I was born in an exciting night of my family because they got the first child. I was born at 2.15a.m. on Tuesday in June in Phontong, Roi-Et. I lived in Phontong for 18 years. I lived with my mother; my father and my younger sister. When I was young I was a taciturn girl. But stor was very talkative. Sometimes when we got into a fight my mother would come up to us but she did not see Stor because she ran very fast. She ran into my grandmother’s house while I still stood in front of the door. I do not know why I did not ran. Maybe I was waiting my mother hit me. My name is Mukda Phumiphunth I started school when I was three- years-old. I studied in kindergarten school for three year and began in one grade when I was six. My school is the same where as my mother work because she is the teacher. My mother picked me up to school until I began in one grade. After that she tried to practice me walk to school by myself. I learned to be patient from walking to school. I got many awards while I was in primary school, I won story telling contest when I was eight years old. I won an award for science quiz in my province when I was in the twelfth grade. I also won an award for perfect head of the class all six years. Then I attended Patwit School, and there I also won quize competition on Christmas day. When I was fifteen year I won on an award for Scientific Process Skill Contest. I am now a senior at MSU, faculty of Education and majoring in English. Life to me means everything that happened in everyday. All the roads that I walk or drive on them, they tell me that I am still walking and driving a car. It means I am breathing. Everyone who speaks with me, he or she tells me that I am still speaking with him or her. It means I am breathing. We can spend equal the same time for twenty- four hours in each day. I think if we must realize all things that we do in each day. We must know what the good or bad thing that happened and revise for living tomorrow. Everyone will see the meaning of life. I am going to try to be a teacher when I graduated bachelor degree from Mahasarakham University. I think I will work for two years. After that I will study in master degree and work together. I do not plan to marry until I see someone who is my type. And his type is me too. I think I will spend to stick together for five years. If he love me and does not find another girl after that I will marry with him. But in the different way if no one is a good man for me I will stay with my lovely parents in my hometown. As I said in the beginning, I was a taciturn girl. But now I know how to talk with people. I always learn to understand what their thinking is. I love to see people smile. I hope you have enjoyed reading my life story as much as I have enjoyed writing it for you. Now the most important in my life is studying and do it the best that I can. I wish my parent proud of me.
34 ความคิดเห็น:
วิษณุศักดิ์ อนุสุริยา (วอร์ม)
48010512087 สาขาเทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
อัตชีวประวัติ (Autobiography)
วอร์มครับ เรียนอยู่สาขาเทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา วอร์มมีชื่อจริงว่า วิษณุศักดิ์ อนุสุริยา ที่มีความหมายว่า "วิษณุศักดิ์ หมายถึง พระนารายผู้มีอำนาจ","อนุสุริยา หมายถึง พระอาทิตย์ดวงน้อย" วอร์มเป็นคนพื้นฐานมาจากจังหวัดหนองบัวลำภู จังหวัดที่ได้ชื่อว่า ยากจนที่สุดในประเทศไทย แต่คนหนองบัวลำภูก็ยังรวยน้ำใจนะครับ วอร์มเกิดที่ อำเภอโนนสังจังหวัดหนองบัวลำภู ในวันพุธที่ 31 ธันวาคม พ.ศ.2529 ตอนเวลา 17.25 น. วอร์มเป็นลกคนโตครับ มีน้องสาวอีกหนึ่งคน ในบรรดาหลานๆในครอบครัว วอร์มเป็นหลานคนโตที่สุดในเครือญาติ ถึงวอร์มจะเกิดที่อีสาน แตต่วอร์มก็มีคุณแม่เป็นคนเหนือ แม่วอร์มเป็นคนจังหวักเพชรบูรณ์ วอร์มก็เล่นเป็นลูกครึ่ง ครึ่งเหนือครึ่งอีสาน (อันนี้คิดไปเอง คิคิคิ) ตั้งแต่เด็กๆ วอร์มจะถูกเลี้ยงมาแบบอบรมสั่งสอนแบบอยากเข้มงวดมาก เพราะคุณปู่ท่านเป็นครู(ครูใหญ่ชะด้วย)อะไรที่ไม่ดีท่านจะไม่ให้ไปยุ่งเลย ตอนนั้นก็เลยยังอ่อนต่อโลกมาก แต่สิ่งที่ปู่ให้มาตั้งแต่เด็กๆและวอร์มก็ยังทำอยู่คือ "เกิดเป็นคน อย่าลืมบุญคุณคน" กับ "ทุกวันนี้ สบายวันหน้า" ตอนเด็กวอร์มอาจจะไม่เอาใจอะไรมากกำสิ่งที่ปู่สน แต่ก็ด้วยสิ่งเหล่านั้นละครับ วอร์มถึงเป็นผู้เป็นคนได้ขนาดนี้
ชีวิตในวัยเด้กวอร์มก็คงจะเหมือนหลายคน ที่ชอบการเล่นความสนุกไปวันๆ ยังคิดอะไรไม่เป็น ยังทำตามคนอื่นบอกเสมอ และเกือบจะเดินทางไปในทางที่ผิดหลายครั้งแต่ก็ผ่านมาได้ด้วยดี
สิ่งที่คิดว่าเสียใจที่สุด
"เกรดตกเกือบโดน ไล่ออกจากมหาลัย"
ทำวอร์มถึงว่า สิ่งที่เสียใจที่สุดคือการที่เกรดตกแล้วจะโดนไล่ออกจาก มหาลัย ก็เพราะว่า ตั้งแต่เรียนมาวอร์มไม่เคยอยู่ในฐานะการเรียนที่ตกต่ำที่สุดที่ตัวเองเคยเรียนมา ตอนนั้นวอร์มอยู่ปี2 เทอมที่1 คณะการบัญชีและการจัดการ สาขาการจัดการ (ตอนนั้นยังไม่ได้ย้ายมาเรียนที่ศึกษาศาสตร์) วอร์มมีเกรดตอนนั้น 1.67 เพียงอีกแค่ 0.02 ก็โดนไล่ออกแล้ว ตอนนั้นคิดมากกลัวว่าถ้าทางบ้านรู้จะเสียใจปู่อาจจะล้มป่วย และต่างๆนาๆ แต่ก็เล่าให้ทางบ้านฟังอยู่ ก็ได้กำลังใจที่ดีจากพ่อแม่อยู่ พ่อแม่บอกว่า เรียนไม่ดีไม่เป็นไร ไม่จบก็ไม่ต้องเสียใจ รวมทั้งเพื่อนที่คอยหนุนหลังให้ยืนอยู่จนสอบเทอม1 ของปีนั้นผ่านไป จึงได้ไปปรึกษากับอาจารย์ที่ปรึกษานั้นตอนไหน ก็สรุปเลยต้องย้ายคณะด้วยเกรดเพียงแค่ 1.67 ตอนนั้นก็เลือกหลายสาขาวิชา แต่สรุปก็จบลงที่ สาขาเทศโนโลยีและสื่อสารการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ ทางสาขาก็รับเข้ามา (ไปขอรายเซ็นหัวหน้าภาควิชา ท่านอาจารย์สุธิพงษ์ ท่านก็เซ็นให้โดนดี โดยที่ท่านไม่ได้ถามอะไรมากนัก)จนถึงทุกวันนี้ วอร์มก็ยังคงศึกษาอยู่ปี4 สาขาเทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา อยู่เหมือนเดิม และคงไม่คิดจะย้ายไปไหน คงจะเรียนจบสาขานี้ วอร์มเคยคิดว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นมันเป็นเรื่องบังเอิญหรือว่า เป็นโชคชะตากันแน่ แต่วอร์มก็ขอขอบคุณทุกกำลังใจในตอนนั้นมากๆไม่ว่าจะได้มาจากครอบครัว จากเพื่อน นั้นคือแรกใจที่ทำให้วอร์มมีอกาศได้ถึงวันนี้
สิ่งที่ดีใจและประทับใจภูมิใจมากที่สุด
"การที่ได้เกิดมาบนพื้นแผ่นดินไทย ได้ชื่อว่า คนไทย"
ความรู้สึกนี้เป้นความรู้สึกที่มีมากนานและยังคงภูมิใจอยู่เสมอมา ประเทศไทยคนในโลกนี้อาจจะรู้จักเราอยู่บ้างในบ้างเรื่อง เช่น มวยไทย อาหารไทย และประเพณีไทย ตั้งแต่นานมาแล้ว วอร์มเริ่มที่จะให้ความสำคัญกับการดูและประเทศเรามาก สิ่งนั้นที่มีผลกระทบต่อประเทศวอร์มจะไม่ทำ เพราะรักบ้านเมืองนี้มาก คนไทยเราเองถึงจะไม่เก่งไปทุกด้าน แต่เราก็เป็นที่ 1 จองคนทั่วโลกได้ ชาติไทยเราเป็นชาติที่ดี แต่อาจจะไม่ดีที่สุด แต่ วอร์มก็รักประเทศของวอร์ม มากกว่าที่จะยอมให้ใครมาลุกลาน
ความจริงและปัจจุบัน
ตอนนี้วอร์มก็เรียนอยู่ ชั้นปีที่ 4 มหาวิทยาลัยมหาสารคาม คณะศึกษาศาสตร์ สาขาเทคโนลยีและสื่อสารการศึกษา
ความเป็นไปได้และอนาคต
อยากเป็นครูผลิตสื่อการสอนให้กับนักเรียนของบ้านเรา
ความกลัวและไม่ต้องการ
วอร์มกลัวการจากลา ความผิดหวัง และน้ำตาผู้หญิง
สิ่งที่หวังและอยากให้เป็นจริง
วอร์มยากเลี้ยงพ่อแม่คนในครอบครัวให้ได้และให้ดีที่สุด และมีบ้านที่ได้มาจากนำพักน้ำแรงของตอนเองเพื่อให้คนในครอบครัวได้อยู่กัน กับรถยนต์ด้วย
สิ่งที่อยากจะบอกแต่ยังไม่ได้บอก
วอร์มอยากบอกว่า โอกาศดีๆ ของคนเรามันไม่ได้มีเสมอไป ถ้าสิ่งไหนที่วอร์มทำได้ วอร์มจะทำให้ดีที่สุด และอยากให้พ่อแม่ ปู่ย่า ทุกคนได้รู้ก็คือ วอร์มคนนี้ จะเป็นคนที่ได้ชื่อว่า คนที่ทำให้ทุกคนอบอุ่นตลอดไป
ปล.
E-mail warm_449@hotmail.com
hi5 http://warmjin.hi5.com
เบอร์ 084-8872320
สุดท้าย
ไม่รู้จะเขียนอะไรดีอ่ะครับ คิดได้แค่นี้จริงๆๆ ถ้าจะเขียนคงจะยาวไป คิคิคิ สวัสดีครับ.
