกแขกเต้าเป็นอันมาก จึงทรงจับมาเลี้ยงในกรงและเอาใจใส่เป็นอย่างดี กระทั่งอ้ายเกิดความไม่พอใจ และแคลงใจว่านกตัวนี้มีอะไรที่เกียวพันกับเอื้อยก็เป็นได้ จึงหาทางกำจัดแต่นกแขกเต้าก็สามารถหนีไปได้เมื่อหลบหนีออกมาจากวัง นกแขกเต้าต้องเผชิญกับอันตรายอีกหลายครั้ง จนกระทั่งพบฤาษีในป่า จึงชุบชีวิตให้นกแขกเต้ากลับกลายเป็นเอื้อยดังเดิม และยังได้เสกเด็กผู้ชายคนหนึ่งชื่อลบ ให้เป็นลูกของเอื้อยเพื่อคลายเหงา
ผ่านไปหลายปี เจ้าลบเกิดความสงสัยว่าพ่อเป็นใคร เอื้อยจึงเล่าเรื่องราวต่างๆ ให้ฟัง ทำให้ลบร้องขอที่จะเข้าไปในวังเพื่อกราบทูลพระเจ้าพรหมทัตให้ทรงทราบความจริง เอื้อยได้ร้อยพวงมาลัยฝากไปถวายพระเจ้าพรหมทัตด้วย ลบเดินทางมาถึงพระราชวัง ก็พยายามหาทางจนได้โอกาสเข้าเฝ้าพระเจ้าพรหมทัตและถวายพวงมาลัย พระเจ้าพรหมทัตเห็นฝีมือร้อยมาลัยก็จดจำได้ว่าเป็นฝีมือของเอื้อย ลบจึงกราบทูลเรื่องราวของเอื้อยถวาย พระเจ้าพรหมทัตดีพระทัยที่เอื้อยยังมีชีวิตอยู่ และทรงกริ้วที่ขนิษฐีกับลูกสาวทั้งสองก่อกรรมทำเข็ญไว้กับเอื้อย จึงให้คุมขังสามแม่ลูกเพื่อรอการประหาร และเสด็จไปรับเอื้อยกลับคืนสู่พระราชวัง
เมื่อทราบว่าสามแม่ลูกจะถูกประหารชีวิต เอื้อยจึงขอพระราชทานอภัยโทษจากพระเจ้าพรหมทัต ให้ลงโทษด้วยการขับออกนอกวังกลับบ้านไป และให้ถือศีลบำเพ็ญความดีตลอดชีวิต เอื้อยและต้นโพธิ์เงินโพธิ์ทองก็มีชีวิตที่สงบสุข นับจากนั้นเป็นต้นมา
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว
นางสาววาทิณี จันทรเสนา
50010511032
หม้อวิเศษ
ในกาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ยังมีครอบครัวหนึ่งมีพ่อกับลูกชายอยู่กันสองคน ส่วนพ่อนั้นชรามากแล้ว ชอบทำบุญให้ทานอยู่เสมอ ส่วนลูกนั้นชอบเที่ยวเกเรกินเหล้าเมายาเป็นประจำ ถึงพ่อจะว่ากล่าวตักเตือนสั่งสอนอย่างไรก็ไม่เชื่อฟัง แต่ผู้เป็นพ่อก็รักลูกชายมาก
อยู่มาวันหนึ่งผู้เป็นพ่อเกิดอาการล้มเจ็บลงและตายไปในที่สุดเมื่อตายไปแล้วก็ไปเกิดเป็นพระอินทร์อยู่บนสวรรค์ ส่วนลูกเมื่อไม่มีพ่อก็ไม่มีใครบ่นว่า ก็ดีใจ เอาแต่เที่ยวกินเหล้าเมายาเป็นประจำ งานก็ไม่ทำ เมื่อหมดเงินก็นำเอาข้าวของออกจำนำเอาเงินท่องเที่ยวกินเหล้าอยู่เสมอจนเงินหมดข้าวของก็หมดไปด้วยทำให้ยากจนต้องขอทานต่อชาวบ้าน ส่วนผู้เป็นพ่อนั้น เมื่อขึ้นไปอยู่บนสวรรค์ก็ยังรักลูกเวทนาลูกมากที่ต้องเป็นคนขอทาน จึงได้ลงมายังเมืองมนุษย์แล้วนำหม้อวิเศษใบหนึ่งมามอบให้ลูก แล้วสั่งว่าให้เก็บไว้ให้ดี หากหม้อใบนี้ยังอยู่กับลูก ลูกจะไม่อดตายแน่ ขอให้เก็บไว้ให้ดี ต้องการสิ่งใดก็นึกเอาแล้วล้วงไปในหม้อจะได้สิ่งนั้น ส่วนลูกเมื่อได้หม้อวิเศษก็ดีใจมาก เห็นแต่ความสะดวกสบาย เที่ยวสนุกใช้จ่ายหมด ก็ใช้หม้อนั้นนึกเอาแต่เงินมากินเหล้าจนเมาทุกวัน
อยู่มาวันหนึ่งก็ได้ไปหาเหล้ากินจนเมา ก็เกิดความสนุกสนานมากเดินมาตามทางตรงทางบ้างไม่ตรงบ้าง เดินเป๋ไปเป๋มาตลอดทางมือก็ถือหม้อมาด้วย และนึกว่าตนนั้นเป็นผู้วิเศษแล้วก็ดีใจ โยนหม้อขึ้นไปบนอากาศแล้ว ก็รับไว้ได้ ทำให้ดีใจ สนุกสนานตามประสาคนเมา โยนหม้อขึ้นอากาศ แล้วรับอยู่หลายครั้ง แต่ก็รับได้ทุกครั้ง แต่ก็ต้องมีการพลาดพลั้งบ้างเป็นธรรมดา เพราะตนเองก็เมามาก เมื่อโยนขึ้นไปอีกครั้งตนเองก็เสียหลักล้มลง หม้อเมื่อโยนขึ้นอากาศแล้วไม่มีผู้รับก็ตกลงบนหินแตกกระจาย ตั้งแต่นั้นมาลูกชายของพระอินทร์ ก็หาเงินไปกินเหล้าอีกไม่ได้ เพราะไม่มีหม้อวิเศษอีกแล้วก็ต้องจนต่อไปและต้องเที่ยวขอทานอย่างเดิม
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า คนที่กินเหล้าเมายานั้น จะเป็นคนที่เสียสติ เสียสมาธิในการรับผิดชอบในทุกๆด้านและจะพาให้ตนเองต้องตกระกำลำบากในภายหลัง แม้จะมีผู้อุปการะก็อยู่ได้ไม่นาน ดังเช่น ชายขี้เมาผู้นี้
ดังนั้นเด็กรุ่นหลังทุกคนอย่าเอาเยี่ยงอย่างต่อไปเลย
นางสาวพาฝัน พลแก้ว
50010511025
แก้วหน้าม้า
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีเมืองอยู่เมืองหนึ่งชื่อว่า “ มิถิลา”เมืองนี้ปกครองโดยกษัตริย์ทรงพระนามว่า “ ภูวดลมงคลราช ” พระองค์มีพระมเหสีทรงพระนามว่า “ พระนางนันทา ” ทั้งสองพระองค์ มีพระโอรสทรงพระนามว่า “ ปิ่นทอง” พระนครเจริญรุ่งเรืองและสงบสุข
ในเมืองนี้มีครอบครัวอยู่ครอบครัวหนึ่งซึ่งมีลูกสาวหน้าตาคล้ายม้า ก่อนคลอดมารดาของนางฝันว่ามีเทวดานำแก้วมาให้นาง ดังนั้นนางจึงตั้งชื่อลูกสาวของนางว่า “ มณี ” หรือ “ แก้วหน้าม้า” และถึงแม้ว่านางจะมีหน้าหน้าประหลาด นางก็มีความเฉลียวฉลาด มีมนต์วิเศษสามารถทำนายดินฟ้าอากาศได้อย่างถูกต้อง ดังนั้น นางจึงสามารถบอกให้ชาวนาปลูกพืชผลตรงตามสภาพดินฟ้าอากาศ ความรู้ของนางไม่ได้นำมาซึ่งความมั่นคงแต่เฉพาะครอบครัวของนางเท่านั้น แต่งยังรวมไปถึงชุมชนทั้งหมดอีกด้วย
วันหนึ่ง เจ้าชายปิ่นทองทรงปล่อยว่าวตัวโปรดขึ้นสู่ท้องฟ้า ซึ่งก็เกิดขาดลอยตามลมมาตกลงเบื้องหน้าของแก้วพอดี เมื่อนางเห็นว่าวรูปร่างลักษณะดีก็ตัดสินใจยึดเป็นของตนเองแต่เพียงอึดใจต่อมา ข้าราชบริพาร ของเจ้าชายก็มาถึงและขอว่าวคืน แก้วปฏิเสธที่จะให้พวกเขา และยืนกรานที่จะคืนให้กับผู้ที่เป็นเจ้าของเท่านั้น เมื่อเจ้าชายเสด็จมาถึงที่นั้นและได้ยินแก้วพูดก็ทรงโกรธมาก และคิดว่าหญิงผู้นี้พูดจาโยกโย้น่ารำคาญ พระองค์เกลียดนางยิ่งนักเมื่อเห็นนางมีใบหน้าที่ประหลาด แต่ด้วยความที่อยากได้ว่าวของตนคืนจึงแกล้งทำดีกับนางไปอย่างนั้นเอง
เจ้าชายสัญญาจะให้รางวัลแก่นางอย่างงาม เพื่อแลกเปลี่ยนกับว่าวตัวโปรดของพระองค์ แต่แก้วปฏิเสธ ที่จะรับสิ่งใด ๆ นางต้องการให้เจ้าชายอภิเษกสมรสกับนาง แล้วนำนางไปอยู่ในวังด้วย โดยที่ไม่ทรงคิดจริงจัง เจ้าชายก็ตกลงตามความต้องการของนาง เพียงเพื่อจะให้ได้ว่าวกลับคืนมาเท่านั้น หลังจากได้ว่าวแล้วเจ้าชายปิ่นทองก็หายเงียบไปโดยไม่รักษาสัญญาที่ให้ไว้กับนาง แก้วรอเจ้าชายเป็นเวลาหลายวันแต่ก็ไม่เห็นเงาของพระองค์ ดังนั้นนางจึงอ้อนวอนให้บิดามารดาของนางไปเข้าเฝ้าพระราชา และทูลถามพระองค์เกี่ยวกับสัญญาที่พระโอรสของพระองค์ให้ไว้กับนาง
แรกที่เดียว สองสามีภรรยาก็บอกให้ลูกสาวของตนเสงี่ยมเจียมตัว แต่แก้วก็ล้มป่วยลงเพราะไม่ยอมกินอะไร บิดามารดาของนางกลัวลูกสาวจะอดข้าวตาย จึงต้องไปกราบทูลให้พระราชาทรงทราบ ซึ่งก็ทำให้พระองค์ทรงพิโรธในทันทีที่ได้ทราบเรื่อง อย่างไรก็ตามพระราชินีทรงมีเมตตาต่อพวกเขา และสัญญาว่าจะถามพระโอรสเกี่ยวกับคำสัญญาส่งเดชนี้ให้ หลังจากได้รับการกราบทูลให้ทรงทราบเรื่องราวทั้งหมดจากพระโอรสของนางแล้ว พระราชินีก็รับสั่งให้เจ้าชายรักษาคำพูด และดังนั้นจึงส่งนางกำนัลให้ไปรับแก้วเข้าวัง แต่แก้วปฏิเสธที่จะมาเพราะว่านางต้องการนั่งวอทอง ที่ใช้โดยพระบรมวงศ์ของกษัตริย์ หลังจากได้ในสิ่งที่ตนปรารถนา แล้วแก้วก็มาอยู่ในวัง ซึ่งก็ไม่ได้ให้ความสุขดังที่ตนคาดหวังไว้ เพราะเจ้าชายไม่เคยขอนางแต่งงาน
วันหนึ่ง พระเจ้าภูวลดรับสั่งให้แก้วเข้าเฝ้าและทรงตั้งเงื่อนไขว่า ถ้าหากนางสามารถนำภูเขาพระสุเมรุมาประพระราชอุทยานได้ และแล้วพระองค์ก็จะจัดพิธีอภิเษกสมรสให้นางกับเจ้าชายปิ่นทอง แต่ว่าถ้าหากไม่สามารถปฏิบัติตามได้ นางก็จะได้รับโทษประหารชีวิต ด้วยความดีใจอย่างยิ่งแก้วตอบตกลงโดยไม่ทันคิดให้รอบคอบ และออกเดินทางไกลเพื่อหาเขาพระสุเมรุถึงแม้ว่านางจะเดินผ่านมาหลายดงพงไพร ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ร้ายมากมาย แก้วก็ยังไม่เห็นแม้แต่เขาที่ว่านั้น ด้วยความอิดโรยจากการเดินทางที่แสนจะลำบากแก้วล้มลงกับพื้นและหมดสติไป
หลังจากฟื้นคืนสตินางก็ได้พบพระฤๅษีผู้ซึ่งรู้สึกสงสารนาง เพราะนางไร้เดียงสาเกินไปที่จะล่วงรู้ถึงกลลวงได้พระฤๅษีจึงตัดสินใจช่วยนาง และด้วยอำนาจเวทมนต์วิเศษของตน ตอนนี้แก้วก็สามารถถอดหน้ากากม้าออกได้ และปรากฏเป็นสาวสวยเมื่อไรก็ได้ พระฤๅษียังได้มอบหนังสือซึ่งสามารถกลายเป็นเรือเหาะหรืองูก็ได้และไม้เท้าซึ่งสามารถแปลงเป็นมีดวิเศษได้ และแล้วพระฤๅษีก็บอกให้นางนำมาเพียงก้อนหินเล็ก ๆ ก้อนหนึ่ง จากภูเขาพระสุเมรุแล้วนำไปวางไว้ในพระราชอุทยานเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว เพราะราชาไม่ได้เอ่ยถึงภูเขาทั้งลูก หลังจากวางก้อนหินก้อนเล็ก ๆ ก้อนหนึ่งในพระราชอุทยานแล้ว แก้วก็กราบทูลให้พระราชาทรงทราบ พระราชาก็ได้แต่เงียบขรึม เมื่อทรงทราบความจริงแล้ว พระราชินีก็รับสั่งให้จัดพิธีอภิเษกสมรสตามสัญญาที่ให้ไว้กับแก้ว ซึ่งก็สร้างความไม่พอพระทัยให้กับพระราชาและเจ้าชายอย่างยิ่ง
ต่อมาภายหลัง พระราชาก็ทรงดำริถึงแผนการอื่นที่จะกำจัดแก้ว พระองค์จึงส่งพระราชสาสน์ไปยัง พระเจ้าพรหมทัตกษัตริย์ผู้ครองเมืองโรมวิถี เพื่อขอพระธิดาของพระองค์ ซึ่งพระนามว่า ทัสมาลี ให้เจ้าชายปิ่นทอง พระเจ้าพรหมทัตตอบตกลง และกำหนดวันสำหรับโอกาสอันเป็นมงคล เมื่อเจ้าชายปิ่นทองเตรียมเดินทางออกจากเมืองโดยเรือ แก้วก็มาแสดงความไม่พอใจต่อพระองค์ และตำหนิพระองค์ว่าไม่มีความซื่อสัตว์ต่อนาง เจ้าชายโกรธมากและสั่งให้แก้วมีโอรสให้ตนให้ได้พระองค์ต้องการเห็นโอรสของพระองค์เมื่อเสด็จกลับมา และถ้าหากแก้วมีโอรสให้พระองค์ไม่ได้นางก็จะถูกประหารชีวิต แก้วเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตนจะมีโอรสให้เจ้าชาย โดยไม่มีการหลับนอนกันเลยได้อย่างไร
ถึงแม้ว่าจะรู้สึกสิ้นหวังแต่ก็มีจิตใจแน่แน่วที่จะแก้เผ็ดเจ้าชายให้จงได้ เพื่อรับคำท้าของเจ้านาย นางออกจากเมืองและไปยังเมืองโรมวิถีโดยอาศัยเรือเหาะของตน หลังจากถอดหน้ากากหน้าม้าออกแล้ว แก้วก็ไปอาศัยอยู่กับตายายใกล้แม่น้ำนอกเมือง วันหนึ่งในขณะอาบน้ำอยู่ในแม่น้ำ เจ้าชายปิ่นทองก็ได้มาพบนางเข้าและหลงใหลในความงามของนางในขณะที่ชายาใหม่ของพระองค์กำลังบรรทมอยู่นั้น เจ้าชายก็แอบออกมาจากวังและแต่งกายเป็นชาวบ้านมาเกี๊ยวพาราสีแก้ว ผู้ซึ่งก็พร้อมจะเป็นชายาของพระองค์อยู่แล้วเพราะต้องการมีลูกกับพระองค์ ทั้งคู่อยู่ด้วยกันจนกระทั่งแก้วตั้งครรภ์ ก่อนที่จะจากไปเจ้าชาย ได้มอบแหวนให้นางไว้แล้วเสด็จกลับเมืองมิถิลาโดยไม่ได้นำเจ้าหญิงทัสมาลีไปด้วย
หลังจากคลอดบุตรชายแล้ว แก้วก็ผูกแหวนไว้กับแขนของลูกน้อยแล้วส่งไปอยู่กับพระฤๅษีซึ่งเคยช่วยเหลือตน พระฤๅษีเข้าฌานดูก็รู้ว่าเจ้าชายปิ่นทองกำลังอยู่ในอันตราย เพราะว่าถูกล้อมโดยกองทัพยักษ์นำ โดยพญายักษ์ชื่อว่า พาละราช แล้วพระฤๅษีก็แปลงแก้วให้เป็นชาย และสั่งให้นางไปช่วยเจ้าชายในทันที แก้วสามารถฆ่ายักษ์ได้สำเร็จแล้วยึดเมืองไว้ได้ พระมเหสีของพญายักษ์จึงยกธิดาผู้เลอโฉมทั้งสองพระองค์ นามว่า สร้อยสุวรรณและจันทร์สุดาตามลำดับให้กับเจ้าชายปิ่นทอง แต่เจ้าชายปฏิเสธที่จะรับเพราะตนไม่ใช่ผู้ ที่ชนะศึก ดังนั้นองค์หญิงทั้งสองพระองค์จึงควรตกเป็นชายาของแก้วผู้ซึ่งรับไว้โดยไม่รีรอ
แล้วแก้วก็บอกให้เจ้าชายปิ่นทองอยู่ในเมืองยักษ์ไปสักระยะหนึ่งก่อน ในขณะที่นางนำธิดาของยักษ์ ไปยังกระท่อมชองพระฤๅษี และบอกเรื่องราวทั้งหมดให้ทั้งสองฟัง หลังจากบอกเจ้าหญิงทั้งสองว่าตนเป็นใครแล้ว แก้วก็นำเจ้าหญิงทั้งสองไปพบเจ้าชายปิ่นทองและมอบให้เป็นชายาของเจ้าชายและแล้วแก้วก็กลับมาหาลูกที่ศาลาพระฤๅษี
หลังจากอยู่ในเมืองยักษ์มาระยะหนึ่ง เจ้าชายก็พาชายาทั้งสองกลับไปยังเมืองของพระองค์ และต้องประหลาดพระทัยที่ต้องเผชิญหน้ากับแก้ว ผู้ซึ่งนำพระโอรสของพระองค์มาถวาย แรกทีเดียวก็ไม่ทรงเชื่อ แต่แหวนที่ข้อมือของกุมารทำให้พระองค์ต้องเชื่อและรับกุมารเป็นโอรสของพระองค์ แล้วเจ้าชายก็ตั้งชื่อพระโอรสว่า “ ปิ่นแก้ว”
เวลาต่อมาเจ้าหญิงทัสมาลีเกิดคิดถึงเจ้าชายปิ่นทอง ดั้งนั้นจึงตามมาพบพระองค์แต่ก็ต้องเจ็บใจที่พบว่า เจ้าชายแสดงความรักต่อสร้อยสุวรรณและจันทร์สุดามากกว่าตน นางจึงจำใจกลับเมืองของตนด้วยความผิดหวังและเคียดแค้น
เมืองมิถิลามีความสงบสุขมานาน จนกระทั่งพระธิดาแฝดทั้งสามอายุวัยรุ่นและก็มีเหตุการณ์อื่นเกิดขึ้นอีก ในขณะที่พระธิดาวัยรุ่นทั้งสามพระองค์กำลังพักผ่อนอิริยาบถอยู่ในพระราชอุทยาน ก็มีนกหัสดีลิงค์บินมา โฉบเอาทั้งสามพระองค์ไปด้วยนึกว่าเป็นเหยื่อ แต่ก่อนที่พระธิดาทั้งสามจะถูกนกยักษ์กลืนลงคอ พระฤๅษีซึ่ง อาศัยอยู่บริเวณนั้นก็ออกมาช่วยไว้ทันและมีความสงสารในพระธิดาทั้งสามอย่างมาก จึงช่วยสั่งสอนวิชาอาคมให้จนเก่ง
ในเวลานั้น มีเมืองอยู่เมืองหนึ่งชื่อว่า เมืองโรมจักร ปกครองโดยท้าวทศมิตร ท้าวเธอมีโอรสวัยรุ่น 3 องค์คือ ทินกร ศรนรินทร์ และสินนรา ตามลำดับวันหนึ่งในขณะที่เจ้าชายทั้งสามประพาสไปทางทะเลเรือของทั้งสามพระองค์ถูกพายุใหญ่พัดจมลง โชคดีที่พญานาคใจบุญมาช่วยไว้ และให้พิษใส่ไว้ในกายของทั้งสาม เพื่อใช้ป้องกันตัวเมื่อเผชิญกับอันตราย แล้วเจ้าชายทั้งสามก็กราบลาพญานาค และขอบคุณสำหรับความเมตตาแล้วก็ออกเดินทางผ่านป่าดงพงไพร่ต่อไป
ในขณะเดียวกัน หลังจากที่ได้สั่งสอนวิชาอาคมให้เจ้าหญิงทั้งสามแล้ว พระฤๅษีทั้งสามแล้ว พระฤๅษี ก็ตัดสินใจหาสามีที่เหมาะสมให้กับนางทั้งสามแล้ว ท่านฤๅษีก็ประกาศว่าผู้ใดที่สามารถเอาชนะเจ้าหญิงองค์ใดได้ ก็จะได้เป็นพระสวามีของเจ้าหญิงพระองค์นั้น ผู้ที่เข้าแข่งขันซึ่งรวมถึงมนุษย์และไม่ใช่มนุษย์ก็ไม่สาเอาชนะองค์หญิงได้ เมื่อเจ้าชายทั้งสามได้ข่าวการแข่งขันก็ได้เข้าร่วมด้วยผลปรากฏว่าเจ้าชายทั้งสามมีฝีมือเท่ากับเจ้าหญิงทั้งสาม เนื่องจากไม่มีผู้แพ้และผู้ชนะในการต่อสู้กัน พระฤๅษีคิดว่าทั้งหมดเป็นเนื้อคู่กัน
ในเวลาเดียวกันนั้น เจ้าหญิงทัสมาลีก็ประสูติพระโอรสพระนามว่า เจ้าชายปิ่นศิลป์ไชย ผู้ซึ่งถูกส่งไป ศึกษาวิชาอาคมกับอาจารย์ในเมืองของตน เมื่อโอรสของพระนางเจริญวัยแล้วเจ้าหญิงทัสมาลีก็คิดถึงเจ้าชายปิ่นทองขึ้นมา จึงให้อาจารย์ทำเสน่ห์ให้เพื่อทำให้เจ้าชายหลงรักมากจนกระทั่งไม่สามารถจะอยู่อย่างสงบได้ เจ้าชายจึงขโมยเรือเหาะ มีดวิเศษและหน้ากากม้าจากแก้วแล้วมุ่งหน้าสู่เมืองโรมวิถี
เมื่อรู้ความจริง แก้วก็ยกทัพไปยังเมืองโรมวิถีและต้องการตัวเจ้าชายปิ่นทองกลับ แต่เจ้าหญิงทัสมาลีปฏิเสธ และส่งโอรสของนางไปสู้กับแก้ว ในช่วงแรกแก้วได้เปรียบ แต่เจ้าชายปิ่นศิลป์ไชยขอให้อาจารย์ของ ตนช่วย และคราวนี้แก้วแพ้และถูกจับตัว เพื่อช่วยเหลือแก้วพระเจ้าภูดลจึงส่งเจ้าชายปิ่นแก้วไปช่วยมารดาของเจ้าชายเอง ในขณะออกเดินทางไปช่วยมารดาเจ้าชายปิ่นแก้วก็ได้พบกับเจ้าชายทั้งสามผู้ซึ่งความจริงเป็นน้อง เขยของพระองค์เอง แต่เนื่องจากทั้งสามไม่รู้จักเจ้าชายปิ่นแก้ว จึงเกิดสู้รบกันขึ้นแต่ก็ไม่สามารถเอาชนะเจ้าชายปิ่นแก้วได้ ทั้งสามจึงกลับไปบอกภรรยาของตนผู้ซึ่งต่อมารู้ว่าศัตรูที่ว่านั้น คือ พระเชษฐาของพวกตน หลังจากทราบข่าวเกี่ยวกับมารดาของพวกตน เจ้าหญิงทั้งสามพร้อมทั้งพระสวามีจึงร่วมมือกับเจ้าชายปิ่นแก้วทำสงครามกับเมืองโรมวิถี
หลังจากสงครามสงบลง หมอทำเสน่ห์ถูกจับตัวได้และสารภาพผิด ในขณะที่เจ้าชายปิ่นศิลป์ไชยหนี ไปได้ เจ้าหญิงทัสมาลีเองก็จะต้องโทษประหาร ถ้าหากว่าพระบิดาของนางไม่ขอร้อง พระเมตตาจากเจ้าชาย ปิ่นทอง ในขณะเสด็จกลับเมืองมิถิลา เจ้าชายปิ่นแก้วก็ได้พบกับเจ้าชายปิ่นศิลป์ไชยผู้ซึ่งถูกทหารของตนล้อมอยู่ เจ้าชายปิ่นแก้วจึงบอกให้ยอมมอบตัวและลืมเรื่องในอดีตเสีย เพราะต่างก็เป็นพี่น้องกัน เจ้าชายปิ่นศิลป์ไชย จึงขอให้พระเชษฐาอภัยโทษให้ แล้วก็ร่วมเดินทางไปยังเมืองของพระบิดา ทั้งหมดก็อยู่ในเมืองมิถีลาอย่างมีความสุข
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า คนเราไม่ควรจะดูแค่รูปร่างหน้าตาภายนอก ควรดูที่จิตใจของเขาเป็นสำคัญ
เพราะคนเรารู้หน้าไม่รู้ใจ
นางสาวอนุษรา หาญกุดตุ้ม
50010511045
เรื่องพระคุณแม่ทดแทนไม่รู้หมด
กาลครั้งหนึ่งไม่นานเท่าไหร่ ณ ต้นไม้ใหญ่ท้ายหมู่บ้าน มีเด็กชายคนหนึ่งเดินหงุดหงิดอยู่คนเดียว ปากก็บ่นไปว่า "ใช้อยู่ได้ วันๆใช้ทำโน่นทำนี่ เดี๋ยวให้ถูบ้าน เดี๋ยวให้ล้างจาน โอ้ย..เบื่อ ๆ ๆ "เดือดร้อนถึงเทพผู้ให้กำเนิด ซึ่งเป็นผู้จัดให้เด็กๆมาเกิดในหมู่บ้านนี้ จึงแปลงกายเป็นผู้เฒ่าและปรากฎตัวพร้อมกับหมาน้อยตัวหนึ่ง ผู้เฒ่าถามเด็กน้อยว่า " เด็กน้อยเจ้าบ่นอะไรอยู่เหรอ บอกเรามาเถอะเผื่อเราจะช่วยเจ้าได้ " เด็กน้อยตอบ " ก็แม่ของฉันนะสิ วันๆชอบใช้ให้ทำงานบ้าน ไม่เคยได้พัก ได้เล่นกับเพื่อนบ้างเลย "
ผู้เฒ่าหยิบก้อนอิฐขึ้นมาสองก้อน " เอ้า ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็มาเล่นกับเราสิ เรามาแข่งกันถืออิฐนี้ไว้คนละก้อน ใครถือได้นานกว่ากันคนนั้นชนะ "เด็กชายเห็นว่าเป็นเรื่องง่ายๆจึงตกลงเล่นด้วย เวลาผ่านไปไม่ถึงครึ่งชั่วโมง เด็กน้อยเริ่มเมื่อยล้า และเบื่อจึงบ่น และขอยอมแพ้ ผู้เฒ่าก็พูดต่อว่า " งั้นเจ้าเล่นกับลูกสุนัขตัวนี้ไหมหละ แต่ก่อนอื่นเจ้าต้องป้อนนมให้ลูกสุนัขตัวนี้ก่อนนะ "เด็กน้อยตอบว่าก็ได้ แล้วเริ่มป้อนนมให้ลูกสุนัข ไม่นานลูกสุนัขก็ซนและไม่ยอมอยู่นิ่งเด็กน้อยก็เบื่อ แล้วก็บ่นพาลไม่ป้อนนมต่อ..
ผู้เฒ่าจึงสอนว่า
"แม้แต่ก้อนอิฐ 1 ก้อนเจ้าก็ยกได้ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง เทียบไม่ได้กับแม่เจ้าซึ่งต้องอุ้มท้องเจ้าตลอดทั้งวันทั้งคืนนานถึง 9 เดือนก่อนจะคลอดเป็นเจ้าออกมา"
" แล้วยังต้องอดทนเลี้ยงเจ้าตั้งแต่เล็กจนโตขนาดนี้
ขณะที่เจ้าป้อนนมลูกหมาแค่มื้อเดียวก็เบื่อแล้ว "
" การเป็นแม่นั้นลำบากนัก ตั้งแต่อุ้มท้อง และเลี้ยงลูกจนกว่าจะโตการทดแทนบุญคุณด้วยการช่วยการงานเพียงเล็กน้อย ย่อมเทียบไม่ได้กับพระคุณแม่ที่เลี้ยงเรามา " เด็กน้อยได้ฟังแล้วจึงคิดได้ รีบวิ่งกลับไปหาแม่โดยไม่คิดบ่นอีกเลย..