น.ส. อ้อมใจ สุริยะ 48010511039
แสงแดดเรืองรอง ส่องลงมาหลังคามุงจาก ถิ่นฐานบ้านเกิดฉันห่างไกลความเจริญมาก (บ้านอก ) บ้านเลขที่ 88/1 หมู่ 1 บ้านฝั่งเพ ตำบลพรสวรรค์ อำเภอนาจะหลวย จังหวัดอุบลราชธานี โทร 084-5149521 เกิดวันอาทิตย์ ที่ 2 เดือนมีนาคม พ.ศ.2529 กรุบเลือด B ครอบครัวฉันมีสี่คนมีพ่อ,แม่,ฉัน,น้องชายและน้องชายของพ่ออีกหนึ่งคน อาของฉันเป็นคนพิการทางหู ฉันก็เลยมีเป็นโอกาสได้ใช้ภาษาพิเศษ โดยไม่ต้องไปเรียนการศึกษาพิเศษเลย พ่อข่อยซื่อว่า นายสมเกียรติ สุริยะ แม่ข่อยซื่อว่า นางทองใบสุริยะ น้องซายข่อยซื่อว่า นายไพรัช สุริยะ อาวข่อยซื่อว่า นายสุนทร สุริยะ
ตอนฉันเป็นเด็ก อายุประมาณหนึ่งขวบกำลังจะหัดเดิน ฉันประสบอุบัติเหตุถึงขั้นนิ้วมือข้างขวาขาดไปสามนิ้ว เพราะพ่อของฉันเป็นช่างก่อสร้าง อุปกรณ์ใสไม้ของพ่อ(กบใสไม้) ขณะที่พอกำลังใสไม้อยู่ฉันก็เดินเข้าไปด้านหลังพ่อแล้วใช้มือไปแหย่ใบมีดกบใสไม้ที่กำลังหมุนอยู่ แม่ได้ยินเสียงฉันร้องไห้ก็วิ่งออกมาดูและตกใจมากทำอะไรไม่ถูก แม่พาฉันไปรักษาอยู่ที่โรงพยาบาลยุพราช อ.เดชอุดม แล้วก็ส่งต่อไปยังโรงยาบาลสรรพสิทธิ์สิทธิประสงค์ โรงพยาบาลประจำจังหวัดอุบลราชธานี ศัลยกรรมนิ้วมือรักษามืออยู่นานถึงหกเดือนแผลยังไม่หายดี หมออนุญาตให้กลับบ้านได้ ด้วยความชน อยู่ไม่นิ่งขงเด็ก ฉันก็ไปวิ่งเล่นกับเพื่อน เล่นดิน เล่นน้ำ แผลก็เลยไม่หายดีส่งผลให้นิ้วมือที่ศัลยกรรมแล้ว งอไม่ได้รูปทรงอย่างที่เห็นในปัจจุบัน นิ้วมือที่ไม่เหมือนใครไม่ใช่อุปสรรคสำหรับฉันเลย ฉันไม่เคยอายเพราะคนที่มีครบกว่าฉันทำอะไรหลายอย่างได้ไม่ดีเท่าฉันด้วยซ้ำ พ่อบอกว่าก่อนจะมีเหตุร้ายนี้ขึ้น พ่อเห็นนกฮูกบินเข้ามาจับหลังคาบ้านและร้องเสียงดัง พ่อก็เลยไล่มันหนีไป ไม่คิดว่าจะเป็นรางร้าย แม่บอกว่าตอนที่ฉันเกิดมาใหม่ๆ ฉันมีตาที่โตมากๆเหมือนตานกฮูก ผมดกดำและยาว พอฉันเข้าโรงเรียนทั้งประถม มัธยมต้น และมัธยมปลาย เพื่อนๆก็มักจะเรียกฉันว่า อีนกเค้า สงสัยว่าฉันคงจะเหมือนจริงๆ อิอิอิ
ฉันเข้าโรงเรียนประถมตอนอายุ 6 ขวบ เข้า ป.เด็กเล็ก เพราะแต่ก่อนไม่มีชั้นอนุบาลเหมือนปัจจุบัน ตอนฉันอยู่ ป.เด็กเล็กฉันอ่านหนังสือออกแล้วนะ เพราะแม่สอนหนังสือฉันตั้งแต่ยังไม่เข้าโรงเรียนเลย ฉันเป็นเด็กผู้หญิงที่แปลกกว่าเด็กผู้หญิงคนอื่นๆคือ ฉันไม่ชอบเล่นตุ๊กตา แต่ฉันชอบเล่นปืนไล่ยิงกัน ชอบเตะฟุตบอล เตะตะกร้อกับเพื่อนผู้ชายมากกว่า เพราะละแวกบ้านใกล้เรือนเคียงมีแต่เด็กผู้ชาย เด็กผู้หญิงแค่สองคน โบว์กับอ้อม ฉันก็เลยนิสัยเหมือนผู้ชาย ไม่ใช่ทอมหรอกนะ รักผู้ชายคะ ปัจจุบันออกจะสวย 555+ ตอนอยู่ประถมฉันเรียนเก่งได้ที่หนึ่งของห้องตลอดจนจบ ป.6 ตอนอยู่ ป.6 ฉันมีความรักครั้งแรกด้วยละ หุหุหุ รักรุ่นพี่เขาเป็นนักฟุตบอลของโรงเรียน หล่อมากๆ ชื่อ จุก ด.ช.สาธิต สมัย อยู่ ม.1ฉันแอบรักเขาข้างเดียวเพราะสนิทกันจากการเตะฟุตบอลด้วยกันทุกวัน แต่ก็อย่างว่าความรักแบบเด็กๆจะมันจะนานสักเท่าไหร่กัน ไม่เจอหน้าเดี๋ยวก็ลืมละ อิอิอิ โรงเรียนประจำหมู่บ้านฉันเป็นโรงเรียนขยายโอกาสมีถึง ม.3 แล้วนะตอนนั้น จำได้ว่าปีที่ฉันจบ ป.6 พี่ชายลูกพี่ลูกน้องของฉัน ก็เป็นนักเรียนที่จบ ม.3 รุ่นแรก ฉันยังได้เป็นพนักงานเสริฟน้ำในงานฉลองจบ ม.3 รุ่นแรกเลย มีหมอลำซิ่งด้วยละ 555+
ฉันเรียนต่อมัธยมต้นที่โรงเรียนดงสว่างวิทยา เป็นโรงเรียนมัธยมล้วนประจำตำบล ฉันเรียน ม.ต้น มีเหตุการณ์เกิดขึ้นมากมายทั้งน่าจดจำและไม่น่าจดจำ ฉันเข้า ม.1 ด้วยคะแนนสอบเข้าลำดับที่ 1 เชียวนะ ฉันไม่ชอบเรียนวิชาสังคมศึกษาที่สุดเลยเพราะขี้เกียจจำ ต้องท่องจำชื่อจังหวัดในประเทศไทย ท่องจำชื่อประเทศและเมืองหลวงทั่วโลก ถึงจะไม่ชอบแต่ก็ได้เกรด 4 นะ เพราะข้อสอบเป็นแผนที่ประเทศไทยมาให้แล้วเติมชื่อจังหวัดให้ครบ 76 จังหวัดและถูกต้องตามแผนที่กำหนดไว้ ฉันเติมถูกหมดเลย เคล็ดลับ ตอนที่ฉันท่องจำชื่อจังหวัดในประเทศไทยอ่ะ ฉันไม่ได้ท่องตามในหนังสือเรียน แต่ฉันท่องตามแผนที่ประเทศไทย เรียงจากจังหวัดที่อยู่เหนือสุดลงมาหาใต้สุดจนครบทุกภาค และถามว่า 3 จังหวัดที่ตั้งขึ้นมาใหม่มีจังหวัดอะไรบ้าง? ฉันตอบได้ชัวร์เพราะเมื่อวานพ่อของฉันเพิ่งเล่าให้ฟัง 555+ ม.1-ม.3 เทอม 1 ฉันได้ที่ 1 ของห้องตลอด พอตอนอยู่ ม.3 เทอม 2 เริ่มติดเพื่อนไม่สนใจเรียน เอาหนักทางกีฬามากกว่าเพราะเป็นเด็กอาจารย์ โค๊ด ตระกร้อ ไม่เข้าเรียนก็ไม่มีใครว่าได้เพราะเอากีฬามาอ้าง แม้แต่ออกไปเที่ยวยังเอากีฬามาอ้างเลย 555+ งึดหลาย ฉันแค่ติดเพื่อนนะไม่เคยสุงสิงเรื่องผู้ชาย ไม่ยุ่งกับสิ่งเสพติดทุกชนิด การพนันก็ไม่เล่น เหล้าก็ไม่ดื่ม ไปกับเพื่อนเพราะความสนุก ครบเพื่อนทั้งดีและไม่ดี แต่ไม่จำเป็นที่เราจะต้องเอาอย่างเพื่อนเมื่อรู้ทั้งรู้ว่ามันไม่ดี พ่อฉันเคยสอน “เห็นคนล้มอย่าข้าม เพราะวันหนึ่งถ้าเราสะดุดล้มเขาก็จะช่วยเราไม่ซ้ำเติมเรา ถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน เอาใจเขามาใส่ใจเรา” ส่วนแม่จะสอนเรื่องเกี่ยวกับความรัก เรื่องส่วนตัวของผู้หญิง เช่นการใช้ผ้าอนามัย เรื่องมารยาท การทำอาหารฯลฯ ล้วนแต่เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน แม่และพ่อของฉันเป็นแบบอย่างที่ดีให้ฉันและน้องเสมอ พ่อของฉันไม่ดื่มเหล้า ไม่สูบบุหรี่ ไม่เล่นการพนัน แม่ของฉันก็เช่นกัน เกิดมายังไม่เคยเห็นพ่อกับแม่ทะเลาะกันเลย จะว่าไปแล้วครอบครัวฉันก็อบอุ่นดีนะ พูดถึงก็คิดถึงจังเลยยยยยย อยากลับบ้าน ดังนั้นฉันจึงไม่เลือกคบเพื่อนจะดีหรือเลวฉันก็คบได้ทุกคน พวกเขาเป็นคนที่ถูกสังคมรังเกลียดแล้ว ฉันไม่อยากรังเกลียดพวกเขาอยากให้โอกาสมากกว่า ที่เขาเป็นแบบนั้นมันก็มาจากสิ่งแวดล้อมที่ไม่ดี ขาดความอบอุ่น ขาดการอบรมสั่งสอนที่ดี ขาดแบบอย่างที่ดี ฯลฯ พูดง่ายๆคือเข้าใจพวกเขามากว่าอ่ะนะ
ฉันมีเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ชื่อ รอง ด.ญ.สำรอง บุญทิสา เป็นเพื่อนที่ฉันรักมาก เขาต่างกับฉันยังกับหน้ามือกับหลังมือ เขาเป็นคนเงียบ ≠ ฉันพูดเก่ง, เขาเรียบร้อย ≠ ฉันซุ่มซ่าม, เขาผิวคล้ำ ≠ฉันผิวขาว และที่สำคัญ เขาขี้เหล่ ≠ฉันสวย 555+ ภูมิใจหลายที่มีคนขี้ฮ้ายกว่า ฉันกับรองเคยทำความผิดอย่างใหญ่หลวงครั้งหนึ่ง
วันหนึ่ง อ้อมกับรองแอบพ่อแม่ไปเที่ยวอุทยานแห่งชาติภูจองนายอยกับเพื่อนเพราะจะจบมัธยมต้นแล้ว คาดว่ารีบไปรีบกลับ แต่สิ่งที่คิดไว้ไม่เป็นอย่างที่คิด เงินก็ไม่มีติดตัวไปสักบาท รถน้ำมันหมด ยางรั่ว เข็นกลับบ้านกับเพื่อนกว่าจะถึงบ้านก็มืดค่ำ
“ ตายแล้วรองเมือฮอดเฮือนกูต้องถืกแม่ด่าแน่ๆ ” ฉันพูดออกมาเพราะความกลัวจะถูกด่า
“ กูติสิตาย มึงคึดว่ากูสิรอยยุ๊ติ” รองพูดเพราะรู้ชะตากรรมดี สีหน้าจืดไปทันตาเห็นเลยละ ฉันรู้ว่าเพื่อนก็กลัวเหมือนกัน กว่าจะถึงบ้านก็ปาเข้าไปสองทุ่มเศษๆ ฉันกลับถึงบ้านไม่เจอใครอยู่บ้านสักคนเดียว ฉันก็แปลกใจว่าพ่อแม่หายไปไหนหมด แท้ที่จริงแล้วพ่อกับแม่เป็นห่วงฉันมาก ช่วยกันออกตามหาฉันทั่วหมู่บ้านละหมู่บ้านใกล้เคียง แม่คิดไปในทางที่ไม่ดี ใจหาย คิดว่าลูกคงมีอันตราย คิดว่าลูกคงไม่มีชีวิตอยู่แล้ว แม่กลับมาถึงบ้านพร้อมน้ำตาเพราะตามหาฉันไม่เจอ พอฉันได้ยินเสียงรถมาจอดที่ใต้ถุนบ้าน
“ แม่ ” ฉันร้องเรียกแม่ด้วยความดีใจ และวิ่งเข้าไปกอดแม่
“หายไปไหนมา?” แม่เอ่ยถามสั้นๆ พร้อยเดินหาไม้เรียวมาฟาดตามขาฉัน ลูกที่แสนรักแสนห่วงพร้อมน้ำตา ทั้งดีใจที่ได้เจอลูกและเสียใจที่ลูกไปไหนไม่บอก ฉันก็ยืนให้แม่ตีจนแม่พอใจ
“แม่จ๋า...น้องอ้อมขอโทษ น้องอ้อมสิบ่เฮ็ดอีก” ฉันร้องให้เพราะรู้สึกผิดแล้วเข้าไปกอดแม่ ฉันกับแม่นั่งกอดกันร้องไห้
“ ฮู้บ่ว่าเป็นห่วงส่ำได๋ แม่นำหาสู่หม่องกะบ่เห็น แม่เหมื่อยจนสิเป็นลม ” แม่พร่ำออกมาพร้อมน้ำตา พ่อได้แต่ยืนดูไม่พูดจาอะไร ประสบการณ์ตั้งแต่ครั้งนั้นเป็นต้นมาฉันก็ไม่เคยแอบไปเที่ยวกับเพื่อนอีกเลย
อีกเหตุการณ์หนึ่งที่น่าเศร้าใจเป็นอย่างยิ่ง วันสอบเสร็จวันสุดท้าย จะจบ ม.3 ละ พรุ่งนี้เป็นวันปิจฉิมนิเทศ ฉันกับเพื่อนก็เลยพากันไปฉลองที่แก่งยาง มีโขดหิน น้ำใสเย็น เป็นแหล่งท่องเที่ยวของหนุ่มๆสาวๆ และเป็นที่จัดค่ายพักแรมของลูกเสือเนตรนารีด้วย ฉันกับเพื่อนในแก๊ง 12 คน ชวนกันไปเล่นน้ำ มีกลุ่มพี่ ม.6 ก็ไปด้วย 6 คน และมีพี่ 2 คนเป็นพี่ชายของเพื่อนในแก๊งพวกเรา พวกพี่ๆ ม.6 ก็พากันดื่มเหล้าเมา และทะเลาะวิวาทกันกับนักเรียนต่างโรงเรียนที่มาเล่นน้ำ พี่เล่ย์ พี่ชายของเพื่อน พี่เล่ย์พยายามจะวิ่งตามเพื่อนไปแต่วิ่งไปไม่ได้เพราะเมามากพวกเราก็ช่วยกันจับพี่เล่ย์ไว้ไม่ให้ไป
พี่เขาพูดว่า “ถ้ามื้อนี้อ้ายบ่ตายกะสิได้พ้อกันอีกยุ๊ดอก ปล่อยอ้าย...อ้ายสิไปฆ่ามัน”
แล้วพวกเราก็พากันลงเล่นน้ำ ฉันลอยน้ำไม่เป็นหรอกแต่อยากเล่นกับเพื่อน ฉันได้แต่นั่งบนขอนไม้หย่อนเท้าลงตีน้ำกับ รอง เพื่อนสนิทของฉัน เราลอยน้ำไม่เป็นเหมือนกัน 555+ น้ำใต้ขอนไม้ลึกมากๆ อยู่ๆพี่เล่ย์ก็เดินมาหาฉันแล้วถามฉันว่า “อยากไปหาหมู่บ่?”
เพื่อนของฉันลอยข้ามน้ำไปอยู่อีกฝั่งตรงข้าม พี่เล่ย์จึงพาฉันลอยข้ามน้ำไปหาเพื่อน ตอนฉันจะกลับมาฝั่งเดิมพี่เล่ย์ก็อาสาจะมาส่งอีกฉันก็เกาะหลังพี่เล่ย์กลับเหมือนตอนลอยไป ก่อนจะถึงขอนไม้อยู่ๆพี่เล่ย์ก็มุดน้ำหายไป ทิ้งฉันให้เกือบจมน้ำตาย ดีที่ รอง คว้ามือฉันไว้ทันแล้วดึงฉันขึ้นไปบนขอนไม้ ฉันกินน้ำไปหลายอึก เพื่อนๆทุกคนมาสนใจแต่ฉันคนเดียว พอฉันรู้สึกตัวขึ้นมาอีกทีก็เลยถามเพื่อนว่า
“ อ้ายเล่ย์หายไปไส? ทุกคนจึงนึกได้ว่า ยังไม่เห็นพี่เล่ย์ขึ้นมาจากน้ำเลย เพื่อนๆทุกคนยกเว้นฉันกับรอง ช่วยกันดำน้ำหาพี่เล่ย์
วันนั้นมีค่ายลูกเสือสำรองของโรงเรียนบ้านแก้งขอ มาตั้งแค้มป์อยู่ใกล้บริเวณนั้นพอดี คณะครูก็ช่วยดำน้ำหาด้วย เวลาผ่านไปสักครึ่งชั่วโมงคงจะได้ ทุกคนเหนื่อยจากการดำน้ำแต่ยังไม่เจอพี่เล่ย์เลย พี่แมนเพื่อนของพี่เล่ย์ก็มาเกาะขอนไม้ที่ฉันนั่งเพื่อหยุดพักแล้วก็ดำน้ำลงไปดูใต้ขอนไม้ ปรากฏว่าเจอพี่เลย์อยู่ข้างล่างขอนไม้ที่ฉันนั่งอยู่จริงๆ
ฉันจำได้ว่า ตอนที่พี่แมนดันหลังพี่เล่ย์ขึ้นมา ฉันเป็นคนดึงพี่เล่ย์ขึ้นจากน้ำ ตัวพี่เล่ย์เย็นนนนนนน หน้าสีช้ำๆซีดๆเหมือนไก่ลวกน้ำร้อน มีเลือดไหลออกที่หู จมูก ตาและปาก มันเป็นภาพติดตาไม่หาย ตอนนั้นรู้แน่ๆละว่าพี่เล่ย์ตายแล้ว ฉันกับเพื่อนๆพากันร้องไห้ ครูที่พานักเรียนมาออกค่ายลูกเสือเอาศพพี่เล่ย์ไปส่งโรงพยาบาลนาจะหลวย ฉันกลับมาถึงบ้าน ฉันเล่าเหตุการณ์ให้แม่ฟังทั้งหมด ค่ำๆตะวันตกดินพ่อกลับจากทำงาน ตอนนั้นกำลังกินข้าวเย็นกันพ่อก็พูดขึ้นว่า
“มื้อนี้ได้ยินข่าวว่าเด็กน้อยนักเรียนโรงเรียนดงสว่างตกน้ำตายตั่ว”
พอพ่อพูดจบฉันก็ปล่อยโฮออกมาอย่างรุนแรง แม่จึงเล่าให้พ่อฟัง แล้วพ่อก็พาฉันไปไหว้พระ ขอพระคุ้มครองพี่เล่ย์ วันต่อมาก็เป็นวันปัจฉิมนิเทศ ฉันกับเพื่อนๆพากันร้องไห้ไม่ใช่เพราะรักกันมาก หรือเสียใจที่จะจบจากกันหรอกนะ แต่ร้องไห้เสียใจที่เสียพี่ชายไป ตอนนั้นฉันได้แต่โทษตัวเองว่าเป็นเพราะฉันอยากเล่นน้ำจึงทำให้พี่เล่ย์ตาย ญา เพื่อนร่วมชั้นก็ตายเพราะอุบัติเหตุ เทิด รุ่นน้องก็ถูกฆ่าตาย และอีกหลายคนที่รู้จักได้จากไปไม่มีวันกลับ ทั้งที่อายุยังน้อย
อยู่มัธยมต้นมีความทรงจำที่ไม่ค่อยดีมากนัก แต่ยากที่จะลืม ประสบการณ์ที่ผ่านมาทำให้ฉันเป็นผู้ใหญ่ขึ้น คิดได้ว่าโลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอน ทำวันนี้ให้ดีที่สุด คนที่เสียใจคือพ่อแม่อย่าทำให้ท่านผิดหวัง ตอบแทนบุญคุณท่า
อยู่มัธยมปลายฉันก็ย้ายโรงเรียนอีกครั้ง เข้ามาเรียนในโรงเรียนประจำอำเภอใกล้เคียง โรงเรียนเดชอุดม ฉันมีฉายาเยอะมากๆ แล้วแต่ใครจะเรียก เช่น กาเหว่า, ตาโล่, ขุนเข่า, เตี้ย ฯลฯ ฉันตั้งใจเรียนหนังสือ เตรียมสอบ เอ็นทรานซ์เข้ามหาวิทยาลัย และแล้วความฝันของฉันก็เป็นจริง ฉันสอบติดหลายที่แต่ฉันเลือกที่จะเรียนมหาวิทยาลัยมหาสาราม คณะศึกษาศาสตร์ เอกภาษาอังกฤษ เพราะแม่อยากให้เป็นครู ส่วนฉันเรียนอะไรก็ได้ขอแค่เป็นภาษาอังกฤษ เข้ามหาวิทยาลัยปีหนึ่ง อ้อมพักหอพักในมหาวิทยาลัยกับเพื่อนต่างจังหวัด ต่างคณะ ต่างสาขา สี่คน แอ๋ว, ใหม่, บุ๋ม และอ้อม ฉันเข้ากับเพื่อนได้ดี และเราทั้งสี่คนก็ยังเป็นเพื่อนรักกันมาจนถึงทุกวันนี้ ยังยืมเงินได้อยู่ 555+
ประสบการณ์มากมายที่ฉันได้รับเมื่อเดินเข้ามาในรั้วมหาลัย ตอนอยู่ปี 1 ฉันจะเป็นบ้าตาย เข้าเรียน อ.ธูปทอง วันแรก งง???ว่าแม่นไก่ตาแตก จักอาจารย์เว้าว่าอีหยัง? จักสั่งงานอีหยังแหน่? ฮุ้แต่ว่าอาทิตย์หน้าให้ขึ้นพรีเซ็นงาน 555+ ฉันก็ได้แต่ถามเพื่อนที่เพิ่งรู้จักกันใหม่ (ยังไม่รู้ชื่อด้วยซ้ำ) เพื่อนคนที่ฉันถาม เขาก็เก่งมากเลยนะ ฟังอาจารย์ธูปทองรู้เรื่อง 555+ อาทิตย์ต่อมาฉันก็มีงานขึ้นพรีเซ็นเหมือนเพื่อนคนอื่นๆ วิ่งแข่งขัน แย่งชิงกันขึ้นนำเสนองาน ด้วยความที่ฉันหน้าด้าน กล้าแสดงออกจึงได้พรีเซ็นงานครบทุกอาทิตย์ เพื่อนฉันคนหนึ่งเป็นเพื่อนกันตั้งแต่สมัยมัธยมปลาย เรามาเรียนเอกภาษาอังกฤษด้วยกัน เขาเรียนเก่งกว่าฉันมากแต่เพื่อนฉันคนนี้เขาลาออกตั้งแต่ปี 1 เทอม 1 แล้วละ เขาเป็นคนเงียบ เรียบร้อย ไม่ค่อยมีเพื่อน เขาทนอยู่ไม่ได้และทำงานอาจารย์ธูปไม่ทัน เขาก็เลยตัดสินใจลาออก พวกเรามาจากโรงเรียนเดชอุดมทั้งหมด 4 อ. แอ๋ว (เอกสังคมศึกษา) อุ้ย (เอกการศึกษาประถมวัย)อ้อมและออม (เอกภาษาอังกฤษ) มันน่าใจหายเหมือนกันนะตอนนี้เหลือ 3 อ. ที่ฉันอยู่ได้มาจนถึงทุกวันนี้ก็เพราะความหน้าด้านของฉันหรอเนี่ย??? ฉันรู้จักเพื่อนในเอกประมาณครึ่งห้องได้ ใครที่ไม่แจ่มฉันก็ไม่รู้จักแต่ฉันมั่นใจว่าเพื่อนทุกคนในเอกภาษาอังกฤษรู้จักฉัน คนดัง (เสียงพูดและเสียงหัวเราะ) อิอิอิ
อยู่ปี 2 เป็นปีที่สบายมากๆ แต่ฉันได้ D หลายวิชา โดยเฉพาะวิชาที่ต้องคิดวิเคราะห์ ทฤษฏี เช่น มนุษย์กับสังคม, มนุษย์กับการใช้เหตุผล, สังคมวิทยา ฯลฯ ฉันไม่ชอบการจำทฤษฏีแล้วสอบ ไม่ชอบการนั่งฟังบรรยายเพราะมันน่าเบื่อ ฉันชอบวิชาที่ต้องปฏิบัติ เช่น Oral English, ศิลปะการพูด, และวิชาของอาจารย์ธูปทอง เพราะต้องปฏิบัติและนำเสนอทุกอาทิตย์ มันตื่นเต้นดี ไม่น่าเบื่อ ยังไงปีสองก็เป็นปีที่สบายสุดๆ ฉันมีเวลาไปออกค่ายมากมาย ทั้งค่ายของชมรมครูอาสา, ค่ายภาษาอังกฤษ, English Camp on Tour, ทัศนะศึกษาวิชาการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ ฯลฯ ได้ออกไปฝึกประสบการณ์ที่ โรงเรียนเทศบาลบ้านส่องนางใย โหดมากๆ รองผู้อำนวยการใหญ่กว่าผู้อำนวยการ ดื่มเหล้าในโรงเรียนทั้งที่ยังไม่ถึงเวลาเลิกเรียนเลยนะ...แย่มากๆ พวกเราไปฝึกประสบการณ์ 1 สัปดาห์ต้องจัดห้องสมุดใหม่หมดเลย จัดทำบอร์ด สั่งทำนั่นทำนี่ไม่มีงบให้สักบาทเดียวเงินพวกเราทั้งนั้น วันสุดท้ายจะไปเอาเอกสารส่งตัวกับท่านรองฯ ท่านบอกว่ามันหาย (งึดหลาย) โพดพาโล ครูพากันแต่งตัวสวยดูดี มีรถส่วนตัว สภาพโรงเรียนย่ำแย่ ได้ข่าวว่าปัจจุบันเปลี่ยน ผอ.คนใหม่ ท่านรองฯก็คนใหม่ โรงเรียนก็เจริญขึ้นฉันละดีใจแทนผู้ปกครองนักเรียนจริงๆ 555+ เว้าพื้นเขาอีกแล้ววววว
อยู่ปี 3 ก็เรียนหนักอีกแหละ น่าเบื่อวิชา Poetry, Children’s literature ฉันต้องไปนั่งดูอาจารย์เล่าประสบการณ์ให้ฟัง เปิดวีดีโอการ์ตูนให้ดู แล้วก็สั่งงานเยอะๆ อีกอย่างมันเป็นวิชาที่มีจำนวนนักเรียนเยอะมากๆ EN กับ EG นั่งเรียนด้วยกัน หมดคาบเรียนฉันยังงงเลยว่า ฉันได้อะไรจากวิชานี้บ้าง? ฉันมานั่งเอาอะไร? กว่าจะหมดคาบเรียนทำไมมันนานนนนนนนนนนจังเลย? ปี 3 ค่ายก็หนักขึ้นฉันได้เป็นอนุกรรมการชมรมครูอิ้ง ค่ายก็ได้เตรียมเอง มีความรับผิดชอบมากขึ้น เพราะต้องเตรียมเนื้อหาที่จะสอน เตรียมสื่อ เตรียมสอน ฉันเพิ่งรู้ว่าการจัดทำค่ายเองมันหนักมากๆ ทั้งเรื่องอาหาร ที่พัก ฯลฯ และอีกอย่างรู้สึกว่าก่อนจะออกค่ายแต่ละครั้งต้องเตรียมตัวล่วงหน้าสัก 2-3 เดือนแล้วก็ประชุมกันทุกอาทิตย์เลย (ประชุมเอาโล่) จะไปไหนมาไหนก็ไม่ได้ โดยเฉพาะบ้าน เสาร์อาทิตย์เพื่อนเขาพากันกลับบ้านฉันต้องมาเข้าประชุม ค่ายภาษาอังกฤษมีหลายค่ายอีกนะ ค่ายของชมรมเทอมละค่าย ค่ายของช่วงชั้นเทอมละค่าย รวม 1 ปี 4 ค่าย ค่ายล่าสุดฉันไม่เอาละการสอยฉันวางพลิกบทบาทเป็นแม่ครัว ก็สนุกดี อิ่มด้วย 555+