ข้อคิดที่ได้จากนิทานเรื่องนี้
พระคุณแม่นั้นมากเหลือคณา จะตอนแทนเท่าไรก็ไม่หมด ดังนั้นนักเรียนทุกคนควรที่จะช่วยงานผู้ปกครองหรือผู้มีพระคุณต่อเราทุกครั้งเมื่อมีโอกาสหรือทุกๆครั้งที่ท่านเรียกใช้ เพื่อตอบแทนพระคุณท่านที่เลี้ยงดูและอบรมสั้งสอนเรามา
นางสาวลลิตา ราชวงษ์ 50010511071 GS
นางสาวนุชนภา คำผา รหัส 50010511020 Gs
สาขา วิทยาศาสตร์ทั่วไป คณะศึกษาศาสตร์
นิทาน เรื่อง บุตรคนรวยกับแม่ค้า
มีบุตรชายคนรวย 4 คน เป็นเพื่อนรักกัน คนรวยบ้านหนึ่งอยู่ทางด้านเหนือของเมือง คนรวยบ้านที่หนึ่ง อยู่ทางด้านใต้ของเมือง คนรวยบ้านที่สองอยู่ทางตะวันออก คนรวยบ้านที่สามอยู่ทางทิศเหนือ และคน รวยบ้านที่สี่อยู่ทางตะวันออก วันหนึ่ง โรงเรียนหยุดวันอาทิตย์ เด็กนักเรียนไม่ต้องไปโรงเรียน บุตรชายคนรวยทั้ง 4 บ้านนั้นได้ชวน กันไปเที่ยว ขณะที่เดินไปตามทาง
ลูกคนรวยบ้านแรก ซึ่งเป็นพ่อค้าเกิดคอแห้งหิวน้ำ จึงแวะซื้อมะพร้าว อ่อนจากแม่ค้า เพื่อจะดื่มกินน้ำมะพร้าวแก้คอแห้งหิวน้ำ แต่เขาเป็นคนเย่อหยิ่ง จึงโยนเงินให้แม่ค้า และบอกว่า
"เอ้า นี่แน่ะเงินค่ามะพร้าว เงินแค่นี้ได้มะพร้าวอ่อนกี่ลูกล่ะยะ ยายแม่ค้ากระจอกๆ งอก ง่อย" แม่ค้านึกติเตียนในใจ แล้วหยิบมะพร้าวอ่อนให้เพียงลูกเดียว และเป็นมะพร้าวแก่ๆ ขายเหลือค้างมาตั้งแต่วันก่อน นางนึกในใจว่า "คนไม่ค่อยดีก็ขายของไม่ค่อยดีให้" แม่ค้านึกอยู่ในใจอีกต่อไป "นี่ถ้าเป็นแม่ค้าปากจัดเขาด่าแม่คนซื้อแล้วนะ ที่มาว่าเป็นแม่ค้ากระจอกงอกง่อยแบบนี้น่ะ จึงช่วยเจาะมะพร้าวด้านหัวให้ด้วย เพื่อเขาจะได้ดื่มน้ำได้ ในเดี๋ยวนั้น
บุตรคนรวยอีกคนหนึ่ง ก็อยากดื่มกินน้ำมะพร้าวอ่อนบ้าง จึงวางเงินให้แม่ค้า และพูดอย่าง ธรรมดาๆ ว่า "ซื้อมะพร้าวจ้ะ" แม่ค้ามองหน้าผู้พูดแวบหนึ่ง และนึกในใจว่า "เออ คนนี้วาจากิริยาค่อย ดีหน่อย เราก็ขายของดีพอควรให้" แล้วนางก็เจาะมะพร้าวอ่อนๆ ตามควรให้เขา
บุตรคนรวยคนที่ 3 วางเงินให้แม่ค้า แล้วพูดดีด้วยว่า "แม่ค้าจ๋า ฉันหิวจ้ะคอแห้งด้วย ก็อยากกินทั้งน้ำและเนื้อมะพร้าวจ้ะ" "วุ้ย พ่อคนนี้พูดเพราะน่าฟังดี" นางนึกชมเชยว่า นัยน์ตามองหน้าค่อนข้างขี้เหร่อของเด็กชาย "ถึงจะ หน้าตากระเดียดไปทางตุ๊กแก แต่ก็จัดได้ว่าอยู่ในแบบดำแต่นอก ในแผ้วผ่องเนื้อนพคุณ" แล้วนางก็ หยิบมะพร้าวอ่อนเจาะให้เขา 4 ผล โดยเลือกมะพร้าวใหม่ๆ เพิ่งเก็บจากต้นให้เขา
บุตรคนรวยที่4 "แม่ค้าจ๋า ฉันอยาก รับประทานมะพร้าวจ้ะ แต่วันนี้ฉันลืมหยิบเงินมาด้วยจ้ะ ฉันขอรับประทานก่อนได้ไหมจ้ะ แล้วแม่ค้า ค่อยไปเก็บเงินค่ามะพร้าวที่บ้านฉันได้ไหมจ๊ะที่บอกทางให้" เขาไม่ยอมขอยืมเงินเพื่อนๆ เพราะพ่อเตือนเขาไว้ว่า "การขอยืมเงินเพื่อนเท่ากับเป็นการโกรธกับเพื่อน" แม้ค้านึกชอบใจมาก ที่ลูกคนรวยคนนี้พูดอ่อนโยนดี รูปร่างหน้าตาก็งดงามน่าเอ็นดูแท้ๆ ทำให้ นางนึกรักนึกเอ็นดูเหมือนเป็นลูกหลานของตนเอง นางจึงเลือกมะพร้าวน้ำหอมอย่างดีที่หนึ่ง ให้เขา รับประทานและบอกว่า "มะพร้าวผลนี้ แม่ค้าแถมฟรีให้คุณค่ะ เพราะเพื่อนๆ ของคุณซื้อมะพร้าวของ แม่ค้าไปมากแล้ว แล้วก็มะพร้าวผลนี้นะ เป็นมะพร้าวน้ำหอมรสดีที่หนึ่งนะคะ"
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
1.สำเนียงส่อภาษา กิริยาส่อสกุล
2.การพูดจาดีทำให้เราได้แต่สิ่งดีๆๆ
นางสาวลินดา หาฝ่ายเหนือ
รหัส 50010511029 Gs
สาขา วิทยาศาสตร์ทั่วไป คณะศึกษาศาสตร์
นิทานเรื่อง ใครโง่กว่า
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีชายสองคนพี่น้อง คนพี่ชื่อดำ คนน้องชื่อแดง นายดำกับนายแดงสองพี่น้องนี้ มีนิสัยและความประพฤติไม่เหมือนกัน คือนายดำคนพี่เป็นคนขยันทำมาหากิน และเงินทองที่หามาได้ก็รู้จักใช้จ่ายกระเหม็ดแหม่จนมีเงินมีทองเก็บไว้พอสมควร ส่วนนายแดงนั้นเป็นคนเกียจคร้าน ไม่เอาใจใส่ต่อการทำงาน ชอบแต่งตัวฉุยฉาย ได้เงินมาก็ใช้จ่ายสุรุยสุร่าย ไม่ค่อยมีเงินมีทองเก็บหอมรอมริบ คอยแต่เบียดเบียนนายดำผู้พี่ตลอดมา ยิ่งไปกว่านั้น ถ้านายดำเผลอเมื่อไร เป็นอันต้องถูกนายแดงขโมยเงินเสมอ ไม่ว่านายดำจะซุกซ่อนเงินไว้ที่ตรงไหน
อยู่มาวันหนึ่งนายดำมีเงินอยู่ประมาณสักหนึ่งพันบาทซึ่งเป็นเงินที่เก็บหอมรอมริบมาได้ แต่วันนี้นายดำต้องออกไปทำธุระนอกบ้าน จึงคิดหาวิธีที่จะซ่อนเงินหนึ่งพันบาทไว้ให้มิดชิดที่สุด คิดอยู่นานก็หาที่ซ่อนไม่ได้ จึงเกรงว่านายแดงจะมาขโมยในที่สุดก็ตัดสินใจขุดหลุมฝังซ่อนไว้ดีกว่า จึงลงจากเรือนคว้าจอบใส่บ่าเดินออกหลังบ้าน แล้วขุดเอาเงินห่อกระดาษใส่ลงก้นหลุม เอาดินกลบแล้วดูความเรียบร้อยดูไปดูมา นายดำก็คิดว่า "นี่ถ้านายแดงมาเห็นรอยเรากลบหลุมไว้อย่างนี้ มันคงต้องรู้ว่าเราฝังเงินเอาไว้แน่" พลันความคิดของนายดำก็เกิดขึ้นว่าเอาอย่างนี้ดีกว่า คือเราเขียนป้ายปักไว้ที่หลุมนี้ว่า "เงินหนึ่งพันบาทของนายดำไม่ได้อยู่ในหลุมนี้" คิดแล้วนายดำก็จัดการเขียนป้ายดังกล่าวมาปักไว้ที่หลุม เสร็จแล้วก็แบกจอบกลับบ้านจัดแจงแต่งตัวออกจากบ้านไป
ฝ่ายนายแดงหลังจากเที่ยวเตร็ดเตร่อยู่หลายวัน จนเงินหมดก็กลับบ้าน ไม่พบพี่ชายก็ได้โอกาสเหมาะเที่ยวค้นหาเงิน เชื่อว่าพี่ชายจะต้องซุกซ่อนไว้ที่ไหนสักแห่งหนึ่งแน่นอน ค้นหาบนบ้านอยู่พักใหญ่ก็ไม่พบองเดินลงจากเรือนไปเที่ยวค้นตามหลับบ้าน ก็พบป้ายหนึ่งเขียนไว้ว่า "เงินหนึ่งพันบาทของนายดำไม่ได้อยู่ในหลุมนี้"
เมื่อนายแดงอ่านป้ายดูก็เกิดความสงสัยว่า เมื่อไม่มีเงินแล้วจะเขียนป้ายบอกไว้ทำไม จึงลงมือขุดดู ก็พบเงินที่ซ่อนไว้หนึ่งพันบาท แล้วจัดการเก็บเงินนั้นไปเมื่อได้เงินไปแล้ว นายแดงเกิดนึกขึ้นได้ว่า ถ้าพี่ชายกลับมาเห็นเงินในหลุมหายไปก็คงโทษเราแน่ อย่ากระนั้นเลย เราเขียนป้ายปักไว้ดีกว่า เมื่อพี่ชายมาเห็นจะได้คิดว่าเราไม่ได้เอาไป คิดดังนั้นแล้วนายแดงก็จัดการเขียนป้ายมาปักไว้ที่หลุมว่า "เงินหนึ่งพันบาทในหลุมนี้ นายแดงไม่ได้เอาไป"
ข้อคิดที่ได้จากเรื่อง
1.คนโง่ย่อมตกเป็นเหงื่อของคนฉลาด
2.ก่อนทำอะไรต้องคิดให้รอบคอบ
นิทานพื้นบ้าน เรื่อง "หมาขนคำ"
(กาลครั้งหนึ่ง...นานมาก ๆ) มีนายพรานคนหนึ่งได้เลี้ยงหมาตัวเมียไว้หนึ่งตัว ในย่านนั้นไม่มีหมาตัวผู้อยู่เลย วันหนึ่งแม่หมาเกิดตั้งท้องขึ้นมา นายพรานเกรงจะถูกชาวบ้านครหาว่ามีเมียเป็นหมา จึงคิดจะกำจัดแม่หมา บ้านของนายพรานอยู่ในย่านบ้านเหล่าปลดริมป่า คือบ้านเสาสูงแบบเรือนต้นไม้ ราวบันไดปลดเก็บขึ้นไว้บนเรือนเพื่อป้องกันมิให้สัตว์ร้ายขึ้นเรือนไปทำร้ายชีวิตคนบนบ้านได้ เย็นวันหนึ่ง นายพรานปลดบันไดบ้านเก็บไว้บนบ้านโดยทิ้งแม่หมาไว้ข้างล่าง โดยหวังที่จะให้เสือมาคาบแม่หมาเอาไปกิน แม่หมาก็วิ่งหนีไปถึงดอยผาสามเส้าริมดอยวัดม่วงคำ แล้วคลอดลูกแฝดเป็นเด็กสาวน่ารักสองคน แม่หมาก็ไปหาอาหารมาเลี้ยงลูกน้อย และคาบเสื้อผ้าที่ชาวบ้านตากไว้บนราวตากผ้านำไปให้ลูกสาวสวมใส่ ลูกสาวฝาแฝดโตเป็นสาว คนพี่ชื่อ นางเจตะกา คนน้องชื่อนางบัวตอง กิตติศัพท์ความงามของหญิงสาวทั้งสองกระฉ่อนไปถึงในเมือง
เมื่อพระยาเจ้าเมืองทราบข่าว ปรารถนาจะได้ธิดาแฝดไปเป็นมเหสีซ้ายขวา ขบวนวอทองก็ไปรับสองธิดาแฝดที่ดอยผาสามเส้าขณะที่แม่หมาไม่อยู่ ธิดาแฝดบัวตองผู้น้องแสดงความเสียใจร้องไห้คร่ำครวญถึงแม่หมา ส่วนผู้พี่มีทีท่าตื่นเต้นที่มีวาสนาจะได้เข้าไปอยู่ในวัง พระยาเจ้าเมืองได้สร้างปราสาทสองหลังให้นางเจตะกาและนางบัวตองอยู่คนละหลัง
ฝ่ายแม่หมาเมื่อกลับมาถึงผาสามเส้าก็พบว่าลูกสาวหายไป แม่หมาก็เห่าหอนและตะกุยหน้าผาจนเป็นรอยคล้ายเล็บเท้าฝังในเนื้อหินผาที่ชาวบ้านเรียกว่ารอยตีนหมาขนคำร้องไห้หาลูกสาว มาจนทุกวันนี้
พระอินทร์เวทนาแม่หมาจึงเนรมิตให้แม่หมาพูดได้ แม่หมาจึงเดินทางติดตามหาลูกสาวถึงในเมือง แม่หมาได้ถามไถ่ชาวบ้านมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งมาถึงปราสาทของนางเจตะกา ทหารได้ซักถามแม่หมาว่ารู้จักและเกี่ยวข้องกับนางเจตะกาอย่างไร แม่หมาก็บอกว่านางเจตะกาเคยเป็นนายเก่ามาก่อน ครั้นเมื่อทหารนำความมาแจ้งแก่นางเจตะกา นางเจตะกากลัวว่าจะอับอายที่มีแม่เป็นหมา จึงสั่งให้ทหารทำร้ายแม่หมาจนได้รับบาดเจ็บวิ่งหนีไป
แม่หมาได้รับบาดเจ็บก็วิ่งมาถึงปราสาทนางบัวตอง นางบัวตองรีบวิ่งมารับแม่หมานำเข้าไปในปราสาทเพื่อเยียวยารักษา ให้ข้าวให้น้ำแก่แม่หมา นางบัวตองได้ทูลขอหีบขนาดใหญ่จากสวามีโดยบอกว่าจะเอาไปขนสมบัติที่ผาสามเส้าภายในกำหนดเวลาเจ็ดวัน แต่ในความเป็นจริงแล้ว นางบัวตองได้นำหีบไว้เป็นที่ซ่อนของแม่หมาในวัง เมื่อครบเจ็ดวันแล้ว แม่หมาทนพิษบาดแผลไม่ไหวก็สิ้นใจตาย พระอินทร์ได้เนรมิตร่างแม่หมาให้กลายเป็นแก้วแหวนเงินทอง เมื่อพระยาเจ้าเมืองพบว่ามีแก้วแหวนเงินทองเต็มหีบ พระองค์ก็โปรดปรานนางบัวตองเป็นอันมาก พระองค์ก็ให้นางบัวตองไปขนสมบัติที่ผาสามเส้าอีกครั้งหนึ่ง นางบัวตองมีความเสียใจที่แม่หมาเสียชีวิต นางจึงคิดจะกระโดดหน้าผาฆ่าตัวตาย บริเวณข้างล่างของหน้าผาเป็นที่อยู่ของยักษ์ซึ่งป่วยเป็นฝีกลัดหนองเจ็บปวดมาก เมื่อนางบัวตองกระโดดลงไปกระทบกับร่างของยักษ์ทำให้ฝีแตก ยักษ์จึงหายปวดเป็นปลิดทิ้ง ยักษ์จึงมอบทรัพย์สมบัติให้นางบัวตองเป็นอันมาก นางบัวตองจึงนำสมบัติกลับวัง
ฝ่ายนางเจตะกา เมื่อทราบข่าวว่านางบัวตองไปขนสมบัติที่ผาสามเส้า นางก็รู้สึกอิจฉานางบัวตอง นางจึงอาสาพระยาเจ้าเมืองจะไปขนสมบัติที่ผาสามเส้า เมื่อไปถึงผาสามเส้านางเจตะกาก็กระโดดหน้าผาตามที่นางบัวตองแนะนำ ด้วยความที่นางเจตะกามีบาปหนาฆ่าแม่ของตัวเอง ยักษ์จึงจับนางเจตะกากินเป็นอาหาร แล้วยักษ์ก็ไล่กินขบวนช้างม้าตายเกลื่อนเป็นจำนวนมาก
ข้อคิดที่ได้จากนิทานเรื่องนี้
1.ความรักที่เเม่มีต่อลูก ซึ่งหาที่ใดเปรียบมิได้
2.โลภนัก... ลาบมักหาย
3.บาปกรรมมีจริง
นิทานพื้นบ้านเรื่อง พ่อเฒ่ากับลูกเขย
ในที่นาแห่งหนึ่ง มีลูกเขยและพ่อเฒ่าทำนากันอยู่สองคน พอถึงเวลาใกล้เที่ยงลูกเขยจึงบอกกับพ่อเฒ่าว่า จะไปหาปลามาทำอาหารเที่ยง แล้วปรากฎว่าลูกเขยหาปลาช่อนได้ตัวโตมาก จึงนำปลาไปต้ม เสร็จแล้วจึงไปเรียกพ่อเฒ่ามากินข้าว พ่อเฒ่าได้ยินจึงบอกว่าให้กินก่อนเลย โดยให้เหลือส่วนหัวเอาไว้ให้ ให้ลูกเขยกินแต่ส่วนหาง ลูกเขยได้ยินจึงไม่พอใจ แต่ก็ต้องทำตามทำตาม หลังจากนั้นพ่อเฒ่าจึงขึ้นมากินข้าวอย่างอร่อย
วันต่อมา ทั้งสองก็ไปทำนาเหมือนเดิม พอเวลาเที่ยงลูกเขยก็ไปหาปลามาต้มเป็นกับข้าว แล้วจึงไปเรียกพ่อเฒ่ามากิน พ่อเฒ่าก็บอกให้เหลือแต่ส่วนหัวไว้ให้เหมือนเดิม ลูกเขยก็ทำตาม แต่พอพ่อเฒ่าจะขึ้นมากินข้าวปรากฎว่าเหลือแต่ส่วนหัวจริงๆ เพราะปลาที่ลูกเขยหาได้ในวันนั้น คือ ปลาไหล
เมื่อพ่อเฒ่าเห็นเช่นนั้นก็ต่อว่าลูกเขย ส่วนทางลูกเขยก็แก้ตัวไปว่า ก็พ่อเฒ่าให้เอาส่วนหัวไว้ให้
.....จบ.....
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
ไม่ควรเอาเปรียบผู้อื่น เพราะจะทำให้มีแต่ผลเสียเกิดขึ้นแก่ตนและคนรอบข้าง
นางสาววลิดา โพติยะ
รหัส 50010511073
GS
ก่องข้าวน้อยฆ่าแม่
ครั้งหนึ่งเมื่อหลายร้อยปีมาแล้วที่บ้านตาดทอง ในฤดูฝนมีการเตรียมปักดำกล้าข้าวทุกครอบครัวจะออกไปไถนาเตรียมการเพราะปลูก ครอบครัวของชายหนุ่มคนหนึ่งกำพร้าพ่อ ไม่ปรากฏชื่อหลักฐาน ก็ออกไปปฏิบัติภารกิจเช่นเดียวกัน
วันหนึ่งเขาไถนาอยู่นานจนสาย ตะวันขึ้นสูงแล้วรู้สึกเหน็ดเหนื่อยอ่อนเพลียมากกว่าปกติ และหิวข้าวมากกว่าทุกวัน ปกติแล้วแม่ผู้ชราจะมาส่งก่องข้าวให้ทุกวัน แต่วันนี้กลับมาช้าผิดปกติ
เขาจึงหยุดไถนาเข้าพักผ่อนอยู่ใต้ต้นไม้ ปล่อยเจ้าทุยไปกินหญ้าสายตาเหม่อมองไปทางบ้าน รอคอยแม่ที่จะมาส่งข้าวตามเวลาที่ควรจะมา ด้วยความรู้สึกกระวนกระวายใจยิ่งสายตะวันขึ้นสูงแดดยิ่งร้อนความหิวกระหายยิ่งทวีคูณขึ้น
ทันใดนั้นเขามองเห็นแม่เดินเลียบมาตามคันนาพร้อมก่องข้าวน้อยๆ ห้อยต่องแต่งอยู่บนเสาแหรกคาน เขารู้สึกไม่พอใจที่แม่เอาก่องข้าวน้อยนั้นมาช้ามาก ด้วยความหิวกระหายจนตาลาย อารมณ์พลุ่งพล่าน เขาคิดว่าข้าวในก่องข้าวน้อยนั้นคงกินไม่อิ่มเป็นแน่ จึงเอ่ยต่อว่าแม่ของตนว่า
"อีแก่ มึงไปทำอะไรอยู่จึงมาส่งข้าวให้กูกินช้านัก
ก่องข้าวก็เอามาแต่ก่องน้อยๆ กูจะกินอิ่มหรือ?"
ผู้เป็นแม่เอ่ยปากตอบลูกว่า "ถึงก่องข้าวจะน้อยก็น้อยต้อนแต้นแน่นในดอกลูกเอ๋ย ลองกินเบิ่งก่อน"ความหิว ความเหน็ดเหนื่อย ความโมโห หูอื้อตาลาย ไม่ยอมฟังเสียงใดๆ เกิดบันดาลโทสะอย่างแรงกล้า คว้าได้ไม้แอกน้อยเข้าตีแม่ที่แก่ชราจนล้มลงแล้วก็เดินไปกินข้าว กินข้าวจนอิ่มแล้วแต่ข้าวยังไม่หมดกล่อง จึงรู้สึกผิดชอบชั่วดี รีบวิ่งไปดูอาการของแม่และเข้าสวมกอดแม่
อนิจจา แม่สิ้นใจไปเสียแล้ว..
ชายหนุ่มร้อยไห้โฮ สำนึกผิดที่ฆ่าแม่ของตนเองด้วยอารมณ์เพียงชั้ววูบ ไม่รู้จะทำประการใดดี จึงเข้ากราบ นมัสการสมภารวัดเล่าเรื่องให้ท่านฟังโดยละเอียด
สมภารสอนว่า "การฆ่าบิดามารดาผู้บังเกิดเกล้าของตนเองนั้นเป็นบาปหนัก เป็นมาตุฆาต ต้องตกนรกอเวจีตายแล้วไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดเป็นคนอีก มีทางเดียวจะให้บาปเบาลงได้ก็ด้วยการสร้างธาตุก่อกวมกระดูกแม่ไว้ ให้สูงเท่านกเขาเหิน จะได้เป็นการไถ่บาปหนักให้เป็นเบาลงได้บ้าง"
เมื่อชายหนุ่มปลงศพแม่แล้ว ขอร้องชักชวนญาติมิตรชาวบ้านช่วยกันปั้นอิฐก่อเป็นธาตุเจดีย์บรรจุอัฐิแม่ไว้ จึงให้ชื่อว่า "ธาตุก่องข้าวน้อยฆ่าแม่" จนตราบทุกวันนี้
ทุกวันนี้มีผู้มากราบธาตุก่องข้าวน้อยฯทุกวันเพื่อขอขมาลาโทษเหมือนเป็นการไถ่บาปที่ทำให้พ่อแม่เสียใจ บางคนเมื่อมีลูกแล้วถึงรู้ว่าบุญคุณแม่มากสุดเหลือคณานับ เพิ่งรู้ว่าเลี้ยงดูลูกนั้นยากหนักหนาขนาดไหน จึงมาสำนึกที่ทำให้แม่ต้องเสียใจ บ้างก็มากราบไหว้เพื่อรำลึกถึงบุญคุณแม่
ข้อคิดที่ได้จากเรื่อง:ทำดีกับพ่อแม่ยามเมื่อท่านยังมีชีวิตอยู่ดีว่า สำนึกได้เมื่อท่านจากไป
นางสาวจิราภรณ์ ศรีไชย รหัส 50010511009 GS
ชายพิการ
กิระ...ดังได้ยินมา.....โดนเติบ...แล้ว.....มีชายพิการคนหนึ่ง...เป็นคนขาพิการ..ทำมาหากิน...และเลี้ยงพ่อแม่ด้วย...ด้วยการใช้นิ้วดีดก้อนหินเล็กๆใส่ใบไม้เป็นรูปร่างสัตว์ต่างๆให้คนดู..ผู้คนทั้งหลายได้ดูแล้วก็เกิดความพอใจ...จึงให้เงินและอาหารเป็นรางวัล...แก่ชายพิการ....ผู้คนในเมืองนั้นชื่นชอบชายพิการมากๆ...ชายพิการจึงเป็นขวัญใจของคนทั้งเมือง...วันหนึ่งพระราชาเสร็จออกเที่ยวไปทั่วเมือง...ได้ทอดพระเนตรต้นไม้...เห็นมีรูป...ลิง....ช้าง...บ่าง....ชะนี......เสือ....เป็นต้น...จึงถามอำมาตย์ว่า
พระราชา....ใครเป็นคนทำ
อำมาตย์.....เป็นชายพิการคนหนึ่ง พระเจ้าข้า
พระราชาคิดว่า "ถ้าเรานำชายพิการไปชุบเลี้ยง เสี้ยนหนามในหัวใจของเราคงได้รับการแก้ไขและหมดไปในที่สุด" จึงตรัสกำอำมาตย์ว่า
พระราชา....ขอท่านได้โปรดไปตามชายพิการให้มาพบเรา
อำมาตย์....ข้าแต่พระองค์จะมีประโยชน์อันใดที่มหาบพิตรจะสนธนาด้วย พระเจ้าข้า
พระราชา...ขอเพียงเราสนธนาสักสองสามคำ
อำมาตย์...เมื่อเป็นพระประสงค์...ข้าพระพุทธเจ้าจะไปตามให้..จนพบชายพิการ
พระราชา...เป็นเจ้าทำให้ใบไม้นี้สวยงามยิ่งนัก
ชายพิการ...พระเจ้าข้า
พระราชา....เจ้าประสงค์จะไปอยู่ในวงกับเราหรือไม่
ชายพิการ...ข้าพระพุทธเจ้าไม่ขัดข้อง...แต่ติดอยู่ที่พ่อกับแม่แก่ชราต้องเลี้ยงดู
พระราชา....ชายพิการนี้..มีความสามารถและยังกตัญญูยิ่งนัก.จึงตรัสกับชายพิการว่า "เราอนุญาตให้พ่อกับแม่ของเจ้าไปอยู่ด้วย"..เจ้าจะไปหรือไม่
ชายพิการ....เป็นพระกรุณายิ่ง
ตั้งแต่วันนั้น...ชายพิการก็มีชีวิตเปลี่ยนไป..เขาอยู่กับพ่อแม่อย่างมีความสุข..แต่ตัวเขาไม่เข้าใจว่าพระราชาให้เขามาอยู่เพื่ออะไร....หลายวันต่อมา..พระราชาก็ได้เรียกชายพิการเข้าเฝ้า...
พระราชา....นี่เป็นท้องพระโรงของเรา.. เราจะประชุมอำมาตย์และขุนนางทั้งหลายทุกๆเจ็ดวัน....ที่เรียกเจ้ามาที่นี่..เพราะว่าเรามีเรื่องหนักอกหนักใจเรามานานแล้ว..เหมือนมีหอกทิ่มเข้าไปในใจเรา...มีมหาอำมาตย์ที่พูดมากท่านหนึ่ง...มีอิทธพลมากหนัก..พูดมาก....แถมยังมีคนเชื่อถือมากกว่าเราอีก...บางครั้งเราพูดยังสู้เขาไม่ได้..เราจะบริหารบ้านเมืองอย่างไร...มหาอำมาตย์นี่ก็ค้านอยู่เรือย...จำเราจะต้องใช้วิธีนี่
ตรัสแล้ว...พระราชาก็ให้ชายพิการนั่งในที่อันควร...แล้วใช้ม่านบังชายพิการไว้...โดยให้อยู่ด้านหลังของพระราชา...พร้อมกับตรัสว่า
พระราชา...นี่เป็นขี้แพะหนึ่งทะนาน..เมื่อมหาอำมาตย์อ้าปากจะพูดขอเจ้าดีดขขี้แพะเข้าในปาก..เพื่อไม่ให้..มหาอำมาต์พูดได้...แล้วเราจะได้ตรัสเรื่องราชการของเรา
ชายพิการ....คิดแล้วถึงเข้าใจความในทั้งหมดที่พระราชาเลี้ยงดูเขา...จึงรับว่า พระเจ้าข้า
เมื่อถึงเวลาประชุม..พระราชาก็ตรัสเรื่องราชการสำคัญ...
พระราชา....เรามีราชการสำคัญ..ฟ้าฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาล..เราจะไม่เก็บภาษีประชาชน เป็นเวลา 3 ปี
มหาอำมาตย์.....อ้าปากจะพูด....ก็ต้อง...."อ้า....อับ" แล้วก็กลืนลงคอ
เพราะในระหว่างอ้าปากจะพูดชายพิการได้ดีดขี้แพะเข้าปากเขาจึงพูดไม่ได้..พระราชาได้ที...ก็ตรัสว่า...มหาอำมาตย์มีอะไรจะคัดค้านหรือไม่
มหาอำมาตย์....อ้า....อับ..แล้วก็กลืนลงคอ
มหาอำมาตย์....อ้า....อับ..แล้วก็กลืนลงคอ
มหาอำมาตย์....อ้า....อับ..แล้วก็กลืนลงคอ
มหาอำมาตย์...พยายามอยู่นาน...จึงรู้ว่าพลาดเข้าแล้ว...จนกินขี้แพะไปเป็นทะนาน
ตั้งแต่นั้นมา...พระราชาก็ตรัสราชการอันใด..ก็ไม่มีใครคอยค้าน...
ข้อคิดที่ได้จากเรื่อง
1.คนพูดมากจนเกินงาม อาจทำให้คนอื่นไม่สบายใจเพราะคำพูดของเราได้...คนพูดจะไม่คิด...แต่คนฟังแทบอกแตก..
2.ความรู้อย่างเดียว...ถ้ากระจ่างเหมือนชายพิการ...ย่อมมีประโยชน์กับตนและผู้อื่น
3.การใช้อำนาจ...ถ้ามีคนคอยขัด...ก็ต้องคิดก่อน...เขาแย้งเราเพื่อประโยชน์อันใด..เพื่อตัวเขา..หรือ...เพื่อส่วนรวม
4.ความกตัญญูของชายพิการที่ไม่ยอมทิ้งพ่อแม่ไป แม้เขาเป็นเพียงชายพิการเขายังหาเลี้ยงพ่อแม่
นางสาวหนึ่งฤทัย พวงผกา คณะศึกษาศาสตร์ สาขาวิชาวิทยาศาสตร์ทั่วไป รหัส 50010511044
ท้าวกำพร้าเรียนมนต์ตด
ณ หมู่บ้านแห่งหนึ่งมีเด็กน้อยกำพร้าอยู่คนหนึ่ง ญาติพี่น้องไม่มีใครสนใจ เขาจึงต้องเที่ยวเร่ร่อนขอทานตามหมู่บ้านต่างๆ พอได้กินไปวันๆ หลวงพ่อที่วัดแห่งหนึ่ง สงสารจึงรับเลี้ยงไว้เป็นลูกศิษย์ในวัด
ในสมัยนั้นเด็กผู้ชายจะต้องออกจากบ้านไปหาเรียนวิชา แล้วแต่ใครต้องการเรียนอะไร หลวงพ่อก็สั่งท้าวกำพร้าให้ไปเรียนวิชาเช่นกัน โดยก่อนไปได้กำชับว่า"เรียนอะไรก็เรียนให้จบ และอยากเรียนอะไรก็ให้เลือกเรียนได้ตามใจชอบหลวงพ่อไม่ว่าอะไร"
ณ สำนักเรียนที่มีอาจารย์เก่งทางวิชาอาคม เวทมนตร์ต่างๆ เปิดสอนให้กับผู้คนทั่วไป
โดยเฉพาะคนหนุ่มๆนิยมไปเรียนกันมาก หลายคนเลือกเรียนวิชาตามใจชอบ แต่ท้าวกำพร้า
กลับเลือกเรียนในวิชาที่ไม่มีใครเรียนกัน นั่นคือ "วิชามนต์ตด" เขาเพียรพยายามเรียนจนจบ
ตามที่หลวงพ่อสั่งไว้ว่าเรียนอะไรก็เรียนให้จบ
ข่าวการเรียนมนต์ตดได้ยินไปถึงหูของญาติพี่น้องของเขา ยิ่งเพิ่มความจงเกลียดจงชังมากขึ้น
"เรียนอะไรไม่เรียนไปเรียนมนต์ตด ไม่ต้องเรียนมันก็ตดอยู่แล้ว ไปเรียนให้เสียเวลาทำไม"
ญาติคนหนึ่งบ่น
อันตัวข้าพเจ้ามีนามกรว่า...ท้าวกำพร้า ได้ศึกษาวิชา...มนตราว่าด้วยตด...ทั้งตดยาว...ตดสั้น
ตดไปข้างหน้า...ตดมาข้างหลัง...ตดลอยสูง...ตดลอยต่ำ..ตดควบคุมเสียง...ตดเสียงสูง...เสียงต่ำ...ตดดัง...ตอค่อย
ตดไร้เสียง..ตดควบคุมกลิ่น...ทั้งกลิ่นหนา...กลิ่นบาง...ตดสร้างมิตร...เสน่ห์ยาแฝด...ตดใส่หญิง หญิงรัก..
ตดใส่ชาย ชายหลง....ตดใส่ตุ๊ด ตุ๊ดเป็นลม...เอ้ยไม่ใช่...หลงคารม..ตดกลิ่นทำลายมิตรภาพ...ตดพิฆาตศัตรูพ่าย
เมื่อศึกษาจนแตกฉาน คิดทำการณ์สิ่งใด ก็สำเร็จดังประสงค์
พอเรียนจบเขากลับมาหาหลวงพ่อและเล่าเรื่องราวการเรียนให้หลวงพ่อฟัง หลวงพ่อไม่ว่าอะไรได้แต่ให้กำลังใจว่า "ใครจะว่าอะไรก็อย่าไปสนใจ วิชาอะไรทุกอย่าง มันมีคุณทั้งนั้น ขอให้รักษาวิชาตดไว้ให้ดีบางทีเราอาจได้อาศัย"
อยู่มาวันหนึ่งมีเรือสำเภาขนาดใหญ่ขนสัมภาระเพื่อไปจำหน่ายมากมาย พอไปถึงหมู่บ้านนั้นเกิดไปติดหาดทรายไม่สามารถขยับเขยื้อนได้ จ้างคนทั้งหมู่บ้าน ลากเข็นก็ไม่ไป พอดีเท้ากำพร้าเดินไปพบเข้าจึงพูดออกไปว่า "เรือติดแค่นี้ ไม่ต้องทำอะไรมากเลย เพียงแค่ตดใส่เท่านั้นก็ออกได้แล้ว" นายสำเภาได้ยินดังนั้นก็โกรธแค้นมาก คิดว่าท้าวกำพร้าพูดสบประมาท "ข้าจ้างคนทั้งหมู่บ้านยังลากออกไม่ได้ เอ็งเก่งมาจากไหนจะมาตดใส่ให้สำเภาออกได้" พอพูดจบนายสำเภาก็สั่งลูกน้องให้จับตัวท้าวกำพร้าไว้ ฐานพูดจาดูหมิ่น
"ช้าก่อนท่าน" ท้าวกำพร้าชิงพูดขึ้น "ข้ายังไม่ทันตดให้ดูเลย ทำไมท่านถึงคิดว่าทำไม่ได้ต้องพิสูจน์กันก่อนซิ ถ้าข้าตดแล้วสำเภาออกไปได้ ท่านจะยอมให้สินค้าทั้งหมดบนเรือแก่ข้าไหม"
"ตกลง ถ้าสำเภาเคลื่อนไปได้ ข้าจะยกสินค้าในสำเภาให้เอ็งหมด แต่ถ้าเคลื่อนไม่ได้เอ็งจะต้องถูกฆ่าตาย" นายสำเภาตกลงและต่อรองเมื่อตกลงดังนั้นแล้ว ท้าวกำพร้าจึงยกมือเหนือหัวแล้วอธิษฐานถึงครูบาอาจารย์
เสร็จแล้วจึงเบ่งตดออกมาเสียงดัง "ป้าดๆๆ"ทุกคนตกตะลึงแทบไม่เชื่อสายตาที่สำเภาได้ค่อยๆเคลื่อนออกจากหาดทราย นายสำเภาดีใจมาก จึงได้มอบสินค้าทุกอย่างที่มีบนเรือ ให้หนุ่มน้อยไปตามสัญญา
จากนั้นท้าวกำพร้าก็มีฐานะร่ำรวย ไม่อดอยากอีกต่อไป
ข้อคิด
-การศึกษา เล่าเรียน ไม่ว่าจะด้านไหน ก็ให้ประโยชน์และมีความสำคัญกับตัวเราทั้งนั้น
สุริยา เสนารัตน์
49010510086
วิทยาศาสตร์ทั่วไป
นิทานพื้นบ้านภาคอีสาน
นิทานเรื่อง "งอนหง่อ"
นานมาแล้ว มีเด็กอยู่สองคนไม่มีพ่อไม่มีแม่กำพร้าพ่อแม่ทั้งสองคน
วันหนึ่งก็เลยออกไปอยู่ทุ่งนา ได้ปลูกกระท่อมหลังเล็ก
ข้างล่างเอาไว้เก็บควายไว้วัวไว้ควายมีควายอยู่สองตัว
พอตกเย็น น้องก็ร้องไห้พี่เลยถามว่า"น้องเอ๊ยเป็นอะไร ทำไมร้องไห้"
น้องก็ตอบว่า"ไม่เป็นอะไรหรอก"พอดี ฝนก็ตกหนัก
ยิ่งฝนตกหนัก น้องก็ยิ่งร้องไห้ ฟ้าก็ร้องเปรี้ยงปร้างๆ น้องก็ยิ่งร้องไห้เข้าไปใหญ่
พี่ก็เลยถามว่า"น้องเอ๊ย เป็นอะไรทำไมร้องไห้จัง"น้องก็ไม่ตอบ
ทีนี้ มีเสือโคร่งตัวหนึ่งเดินเข้ามาว่าจะมากินควายเลยเข้าไปซ่อนในคอกควาย