ปัจจุบัน ฉันเรียนอยู่ปี 4 แล้ว ใกล้สิได้เป็นเอกราชแล้ว 555+ อยู่ปี 4 ฉันได้เลื่อนขั้นเป็นกรรมการชมรมครูอิ้ง ฝ่ายศิลปวัฒนธรรม ปีนี้สบายขึ้นค่ายไม่ต้องอีกละ เป็นแค่ Observer และผู้ให้คำปรึกษากับน้องๆก่อนออกค่ายแต่ก็ประชุมบ่อยเหมือนเดิม เอกภาษาอังกฤษเนี่ยกิจกรรมเยอะจริงๆนะ งานกิจกรรมของมหาลัยก็ห้ามขาด ลา ทุกกิจกรรม กิจกรรมของชมรมอีก เช่น Valentine’s Day, Halloween’s Night Party, Christmas’s Day, New Year’s Day, etc. หนักๆคงจะเป็นวิจัย ชื่อเรื่องวิจัยก็หนักเหลือเกิน การพัฒนาทักษะการพูดภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้สื่อคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI) การทำวิจัยมันก็ไม่หนักเท่าไหร่หรอกมันหนักตรงที่ทำเครื่องมือวิจัยนี่แหละ ต้องทำ CAI ใช้โปรแกรม Macromedia Authorware สร้าง งึดหลาย สรรหาเรื่องปวดหัวให้ตัวเองอีหลี 555+
อยู่ปีสี่แล้วยังบ่ทันได้มีผู้บ่าวเป็นตาอายรุ่นน้องคักหวา อิอิอิ มันเรื่องธรรมดา ผู้จบผู้งามกะเลยบ่มีไผกล้าจีบ หุหุหุ 40 ปีจั่งแต่งงานกะบ่สายดอก มั่นคงอีกต่างหาก (โสดอย่างมั่นคงและแน่นอน) 555+ ไม่รู้นะว่าทำไม? ฉันมีเพื่อนคนหนึ่งคบกันมาสามปีกว่าๆละ นานมาก นานนน จนจำไม่ได้ แต่เราเป็นเพื่อนรักกัน เราต่างกันเหมือนฟ้ากับดิน ฉันจะบินขึ้นไปหาเขาก็ไม่ได้ เขาก็ลงมาหาฉันไม่ได้ เพราะหลายสิ่งหลายอย่างทำให้เราเป็นเพื่อนกันได้นานขนาดนี้ เราสัญญากันว่าเราจะเป็นเพื่อนกันตลอดไปไม่ข้ามขั้นเพราะกลัวว่าจะไม่มั่นคง ยาวนานเหมือนคำว่าเพื่อน อีกอย่างการที่เราเป็นเพื่อนกันก็ไม่มีใครมากีดขวาง (เฮาบ่สมกัน) เขามีนามสกุลที่ใครๆก็รู้จัก (ธีรรังสิตกุล) แล้วฉันละ (สุริยะ) ใครเคยได้ยินนามสกุลฉันบ้าง? เขาเคยขอคบเป็นแฟนกับฉันแต่ฉันปฏิเสธเพราะรู้ตัวเองดีว่าไม่คู่ควร คำว่ารักกันมันไม่นำพาไปสู่การแต่งงานกันเสมอไปเพราะคำว่ารักมันต้องควบคู่กับคำว่าเหมาะสมกันด้วย เรารู้จักกันด้วยความบังเอิญ หลายต่อหลายครั้ง ด้วยความที่ว่าฉันชอบพูดภาษาอีสานด้วยละก็เลยเป็นจุดเด่น ฉันไม่เคยอายที่จะพูดภาษาอีสานเลยแม้แต่นิด ภูมิใจนำเสนอวัฒนธรรม ประเพณีของตัวเองเป็นอย่างมาก (หน้าด้านก็ใช่ ไร้ยางอายก็ถูก) 555+ เขาก็เลยประทับใจฉัน ชอบฉันเพราะฉันพูดเก่ง ตลก มั่นใจในตัวเอง นิสัยดีด้วยนะ อิอิอิ เขาชอบเรียกฉันว่า ยายหนูหิ่น ฉันก็เรียกเขาว่า ตาที ... ที่ฉันไม่มีแฟน ฉันไม่ได้รอใครหรอก แต่ฉันรอให้เพื่อนรักฉันคนนี้แต่งงานก่อนอ่ะนะ 555+
“คาดสิได้บินมาคือนกเจ่า” คู่กันแล้วกะบ่แคล้วกันไปไสดอก 55555555555555555555+
เคยสงสัย...ทำไมนะคำว่า “รัก”
ช่างหลากนัก....ล้านนิยามสื่อความหมาย
ฉันล่ะ....รักของฉัน...นิยามนั้นคืออะไร
ฝากลมหอบคำถามไป...ถามใครต่อใครให้ฉันที
แล้วสายลมแห่งโชคชะตาก็พัดพารัก
เริ่มจาก “รู้จัก” เปลี่ยนเป็น “รู้ใจ” ในวันนี้
จาก เห็น “ชื่อ” เห็น “หน้า” เห็น “ภาษา” และ เห็น “ความดี”
หัวใจจึงเปิดรับไมตรี...ที่คุณให้มา
ใครนะจะคิดว่าความรัก
สามารถถักทอก่อตัว...จากการสื่อภาษา
คุณคือคนที่ใช่...คือคนที่หัวใจรอคอยทุกเวลา
ขอบคุณ “รัก” ที่มีค่า และนิยามรักได้ว่าคือ “เธอ”
นางสาวปิยธิดา ปราณีบุตร
48010510954
คณะศึกษาศาสตร์ สาขาภาษาอังกฤษ
ดิฉันเป็นลูกคนโต มีน้องชาย 1 คน เกิดวันที่ 7 พฤษภาคม 2530 ไม่เคยสงสัยเลยว่าทำไมแม่กับพ่อถึงตั้งชื่อให้ว่า “ออม “จนกระทั่งวันหนึ่งไปเรียนพิเศษตอนเรียน ม. ปลาย ครูถามว่าทำไมถึงชื่อ ออม แล้วเราตอบไม่ได้อ่ะ กลับถึงบ้านยิงคำถามใส่แม่คำแรกเลย “แม่ ทำไมแม่ตั้งชื่อให้ว่าออมอ่ะค่ะ” แม่ตอบว่า “อ้าวว ก็ตอนที่หนูเกิด แม่ไปกู้เงินออมทรัพย์มาจ่ายค่าทำคลอดหนูนะสิ ก็เลยตั้งชื่อให้ว่า ออม” แล้วมีเหน็บหน่อย ๆ ว่า “และก็ตั้งใจว่าจะให้เป็นคนประหยัดอดออมรู้งี้น่าตั้งชื่อว่าน้องฟุ่มเฟือยท่าจะดี” .... อึ้งกินไป 1 วินาที...
ด้วยความที่เกิดมาในครอบครัวที่มีฐานะปานกลาง พ่อและแม่รับราชการทั้งคู่ ดิฉันจึงไม่ได้ลำบากลำบนอะไรนัก อยากได้อะไรก็ได้ แต่ต้องแลกมาด้วยหยาดเหงื่อและแรงงานของดิฉันทั้งนั้น ยกตัวอย่างเช่น ตอนอยู่ ป.3 ดิฉันอยากได้รถจักรยานพ่อก็บอก”ว่าสอบให้ได้ที่ 1สิแล้วจะซื้อให้” โหหห จะให้สอบให้ได้ที่ 1 ลำพังที่ 10 ยังยากเลยอ่ะ แต่ถึงแม้ดิฉันจะพยายามอย่างสุดความสามารถแล้วได้แค่ที่ 3 แต่ก็ได้จักรยานเหมือนเดิม หึ หึ แล้วพอได้มาก็เห่อได้ไม่ถึง อาทิตย์ก็เบื่อ ทั้ง ๆ ที่พยายามอ่านหนังสือแทบเป็นแถบตาย
สมัยที่เรียนประถม โหหห ช่วงนั้นข่าวรถตู้จับเด็กไปขายดังมาก โหห ไอ้เราก็กลั๊ว กลัว ขนาดชนิดที่ว่าเห็นรถตู้ที่ไหนหลบหมด จำได้ มีอยู่วันหนึ่งเดินกลับบ้านหลังเลิกเรียน แล้วในระหว่าที่เดินกลับบ้านกับเพื่อน 3 คนนั้น ก็มีรถตู้คันหนึ่งวิ่งมาข้างหลังด้วยความเร็วปกติ แล้วด้วยไอ้ความกลัวที่ฝังหัวว่ารถตู้จะจับไปขายก็แวบขึ้นมาในหัวแค่นั้นแหละ เหอๆๆๆ วิ่งลงทุ่ง ตะเลิดเปิดเปิง หนามเหนิม โคลนเคลินไม่สน วิ่งลูกเดียว สภาพคงดูแย่มาก รู้ได้จากการที่กลับถึงบ้านแม่ตกใจแม่ร้องเสียงหลงอ่ะ
พอเริ่มเข้ามัธยม เป็นสาว เริ่มมีสังคม นี่!!! อยากไปนั่น ไปนี่ แต่ที่ ฮอทสุด ก็คงไม่พ้นการไปนาเพื่อน เหอๆๆๆ ตลกตัวเองอ่ะ การไปนาเพื่อนเป็นอะไรที่มันส์มาก ไปช่วยเค้าดำนา เกี่ยวข้าว สีข้าว ไปขุดปู หาหอย หาปลา โหห สนุกอ่ะ แล้วอีกเรื่องฮอทที่เป็นกิจกรรมประจำของกลุ่มเราก็คือ หลังเลิกเรียนเราต้องไปกินส้มตำทุกวัน ทั้ง ๆ ที่ จากโรงเรียนกว่าจะมาถึงก็ 1 ชั่วโมง แล้วต้องนั่งรถไปกินส้นตำอีก ครึ่งชั่วโมง ทุกวัน นึกๆแล้วประสาทอ่ะ ทำไมไม่หาร้านข้างโรงเรียนหรือว่าร้านแถวบ้านกินน่าจะดีกว่าอ่ะ ว่าไหม๊
พอเอ็นท์ติดเข้ามหาวิทยาลัย ชีวิตเปลี่ยนไปเลยอ่ะ จากสมัยมัธยม ไม่อยากอยู่บ้าน ออกจากบ้านทุกวัน ทะเลาะกับแม่ทุกวัน แต่พอเข้ามหาวิทยาลัย อยากกลับบ้านอ่ะ อยากกลับไปอยู่บ้าน ช่วงแรก ๆ นอนร้องไห้ทุกวันอ่ะ เป็นเดือน ๆ เลยอ่ะ คิดถึงพ่อกับแม่ และที่น่าแปลกใจที่สุดไม่เคยทะเลาะกันกับแม่อีกเลยอ่ะ ไม่รู้เป็นเพราะอะไร จนกระทั่งตอนนี้ และคิดว่าสิ่งสำคัญที่มำให้มีวันนี้ แน่นอน ก็คือ พ่อกับ แม่ ท่านเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ดิฉันต้องมาเรียนคณะนี้ เอกนี้ เพราะถูกบังคับให้เรียน อิอิ แต่ความจริงก็ไม่ได้จำใจอะไรเท่าไหร่นัก เพราะเอ็นท์ติดที่เดียว อิอิ
I was born in an exciting night of my family because they got the first child. I was born at 2.15a.m. on Tuesday in June in Phontong, Roi-Et. I lived in Phontong for 18 years.
I lived with my mother; my father and my younger sister. When I was young I was a taciturn girl. But stor was very talkative. Sometimes when we got into a fight my mother would come up to us but she did not see Stor because she ran very fast. She ran into my grandmother’s house while I still stood in front of the door. I do not know why I did not ran. Maybe I was waiting my mother hit me.
My name is Mukda Phumiphunth I started school when I was three- years-old.