กะว่ารอให้มันมืด ให้มันดึกอีกหน่อย ถึงจะกินหลังจากนั้น
พี่ก็เลยถามน้องอีกว่า"เป็นอะไร ทำไมถึงร้องไห้จัง"น้องตอบว่า "กลัวงอนง้อ"
พี่ก็ถามว่า "ไหนงอนง้อ เดี๋ยวงอนง้อก็มากินหรอก ร้องไห้ดังๆ นะ"พี่ก็บอกว่าอย่างนั้น
ทีนี้ เสือได้ยินอย่างนั้นก็คิดว่า"ขนาดคนงอนง้อยังกินแล้วมันจะไม่กินเสือเหรอ"ทีนี้ เสือก็ตกใจสักครู่ เสือก็ตัวสั่นอยู่
ทีนี้ ก็มีขโมยจะมาขโมยควาย ก็เลยเข้าไปในคอกควาย ในคอกก็มืด
เพราะเมื่อก่อนไม่มีไฟ สมัยก่อนนี้ มีแค่ไต้กระบอง
แล้วทีนี้ ขโมยก็เลยเข้าไปคลำดู ควายก็ไม่ค่อยอ้วนซักเท่าไหร่
ขโมยก็คลำไป คลำไปตรงหัว โอ๊ย ตัวนี้ผอมจัง
ทีนี้ ขโมยก็คลำไปถูกเสือ เสือก็คิดในใจ "โอ้ นี่เหรอที่เขาเรียกว่างอนง้อ มันจะกินแม้กระทั่งคน"
ทีนี้ ขโมยคลำไปถึงเสือก็เลยว่า "โอ้โห ตัวนี้ทำไมอ้วนดีจัง" ว่างั้น
ขโมยก็จับได้เสือ เสือก็คิดว่า งอนง้อจะกิน
ขโมยก็จับเสือขึ้นมา
"ปัดโธ่ควายตัวนี้มันเป็นควายไม่มีเขานี่นา" "เขาก็ไม่มี อ้วนก็อ้วน"
ทีนี้ ขโมยก็เอาเสือออกมาจากคอก แล้วขี่ไป
เสือก็คิดในใจ "โอ๊ย งอนง้อจะกินกูเมื่อไหร่น้อ"
ทีนี้ ขโมยก็ขี่หลังเสือไปจนเกือบสว่าง มันก็มีแสงสว่างรำไร
ขโมยก็เลยเห็นลายเสือพาดกลอน ขโมยก็ตกใจ โดดลงจากหลังเสือ
ขโมยก็วิ่งขึ้นต้นไม้
เสือก็ตกใจเหมือนกัน เสือคิดว่า โอ๊ย งอนง้อจะไม่กินมันแล้วเหรอ
เสือก็วิ่งไปบอกเพื่อน "มาดู มาดูเร็วเพื่อน มาดู มาดู งอนง้อ งอนง้อ อย่าให้งอนง้อกินมันนะ"
เสือก็เรียกพวกเพื่อนมา
ทีนี้ ขโมยเห็นเสือพาพวกมาเยอะ
ก็คิดว่าเสือจะมากิน เรียกพวกมากินตัวเอง ขโมยก็ตัวสั่น จับต้นไม้
แล้วก็ยิ่งปีนขึ้นไปสูง ก็ปีนไปถูกกิ่งไม้แห้ง กิ่งไม้แห้งหักเลยตกตุ๊บลงมา
เสือตกใจพากันวิ่งหนี ก็เลยแตกแยกกันอยู่ เลยไม่ได้อยู่กันเป็นพวกเป็นฝูง
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า.....อย่าไปเชื่อคำพูดของคนอื่นจนกว่าจะได้รู้ด้วยตัวเอง
นางสาววรรณนิศา ตอซอน 2GS 50010511031
คณะศึกษาศาสตร์ สาขาวิทยาศาสตร์ทั่วไป
นางสาวเพ็ญพักตร์ บูรณะเสน
รหัส 50010511068
คณะศึกษาศาสตร์ สาขาวิทยาศาสตร์ทั่วไป
นิทานเรื่อง สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น
มีกระทาชายนายหนึ่ง เป็นชาวชนบทหลังจากที่แต่งงานแล้วไม่นานนักตีเสียว่าสักเดือนสองเดือน มีธุรกิจเกี่ยวกับการหาเงินทองมาใช้จ่าย จึงให้เมียอยู่บ้านโดยลำพัง ส่วนตัวเองเดินทางไปค้าขายในต่างถิ่น เป็นเวลาเกือบสองปีก็คิดว่า เสร็จธุรกิจทางการค้าขายแล้ว ก็คิดว่าไหน ๆ เราก็จากบ้านเกิดเมืองนอนมานานแล้ว น่าจะได้คาถามอาคมอะไรดี ๆ ไว้ใช้ประจำตัวบ้าง คิดได้ดังนั้นก็เข้าไปถวายตัวอยู่ เป็นศิษย์ในสำนักของฤๅษี แกเฝ้าปรนนิบัติเก็บผักกักฟืนอยู่อีกหลายเดือน เรียนคาถาอาคมได้หลายอย่างดี ๆ ทั้งนั้น
ครั้นตอนลากลับบ้าน พระฤๅษีสอนมนต์ให้บทหนึ่ง เรียกว่า "คาถาเข้าบ้าน" หมายความว่า ให้เสกเวลาเข้าไปในบ้านเรือนของตน คาถานั้นมีว่า " โอม ..สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น สิบตาเห็นไม่เท่ามือคลำ สิบมือคลำไม่เท่ากระทำในใจ ดีอยู่ที่ปาก ทุกข์ยากอยู่ที่มือ เพี้ยง ! " พระฤๅษีสั่งว่า เจ้าจากบ้านเรือนมานาน เวลาจะเข้าบ้านให้เสกบทนี้ แล้วจะได้เมียหนึ่งคนกับลูกหนึ่งคน
ในระหว่างทาง ก่อนจะถึงบ้าน เขาได้พบกับเพื่อนคนหนึ่งและได้รับข่าวร้าย ว่าภรรยาของเขาได้นอกใจเสียแล้ว หลับนอนกับชายชู้จนมีลูกได้ 1 คน ข่าวนี้เสมือนสายฟ้าฟาดลงบนกระหม่อมของเขา "เสียแรงรักเสียแรงที่เขาอุตส่าห์ทำงาน ตรากตรำบากหน้าไปหาเงินหาทองถึงแดนไกล มีชู้เสียได้! " เขารำพึงด้วยความน้อยใจระคนกับความแค้น"คิดดูเอาเองก็แล้วกัน เพื่อนเอ๋ย ..ฉันเองก็ไม่เคยคิดว่าเมียเพื่อนจะเป็นถึงอย่างนั้น แต่.." เพื่อนอีกคนหนึ่งบอกข่าว "ข้าคิดว่า แกตรงไปที่บ้านแม่จะดีกว่าบ้านเมีย" ชาวบ้านอีกคนตักเตือนด้วยเหตุผลอย่างเดียวกันคนอื่น ๆ อีกก็ล้วนแต่ให้ข่าวทำนองเดียวกันนี้ เพราะเขารู้กันทั่วบ้านว่า "ผัวไม่อยู่ แล้วเมียดันมีลูก" และปักใจเชื่ออย่างแน่นอน "แล้วเมียยศอย่างนี้จะเก็บไว้ทำไม อย่ากระนั้นเลย ฆ่ามันเสีย!" เขาคิดคำนึง และตัดสินใจ แล้วก็มุ่งหน้าไปยังบ้านของตนซึ่งเป็นบ้านที่เขาทิ้งให้ภรรยาอยู่ตามลำพัง ตอนนี้จิตใจของเขาได้เปลี่ยนจากคนสามัญเป็นเพชฌฆาตแล้ว พร้อมที่จะสังหารนางเมียหญิงสองใจและถ้าเป็นไปได้เจ้าชายชู้และลูกของมันก็จะต้องตายในคราวเดียวกันด้วยเขาซ่อนร่างเข้าไป จนถึงหน้าห้องนอนของเมีย แน่แล้ว! ได้มีเสียงแว่วออกมาจากในห้อง "ดึกแล้ว แก้วตานอนกันที อย่ากวนนักเลย" เป็นเสียงที่เขาได้ยินอย่างชัดเจน เขาชักดาบคู่มือออกมากุมแน่น "มันกำลังพลอดรักอยู่กับชายชู้พอดี" เขาคิด แต่แล้วพระคาถาที่เรียนมาจากฤๅษีก็แว่ว ขึ้นในใจ "สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น" ทำให้เขาได้สติว่า ข่าวคราวต่าง ๆ ที่เราได้ทราบมาก่อนนั้นอาจจริงหรือไม่จริงก็ได้ พระอาจารย์ก็บอกแล้วว่า "สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น" ถ้ากระนั้น เราน่าจะเปิดประตูออกดูให้เห็นกับตาเสียก่อนดีกว่า เขาค่อย ๆ ผลักประตูออก แล้วกวาดสายตาดูภายในห้อง ไม่มีอะไรชวนสงสัยที่จะ เป็นอื่น ในเมื่อมีมุ้งกางไว้หลังเดียว แล้วมีคนนอนอยู่ในมุ้งนั้นเกินกว่า 1 คน มันเป็นเมียของเราคนหนึ่ง แล้วอีกคนล่ะเป็นใคร นอนจากชายชู้ ไม่ต้องดูหน้ามันให้เป็นเสนียดนัยน์ตาแล้ว จัดการเสียเลยดีกว่า ดาบคู่มือของเขาซึ่งเตรียมพร้อมอยู่แล้ว ได้ถูกเงื้อขึ้นสุดแรงแขนหมายจะฟันให้ยับคามุ้ง แต่ทันใดนั้น พระคาถาท่อนที่สองก็แว่วขึ้นในใจของเขา "สิบตาเห็นไม่เท่ามือคลำ" "จริงซี ไหนลองคลำดูก่อนสิ" เขาคิดแล้วก็ใช้มือที่ว่างคลำดูเบา ๆ ความมั่นใจของเขา แต่เดิมที่ว่าเมียกับชู้กำลังนอนอยู่ด้วยกันนั้น ได้เปลี่ยนไปเพราะปรากฏว่าคนที่ กำลังหลับนอนอยู่ในมุ้งนั้นกลายเป็นผู้ใหญ่คนหนึ่งกับเด็กน้ot;ก็ช่างปะไร เจ้าเด็กคนนี้มันจะเป็นคนอื่นไม่ได้นอกจากลูกชายชู้ ลูกมันก็เหมือนตัวมันเชื้อไม่ทิ้งแถว" แต่ก่อนที่การฆาตกรรมมืดจะเกิดขึ้น คาถาของพระอาจารย์ท่อนที่สามและสี่ก็แว่วขึ้นในใจ "สิบมือคลำไม่เท่ากระทำในใจ" "ดีอยู่ที่ปาก ทุกข์ยากที่อยู่มือ" "สิบมือคลำยังไม่เท่ากระทำในใจ" ต้องคิด ต้องพิจารณาใจจะมีประโยชน์อันใด ถ้าคนเราอาศัยแต่เพียงลมปาก และว่า "ทุกข์ยากอยู่ที่มือ" นี่ใจเราก็ยังไม่ได้พิจารณาให้รอบคอบ ปากเราก็ยังไม่ได้ใช้ ปากเรามีแต่ไปเชื่อแค่ลมปากคนอื่น จะฆ่ามันเมื่อไรก็ฆ่าได้ ลองปลุกขึ้นมาถามดูก่อนดีกว่า เมื่อเขาปลุกภรรยาขึ้นมาซักถามดูแล้วก็ได้ความว่า เมื่อเขาจากไปแล้วภรรยาก็ตั้งท้อง จนกระทั่งคลอดลูกออกมาเป็นทารก นางอุตส่าห์ถนอมเลี้ยงดู หวังจะเอาลูกผู้น่าเอ็นดูไว้รับสามี วันคืนเดือนปีและอายุของเด็กนั้น สอบสวนแล้ว มีเหตุผลเพียงพอที่จะเชื่อได้ว่า เด็กนั้นเป็นลูกของเขาเอง เขารำพึงแต่ในใจว่า "สิบปากว่า ..สิบปากว่า
เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า เชื่อคนง่ายเสียคนเร็ว คิดให้รอบคอบก่อนตัดสินใจ จงพกหินในอกอย่าพกนุ่น และ ..อย่าวู่วามโกรธง่ายจะเสียใจภายหลัง
นิทานเรื่อง ทุ่งกุลาร้องไห้
เมื่อหลายพันปีผ่านมาแล้วบริเวณทุ่งกุลาร้องไห้ในปัจจุบันเป็นทะเลมาก่อน ในทะเลแห่งนี้มีสัตว์น้ำอาศัยอยู่มากมาย ได้มีเมืองจำปานาคบุรี ที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของทะเลแห่งนี้
เจ้านครจำปานาคบุรี มีธิดาชื่อว่า นางแสนสี และมีหลานสาวอายุไล่เลี่ยกันชื่อว่า นางคำแพง ทั้งสองเป็นหญิงสาวที่รูปร่างหน้าสะสวยงดงามเป็นที่หมายปองของชายทั้งหลาย ท้าวนครจำปานาคบุรี ได้จัดให้มีคนคอยเผ้าดูแลอย่างดี ผู้ดูแลชื่อว่า จ่าแอ่น ซึ่งจะคอยติดตามอยู่ทุกฝีก้าว และในเมืองจำปานาคบุรีแห่งนี้ ได้นาคที่มีอิทธิฤทธิ์สูงอยู่ฝูงหนึ่ง ซึ่งถ้าชาวเมืองได้รับความเดือดร้อนก็จะให้ความช่วยเหลือตลอด จนเมืองนี้ได้ชื่อว่า นาคบุรี
ในครั้งนั้นมีเมืองอีกเมืองหนึ่งชื่อว่าบูรพานครตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของทะเล ท้าวผุ้ครองนครมีโอรสชื่อว่า ท้าวฮาดคำโปง และมีหลานชายชื่อว่า ท้าวอุทร ทั้งสองเล่าเรียนวิชาการต่อสู้จึงอยากลองวิชาโดยจะไปต่อสู้กับนาคที่เมืองจำปานาคบุรีตามคำสั่งของอาจารย์ เมื่อเดินทางไปถึงเมืองจำปานาคบุรียังไม่ทันได้ลองวิชา ทั้งสองหนุ่มกลับไปให้ความสนใจธิดาและหลานสาวของขั้งสองจึงพยายามที่จะติดต่อกับนางทั้งสองแต่ก็ถูกกีดกันจากจ่าแอ่นผู้ดูแล แต่ชายหนุ่มทั้งสองก็ยังคงพยายามต่อไป และได้สืบทราบมาว่าทุกเจ็ดวันนางทั้งสองจะออกไปเล่นน้ำที่ทะเล
ต่อมาในวันหนึ่งหญิงงามทั้งสองก็ออกไปเล่นน้ำ พร้อมข้าทาสบริวารตามปกติ ชายทั้งสองเห็นเป็นโอกาสอันดีจึงเสกผ้าเช็ดหน้าให้เป็นหงส์ทองลอยไปขวางเรือไว้ นางอยากได้จึงให้จ่าแอ่นพายเรือตามไปเก็บ ยิ่งตามยิ่งลึกเข้าไปในทะเลแต่ก็ยังจับไม่ได้สักที มารู้สึกตัวอีกทีก็อยู่กลางทะเลกว้าง ท้าวทั้งสองเห็นเหมาะจึงเอานางทั้งสองและบริวารขึ้นเรือของตนไป
เมื่อเจ้าเมืองจำปานาคบุรีทราบเรื่องจึงไปขอให้นาคในทะเลช่วย นาคจึงบรรดาลให้พื้นทะเลสูงตัวขึ้น น้ำทะเลเหือดแห้ง เรือของท้าวฮาดคำโปงและท้าวอุทรไม่สามารถแล่นต่อไปได้ จึงเอาจ่าแอ่นไปซ่อนในป่า บริเวณดังกล่าวจึงมีชื่อว่า ดงจ่าแอ่น เอานางแสนสีไปซ่อนไว้อีกที่หนึ่ง จึงเรียกว่า ดงแสนสี และเอาหญิงหลานเจ้าเมืองไปซ่อนอีก เรียกบริเวณนั้นว่า ดงป่าหลาน เมื่อน้ำในทะเลแห้งหมดสัตว์ต่าง ๆ ในทะเลก็พากันตาย นกอินกันพากินซาก ซึ่งกินอยู่ประมาณครึ่งเดือนกว่ากุ้งหอยปูปลาในทะเลจะหมด ก็ได้พากันขี้ทิ้งกองรวมกันไว้เป็นกองใหญ่มาก จนเรียกบริเวณนั้นว่า โพนขี้นก
ท้าวฮาดคำโปง ท้าวอุทร นางแสนสีและนางคำแพง เกิดติดอยู่กลางทะเลแห้ง แต่ชายทั้งสองกลับเกิดหลงรักนางแสนสี จึงเกิดการต่อสู่ ท้าวฮาดคำโปงแพ้ถูกฆ่าตาย จึงกลายเป็นผีเฝ้าทุ่ง เวลากลางคืนเป็นแสงไฟลอยตามหานางแสนสี ชาวบ้านแทบทุ่งกุลาร้องไห้เรียกว่า ผีโป่ง หรือ ผีทุ่งศรีภูมิ
ฝ่ายเจ้าเมืองจำปานาคบุรีเกิดความเห็นใจธิดาของตนและท้าวอุทรที่ต้องรอนแรมอยู่กลางทุ่งแล้ง จึงอภัยให้หลังจากที่โกรธมานาน จึงมอบไพล่พลไปสร้างดงเท้าสาร หรือ เมืองเท้าสาร และยอมยกนางแสนสีให้เป็นมเหสีของท้าวอุทร
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่าการให้อภัยกันเป็นสิ่งที่ทุกคนควรทำเพราะไม่เคยมีใครที่ไม่ผิดพลาดในชีวิต
นางสาวปราณี ดวนสูง
รหัส 50010511024
สาขาวิทยาศาสตร์ทั่วไป
คณะศึกษาศาสคร์
นิทานเรื่องกำพร้าผีน้อย
ที่เมืองแห่งหนึ่งมีเด็กน้อยคนหนึ่งกำพร้าพ่อและแม่ ได้เที่ยวขอทานเขากินจนโตเป็นหนุ่มแล้วจึงออกจากเมืองมาทำนาทำไร่ ณ ที่แห่งหนึ่ง เมื่อข้าวพืชงอกงามขึ้น ได้มีสัตว์ต่างๆ มากิน แม้จะไล่อย่างไรก็ไม่ไหว เอาอะไรมาทำเครื่องดักก็ยังขาดหมด จึงไปขอเอาสายไหม จากย่าจำสวน (คนสวนของพระราชา) มาทำจึงจับได้ช้าง ช้างเมื่อถูกจับได้กลัวตายจึงร้องขอชีวิตและบอกว่าจะให้ของวิเศษถอดงาข้างหนึ่งให้ท้าวกำพร้าผีน้อยจึงปล่อยไปแล้วเอางาช้างมาไว้ที่บ้าน
ต่อมาท้าวกำพร้าดักได้เสือ เสือก็ยอมเป็นลูกน้อง โดยบอกว่าถ้ามีเรื่องเดือดร้อนจะมาช่วย ต่อมาจับได้อีเห็น อีเห็นก็ยอมเป็นลูกน้อง เช่นเดียวกันกับเสือ ต่อมาจับพญาฮุ้ง (นกอินทรีย์) พญาฮุ้งก็ยอมเป็นลูกน้องอีก และตัวสุดท้ายจับได้คือผีน้อยที่มาขโมยกินปลาที่ไซ ผีน้อยก็ยอมเป็นลูกน้อง เมื่อท้าวกำพร้าได้งาช้างมาแล้วก็เอามาไว้ที่บ้าน ในงาช้างนั้นได้มีหญิงสาวคนหนึ่งชื่อสีดา อาศัยอยู่ นางได้ออกมาทำอาหารไว้รอท้าวกำพร้า ต่อมาท้าวกำพร้าจับนางได้จึงทุบงาช้างนั้น เพื่อจะไม่ให้นางหลจึงอยู่กินเป็นสามีภรรยากันตั้งแต่นั้นมา ความสวยงามของสีดา ได้ยินไปถึงพระราชา เมื่อพระราชาเห็นแล้วก็รักใคร่จึงจะยึดเอาแต่ก็กลัวคนจะติเตียน จึงท้าท้าวกำพร้า การแข่งขันต่างๆ โดยถ้าท้าวกำพร้าแพ้จะยึดนางสีดามา แต่พระองค์แพ้จะยอมยกเมืองให้ครึ่งหนึ่ง
การแข่งขันนั้นคือ ชนวัว, ชนไก่, แข่งเรือ แต่ปรากฏว่าท้าวกำพร้าชนะทุกครั้ง เพราะในการชนวัวนั้น เสือแปลงเป็นวัวมาช่วยท้าวกำพร้า, ชนไก่นั้นอีเห็นแปลงเป็นไก่มาช่วย กัดไก่ของพระราชาตาย ในการแข่งขันเรือนั้นพญาฮุ้งมาเป็นเรือและได้ทำให้เรือพระราชาล่มแล้วกินคนทั้งหมด เมื่อพระราชาตายแล้วได้รวมหัวกับบ่างลั่วตัวหนึ่ง โดยให้บ่างลั่วร้องเรียกวิญญาณของนางสีดามา โดยร้องครั้งแรกนางก็ไม่สบาย ครั้งที่สองสลบไป ครั้งที่สามจึงตายวิญญาณของนางจึงมาอยู่กับพวกผีพระราชา ส่วนท้าวกำพร้าปรึกษากับผีน้อย ผีน้อยบอกว่าอย่าเพิ่งเผาจะตามไปดูวิญญาณของนางอยู่ที่ใด
เมื่อผีน้อยตามไปทราบเรื่องทั้งหมดแล้วจึงวางแผนจะจับบ่างลั่วตัวนั้น จึงเข้าไปตีสนิทกับบ่างลั่วแล้ว สานข้อง (ที่ใส่ปลา) ครั้งแรกสานด้วยไม้ใผ่แล้วให้บ่างลั่วเข้าไปข้างใน แล้วให้ยันดูปรากฏว่าข้องแตก จึงสานด้วยลวด แล้วบอกให้บ่างลั่วเข้าไปดูแล้วบอกให้ยันดู ปรากฏว่าข้องไม่แตกจึงรีบหาฝามาปิดแล้วรีบเอามาให้ท้าวกำพร้าบังคับให้บ่างลั่วร้องเรียกเอาวิญญาณนางสีดากลับคืนมาไม่เช่นนั้นจะฆ่าเสีย บ่างลั่วจึงร้องเรียกเอาวิญญาณนางกลับมา โดยร้องครั้งแรกก็เคลื่อนไหว ครั้งที่สองฟื้นขึ้นครั้งที่สามหายเป็นปกติทุกอย่าง พอทุกอย่างปกติแล้วท้าวกำพร้าจึงหลอกว่าขอดูไอ้ที่ร้องเอาวิญญาณคนได้ไหม บ่างลั่วจึงแลบลิ้นออกมาให้ดู ท้าวกำพร้าจึงตัดลิ้นบ่างลั่วนั้นเสีย เพราะกลัวมันจะร้องเอาวิญญาณไปอีก บ่างลั่วจึงร้องไม่ชัดตั้งแต่นั้นมา ส่วนท้าวกำพร้ากับนางสีดา ได้ปกครองเมืองแทนพระราชาที่ตายนั้น
นางสาวสุนันทา ลาดคำ
รหัส 50010511078
สาขาวิทยาศาสตร์ทั่วไป
คณะศึกษาศาสคร์
นางสาวพิศมัย นันเสนา
นิทานพื้นบ้าน ปู่ตั๋วหลาน
นิทานพื้นบ้านอีสาน เรื่อง ปู่ตั๋วหลาน (ปู่โกหกหลาน)
ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ขณะที่กุดจี่สองตัวผัวเมียกำลังช่วยกันกลิ้งเบ้า (ลูกดินกลม ๆ ที่ห่อหุ้มไข่กุดจี่) ไปตามทางผ่านหน้าหมาตัวหนึ่ง หมาสงสัยก็ถามว่าจะพากันไปไหน กุดจี่ตอบว่า จะไปเมืองลังกา (กรุงลงกา ในเรื่องรามเกียรติ์)
หมาก็ยิ่งสงสัยว่าไปทำอะไรหรือ
กุดจี่ตอบว่า ได้ข่าวว่าเมืองลงกาถูกหนุมานเผาเมืองไหม้วอดวายหมด รวมทั้งครกที่ตำอาหารก็ไหม้ จะเอาเบ้าไปทำครกถวายพระเจ้าเมืองลังกา
หมายิ่งงงและถามไปอีกอย่างดูถูกดูแคลน ว่าจะไปถึงเร้อ?? แล้วเบ้าแค่นี้จะทำครกได้อย่างไรกัน
กุดจี่ตอบทันควันว่านี่กะว่าจะไปกินงายเมืองลังกาโน่นแหละวันนี้ (หมายถึง จะไปให้ทันกินข้าวเช้า) แล้วก้อนดินนี้จะปาดออกให้เป็นครก 3 ใบก็ได้
หมาได้ฟังก็งึดมาก (งึดนี้ แปลว่า งงหรือแปลกใจอย่างสุดๆเลย) ตั้งแต่นั้นมาหมาไม่กินกุดจี่เลย โดยถือว่ากุดจี่มีความสามารถมากกว่าตัวเอง
ซึ่งในความเป็นจริงแล้วหมาทุกตัวจะเมินไม่ยอมกินกุดจี่ ไม่ว่าจะตัวสด หรือ คั่ว ทอดจนสุกแล้วก็ตาม ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ว่าจริง ๆ แล้วจะเป็นเพราะหมาไม่ถูกกับกลิ่นขี้ควายหรือเปล่าก็ไม่ทราบได้
*****
ข้อคิด
1. ความสามัคคีย่อมนำไปสู่ความสำเร็จลุล่วงด้วยดี
2. ความสามัคคี อดทด ย่อมก่อให้เกิดประโยชน์ต่อตนเองและผู้อื่น
ลักษณะนิสัย
1. กุดจี่ มีนิสัย อดทน ขยัน ทำงานด้วยความสามัคคี
2. หมา มีนิสัย ขี้เกียจ ขี้กลัว
จุดเด่นของนิทานเรื่องนี้เกี่ยวกับอีสานอย่างไร
1. ความเชื่อมั่นในตนเอง
2. การวางแผนงาน
เปรียบเทียบกับเหตุการณ์อย่างไร
ความเชื่อมั่นในตนเอง ย่อมทำให้เกิดความกังวล และอ่อนใจของคู่ต่อสู้
นางสาวพิศมัย นันเสนา 50010511067
นายศักดิ์ชัย ทำบุญ
กระต่ายเจ้าเล่ห์
ในกาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีเรื่องเล่ากันมาว่า มีกระต่ายตัวหนึ่ง มีความฉลาดมากในวันหนึ่งกระต่ายตัวนี้เห็นยายแก่คนหนึ่งเอาข้าวไป ถวายพระที่วัด และมีกล้วยอยู่หวีหนึ่งใส่ไว้ในกระเฌอทูนไว้บนหัว กระต่ายอยากกินกล้วยมากจึงใช้อุบายที่จะกินกล้วยของยาย จึงรีบวิ่งไปดักกลางทางที่ข้างหน้ายาย โดยการแกล้งล้มลงนอนตายอยู่ เมื่อยายมาพบเห็นกระต่ายนอนตายอยู่ก็ให้แปลกใจ จึงจับดูเห็นตัวยังอุ่นจึงจับใส่กระเฌอแล้ว ก็ทูนหัวต่อไป
กระต่ายเมื่อลงไปในกระเฌอของยายสมความตั้งใจ ก็ลุกขึ้นมาปอกกล้วยกินและทิ้งเปลือกไปข้างหลัง ส่วนยายนั้นเมื่อได้ยินเสียง ทิ้งเปลือกกล้วยก็หันไปดู แต่ก็ไม่เห็นอะไร เห็นแต่เปลือกกล้วย ก็ให้สงสัยว่าใครนะเดินทางไปก่อนตน เมื่อยายหันไปข้างหลัง กระต่ายก็ทิ้งเปลือกกล้วยไปข้างหน้า เมื่อยายหันหน้าเดินต่อไปก็เห็นเปลือกกล้วยอีกก็กล่าวว่า เปลือกกล้วยนี้ยังใหม่อยู่คงมีใครเดินไปข้างหน้าใกล้ ๆ นี้เอง และคงจะเดินกินกล้วยไปด้วย จึงรีบก้าวเดินไปเพื่อจะให้ทัน แม้ยายจะรีบเดินมากเท่าไรก็ไม่ทัน จนกระทั่งยายเหนื่อยจึงหยุดพักเอากระเฌอวางลง ก็เห็นกระต่ายกินกล้วยของตนหมดแล้วก็โกรธมาก กระต่ายก็กระโดดออกวิ่งไปยายก็รีบวิ่งตามเพื่อจะตีกระต่ายนั้น กระต่ายก็วิ่งขึ้นไปอยู่บนต้นคลุ้ม ยายตีไม่ได้จึงเอากรรไกรที่มีไว้ผ่าหมากตัดต้นคลุ้มนั้นกระต่ายเห็นดังนั้นก็ตกใจมาก ด้วยความที่ฉลาดและมีไหวพริบดี จึงกล่าวกับยายว่า
“ยายเอ๋ยยายจะเอากรรไกรนั้นตัดต้นคลุ้มนี้นั้นกรรไกรของยายจะหักเสียเปล่า ๆ เพราะต้นคลุ้มนั้นมันแข็งมาก ไม่เชื่อยายเอากรรไกรขูดดูแก่น ของมันซี แก่นของมันแดงแจ๋ทีเดียว” ยายก็สงสัยจึงเอากรรไกรขูดต้นคลุ้มดู เมื่อเปลือกนอกออกด้านในก็เป็นสีแดง ยายก็คิดว่าเป็นแก่นจริง ๆ จึงไม่กล้าตัด จึงไปหามีดมา เมื่อยายไป กระต่ายก็วิ่งไปอยู่ในโพรงไม้ ยายก็จับตีไม่ได้อีก จึงคิดเอาบ่วงมาดักไว้ที่ปากโพรง หากกระต่ายออกจะได้ติดบ่วง เมื่อยายดักบ่วงเสร็จกระต่ายก็คิดว่าหากตนออกต้องติดตายแน่ ๆจึงคิดหลอกยายอีก แล้วก็กล่าวกับยายว่า
“ยายเอ๋ยทำบ่วงดักฉันอย่างนั้นนะไม่มีวันได้ตัวฉันหรอก เพราะบ่วงอย่างนั้นมันไม่รูด ถ้ายายไม่เชื่อยายลองเอาขาของยายใส่ดูก่อนก็ได้” ฝ่ายยายก็สงสัยว่าจริงอีก จึงเอาขาใส่บ่วงดูคันของบ่วงก็ยกขึ้น บ่วงติดขาของยายห้อยโตงเตงอยู่ กระต่ายก็ออกจากโพรงได้ แล้วก็หัวเราะเยาะยายว่า “ยายหน้าโง่ติดบ่วงอยู่เถิดข้าไปก่อนแล้ว ว่าแล้วกระต่ายก็ไป”
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า อย่าหลงเชื่ออะไรง่าย ๆ จะทำให้เสียของ และเสียหายต่าง ๆ
นายศักดิ์ชัย ทำบุญ 50010511035
เจ้าชายแตงโม
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีแตงโมวิเศษอยู่ต้นหนึ่ง เป็นของเจ้าชายแห่งเมืองดินดำน้ำดี
แตงโมนี้มีรสชาติหวานอร่อยที่สุด แต่จะให้ผลวันละ 1 ลูก เท่านั้น เจ้าชายหวงมาก ไม่ยอมแบ่งให้ใครกินเลย
อยู่มาวันหนึ่ง แตงโมที่ออกมาในเช้าวันนั้นหายไป เจ้าชายกริ้วมาก
ประกาศจะลงโทษผู้ที่ขโมยแตงโมไป ทันใดนั้นนกตัวหนึ่งก็บินมาเกาะกิ่งไม้ตรงหน้าพระพักตร์เจ้าชาย
และสารภาพว่าเป็นผู้ขโมยแตงโมไปช่วยชีวิตลูกๆ ที่อดอาหารมาหลายวัน
"ตอนนี้ลูกข้าหลับไปด้วยความอิ่มหนำแล้ว เจ้าชายจะลงโทษอะไรข้าก็ยอม" นกตอบอย่างกล้าหาญ
"อืม...เพื่อเห็นแก่ความรักที่เจ้ามีต่อบุตร เราจะละเว้นโทษแก่เจ้า" เจ้าชายตอบอย่างใจดี
วันรุ่งขึ้นเกิดเหตุการณ์ประหลาด แตงโมออกผล 2 ลูก เจ้าชายแปลกพระทัยมาก แต่ไม่ยอมแบ่งให้ใครอยู่ดี
วันถัดมาแตงโมที่ออกมา 2 ลูกได้หายไป 1 ลูก เจ้าชายกริ้วมาก รับสั่งให้ทหารออกตามจับตัวขโมย
ทันใดนั้นก็มีหนูตัวเล็กๆ วิ่งมาสารภาพว่าเป็นผู้ขโมยแตงโมไปช่วยชีวิตแม่ที่กำลังป่วยหนัก
"ตอนนี้แม่ของข้าก็หายป่วยเพราะแตงโมวิเศษของท่าน ท่านจะลงโทษอะไรข้าก็ยอม"
เจ้าชายเห็นแก่ความดีของหนู จึงตอบว่า
"อืม...เพื่อเห็นแก่ความกตัญญูของเจ้า เราจะเว้นโทษแก่เจ้า"
วันรุ่งขึ้นเกิดเหตุการณ์ประหลาดยิ่งขึ้น แตงโมออกผลเป็น 3 ลูก เจ้าชายแปลกพระทัยยิ่งนัก แต่ก็คงไม่ยอมแบ่งแตงโมให้ใคร
ถัดมาอีกวันแตงโมที่ออกมา 3 ลูก เหลือเพียง 2 ลูก เจ้าชายกริ้วมากกว่าครั้งก่อนๆ รับสั่งให้ทหารจับขโมยให้ได้ และแล้วมีลิงน้อยตัวหนึ่งวิ่งเข้ามาสารภาพว่า เป็นผู้ขโมยแตงโมไปช่วยฝูงลิงที่กำลังจะอดน้ำตาย
"ตอนนี้พรรคพวกข้าก็รอดตายแล้ว เจ้าชายจะลงโทษอะไรข้าก็ยอม"
เจ้าชายเห็นแก่ความดีของลิงน้อยจึงตอบว่า
"อืม...เพื่อเห็นแก่ความห่วงใยที่เจ้ามีต่อพวกพ้อง เราจะละเว้นโทษแก่เจ้า"
วันรุ่งขึ้นแตงโมออกผลเป็น 4 ลูก คราวนี้เจ้าชายไม่แปลกพระทัย เพราะพระองค์ทรงรู้แล้วว่า
แตงโมวิเศษของพระองค์จะออกลูกเพิ่มขึ้นทุกครั้งที่พร ะองค์แบ่งให้คนอื่น
ดังนั้นจึงมีรับสั่งให้ทหารนำแตงโมไปแบ่งให้ราษฎรและ สัตว์ใหญ่น้อยทุกวัน
จากนั้นแตงโมก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เป็นสิบเป็นร้อย ชาวเมืองจึงขนานนามพระองค์ตั้งแต่นั้นมาว่า " เจ้าชายแตงโม"
-ข้อคิดที่ได้จากเรื่องนี้
1.เราต้องรู้จักเอื้อเฟื้อแบ่งปันต่อผู้อื่น
2.อยากเป็นผู้รับต้องรู้จักเป็นผู้ให้
3.การรู้จักเมตตาต่อผู้ที่ยากไร้
นางสาวจันทรสุดา โพธิ์จารย์
50010511056
สาขาวิทยาศาสตร์ทั่วไป
นิทานเรื่อง อุบายเศรษฐี
มีเรื่องเล่าว่า เศรษฐีคนหนึ่งเป็นคนมั่งมีมาก แต่มีลูกชายอยู่คนเดียวกำลังเป็นหนุ่ม และท่านเศรษฐีก็แก่เฒ่าลงทุกวัน ๆ จึงคิดอ่านอยากจะให้ลูกชายได้แต่งงานเสียที จะได้เป็นฝั่งเป็นฝา แต่การหาหญิงมาเป็นลูกสะใภ้นั้นท่านเศรษฐีตั้งใจว่า จะต้องหาหญิงที่ฉลาดในการครองเรือน มิฉะนั้นจะมาผลาญสมบัติเสียหมด "เพราะฉะนั้นจึงตกลงหาลูกสะใภ้โดยมีการเลือกคุณสมบัติตามที่ต้องการ วิธีการของท่านเศรษฐีแปลกอยู่หน่อย คือเปิดการสอบคัดเลือกชิงตำแหน่งลูกสะใภ้เศรษฐีขึ้น โดยต้องการบรรจุเพียง ๑ ตำแหน่งเท่านั้น ส่วนข้อสอบท่านเศรษบีออกเอง ข้อสอบมีอยู่ข้อเดียว คือถามว่า
"มีปลาอยู่ตัวเดียว ทำอย่างไรจึงจะกินได้ตลอดปี? ท่านผู้อ่านลองนึกตอบดูบ้างซิ เผื่อใครเขานึกกำลังจะสอบเอาลูกเขยลูกสะใภ้มาบ้าง จะได้ลองสอบแข่งขันดู พอดูลูกชายจำเอาข้อสอบได้แล้ว ก็ตระเวนไปเที่ยวถามผู้หญิงเห็นผู้หญิงคนใดท่าทางเป็นที่ต้องตา ต้องใจ ก็เข้าไปถามดูว่า "คุณ ! คุณพ่อให้มาถามว่า "เรามีปลาอยู่ตัวเดียว ทำยังไงจึงจะกินไปได้ตลอดปี" "อ๋อ! ง่ายนิดเดียว เราก็ทำปลาร้าไว้ซิ!" แม่คนหนึ่งตอบตก!