I studied in kindergarten school for three year and began in one grade when I was six. My school is the same where as my mother work because she is the teacher. My mother picked me up to school until I began in one grade. After that she tried to practice me walk to school by myself. I learned to be patient from walking to school. I got many awards while I was in primary school, I won story telling contest when I was eight years old. I won an award for science quiz in my province when I was in the twelfth grade. I also won an award for perfect head of the class all six years. Then I attended Patwit School, and there I also won quize competition on Christmas day. When I was fifteen year I won on an award for Scientific Process Skill Contest. I am now a senior at MSU, faculty of Education and majoring in English.
Life to me means everything that happened in everyday. All the roads that I walk or drive on them, they tell me that I am still walking and driving a car. It means I am breathing. Everyone who speaks with me, he or she tells me that I am still speaking with him or her.
It means I am breathing. We can spend equal the same time for twenty- four hours in each day. I think if we must realize all things that we do in each day. We must know what the good or bad thing that happened and revise for living tomorrow. Everyone will see the meaning of life.
I am going to try to be a teacher when I graduated bachelor degree from Mahasarakham University. I think I will work for two years. After that I will study in master degree and work together. I do not plan to marry until I see someone who is my type. And his type is me too. I think I will spend to stick together for five years. If he love me and does not find another girl after that I will marry with him. But in the different way if no one is a good man for me I will stay with my lovely parents in my hometown.
As I said in the beginning, I was a taciturn girl. But now I know how to talk with people. I always learn to understand what their thinking is. I love to see people smile. I hope you have enjoyed reading my life story as much as I have enjoyed writing it for you. Now the most important in my life is studying and do it the best that I can. I wish my parent proud of me.
Som-O 48010510982 EN
นางสาว อรวดี ไชยเสนา (ปุ๊)
รหัส 48010511035
คณะศึกษาศาสตร์ สาขาวิชาภาษาอังกฤษ
ถิ่นโพ้นที่ห่างไกล ติดตีนภูเขา ปลูกปั้นสรรสร้างให้เด็กน้อยคนหนึ่งเติบโตมาเป็นคนได้จนวันนี้ เขาผู้นั้นก็คือตัวข้าพเจ้าเองมีนามว่า นางสาวอรวดี ไชยเสนา อยู่บ้านเลขที่ 135 หมู่ 3 ต.หนองโก อ.กระนวน จ.ขอนแก่น เกิดเมื่อวันอาทิตย์ ที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ.2529 ครอบครัวของฉันมีสมาชิกด้วยกันสี่คน พ่อ แม่ ฉัน น้องชาย พ่อฉันชื่อ นายศิริพงษ์ ไชยเสนา มีอาชีพรับราชการ (ครู) ส่วนแม่ของฉันนั้นชื่อ นางบุญธรรม ไชยเสนา มีอาชีพค้าขาย และท้ายสุดคือน้องชายสุดที่รักของฉัน นายนภสินธุ์ ไชยเสนา เรียนอยู่มัธยมศึกษาปีที่ 6 เขาคือสุดที่รักของทุกคนในบ้าน และเป็นอีกหนึ่งความหวังของครอบครัว เราพี่น้องถูกเลี้ยงมาด้วยความผูกพันและฟัน ฉันและน้องชายแม้จะทะเลาะกันบ่อยแต่ก็ไม่เคยปริปากซักครั้งว่าไม่รักกัน ซึ้งๆ ค่ะ…
ตอนฉันเป็นเด็กจำความได้ซักอายุประมาณสี่ขวบ ดิฉันจะนั่งหน้ามอเตอร์ไซด์พ่อไปโรงเรียน เพราะเหตุนี้มั่งฉันจึงชี้ให้เห็นถึงการเป็นเด็กใฝ่เรียนของฉัน เหอะๆๆ คิดเอาเองค่ะ พ่อคงทนไม่ไหวที่ไปโรงเรียนก็เกาะติดพ่อตลอด เหตุก็เกิดขึ้นฉันต้องเขาโรงเรียนก่อนเกณฑ์ที่ทางโรงเรียนกำหนดด้วยการที่พ่อจ้างโรงเรียนโดยการซื้อพัดผมให้โรงเรียน วันไหนที่ฉันกลับบ้านฉันก็แอบไปดูห้องที่มีพัดลมตัวนั้นอยู่เสมอ มันก็ทำให้รู้สึกดีขึ้นมานะ เมื่อเริ่มโตช่วงนั้นโรงเรียนเอกชนเริ่มเข้ามาในตัวอำเภอ แหละก็ถือเป็นความโชคดีของฉันที่ได้เรียน วันๆท่องศัพท์ไม่ต่ำกว่าร้อย จะบ้าตาย แต่จะทำไงก็ต้องท่อง ไม้บรรทัดเหล็กของอาจารย์จะฟาดมือ ผลการเรียนของฉันติดหนึ่งในสามมาตลอด เพราะมีอาจารย์ที่ดี มีแม่ที่คอยบังคับอ่านหนังสือทุกวัน ตายไปเลย ฉันคิดนะว่าจะมีแม่ใครบังคับอ่านหนังสือทุกวันเหมือนแม่ฉันไหม เค้าก็คงจะตอบว่า ไม่ค่อยบังคับอ่ะ แต่ฉันก็ชอบนะเพราะทุกๆวันพ่อจะขโมยหนังสือจากห้องสมุดโรงเรียนมาให้อ่านทุกวัน ทีวีไม่ต้องถามว่าเคยดูไหม แม้กระทั่งแตะยังไม่เคยคิด เวลาไปโรงเรียนเพื่อนชอบพูดกันเรื่องละคร ส่วนตัวฉันเองก็มีหน้าที่แค่นั่งฟังเพราะไม่เคยรู้เรื่องอะไรกะเค้าเลย เหอะๆๆ แบบว่ามะชอบทีวี พอขึ้นมัธยมฉันเริ่มติดเพื่อน เริ่มดูทีวี เริ่มอยากไปเทียวนั้นเที่ยวนิ้กะเพื่อน แต่การเรียนของฉันก็ไม่เคยต่ำกว่าท็อบเท็นนะ เหอะๆๆ คนจะเก่งช่วยไม่ได้ ฉันเริ่มมีเพื่อนสนิท ไปไหนด้วยกันตลอดชื่อ นิต โบว์ ตอง เรามีกิจกรรมที่สนใจร่วมกันคือกันทำงานประชาสัมพันธ์ของโรงเรียน ทำงานห้องพยาบาล เราสนุกที่ได้ทำกิจกรรมร่วมกัน กิจกรรมที่ฉันชอบก็คือการทดลองวิทยาศาสตร์ทำไวน์ เหอะๆ ด้วยแรงกดมันเยอะ ขวดไวน์ระเบิด ชุดนักเรียนเปียกปอนแทนที่จะเศร้า เรากลับสนุกเพราะเรามีเพื่อนที่ดีๆ ตลอดเวลาที่เรียนมีการสอบ พ่อจะเสนอของให้ฉันเสมอเผื่อกระตุ้นให้ฉันสอบให้ได้ที่ดี แล้วทุกอย่างก็เป็นคามคลาดฉันได้ทุกอย่างที่พ่อเสนอ (เหมือนจะเห็นแก่ได้เนอะ) แต่ก็จริงอ่ะ โรงเรียนมัธยมที่ฉันอยู่ทุกปีจะมีการสอบเปลี่ยนห้องเสมอ จนกระทั่งสอบขึ้นมัธยมสี่ ฉันและเพื่อนในกลุ่มก็สามารถสอบติดห้องคิงส์ (ค่อง) อีกแหละ ฉันใช้ชีวิตกะเพื่อนกลุ่มเล็กๆ แต่โดดเด่นในเรื่องกิจกรรมและการเรียน ผลก็ออกมาให้เห็นทำให้เพื่อนในห้องบ้างกลุ่มไม่พอใจ เกิดการพูดประชดประชันกัน ฉันไม่ชอบเลย จนมาวันหนึ่งครูที่ปรึกษาซึ่งทุกคนในห้องรักและเคารพแก่มาก คุณครูเสกสรรค์ ได้จับพวกเราในห้องไปอบรมที่วัด ให้นอนที่วัดหนึ่งคืน โดยมีพระอาจารย์คอยกล่าวเตือนให้ปองดองกัน แต่ก็ไม่เป็นผล จนวันที่จะกลับเป็นวันเปิดใจ ทุกคนได้พูดสิ่งที่อยากจะพูด ขอโทษเพื่อนแม้กระทั่งเรื่องเล็กๆน้อย จากนั้นมาวันเปิดเรียนมิตรภาพระหว่างเพื่อนในห้องของฉันเริ่มดีขึ้น เริ่มมีการจัดไปเที่ยวภูเรือ จัดไปเที่ยวน้ำตก ทุกคนสนิทและรักกันมากขึ้น รักกันจนเป็นแฟนกันเลยก็มี เหอะๆ ห้องเรียนของฉันมีผู้ชายน้อยมากเพราะส่วนมากเขาไปเรียนนายร้อยกัน เค้ามีอนาคตกันหมดแระ ภาวะตึงเครียดเริ่มเข้ามาสู่ห้องเรียนของฉันอีกครั้งเมื่อการสอบเอ็นทรานซ์เริ่มมาเยือน ห้องเรียนเริ่มเงียบ มิใช่เพราะตั้งใจเรียน ( แต่เพราะไม่มีใครไปเรียน) ทุกคนเริ่มหามุมอ่านหนังสือ ฉันซีเรียสหนักเรียนพิเศษถึงสี่ทุ่มทุกวัน ตอนนั้นความหวังของฉันอยากสอบ สารธารณสุขมากๆ อยากเป็นคุณหมอค่ะ วันสอบเริ่มมาเยือนเพื่อนเริ่มเข้าไปติวในขอนแก่น ส่วนตัวฉันเองขออ่านอยู่บ้านอย่างเต็มที่ ลืมบอกไปว่าฉันสมัครสอบทุกวิชาเลยค่ะ กะว่าไม่ติดอย่างก็ต้องได้อย่าง วันสอบวันแรกสอบวัดแววความเป็นครู ฉันเดินออกจากห้องสอบพร้อมกับน้ำตาที่ไม่สามารถทำได้ทันเวลา กลับมาห้องพักต้องพึ่งยาพาราเหอะๆ เต็มที่ค่ะ แต่ผลการสอบก็ไม่ทำให้ฉันผิดหวัง ฉันทำได้!!!!!!!!!!!!!!!!!! จริงๆด้วย เย้ๆๆๆๆๆๆฉันสอบได้ทุกที แต่ปัญหาใหญ่ก็เกิดขึ้นฉันไม่สามารถตัดสินใจเลือกได้ว่าจะเรียนอะไร จนกระทั่งแม่ได้ตัดสินใจให้มาสอบสัมภาษณ์ศึกษาศาสตร์ ภาษาอังกฤษ ด้วยความหวังอยากให้เป็นครูเหมือนพ่อ และฉันก็ตัดสินใจมาเรียนครูตามที่แม่บอก แบบว่าคิดเองไม่ได้แล้ว ณ เวลานั้น
การเรียนปีหนึ่งเริ่มขึ้นด้วยความยุ่งยากในการปรับตัว การเรียนที่แสนทรหดกับ อาจารย์ธูปทอง เพื่อน ทำให้ฉันท้อไม่อยากที่จะเรียนที่นี้ ฉันเริ่มปรับตัวของฉันเอง เริ่มคุยกะเพื่อนเริ่มจะถามเมื่อไม่เข้าใจ ผลการเรียนปีหนึ่งไม่เป็นที่น่าพอใจจนฉันไม่กล้าบอกใครๆ พอปีสองมาการเรียนวิชาต่างๆ ฉันเริ่มปรับตัวได้ เริ่มมีเพื่อนที่ดีเข้ามาในชีวิต ทุกอย่างในปีสองของฉันผ่านพ้นไปด้วยดี ย่างเข้าปีสามสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น มิตรภาพบ้างอย่างของฉันหายไป แต่ฉันก็ได้สิ่งใหม่เข้ามาแทน ฉันบอกตัวเองว่าต้องสู้เพื่อพ่อกะแม่อยู่เสมอ ไม่เช่นนั้นตัวฉันเองก็จะต้อองอยู่อย่างนี้ตลอดไป ฉันได้เรียนกะอาจารย์ธูปในรายวิชาฝึกการสอน ฉันรู้เทคนิค และวิธีการเป็นครูที่ดีมากขึ้นจากอาจารย์ ฉันมีโอกาสได้ออกโรงเรียน ดูสังเกตการณ์สอน รู้สภาพการณ์ความเป็นจริงของโรงเรียนมากขึ้น เริ่มทำกิจกรรมกับเพื่อนในวันต่างๆที่เอกจัดขึ้น (เพราะมันขาดไม่ได้อะซิ) ออกค่ายครูอิงค์ที่จัดขึ้นทุกปี หลายค่ายสอนประสบการณ์ในหลายๆเรื่องให้กับฉัน แต่ละเรื่องสุดยอดไปเลย กว่าจะออกค่ายได้ ประชุมกันเป็นสอง สามเดือน ประชุมอะไรหนักหนา (คิดในใจ) เหอะๆๆ แต่ก็เผื่องานจะได้ออกมาดี ฉันเรียนรู้การทำประโยชน์เผื่อสังคมเหมือนดั่งที่อาจารย์พร่ำบ่นให้เสมอมา ที่สำคัญฉันได้เรียนรู้นิสัยบางคนมากขึ้น รึป่าวนะ (ช่างเหอะ)
และในตอนนี้เองฉันก็อยู่ปีสี่ ปีสี ปีสี่ หรอเนี้ย ใกล้จะจบแล้วเรา ในเทอมนี้เรียนไม่ค่อยหนักส่วนใหญ่มีงานวิจัย วิจัย วิจัยที่ต้องใช้ CAI ถือว่าเป็นสิ่งที่โหดมากสำหรับคนที่ไม่เคยทำ แต่ก็ต้องทำ งานทีต้องส่ง ส่วนใหญ่ก็เป็นงานกลุ่ม ถ้าเป็นกลุ่มที่ดีก็ทำงานด้วยความสบายใจ ฉันเชื่อว่างานก็จะออกมาดี เป็นดั่งเช่นนี้จริงๆ ในวันนี้ฉันทำตัวของฉันปกติ ไม่ไปกวนส่วนในของใคร…………….คิดว่านะ………….. และทำทุกอย่างในวันนี้ดีที่สุดเพื่อความสำเร็จในวันข้างหน้า ฉันจะต้องเอาความสำเร็จไปฝากคุงพ่อคุงแม่ที่น่ารักให้ได้
ป.ล. อย่าหลงกะคำเยินยอ อย่าท้อกะคำดูถูก
คำชมเป็นเพียงลมปาก คำดูถูกต่างหากคือกำลังใจ…………………จริงๆนะ
นางสาวกัลยา สมน้อย รหัส 48010510002 สาขาวิทยาศาสตร์ทั่วไป คณะศึกษาศาสตร์
กลุ่มเรียนที่ 3
อัตชีวประวัติ
บิดาของข้าพเจ้าชื่อ นายบุญสืบ สมน้อย และมารดาชื่อนางทองดา สมน้อย บิดาและมารดาของข้าพเจ้าได้แต่งงานกันเมื่อมาราดาของข้าพเจ้าอายุ 23 ปี ทั้ง 2 คนก็ได้ใช้ชีวิตและสร้างครอบครัวมาตามลำพังเป็นเวลาเกือบ 13 ปี ในบ้านเลขที่ 17 หมู่ 8 ตำบลนาขาม อำเภอ กุฉินารายณ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ 46110 แม่ของข้าพเจ้าก็ได้ตั้งท้องพี่สาวของข้าพเจ้า แล้วก็ได้คลอดพี่สาวของข้าพเจ้าเมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2527 ซึ่งเป็นวันที่พี่สาวของข้าพเจ้าออกมาสูดอากาศภายในโลกนั่นเอง พ่อก็ได้ตั้งชื่อให้พี่ว่า นงนุช สมน้อย ชื่อที่ใช้เรียกกันทั่วไปว่า แตน ต่อมาเวลาก็ล่วงเลยไปเกือบ 2 ปี แม่ก็ได้ตั้งท้องข้าพเจ้า แล้วก็คลอดข้าพเจ้าเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2529 พ่อก็ได้ตั้งชื่อให้ข้าพเจ้าว่า กัลยา สมน้อย ชื่อที่ใช้เรียกกันทั่วไปว่า ต่อ และในปัจจุบันนี้ครอบครัวของข้าพเจ้าก็มีพี่น้องทั้งหมด 2 คนซึ่งข้าพเจ้าเป็นคนที่ 2 และในตอนนี้ข้าพเจ้าก็มีอายุ 21 ย่างเข้า 22 ปี พี่สาวของข้าพเจ้าอายุ 24 ปี ตอนนี้เขาก็เรียนจบแล้ว แล้วก็ได้ทำงานที่โรงพยาบาลราชวิถี อยู่กรุงเทพฯ และข้าพเจ้าก็กำลังเรียนอยู่ที่ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม สาขาวิทยาศาสตร์ทั่วไป คณะศึกษาศาสตร์ ปี 4
ตั้งแต่ที่ข้าพเจ้าจำความได้ตอนเด็กๆข้าพเจ้าซนมากๆๆๆ ถึงมากที่สุด ใครบอกดีๆก็ตะโกนด่าเขาว่าอย่ามายุ่ง เอาแต่ใจ (ไม่มากนัก) โกรธง่ายแต่ว่าก็หายเร็ว จะเป็นคนที่พูดเก่งกับคนที่รู้จักเท่านั้น คนที่ไม่รู้จักจะไม่ค่อยพูดจะเป็นแบบถามคำตอบคำ จะชอบความเป็นส่วนตัว 40 % เข้าหาเพื่อน 60 % ชอบกิจกรรมที่สนุก มีเสียงเพลง พอโตขึ้นอีกนิดหนึ่งข้าพเจ้าก็เข้า ป. เด็กเล็ก ที่โรงเรียนนาขามวิทยา พอเข้าประถมต้นข้าพเจ้าไม่ค่อยอยากไปโรงเรียน เป็นคนขี้เกียจ แต่ก็ไม่เคยขาดถ้าไม่จำเป็น เช่น ไม่สบาย เป็นไข้ ฯลฯ เพราะถ้าไม่ไปโรงเรียนแม่จะตี แต่ว่าผลการเรียนของข้าพเจ้าก็อยู่ในเกณฑ์ที่ดี เพราะได้ เกรด 3 ,4 ทุกวิชา และจะอยู่ลำดับ 1 ใน 3 ของห้องตลอด ต่อมาเรียนอยู่ชั้น ป. 4 ข้าพเจ้ารู้สึกชอบวิชาคณิตศาสตร์มาก เพราะว่าเวลาที่คุณครูถามเกี่ยวกับการบวก ลบ เลขจำนวนข้าพเจ้าก็จะตอบได้ก่อนเพื่อนและมันยิ่งทำให้ชอบวิชาคณิตศาสตร์ ต่อมาอยู่ชั้น ป. 5 ก็ไม่มีอะไรมากนักก็เล่นซนกับเพื่อนและชอบแกล้งลูกของคุณครูจนร้องไห้ แต่ก็ตั้งใจเรียนและเข้าเรียนตลอด พอขึ้น ป. 6 ข้าพเจ้าก็ได้เข้าแข่งขันทางวิชาการในวิชาคณิตศาสตร์ เมื่อถึงวันที่เขาประกาศผลการแข่ง ปรากฏว่าข้าพเจ้าได้รางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 1 ซึ่งคะแนนที่ห่างจากคนที่ได้ที่ 1 แค่ 0.05 คะแนน ข้าพเจ้าก็รู้สึกเสียใจแต่ว่าก็ทำดีที่สุดแล้ว พอใกล้จะจบชั้น ป. 6 ข้าพเจ้าก็ไปสมัครเข้าโรงเรียนบัวขาว แต่ว่าพ่อกับแม่อยากให้ไปเรียนที่โรงเรียนกาญจนาภิเษกวิทยาลัย กาฬสินธุ์ ก็เลยทำให้ต้องมีการโต้เถียงกันอยู่ 2 วัน ในที่สุด ข้าพเจ้าก็ได้ไปเรียนที่โรงเรียนกาญจนาฯ แล้วข้าพเจ้าก็ได้ไปสอบซึ่งตอนนั้น ข้าพเจ้าก็ทำข้อสอบแบบกาเดา ไม่อ่านข้อสอบเลย พอประกาศผลสอบปรากฏว่าสอบติด ได้ลำดับที่ 78 จากรับ 156 คน ตอนที่เปิดภาคเรียนใหม่ๆ ก็ได้เข้าหอพักวันแรกเพื่อนๆที่เข้ามาด้วยกันก็มีแต่ร้องไห้ เพราะคิดถึงแม่ แต่ว่าข้าพเจ้าไม่ร้องแต่กับมาร้องไห้ตอนที่แม่ไม่รับตอนสิ้นเดือน เพราะว่าถ้าไม่กลับบ้านตอนนี้ก็ต้องรอกลับสิ้นเดือนหน้า ตอนเข้าไปอยู่ช่วงแรกๆก็ปรับตัวไม่ค่อยได้ เพราะต้องตื่นนอนตั้งแต่เวลา 05.00 น. เพื่อมาออกกำลังกาย พอถึงเวลา 06.00 น. ก็ต้องรีบอาบน้ำ เวลา 07.00 น. ก็ต้องมารับประทานอาหาร ก่อนที่จะกินได้จะต้องกล่าวคำขอขมาข้าวก่อน หลังจากนั้น ก็เข้าแถวเคารพธงชาติ แล้วก็เข้าห้องเรียนเดือนแรกๆก็ไม่ค่อยมีเพื่อนเยอะเท่าไหร่พออยู่ไปประมาณ 2-3 เดือนมีเพื่อนประมาณ 15 คนและก็เล่นด้วยกันจนถึง ม. 3 ซึ่งตอนนั้นเพื่อนก็ถามว่าทำไมถึงชื่อต่อ ก็เลยตอบเพื่อนเหมือนกับที่แม่เคยตอบข้าพเจ้า เพราะตอนที่เรียนอยู่ประถมปลายก็ถามแม่ว่าทำไมถึงตั้งชื่อเล่นให้แบบนี้ แม่ก็เลยตอบว่าก่อนที่ย่าจะเสียท่านได้สั่งเสียว่าถ้าเป็นผู้หญิงให้ตั้งชื่อ แตน ถ้าเป็นผู้ชายให้ตั้งชื่อ ต่อ แต่ถ้าคนที่ 2 เป็นผู้หญิงก็ให้ตั้งชื่อว่า ต่อ เหมือนเดิม ข้าพเจ้าก็เลยได้ชื่อเล่นว่า ต่อ พอใกล้จะจบ ม. 3 ก็คิดว่าไปจะเรียนต่อที่อื่นแต่สุดท้ายก็อยู่ที่เดิม พอเข้า ม. 4 ข้าพเจ้าก็ได้เปลี่ยนใจมาชอบวิชาเคมี และฟิสิกส์ เรียนก็ใช้ได้แต่ก็ไม่รู้ทำไมถึงชอบ และชอบมากด้วย พออยู่ ม. 6 ก็ได้เข้าแข่งขันโครงงานวิทยาศาสตร์ แต่ก็ไม่ได้รางวัล พอถึงตอนที่จะสมัครเข้าสอบเรียนต่อมหาวิทยาลัย ข้าพเจ้าก็ได้เลือก วิทย์ – เคมี อันดับ 1 ศึกษาศาสตร์ – วิทย์ ที่ 2 วิทย์- ฟิสิกส์ ที่ 3 ผลการประกาศการสอบครั้งแรกข้าพเจ้า สอบติด คณะศึกษาศาสตร์ – วิทยาศาสตร์ทั่วไป ที่ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม วันที่มารายงานตัวก็สนุกมากรุ่นพี่พาทำอะไรตั้งหลายอย่าง และข้าพเจ้าก็ผ่านการสัมภาษณ์ ข้าพเจ้าก็ตัดสินใจเข้าเรียนต่อที่นี้ ไม่สอบอีกพอเข้ามาวันแรกก็ไม่ตื่นเต้นเท่าไหร่เพราะมีเพื่อนมาด้วย คือ เกษมสันต์ (อู๊ด) ผ่านไปประมาณ 1ปี ก็รู้จักเพื่อนมากขึ้นและเพื่อนๆในสาขาวิชาก็ช่วยกันดีมาก เวลาจะลงวิชาอะไรในเทอมต่อไปก็จะมีการประชุมเพื่อแจ้งให้เพื่อนๆทราบ และถ้าจะถามว่าหนักใจอะไรไหมหรือมีปัญหาอะไรไหมกับการเรียน ก็มีนะเกี่ยวกับการเรียน เนื่องจากว่าบางวิชาข้าพเจ้าก็เรียนไม่รู้เรื่องบางวิชาเรียนแล้วรู้เรื่องแต่พอผ่านไปเทอมต่อไปก็ลืม และอีกอย่างคือ เวลาออกหน้าชั้นเรียนหรือไปยืนหน้าห้องจะรู้สึกตื่นเต้น สั่น อย่างอื่นก็ไม่มีปัญหาอะไร เพราะเพื่อนๆในสาขาวิชาจะช่วยกันในวิชาที่เรียนยากๆๆๆ ตรงไหนไม่เข้าใจก็จะถามเพื่อนที่เรียนรู้เรื่อง และในตอนนี้ก็ใกล้จะถึงเวลาไปฝึกสอนในเทอมหน้าแล้วก็รู้สึกตื่นเต้นมากไม่รู้ว่าจะทำได้ดีไหม แต่ถึงอย่างไรข้าพเจ้าก็จะพยายามทำให้ดีที่สุด และก็จะนำความสำเร็จไปฝากพ่อกับแม่ให้ได้ค่ะ
ปล.