"ไม่ยาก ๆ ทำเค็มไว้ซิค่ะ !" คนสวยอีกคนตอบ ตกอีก! เหมือกันจะตอบว่าอย่างไรจึงถูก มีใครตอบว่าอย่างไร ก็จำเป็นมาบอกคุณพ่อ ผลที่สุดก็สอบตกกันเป็นแถว ทำปลาร้า ปลาเจ่าปลาแห้ง ปลาเค็ม ไม่ถูกทั้งนั้น เพราะมันปลาตัวเดียวเท่านั้น ต่อให้ทำเค็มเท่าไร ๆ มันก็หมด
ครั้งลูกชายเศรษฐีตระเวนไปถามไป ก็ไปเจอหญิงแก้วเข้าคนหนึ่งแกตอบว่า "ทำอะไรก็ได้คือเอาปลาตัวนั้นมาตัดเป็นท่อน ๆ หลายๆ ท่อน แล้วเอาท่อนหนึ่งไปให้บ้านป้า อีกท่อนหนึ่งไปให้บ้านน้า บ้านเพื่อนบ้านที่แจกจ่ายจ่ายแบ่งปันไป เราผัวเมียกินท่อนเดียวก็พอ โดยวิธีนี้ปลาตัวนั้นจะช่วยเราไปตลอดปี" พ่อหนุ่มลูกเศรษฐีนำความไปบอกคุณพ่อ ท่านเศรษฐีได้ยินคำตอบก็ปรบมือหัวเราะก๊ากด้วยความดีใจ ตกลงแม่คนนี้สอบได้และได้ครองตำแหน่งลูกสะใภ้เศรษฐี! จริงของเขาไหมท่าน ? ปลาท่อนเดียวที่มีถูกส่งแยกย้ายไปอยู่บ้านคนอื่นนั้น มันเป็นของมีฤทธิ์ ใครกินมันเข้าไปแล้ว มันจะคอยสะกิดหัวใจคนนั้น ปี ๆ ให้คิดถึงนายเก่าของมัน แล้วก็อยากจะให้อะไรแก่เขา (ผู้ให้) แล้วผลที่สุดก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ ปลาท่อนเดียว เท่านั้น มันอาจกลับมาเป็น เนื้อ เนื้อไก่ เป็นผัก และเป็นอะไร ๆ ก็ได้ แปลกไหมท่าน ? ตรึกตรองดูให้ดี ๆ แล้ว การให้ปันเป็นงานน่าทำจริง ๆ เป็นงานที่ได้ผลประหลาด ๆ ของที่เราแบ่งปันให้เขา ถ้าดูกันให้สุดต้นสุดปลายแล้วก็คือให้เรานั่นเอง คล้าย ๆ กันเราให้น้ำ ให้ปุ๋ยแก่ต้นไป ๆ ต้นไม้ก็ให้ดอกให้ดอกให้ผลแก่เรา และผลที่ได้ก็งอกเงยขึ้นอีกเป็นทวีคูณเพราะเหตุนี้แหละนักปราชญ์ท่านจึงกล่าว่า
ข้อคิด
-คนโง่ไม่แบ่งปันให้ใคร เพราะกลัวจน แต่ก็เพราะกลัวจนคนฉลาดจึงแบ่งปัน
-การรู้จักมีน้ำใจต่อเพื่อนบ้าน
เกียรติสุดา ศรีลาชัย
50010511055
สาขาวิทยาศาสตร์ทั่วไป
นางสาววรรณิภา ไชยมาตย์
รหัส 50010511072
สาขาวิทยาศาสตร์ทั่วไป คณะศึกษาศาสตร์
นิทานเรื่อง กำพร้าไหคำ
นานมาแล้ว ณ หมู่บ้านแห่งหนึ่ง มีเด็กชายคนหนึ่งชื่อว่า บุญเหลือ พ่อแม่เสียชีวิตทั้งคู่ ได้อาศัยอยู่กับตายายมาจนเติบใหญ่ บุญเหลือ มีอาชีพทำไร่ทำนา และช่วยงานตายายแทบทุกอย่าง บุญเหลือสงสารตายายที่แก่แล้ว ไม่อยากให้ตายายต้องมาเหนื่อยกับงาน ไม่ว่างานทำไร่ ทำนา หาบน้ำ หาอาหาร ทำกับข้าว บุญเหลือจะอาสาทำเอง โดยให้ตายายอยู่เฉย ๆ อยู่มาวันหนึ่ง เมื่อบุญเหลือทำนาเสร็จแล้ว ถึงช่วงที่ข้าวกำลังออกดอกออกรวง บุญเหลือออกไปนาแต่เช้า เห็นต้นข้าวเสียหายมากมาย แต่ก็ไม่ทราบว่าใคร หรืออะไรมาทำให้ข้าวเสียหายได้แบบนี้ เขาจึงคิดวางแผนจะจับคนร้าย ในคืนต่อมา บุญเหลือจึงออกไปนา แอบซุ่มอยู่ พอจวนสว่าง นางผีกองกอยออกหากินมาถึงตรงที่เขาแอบซุ่มอยู่พอดี เห็นเขาเข้า เกิดนึกรัก อยากได้ไปเป็นผัว จึงเป่าลมปากอันเหม็นหึ่ง ใส่บุญเหลือ บุญเหลือจึงฟุบสลบไป นางผีกองกอย จึงแบกร่างบุญเหลือพากลับไปยังโพรงใหญ่แห่งหนึ่งอันเป็นที่อยู่ของตนแล้วแปลงร่างเป็นสาวสวยงามนางหนึ่ง คอยดูแลปรนนิบัติบุญเหลือ บุญเหลือยังจำรูปร่างอันน่าเกลียดและลมปากอันเหม็นหึ่งของนางผีกองกอยได้ดี และรู้ว่าหญิงสาวที่ปรนนิบัติตนอยู่นี้คือคนเดียวกับผีกองกอย แม้จะได้รับการดูแลเป็นอย่างดี แต่บุญเหลือก็ไม่อยากอยู่ที่นี่ เพราะคิดถึงตายาย เป็นห่วงตายายว่าจะไม่มีใครดูแล จึงพยายามหาวิธีออกจากโพรงนั้น ซึ่งในขณะที่เดินหาทางออกอยู่นั้น เขาก็ได้พบกับไหสมบัติมีแก้วแหวนเงินทองของมีค่ามากมาย บุญเหลืออยู่ในโพรงนั้นไม่นานเท่าใดนัก ก็รู้ทางออกจากโพรง เมื่อนางผีกองกอยออกไปหากินตอนดึกสงัด บุญเหลือจึงแอบหนีออกไป โดยไม่ได้นำแก้วแหวนเงินทองของมีค่าต่าง ๆ ติดตัวไปด้วยเลย เพราะเขาคิดว่า มันไม่ใช่ของเขา และที่เขาต้องการคือได้กลับบ้านไปหาตายายเท่านั้น พอจวนสว่าง นางผีกองกอยกลับมา ปกตินางจะเห็นบุญเหลือยังคงหลับอยู่ แต่วันนี้ ไม่เห็นบุญเหลือ นางก็ทราบทันทีว่า เขาคงแอบหนีไปแล้ว จึงรีบออกติดตามหา ฝ่ายบุญเหลือ หนีมาจนถึงนาตนเอง ระหว่างนั้นก็มองกลับหลัง เห็นนางผีกองกอยกำลังตามมาอยู่ไกล ๆ ครั้นจะวิ่งหนีต่อไป คงไม่ทัน เพราะนางผีกองกอยวิ่งเร็วกว่า ต้องโดนจับไปอีกแน่ ๆ บุญเหลือเห็นจวนตัว จึงลงจากคันนา มุดคลานไปตามระหว่างกอข้าว พอดีนาตรงนั้น ไม่มีน้ำขังอยู่ บุญเหลือนึกอุบายได้ จึงนอนลงแล้วเขย่ากอข้าว รวงข้าวที่พลังออกดอก ให้เกสรสีขาว ๆ หล่นใส่ร่างกายจนทั่ว แลดูเหมือนหนอนตัวเล็ก ๆ แล้วเขาก็นอนนิ่งแสร้งตายอยู่ตรงนั้น นางผีกองกอยมาถึงบริเวณนั้น สอดส่ายสายตาหา จนพบเห็นร่างของบุญเหลือนอนอยู่ นางสงสัยว่าบุญเหลืออาจนอนหลับ จึงส่งเสียงปลุก แต่เขาก็ยังไม่กระดุกกระดิก นางจึงใช้มือจี้เอว เพื่อให้สะดุ้ง หรือหัวเราะ บุญเหลือก็ยังทนได้ นอนแน่นิ่งอยู่ นางเริ่มสงสัยว่า บุญเหลืออาจตายแล้ว นางพยายามจี้เอว ให้บุญเหลือหัวเราะ ก็ไม่เป็นผล เปลี่ยนมาเป็นจี้ฝ่าเท้า เพื่อให้หัวเราะ ก็ไม่ได้ผล นางคิดว่า บุญเหลือตายแล้วจริง ๆ หรือ จึงพยายามก้มเพ่งมองร่างของเขา เห็นดอกข้าวสีขาว ๆ เข้าใจว่าเป็นหนอนตัวเล็ก ๆ ก็รำพึงในใจว่า สงสัยตายมานานแล้วจนมีขี้ไข่ขาง (ไข่แมลงวัน) เต็มไปหมด แต่เพื่อความมั่นใจ นางจึงก้มลงดมพิสูจน์กลิ่น ดมไปถึงแถว ๆ สะโพก บุญเหลือก็ตดออกมาพอดี ส่งกลิ่นเหม็นคละคลุ้ง นางผีกองกอย จึงสรุปได้ว่า บุญเหลือตายไปแล้ว เพราะเห็นดอกข้าวนึกว่าเป็นไข่ขาง และเหม็นกลิ่นตดนึกว่าเป็นกลิ่นศพ นางจึงยอมจากไปแต่โดยดี
บุญเหลือ กลับถึงบ้านอย่างปลอดภัย และทำงานปรนนิบัติตายายอย่างเคย ต่อมา มีเพื่อนบ้านคนหนึ่งชื่อว่านายคำ ถามว่าเขาไปไหนมาตั้งหลายวัน ปล่อยให้ตายายอยู่กันสองคน เขาจึงเล่าเรื่องราวให้ฟังทั้งหมด และบอกว่าไม่ทราบว่าโพรงนั้นจริง ๆ แล้วอยู่ที่ไหน นายคำ เป็นคนละโมบ ฟังแล้วเกิดอยากได้แก้วแหวนเงินทองที่อยู่ในโพรงนั้น จึงพยายามถามและจดจำรายละเอียดต่าง ๆ ได้จนขึ้นใจ และทำการต่างๆ จนถูกนางผีกองกอยจับไปเป็นผัว
ได้สำเร็จ นายคำใช้เวลาสำรวจโพรงไม่นานก็ทราบว่า ทรัพย์สมบัติอยู่ที่ไหน ทางออกอยู่ตรงไหน และในคืนต่อมา ก็วางแผนเตรียมหนี เขาแสร้งทำเป็นหลับเพื่อให้นางผีกองกอยออกหากิน และจากนั้นก็เอาแก้วแหวนเงินทองติดตัวไปด้วยมากมาย แล้วรีบวิ่งหนีเพื่อจะกลับถึงบ้านให้เร็วที่สุด ก่อนที่ผีกองกอยจะตามมาทัน
นางผีกองกอยกลับมา ไม่เห็น ก็ออกติดตามเช่นเดิม มาทันที่บริเวณนาของบุญเหลือเหมือนเดิม
นายคำ เห็นจวนตัว จึงเอาแก้วแหวนเงินทองซุกไว้ข้างคันนา แล้วคลานไปตามระหว่างกอข้าว เอามือลูบเกสรดอกข้าวนำมาป้ายตามหน้าตามตัว แล้วก็นอนแสร้งตาย นางผีกองกอย เห็นร่างเขาที่มีดอกข้าวอยู่ เข้าใจว่าเป็นขี้ไข่ขาง และคิดว่าคงตายมานานแล้ว แต่เพื่อให้แน่ใจนางก็เลยเอามือจี้เอวให้หัวเราะ นายคำ ทนไม่ได้ จึงดิ้นและหัวเราะออกมาก๊ากใหญ่ นางผีกองกอยรู้ตัวว่าโดนอก โมโหมาก จึงหักคอนายคำตาย แล้วนำศพไปทิ้งในป่าช้า
เมื่อถึงหน้าเกี่ยวข้าว บุญเหลือเกี่ยวข้าวไปถึงตรงคันนานั้น เห็นแก้วแหวนเงินทองที่นายคำซุกไว้ คิดว่าสิ่งของเหล่านี้มามีอยู่ในที่นาของตน คงเป็นเพราะบุญของตน จึงเก็บเอาและนำกลับบ้าน พร้อมทั้งเล่าเรื่องราวให้ตายายฟัง จากนั้นเป็นต้นมา บุญเหลือและตายายก็มีความเป็นอยู่ดีขึ้น
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า โลภมาก ลาภหาย โลภหลาย ตายจ้อย
เรื่องหนูกัดเหล็ก
ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีเศรษฐีคนหนึ่งมีลูกชายเป็นคนไม่รักดี ได้แต่ใช้จ่ายทรัพย์
เที่ยว กิน เล่น เลี้ยงเพื่อนฝูง ไม่นึกทำมาหากิน พ่อแม่จะว่ากล่าวตักเตือนอย่างไร
ก็ไม่เชื่อฟังในที่สุดเศรษฐีก็ตรอมใจตาย แต่ก่อนตายได้เอาเงินกับทองใส่ตุ่มอย่างละตุ่มฝังไว้ และด้วยความดีที่ได้กระทำมา ส่งผลให้เศรษฐีไปเกิดเป็นเทวดา ฝ่ายลูกเศรษฐีเมื่อพ่อแม่ตายแล้วก็ยิ่งกำเริบ ใช้เงินเลี้ยงเพื่อนเที่ยวเตร่เสเพล ไม่นานเงินก็หมด เพื่อนฝูงที่เคยล้อมหน้าล้อมหลังก็หายหน้าไปทีละคน อยู่มาวันหนึ่งเพื่อนชวนไปกินเลี้ยงกันตามเคย โดยสั่งลูกเศรษฐีตกยากว่าถ้าคิดจะไปกินเลี้ยง ก็ให้เอาไก่ไปร่วมในการกินเลี้ยงด้วยหนึ่งตัว ลูกเศรษฐีอยากกินเลี้ยงมาก ถึงแม้จะไม่มีเงินแล้ว ก็ยังขวนขวายหาไก่ได้ตัวหนึ่ง จึงจัดการลวกน้ำร้อนถอนขน แล้วผูกห่อใบตองเตรียมที่จะไปร่วมงานกินเลี้ยง ครั้นเดินมาตามทาง เพราะความเหนื่อยจึงแวะพักใต้ต้นไม้ข้างทางแล้วม่อยหลับไป บังเอิญมีอีกาตัวหนึ่งเกาะอยู่บนต้นไม้นั้น ได้กลิ่นเนื้อโชยมาจากใบตอง จึงบินโฉบลงมาคาบห่อใบตองไป เขาจึงต้องไปงานกินเลี้ยงมือเปล่า พอถึงบ้านเพื่อนที่นัดกินเลี้ยงก็เล่าให้เพื่อนฟัง แต่ไม่มีใครเชื่อในคำพูดของเขาเลย
ต่างคิดว่าเขาคงไม่มีปัญญาหาไก่มา จึงกุเรื่องแก้เก้อ แถมยังพูดจาเยาะเย้ยถากถางว่าไม่มีปัญญาหาไก่มา แล้วยังไปโทษอีกาอีกลูกเศรษฐีทั้งเจ็บทั้งอายตัดสินใจไม่ร่วมวงกินเลี้ยงด้วย รีบเดินทางกลับบ้าน เมื่อถึงบ้านแล้วก็ยังน้อยใจไม่หาย นึกถึงความหลังที่ตนมั่งมีเงินทอง ผู้คนล้อมหน้า
ล้อมหลัง เสียใจกินไม่ได้ นอนไม่หลับ ร่างกายก็ผ่ายผอมลงฝ่ายเทวดาพ่อแม่เห็นอาการของลูกก็อดสงสารเสียมิได้ จึงมาเข้าฝันลูกว่า "นั่นแหละลูกเอ๋ย เมื่อพ่อแม่ยังอยู่ก็ได้สอนเจ้านักหนาเรื่องการใช้เงินทองเมื่อยามลำบากยากจน ใครเขาจะมานับถือ พูดจริงก็เป็นหลอกไปได้ ขอให้เจ้ารู้สึกตัวและทำตัวเสียใหม่ พ่อแม่จะช่วย" ในฝันนั้นเองลูกเศรษฐีก็คิดได้ จึงสัญญากับพ่อแม่ว่า ต่อไปจะเลิกความประพฤติเดิมจะตั้งใจทำมาหากิน เลี้ยงตัวให้มีเงินพอ จะไม่ให้ใครมาดูถูกได้อีกต่อไปเมื่อเทวดาพ่อแม่ได้รับคำสัญญาจากลูกเช่นนั้นก็พอใจยิ่งนัก เมื่อลูกสัญญาว่าจะกลับตัวเป็นคนดีจึงได้บอกที่ซ่อนตุ่มเงินและตุ่มทองให้ในฝันนั้นเองพอตื่นขึ้นมาลูกเศรษฐีก็รีบไปขุดหาตุ่มเงินตุ่มทอง ก็พบจริงตามฝัน จึงนำเงินในตุ่มมาทำทุนตั้งหน้าตั้งตาทำมาหากิน ไม่นานก็กลับฟื้นตัวพอมีฐานะขึ้นอีก เพื่อนที่เคยหนีหาย ก็เริ่มกลับมาคบหาเพิ่มขึ้นทุกวัน ลูกเศรษฐียังจำวันที่เพื่อนฝูงเยาะเย้ยได้ไม่ลืม วันหนึ่งลูกเศรษฐีเห็นได้โอกาสจึงชวนเพื่อน
มากินเลี้ยงกันอีกเหมือนเมื่อยังร่ำรวยหนก่อน เพื่อนฝูงต่างก็มากันพร้อมหน้าพร้อมตาขณะที่
กินเลี้ยงอย่างครึกครื้นเฮฮาอยู่นั้น ลูกเศรษฐีได้นำมีดเหี้ยนๆ เล่มหนึ่งมาให้เพื่อนดู
พลางพูดขึ้นว่า"อัศจรรย์จริงๆ มีดเล่มนี้เพิ่งซื้อมาใหม่ๆ แท้ๆ ทิ้งไว้คืนเดียวหนูมากัดเสียจนเหี้ยนหมดเหลือเท่านี้เอง"เพื่อนฝูงทั้งหลายเมื่อได้ยินก็รับคำเชื่อตามคำพูด บางคนก็ประสมโรง
พูดว่า"จริงเหมือนเพื่อนว่าหนูมันร้ายนัก มีดของเราก็เคยโดนเหมือนกัน เหี้ยนเหมือนอย่างนี้ไม่มีผิด"เพื่อนคนอื่นก็พูดว่า "ใช่ๆ" คนละคำสองคำลูกเศรษฐีเมื่อได้ยินดังนั้น ก็คิดได้ว่า"ยามเมื่อเรายากจนคนดูถูก ถ้อยคำที่พูดไม่มีน้ำหนัก ถึงพูดความจริงก็ยังไม่มีคนเชื่อ แต่เมื่อยามมั่งมีเงินทอง จะพูดอย่างไรจริงหรือเท็จไม่สำคัญ คนย่อมยอมรับเชื่อถือ"
ข้อคิดที่ได้จากนิทานเรื่องนี้
1.สอนให้รู้จักการประหยัด อดออม ไม่ใช้ฟุ่มเฟือย รู้จักคุณค่าของเงิน
2.สอนให้รู้จักการคบเพื่อนที่ดี
3.สอนให้รู้จักความกตัญญูต่อบิดามารดา แลชื่อฟังคำสั่งสอนของบิดามารดา
นายฤทธิชัย ภูสีนาค
50010511070
ชื่อนางสาวนิตยา แปงการิยา
50010511017
ชายชรากับลังเหล็ก
กาลครั้งหนึ่ง ยังมีคุณลุงอยู่ท่านหนึ่ง ในช่วงวัยหนุ่มคุณลุงท่านนี้เป็นหัวหน้าคนงานอยู่ในเหมืองทองคำมีรายได้ดีมาก แต่คุณลุงท่านนี้ไม่เคยเก็บเงินเลยมีเท่าไรก็ใช้หมด เนื่องจากคุณลุงเป็นคนจิตใจดีใครมาหยิบยืมก็ให้ เลี้ยงเพื่อนฝูงตลอด คุณลุงมีเพื่อนเยอะมาก จนกระทั่งคุณลุงท่านนี้เกษียณอายุจากการทำงาน ปรากฏว่าไม่มีเงินเหลือเลยจากชีวิตการทำงานอันยาวนาน คุณลุงมีลูกอยู่ 5 คน เมื่อคุณลุงไม่มีเงินก็จำเป็นต้องไปอาศัยอยู่บ้านลูกๆ ทั้ง 5 คน
วันจันทร์ ก็ไปอยู่บ้านลูกสาว ก็ถูกลูกเขยพูดจากระทบกระเทียบ เช่น "ทำไมคุณพ่อคุณไม่ไปบ้านลูกคนอื่นบ้างนะ ผมจะทำอะไรก็อึดอัดจริงๆ "
วันอังคาร ก็ไปอยู่บ้านลูกชาย ก็ถูกหลาน และลูกสะใภ้กระทบกระเทียบ เช่น "รำคาญคุณปู่จังเลยกับข้าวที่หนูชอบดูสิคุณปู่ทานหมดเลย ทำไมคุณปู่ไม่ไปบ้านอื่นบ้าง" เป็นเช่นนี้ตลอด คุณลุงก็เปลี่ยนไปอยู่บ้านลูกคนนั้นทีคนนี้ที ก็ถูกลูกบ้าง ลูกเขยบ้าง ลูกสะใภ้บ้าง หลานบ้างพูดจาถากถางอยู่ตลอด แต่คุณลุงก็ต้องทน เพราะคุณลุงไม่มีเงินเก็บแม้แต่บาทเดียว
อยู่มาวันหนึ่ง คุณลุงตัดสินใจเรียกลูกๆ ทุกคนมาแล้วบอกว่า "พ่อจะไม่อยู่สัก 2 ปีนะลูก เพราะเพื่อนพ่อที่เป็นเจ้าของเหมืองทองคำมันเขียนจดหมายมาขอร้องให้พ่อไปช่วยงานที่เหมืองทองคำของมัน พ่อจำเป็นต้องไปช่วยเขาจริงๆ" ลูกๆ ได้ฟังดังนั้นก็ดีใจสนับสนุนเพื่อให้คุณลุงท่านนี้ไปให้พ้นๆ จะได้ไม่เป็นภาระอีกต่อไป
เมื่อครบ 2 ปี คุณลุงท่านนี้ก็กลับมาพร้อมกับลังเหล็กใบใหญ่ 1 ใบ ไปไหนแกก็ลากไปด้วย ลูกๆ ก็พากันแปลกใจและถามว่า "ลังอะไร" คุณลุงตอบว่า "เป็นสมบัติชิ้นสุดท้ายที่ได้มาจากเหมืองทองคำของเพื่อน ถ้าใครดูแลพ่อจนถึงวาระสุดท้ายก็จะมอบสมบัติในลังเหล็กให้ทั้งหมด" ปรากฏว่า ลูกๆ พากันตื่นเต้น ต่างอาสามาดูแลคุณพ่อกันยกใหญ่
วันจันทร์ คุณลุงก็อยู่กับลูกสาวคนโต ลูกเขยกับหลานก็พากันเอาใจบีบนวดให้ หาของกินดีๆ มาให้ แต่ยังไม่ทันไรลูกชายคนที่สองก็มาตามให้ไปอยู่ด้วย และก็เช่นกันยังไม่ทันไร ลูกสาวคนที่สาม ก็มาตามให้ไปอยู่ด้วยอีก ปรากฏว่าลูกๆ ทั้ง 5 คน ของคุณลุงต่างแย่งกันเอาใจและปรนนิบัติคุณลุงท่านนี้อย่างดี แต่เวลาไปไหนคุณลุงก็จะลากลังเหล็กใบนี้ไปด้วยตลอด
เวลาผ่านไป 7 ปี คุณลุงท่านนี้เสียชีวิตลง หลังงานพิธีศพลูกๆ ทุกคนพากันมานั่งล้อมลังเหล็กใบนี้เพื่อแบ่งสมบัติกัน ลูกสาวคนโตเป็นคนเปิดฝาลังเหล็ก พบว่ายังมีผ้าสีขาวปิดอยู่อีกชั้นหนึ่ง และมีจดหมายฉบับหนึ่งวางอยู่ ลูกสาวคนโตก็เปิดอ่านให้น้องๆ ฟัง เนื้อความในจดหมายเขียนไว้ว่า
"ถึงลูกๆที่รักทุกคน"
ก่อนอื่นพ่อต้องขอขอบคุณก้อนหินทุกๆก้อนในลังเหล็กใบนี้ที่ได้เลี้ยงดูชีวิตพ่อจนถึงวาระสุดท้าย พ่อขอให้ลูกๆแบ่งก้อนหินในลังเหล็กใบนี้ไปคนละเท่าๆกันเพื่อเป็นอนุสรณ์เตือนใจให้พวกเจ้าหมั่นเก็บออมเสียตั้งแต่วันนี้เพื่อที่เวลาพวกเจ้าแก่ตัวลงจะได้ไม่มีชีวิตที่น่าสมเพชเยี่ยงพ่อ"
รักลูก
จากพ่อ
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า อย่าประมาทและอย่าคาดหวังว่าใครจะเลี้ยงดูเรา ให้เร่งเก็บออมเสียตั้งแต่เนิ่นๆ จะได้มีชีวิตบั้นปลายที่สุขสบาย
นางสาวนิตยา แปงการิยา
50010511017
นิทานพื้นบ้าน
เรื่อง ขูลูนางอั้ว
ว่ากันว่ามีหมู่บ้านหมู่บ้านหนึ่ง ชื่อว่า บ้านโคกกง และอีกหมู่บ้านหนึ่งชื่อ บ้านทุ่งมน สองหมู่บ้านนี้ติดกัน รักใคร่สามัคคีกันดี ความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อน 2 ครอบครัวสัญญากันไว้ว่า ถ้าใครมีลูกชายจะให้เป็นเพื่อนกัน หากอีกฝ่ายเป็นหญิงจะให้แต่งงานกัน โดยไม่มีเงื่อนไข
วันหนึ่งฝ่าย นางกาสี อยู่บ้านโคกกง ซึ่งมีสวนส้ม กำลังสุกเหลือง ส่วนฝ่ายบ้านทุ่งมน เกิดอยากกินผลส้มเลยชวนพวกมาขอผลส้มกินแต่ นางกาสีหวงไม่ยอมยกให้ จนเกิดผิดใจกันระหว่างเพื่อน ก็เลยเลิกคบค้ากัน ขนาดว่าจะไม่ให้ลูกหลานคบค้าสมาคมกัน และแค้นใจมาก
18 ปีต่อมา ฝ่ายนางกาสี มีลูกชายชื่อ ขูลู ส่วนอีกฝ่าย มีลูกสาวชื่อ นางอั้ว ทั้งสองเกิดรักใครชอบกัน โดยที่ไม่ฟังคำคัดค้านจากฝ่ายพ่อแม่ทั้งสองฝ่ายเลยแม้แต่น้อย พ่อของนางอั้ว กลัวลูกสาวไปปล่อยตัวปล่อยใจจนเกินงามให้ ขูลู เลยออกอุบายให้นางอั้วแต่งงานกับ ขุนลาง หลานเจ้าสัว มหาเศรษฐีปล่อยเงินกู้ผู้กว้างขวางและเอารัดเอาเปรียบในหมู่บ้านทุ่งมน วันหนึ่ง ขุนลางกับน้าชาย ได้ทวงเรื่องหนี้สินที่พ่อนางอั้วเคยหยิบยืมไป แต่ก็ไม่มีให้ในที่สุด น้าชายของขุนลางบังคับให้นางอั้วแต่งงานเพื่อชดใช้หนี้ นางไม่ยินยอมเพราะมีใจให้ขูลูอยู่ จึงตัดสินใจ ในคืนก่อนเข้าพิธีแต่งงานหนึ่งวันกับขุนลาง มอบกายให้ขูลูจากนั้นก็ตัดสินใจผูกคอตาย พอขูลูรู้ข่าวการตาย จึงใช้มีดแทงตัวตายตามนางอั้วไป
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
ที่ใดมีรัก ที่นั้นจะไม่มีทุกข์ถ้า เราเปิดใจฟังความคิดเห็นซึ่งกันและกัน
นางสาวศิริพร วิไลวงศ์
รหัสนิสิต 50010511037
สาขาวิทยาศาสตร์ทั่วไป GS
นิทานพื้นบ้าน
เรื่อง นางปากเป็น
เค้าโครงจากบทประพันธ์ เรื่อง หญิงสามคน
ณ เมือง พาราณสี มีท้าวพรหมฑัต ครองเมือง ท่านได้ออกเสด็จมาเยี่ยมเยียนราษฎร ประชากรได้เข้าแถวนั่งริมทั้งสองฝั่งทาง ต่างพนมถือ บ้างก้มกราบ แต่ต้องมาสะดุดอยู่นานกับยายผู้หนึ่งซึ่งกำลังปิดปากหลานบ้างล่ะ หยิกหลานบ้างล่ะ ตีแขนบ้างล่ะท้าวพรหมฑัต ถึงถามว่าตีลูกทำไม ยายอึกอักไม่กล้าพูด แต่ท้าวฯบอกว่าถ้าไม่พูดจะประหารเสีย ยายจึงบอกว่า “หลานอิฉัน ชื่อ เกลี้ยง เป็นคนพูดมากปากเป็น พอมันเห็นพระองค์เสด็จมา และพูดว่าพระองค์แก่ และเป็นเนื้อคู่มันเมื่อชาติที่แล้วน่ะเพคะ” ยายตอบอย่างซื่อๆทำเอาท้าวฯตะลึง
จนคล้อยค่ำหลังจากพบปะประชาชนเสร็จก็ไปบ้านนางเกลี้ยงแล้วให้ยายเล่าเรื่องนางเกลี้ยงให้ฟัง ยายจึงบอกว่า แม่มันหนีไปก็เพราะปากมันนี่แหละ มันพูดมาก ชอบพูดโกหก ปริ้นปร้อน กะล่อน ตอแหล มุสา ขี้ฉ้อ ขี้ฉน คนเลว (โห...ครบชุดเลย อย่าเอาอย่างนะคับ) บางทีคำพูดของมัน ทำเอาชาวบ้านเดือดร้อนทั้งหมู่บ้านก็มี แต่ละวันต้องมีเรื่องอะไรอย่างใดอย่างหนึ่งแน่ๆ
พระมเหสีจึงบอกว่าจะเอา นางเกลี้ยงไปกำราบในวังเอง จนกระทั้งมาอยู่ได้ 2 เดือน นางนั้นอยู่อย่างหวานอมขมกลืน เพราะราชาท่านสั่งห้ามพูดเรื่องต่างๆ ไม่ว่าเรื่องไหนก็ห้ามพูด วันๆก่อนนอนถึงกับต้องพูดกับตัวเอง จนคนคิดว่าเป็นบ้า ครั้นจะพูดกับใครก็กลัวเผลอตนไปโกหกเขา และเกิดเรื่องต่างๆ นางอึดอัดมาก ผิดวิสัยคนปากเป็น
เรื่องมาเกิดเอาตอนที่ท้าวฯสั่งให้นางถอนหงอกให้ และสั่งว่าห้ามบอกใครว่าข้ามีผมหงอก แต่นางอดไม่ได้จริงๆถึงกับลอกออกจากวังมาเล่าให้ต้นไม้ต้นหนึ่งฟัง พอคลายทุเลาคันปากแล้ว นางเกลี้ยงจึงกลับเข้าวัง พอไม่นาน ต้นไม่ต้นนั้นได้ถูกตัดนำมาสร้างทำเป็นกลองในวัง พอท้าวฯสั่งให้นักดนตรีตีลองดูกลองก็มีเสียงดังออกมาว่า “ท้าวพรหมทัต มีผมหงอก” ตีกี่ครั้งก็พูดอย่างเดิม ท่านใช้ให้ทหารผ่าออกดูก็ไม่มีอะไร คิดว่าต้นไม้ผีนี่คงรู้เรื่องจากนางเกลี้ยงแน่จึงไล่นางออกจากกวัง
นางเกลี้ยงกลับบ้านไม่ถูก บังเอิญมีเหยี่ยว 2 ผัวเมีย ใจดีให้นางเกาะขาคนละข้างแล้วจะบินไปส่งบ้านระหว่างทาง นางเกลี้ยงอดไม่ได้ที่จะพูดอะไรสักอย่าง นางจึงพูดกับเหยี่ยวเมียว่า ผัวเจ้าบอกว่าแกเป็นอีนังเหยี่ยวหนังยาน แก่ก็แก่ เหยี่ยวอมยิ้ม แล้วหันมาทางเหยี่ยวผัว แล้วแต่งเรื่องหวังแต่งเรื่องให้ทั้งสองทะเลาะกัน เหยี่ยวทั้งสองหันหน้าเข้าหากัน แล้วยิ้มพร้อมกับพยักหน้า ทั้งคู่สลัดขา นางเกลี้ยงจึงตกลงมา ริมฝั่งแม่น้ำกระแทกกับก้อนหินขนาดใหญ่ตาย เณรมาเห็นจึงเกนชาวบ้านเอาไปทำพิธีแล้วฝังกระดูกนางเกลี้ยงใต้ต้นตาล และนี่คือที่มาของคนที่กินลูกตาลถ้าเมาแล้ว จะพูดมากปากเปียก ปากแฉะ พูดมั่วซั่วไปเรื่อย เหมือนนางเกลี้ยงนี่แหละ
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
- คนเราจะพูดจะอะไรก็ควรระมัดระวัง และควรเสี้ยมสอนลูกหลานให้พูดเพราะๆ
- คิดก่อนพูด แต่อย่าพูดทุกคำที่คิด
-คนที่ไม่ถูกผู้อื่นนินทา ไม่มีในโลก
นางสาวภาวิณี ยิ่งศรีสุข
รหัสนิสิต 50010511069
วิทยาศาสตร์ทั่วไป GS
นิทานพื้นบ้าน
เรื่อง ศึกกลางหมู่บ้าน
เค้าโครงจากบทประพันธ์ เรื่อง น้ำผึ้งหยดเดียว
น้ำผึ้งหยดเดียว หรือ น้ำผึ้งเหตุ นี้ จะหาว่าเรื่องราวชุลมุนวุ่นวายที่เกิดขึ้นจะเป็นเพราะน้ำผึ้งคงไม่ใช่ เอ ใครเป็นต้นเหตุแห่งความวุ่นวายทั้งหมดกันนะ ร่วมมาร่วมกันคิด ตริตรอง และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันดีกว่า ใครผิด ใครถูก เรื่องมันมีว่า
ช่วงปลายปีมีการเล่นว่าวที่ชายทุ่ง ลมพัดเย็นสบาย นางเย็นชื่น ได้พาลูกมานั่งดูว่าวใต้ต้นไม้หน้าบ้าน ที่คนเขาเล่นปล่อยว่าวขึ้นสูงเสียดฟ้า ต่อมามีเด็กคนหนึ่งเดินถือขวดน้ำผึ้งเดินมาตามถนน แต่ว่าตานั้นได้แหงนมองดูว่าวเพลินเกินไป เท้าจึงสะดุดล้มลง น้ำผึ้งจึงหกลงมาถนน 1 หยด แล้วเด็กก็เดินต่อไป ทีนี้มีมด แมลง มากินน้ำผึ้งกันตามประสา ทีนี้คางคกจึงมาไล่จับกินแมลง มด แล้วมีแมวตัวหนึ่งมาไล่กินจิ้งจก ทีนี้หมาก็มาวิ่งกัดแมว เพื่อจะแย่งเยื่อ เด็กเจ้าของแมวเห็นเข้าจึงเอาไม้มาฟาดใส่หมาเต็มๆ
เด็กเจ้าของหมาเห็นหมาตัวเองขาหักจึงวิ่งถือไม้จะมาตีเด็กเจ้าของแมว เด็กเจ้าของแมวก็ร้องให้พ่อมาช่วย พ่อเจ้าของแมวจึงถือไม้ฟาดหัวเด็กเจ้าของหมาวิ่งหัวแตกกลับไป พ่อของเด็กเจ้าของหมาเห็นลูกหัวแตกกลับมา จึงฉวยได้ไม้พลองมาตีเอาพ่อของเด็กเจ้าของแมวล้มลง เด็กเจ้าของแมวเห็นแล้วก็รีบวิ่งไปหยิบดาบมาฟันแขนพ่อของเด็กเจ้าของหมาได้รับบาดเจ็บ ไม้พลองจึงหลุดจากมือ
พ่อเจ้าของหมาวิ่งโซซัดโซเซไปเพื่อไปเล่าให้คนที่บ้านฟัง พอน้องชายและลูกคนโตรู้เข้าก็ถือดาบและไม้พลองวิ่งสวนกันมา หมายจะฟันคนที่ฟันพ่อของตน เมื่อบุตรคนโตของเจ้าของแมวเห็นเหตุการณ์บ้างก็ได้แต่เอาไม้พลองป้องกันน้องไว้ และได้ตีลูกชายตนโตเจ้าของหมา ดาบที่มือก็หล่นลง อาเห็นว่าหลานชายตัวเองเสียทีจึงเอาไม้พลองตีเด็กหนุ่มเจ้าของแมว ฝ่ายพ่อของเด็กเจ้าของแมวเมื่อหายมืดแปดด้านด้าน หน้ามืดตามัวแล้ว ก็จะฟันเอาพวกเจ้าของหมาทั้งหลาย ฝ่ายอาก็ได้ใช้พลองป้องกันไว้ ทีนี้ต่างคนต่างตีกันไปมา ชุลมุนวุ่นวาย ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร อลเวงกันจนบรรยายไม่ได้
จนกระทั่งคนที่เห็นเหตุการณ์ หรือเดินผ่านมา เห็นว่าใครน่าจะผิดจะถูกก็วิ่งเข้าไปแจม เป็นกทะเลาะเบาะแว้งที่ใหญ่กว่าเดิม ทีนี้เพื่อนสนิทมิตรสหายของแต่ละฝ่ายเห็นเข้าก็วิ่งเข้าไปต่อสู้ช่วยเพื่อนตนเอง จาก1คน2คนหลายมาเป็นสิบกว่าคน ต่างฝ่ายต่างได้รับบาดเจ็บไม่แพ้กัน อลวนอลเวงเหลือคณานับ
จนกระทั่งกำนัน ผู้ใหญ่บ้านมาห้ามปรามจึงได้หยุดลง และลบเลือนหายไปเป็นบางส่วน และได้สงบลงพักหนึ่ง แล้วช่วยกันชันสูตรบาดแผล และสอบถามได้ความว่า ฝ่ายบาดเจ็บ 15 คน ( ฝ่ายหมาเหรอ ฟังทะแม่งๆจัง ) ฝ่ายแมวบาดเจ็บ 9 คน เพราะพวกมีน้อย ครั้นแล้วเหล่าผู้ใหญ่จึงไต่สวนถามว่า ต้นสายปลายเหตุเป็นยังไงมายังไง ต่างคนต่างบอกไม่ทราบ เอ๊ะ ดูมันประหลาดมาก ไม่รู้สาเหตุแต่มาปะเลาะกันจนเกือบล้มตาย
มีคนหนึ่งบอกว่าเห็นพี่ชายตนบาดเจ็บเลยได้ไม้พลองมาช่วยกันไปแต่ไม่รู้โดนใครบ้าง ผู้ใหญ่เลยถามพี่ชายคนนั้น ได้ความว่าเห็นบุตรหัวแตกมาเลยไปช่วย ผู้ใหญ่จึงถามบุตรคนนั้น ได้ความว่า เห็นหมาขาหักเลยไปช่วยหมา ผู้ใหญ่จึงถามหมา เอ้ย........ จะถามหมาได้ไงกันเนอะ ไม่ถามละกัน แล้วกำนันก็ไปถามอีกฝ่ายหนึ่ง ได้ความว่าเขาเห็นพ่อล้มลง เลยเอาดาบไปช่วย กำนันเลยถามพ่อคนนั้น ได้ความว่า เสียงบุตรคนเล็กร้องไห้เลยถือไม้ลงไปช่วย เลยถามเด็กเลยบอกว่าหมาฝ่านโน้นมากัดแมวผม เลยสรุปว่าหมากัดแมว แต่ฝ่ายหมาค้านมาว่าหมาของตนกลัวแมวจะตาย (เอ๊ะ...ยังไง) จนนางเย็นชื่นมาเล่าให้ฟังว่า หมาแมวพวกนี้คงจะแย่งเยื่อกันกระมัง แกเล่าตอไปว่า ก่อนกน้านี้มีเด็กคนหนึ่งมาทำน้ำผึ้งหยดลงพื้นไว้พวกมด พวกแมลงเลยมากิน แล้วคางคกเลยมากินแมลงทีนี้หมาแมวคู่นี้เลยมาที่นั่นแล้วก็ชุลมุนจนอิฉันก็งงเหมือนกัน...............ต่างฝ่ายไม่รู้จะทำยังไงต่อไป........เรื่องนี้ก็เอวังเท่านี้กระมัง ผมก็ไม่ทราบว่าทั้งสองฝ่ายจะทำอย่างไรต่อไป จะรักหรือเกลียดกันเข้ากระดูกก็ไม่ทราบ