“ อย่าพึ่งท้อ กับ สิ่งที่ยังไม่ได้ทำ เพราะมันอาจจะนำไปสู่ การล้มเหลวในชีวิต”
ปัทมาพร ทองโกฏิ (อ้อม)
48010510953 4EN
"My Autobiography"
ท่ามกลางฤดูฝนอันอบอุ่นพิลึก ฝนตกรำไรไปทั่วท้องฟ้า ในวันที่อาทิตย์ที่ 7 มิถุนายน 2530 เวลา 23.30 น. ชีวิตน้อยๆอีกชีวิตหนึ่งได้ถือกำเนิดขึ้นมาด้วยความปลื้มติยินดีของญาติพี่น้องที่คอยลุ้นอยู่หน้าห้องคลอด “ผู้หญิงค่ะ” เสียงพยาบาลสาวเดินมาบอกพ่อที่ยืนลุ้นอยู่หน้าห้องคลอดอย่างตื่นเต้นดีใจ (ไม่รู้จะตื่นเต้นรึเปล่าเพราะฉันเป็นลูกสาวคนที่สองของพ่อกับแม่) เด็กผู้หญิงตัวน้อยๆผิวขาว หน้ากลม ผมดกคนนี้ได้เป็นขวัญใจของญาติพี่น้องด้วยความอ้วนจ้ำม้ำน่าหยิกนั่นเอง พ่อได้ตั้งชื่อให้ฉันว่า ปัทมาพร แปลว่า ดอกบัวอันประเสริฐ ประกอบกับนามสกุล ทองโกฏิ ที่แปลว่า ทองสิบล้าน ช่างเป็นชื่อที่มงคลยิ่งนัก ส่วนชื่อเล่นแม่เป็นคนตั้งให้ว่า อ้อม (อาจจะเป็นชื่อคล้องจองด้วยอักษร อ. ของพี่ๆที่เกิดก่อนมั้ง) ฉันเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะปานกลาง ที่อำเภอเลิงนกทา จังหวัดยโสธรพ่อรับอาชีพราชการครู ส่วนคุณแม่เป็นแม่บ้านและทำงานอิสระ
ในวัยเด็กฉันเป็นเด็กตัวอ้วนๆ(แต่ตอนนี้ทำไมผอมจังอ่ะ) แม่เมื่อเริ่มหัดคลาน ก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดเกิดขึ้น แม่ดิฉันเล่าให้ฟังว่าตอนนั้นดิฉันเริ่มคลาน แม่ก็ปล่อยให้คลานเล่นอยู่ในบ้าน แม่ก็ทำงานบ้านอยู่ใกล้ๆตามปกติ แม่เมื่อแม่หันกลับมาดูลูก ปรากฏว่าดิฉันนอนตัวเขียวช็อกสลบไม่ได้สติ ตอนนั้นพ่อไปโรงเรียนยังไม่กลับแม่ก็แหกปากร้องเรียกเพื่อนบ้านมาช่วย ทำยังไงดิฉันก็ไม่ฟื้น เพื่อนบ้านไปเรียกพ่อที่โรงเรียน พ่อก็รีบกลับมาแล้วรีบพาไปโรงพยาบาล และพ่อได้ไปบนบานกับพระพุทธรูปที่โรงพยาบาลว่าถ้าดิฉันฟื้นและไม่เป็นอะไร พ่อจะเลิกสูบบุหรี่ตลอดชีวิต เพราะพ่อเป็นคนสูบบุหรี่จัดมาก ปรากฏว่าหลังจากหมอฉีดยาและให้น้ำเกลือ ดิฉันก็ฟื้นกลับมาเป็นปกติ พ่อก็เลยเลิกบุหรี่อย่างเด็ดขาด หลังจากป่วยคราวนั้นทำให้ฉันเปลี่ยนไปจากเด็กอ้วนก็เริ่มผอมลงๆ พอโตขึ้นปัญหาสุขภาพที่รบกวนฉันคือโรคภูมิแพ้และเกล็ดเลือดต่ำนั่นเอง
จริงๆแล้วฉันเป็นคนที่ถูกเลี้ยงดูมาแบบไทยๆ ต้องอยู่ในกรอบของระเบียบตลอดเวลา พ่อกับแม่สอนให้ช่วยเหลือตัวเอง รู้จักป้องกันตัวเอง และต้องเข้มแข็งอยู่เสมอไม่ว่าเวลาใดก็ตาม พ่อแม่เลี้ยงลูกโดยลำพังมาตลอด ฉันอยู่กับพ่อกับแม่ตลอดเวลา จึงทำให้ฉันสนิทและติดท่านมาก ฉันกับพี่สาวอายุห่างกันแค่ 18 เดือน พ่อกับแม่เลี้ยงลูกสองคนมาพร้อมกันราวกับฝาแฝด แม่มักจะจับแต่งตัวให้เหมือนกันเหมือนฝาแฝด เสื้อผ้าของใช้ต่างๆจะเหมือนกันหมด ฉันกับพี่สาวจึงสนิทกันมาก พอฉันอายุ 6 ขวบ บ้านเราก็มีสมาชิกตัวน้อยเพิ่มมาอีก 1 คน ฉันมีน้องชายซึ่งเป็นเทวดาตัวน้อยๆของครอบครัว
ฉันจะสนิทกับญาติๆของฉันมาก เพราะถูกเลี้ยงมาแบบระบบเครือญาติ คือลูกพี่ลูกน้องจะถูกเลี้ยงดูมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก อาจจะเป็นเพราะในช่วงดิฉันเด็กๆ หลังจากมีน้องชายแล้ว พ่อกับแม่ไม่ค่อยอยู่ด้วย เพราะน้องชายดิฉันไม่ค่อยแข็งแรง ป่วยบ่อยมาก ทุกคนในครอบครัวต้องคอยดูแล ฉันสงสารน้องชายฉันมากเพราะต้องเข้าโรงพยาบาลอยู่เป็นประจำจนโรงพยาบาลเป็นเหมือนบ้านหลังที่ 2 ดิฉันจึงได้อยู่บ้านปู่ย่า ตายาย บ้างในช่วงที่พ่อกับแม่เฝ้าไข้น้องอยู่โรงพยาบาล ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ต้องห่างกันบ่อยๆ บางครั้งดิฉันต้องแอบร้องไห้เพราะความคิดถึง
หลังจากที่เริ่มต้นชีวิตด้วยสองมือของแม่ ความห่วงใยจากพ่อ และความปลื้มติยินดีของญาติพี่น้อง ดิฉันก็ได้เริ่มเรียนรู้ภูมิปัญญาแห่งโลกกว้างที่ไม่เคยได้สัมผัสมาก่อนซึ้งทำให้ฉันได้รู้ว่าชีวิตนี้มีค่ามากจริงๆ ฉันเข้าโรงเรียนตั้งแต่อายุ 2 ขวบ เพราะแม่ให้ไปโรงเรียนกับพ่อเรียนเตรียมอนุบาลเรียนแล้วเรียนอีกจนเก่งกว่าเพื่อน..จนครูต้องให้เลื่อนชั้นขึ้น ป.1ตอนอายุ 6 ขวบ ฉันเรียนปานกลางแต่ติดหนึ่งในสามตลอดแต่ทำไมพอสอบเข้า ม.1 ที่โรงเรียนเลิงนกทา ฉันกลับสอบได้ห้อง 9 ห้องบ๊วยสุด (ทำไปได้) แต่โชคดีอาจารย์เห็นแววเก่ง (มั้ง) ย้ายฉันขึ้นไปห้อง 2 พอขึ้น ม.ปลาย ฉันตัดสินใจเรียนสายวิทย์-คณิต ไม่ได้ชอบหรอกแต่อยากอยู่ห้องคิงค์ (บ้าป่าวไม่รู้)เพราะสายศิลป์เค้าจะเป็นห้องท้ายๆ และฉันก็สามารถสอบได้ห้อง 1 อย่างสมความมุ่งหมาย
การตัดสินใจครั้งยิ่งใหญ่ของฉันคือช่วง Entrance เข้ามหาวิทยาลัย ช่วงนั้นฉันไปติวเข้มกับเพื่อนๆอยู่โรงเรียนจนไม่กลับบ้านกลับช่องกัน นอนกันที่แฟลตบ้านพักครูที่โรงเรียนเหมือนบ้านตัวเองเลย จึงทำให้สนิทกับครูและผูกพันกับเพื่อนมาก และตอน ม.ปลายฉันชอบทำกิจกรรมมาก ชอบออกค่ายจน ผอ. เคืองและบอกว่าพวกนี้ทำกิจกรรมจนไม่เรียนหนังสือ ยังไงมันก็ entrance ไม่ติด (อยากบอกว่ามันกดดันมาก) ฉันต้องคิดแล้วคิดอีก คิดจนกินไม่ได้นอนไม่หลับผอมแล้วผอมอีกว่าจะทำยังไงและจะเลือกเรียนอะไร ความฝันของฉันอยากเป็น มัณฑนากร อยากเรียนมัณฑนศิลป์ ที่ ม.ศิลปากร แต่ฉันเรียนสายวิทย์-คณิตมา มันจึงเกิดข้อจำกัด พ่อเลยบอกว่ามันจะสู้พวกสายศิลป์โดยตรงไม่ได้ ตอนนั้นฉันคิดหนักมากว่าจะเอายังไงกับชีวิตสุดท้ายด้วยความที่ฉันคลุกคลีและคุ้นเคยกับอาชีพครูมาตั้งแต่เกิด (อาชีพยอดฮิตในตระกูล) พ่อก็เป็นครู พี่สาวก็เรียนครู (เด็กทุนครูพันธุ์ใหม่ซะด้วย) ฉันก็เลยเบนเข็มชีวิตมาเลือกเรียนศึกษาศาสตร์ สาขาภาอังกฤษ ที่ ม.มหาสารคาม ซึ่งฉันคิดว่าเป็นสิ่งที่ฉันชอบและครอบครัวก็สนับสนุนด้วย..(อยากกลับไปบอก ผอ. จังว่าหนู ent ติดและตอนนี้อยู่ปี 4แล้วค่ะ..)
เหตุการณ์ที่ทำให้ฉันเศร้ามากที่สุดคือเมื่อปี 2550 ที่ผ่านมา มันเป็นเหตุการณ์ที่ทุกคนในครอบครัวและตระกูลของฉันต้องจดจำเพราะเป็นช่วงดวงตก ในเดือนกุมพาพันธ์พวกเราได้สูญเสียปู่ซึ่งเป็นเหมือนพ่ออีกคนของฉันและเป็นญาติผู้ใหญ่ที่ที่ฉันเคารพมาก และในช่วงปลายเดือนกุมพาพันธ์พ่อกับญาติๆของฉันประสบอุบัติเหตุรถชนกัน ขณะเดินทางไปเยี่ยมคุณยายที่ป่วยหนักที่โรงพยาบาลรถพังยับเยินทั้งคัน แต่ยังดีที่ไม่มีใครเป็นอะไรมาก หลังจากเหตุการณ์นั้นสามวันพวกเราก็สูญเสียคุณยายซึ่งเป็นที่รักของเราไปอีกคน และไม่นานคุณย่าก็ป่วยและหนักขึ้นเรื่อยๆสุดท้ายเราต้องสูญเสียคุณย่าสุดที่รักไปอีกคน (เศร้ามั้ยล่ะ) คนที่ไม่เคยสูญเสียคนที่เรารักและเคารพไปคงไม่เข้าใจความรู้สึกของฉันว่ามันเป็นยังไง แต่สำหรับฉัน ฉันรู้สึกถึงการสูญเสียจนด้านชาไปหมดแล้ว..เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้พวกเราทำบุญใหญ่กันทั้งตระกูลเลยล่ะ..
ครอบครัวของฉันเป็นครอบครัวที่ชอบการท่องเที่ยวมาก ไปเที่ยวบ่อยมากๆ ชอบหาสิ่งแปลกใหม่ให้ชีวิต พ่อบอกว่าการได้ท่องเที่ยวไปในที่ต่างๆคือกำไรของชีวิต ที่ครั้งหนึ่งเกิดมาได้พบได้เจอสิ่งต่างๆมากมาย และฉันเองก็สนิทและผูกพันกับครอบครัวของฉันมาก อีกอย่างพ่อกับแม่ฉันเป็นคนหวงลูกมากๆๆ แม้ใครมารังแกลูกพ่อกับแม่ต้องคอยปกป้องอยู่ตลอด และไม่อยากให้ใครมาแย่งความรักจากลูกไป (ไม่อยากให้ลูกมีแฟนนั่นเอง..แต่เมื่อถึงเวลาพ่อกับแม่ก็ปล่อยวาง..อิอิ)
เรื่องราวของฉันจะให้เล่าสามวันก็ไม่หมด แต่เอาคร่าวๆแค่นี้ก่อนล่ะกัน อย่าลืมว่า ชีวิตเราเกิดมา เรามีพ่อกับแม่เป็นเทวดาและนางฟ้าที่คอยดูแลและคุ้มกะลาหัวเรา เพราะฉะนั้นเราควรเคารพและรักท่านมากๆ รักให้มากกว่าชีวิตของเราเอง..