นิทานเรื่องสอนให้รู้ว่า
อย่าทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่
อย่าเป็นคนหุนหันพลันแล่นและมีทิฐิ จนไม่ยอมฟังเหตุผลซึ่งกันและกัน
นางสาวพิมพ์ใจ ภูหัดการ
รหัสนิสิต 50010511066
สาขาวิทยาศาสตร์ทั่วไป GS
นิทานเรื่อง "เซี่ยงเมี่ยงไหวดี"
นิทานเรื่องนี้ชื่อว่า เซี่ยงเมี่ยงไหวดี
นานมาแล้ว มีหนุ่มคนหนึ่ง
หนุ่มน้อยคนหนึ่งชื่อเซี่ยงเมี่ยง
เซี่ยงเมี่ยงนี่ก็มีเพื่อนหลายอย่าง
มีเพื่อนหลายคนหลายประเภทเหมือนกัน
เป็นสิงสาลาสัตว์จำพวกนั้น เซี่ยงเมี่ยงก็เป็นเพื่อนด้วย
อย่างเช่น เซี่ยงเมี่ยงมีเพื่อนเป็นเสือ มีเพื่อนเป็นไก่ มีเพื่อนเป็นวัว ส่วนเซี่ยงเมี่ยงก็เป็นคน
ทีนี้ เซี่ยงเมี่ยงก็เป็นคนค่อนข้างหัวดีหน่อย
คือชอบเอาเปรียบเพื่อน
วันหนึ่งพวกเขาก็ได้แบ่งเวรกันในหมู่เพื่อน
มีเสือ มีไก่ มีวัว มีเซี่ยงเมี่ยง
พวกเขาก็จะแบ่งเวรกันว่า
หนึ่ง ถ้าเซี่ยงเมี่ยงไม่ได้ไปทำงาน เซี่ยงเมี่ยงจะต้องไปหาอาหารมาให้เพื่อนๆกิน
สอง สมมติว่า พรุ่งนี้เป็นเวรของเจ้าเสือ
เจ้าเสือจะต้องไปหาอาหารมาให้เพื่อนๆกิน
เจ้าไก่ก็ไปหาอาหารมาให้เพื่อน ๆ กิน
แล้วก็..เจ้าวัวไปหาอาหารมาให้เพื่อน ๆ กิน
วันหนึ่งเป็นเวรหาอาหารของเจ้าไก่ เซี่ยงเมี่ยงก็เลยทำท่าปวดท้อง
"โอ๊ย ไม่ได้ทำงานช่วยเพื่อน โอ๊ยปวดท้อง"
ทีนี้ เพื่อนก็เลยพูดว่า "ไม่เป็นไรหรอกเพื่อน ขึ้นไปนอนพักบนบ้านเถอะ"
ทีนี้ เซี่ยงเมี่ยงก็เลยได้โอกาส
ก็ทำท่านอนหลับ และคิดว่า
"เอ๊ะ เจ้าไก่ทำไมไม่ไปหาอาหารมาไว้คอยเพื่อน ๆ ซะที" ว่างั้น
ทีนี้ เขาก็เลยสังเกตดูเจ้าไก่
มันก็รอเวลา รอเวลากินอาหารเที่ยง
เจ้าไก่ก็คิดว่า ตัวเองมีไข่อยู่ในท้องแล้ว
ก็เลย กะ กะ กะ กะต๊าก
ไข่ก็ตกลงมา แล้วมันก็ทอดให้เพื่อนมันกิน
กะ กะ กะต๊ากอยู่ สามถึงสี่ครั้ง
เพื่อให้เพื่อนๆพอกินกัน
เพื่อนๆ จึงขึ้นมา เซี่ยงเมี่ยงก็เลยทำท่าปวดท้อง
ทีนี้ เพื่อนขึ้นมาปุ๊บ ก็พูดว่า
"ไปปลุกเซี่ยงเมี่ยงมากินข้าวเถอะ" ว่างั้น
"มันปวดท้องนี่ สงสัยมันเป็นโรคอะไรแน่เลย"
ทีนี้ ก็เลยไปปลุกมันมากิน
เซี่ยงเมี่ยงพูดว่า "อร่อยมากเลย" ว่างั้น
ทีนี้พอวันต่อมาเป็นเวรของเซี่ยงเมี่ยง
ทีนี้ เซี่ยงเมี่ยงก็จะใช้สูตรนี้
จึงคิดว่า " โอ๊ย ขี้เกียจไปหาอาหาร
ต้องใช้สูตรของเจ้าไก่ซะแล้ว" ว่างั้น
ทีนี้ "แหม จะทำยังไงดีล่ะ
เราเป็นคนเราจะมีไข่เหมือนมันเหรอ" ว่างั้น
ทีนี้ เซี่ยงเมี่ยงก็เลยกินมะขามน้อย
กินสิ่งที่มันเปรี้ยวๆ แล้วก็กินเข้าไป
เขากินเข้าไปเยอะมาก
ทีนี้ท้องเขาก็เสีย
เซี่ยงเมี่ยงก็เลย "เออ ใช้สูตรเจ้าไก่นี่แหละ"
ทีนี้ เซี่ยงเมี่ยงก็ขึ้นไปนั่งบนกะทะ
เขาก็ จู๊ดออกมา ถ่ายออกมา
แล้วก็ผัด ๆ ๆ จนแห้งให้เพื่อน
พอถึงเวลาเขาก็ไปเรียกเพื่อน
"มาเพื่อนๆ มากิน มากิน"
เขาก็ใส่จานอย่างดี เพื่อนก็เลยถามว่า "แกทำอะไรน่ะเซี่ยงเมี่ยง"
"ผัดไข่" ว่างั้น
"มันจะอร่อยเหรอ เมื่อวานกินทอดไข่ของเจ้าไก่ ข้าว่ามันก็อร่อยนะ" เจ้าวัวพูด
เจ้าเสือจึงว่า "จริงด้วยล่ะ" ว่างั้น
ทีนี้ มันก็เตรียมลง เซี่ยงเมี่ยงก็เลยนั่งลง
"เอากินกันเลย เรากินอิ่มแล้ว"
เพื่อนก็เลยพูดว่า "อ้าว มากินด้วยกันสิเซี่ยงเมี่ยง"
"ไม่ล่ะ เรากินอิ่มแล้ว"
เซี่ยงเมี่ยงก็เลยเดินลงบันไดไป
แล้วเขาก็เลยพูดขึ้นว่า
"หมูกินขี้กา หมูกินขี้กา" ว่างั้น
เพื่อนๆก็เลยฟังออก
"ห๊า มันว่าเรากินขี้มันเหรอ" ว่างั้น
พวกเขาจึงไล่เซี่ยงเมี่ยงออกจากบ้านไป
หลังจากนั้น เขาก็เลยตัดเพื่อนตัดฝูงกับเซี่ยงเมี่ยง
ก็เลย จบ
ข้อคิดที่ได้จากเรื่อง
1 .เป็นคนฉลาดนั้นแหละดีแต่เราต้องฉลาดในสิ่งที่ถูกต้อง
2 เราไม่ควรเอาเปรียบเพื่อน
3 เป็นคนที่มีความซื่อสัตย์
นางสาว อาภาพร กมล รหัสนิสิต 50010511050 สาขา GS
นิทานเรื่อง "เซี่ยงเมี่ยงกับพ่อเฒ่า"
วันหนึ่ง พ่อเฒ่าก็เรียก "เซี่ยงเหมี่ยงๆ" ว่างั้น
"มีอะไรเหรอพ่อ"
"เดี๋ยวพ่อจะพาไปเนินเขานะ"
"ครับๆๆ" ว่างั้น เซี่ยงเหมี่ยงก็เลยไป
เขาก็แบกเอากระทอไปด้วย
กระทอคือตะกร้าสำหรับใส่ของถักแบบห่างๆ เขาเรียกกระทอ
ก็เอาไปเนินเขา
จะไปเก็บใบชาดมาอัดกับใบตองทำฝาบ้าน
ก็เลยไป พอไปถึง
ตะกร้านี่ก็ค่อนข้างใหญ่ ต้องหาบเอา
พอไปถึง ก็เก็บใบตองและใบชาดใส่กระทอ ที่มีทรงสูงขึ้นไป
ทีนี้ เซี่ยงเหมี่ยงหาเก็บจนได้เยอะแล้ว
เลยบอกพ่อว่า
"เอ้า พ่อเฒ่า" ว่างั้น
"เดี๋ยวผมไปถ่ายแป็บนึงนะ" ว่างั้น
ทีนี้เซี่ยงเหมี่ยงได้ที
ก็เลยเอาใบตองใส่กระทอ
แล้วก็เข้าไปนั่งในกระทอ
เอาใบตองปิดตัวเอง
ทีนี้ พ่อก็เอาใบตองใส่กระทออีกอันหนึ่ง
แล้วพ่อก็หาบขึ้นมา แล้วก็บอกว่า
"เอ๊ะ ทำไมมันหนักอยู่ข้างเดียว"
ทีนี้ เซี่ยงเหมี่ยงเลยย่อตัวลงไปอีก
พ่อก็พูด "โอ๊ย กลับบ้านดีกว่า แล้วทำไมเซี่ยงเหมี่ยงถึงไปถ่ายนานจัง"
ทีนี้ เซี่ยงเหมี่ยงก็เลยออกมาจากกระทอ
แล้วถามพ่อว่า "เหนื่อยไหมจ๊ะ พ่อ"
พ่อเลยว่า "ไม่รู้เหรอว่ามันเหนื่อย" ว่างั้น
แล้วก็เอาไม้คานไล่ตีเซี่ยงเหมี่ยง
เซี่ยงเหมี่ยงเลยวิ่งหนีไป
ทีนี้ พ่อก็คิดจะทำเหมือนเซี่ยงเหมี่ยง
เลยเอาใบตองออก
แล้วเข้าไปนั่งในกระทอเหมือนกัน
ทีนี้ เซี่ยงเหมี่ยงเลยพูดว่า
"ไปดูพ่อก่อนดีกว่า" ว่างั้น
เซี่ยงเหมี่ยงเดินกลับมา แล้วก็พูดว่า "เอ๊ะ" "พ่อหายไปไหนแล้วเนี่ย ถ้าเราไม่เอากระทอกลับบ้าน ต้องโดนเมียว่าแน่ๆ"
เซี่ยงเหมี่ยงก็เลยแบกไป
"เอ๊ะ ทำไมหนักจัง" แล้วคิดในใจว่า
"โอ๊ะ สงสัยพ่ออยู่ในนี้แน่แล้ว"
เซี่ยงเหมี่ยงเลยหาบกระทอไปไว้ใกล้ๆ หนองน้ำ
ทีนี้ เซี่ยงเหมี่ยงก็แกล้งตะโกนว่า
"โอ๊ะ ช้างตังใหญ่ ตายแล้ว ตายแล้ว
ช้างตัวใหญ่มันจะมาเหยียบกระทอ"
พ่ออยู่ในกระทอ ก็ตกใจ
กระโดดออกจากกระทอ ตกหนองน้ำ
ทีนี้ เซี่ยงเหมี่ยงก็เลยหัวเราะ
แล้วถามพ่อว่า "เป็นยังไง พ่อ"
พ่อก็เลยโกรธเซี่ยงเหมี่ยงมาก
ทีนี้ พ่อเฒ่าบอกเซี่ยงเหมี่ยง
ให้เอาไม้คานมาช่วยพ่อขึ้นจากหนองน้ำ
แล้วก็ช่วยกันหาบกระทอกลับบ้าน
พอกลับถึงบ้าน พ่อเลยคิดว่า
"ปั้ดโธ่ เดี๋ยวต้องหาทางแกล้งมันอีก
เซี่ยงเมี่ยงมันฉลาดจริง ๆ"
ก็เลยพาไปตัดต้นกีก
เปลือกนอกมันจะอ่อน แต่แกนจะแข็ง
ทีนี้ เซี่ยงเหมี่ยงก็บอกว่า "โอ๊ย พ่อเฒ่า"
"เดี๋ยวให้ผมเป็นคนตัดก่อนนะ"
ว่าแล้วก็เอาขวานไปฟันป็อก ๆ ๆ
จนรอบเกือบจะถึงแกนแล้ว
"ตาพ่อแล้ว" เซี่ยงเหมี่ยงพูด
พ่อเลยพูดว่า "ใกล้จะหักแล้วนี่"
พ่อก็ออกแรงฟันเอา ฟันเอา จนถึงแกน
"โอ๊ย ถึงแกนมันแล้วนี่"
"แกนมันแข็งจะตาย เซี่ยงเหมี่ยงมันแกล้งเราอีกแล้ว"
ทีนี้ พ่อเลยตัดจนไม้ล้ม
แล้วให้เซี่ยงเหมี่ยงช่วยเอากลับบ้าน
พ่อก็คิดว่า "แกล้งมันอีกดีกว่า ชวนมันไปตัดต้นตาลอยู่ทุ่งนาดีกว่า"
ทีนี้ พ่อเลยบอกเซี่ยงเหมี่ยงว่า
"เซี่ยงเมี่ยง เดี๋ยวให้พ่อเป็นคนตัดก่อนนะ"
พ่อออกแรง ใช้ขวานฟันต้นตาลอยู่หลายที
ก็คิดว่า "ทำไมต้นตาลมันแข็งจัง"
พ่อใช้ขวานฟันจนรอบแล้ว
ทีนี้ เซี่ยงเหมี่ยงก็พูดว่า "ตาผมแล้วใช่ไหม"
ก็เอาขวานไปฟัน "ทำไมฟันง่ายแบบนี้นะ"
ต้นตาลพอถึงแกนแล้วจะไม่ค่อยแข็ง แล้วต้นตาลก็ล้มลง
หลังจากนั้นมา พ่อเลยยอมแพ้เซี่ยงเหมี่ยง
เซี่ยงเหมี่ยงบอกให้พ่อทำอะไร พ่อก็ต้องทำตาม
ข้อคิดที่ได้จากเรื่อง
1. เป็นคนฉลาดควรจะฉลาดในทางที่ถูกต้องไม่ควรที่จะแกล้งคนแก่
2. ควรใช้ความสามารถในทางที่ดี
3. ไม่ควรเอาเปรียบผู้อื่น
4. มีความฉลาดไม่ควรฉลาดแกมโกง
ชื่อนางสาวสุภาลักษณ์ โสพันนา รหัส 50010511043 สาขาวิชาวิทยาศาสตร์ทั่วไป
อุทัยเทวี
ณ เมืองบาดาล ธิดาพญานาคหนีมาเที่ยวเมืองมนุษย์และพบรักกับรุกขเทวดาที่สิงสถิตอยู่ในต้นไม้ริมสระน้ำ ธิดาพญานาคตั้งครรภ์รอจนคลอดเป็นไข่ฟองหนึ่ง จึงใช้สไบห่อไข่และพ่นพิษคุ้มครองไว้ก่อนแล้วลงกลับไปเมืองบาดาล บังเอิญมีนางคางคกผ่านมาเห็นจึง กินไข่และตายด้วยพิษพญานาค พอดีกับไข่ฟักเป็นเด็กหญิงซึ่งคิดว่านางคางคกเป็นแม่ของตน จึงอาศัยอยู่ในซากคางคกเน่าๆ
ตายายสองผัวเมียมาตกปลาพายเรือผ่านมาเห็นเข้าก็ช่วยเลี้ยงดูจนโต ตั้งชื่อให้ว่าอุทัยเทวี และอุทัยเทวีได้แต่งงานกับเจ้าชายสุทธราช ซึ่งก่อนแต่งตากับยาก็ได้มีข้อกำหนดว่า ต้องสร้างสะพานทองตั้งแต่วัง จนถึงบ้านตายยายแต่ก็ผ่านไปได้ด้วยดี อุทัยเทวีจึงเป็นสะใภ้แห่งเมืองหลวง มารดาของเจ้าชายไม่ค่อยชอบอุทัยเทวีนัก จึงหาทางให้ลูกของตนเป็นของคนอื่นไป ซึ่งนั่นคือ เจ้าชายต้องไปแต่งงานกับเจ้าหญิงฉันทนา ซึ่งอุทัยเทวีก็ตามไปด้วยตามสัญญา เจ้าหญิงฉันทนาคิดกำจัดอุทัยเทวีโดยฆ่านางอุทัยเทวี แต่พ่อของอุทัยเทวี ช่วยไว้ จึงบอกว่าให้รอแก้แค้นนางฉันทนาอยู่นอกวัง
ต่อมาไม่นานนางฉันทนากลุ้มใจเรื่องผีนางอุทัยเทวีจะมาหลอก หัวจึงหงอก ผมที่เคนดำกลับขาวไปทุกเส้น จึงเอาผ้าพันศีรษะไว้ตลอดเวลา ต่อมานางอุทัยเทวีแปลงกายเป็นแม่ค้าขายขนมแก่ๆผ่านมา ซึ่งผมดำยาวสลวยผิดกับนางฉันทนา นางฉันทนาเห็นเข้าจึง คิดว่ายายแก่คนนี้ก็มีเคร็ดลับในการบำรุงรักษาผมอย่างแน่นอน จึงให้ยายแก่เข้าไปในวัง และให้รักษาผมของตนเองให้ แต่นางอุทัยเทวีก็จะรักษาให้ แต่ต้องยอมให้ทำทุกอย่างห้ามถามอะไรทั้งสิ้น นางฉันทนาตกลง จึงนอนลงแล้วนางอุทัยเทวี ก็เอามีดโกนโกนผมนางฉันทนา ออกจนหมด แล้วกรีดศีรษะนางฉันทนาแล้วเอาปลาร้าให้หม้อครอบหัวนางฉันทนาไว้ และห้ามเอาหม้อออกก่อนวันที่ 7 แต่ไม่ถึงคืนนางฉันทนาทนพิษบาดแผลไม่ไหว จึงสิ้นใจตาย
เจ้าชายสิทธิราช รู้ดังนั้นจึงกลับไปเมืองของตน ซึ่งก็ยังเห็นอุทัยเทวีอยู่ที่เมืองอยู่ก็ทรงโล่งใจ อุทัยเทวี ได้ครองรักกับเจ้าชายอย่างมีความสุขตราบนานเท่านาน
ข้อคิด คติเตือนใจ
** คนเราหมั่นทำความดีไว้เยอะๆ เป็นสมบัติไว้ใช้ในชาติต่อไป
** ความแค้นไม่เคยจบเคยสิ้น ฉะนั้นเราคนไทย อย่าไปมีอคติกับใคร
** ปลาร้า ยังคงความแซบอยู่ทุกยุคทุกสมัย
** คู่กันแล้วไม่คล้วกัน
นางสาวอุทัยทิพย์ ศิริวารินทร์ รหัส 50010511079
สาขาวิชาวิทยาศาสตร์ทั่วไป
- สามเกลอ -
ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในกระท่อมน้อยหลังหนึ่งห่างจากตัวเมือง มีชายหนุ่ม 3 คน ต่างเป็นเพื่อนสนิทรักกัน และซื่อสัตย์ต่อกันยิ่งนัก อาศัยอยู่ต่างก็ช่วยกันทำมาหากิน มิได้มีคนหนึ่งคนใดเกียจคร้าน แต่ก็ยังยากจน เพราะการทำมาหากิน ของคนในเมืองแร้นแค้น เนื่องจากความแห้งแล้ง ที่เกิดขึ้นติดต่อกันนานหลายปี
วันหนึ่ง ชายหนุ่มทั้งสามคนได้ปรึกษาหารือกันว่า ถ้าขืนอยู่กันอย่างนั้นต่อไปอีก จะต้องอดตายแน่จึงได้ตกลงกันว่า จะแยกกันออกไปทำมาหาเลี้ยงชีพในต่างเมือง ชายหนุ่มคนหนึ่งเลือกไปผจญโชคทางทิศเหนือ คนที่สองมุ่งไปทางทิศใต้ และอีกคนหนึ่งมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออก
เมื่อแยกกันไปแล้ว สองคนแรกที่ไปทางทิศเหนือ และทิศใต้ หาเลี้ยงชีพได้พอกินไปวันๆ เก็บเงินสะสมไว้ไม่ได้ ในทิศตะวันออกนั้น บังเอิญมีเมืองๆ หนึ่ง เจ้าผู้ครองเมืองสิ้นพระชนม์ลง โหรประจำเมืองได้ทำนายว่า การเลือกเจ้าผู้ครองใหม่นั้น ควรจะต้องเลือกคนที่เดินทางมาจากที่ไกล ซึ่งกำลังจะเดินทางมาถึงแล้ว บุคคลคนนี้จะทำคุณประโยชน์แก่บ้านเมืองนานัปการ แม้คนๆ นี้จะเคยยากจนมาก่อน หากเลือกคนในเมืองขึ้นครองเมือง ภัยพิบัติจะเกิดแก่ราษฏร
พวกเสนาประชาชนจึงตั้งตาคอยผู้มีบุญ ส่งคนแยกย้ายกันออกไปสืบเสาะ หาตัวตามหมู่บ้านก็คว้าน้ำเหลว ในที่สุดก็เห็นชายคนหนึ่ง กำลังมุ่งหน้าเดินทางเข้าเมือง จึงเข้าไปห้อมล้อมเอาตัวเข้าเมือง
จากการซักถาม ชายผู้โชคดีก็เล่าประวัติของตน โดยไม่ปิดบัง ว่าตนนั้นเป็นคนยากจนยิ่งนัก จะมาหาทางประกอบอาชีพในเมืองนี้ เพราะที่บ้านเดิมทำมาหากินไม่ได้ พืชพันธุ์ธัญญาหารแห้งตาย เนื่องจากความแล้ง ชาวเมืองและเสนาจึงพาตัวชายหนุ่มไปหาโหร ให้จับยามผูกดวงดูลักษณะ เห็นว่าชายหนุ่มนั้นคือผู้มีบุญ สมควรจะอัญเชิญให้ขึ้นครองเมือง เป็นเจ้าเมืองแทนคนเก่าต่อไป
เมื่อได้ครองเมืองแล้ว ชายหนุ่มผู้มีอัธยาศัยก็ไม่ได้ลืมตัว คิดถึงเพื่อนเก่าที่แยกไปหากิน ทางทิศเหนือ และทิศใต้ หาโอกาสที่จะส่งคนไปสืบหาและชวนมาทำงานด้วย คงจะเป็นหลักฐานดีกว่าจะระหกระเหินไป
อยู่มาวันหนึ่ง ขณะที่เจ้าผู้ครองเมืองกำลังออกว่าความเมือง ประชุมปรึกษาหารือ กับกรมการเมืองชั้นผู้ใหญ่ในวัง เพื่อวางแผนทำนุบำรุงบ้านเมืองต่อไป
กิติศัพท์โชคดีของเพื่อน ผู้มุ่งหน้าไปผจญโชคทางทิศตะวันออก ได้กระจายไปถึงเพื่อนอีก 2 คน ทางทิศเหนือ และทิศใต้ ราวกับนัดกัน ปรากฏว่าชายหนุ่มทั้งสอง ต่างละงานที่ตนทำอยู่ เดินทางมุ่งหน้ามาขอพึ่งในใบบุญ ของเพื่อนผู้ได้ดี ด้วยความบังเอิญชายหนุ่มทั้งสองคน มาถึงหน้าวังเร็วช้ากว่ากันเพียงเล็กน้อย
ชายที่มาจากทางทิศเหนือ ความที่ถือวิสาสะ พอมาถึงหน้าประตูวังก็ไม่ได้ไต่ถามใคร วิ่งตรงเข้าไปในที่ประชุมราชการ ตรงไปที่แท่นของเจ้าผู้ครองเมือง พลางตะโกนอย่างลิงโลดว่า
"เฮ้ย! เอ็งยังจำข้าได้ไหม พอรู้ว่าเอ็งขึ้นครองเมือง ข้าก็รีบมา จะได้หายลำบากเสียทีหนึ่ง"
เจ้าเมืองได้ยินดังนั้น จึงคิดในใจว่า "เรานั้นมิใช่จะลืมเพื่อน และละอายอดีตของตัวเอง แต่คนอย่างเพื่อนเราคนนี้ ขืนรับอุปการะก็จะวางตัวเป็นใหญ่ อ้างความเป็นเพื่อนกับตัวเรา ก่อความเสียหายและเดือนร้อน กับราชการและประชาชนได้"
คิดแล้วเจ้าผู้ครองเมืองจึงสั่งด้วยเสียงอันดังว่า "อ้ายหมอนี่บังอาจมาอ้างว่า เป็นเพื่อนสนิทของเรา เราไม่เคยรู้จักมัน อ้ายนี่เป็นบ้าแน่ เสนาจับตัวไปขังไว้ก่อน"
ทหารจึงจับตัวชายผู้ไม่รู้จักกาละเทศะคนนั้น ไปจองจำไว้ในตรุ ด้วยเจ้าเมืองยังเมตตาในฐานะเพื่อนเก่า ไม่สั่งนำตัวไปฆ่าเสีย โทษการตีตัวเสมอเจ้านาย ต่อหน้าธารกำนัลนั้น จะสั่งประหารเสียก็ได้
อีก 2-3 วันต่อมา ขณะที่เจ้าเมืองกำลังประชุม ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่อยู่นั้น เพื่อนคนที่แยกตัวไปหากินทางทิศใต้ ก็เดินทางมาถึง พอเห็นเพื่อนเก่านั่งอยู่บนที่สูง ท่ามกลางเสนาและอำมาตย์ชั้นผู้ใหญ่ ก็รู้ว่ากำลังประชุมเรื่องสำคัญ จึงแอบไปนั่งคอยอยู่เชิงบันได บังเอิญเจ้าผู้ครองเมือง ทรงเหลียวมาทอดพระเนตรเห็น จึงรับสั่งให้ยุติการประชุมไว้ชั่วคราว แล้วทรงเรียกเพื่อนเก่าเข้าเฝ้าโดยใกล้ชิด
ฝ่ายชายหนุ่มผู้มีมารยาท เมื่อได้ยินรับสั่ง ก็คลานเข้าไปหมอบอยู่เฉพาะหน้า ของเจ้าผู้ครองเมือง ทำความเคารพเช่นราษฏรสามัญ แล้วทูลว่า
"กระหม่อมได้ทราบข่าวว่าพระองค์ ได้ขึ้นครองเมืองนี้เลยมาขอเข้าเฝ้า นับเป็นบุญวาสนาของพระองค์ ที่ทรงกระทำไว้แต่ปางก่อน พระชาตินี้จึงประสบความสุขความเจริญ และเป็นวาสนาของกระหม่อมที่มีโอกาสเข้าเฝ้า ไม่ทราบว่าทรงจำข้าพระองค์ได้หรือไม่"
เจ้าผู้ครองเมืองจึงทรงคิดว่า "เพื่อนเราคนนี้ เป็นคนมีมารยาท รู้จักกาละเทศะ รู้จักสิ่งที่ควรไม่ควร ทำตนเหมาะสมกับโอกาส" จึงรับสั่งดังๆ ว่า
"อ๋อ! จำได้ซีเพื่อน ดีใจมากที่เพื่อนมาหา เข้ามานั่งใกล้ๆ กับเราสิ" พวกขุนนาง ข้าราชการ ได้ยินเช่นนั้นจึงรีบกุลีกุจอจัดที่ให้ชายคนนั้น ทรงยินดีที่เพื่อนมาเยี่ยม รับสั่งให้จัดอาหารคาวหวาน มาเลี้ยงเป็นการใหญ่
เมื่อเลี้ยงดูเสร็จแล้ว เจ้าผู้ครองเมืองจึงเอ่ยปาก ชวนเพื่อนเก่าให้มาอยู่ด้วย ซึ่งชายหนุ่มก็รับคำทรงชวน ด้วยความสมใจและยินดี
วันรุ่งขึ้น เจ้าผู้ครองเมืองทรงชวนเพื่อน ไปตามเสด็จไปเยี่ยมเพื่อนที่โดนขัง อยู่ในตรุ เมื่อเสด็จไปถึงที่คุมขัง ก็รับสั่งกับเพื่อนผู้ไม่รู้จักกาละเทศะว่า
"เพื่อนเอ๋ย ที่เพื่อนต้องมาโดนขังอย่างนี้ ก็เพราะว่าเพื่อนทำอะไรไม่เหมาะสมเลย แม้เราจะเคยเป็นเพื่อนกันมาก่อนก็ตาม แต่การที่ทำตัวไม่ถูกไม่ควร ไม่รู้จักกาละเทศะ เหตุการณ์ สถานที่ และบุคคล เราจึงจำต้องให้เสนาจับมาขังไว้ เพราะถ้าเราไม่ทำเช่นนี้ เราก็ปกครองเมืองนี้ไม่ได้ แต่จะทำอย่างไรก็ตามไหนๆ เราก็เคยร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาก่อน เราจึงไม่สั่งประหารชีวิตเพื่อน ยังอยากจะให้เพื่อนอยู่ทำงานกับเรา เราจะให้เพื่อนเป็นยามเฝ้าประตู ส่วนเพื่อนเราคนนี้ เราจะแต่งตั้งให้เป็นทหารคนสนิท เพราะความรู้จักที่สูงที่ต่ำ รู้จักกาละเทศะ และไม่ทำให้เราต้องอายผู้คน ที่เข้าเฝ้าปรึกษางานเมืองกันอยู่"
เรื่องความรู้จักกาละเทศะ การปรับตัวนั้น มีความสำคัญอยู่ทุกสมัย ไม่ว่าสังคมที่ไหนๆ ก็ตาม..
ข้อคิดที่ได้จากเรื่อง
1. การรู้จักกาลเทศะของตัวละคร
2. การรู้จักสถานภาพของบุคคล
3. คนที่ไม่รู้จักกาลเทศะจาทำให้คนรอบข้างลำบากใจ
นิทานพื้นบ้าน
นายกิติศักดิ์ รัตนมูล
50010511054
2GS
- สามเกลอ -
ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในกระท่อมน้อยหลังหนึ่งห่างจากตัวเมือง มีชายหนุ่ม 3 คน ต่างเป็นเพื่อนสนิทรักกัน และซื่อสัตย์ต่อกันยิ่งนัก อาศัยอยู่ต่างก็ช่วยกันทำมาหากิน มิได้มีคนหนึ่งคนใดเกียจคร้าน แต่ก็ยังยากจน เพราะการทำมาหากิน ของคนในเมืองแร้นแค้น เนื่องจากความแห้งแล้ง ที่เกิดขึ้นติดต่อกันนานหลายปี
วันหนึ่ง ชายหนุ่มทั้งสามคนได้ปรึกษาหารือกันว่า ถ้าขืนอยู่กันอย่างนั้นต่อไปอีก จะต้องอดตายแน่จึงได้ตกลงกันว่า จะแยกกันออกไปทำมาหาเลี้ยงชีพในต่างเมือง ชายหนุ่มคนหนึ่งเลือกไปผจญโชคทางทิศเหนือ คนที่สองมุ่งไปทางทิศใต้ และอีกคนหนึ่งมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออก
เมื่อแยกกันไปแล้ว สองคนแรกที่ไปทางทิศเหนือ และทิศใต้ หาเลี้ยงชีพได้พอกินไปวันๆ เก็บเงินสะสมไว้ไม่ได้ ในทิศตะวันออกนั้น บังเอิญมีเมืองๆ หนึ่ง เจ้าผู้ครองเมืองสิ้นพระชนม์ลง โหรประจำเมืองได้ทำนายว่า การเลือกเจ้าผู้ครองใหม่นั้น ควรจะต้องเลือกคนที่เดินทางมาจากที่ไกล ซึ่งกำลังจะเดินทางมาถึงแล้ว บุคคลคนนี้จะทำคุณประโยชน์แก่บ้านเมืองนานัปการ แม้คนๆ นี้จะเคยยากจนมาก่อน หากเลือกคนในเมืองขึ้นครองเมือง ภัยพิบัติจะเกิดแก่ราษฏร
พวกเสนาประชาชนจึงตั้งตาคอยผู้มีบุญ ส่งคนแยกย้ายกันออกไปสืบเสาะ หาตัวตามหมู่บ้านก็คว้าน้ำเหลว ในที่สุดก็เห็นชายคนหนึ่ง กำลังมุ่งหน้าเดินทางเข้าเมือง จึงเข้าไปห้อมล้อมเอาตัวเข้าเมือง
จากการซักถาม ชายผู้โชคดีก็เล่าประวัติของตน โดยไม่ปิดบัง ว่าตนนั้นเป็นคนยากจนยิ่งนัก จะมาหาทางประกอบอาชีพในเมืองนี้ เพราะที่บ้านเดิมทำมาหากินไม่ได้ พืชพันธุ์ธัญญาหารแห้งตาย เนื่องจากความแล้ง ชาวเมืองและเสนาจึงพาตัวชายหนุ่มไปหาโหร ให้จับยามผูกดวงดูลักษณะ เห็นว่าชายหนุ่มนั้นคือผู้มีบุญ สมควรจะอัญเชิญให้ขึ้นครองเมือง เป็นเจ้าเมืองแทนคนเก่าต่อไป
เมื่อได้ครองเมืองแล้ว ชายหนุ่มผู้มีอัธยาศัยก็ไม่ได้ลืมตัว คิดถึงเพื่อนเก่าที่แยกไปหากิน ทางทิศเหนือ และทิศใต้ หาโอกาสที่จะส่งคนไปสืบหาและชวนมาทำงานด้วย คงจะเป็นหลักฐานดีกว่าจะระหกระเหินไป
อยู่มาวันหนึ่ง ขณะที่เจ้าผู้ครองเมืองกำลังออกว่าความเมือง ประชุมปรึกษาหารือ กับกรมการเมืองชั้นผู้ใหญ่ในวัง เพื่อวางแผนทำนุบำรุงบ้านเมืองต่อไป
กิติศัพท์โชคดีของเพื่อน ผู้มุ่งหน้าไปผจญโชคทางทิศตะวันออก ได้กระจายไปถึงเพื่อนอีก 2 คน ทางทิศเหนือ และทิศใต้ ราวกับนัดกัน ปรากฏว่าชายหนุ่มทั้งสอง ต่างละงานที่ตนทำอยู่ เดินทางมุ่งหน้ามาขอพึ่งในใบบุญ ของเพื่อนผู้ได้ดี ด้วยความบังเอิญชายหนุ่มทั้งสองคน มาถึงหน้าวังเร็วช้ากว่ากันเพียงเล็กน้อย
ชายที่มาจากทางทิศเหนือ ความที่ถือวิสาสะ พอมาถึงหน้าประตูวังก็ไม่ได้ไต่ถามใคร วิ่งตรงเข้าไปในที่ประชุมราชการ ตรงไปที่แท่นของเจ้าผู้ครองเมือง พลางตะโกนอย่างลิงโลดว่า
"เฮ้ย! เอ็งยังจำข้าได้ไหม พอรู้ว่าเอ็งขึ้นครองเมือง ข้าก็รีบมา จะได้หายลำบากเสียทีหนึ่ง"
เจ้าเมืองได้ยินดังนั้น จึงคิดในใจว่า "เรานั้นมิใช่จะลืมเพื่อน และละอายอดีตของตัวเอง แต่คนอย่างเพื่อนเราคนนี้ ขืนรับอุปการะก็จะวางตัวเป็นใหญ่ อ้างความเป็นเพื่อนกับตัวเรา ก่อความเสียหายและเดือนร้อน กับราชการและประชาชนได้"
คิดแล้วเจ้าผู้ครองเมืองจึงสั่งด้วยเสียงอันดังว่า "อ้ายหมอนี่บังอาจมาอ้างว่า เป็นเพื่อนสนิทของเรา เราไม่เคยรู้จักมัน อ้ายนี่เป็นบ้าแน่ เสนาจับตัวไปขังไว้ก่อน"
ทหารจึงจับตัวชายผู้ไม่รู้จักกาละเทศะคนนั้น ไปจองจำไว้ในตรุ ด้วยเจ้าเมืองยังเมตตาในฐานะเพื่อนเก่า ไม่สั่งนำตัวไปฆ่าเสีย โทษการตีตัวเสมอเจ้านาย ต่อหน้าธารกำนัลนั้น จะสั่งประหารเสียก็ได้
อีก 2-3 วันต่อมา ขณะที่เจ้าเมืองกำลังประชุม ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่อยู่นั้น เพื่อนคนที่แยกตัวไปหากินทางทิศใต้ ก็เดินทางมาถึง พอเห็นเพื่อนเก่านั่งอยู่บนที่สูง ท่ามกลางเสนาและอำมาตย์ชั้นผู้ใหญ่ ก็รู้ว่ากำลังประชุมเรื่องสำคัญ จึงแอบไปนั่งคอยอยู่เชิงบันได บังเอิญเจ้าผู้ครองเมือง ทรงเหลียวมาทอดพระเนตรเห็น จึงรับสั่งให้ยุติการประชุมไว้ชั่วคราว แล้วทรงเรียกเพื่อนเก่าเข้าเฝ้าโดยใกล้ชิด
ฝ่ายชายหนุ่มผู้มีมารยาท เมื่อได้ยินรับสั่ง ก็คลานเข้าไปหมอบอยู่เฉพาะหน้า ของเจ้าผู้ครองเมือง ทำความเคารพเช่นราษฏรสามัญ แล้วทูลว่า
"กระหม่อมได้ทราบข่าวว่าพระองค์ ได้ขึ้นครองเมืองนี้เลยมาขอเข้าเฝ้า นับเป็นบุญวาสนาของพระองค์ ที่ทรงกระทำไว้แต่ปางก่อน พระชาตินี้จึงประสบความสุขความเจริญ และเป็นวาสนาของกระหม่อมที่มีโอกาสเข้าเฝ้า ไม่ทราบว่าทรงจำข้าพระองค์ได้หรือไม่"
เจ้าผู้ครองเมืองจึงทรงคิดว่า "เพื่อนเราคนนี้ เป็นคนมีมารยาท รู้จักกาละเทศะ รู้จักสิ่งที่ควรไม่ควร ทำตนเหมาะสมกับโอกาส" จึงรับสั่งดังๆ ว่า
"อ๋อ! จำได้ซีเพื่อน ดีใจมากที่เพื่อนมาหา เข้ามานั่งใกล้ๆ กับเราสิ" พวกขุนนาง ข้าราชการ ได้ยินเช่นนั้นจึงรีบกุลีกุจอจัดที่ให้ชายคนนั้น ทรงยินดีที่เพื่อนมาเยี่ยม รับสั่งให้จัดอาหารคาวหวาน มาเลี้ยงเป็นการใหญ่
เมื่อเลี้ยงดูเสร็จแล้ว เจ้าผู้ครองเมืองจึงเอ่ยปาก ชวนเพื่อนเก่าให้มาอยู่ด้วย ซึ่งชายหนุ่มก็รับคำทรงชวน ด้วยความสมใจและยินดี
วันรุ่งขึ้น เจ้าผู้ครองเมืองทรงชวนเพื่อน ไปตามเสด็จไปเยี่ยมเพื่อนที่โดนขัง อยู่ในตรุ เมื่อเสด็จไปถึงที่คุมขัง ก็รับสั่งกับเพื่อนผู้ไม่รู้จักกาละเทศะว่า
"เพื่อนเอ๋ย ที่เพื่อนต้องมาโดนขังอย่างนี้ ก็เพราะว่าเพื่อนทำอะไรไม่เหมาะสมเลย แม้เราจะเคยเป็นเพื่อนกันมาก่อนก็ตาม แต่การที่ทำตัวไม่ถูกไม่ควร ไม่รู้จักกาละเทศะ เหตุการณ์ สถานที่ และบุคคล เราจึงจำต้องให้เสนาจับมาขังไว้ เพราะถ้าเราไม่ทำเช่นนี้ เราก็ปกครองเมืองนี้ไม่ได้ แต่จะทำอย่างไรก็ตามไหนๆ เราก็เคยร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาก่อน เราจึงไม่สั่งประหารชีวิตเพื่อน ยังอยากจะให้เพื่อนอยู่ทำงานกับเรา เราจะให้เพื่อนเป็นยามเฝ้าประตู ส่วนเพื่อนเราคนนี้ เราจะแต่งตั้งให้เป็นทหารคนสนิท เพราะความรู้จักที่สูงที่ต่ำ รู้จักกาละเทศะ และไม่ทำให้เราต้องอายผู้คน ที่เข้าเฝ้าปรึกษางานเมืองกันอยู่"
เรื่องความรู้จักกาละเทศะ การปรับตัวนั้น มีความสำคัญอยู่ทุกสมัย ไม่ว่าสังคมที่ไหนๆ ก็ตาม..
ข้อคิดที่ได้จากเรื่อง
1. การรู้จักกาลเทศะของตัวละคร
2. การรู้จักสถานภาพของบุคคล
3. คนที่ไม่รู้จักกาลเทศะจาทำให้คนรอบข้างลำบากใจ
นางสาว ศิริดาว โพธิ์สิงห์
รหัส 49010510069
คณะศึกษาศาสตร์ สาขาวิทยาศาสตร์ทั่วไป
นิทานเรื่อง น้ำตาเมีย
คุณครู เพิ่มศักดิ์ มีเมียชื่อ กาญจนา สอนอยู่กรุงเทพฯ มีลูกอยู่ 2 คน ชื่อ นัฐธิดา กับ นัฐจพร ซึ่งฝากไว้กับน้า อรอาภา ซึ่ง บ้านไม่ไกลกัน ห่างกัน ประมาณ 50 เมตร วันหนึ่งแม่ของครูเพิ่มศักดิ์ ได้ส่ง จดหมาย มาให้ลูกย้ายไปสอนแถวบ้านเราดีกว่า ครูเพิ่มศักดิ์ จึงทำเรื่องย้ายมาพร้อมกับ ฝ้ายศักดิ์ ซึ่งเป็นน้องของครูเพิ่มศักดิ์ แต่ก่อนไป กาญจนา รบเร้าสามีให้ไปจดทะเบียนสมรสกันก่อน เพราะลูกก็โตเป็นสาวแล้ว แต่ ฝ่ายครูนั้นก็บ่ายเบี่ยงไปพอเสร็จๆ แล้วตอบว่า ลูกก็โตแล้ว จะไปจดทำไม แล้วครูเพิ่มศักดิ์กับฝ้ายศักดิ์ก็ได้เดินทางกลับบ้านทางอุดรธานี ปล่อยให้กาญจนาเฝ้าร้าน กิจการของตนทางนี้ก่อน
พอถึงบ้าน ครูเพิ่มศักดิ์ ก็มิได้บอกกับแม่ว่าตนแต่งงานแล้ว เพิ่มศักดิ์กับฝ้ายศักดิ์ช่วยกันปิดบัง แม่จึงรบเร้าให้เพิ่มศักดิ์แต่งงานกับ สุปรานี แม่หม้ายลูกติดเป็นชายหนึ่งคนชื่อ พิซซ่า เพิ่มศักดิ์ก็ยอมเพราะแม่ก็เอ็นดู เจ้าพิซซ่า เหลือเกิน ซึ่งฝ้ายศักดิ์ก็ได้แต่งงานกับ นังจื้นน้องสุปรานี เหมือนกัน พอแต่งงานกันแล้ว ครูเพิ่มศักดิ์ ฝ้ายศักดิ์ และนังจื้น ก็ได้เก็บข้าวของไปสอนที่ อ.พล บ้านวังหิน ปล่อยให้ 3 คนนั้นอยู่บ้านที่อุดรฯ
พอไปถึง เพิ่มศักดิ์ก็ได้พบรักกับ คำหล่า น้องของ ผ.อ. โรงเรียนบ้านวังหิน ซึ่งคำหล่า ได้อกหักจาก ณัฐ ลูกของแม่ผู้ใหญ่ ซึ่งวันที่คำหล่าอกหักนั้น แม่ของณัฐได้ชี้หน้าด่าดูถูกต่างๆนาๆทั้งที่ คำหล่าได้รับคำสัญญาจากจาก ณัฐ ว่ารัก คำหล้าเหลือเกิน แต่เมื่อวันที่ขณะผ้าป่าจากรุงเทพฯ ซึ่งประธานผ้าป่าคือ ณัฐ นั่นเอง ณัฐ ได้แต่งงาน อรอาภา (น้องสาวของกาญจนา)ไปแล้ว คำหล่าได้อกหักแล้วเพิ่มศักดิ์ได้เจอ จึงพบรักกับเพิ่มศักดิ์ นี่คือที่มา
พอทอดผ้าป่าเสร็จ อรอาภาได้กลับกรุงเทพฯ และได้ไปบอกให้กาญจนาทราบว่า ผัวของพี่ได้มีเมียอยู่ที่ อ.พล บ้านวังหิน กาญจนาโกรธจัด พอรู้ข่าวจึงรีบบึ่งมาที่ อ.พล บ้านวังหิน ทันที ในใจคิดว่า มิน่า ไปตั้งหลายเดือนเงินก็ไม่ส่งมาสักบาทฝ่ายแม่ของเพิ่มศักดิ์และสุปรานี เกิดคิดถึงผัวขึ้นมาได้ชวนกันไปที่บ้านวังหิน ไปเยี่ยมเยียน ไปถึงก็ได้โอบกอดผัวที่รัก และประสบกับกาญจนาพอดี จึงเกิดการทะเลาะวิวาทตบตีกันเป็นการใหญ่ แต่ในที่สุดก็ยุติลงตรงที่ นางกาญจนาได้เอ่ยปากบอกให้ผัวทำเรื่องย้ายกลับกรุงเทพฯ แต่ก็ไม่ได้มีแต่เรื่องเดียว เพิ่มศักดิ์ได้ถูกไล่ออกจากการเป็นครูเพราะ นอกจากจะมีเรื่องทางครอบครัวแล้ว เพิ่มศักดิ์ยังมีคดีที่ยักยอกเงินของโรงเรียนไปอีกหลายบาทเพิ่มศักดิ์ อยู่กับ กาญจนาที่กรุงเทพฯไท่นานกิจการร้านของกาญจนา ก็ทรุดลงเพราะ ผัวได้แอบขโมยของในร้านไปกินจนแทบไม่เหลือ และเมาทุกวัน และได้ตบตี กาญจนาจนทนไม่ไหว ผัวได้ซัดเซพเนจรไปทั่วจนไปอยู่กับ คำหล่า กาญจนาแทบ อกแตกตาย คิดถึงวันที่รักกันแรกๆ กาญจนาเป็นเศรษฐี ได้ส่งเสีย เพิ่มศักดิ์จนเป็นครู นางพร่ำรำพันต่างๆนาๆ น้ำตาของเมียได้รินหลั่งอาบไหลของแก้ม สะอึกสะอื้นของหน้าร้านที่ใกล้จะเจ๊ง คิดไปแล้วก็เศร้าแทนเนาะ...
ข้อคิด- อันการเลือกคู่นั้น ควรเลือกให้ดี และให้นานที่สุด จะได้คู่ตนพึงพอใจ
- กรรมใดใครก่อ ย่อมได้รับผลกรรมนั้น พึงทำแต่ความดีกันเถอะหมู่เฮา
49010510069
เรื่อง กระรอกเจาะมะพร้าว
มีหมู่บ้านเล็ก ๆ อยู่แห่งหนึ่ง หมู่บ้านนี้มีต้นมะพร้าวอยู่ริมฝั่งคลองเป็นจำนวนมาก บริเวณนั้นเป็นป่ารก ไม่มีบ้านผู้คน มีแต่สัตว์เล็กสัตว์น้อยอาศัยอยู่ เช่น พวกกระรอก กระแตเป็นต้น
วันหนึ่งมีมะพร้าวต้นหนึ่งที่ขึ้นอยู่ริมคลองฝั่งนี้ เกิดมีลูกดกมาก ลำต้นของมันทานน้ำหนักลูกไม่ไหวก็เลยค่อย ๆ เอนไป จนยอดมะพร้าวไปจดคลองฝั่งโน้น กระรอกฝูงหนึ่งเห็นมะพร้าวเอนลงมายังฝั่งของตน หัวหน้าของกระรอกจึงพูดขึ้นว่า
" โอ้โห วันนี้พวกเราช่างโชคดีเหลือเกิน ลาภปากแท้ ๆ เลย"
"โชคดีอย่างไรล่ะท่านหัวหน้า ช่วยบอกหน่อยสิ" บริวารกระรอกถาม
"ก็โน่นไง เห็นไหม มะพร้าวลูกดกเอนมาทางฝั่งเรา" หัวหน้ากระรอกพูดพลางชี้ให้ดู
"อย่างนั้นพวกเราก็ไปกินมะพร้าวกันได้นะซีท่านหัวหน้า"
"ได้เลย ไปชวนกันมากินเยอะ ๆ นาน ๆ จะมีอาหารอันโอชะมาถึงที่อย่างนี้สักที" หัวหน้าอนุญาต
ว่าแล้วบรรดากระรอกทั้งหลายก็ชวนกันปีนขึ้นไปเจอะกินน้ำมะพร้าว กินกันอย่างเพลิดเพลินอยู่หลายวัน วันละลูกสองลูก โดยไม่ได้ลงมาจากต้นมะพร้าวเลย และไม่ได้สังเกตถึงความผิดปกติของต้นมะพร้าว กินกันจนหมดต้นเมื่อไรไม่รู้ตัว
เมื่อมะพร้าวแห้งหมดทุกลูกแล้ว ต้นมะพร้าวก็เอนไปยังที่เดิม พวกกระรอกทั้งหลายก็ติดอยู่บนต้นมะพร้าวนั้น ไม่สามารถกลับไปยังฝั่งเดิมของตนเองได้ ครั้นจะว่ายน้ำข้ามไปก็ว่ายไม่เป็น ทั้งหมดจึงเศร้าโศกเสียใจ นั่งร้องไห้กันอยู่บนต้นมะพร้าวนั้น
หัวหน้ากระรอกเห็นดังนั้นก็ไม่สบายใจ จึงเรียกบริวารกระรอกมาประชุม ปรึกษาหารือกันว่าจะทำอย่างไรกันดี จึงจะกลับไปยังฝั่งของตนได้ ต่างแสดงความคิดเห็นกันหลายวิธี แต่ก็ติดขัดตรงที่ทำตามที่คิดไม่ได้
ในที่สุดก็มีกระรอกตัวหนึ่งเสนอความคิดว่า "พวกเราน่าจะช่วยกันลงไปอมน้ำในแม่น้ำ แล้วนำมากรอกใส่ในลูกมะพร้าวทุกลูก เมื่อมะพร้าวมีน้ำเต็มทุกลูก ต้นมะพร้าวก็จะเอนไปยังฝั่งของเราดังเดิม"
ความคิดนี้กระรอกทุกตัวต่างเห็นด้วยว่าน่าจะทอดลองทำดู เพราะทำไม่ยาก เพียงแต่กระรอกทุกตัวต้องช่วยกันอย่างเต็มที่เท่านั้น
และแล้วการลำเลียงน้ำของกระรอกทุกตัวโดยการอมน้ำจากแม่น้ำไปกรอกลงในลูกมะพร้าวก็เริ่มขึ้น ในไม่ช้าน้ำในลูกมะพร้าวก็ค่อย ๆ เพิ่มขึ้น ๆ ทีละน้อย ทำให้ต้นมะพร้าวค่อย ๆ โน้มเอนลงไปทีละน้อยเช่นเดียวกัน พวกกระรอกทุกตัวต่างไม่ลดละความพยายาม
จนในที่สุดผลของความเพียรพยายามและความสามัคคีก็มาถึง เมื่อกระรอกช่วยกันอมน้ำไปกรอกในลูกมะพร้าวจนเต็มทุกลูก ต้นมะพร้าวก็โน้มเอนลงไปยังฝั่งที่อยู่ของกระรอกตามเดิม กระกรอกทุกตัวต่างก็ดีใจที่ได้กลับมายังฝั่งของตนเองได้อย่างปลอดภัย ..
ข้อคิดจากเรื่องนี้
1. อย่าเห็นแก่กินมากเกินไป เพราะจำทำให้เดือดร้อน
2. เมื่อเกิดปัญหา จะต้องหาทางแก้ด้วยปัญญา
3. ความสามัคคีสำคัญนัก ในเวลาคับขัน
4. ความเพียรพยายามเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในทุกตัวตน
นายเกตสุริยนต์ กลมเกลียว รหัสนิสิต 50010511006 GS
นิทานพื้นบ้านเรื่อง เนียง ด็อฮ ทม ( พระนางนมใหญ่ )
เนียง ด็อฮ ทม ราชธิดาขอมผู้ปกครองเมืองภูมิโปนองค์สุดท้าย เป็นนิทานพื้นบ้าน อ.สังขะ จ.สุรินทร์ มีเรื่องเล่าว่า ที่สระลำเจียก ห่างจากตัวปราสาทไปทางทิศตะวันออกประมาณ 200 เมตร มีกลุ่มต้นลำเจียกขึ้นเป็นพุ่มๆ ต้นลำเจียกที่สระน้ำแห่งนี้ไม่เคยมีดอกเลย ในขณะที่ต้นอื่นๆนอกสระต่างก็มีดอกปกติ ความผิดปกติของต้นลำเจียกที่สระลำเจียกหน้าปราสาทจึงเป็นที่มาของนิทานพื้นบ้าน การสร้างเมืองและการลี้ภัยของราชธิดาขอม
กษัตริย์ขอมองค์หนึ่งได้สร้างเมืองลับไว้กลางป่าใหญ่ชื่อว่าปราสาทภูมิโปน ต่อมาเมื่อเมืองหลวงเกิดความไม่สงบ มีข้าศึกมาประชิดเมือง กษัตริย์ขอมจึงส่งพระราชธิดาพร้อมไพร่พลจำนวนหนึ่งมาหลบซ่อนลี้ภัยที่ภูมิโปน พระราชธิดานั้นมีพระนามว่า พระนางศรีจันทร์หรือ เนียง ด็อฮ ทม แต่คนทั่วไปมักเรียกนางว่า พระนางนมใหญ่
กล่าวถึงเจ้าเมืองอีกเมืองหนึ่งได้ส่งพรานป่าเจ็ดคน พร้อมเสบียงกรังและช้าง 1 เชือก ออกล่าจับสัตว์ป่าเพื่อจะนำมาเลี้ยงในอุทยานของพระองค์ พรานป่ารอนแรมจนมาหยุดพักตั้งห้างล่าสัตว์อยู่ที่ ตระเบีย็ง เปรียน แปลว่าหนองน้ำของนายพราน ซึ่งอยู่ทางทิศใต้ ในที่สุดกลุ่มพรานสามในเจ็ดคน ก็ดั้นด้นจนไปพบปราสาทภูมิโปน และไปได้ยินกิตติศัพท์ความงามของพระนางศรีจันทร์เข้า พรานทั้งเจ็ดจึงได้ปลักลอบแอบดูพระนางศรีจันทร์สรงน้ำ และเห็นว่านางมีความงามสมคำร่ำลือจริง จึงรีบเดินทางกลับเพื่อไปรายงานพระราชา พระราชายินดีปรีดามากรีบจัดเตรียมกองทัพเพื่อไปรับนางมาเป็นพระชายาคู่บารมี
ฝ่ายพระนางศรีจันทร์หลังจากวันที่ไปสรงน้ำก็เกิดลางสังหรณ์ กระสับกระส่ายว่ามีคนมาพบที่ซ่อนของนางแล้ว เมื่อบรรทมก็ฝันว่าได้ทำกระทงเสี่ยงทาย ใส่เส้นผมเจ็ดเส้น อันมีกลิ่นหอมเเละเขียนสาส์นใจความว่าใครเก็บกระทงของนางได้นางจะยอมเป็นคู่ครอง ในกระทงยังให้ช่างเขียนรูปของนางใส่ลงไปด้วย เมื่อตื่นขึ้นมานางจึงได้จัดการทำตามความฝัน(ด้วยการที่นางเอาผมใส่ในผอบเครื่องหอม ผมนางจึงหอม นางจึงได้ชื่อว่า เนียง ช็อก กระโอบ หรือนางผมหอมอีกชื่อหนึ่ง) และนำกระทงไปลอย ณ สระลำเจียกหน้าปราสาท กระทงของนางได้ลอยไปยังอีกเมืองหนึ่งชื่อว่าเมืองโฮลมาน และราชโอรสของเมืองนี้ได้เก็บกระทงของนางได้ ทันทีที่เจ้าชายเปิดผอบก็หลงรักนางทันที เจ้าชายโอลมานนั้นมีรูปร่างไม่หล่อเหลา แต่มีฤทธานุภาพมากในเรื่องเวทย์มนต์คาถาและได้ชื่อว่ารักษาคำสัตย์เป็นที่ตั้ง พระองค์จึงไปสู่ขอนางตามประเพณีเพราะเป็นผู้เก็บผอบได้ แต่เหตุการณ์กลับตาลปัตร เมื่อพระนางศรีจันทร์ได้เห็นรูปร่างของเจ้าชายโฮลมานนางจึงได้แต่นิ่งอึ้งและร้องไห้ เจ้าชายโฮลมานทรงเข้าพระทัยดีเพราะรู้ตัวว่าตัวเองมีรูปร่างอัปลักษณ์ แต่ด้วยความรักที่พระองค์มีต่อพระนางศรีจันทร์ พระองค์จึงไม่บังคับที่จะเอาตัวนางมาเป็นชายา กลับช่วยพระนางขุดสระสร้างกำแพงเมือง และสร้างกลองชัยเอาไว้ เพื่อให้พระนางตียามมีเหตุเดือดร้อนต้องการให้พระองค์ช่วยเหลือ พระองค์จะมาช่วยเหลือนางโดยทันที โดยห้ามตีด้วยเหตุไม่จำเป็นเป็นอันขาด
กล่าวถึงชายหนุ่มอีกคนหนึ่งที่มาหลงรักพระนางศรีจันทร์ นั่นคือบุญจันทร์นายทหารคนสนิทที่พระราชบิดาของพระนางศรีจันทร์ไว้วางพระราชหฤทัยให้รับใช้ใกล้ชิดพระนางศรีจันทร์ ด้วยความใกล้ชิดทำให้บุญจันทร์หลงรักพระนางศรีจันทร์ แต่พระนางศรีจันทร์ก็ไม่ได้มีใจตอบกับบุญจันทร์ ยังคงคิดกับบุญจันทร์แค่เพื่อนสนิทเท่านั้น วันหนึ่งบุญจันทร์ได้เห็นกลองชัยที่เจ้าชายโฮลมานให้พระนางไว้ ก็นึกอยากตี จึงไปร่ำร้องกับพระนางทุกเช้าเย็น อยากจะขอลองตีกลอง พระนางทนไม่ไหวพูดประชดทำนองว่า ถ้าอยากตีก็ตีไป เพราะคงจะไม่ได้พบกันอีกแล้ว บุญจันทร์หน้ามืดตามัวด้วยคิดว่านางมีใจให้เจ้าชายโฮลมาน ก็ไปตีกลอง เจ้าชายโฮลมานและไพร่พลก็ปรากฏตัวขึ้นทันทีเพราะนึกว่าพระนางศรีจันทร์มีเหตุร้าย พระนางศรีจันทร์เสียใจมากเมื่อต้องบอกถึงเหตุผลที่ตีกลองให้เจ้าชายทราบ เจ้าชายโฮลมานตำหนิพระนางและเป็นอันสิ้นสุดสัญญาที่ให้ไว้กับพระนางทันที พระองค์จะไม่มาช่วยเหลือพระนางอีกแล้วแม้จะตีกลองเท่าไหร่ก็ตาม
กล่าวฝ่ายพระราชาที่ส่งพรานป่าเจ็ดคน มาล่าสัตว์แล้วมาพบพระนางในตอนแรกนั้นก็ส่งทัพมาล้อมเมืองภูมิโปนไว้ พระนางจึงหนีเข้าไปหลบภัยในปราสาทเเละคิดที่จะยอมตายเสียดีกว่า เพราะคนที่มาหลงรักพระนางแต่ละคนนั้น คนหนึ่งแม้จะเพียบพร้อมก็มีความอัปลักษณ์ คนหนึ่งก็มีความต่างศักดิ์ ด้านชนชั้นจนไม่อาจจะรักกันได้ และยังมีข้าศึกมาประชิดเมืองหมายจะเอาพระนางไปเป็นชายาอีก พระนางจึงพยายามหลบไปด้านที่มีการยิงปืนใหญ่ตั้งใจจะโดนกระสุนให้ตาย แต่พระนางก็กลับไม่ตายแต่ได้รับบาดเจ็บ แขนซ้ายหักและมีแผลเหนือราวนมด้านซ้ายเล็กน้อย(ด้วยเหตุนี้ชาวบ้านดม-ภูมิโปนจะสังเกตเด็กผู้หญิงคนใดมีลักษณะแขนด้านซ้ายเหมือนเคยหัก และมีแผลเป็นเหนือราวนมด้านซ้าย จะสันนิษฐานว่าพระนางด็อฮ ทม กลับชาติมาเกิด) เมื่อพระราชาตีเข้าเมืองได้จึงรีบรักษานาง ไม่ช้าพระนางก็หาย พระราชาจึงเตรียมยกทัพกลับและจะนำพระนางกลับเมืองด้วย พระนางจึงขออนุญาตพระราชาเป็นครั้งสุดท้ายขอไปอาบน้ำที่สระลำเจียก และปลูกต้นลำเจียกไว้กอหนึ่งพร้อมกับอธิษฐานว่าถ้าพระนางยังไม่กลับมาที่นี่ขอให้ต้นลำเจียกอย่าได้ออกดอกอีกเลย หลังจากนั้นพระนางก็ถูกนำสู่นครทางทิศตะวันตก
ข้อคิดที่ได้จากนิทามเรื่องนี้
1.รักษาคำสัตย์เป็นที่ตั้ง
2.ไม่ควรกลับคำพูดเพราะจะทำให้เป็นคนไม่น่าเชื่อถือ
นางสาว จารุเนตร จันทร์สุข
50010511008
GS
นิทานพื้นบ้าน เรื่อง บักรอบคอบ
มีบักอั่นหนึ่ง เป็น คนรอบคอบคัก (สงสัยบ่อยากเป็นคือพ่อใหญ่ป่วงกะบ่จั๊ก) เอิ่นมันว่าบักรอบคอบซะเนาะ กะย่อนพ่อเลาสอนอยู่ซุมื้อนั่นล่ะหวา ว่า “ เฮาต้องเป็นคนรอบคอบ หมั่นสังเกต อย่าเชื่อไผง่ายๆ ทุกอย่างถ้าสงสัยต้องพิสูจน์ ต้องทดลอง ต้องลอง จนให้ฮู้จริง ฮู้ให้มันอีหลีไปเลย” ลูกซายคือบักรอบคอบ กะเลยเป็นคนรอบคอบ ฮ้ายก่อนักวิทยาศาสตร์พุ่นล่ะแหม มื้อหนึ่ง บักรอบคอบย่างไปนา พอดีสังเกตเห็น น้ำข้นๆ สีออกน้ำตาลๆ อยู่กองหนึ่ง ถ้าเป็นคนปกติ เห็นแล้วมันสิเป็นอีหยังกะซางมัน กะสิบ่สนใจ กะสิย่างหลีก หรือย่างข้ามไปเลย แต่ว่า สำหรับบักรอบคอบ มันต้องฮู้ให้ได้ ว่าอั่นนี้แมนหยัง มันกะเลยนั่งลงข้างๆ กองสีน้ำตาลนั้น เหลียวเบิ่งแล้ว เบิ่งอีก ปากกะพึมพำว่า “ มันแมนขี้บ่นอ มันแมนขี้บ่นอ เอ..ถ้าแมนขี้ มันต้องเหม็น” กะเลยก้มลงดมใกล้ ๆ
“ เอ้อ.. กลิ่นกะเหม็นคือขี้ยุ แต่ว่าอั่นอื่นเหม็นๆ บ่แมนขี้กะมีคือกัน... เอ..มันแมนขี้บ่นอ มันแมนขี้บ่อนอ ต้องบายเบิ่ง” มันกะเลยเอามือไปหยิบขึ้นมา ลองถูๆ สังเกตเบิ่งความละเอียด ว่าแมนดินหรือแมนอีหยังกันแท้
“ อือ.. บายเบิ่งแล้ว กะคล้ายๆ ขี้ยุ แต่ว่า มันคือเป็นกองแบบนี้ ...เอ...มันสิแมนขี้บ่นอ ต้องลองซิมเบิ่ง” มันกะเลยเอานิ้วซี้ ไปต้อยมาซิมเบิ่ง แล้วกะฮ้องอย่างดีใจว่า
“ โฮ ...ขี้อีหลี ขี้อีหลี สัมมะมั้ว สัมมะมัว ดีนะที่กูเป็นคนรอบคอบ บ่จั่งซั้น กูเหยียบขี้ไปแล้ว”
โอ้ยคือสิดีใจคักเนาะบักรอบคอบเอ้ย จะของกินขี้ยังบ่ฮู้อีก เหยียบกะยังดีก่อกินล่ะหว้า
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่าการเป็นคนรอบคอบนั้นควรรอบคอบในสิ่งที่ควรรอบคอบ พิสูจน์ในเรื่องที่ควรพิสูจน์ไม่ใช่จะรอบคอบไปหมดจนทำให้เกิดผลเสียแก่ตนเอง
นางสาวจุฑามาศ สมสีไสย
รหัส 50010511058
ชั้นปีที่ 2
สาขาวิชาวิทยาศาสตร์ทั่วไป
นิทานเรื่อง อ้อยกับลูกสาวคณบดี
กาลนานมาแล้ว ในสมัยที่โลกยังไม่มีแปรงสีฟันใช้นั้น มีคหบดีผู้หนึ่งมีความรักใคร่
เอ็นดูบุตรสาวของตนมาก เพราะบุตรสาวของเขานั้นเป็นหญิงที่งามทั้งใบหน้า และกริยา
วันหนึ่งเห็นว่าบุตรสาวของตนชักจะมีขี้ฟันมากเกรอะกรังอยู่ไรฟันเต็มไปหมด
เวลาพูดจาหรือเข้าใกล้ก็มีกลิ่นเหม็นคลุ้ง คหบดีผู้นั้นคิดว่าถ้าจะปล่อยให้สภาพการณ์
เป็นเช่นนี้ไม่ดีแน่ นอกจากพวกหนุ่มๆที่เข้ามาติดตอมจะเอือมระอาแล้ว ย่อมเป็นที่
รังเกียจของสังคมด้วย แต่ก็ไม่กล้าบอกบุตรสาวตรงๆเพราะเกรงบุตรสาวจะอับอาย
จึงได้หาอุบายโดยบอกให้บุตรสาวไปหาอ้อยมากินให้มากๆ เพื่อผิวพรรณจะได้สวยงาม
ยิ่งขึ้น ซึ่งจริงๆแล้วอ้อยเหล่านั้นจะได้ช่วยแปรง และแทะขี้ฟันให้หลุดไปได้
เขาจึงได้ให้เงินลูกสาวเป็นจำนวนมาก เพื่อให้ไปหาซื้ออ้อยที่สวนข้างๆบ้านมาไว้กิน
แต่ขณะที่บุตรสาวเดินไประหว่างทางยังไม่ทันถึงสวนอ้อย เห็นพ่อค้าหาบเผือกต้มสวนทางมา
หล่อนอยากกินเป็นกำลัง จึงซื้อเผือกกินเสียจนหมดเงินแล้วจึงเดินกลับบ้าน
บิดาเห็นหล่อนเดินมาแต่ไกลจึงนึกดีใจว่าขี้ฟันของลูกสาวตนคงหมดเกลี้ยงดีแล้ว
แต่ที่ไหนได้พอหล่อนเผยอยิ้มเท่านั้น ขี้ฟันกลับพอกพูนเกรอะกรังส่งกลิ่นตลบยิ่งขึ้น
เพราะเผือกได้เข้าไปจับเกาะเต็มไปหมด คหบดีผู้นั้นเกือบล้มทั้งยืน
เห็นแต่ไกล
[ คงกินอ้อยแล้ว ]
ใกล้เข้ามา
[ ขี้ฟันคงหมดแล้ว ]
[ ชัดเลย...หึ่งเชียว ]
คหบดีจึงถามบุตรสาวว่า "อีหนู เอ็งไม่ได้ไปซื้ออ้อยกินหรอกหรือ?"
"เปล่าจ้ะพ่อ ฉันนึกอยากกินเผือกต้ม เลยซื้อกินเสียอิ่ม" บุตรสาวตอบ
"ชะอีเวร นี่เองขี้ฟันจึงมากขึ้นตั้งบุ้งกี๋"
บุตรสาวได้ยินดังนั้นจึงทราบถึงอุบายของบิดา ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
จึงหมั่นซื้ออ้อยกินทุกๆวัน ฟันจึงสอาดหมดจดยิ่งขึ้น
ข้อคิดที่ได้
-ได้รู้ถึงความรัก ความห่วงใยที่พ่อมีต่อลูก
นางสาววิจิตรา เกษหอม
50010511033
สาขาวิทยาศาสตร์ทั่งไป
นิทานเรื่องกำพร้าไก่แก้ว
มีเมืองแห่งหนึ่ง ครั้งหนึ่งชาวเมืองได้พบรูขนาดใหญ่ที่มีกลิ่นหอมออกมาจากรูนั้น ทำให้เป็นที่อยากรู้อยากเห็นของทุกคนดังนั้นพระราชาแห่งเมืองนั้นจึงประกาศหาอาสาสมัครที่จะลงไปในนั้นเพื่อจะดูว่ามีอะไรอยู่ข้างใน แต่ก็ไม่มีใครอาสาไปในขณะนั้นมีหนุ่มน้อยคนหนึ่งชื่อ เทศจันทสมุทร์ อาศัยอยู่กับย่าจำสวน (คนสวนของพระราชา) ท้าวเทศจันทร์นี้เห็นว่าไม่มีใครไปจึงรับอาสาจะไป พระราชาจึงให้ทำอู่เหล็ก และทำโซ่เหล็กแทนเชือก แล้วให้ท้าวเทศจัทสมุทร์นั่งอยู่ในอู่นั้นแล้วหย่อนลงไปตามรูจนไปถึงเมืองแห่งหนึ่ง เมื่อลงไปถึงนั้นไปลงตรงเกาะพอดี ขณะที่ท้าวเทศจัทสมุทร์ขึ้นกินหมากเดื่ออยู่ได้มีหมูตัวหนึ่งคาบแก้ววิเศษไต่น้ำมาท้าวเทศจันทสมุทร์ จึงโยนหมากเดื่อให้กินห่างออกไปเรื่อยๆแล้วรีบมาขโมยเอาแก้วไปเมื่อเดินต่อไปพบชายคนหนึ่งถือน้ำเต้าเหาะมาจึงขอเอาแก้วแลกกับน้ำเต้า เมื่อได้น้ำเต้าแล้วก็เดินต่อไป ส่วนแก้วได้เหาะกลับมาอยู่กับท้าวเทศจันทสมุทร์เหมือนเดิม เมื่อเดินต่อไปก็ได้พบกับคนถือขวาน ถือดาบ ถือขดหนังเหาะมาเช่นเดียวกัน และท้าวเทศจันทสมุทร์ก็ขอแลกเอาเหมือนครั้งก่อนแล้วแก้วก็กลับมาเช่นเดียวกัน ดังนั้นท้าวเทศจันทสมุทร์จึงมีของดี 5อย่างคือ แก้ว , น้ำเต้า, ขวาน, ดาบ และขดหนัง แล้วเดินทางไปอาศัยอยู่กับย่าจำสวนแล้วสืบดูนะว่าใครนะที่หอมๆ นั้น เมื่อรู้แล้วจึงขอร้องให้ย่าจำสวนไปสู่ขอให้ แต่ย่าจำสวนว่าท้าวเทศจันทสมุทร์ไม่หล่อเหลา จึงพาไปหล่อใหม่แล้วจึงไปสู่ขอให้ เมื่อนางผมหอมเห็นท้าวเทศจันทสมุทร์แล้วก็เกิดรักใคร่กัน แต่พระราชาพ่อของนางไม่ยอม เพราะมีลูกเจ้าพระยามหากษัตริย์มาสู่ขอหลายคนแล้ว และบอกว่าถ้าอยากได้ให้มารบเอา ท้าวเทศจันทสมุทร์จึงไปรบชนะแล้วจึงได้อยู่กินกันเรื่อยมา เมื่ออยู่มานานก็คิดจะกลับมาเยี่ยมบ้าน จึงพานางผมหอมมาที่เก่า พอขึ้นไปทั้งสองคนแล้วผ้าของนางผมหอมผืนหนึ่งตกลงท้าวเทศจันทสมุทร์จึงลงไปเอา ขณะเดียวกันนั้นคนที่อยู่ข้างบนก็ดึงเอานางขึ้นมาคนเดียว แล้วเอามาถวายพระราชา แต่พระราชาก็ไม่สามารถเข้าใกล้นางได้ ส่วนท้าวเทศจันทสมุทร์ก็เดินทางต่อไปเพื่อจะหาทางขึ้น จนวันหนึ่งได้พบนกกระจอก2 ตัวที่พระอินทร์แปลงกายลงมาเป็นนกกระจอก ได้ให้ท้าวขี่ขึ้นมาปล่อยไว้นอกเมืองใกล้แม่น้ำ ขณะนั้นมีพ่อค้านายสำเภามาพบเข้า ท้าวเทศจันทสมุทร์จึงขออาศัยไปด้วย แล้วไปอยู่กับย่าจำสวนเหมือนเดิม ส่วนนางผมหอมนั้นได้ยินว่าผัวของนางมาแล้วจึงออกมาอยู่ด้วย เมื่อพระราชารู้ดังนั้นจึงส่งคนมารับนางคืนไป แต่ท้าวเทศจันทสมุทร์ไม่ให้ พระราชาจึงส่งกองทัพมาชิงเอานางไป กองทัพก็แพ้เพราะของวิเศษเหล่านั้น พระราชาหมดปัญญาจึงยอมยกเมืองให้ครองครึ่งหนึ่ง แล้วท้าวเทศจันทสมุทร์ก็อยู่กับนางผมหอมที่ได้มาจากรูนั้นต่อมา
ข้อคิดที่ได้จากเรื่องนี้
- ได้รู้ถึงความกล้าหาญทั้งๆที่ไม่รู้ว่าลงไปข้างล่างแล้วจะเกิดอะไรขึ้นกับตน
- ได้รู้ถึงรักแท้เพราะไม่ว่าจะมีอุปสรรคมากมายก็สามารถฝ่าอุปสรรคไปได้
- ของวิเศษสามารถช่วยเราได้
นางสาวจุฑามาศ บุตรเพ็ง
50010511057
สาขาวิทยาศาสตร์ทั่วไป
นายธรรมนูญ พรหมดา 50010511013
ไกรทอง
ชาละวันเป็นจระเข้เจ้า อาศัยอยู่ในถ้ำทองใต้บาดาล ในถ้ำทองจระเข้จะกลายร่าง เป็นคนได้ ชาละวันตอนกลายร่างเป็นคนจะเป็น หนุ่มรูปงาม โดยชาละวันเองมีเมียสาว สวยเป็นนางจระเข้ 2 ตัวคือ วิมาลา และเลื่อมลายวรรณ ชาละวันเป็นหลานชายของ ท้าวรำไพ ผู้เป็นจระเข้เจ้าที่อยู่ในศีลธรรม ไม่เคยจับสัตว์หรือมนุษย์กินเป็นอาหารและ จะกินแต่ซากสัตว์ที่ตายแล้วเป็นอาหารเท่านั้น ชาละวัน แม้อยู่ในถ้ำทองจะอิ่มทิพย์ไม่ต้อง กินเนื้อ แต่ ด้วย ความมีนิสัยที่เป็น อันธพาล จึง ชอบมาเมืองบน ตามแม่น้ำลำคลอง จับคนที่เป็นชาวบ้านและสัตว์กินเพื่อความสนุกสนาน
ณ หมู่บ้านดงเศรษฐี แขวงเมืองพิจิตร มีพี่น้องฝาแฝดคู่หนึ่ง มีความงามเป็นที่ เลื่องลือ ชื่อนางตะเภาแก้ว ผู้พี่ และนางตะเภาทอง ผู้น้อง ทั้งสองเป็นบุตรเศรษฐีคำ และ คุณนายทองมา วันหนึ่งนางตะเภาแก้วและนางตะเภาทองได้ลงไปเล่นน้ำที่ท่าหน้าบ้าน ช่วงเวลานั้นเจ้าชาละวัน ซึ่งเป็นจระเข้ได้ออกมาว่ายน้ำหาเหยื่อ เมื่อได้เห็นนางตะเภาทอง ก็ลุ่มหลงในความงาม จึงโผล่ขึ้นเหนือน้ำเข้าไปคาบนางตะเภาทองแล้วดำดิ่งไปยังถ้ำทอง อันเป็นที่อยู่ของเจ้าชาละวัน เมียของชาวละวันคือ วิมาลา และเลื่อมลายวรรณ เห็นก็ไม่ พอใจแต่ก็ห้ามสามีไม่ได้เพราะเกรงกลัวจึงต้องยอมให้ผัวมีเมียเป็นมนุษย์อีกคน เมื่อนางตะเภาทองฟื้นขึ้นมาเจ้าชาละวันก็เกี้ยวพาราสี แต่นางตะเภาทองก็ไม่สนใจ เจ้าชาละวันจึงจำต้องใช้เวทมนตร์สะกดให้นางตะเภาทองหลงรัก และยอมเป็นภรรยา ตั้งแต่นั่นมา
เศรษฐีคำ และคุณนายทองมาโศกเศร้าเสียใจเป็นอย่างมาก ที่นางตะเภาทอง บุตรสาวคนเล็กถูกเจ้าชาละวันคาบไป และคิดว่าบุตรสาวตนคงตายไปแล้ว ด้วยความรัก ในบุตรสาว และความแค้นในเจ้าชาละวัน จึงประกาศออกไปว่าใครที่พบศพนางตะเภาทอง และสามารถปราบจระเข้ตัวนี้ได้จะมอบสมบัติของตนเองให้ครึ่งหนึ่ง และจะให้แต่งงาน กับนางตะเภาแก้วด้วย แต่ก็ไม่มีหมอจระเข้คนไหนสามารถปราบเจ้าชาละวันได้ นอกจาก กลายเป็นเหยื่อของเจ้าชาละวันคนแล้วคนเล่า จนในที่สุดก็มีชายหนุ่มรูปงาม นามว่าไกรทอง ซึ่งได้ร่ำเรียนวิชาการปราบจระเข้จากอาจารย์คง จนมีความเก่งกล้า ได้อาสามาปราบเจ้า ชาละวัน แต่อาจารย์คงรู้ว่าเจ้าชาละวันเป็นพญาจระเข้มีอำนาจมาก และหนังเหนี่ยว ฆ่าฟันไม่ตาย เนื่องจากมีเขี้ยวเพชรทำให้อยู่ยงคงกระพัน จึงได้มอบหอกสัตตโลหะ , เทียนระเบิดน้ำ เสื้อยันต์และลูกประคำปลุกเสก แก่ไกรทอง
รุ่งเช้าตั้งพิธีบวงสรวงพร้อมอ่านคาถา ทำให้เจัชาละวันเกิดร้อนลุ่มต้องออกจาก ถ้ำขึ้นมาต่อสู้กับไกรทอง ไกรทองกระโดดขึ้นบนหลังจระเข้ และแทงด้วยหอกสัตตโลหะ ทำให้อาคมของเขี้ยวเพชรเสื่อม หอกได้ทิ่มแทงเจ้าชาละวันจนบาดเจ็บสาหัส และได้หนี กลับไปที่ถ้ำ แต่ไกรทองก็ใช้ เทียนระเบิดน้ำ ตามไปต่อสู้อีกในถ้ำ
ระหว่างที่เข้าไปในถ้ำไกรทองก็พบกับ วิมาลา เมียของชาละวัน ด้วยความเจ้าชู้ จึงเกี้ยวพาราสี นางวิมาลา จนนางใจอ่อนยอมเป็นชู้ และบอกทางไปช่วย นางตะเภาทอง
ไกรทองตามมาต่อสู้กับเจ้าชาละวัน ในถ้ำต่อจนเจ้าชาละวันตาย และไกรทองก็ได้ พานางตะเภาทองกลับขึ้นมา เศรษฐีดีใจมากจึงจัดงานแต่งงานให้ไกรทองกับนางตะเภา แก้ว พร้อมมอบสมบัติให้ครึ่งหนึ่ง แถมนางตะเภาทองให้อีกคน ไกรทองจอมเจ้าชู้ก็รับไว้ ด้วยความยินดี
แต่ยังไม่จบแค่นั้นด้วยความเจ้าชู้ของไกรทองแม้ชาละวันตายไป ไกรทองก็ยังหลง รสรักกับนางวิมาลา จงไปหาสู่ที่ถ้ำทอง และคิดจะพานางวิมาลาไปอยู่กินด้วย โดยทำพิธีทำ ให้นางยังคงเป็นมนุษย์แม้ออกนอกถ้ำทอง นางตะเภาแก้ว และ นางตะเภาทอง จับได้ว่า สามีไปมาหาสู่ นางจระเข้จึงไปหาเรื่องกับนางในร่างมนุษย์จนนางวิมาลาทนไม่ไหวกลับ ร่างเป็นจระเข้และไกรทองต้องออกไปห้ามไม่ให้เมียตีกันและอำลาจากนางวิมาลา ด้วย ใจอาวร
ข้อคิดจากนิทานเรื่องนี้
- สอนให้รู้ว่าอย่าจับปลาสองมือแล้วจะเกิดความวุ่นวายตามมา
- ความเจ้าชู้เป็นบ่อเกิดแห่งการสูญเสีย
- โลภมากลาภจะหายครับ จำไว้
นิทานพื้นบ้านเรื่อง ตำนานขนมครก
ไอ้กะทิ หนุ่มน้อยแห่งดงมะพร้าวเตี้ย แอบมีความรักกับ หนูแป้ง สาวสวยประจำหมู่บ้านซึ่งเป็นลูกสาวคนเดียวของผู้ใหญ่บ้าน ทั้งคู่เจอกันวันลอยกระทง และสัญญากันต่อหน้าพระจันทร์ ไม่ว่าข้างหน้าแม้จะมีอุปสรรคขวางกั้นเพียงใด ทั้งคู่ก็จะขอยึดมั่นความรักแท้ที่มีต่อกันชั่วฟ้าดินสลาย
ไอ้กะทิ ก้มหน้าก้มตาเก็บหอมรอมริบหาเงินเพื่อมาสู่ขอลูกสาวจากผู้ใหญ่บ้าน แต่กลับถูกปฏิเสธแถมยังโดนผู้ใหญ่ส่งชายฉกรรจ์พร้อมอาวุธครบมือมาลอบทำร้าย แต่ไอ้กะทิก็ไม่ว่ากระไร มันพาร่างอันสะบักสะบอมกลับไปบ้าน นอนหยอดน้ำข้าวต้มซะหลายวัน แต่ใจยังตั้งมั่นว่า วันหน้าจะมาสู่ขอหนูแป้งใหม่จนกว่าผู้ใหญ่จะใจอ่อน
แต่แล้วความฝันของไอ้กะทิ ก็พังพินาศเมื่อผู้ใหญ่ยก หนูแป้ง ลูกสาวคนสวยให้แต่งงานกับปลัดหนุ่มจากบางกอก ไอ้กะทิ รู้ข่าวจึงรีบกระเสือกกระสนหมายจะมายับยั้งการแต่งงานครั้งนี้ ซึ่งผู้ใหญ่บ้านก็วางแผนป้องกันไว้แล้ว โดยขุดหลุมพรางดักรอไว้ แต่แม่แป้งแอบได้ยินแผนร้ายเสียก่อน จึงลอบหนีออกมาหมายจะห้ามหนุ่มคนรักไม่ให้ตกหลุมพราง
คืนนั้นเป็นคืนเดือนแรม หนูแป้งวิ่งฝ่าความมืดออกมาเพื่อดักหน้าไอ้กะทิ ไอ้กะทิเห็นหนูแป้งวิ่งมาก็ดีใจทั้งคู่รีบวิ่งเข้าหากัน ฉับพลัน!!...ร่างของหนูแป้งก็ร่วงหล่นลงไปในหลุมพรางของผู้ใหญ่ฯผู้เป็นพ่อ ต่อหน้าต่อตาไอ้กะทิ อารามตกใจนายกะทิก็รีบกระโดดตามลงไปเพื่อช่วยเหลือหนูแป้ง อารามดีใจสมุนชายฉกรรจ์ของผู้ใหญ่บ้านซึ่งแอบซุ่มอยู่ ก็รีบเข้ามาโกยดินฝังกลบหลุมที่ทั้งคู่หล่นลงไป เพราะคิดว่าในหลุมมีเพียงไอ้กะทิผู้เดียว ...
รุ่งเช้าผู้ใหญ่บ้านสั่งให้ขุดหลุมเพื่อดูผลงาน แทบไม่เชื่อสายตาเบื้องล่างปรากฏร่างของ ไอ้กะทิตระกองกอดทับร่างหนูแป้งลูกสาวของตน ทั้งสองนอนตายคู่กันอย่างมีความสุข เมื่อรอยยิ้มถูกเปลี่ยนเป็นน้ำตา ผู้ใหญ่บ้านรำพึงต่อหน้าศพของลูกสาวว่า..
"พ่อไม่น่าคิดทำลายความรักของลูกเลย"
ตั้งแต่นั้นมาอนุสรณ์แห่งความรักที่กระทำสืบทอดกันมาจนเป็นประเพณี ทุกแรม ๖ ค่ำ เดือน ๖ ชาวบ้านที่ศรัทธาในความรักของไอ้กะทิ กับ แม่แป้ง ก็จะตื่นตั้งแต่เช้ามืด เข้าครัวเพื่อทำขนมที่หอมหวานปรุงจากแป้ง และกะทิ บรรจงหยอดลงหลุม พอสุกได้ที่ก็แคะจากหลุม แล้วนำมาวางคว่ำหน้าซ้อนกันเป็นสัญลักษณ์ว่า "จะได้อยู่ร่วมกันตลอดไป" ขนมนี้จึงถูกเรียกขานกันในนาม "ขนมแห่งความรัก" หรือ ขนม คน-รัก-กัน ต่อมาถูกเรียกย่อ ๆ ว่า 'ขนม ค-ร-ก' นั่นเอง
ข้อคิดที่ได้จากเรื่องนี้ - ความรักที่พ่อมีต่อลูกอยากไห้ลูกสบายได้แต่งงานกับคนที่มี่การงานดีจะได้ไม่ลำบาก
- ความรักเป็นเรื่องของหัวใจห้ามกันไม่ได้
นางสาวมะลิวัลย์ ชำนาญ
รหัส 50010511028GS
นิทานพื้นบ้าน กินเหล้าแล้วอายุยืน
นานมาแล้วมีเรื่องเล่าว่า ชายคนหนึ่งชอบกินเหล้าเป็นชีวิตจิตใจ งานการก็ไม่เคยนำพาเรื่องบุญกุศลก็ไม่เคยทำ แต่การทำบาปแกก็ไม่เคยทำเช่นกัน ครอบครัวของแก มีอยู่ด้วยกันสามคน คือ ตัวแกเองพร้อมด้วยเมียและลูกอีกคนหนึ่ง ชายคนชอบกินเหล้าผู้นี้คิดอยู่เสมอว่าก่อนที่แกจะตายลงนั้นก็ขอให้ลูกชายได้บวชเสียก่อน เพราะแกอยากเห็นชายผ้าเหลืองของลูก แต่ชายคนนั้นก็ได้ตายลงเสียก่อนที่จะได้บวชลูก เมื่ออายุของแกได้ห้าสิบปีพอดีก่อนที่จะตายนั้น แกได้สั่งให้ลูกเมียของแก เอาเหล้าใส่โลงไปด้วยสักสองสามขวดเผื่อหิวเหล้าขึ้นมาก็จะได้กินในปรโลก
เมื่อชายคนนั้นได้ลงไปอยู่ในเมืองนรกแล้ว ยมบาลก็ถามว่า “ทำไมถึงได้ชอบกินเหล้านักล่ะ เหล้านั้นมันเอร็ดอร่อยมากหรือไรกัน” แกก็ตอบออกไปว่า “อันเหล้านั้น ถ้าได้กินมันเข้าไปแล้ว ก็จะ…….รู้รสชาติทันทีว่า ไม่มีอะไรแล้วในโลกมนุษย์จะอร่อยเท่า บอกไม่ถูกอธิบายไม่ได้ว่ามันมีรสชาติอย่างไร ต้องกินดูเองถึงจะ……รู้” ยมบาลจึงพูดว่า “ในเมืองนรกของเรานี้ไม่มี ไม่งั้นแล้วเราจะลองชิมดูว่ามันจะเอร็ดอร่อยเหมือนดังคำกล่าวของท่านจริงหรือไม่” ชายผู้ชอบกินเหล้าคนนั้นจึงบอกกับยมบาลว่า “แกได้นำมันมาด้วย ถ้ายมบาลจะลองชิมดูก็มีให้ลอง” ยมบาลจึงได้ชิมเหล้าของชายคนนั้นเข้าไป ชิมไปๆ ยมบาลก็ชักติดใจในรสชาติของมัน จึงได้ขอเหล้าชายคนนั้นกินจนหมดขวด ยมบาลจึงได้เมาขึ้นมาทันที เพราะไม่เคยกินเหล้ามาก่อน หรือเพราะคอยังอ่อนอยู่นั่นเอง ในเวลาต่อมา ยมบาลก็ได้ชอบพอกันกับชายคนนั้น จนกระทั่งสัญญาเป็นเพื่อนเกลอกัน แล้วบอกชายคนนั้นว่า “ถ้าแกต้องการอะไรที่พอผ่อนปรนกันแล้วก็ขอให้บอกมาเถิดเราจะช่วยเหลือ” ชายคนนั้นจึงบอกยมบาลว่า “ในชีวิตของแกไม่เคยได้ทำบุญอะไรเลย แกจึงอยากเห็นชายผ้าเหลืองของลูกชายสักครั้ง” แล้วแกจึงขอร้องต่อยมบาลว่า “ขอมีอายุต่อไปอีกแค่ปีเดียวเท่านั้น เพื่อบวชลูกชายได้หรือไม่” ด้วย ความรักใคร่สงสารต่อชายผู้นั้นเป็นพิเศษ ยมบาลก็อนุญาตด้วยการต่ออายุให้ แล้วลงไว้ในบัญชีของยมโลก โดยยมบาลเพิ่มอายุให้อีกหนึ่งปี จึงได้เขียนเลข 1 ต่อจากเลข 50 ซึ่งเป็นอายุขัยของชายผู้นั้นลงในบัญชีทันที แต่ด้วยความเมาของยมบาลเอง จึงเลยลืมลบเลข 0 ออกเสียก่อน จึงกลายเป็นว่าชายคนนั้นมีอายุไปจนถึง 501 ปี
เมื่อยมบาลต่ออายุให้แล้ว ชายผู้ชอบกินเหล้าคนนั้นก็ได้ฟื้นกลับมีชีวิตขึ้นอีกครั้ง แกก็ได้จัดการบวชลูกชาย จนได้เห็นชายผ้าเหลืองสมความตั้งใจแล้ว แกก็รอวันตายของแกเรื่อยมาแต่ก็ไม่ตายสักที จนกระทั่งเมีย ลูก หลาน เหลน ได้พากันตายไปแล้วเกือบทุกคนแต่แกก็ยังไม่ตายอยู่นั่นเอง ทำให้ชายผู้นั้นมีชีวิตอยู่อย่างทรมานใจเป็นอย่างยิ่งที่จำเป็นต้องอยู่ และเห็นคนที่แกรักตายจากไปทีละคนสองคนอยู่เสมอ
ข้อคิดที่ได้จากเรื่องนี้คือ ตอนมีชีวิตอยู่อยากทำอะไรก็รีบทำ(ความดี) ก่อนที่จะไม่มีโอกาสทำ(ตาย)
นางสาวนิชนันท์ จะมณี
50010511062GS
นางสาวเบญจลักษณ์ จงปัตนา
รหัส 50010511063
คณะศึกษาศาสตร์ สาขวิทยาศาสตร์ทั่วไป
นิทานเรื่อง ชี้หิน
มีเทวดาองค์หนึ่ง เหาะลงมายังเมืองมนุษย์ เพื่อต้องการค้นหา
บุคคลที่ไม่มีความโลภ และสละแล้วซึ่งกิเลสความอยากได้ใคร่มีในสิ่งต่างๆ
เมื่อถึงโลกมนุษย์แล้ว เทวดาได้แปลงกายเป็นชายชราและเดินตรงไปยัง
หมู่บ้านแห่งหนึ่ง แลเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่คนเดียว ชายชราจึง
ตรงเข้าไปหาแล้ววางก้อนหินขนาดหัวแม่มือ ลงตรงหน้าชายหนุ่มพร้อมใช้นิ้วชี้
ของท่านชี้ก้อนหินนั้น และแล้วหินก็กลายเป็นทองคำเหลืองอล่ามในทันที
"เอ้า...ข้าให้เจ้า รับไว้ซิ เดี่ยวข้าจะไปธุระต่อ" ชายชราพูดแล้วก็หยิบทองคำ
ยื่นส่งให้แก่ชายหนุ่ม แล้วก็เดินจากไป
ชายชราเดินลับหลังมาได้สักครู่ ก็เห็นชายหนุ่มคนเดิมวิ่งตามมา
พร้อมกับพูดอย่างระล่ำระลักเชิงขอร้องว่า
"คุณตาครับ กรุณาช่วยชี้หินก้อนนี้ให้ผมหน่อยได้ไหมครับ"
พูดแล้วก็วางก้อนหินขนาดใหญ่ลงตรงหน้าเทวดาที่ปลอมตัวมา
"ข้าไม่ชี้ให้เอ็งหรอก เพราะเอ็งมันเป็นคนโลภมาก" พูดแล้วชายชราก็เดินจากไป
ต่อจากนั้นชายชราก็เดินเข้าไปยังหมู่บ้านอื่นๆ แล้วก็ทำเหมือนเดิม
ทุกครั้งที่ส่งหินทองคำให้ ไม่ว่าจะเป็นเด็ก หนุ่มสาว ลุง ป้า น้า อา ปู่ ย่า ตา ยาย
ทุกคนจะต้องตามมาขอร้องให้ชายชราชี้หินก้อนโตกว่าเดิมให้
เทวดาที่ปลอมเป็นชายชราเห็นแล้วรู้สึกหมดกำลังใจ และคิดว่าคงจะหาใครสักคน
ที่เป็นผู้ไม่โลภโมโทสันในโลกมนุษย์นี้ไม่ได้เป็นแน่แท้ คิดจะกลับสู่สวรรค์แต่เพื่อให้มั่นใจ
จึงน่าจะลองดูอีกสักคน เผอิญเหลือบไปเห็นพระฤาษีตนหนึ่งกำลังนั่งบำเพ็ญตบะใต้ต้นไม้
จึงเดินตรงเข้าไปหา พลางเอาก้อนหินวางไว้ตรงหน้า แล้วใช้นิ้วชี้ก้อนหินนั้นให้เป็นทองคำ แล้วพูดกับฤาษีว่า "ข้าแด่ท่านผู้ทรงศีลข้าขอถวายหินทองคำก้อนนี้แด่ท่าน"
"อาตมารับไว้ไม่ได้หรอก จงเอาคืนไปเถิด" พระฤาษีตอบพร้อมส่ายหน้า
ชายชราจึงนำเอาก้อนหินขนาดเขื่องกว่าเดิมมาชี้ให้เป็นทองคำ แล้วถวายแด่ฤาษี
คำตอบที่ได้รับก็ยังคงเหมือนเดิมคือ "อาตมารับไว้ไม่ได้หรอก จงเอาคืนไปเถิด"
แม้ชายชราจะนำเอาก้อนหินขนาดใหญ่สักเท่าใดก็ตาม มาชี้แล้วส่งให้ก็ได้รับคำ
ปฎิเสธ ทำให้ชายชรามีกำลังใจขึ้นมาก คิดในใจว่า "พระฤาษีตนนี้แหละ คือผู้ไม่โลภเป็นแน่แท้"
ก่อนที่ชายชราจะจากไป ด้วยความสงสัยจึงถามพระฤาษีว่า
"เหตุใดท่านจึงไม่รับหินทองคำเหล่านี้ไว้ ท่านไม่อยากได้หรือ"
"ใช่อาตมาไม่อยากได้ทองคำเหล่านั้นหรอก" พระฤาษีตอบแล้วหยุดอยู่ครู่หนึ่ง
พร้อมกับกลืนน้ำลายดังเอื๊อก และจึงพูดต่อ "แต่อาตมาอยากได้นิ้วที่ชี้หินนั้นมากกว่า"
เทวดาซึ่งปลอมเป็นชายชราได้ยินพระฤาษีพูดดังนั้นถึงกับนิ่งอึ้งแล้วก็เดินหนีไป
ข้อคิดที่ได้จากเรื่อง
- ความโลภของมนุษย์ไม่มีที่สิ้นสุด คือมนุษย์ไม่มีความพอ อยากได้โน่นได้นี่อยู่ร่ำไป ได้อย่างโน้นก็อยากจะได้อย่างนี้อีก จึงมีคำกล่าวว่า
"แม้นว่าฝนจะตกลงมาเป็นเงินเป็นทอง มนุษย์ก็ยังไม่พอใจอยู่นั่นเอง"
- จงพอใจในสิ่งที่ตนมีอย่าคิดอยากได้ของคนอื่น
ชื่อ นางสาวสุพัตรา ทับศรีรักษ์
รหัส 50010511042
คณะศึกษาศาสตร์
สาขาวิทยาศาสตร์ทั่วไป
นิทานเรื่อง ค่าของคน
ในกาลครั้งหนึ่งยังมียายแก่คนหนึ่ง สามีเสียชีวิต ส่วนลูกหลานก็แยกย้ายกันไปอยู่ที่อื่น
ยายแก่ทำมาหากินอยู่ตัวคนเดียวด้วยความขยันขันแข็งมาตลอด แกเก็บเล็กผสมน้อย ใช้จ่ายอย่าง
กระเหม็ดกระแหม่ จึงสะสมเงินทองไว้ได้พอสมควร แกจึงไปซื้อไหเก่าใบหนึ่งมาใส่เงินนั้นไว้
จะไปไหนก็จะอุ้มไหติดตัวไปด้วย และไม่เคยเปิดไหอวดใครเลย
ครั้นเมื่อยายอายุมากขึ้นๆ ทำงานอย่างเดิมไม่ไหว ลูก หลาน ซึ่งพากันคิดว่ายายแก่
คงจะต้องมีทรัพย์สมบัติมาก จึงพากันมารับยายแก่ไปอยู่ด้วย ยายแก่ก็รู้เท่าทันแต่ก็ทำเฉยเสีย
ช่วยลูกหลานทำงานสุดกำลัง เพื่อไม่ให้ลูกหลานดูถูกได้ว่าเสียข้าวสุกเปล่า หรือเกาะเขากิน
จนวันหนึ่งแกลงไปดายหญ้าทำสวนอยู่คนเดียว แดดก็จัด แกรู้สึกปวดหลังเป็นกำลัง
ถึงกับล้มฟาดไปไม่รู้ตัว หมดสติอยู่กลางแดดเป็นเวลานานกว่าลูกหลานจะมาพบ และช่วยกัน
อุ้มเข้าบ้าน เมื่อแกฟื้นขึ้นมาปรากฏว่าแกเป็นอัมพาตพอจะพูดและเคลื่อนไหวได้บ้าง รักษาอยู่
เป็นเวลานานก็ไม่ทุเลา แกใช้เงินที่แกสะสมไว้เป็นค่ารักษาจนหมด ลูกหลานทั้งหลาย
พากันเดาว่ายายแก่คงใช้เงินรักษาจนหมดตัวแล้ว จึงพากันตีตัวออกห่าง
ในที่สุดเพื่อนบ้านแถวนั้นทนไม่ได้จึงผลัดกันมาดูแลยายแก่ แต่ทุกคนก็มีหน้าที่การงานต้องทำ
จะมาพยาบาลอยู่นานก็ไม่ได้ ยายแก่จึงต้องช่วยตัวเองซะส่วนมาก จะไปถ่ายอุจระก็ไม่ได้ ไหของแก
เมื่อเงินทองหมดก็ยังว่างเปล่าอยู่ แกจึงถ่ายอุจระไว้ในไหนั้นทุกวัน แล้วก็ปิดฝาไว้
เมื่อมีชาวบ้านมาเยี่ยม แกก็เริ่มคุยอวดชาวบ้านว่าความจริงเงินของแกก็ยังพอจะมีเหลือ
"ฉันกันเงินของฉันไว้ส่วนหนึ่ง เอาไว้ตอนเข้าตาจน ไม่เชื่อลองโยกไหดูสิ"
ชาวบ้านต่างก็ลองเอามือผลักไหดู ก็เชื่อว่ามีเงินอยู่ในนั้นแน่ พอกลับบ้านต่างคนก็ต่างไปเล่าต่อๆกัน
"ยายแก่ แกยังมีเงินเหลืออยู่ไม่น้อยเลย ไหที่ใส่ไว้หนักอึ้งทีเดียว"
ความนี้ในที่สุดก็ไปเข้าหูหลานๆของยายแก่ ด้วยความละโมบจึงพากันกลับมาคอยรับใช้ยายแก่อีก
ต่างคนก็ชิงกันเอาใจยายแก่ เพราะหวังจะครอบครองทั้งทองและเงินในไห ต่อมาไม่นานยายแก่ก็ถึง
อายุขัย หลานๆก็จัดงานศพเสียงดงาม
เมื่อเสร็จจากงานศพแล้ว ลูกหลานทุกคนก็ต่างคิดบัญชีค่าใช้จ่าย เพื่อจะได้แบ่งเงินในไหว่า
ใครได้ส่วนแบ่งมาก ใครได้น้อย พอคิดบัญชีเสร็จแล้วก็ยังทะเลาะกันจนยุติไม่ได้ เพราะต่างคนก็อยาก
จะได้มาก ไม่มีใครยอมใคร ในที่สุดก็ตกลงให้เปิดไหก่อนเพื่อจะนับเงินทอง แต่แล้วทุกคนก็ต้องผิดหวัง
เพราะพอเผยอฝาไหออก กลิ่นอุจจาระก็เหม็นคลุ้ง จนทุกคนผงะหงาย
ลูกหลานทุกคนเสียรู้ยายแก่เสียแล้ว
ข้อคิด
เกิดเป็นคนควรมีความกตัญญูต่อผู้มีพระคุณไม่ใช่ทำเพื่อหวังผลประโยชน์ส่วนตัว
ชื่อ นางสาวปิยธิดา ทาปลัด
รหัส 50010511064
คณะศึกษาศาสตร์
สาขาวิทยาศาสตร์ทั่วไป
นิทานเรื่อง เสือตีนโต
มีสามีภรรยาคู่หนึ่งอาชีพทำไร่ อยู่มาวันหนึ่งทั้งสองคนต่างก็ไปช่วยกัน
ทำไร่เหมือนเคย เผอิญวันนั้นไม่ได้ห่อข้าวไปกิน คิดว่าจะกลับไปกินกันที่บ้าน
พอตกบ่าย สองสามีภรรยาก็ชวนกันกลับบ้าน เมื่อถึงบ้านสามีจึงพูดกับภรรยาว่า
"นี่น้อง ไปหุงหาอาหารมากินกันเถอะ วันนี้ไม่รู้เป็นอะไรพี่หิวจังเลย"
ฝ่ายภรรยานั้นเป็นคนเกียจคร้านไม่ชอบหุงหาอาหารอยู่แล้ว เมื่อได้ยินสามีพูดดังนั้น
จึงตรงไปยังห้องครัว เข้าไปเปิดหม้อข้าวดู ก็เห็นมีข้าวเหลืออยู่ น่าจะพอแบ่งกันกินได้
จึงบอกกับสามีไปว่า
"ข้าวมีอยู่แล้วพี่ กับข้าวเมื่อเช้านี้ก็ยังเหลือ พี่หิวก็มากินได้เลย"
"เอ้างั้นก็ตกลง น้องก็มากินพร้อมกันเลยซิ" สามีพูด
สามีภรรยาต่างก็แบ่งข้าวกันกินคนละจาน ข้าวในหม้อจึงเหลืออีกเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
เผอิญมีเพื่อนคนหนึ่งมาที่บ้าน "เอ้ากำลังทำอะไรอยู่ละ" เพื่อนเอ่ยถาม
"กำลังจะกินข้าวกลางวันกัน มาๆ มานั่งกินข้าวด้วยกัน" สามีกล่าวเชิญชวนเพื่อน
ที่มาเยี่ยมตามธรรมเนียมไทยแท้ของคนไทย
"แหม กินสักหน่อยก็ดีเหมือนกัน กำลังหิวอยู่พอดีเชียว"
เพื่อนก็มานั่งร่วมวงกินข้าวด้วย ภรรยาจึงตักข้าวที่เหลืออยู่ในหม้อ
ให้แขกที่มาเยี่ยมเยือน ข้าวที่มีเหลืออยู่ในหม้อเพียงน้อยนิดก็หมดลง
ทั้งสามคนต่างกินกันไปคุยกันไป ข้าวในจานแต่ละคนก็ร่อยหรอทีละนิด เผอิญข้าวในจาน
ของเพื่อนหมดก่อน เพื่อนก็คอยโอกาสให้เจ้าของบ้านคดข้าวให้ตนเพิ่ม แต่ก็ไม่ตักให้เสียที ฝ่ายเพื่อน
ยังไม่อิ่ม จึงคิดหาอุบายที่จะบอกให้เจ้าของบ้านคดข้าวให้ จึงพูดขึ้นว่า
"เมื่อวานนี้ เราไปเที่ยวในป่ามา โอ้โฮเพื่อนเอ๋ยเราไปเจอเสือตัวหนึ่งรอยตีนโตขนาดจานข้าวนี่เลย"
เพื่อนพูดพร้อมกับเอียงจานให้เจ้าของบ้านดู
เจ้าของบ้านเมื่อเห็นดังนี้ ก็ถือโอกาสเล่าต่อว่า
"เมื่อวานนี้เหมือนกันนั่นแหละ เราก็ไปเที่ยวป่ามาเหมือนกัน โอ้โฮเพื่อนเอ๋ย
เราไปเจอช้างรอยตีนโตขนาดหม้อนี่แหละ"
พูดพร้อมเอียงหม้อให้ดู เพราะข้าวก็หมดหม้อแล้วเหมือนกัน
ข้อคิดที่ได้จากเรื่อง
การจะพูดบอกอะไรใครนั้น ในบางครั้งเราจะพูดบอกตรงๆไม่ได้
เพราะอาจเป็นการเสียมารยาท ผู้ฉลาดมักจะหาวิธีการบอกให้อีกฝ่ายหนึ่งรู้ได้โดยอ้อม
ชื่อ นางสาวศิริรัตน์ อารีรักษ์
รหัส 50010511075
คณะศึกษาศาสตร์
สาขาวิทยาศาสตร์ทั่วไป
นิทานเรื่อง โอ่งวิเศษ
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีชายผู้ยากไร้กับภรรยาอาศัยอยู่ในหมู่บ้าน
ชายผู้นี้มีนามว่า "อาเหลา" อาเหลามีปู่สูงอายุอาศัยร่วมอยู่ในบ้าน คุณปู่อายุมากแล้วไม่มีใครทราบอายุของคุณปู่ แม้ตัวคุณปู่เองก็จำไม่ได้
บุตรหลานที่ดีควรจะดูแลเลี้ยงดูบรรพบุรุษ แต่อาเหลาและภรรยา
ไม่ได้สนใจดูแล จัดหาอาหารการกินให้เพียงเล็กน้อย ซ้ำยังให้ทำงานหนัก
แม้ว่าคุณปู่จะผอมแห้งไร้เรี่ยวแรงแล้ว
อยู่มาวันหนึ่ง อาเหลาขุดพบโอ่งเก่าคร่ำคร่าในทุ่งนา
"โอ่งใบนี้น่าจะใช้เก็บน้ำได้" อาเหลาครุ่นคิดในใจ จึงแบกกลับบ้าน
พอถึงบ้านก็ให้ภรรยาใช้แปรงขัดทำความสะอาดโอ่ง พอดีแปรง
หลุดจากมือหล่นลงไปในโอ่ง ในทันใดนั้นเองโอ่งก็มีแปรงเต็มอัดแน่น
ไม่ว่าเธอจะกอบและโกยแปรงออกมามากเท่าใด ในโอ่งก็ยังมีแปรงเต็มแน่นเสมอ
"เราน่าจะเอาแปรงไปขายที่ตลาด" อาเหลาบอกกับภรรยา
อาเหลาเอาแปรงไปวางขายในตลาด ไม่ช้าไม่นานก็เก็บเงินได้มากมาย
เมื่อมีเงินทองมากมาย ก็จับจ่ายซื้ออาหารรสเลิศ และเสื้อผ้าแพรพรรณงดงามมากมาย
แต่ทั้งสองก็ไม่เคยนึกถึงคุณปู่แม้แต่น้อยนิด
อยู่มาวันหนึ่ง อาเหลาทำแท่งทองหล่นลงไปในโอ่ง แปรงหายวับไปจากโอ่ง
อาเหลาใจหายวาบเมื่อมองเห็นโอ่งว่างเปล่า แต่ทว่าในนาทีถัดมาโอ่งวิเศษก็มีแท่งทอง
เต็มอัดแน่น อาเหลาตะโกนเรียกภรรยาเสียงหลง "มาดูอะไรนี่ มาดูนี่ นี่ไง"
เมื่อผู้เป็นภรรยามองเห็นทองอัดแน่นอยู่ในโอ่งวิเศษ เธอสุดแสนจะดีใจ
อาเหลาขนทองคำออกจากโอ่งวิเศษได้ไม่รู้จบ อาเหลาสร้างบ้านหลังใหญ่
ใช้ชีวิตหรูหราสุขสบายประดุจเจ้าผู้ครองนคร
อาเหลาบังคับให้ปู่เป็นผู้ตักแท่งทองออกจากโอ่งวิเศษเพื่อให้ทองคำ
ผุดขึ้นมาอัดแน่นเต็มโอ่งอยู่เสมอ เมื่อใดที่พ่อเฒ่าเหน็ดเหนื่อยรามือพักหอบหายใจ
อาเหลาจะตะคอกดุด่าให้ทำงานต่อไป
อยู่มาวันหนึ่ง คุณปู่พลัดตกลงไปในโอ่งวิเศษ ทองแท่งในโอ่งหายวับไป
อีกไม่กี่อึดใจ คุณปู่แก่หง่อมก็ค่อยๆปีนออกจากโอ่งวิเศษ ทีละคนสองคน
เมื่ออาเหลากับภรรยามองเห็นเรื่องที่เกิดขึ้น ฝ่ายภรรยาก็กรีดร้องออกมาสุดเสียง
"รีบทำอะไรสักอย่างซิ ก่อนจะมีตาแก่โผล่ออกมาอีก"
อาเหลาจึงรีบหยิบพลั่วหวดใส่โอ่งวิเศษเต็มแรง จนแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
แต่ก็สายเกินไปแล้ว อาเหลามีคุณปู่ถึง 6 คน แล้วอาเหลาก็ตะคอกดุด่า
คุณปู่ทุกคนด้วยเสียงอันดัง แต่คุณปู่ทั้งหกไม่เกรงกลัวอาเหลาอีกต่อไปแล้ว
คุณปู่ช่วยกันขับไล่สองสามีภรรยาให้ออกนอกบ้านไป
อากาศนอกบ้านหนาวเหน็บลมเย็นยะเยือกพัดกระโชก สองสามีภรรยาหนาวสั่น
และเริ่มรู้สึกหวาดกลัวความมืดนอกบ้าน อาเหลาและภรรยาจึงเคาะประตูร้องวิงวอนว่า
"ได้โปรดเถิดคุณปู่ เปิดประตูรับพวกเราด้วย อย่าปล่อยให้เราหนาวตายอยู่นอกบ้านเลย"
คุณปู่ในบ้านส่งเสียงตอบ
"มีกี่ครั้งที่ข้าร้องขอความกรุณาจากเจ้าทั้งสอง แต่เจ้าไม่เคยเปิดหูรับฟังเลย"
"ได้โปรดเถิดคุณปู่ เราทั้งสองสำนึกและเสียใจแล้ว ขอได้โปรดอภัยให้เราสองคนด้วย
อาเหลาร้องวิงวอนเสียงกระเส่า ท้ายที่สุด คุณปู่ก็เปิดประตูรับทั้งสองเข้าบ้านด้วยความสงสาร
ข้อคิดที่ได้จากเรื่อง
- ควรดูแลเอาใจใส่ผู้มีพระคุณของตนเองไม่ว่าจะยากดีมีจน
- ความโลภเป็นบ่เกิดแห่งความหายณะ
- จงใช้ชีวิตอยู่ในความพอเพียง
ชื่อ นางสาวสกาวเดือน วรรณพราหมณ์
รหัส 50010511039 GS
นิทานเรื่อง ไม่ยุติธรรม
แม่ไก่สองตัวทะเลาะกันเพราะแย่งข้าวโพดหนึ่งเมล็ด
เมื่อตกลงกันไม่ได้แม่ไก่ก็วิ่งไปฟ้องไก่โต้งให้ช่วยตัดสิน
"ไปนำข้าวโพดมาให้ฉันซิ" ไก่โต้งสั่ง
แม่ไก่ทั้งสองก็เชื่อฟัง คาบเมล็ดข้าวโพดมาวางตรงหน้า
ผู้ตัดสินความแต่ไก่โต้งกลับรีบจิกข้าวโพดกินอย่างรวดเร็ว
"เอ๊ะ ไม่ยุติธรรม" แม่ไก่ท้วงเสียงแหลมแล้ววิ่งเข้าป่าไปร้องทุกข์หมาจิ้งจอก
"พาไก่โต้งมาพบฉันหน่อย" หมาจิ้งจอกสูดปาก
แม่ไก่กลับมาหลอกล่อไก่โต้งให้เข้าไปในป่า หมาจิ้งจอกงับไก่โต้งทันที
"ไม่ยุติธรรมเลยนะ" แม่ไก่บ่นและพากันไปหาความยุติธรรมจากหมาป่าอีก
"ทำอย่างนี้ไม่ถูกเรื่อง ไปตามเจ้าหมาจิ้งจอกมาซิ" หมาป่าคำราม
แกล้งทำเป็นโกรธแค้นแต่เมื่อแม่ไก่หาอุบายหลอกลวงหมาจิ้งจอกมาจนถึงถ้ำของหมาป่า
หมาจิ้งจอกก็ตกเป็นเหยื่อของหมาป่าอีกเช่นกัน
"โอ๊ย ไม่ยุติธรรม" แม่ไก่ตะโกนวิ่งเตลิดหนีไปพึ่งหมีเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟัง
"ตอนแรกเราก็ทะเลาะแย่งข้าวโพดกัน แล้วก็ไปขอให้ไก่โต้งช่วยตัดสิน
ไก่โต้งกลับกินข้าวโพดของเรา ไปฟ้องหมาจิ้งจอก หมาจิ้งจอกก็กินไก่โต้ง ไปร้องทุกข์
หมาป่า หมาป่าก็กินหมาจิ้งจอกอีกเห็นมั๊ย ไม่ยุติธรรมเลย" แม่ไก่บ่น
"เอาละไปพาเจ้าหมาป่ามาพบข้า" หมีออกคำสั่ง
แล้วเรื่องก็ลงรอยเดิม หมาป่าตกเป็นเหยื่อของหมี
"ตอนนี้ก็ถึงคราวเจ้าละ ข้าจะกินเจ้าด้วย" หมีหันมาขู่ตะคอกแม่ไก่ทั้งสอง
แม่ไก่จึงวิ่งหนีสุดฝีเท้า พอรอดพ้นอันตรายแล้ว ก็หันหน้าเข้าปรับทุกข์กัน
"ดูซิ ข้าวโพดเพียงเมล็ดเดียวทำให้สัตว์ทั้งหลายอิ่มหนำสำราญไปตามๆกัน
มีแต่สองเราเท่านั้นที่ทะเลาะแย่งข้าวโพด กลับหิวโหยไม่ยุติธรรมเลยนะ"
ข้อคิด
คนโง่ย่อมตกเป็นเหยื่อของคนฉลาด
นานมาแล้ว มีเด็กอยู่สองคน ไม่มีพ่อไม่มีแม่กำพร้าพ่อแม่ทั้งสองคนวันหนึ่งก็เลยออกไปอยู่ทุ่งนาอยู่ทุ่งนา ก็มีปลูกกระท่อมหลังเล็กข้างล่างเอาไว้เก็บควายไว้วัวไว้ควาย มีควายอยู่สองตัว พอตกเย็น น้องก็ร้องไห้
พี่เลยถามว่า"น้องเอ๊ยเป็นอะไร ทำไมร้องไห้"
น้องก็ตอบว่า "ไม่เป็นอะไรหรอก" พอดี ฝนก็ตกหนัก
ยิ่งฝนตกหนัก น้องก็ยิ่งร้องไห้ ฟ้าก็ร้องเปรี้ยงปร้างๆ น้องก็ยิ่งร้องไห้เข้าไปใหญ่ พี่ก็เลยถามว่า
"น้องเอ๊ย เป็นอะไรทำไมร้องไห้จัง" น้องก็ไม่ตอบ
ทีนี้ มีเสือโคร่งตัวหนึ่งเดินเข้ามาว่าจะมากินควาย
เลยเข้าไปซ่อนในคอกควายกะว่ารอให้มันมืด ให้มันดึกอีกหน่อย ถึงจะกิน หลังจากนั้น พี่ก็เลยถามน้องอีกว่า
"เป็นอะไร ทำไมถึงร้องไห้จัง" น้องตอบว่า "กลัวงอนง้อ" พี่ก็ถามว่า "ไหนงอนง้อ เดี๋ยวงอนง้อก็มากินหรอก ร้องไห้ดังๆ เลยนะ" พี่ก็บอกว่าอย่างนั้น
ทีนี้ เสือได้ยินอย่างนั้นก็คิดว่า "ขนาดคนงอนง้อยังกิน
แล้วมันจะไม่กินเสือเหรอ" ทีนี้ เสือก็ตกใจ สักครู่ เสือก็ตัวสั่นอยู่ ทีนี้ ก็มีขโมยจะมาขโมยควาย
ก็เลยเข้าไปในคอกควาย ในคอกก็มืดเพราะเมื่อก่อนไม่มีไฟ สมัยก่อนนี้ มีแค่ไต้กระบองแล้ว ทีนี้ ขโมยก็เลยเข้าไปคลำดูควายก็ไม่ค่อยอ้วนซักเท่าไหร่
ขโมยก็คลำไป คลำไปตรงหัว โอ๊ย ตัวนี้ผอมจัง
ทีนี้ ขโมยก็คลำไปถูกเสือ เสือก็คิดในใจ
"โอ้ นี่เหรอที่เขาเรียกว่างอนง้อ มันจะกินแม้กระทั่งคน" ทีนี้ ขโมยคลำไปถึงเสือก็เลยว่า "โอ้โห ตัวนี้ทำไมอ้วนดีจัง" ว่างั้นขโมยก็จับได้เสือ
เสือก็คิดว่า งอนง้อจะกิน ขโมยก็จับเสือขึ้นมา
"ปัดโธ่ควายตัวนี้มันเป็นควายไม่มีเขานี่นา"
"เขาก็ไม่มี อ้วนก็อ้วน" ทีนี้ ขโมยก็เอาเสือออกมาจากคอก แล้วขี่ไปเสือก็คิดในใจ "โอ๊ย งอนง้อจะกินกูเมื่อไหร่น้อ ทีนี้ ขโมยก็ขี่หลังเสือไปจนเกือบสว่าง
มันก็มีแสงสว่างรำไร ขโมยก็เลยเห็นลายเสือพาดกลอน ขโมยก็ตกใจ โดดลงจากหลังเสือ
ขโมยก็วิ่งขึ้นต้นไม้ เสือก็ตกใจเหมือนกัน
โอ๊ย งอนง้อจะไม่กินมันแล้วเหรอ เสือก็วิ่งไปบอกเพื่อน "มาดู มาดูเร็วเพื่อน มาดู มาดู งอนง้อ งอนง้อ อย่าให้งอนง้อกินมันนะ" เสือก็เรียกพวกเพื่อนมา
ทีนี้ ขโมยเห็นเสือพาพวกมาเยอะ ก็คิดว่าเสือจะมากิน เรียกพวกมากินตัวเองขโมยก็ตัวสั่น จับต้นไม้
แล้วก็ยิ่งปีนขึ้นไปสูง ก็ปีนไปถูกกิ่งไม้แห้ง กิ่งไม้แห้งหักเลยตกตุ๊บลงมา เสือตกใจพากันวิ่งหนี ก็เลยแตกแยกกันอยู่ เลยไม่ได้อยู่กันเป็นพวกเป็นฝูง
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
อย่าไปเชื่อคำพูดของคนอื่นจนกว่าจะได้รู้ด้วยตัวเอง
นางสาวสุภารัตน์ แสนมหาชัย
นางสาว พัชรี อาจศรี
รหัสนิสิต 50010511065
สาขาวิทยาศาสตร์ทั่วไป(GS)
เรื่อง นางผมหอม
นานมาแล้ว ณ หมู่บ้านแห่งหนึ่ง มีสองสามีภรรยาคู่หนึ่ง แต่งงานอยู่กินกันมาตั้งนาน แต่ก็ยังไม่มีลูกสักกะที จึงไปบนบานขอต่อเทวดา และในที่สุด ก็ตั้งครรภ์ และคลอดลูกเป็นเด็กหญิงน่ารักคนหนึ่ง ตั้งชื่อว่า เทวี เด็กหญิงนั้น ได้รับการเลี้ยงดูเป็นอย่างดี ด้วยความรัก จากพ่อแม่ทั้งสอง จนเติบใหญ่เป็นสาว อยู่มาวันหนึ่ง นางสาวเทวี ได้เข้าป่าไปหาของป่าและอาหาร วันนั้น เข้าไปในป่าลึกกว่าปกติ น้ำที่เตรียมมาได้หมดลง นางกระหายน้ำมาก ขณะที่เดินหาแหล่งน้ำอยู่ บังเอิญเหลือบไปเห็น น้ำที่ขังอยู่ในรอยเท้าโค จึงก้มลงดูดกินน้ำนั้น ก็ให้รู้สึกหอแห้งกระหายยิ่งขึ้น คือกินแล้วยิ่งไม่อิ่ม จากนั้นนางก็มองเห็นน้ำที่ขังอยู่ในรอยเท้าช้างดูใสสะอาด ก้มลงดื่มกินน้ำนั้น ก็ให้รู้สึกชุ่มฉ่ำคอยิ่งนัก จึงดื่มกินจนอิ่ม ความหิวกระหายนั้นก็หายไป นางกลับมาถึงบ้าน จากนั้นไม่นาน ก็ตั้งครรภ์ โดยที่ไม่รู้ว่าใครเป็นพ่อเด็กในท้อง พ่อแม่ก็พยายามถามไถ่หาความจริง นางก็เล่าให้ฟังตามที่เป็นจริง และบอกว่า สงสัยเด็กคงเป็นลูกของพญาช้างหรือไม่ก็พญาโค พ่อแม่ก็ไม่ได้ถามอะไรอีก ขอให้ได้หลานก็พอใจแล้ว ครบเก้าเดือน นางคลอดลูกเป็นเด็กหญิงแฝดสองคน คนพี่ให้ชื่อว่า นางผมหอม เพราะผมของนางมีกลิ่นหอมตั้งแต่แรกเกิด คนน้อง ให้ชื่อว่า นางลุน เพราะเป็นน้อง นางผมหอม เป็นคนนิสัยดี โอบอ้อมอารี ชอบช่วยเหลือผู้อื่นอยู่เสมอ ผิดกับนางลุนซึ่งเป็นคนขี้อิจฉา ใจร้าย ชอบรังแกคนอื่น รวมถึงชอบรังแกและแกล้งนางผมหอมอยู่เสมอ นางผมหอมและนางลุน ค่อย ๆ เติบโต ตามวัย เมื่อยังเป็นเด็ก ไปเล่นกับเด็กคนอื่นๆ ก็จะถูกล้ออยู่เสมอว่า เป็นเด็กไม่มีพ่อ กระทั่งโตเป็นสาว ก็ยังถูกล้ออยู่ ในที่สุดทนไม่ไหว ทั้งสองจึงตัดสินใจไปถามความจริงกับแม่ นาวเทวี เล่าความจริงให้ฟัง ว่าได้ไปดื่มน้ำในรอยเท้าโคและรอยเท้าช้างในกลางป่า กลับมาก็ตั้งครรภ์ พ่อของพวกเจ้าก็คือ พญาช้าง และพญาโค แต่ก็ไม่รู้ว่าใครเป็นลูกโค ใครเป็นลูกช้าง นางผมหอมและนางลุน จึงขออนุญาตมารดาออกตามหาบิดาในป่า รบเร้าบ่อย ๆ เมื่อมารดาอนุญาต ทั้งสองจึงออกเดินทางเข้าป่าตามทางที่มารดาบอก
เดินทางมาหลายวัน ในที่สุด ทั้งสองก็ต้องเผชิญหน้ากับ พญาช้างใหญ่เชือกหนึ่ง พญาช้างเห็นทั้งสองเข้าคิดว่าเป็นพวกมนุษย์ที่บุกรุกเข้ามา จึงจะฆ่าเสีย นางผมหอมผู้เป็นพี่ จึงร้องไห้อ้อนวอนขอชีวิต พญาช้างเกิดความสงสัยว่า เหตุใดหญิงทั้งสองจึงเข้ามาในป่าผิดวิสัยหญิงยิ่งนัก
นางผมหอมจึงเล่าให้ฟังว่า พวกนางเป็นลูกของแม่เทวี กับพญาช้างและพญาโค ซึ่งนางลุนก็ชิงพูดว่า ตนเองเป็นลูกของพญาช้าง ส่วนนางผมหอมเป็นลูกของพญาโค หากจะฆ่าก็จงฆ่านางผมหอมเถิด
นางผมหอมพูดว่า ตอนนี้ยังไม่ทราบว่าใครเป็นลูกช้าง ใครเป็นลูกโค พวกนางเพียงแต่อยากพบพ่อจึงอุตสาห์ดั้นด้นเข้าสู่ป่าใหญ่ ก่อนจะฆ่านาง ขอให้นางได้พิสูจน์ตัวเองก่อน ถ้านางไม่ใช่ลูกช้างจริงจะฆ่าก็ยอม
พญาช้างจึงกล่าวว่า ยินยอมให้พิสูจน์ โดยหากใครปีนงวงขึ้นขี่คอได้ คนนั้นนั่นแหละคือลูก ว่าแล้วพญาช้างก็ตั้งจิตอธิษฐานตามนั้น แล้วยืนนิ่ง ๆ
นางลุน มั่นใจนักว่าตัวเองเป็นลูกช้าง รีบปีนขึ้นงวง หมายจะขึ้นหลังช้างให้ได้ เพราะนางเป็นลูกโค แม้พยายามอย่างไร ก็ไม่อาจจะปีนขึ้นได้ มีแต่ลื่นตกลงมาดังเดิม พญาช้างจึงบอกให้พอก่อน
นางผมหอม กลับปีนขึ้นได้อย่างง่ายดาย และนั่งอยู่บนคอช้างได้สำเร็จ ส่วนนางลุนเห็นว่านางผมหอมปีนขึ้นได้อย่างง่ายดาย จึงอยากลองดูใหม่ แม้พญาช้างห้ามก็ไม่ฟัง นางลุนก็ยังปีนขึ้นไม่ได้ ในที่สุดพญาช้างจึงใช้เท้ากระทืบนางลุนตาย และนำนางผมหอมผู้เป็นลูกไปยังที่อยู่ของตน ให้บริวารนำหินมาสร้างปราสาทหิน ให้เป็นเรือนที่อยู่ของนางผมหอม เรียกว่าปราสาทนางผมหอม
นางผมหอม แม้จะดีใจที่ได้พบพ่อ แต่ก็สงสารนางลุนผู้น้องสาว ร้องไห้มาตลอดทาง แต่ก็ไม่กล้าต่อว่าอะไรพญาช้างผู้บิดา ได้แต่ติดตามไปอยู่กับพญาช้างนั้น
พญาช้างดูแลปรนนิบัตินางผมหอมเป็นอย่างดี ด้วยความรักในธิดา เมื่อนางผมหอมต้องการไปไหน ก็ให้ขี่คอไป นางผมหอม อาศัยอยู่ในป่ากับพญาช้างเป็นเวลาหลายปี นางเป็นมนุษย์อยู่คนเดียว รู้สึกเหงามาก ทั้งตนเองก็เป็นสาวแล้ว อยากมีผู้ชายใครสักคน เป็นเพื่อนใจ จึงออกอุบายเพื่อให้ได้ชายผู้เป็นเนื้อคู่ตน
วันนั้น นางผมหอม ไปอาบน้ำที่แม่น้ำเช่นเคย เตรียมผอบไปด้วย นางถอนผมตัวเองออกมา 1 เส้น บรรจงม้วนใส่ลงไปในผอบนั้น ผมของนางยาวจนถึงประมาณสะโพกทีเดียว และด้วยบุญเก่าของนาง นางจึงมีผมที่หอมอยู่เป็นนิจ เมื่อใส่ผมลงในผอบปิดฝาเรียบร้อยแล้ว นางได้ตั้งจิตอธิษฐานว่า
“ ผอบนี้ จงลอยน้ำไป ขอกลิ่นหอมของเส้นผมอย่าได้จางหาย ขอให้ชายที่เป็นเนื้อคู่เท่านั้นสามารถที่จะเก็บผอบนี้ได้ คนอื่น ๆ แม้พบเห็นหากไม่ใช่เนื้อคู่แล้วไซร้ ขอให้เก็บเอาไม่ได้เถิด หากชายที่เป็นเนื้อคู่เก็บได้แล้ว ขอให้มีใจมั่นที่จะออกตามหาตัวเราจนได้พบกันเถิด ”
เมื่ออธิฐานเสร็จแล้ว ก็ปล่อยวางผอบลงแม่น้ำ ผอบนั้น ได้ลอยตามน้ำไปเรื่อย ๆ จนไปถึงเมืองรัตนา ก็ลอยวนเวียนไปมาอยู่แถว ๆ ท่าน้ำ ด้านหน้าพระราชวัง
เมืองรัตนา มีกษัตริย์หนุ่มรูปงามคนหนึ่งปกครองต่อจากบิดาของตน นามว่าพระเจ้ารัตนะ ยังไม่มีพระมเหสี วันนั้นพระองค์กับเหล่าบริพารเสด็จไปเล่นน้ำอยู่ท่าน้ำนั้นพอดี เมื่อผอบนั้นลอยมาถึง กลิ่นหอมแห่งผมก็กำจรจายไปทั่วบริเวณ ทั้งพระราชาและเหล่าบริพารต่างได้กลิ่นหอมประหลาดนั้นซึ่งแตกต่างจากกลิ่นหอมที่เคยสูดดมอยู่ทุกวัน พอดีเหล่าบริพารแลเห็นผอบน้อยนั้นลอยอยู่กลางน้ำ สงสัยว่ามันคืออะไร จึงต่างว่ายน้ำเข้าไปเพื่อที่จะเก็บเอา แต่ก็ไม่มีใครสามารถจะเก็บเอาได้ สร้างความประหลาดใจแก่พวกเขายิ่งนัก จึงมากราบทูลให้พระราชาทรงทราบ พระองค์จึงทรงใคร่ลองด้วยพระองค์เองบ้าง จึงว่ายน้ำเข้าไป และเก็บได้อย่างง่ายดาย สร้างความอัศจรรย์ใจแก่เหล่าบริพารยิ่งนัก
พระเจ้ารัตนะ ทราบว่ากลิ่นหอมต้องมาจากของในผอบนี้เป็นแน่แท้ ขึ้นฝั่งมาเปิดผอบออกดู จึงพบเห็นเพียงเส้นผมยาว ๆ สีดำขลับเงางามเส้นหนึ่ง เส้นผมยิ่งส่งกรุ่นกลิ่นหอมอบอวลไปทั่ว พระองค์คิดว่า เส้นผมนี้ คงเป็นผมของเทพธิดากระมัง ถึงได้หอมปานนี้ หรือหากเป็นของมนุษย์ ผู้หญิงคนนั้น ต้องเป็นคนมีบุญมากเป็นแน่แท้ เอาเถิด เราจะออกตามหานางให้พบ นำมาเป็นพระมเหสีให้จงได้
พระเจ้ารัตนะ ฝากบ้านเมืองไว้กับเหล่าบริพารที่ไว้ใจ ออกเดินทางไปผู้เดียว ทวนกระแสน้ำขึ้นไปตามทางที่ผอบล่องลอยลงมา โดยไม่ลืมที่จะนำผอบเส้นผมติดตัวไปด้วย เดินทางรอนแรมมานานหลายวัน ในที่สุดก็มาถึงบริเวณที่อยู่ของนางผมหอม พระองค์สูดได้กลิ่นกรุ่นหอมแรงชัดยิ่งขึ้น จึงแน่พระทัยว่า เจ้าของเส้นผมต้องอาศัยอยู่บริเวณนี้
พอดีวันนั้น พระยาช้างพร้อมบริวาร ออกหากิน นางผมหอมอยู่คนเดียว พระเจ้ารัตนะเดินทางตามกลิ่นแห่งเส้นผมมาเรื่อย ๆ จนมาถึงท่าอาบน้ำนางผมหอม ขณะนั้น นางผมหอมกำลังอาบน้ำอยู่ เมื่อทั้งสองพบกัน ด้วยอำนาจบุญที่เคยทำร่วมกันไว้ให้เป็นเนื้อคู่กัน ทั้งคู่ก็เกิดความรักแรกพบทันทีอยู่ในใจ เมื่อพูดคุยถามไถ่จนได้ความจริงของกันและกันแล้ว นางผมหอมจึงพาพระเจ้ารัตนะไปบนปราสาทหิน ร่วมทานอาหาร และอยู่ด้วยกันตั้งแต่นั้นมา โดยมีข้อแม้ว่า ห้ามพระเจ้ารัตนะลงจากปราสาทโดยเด็ดขาด เพราะกลัวพญาช้างจะทราบเรื่องแล้วฆ่าเสีย
แม้พระยาช้างจะได้กลิ่นมนุษย์คนอื่นที่ไม่เหมือนกลิ่นนางผมหอม แต่ด้วยเกรงใจลูกจึงไม่ได้ถามและขอค้นดูในปราสาท เป็นแต่แบกความสงสัยไว้และคอยจับจ้องดูอยู่ภายนอก
ทั้งสองครองรักกันจนมีบุตรธิดาด้วยกัน 2 คน คือ คนพี่เป็นชายนามว่า "สีลา" คนน้องเป็นหญิงนามว่า "ชาดา"
อยู่ไปอยู่มา ทั้งคู่เกรงว่า หากพญาช้างจับได้จะเกิดอันตราย จึงวางแผนหนี เพื่อจะกลับไปครองเมืองรัตนาดังเดิม และในที่สุด ก็หนีออกมาได้ ในวันที่พระยาช้างพร้อมทั้งบริวารทั้งหมดออกหากินไกล ๆ
ฝ่ายพญาช้างสารได้ออกตามหาลูกและหลานจนพบด้วยความ เสียใจที่ถูกลูกและหลาน ทิ้งไปอยู่เมืองอื่น จึงขาดใจตาย ก่อนตายได้ได้มอบงาของตนให้ พระเจ้ารัตนะไว้เป็นอาวุธ เพื่อป้องกันตนเอง
ขณะที่กำลังเดินทางและพักแรมจนกว่าจะถึงเมืองนั้น ปรากฏว่าเส้นทางนั้น มีนางผีป่าเฝ้าอยู่ และเกิดความเสน่หาในพระเจ้ารัตนะ เมื่อนางผมหอมอาบน้ำ จึงถูกนางผีป่าผลักตกน้ำไป และนางผีป่าก็แปลงตนเองเป็นนางผมหอมแทน
เมื่อถึงพระนคร นางผีป่าก็เข้าอยู่ในวังด้วยในช่วง ระยะ เวลาหนึ่ง แต่เนื่องจากพฤติกรรมของนางผีป่าแปลง แตกต่างกันกับนางผมหอมจริง เมื่อพระเจ้ารัตนะทราบความจริง จึงหาทางกำจัดนางผีป่า และไปรับนางผมหอมมาอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข
พระเจ้ารัตนะได้แต่งตั้งนางผมหอมเป็นพระอัครมเหสี และอยู่ครองรักกันอย่างมีความสุข
****จบ****
ข้อคิดที่ได้จากเรื่องนี้คือ
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว
คือนางผมหอมทำดีจนได้ดีในอนาคต
แต่นางลุนผู้เป็นน้องสาวนั้นนิสัยไม่ดีเลยได้เจอจุดจบของชีวิตก่อนพี่สาว
เซียงเมี่ยง
เค้าโครงจากบทประพันธ์ เรื่อง ศรีธนญชัย
อันว่าเรื่องของ เซียงเมี่ยง หรือ ศรีธนชัยนั้น มีตำนานกล่าวไว้อย่างหลากหลาย ข้าพเจ้าจึงหยิบยกตอนต่างๆมาผูกปมใหม่ ให้ได้เป็นเรื่องเป็นราวที่สนุกและกะทัดรัด คงไม่ว่ากันเนาะ
เซียงเมี่ยง เป็น คนฉลาดเฉลียว เจ้าเล่ห์ เจ้าความคิด ช่างพูด ช่างเจรจา เป็น ลูกของนายชัย กับ นางศรี ซึ่งชื่อนั้นก็ได้เอาชื่อ พ่อ กับ แม่ผสมอยู่ด้วย และมีน้องอีกคน เซียงเมียงจึงมีหน้าที่ดูแลน้อง วันหนึ่งมีแม่ค้าขายขนมมาขายที่บ้าน พ่อแม่ก็ซื้อให้ และแบ่งให้ลูกๆเท่าๆกัน แต่เซียงเมียงกลับเอ่ยว่า น้องตัวเล็กต้องได้น้อยกว่าพี่จึงจะถูก แม่ค้านั้นเห็นน้องของเซียงเมียงน่ารัก น่าเอ็นดูจึงหยิบขนมแถมให้ ทำให้เซียงเมี่ยงไม่พอใจ วันนั้นทั้งวัน เซียงเมี่ยงไม่ดูแลน้อง น้องจึงเล่นสกปรก เล่นดินเล่นทราย จนแม่มาเห็นจึงบอกให้เซียงเมี่ยงดูแลอาบน้ำล้างขี้ล้างเยี่ยวล้างตับไตไส้พุงน้องให้สะอาด เซียงเมี่ยงจึงจับน้องผ่าท้องควักตับไตไส้พุงออกมาล้าง เอาขมิ้นดินสอพองทาอย่างดีแล้วเอาใส่เปลเห่กล่อม พ่อแม่รู้จึงเอาหวายมาไล่เฆี่ยนไล่ตีและขับไล่ให้ออกจากบ้าน ไปบวชอยู่วัดแห่งหนึ่งอยู่ได้ไม่นานก็ถูกขับไล่ออกมา เพราะไปยอกเย้าหลานสาวสมภาร
เซียงเมี่ยงจึงไปขออยู่กับแม่ค้าขายขนม (ซึ่งมีความแค้นกันอยู่) วันหนึ่งแม่ค้าใช้ให้เอาขนมไปขาย และขอให้ขายดีเหมือนเทน้ำเทท่า เซียงเมี่ยงจึงเอาไปน้ำเทท่าจริงๆ กลับมาบ้านแม่ค้าถามหาเงิน เซียงเมี่ยงก็ได้โกหกว่าคนแถวบ้านเชื่อไว้วันหน้าจะเอาเงินมาให้ หลายวันเข้าแม่ค้าจับได้จึงเอาไปฝากไว้กับลูกชายซึ่งเป็นขุนนาง(หลวงนาย)ชุบเลี้ยงในเมืองหลวงให้ช่วยกำราบเจ้าศรี
ขอเรียกใหม่ว่า เจ้าศรีก็แล้วกันนะ เพราะเรียกเซียงเมี่ยง ข้าพเจ้าขี้เกียจพิมพ์ เจ้าศรีนี่น่ะ พอมาอยู่ที่นั่นก็ได้มีหน้าที่ถือล่วมใส่หมากพลูไปเฝ้าพระราชา วันหนึ่งเกิดทำพลูหล่นหาย หลวงนายจึงบอกว่าควรระมัดระวังเห็นอะไรก้เก็บให้หมด วันต่อมา เจ้าศรีเห็นขี้หมา ขี้แมวแห้งก็เก็บใส่ล่วมมาหมด จึงนำถวายหลวงนาย วันนี้เพื่อนของหลวงนายมาพอดี จึงจะเปิดล่วมให้เพื่อนด้วย พอเปิดขึ้นหลวงนายก็ไม่พอใจไล่เตะเจ้าศรีด้วยความโมโห(ด้วยความสูน ฮิๆๆๆ)
วันต่อๆมาเมื่อคนในบ้านเผลอจุดไฟไฟเผาบ้าน คุณนายสั่งให้เจ้าศรีไปรายงานต่อหลวงนาย เจ้าศรีแกล้งเดินเชื่องช้าคลานช้าๆเข้าไปกระชิบกระซาบหลวงนายกว่าจะรู้เรื่องไฟก็ไหม้หมดแล้ว ตั้งแต่นั้นมาฐานะของหลวงนายก็ยากจนลงถึงกับทำนาด้วยตัวเอง วันหนึ่งแม่ของหลวงนายป่วย จึงสั่งให้เจ้าศรีไปเฝ้าดูแล ด้วยความแค้นแต่หนหลัง เจ้าศรีจึงเอาสารหนูผสมกรอกกับยาให้กิน หลวงนายไม่รู้จะทำประการใดก็ได้แต่ทำพิธีเผาตามประเพณี เจ้าศรีจึงได้ไปอยู่ในเมืองตามเดิมและสร้างเรื่องสร้างราวไม่เว้นแต่ละวัน หลวงนายจึงส่งไปถวายตัวเป็นมหาดเล็กของพระเจ้าภูเบศ
เมื่ออยู่ในวัง เจ้าศรีได้ใช้ความรู้ความสามารถปฏิบัติหน้าที่จนราชาพอพระทัย จึงเลื่อนขั้นเป็น ขุนศรีธนชัย พอโตขึ้นนิสัย ขุนศรี ก็ฉลาดแกมโกง กำเริบ ไม่ค่อยได้มาเข้าเฝ้าดังแต่ก่อน ครั้นราชาทรงถามก็ตอบว่ามัวแต่สร้าง เรือนทอง อยู่จึงไม่ค่อยว่าง ราชาจึงเสด็จไปดูพร้อมนางกำนัล พอถึงปรากฏว่าเป็นเรือนไม้ทองหลางจึงรู้ว่า ขุนศรี นี้หลอกเอาแล้ว จึงสั่งคนในวังไปถ่ายรดเรือนจนเลอะเทอะ สมพระทัยแล้วจึงกลับวัง เจ้าศรีกลับทุบตีเหล่านางกำนัล และหาว่าพวกนางทำเกินคำสั่งเพราะตดด้วย
อยู่ต่อมาเจ้าศรีอยากมีที่ดินไว้สร้างฐานะของตน จึงขอที่ดินเท่าแมวดิ้นตาย กับราชา
ราชาตอบตกลง เจ้าศรีจึงไล่ตีแมว แมวเจ็บร้องเสียงหลงวิ่งเตลิดเปิดเปิงไปถึงที่นาใครเจ้าศรีก็เอาธงปักไว้ ชาวนาเข้าไปร้องเรียน พระราชาไม่รู้จะทำประการใดได้แต่นำทรัพย์มาทดแทนชาวนาไป เพราะตรัสแล้วมิอาจคืนคำได้
อยู่ต่อมาอีก เจ้าศรีตามเสด็จพระราชาไปประพาสสวนหลวง ราชาจึงตรัสท้าเจ้าศรีว่าหากหลอกให้ลงสระได้จะให้รางวัล เจ้าศรีทูลว่ามิอาจหลอกให้ลงสระได้ แต่ถ้าหากหลอกให้ขึ้นจากสระล่ะพอมีทางอยู่ เมื่อลงสระแล้วจึงรู้ว่าเสียทีแล้ว แต่ก็ประทานรางวัลให้อย่างงาม
เมื่อถึงหน้าหนาว คิดอยากจะหาสาวมากอดให้อุ่นอก คิดอยากจะมีครอบครัว จึงไปบอกกับคนรู้จักที่สนิทสนมว่า จะขอลูกสาวไปทำลูก จึงยกให้แต่กว่าจะรู้ว่าเสียที เจ้าศรีก็ได้ลูกสาวเป็นเมียเสียแล้ว อยู่ไม่นานภรรยาของ ขุนศรี(เจ้าศรี) บ่นว่าไม่มีเงินใช้ ขุนศรีจึงไปพนันกับเหล่าอำมาตย์ต่อหน้าพระที่ว่า เจ้าศรีจะทายใจว่าเหล่าท่านอำมาตย์คิดอะไรอยู่ ท่านอำมาตย์จึงว่าไม่มีทางแน่นอน จึงรับคำท้า ขุนศรีจึงทายว่า เหล่าอำมาตย์นี้ล้วนแต่จงรักภักดีต่อพระองค์และแผ่นดินยิ่งกว่าชีพตน เจอไม้นี้ก็ไม่มีใครกล้าปฏิเสธว่าไม่เป็นความจริง มิเช่นนั้นมีหวังเจอข้อหากบฏต่างแพ้พนัน ขุนศรีจึงนำเงินที่มากมายไปให้ภรรยา
เวลาผ่านไปมีเจ้าเมืองสิงหลส่งปราชญ์มาท้าประลองปริศนาธรรมด้วย หากใครแพ้จะต้องยกเมืองให้เป็นเมืองขึ้น ขุนศรี ขันอาสา เมือถึงวันประลอง ปราชญ์นั้นก็แพ้ย่อยยับกลับไป จากนั้นก็มีเมืองจากประเทศต่างๆมาท้าประลองด้วยกล เล่ห์ต่างๆแต่ก็แพ้กลับไป พร้อมสาปส่งว่าจะไม่ขอกลับมาเจอหน้าขุนศรีอีก
เรื่องราวของ “ขุนศรี”นั้นสุดแสนจะยืดยาว ดิฉันก็ค้นได้มากพอควรอยู่แต่ก็ยาวมาก แต่ผมก็รู้แต่ว่า ตอนจบนั้น ท่านพระยาให้นำยาพิษ ใส่ในอาหารมาให้ทหารนำมาให้ขุนศรีกิน ขุนศรีนั้นรู้ว่าในอาหารนี้มียาพิษแน่นอน เพราะเอาอาหารวางไว้ไม่นานแมลงวันได้บินมาตอนแล้วก็ตาย ขุนศรีเลยตั้งใจจะกิน และแก้แค้นคืน โดยบอกกับภรรยาว่า หากข้าตายแล้วให้นำศพของข้านั่งบนเก้าอี้หันให้ประตูบ้านแล้วจัดท่าทางข้า ทำเหมือนข้ากำลังอ่านหนังสือ ภรรยารับคำทั้งน้ำตา ว่าแล้ว จุดจบของขุนศรีคือ ยอมกินอาหารที่มียาพิษด้วยตนเอง แล้วก็จากโลกไป ท่านพระยาได้ให้ทหารมาสอดแนมว่าขุนศรีตายหรือยัง ทหารนั้นเห็นลางๆว่าขุนศรีกำลังนอนอ่านหนังสืออยู่ จึงแอบไปถามภรรยาขุนศรีว่า ขุนศรีนั้นกินอาหารหรือยัง ภรรยาตอบว่ากินจนหมดแล้ว ทหารจึงไปบอกท่านพระยาว่า ยาพิษที่ใส่ลงไปคงเป็นยาอย่างอื่น ไม่ใช่ยาพิษแน่ ขุนศรีถึงไม่ตาย ว่าแล้ว ท่านพระยาและเหล่าทหารนั้นก็ได้พิสูจน์ยาพิษนั้น โดยการกินทุกคน ไม่ถึงนาที ทุกคนก็ตายกันไปหมด ให้ทุกข์แก่ท่าน ทุกข์นั้นถึงตัวจริงๆนะจะบอกให้ ( แต่ก็มิได้นำพา )
เรื่องของเซียงเมี่ยงอ่ะ มันเป็นเรื่องนิทานพื้นบ้านของอิสาน ถ้าจะเจาะจงว่าเป็นอิสานแถบใดนั้น ก็เป็นอิสานตอนกลาง แถวร้อยเอ็ด กาฬสินธ์ สารคาม ส่วนนิทานพิ้นบ้านของอิสานใต้ ถิ่นที่ข้าพเจ้าอาศัยอยู่นั้น ข้าพเจ้าฟังจากตาเป็นภาษาพื้นบ้าน ไม่รู้จะเล่ายังไงให้ได้อัถรส เรื่องมันมีชื่อว่าผีกองก่อย แถบ อุบล ศรีสะเกษ ยโสธร สุรินทร์ บุรีรัมย์ ต่างก็มีเรื่องเล่านานา เป็นตอนๆไป ถ้าไงใครอยากฟังจะเล่าให้ฟังคร่าวๆ แต่มาถามกับเจ้าตัวเองนะคะ
นางสาวณิชาพร เรืองนาม 50010511012
คณะศึกษาศาสตร์ เอกวิทย์ ปีที่สอง
หัวข้อ นิทานพื้นบ้าน
เรื่องจากเซียงเม่ยงของชาวอิสานสู่ศรีธนนชัยของภาคกลาง
นางสาวเอมิกา พันโนริต
รหัสนิสิต 52010919199
นิทานพื้นบ้าน(ล้านนา)
เรื่อง ปุ๋ยลำไย
ลุงทาเป็นชาวสวน แกทำสวนลำไยกว้างขวาง ในฤดูลำไยออกดอกออกผล แกมีความสุขใจที่สุด ดังนั้นตลอดวันแกจะขลุกอยู่แต่ในสวนลำไยตลอดเวลา
ลุงทาจะคอยเอาใจใส่ดายหญ้า พรวนดิน และใส่ปุ๋ยรดน้ำ ครั้นฤดูร้อนย่างเข้ามาทางเทศบาลเบื่อสุนัข ลุงทาจะชื้อซากสุนัขเหล่านั้นจากพนักงาน แล้วนำเอาไปฝั่งไว้ที่โคนต้นลำไยต้นละตัว การที่แกทำเช่นนี้ทำให้สวนลำไยของแกงอกงามยิ่งนัก
จนแกบอกกับใคร ๆ ว่า การเอาสัตว์ที่ตายแล้วไปฝังโคนต้นช่วยให้ต้นลำไยเจริญเติบโตรวดเร็วยิ่งนัก ถ้าใครไม่เชื่อก็ลองดูเถิด มันโตวันโตคืนเชียว วันหนึ่งลุงเขียวเพื่อนบ้านได้แวะไปเยี่ยมลุงทาที่บ้านแต่ไม่พบ แกจึงเลยแวะไปหาที่สวนลำไย
พอดี ขณะนั้นย่างเข้าฤดูร้อน ไก่แก่กำลังเป็นโรคระบาดตายกัน และลุงเขียวเป็นนักเลี้ยงไก่ ที่บ้านแกมีไก่มากมาย ลุงทาเห็นเป็นโอกาสเหมาะจึงเอ่ยปากบอกลุงเขียวว่า
‘' เขียว เขียว ถ้าไก่คิงตาย ฮาขอเหียเน่อ ‘' ( เพื่อน ถ้าไก่ตายขอเสียนะ ) ลุงเขียวได้ยินชักโมโหที่เพื่อนมาพูดเช่นนี้เป็นการแช่งให้ไก่ของตนตาย จึงถามออกไปอย่างโมโหนิด ๆว่า
‘' ถ้าไก่ฮา ( ฉัน ) ตาย คิง ( เพื่อน ) จะเอาไปยะหยัง ‘'( ทำไมล่ะ ) ลุงทาได้ยินไม่คิดว่าเพื่อนของตนโมโหจึงกล่าวว่า ‘' ถ้าได้ไก่ตาย ฮา ( ฉัน ) ก็จะเอามาใส่ต้นลำไยเป็นปุ๋ยละก่า ‘' ( ละซิ )
ลุงเขียวชักฉุน เลยกล่าวต่อไปว่า ‘' ถ้าจะอั้นกันงัวของฮาต๋ายลอ คิงจะเอาก่อ '' ( ยังนั้นถ้าวัวของฉันตายจะเอาไหมล่ะ ) ลุงทาหัวเราะว่า ‘' เอาก่า เอาก่า ถ้างัวของคิงตาย ฮาจะแบ่งใส่ได้หลายต้น ขอคิงฮื้อแต้ ๆ เต็อะ '' ( เอาซี เอาซี ถ้าวัวเพื่อนตาย จะได้แบ่งฝังได้หลายต้น ขอให้ก็แล้วกัน ) แกตอบไปอย่างพาซือ
ลุงเขียวชักหมั่นไส้ในความเห็นแก่ตัวของเพื่อนจึงพูดตัดบทว่า ‘' ถ้าจะอั้นรถบดถนนต๋ายคิงจะเอาก่อ บ่าเดี๋ยวนี้มีหลายกันจอดอยู่ในโฮงรถข้างก๋มทาง ''( ถ้างั้นรถบดถนนตายล่ะจะเอาไหมเดี๋ยวนี้มีหลายคันอยู่ในโรงรถนั้น )
ลุงทาได้ฟังจึงรู้ว่าลุงเขียวพูดเล่นแง่กับตน จึงโมโหและโพล่งออกมาโดยไม่รู้ตัวว่า '' ดีก่าบ่าถ้ารถบดต๋ายแต้ ๆ ฮาจะเอาเป็นปุ๋ยสากมอง ไปไป้ปู่เขียว กำเดียวจะหัวแตก ''( ดีซี ถ้ารถบดถนนตายกัน จะเอาเป็นปุ๋ยสากตำข้าว )
ลุงเขียวรู้ท่าว่าเพื่อนของตนโกรธจึงรีบก้าวเท้าจ้ำเดินจากไปโดยไม่เหลียวหลัง พร้อมกับบ่นพึมพำว่า ‘' คนอะหยังจะใดจะเอาก่าได้ฝ่ายเดียว ''( คนอะไรจะเอาแต่ได้ฝ่ายเดียว )
ข้อคิดที่ได้จากนิทานเรื่องนี้
ความโลภเป็นสมบัติของคนเห็นแก่ตัว และพูดอะไรมักขาดเหตุผล หรือการขออะไรจากใครพึงขอในสิ่งที่ควรขอ
แสดงความคิดเห็น