นางสาวสุธิดา ศรีจรัส
48010510138 GS
คณะศึกษาศาสตร์ สาขาวิชาวิทยาศาสตร์ทั่วไป
กลุ่มเรียนที่ 3
อัตชีวประวัติ
เมื่อตะวันลับไปในขอบฟ้า มีแสงดาวออกมาให้ส่องแสง ในเวลานั้นได้มีผู้หญิงคนหนึ่งที่ขึ้นชื่อว่าเป็นแม่คน คุณแม่สุนิสา อาจหาญ ได้อุ้มท้องลูกมา 9 เดือน มาที่โรงพยาบาลขอนแก่น เวลา 21.00 น. ในวันศุกร์ที่ 6 มิถุนายน 2529 ได้คลอดบุตรสาวเวลา 23.45 น. ในขณะนั้นคุณพ่อสมหมาย ศรีจรัส ดีใจมาก ได้ตั้งชื่อลูกสาวคนนี้ว่า เด็กหญิงสุธิดา ศรีจรัส และมีการตั้งชื่อเล่นว่า น้องปุ๊ก ซึ่งเป็นตัวข้าพเจ้าเองและพาลูกกลับบ้านที่บ้านเลขที่ 83/4 ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น 40000 ผู้เป็นพ่อและแม่ท่านดีใจมากที่ได้เห็นลูกสาวคนโต ท่านคอยเลี้ยงดูจนครบสามปี แม่ก็คลอดลูกสาวซึ่งเป็นน้องสาวอีกคนของข้าพเจ้ามีชื่อว่าเด็กหญิงอนุสรา ศรีจรัส ลูกสาวทั้งสองถูกเลี้ยงมาจนเติบใหญ่ด้วยเหยื่อของผู้เป็นพ่อและแม่ ลำบากแค่ไหนท่านก็ยอมเพื่อสู้เพื่อลูก ตัวของข้าพเจ้ามีนามว่าสุธิดา ศรีจรัสถูกพ่อกับแม่เลียงมาโดยท่านไม่เคยตีข้าพเจ้าแต่เลี่ยงข้าพเจ้ามาโดยการอบรมสั่งสอนมากกว่าที่จะตี ท่านส่งข้าพเจ้าเข้าเรียนที่โรงเรียนเทศบาลวัดกลาง จังหวัดขอนแก่น เมื่อสมัยข้าพเจ้าเรียนอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ข้าพเจ้าเริ่มจำๆด้ว่าอะไรเป็นอะไร พ่อของข้าพเจ้ามีอาชีพถีบสามล้อส่งแม่ค้าที่ตลาดสด พ่อดื่มเหล้าทุกวันบ้างวันแทบจะไม่มีเงินมาให้แม่ ซึ่งแม่ของข้าพเจ้ามีอาชีพเป็นแม่บ้านที่โรงพยาบาลขอนแก่นราม พ่อไม่มีเงินให้ลูกและแม่ แม่เล่าให้ฟังว่าแม่ต้องไปยืมเงินป้าให้ข้าพเจ้าและน้องไปเรียน แม่ไม่เงินแม้กระทั่งซื้อข้าวให้ลูกกินต้องไปพึ่งพาตา ยาย และป้า ช่วงนั้นชีวิตแม่ลำบากมาก แต่มีคนสงสารพ่อที่มีอาชีพถีบสามล้อกว่าจะได้เงินส่งลูกเรียนทั้งสองคน คุณยายที่ตลาดท่านสงสารท่านก็ให้พ่อไปเป็นลูกจ้างขายของให้พร้อมกับให้แม่ไปขายด้วย ซึ่งครอบครัวก็ดีขึ้นอีกนิดหนึ่ง และตัวของข้าพเจ้าเองก็ไปขายช่วยท่าน ซึ่งขายข้าวเหนียวและเนื้อทอดขายดีมาก ขายแทบไม่ทันข้าพเจ้าได้เงินเพิ่มจากไปโรงเรียนอีก 30 บาท พ่อกับแม่อยู่ด้วยกันไปเกิดทะเลาะกันทุกวันจนแยกกันอยู่ พ่อก็ไปมีแม่ใหม่ แม่ต้องคอยเลี้ยงดูข้าพเจ้าคนเดียว แต่พ่อแอบมาหาข้าพเจ้าสมัยเรียนป.4 เอาเงินมาให้ข้าพเจ้าแต่ข้าพเจ้าไม่รับ เพราะข้าพเจ้าอายเพื่อนที่มีพ่อเมาเหล้ามาพบข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็ไล่พ่อหนี
แม่ส่งข้าพเจ้าจนจบป.6.ข้าพเจ้าต้องไปเรียนต่อม.1 แต่แม่ไม่มีเงินส่งข้าพเจ้าเรียนต่อ เพื่อนของข้าพเจ้าก็ถามว่าจะเรียนต่อที่ไหน ข้าพเจ้าก็ไม่กล้าพูด เพราะแม่บอกว่าแม่ไม่มีเงินส่งเรียนแต่แล้วก็มีผู้ชายที่แสนดี ทำทุกอย่างเพื่อตัวข้าพเจ้า คนนั้นคือคุณตาของข้าพเจ้าคือคุณตา หนูเวียง อาจหาญ ซึ่งเป็นคุณตาที่ข้าพเจ้ารักมากเป็นพ่อคนที่สองของข้าพเจ้าก็ว่าได้ คุณตาอยากให้ข้าพเจ้าได้เรียนหนังสือจบชั้นสูงๆ คุณตาก็ได้ไปขอทุนการศึกษาให้กับข้าพเจ้าที่มูลนิธิอุทิศเพื่อเด็กไทยในชนบทที่ใกล้บ้านข้าพเจ้า ซึ่งเป็นทุนที่ข้าพเจ้าได้เป็นทุนเด็กยากจน แต่เรียนดี ส่งข้าพเจ้าจนจะจบปริญญาตรีซึ่งตอนนี้ข้าพเจ้าก็ได้ทุนนี้ และเหตุการณ์ที่ข้าพเจ้าไม่อยากเชื่อคือคุณพ่อมาขอคืนดีกับแม่อีกครั้ง พ่อสัญญากับแม่และข้าพเจ้าว่าจะไม่ดื่มเหล้า จะเลิกเหล้าจะทำให้ข้าพเจ้าพูดกับท่านเพราะตั้งแต่จำความได้ข้าพเจ้าไม่เคยพูดกับท่านเลย นอกจากจะพูดคำต่อกับ เพราะแม่บอกว่าข้าพเจ้าไม่ชอบคนเมา จนกระทั่งพ่อเลกเหล้าได้จนถึงทุกวันนี้ได้ 15 ปีแล้ว
เมื่อข้าพเจ้าเรียนอยู่ม.1.โรงเรียนเดิม ข้าพเจ้าไม่เคยเกเรเรื่องเรียน เข้าร่วมกิจกรรมทุกอย่างที่โรงเรียนมี ในม.2.ข้าพเจ้าก็เข้าเป็นประธานชมรมกวางน้อยรุ่นที่ 1 คณะกรรมการสภานักเรียน เมื่อจบม.3.ข้าพเจ้าขึ้นม.4.ข้าพเจ้าก็เรียนต่อที่โรงเรียนเดิม เพื่อที่เรียนด้วยกันตั้งแต่ป.4.ก็รักโรงเรียนไม่ยอมไปไหนก็เรียนต่อที่เดิม ข้าพเจ้าเลือกเรียนสายวิทย์-คณิต ข้าพเจ้าเป็นรุ่นที่ 4 ที่โรงเรียนเปิดระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย ข้าพเจ้าก็ได้เป็นกรรมการนักเรียนอีกครั้ง จนม.5.ข้าพเจ้าได้เป็นประธานสภานักเรียน ทำทุกอย่างที่มีกิจกรรมของโรงเรียน จนม.6. ทางโรงเรียนจำเป็นต้องให้นักเรียนที่เรียนอยู่ม.6ต้องยกเลิกกิจกรรมทุกอย่างของโรงเรียนเพื่อที่จะเตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัย และรุ่นที่ข้าพเจ้าเรียนมี 2 ห้องเรียน 56 คน และรุ่นที่ข้าพเจ้าเรียนเป็นรุ่นที่เป็นความหวังของทางโรงเรียนที่จะสามารถสอบติดได้ทุกคน เพราะเพื่อนที่ข้าพเจ้าเรียนด้วยมีแต่คนที่ข้าพเจ้าคิดว่าเรียนเก่งและขยันมาก ไม่ค่อยเกเรออกนอกลูนอกทางเท่าไร และวันที่ต้องเลือกข้าพเจ้าต้องเลือกคณะที่จะสอบเข้ามหาวิทยาลัยรอบโค้วต้า อันดับแรกที่ข้าพเจ้าเลือกคือคณะพยาบาล มหาวิทยาลัยขอนแก่น อันดับ 2 คณะศึกษาศาสตร์ สาขาวิชาวิทยาศาสตร์ทั่วไป มหาวิทยาลัยมหาสารคาม อันดับ 3 คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี เมื่อลงสู่สนามสอบเป็นวันที่ข้าพเจ้าทานอะไรไม่ได้ เพราะข้าพเจ้ากังวลในการสอบ และข้าพเจ้าก็เป็นความหวังของพ่อหรือครอบครัวที่จะต้องทำเป็นตัวอย่างให้น้องๆเห็นให้ได้
เมื่อถึงวันประกาศผลสอบ รอบเช้าทางมหาวิทยาลัยขอนแก่นประกาศปรากฏว่าไม่มีชื่อของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเสียใจมากร้องไห้กับเพื่อและอาจารย์ที่นั่งรอฟังผลสอบเหมือนกันแต่เพื่อนของข้าพเจ้าสอบได้ 5 คน พอรอบบ่ายทางมหาวิทยาลัยมหาสารคามประกาศปรากฎว่ามีรายชื่อของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าดีใจมาก สิ่งแรกที่ข้าพเจ้าทำคือโทรศัพท์ไปบอกทางบ้านว่าสอบได้ พ่อก็ยิ้มแต่พ่อคงเสียใจนิดๆที่ข้าพเจ้าไม่ติดพยาบาลที่เป็นสี่งที่พ่ออยากให้เป็น แต่สดท้ายพ่อก็ดีใจกับเรา พอรุ่งเช้าข้าพเจ้าไปโรงเรียนทุกคนต่างก็แสดงความยินดี และข้าพเจ้าไม่รู้เลยว่าเพื่อนคนไหนสอบติดบ้าง กระทั่งเข้าแถวหน้าเสาธงครูออกมาพูดแสดงความยอนดีกับนักเรียนม.6.ที่สอบได้และให้มาแนะนำว่าตัวเองสอบติดคณะอะไร พวกข้าพเจ้าลุกขึ้นนักเรียน 2000 กว่าคนหันมามองที่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าถึงรู้ว่าเพื่อนข้าพเจ้าติดยกห้องไม่ว่าจะเป็น 3 มหาวิทยาลัยในภาคอีสาน ข้าพเจ้าดีใจมากเพราะความหวังที่โรงเรียนตั้งใจไว้พวกข้าพเจ้าทำได้ และมหาวิทยาลัยก็เรียกสัมภาษณ์ เพื่อต่างโรงเรียน ต่างจังหวัดก็เข้ามาเพื่อที่จะสอบสัมภาษณ์ เพื่อนที่จะสอบสัมภาษณ์มี 400 คนแถบข้าพเจ้าเป็นคนแรกของการสัมภาษณ์ สัมภาษณ์โดยผศ.ดร.สุภรณ์ ลิ้มอารีย์ ข้าพเจ้าคิดว่าตัวเองจะไม่ได้แล้วเพราะในใบสมัครบอกว่ารับ 40 คนข้าพเจ้าก็โทรศัพท์ไปทางบ้านบอกว่าไม่ได้ก็ไม่เป็นไร พ่อก็บอกว่าไม่ได้ก็ไม่เป็นไรเอาที่ไม่ก็ได้ เมื่อวันประกาศผลข้าพเจ้าดีใจมากที่ได้
เมื่อวันที่ข้าพเจ้าจบม.6.เป็นวันที่ข้าพเจ้าไม่อยากไปจากโรงเรียนเพราะข้าพเจ้าผูกพันกับโรงเรียนมา 12 ปี
ในวันที่ข้าพเจ้าเรียนจบม.6.พ่อก็หันเหชีวิตที่ไปทำงานที่ไต้หวัน พ่อไปได้ไม่ถึงเดือนพ่อก็ต้องกลับมาเพราะไปจริงๆแล้วลำบากมาก เมื่อกลับมาพ่อก็ได้ยินดีกับแม่ที่แม่ตั้งครรภ์ได้ 4 เดือนแล้ว พ่อลุ้นให้เป็นลูกชายเพราะในบ้านมีแต่ผู้หญิง แต่เมื่อแม่คลอดก็ได้ลูกสาวสรุปว่าข้าพเจ้ามีน้อง 2 คน ข้าพเจ้าก็ได้ตั้งชื่อให้ว่าเด็กหญิงอารยา ศรีจรัส แม่ก็เปลี่ยนอาชีพไปกวาดถนนได้วันละ 150บาท พ่อไปขับมอเตอร์ไซด์ส่งหมูได้วันละ 200 บาท แต่เชื่อไม่ว่าตั้งแต่ข้าพเจ้ามีน้องสาวคนเล็กทำให้ครอบครัวของข้าพเจ้าจากที่ไม่ค่อยได้พูดกันหันกลับพูดมาหยอกเล่นกัน สนิทกันมากขึ้น ทำกิจกรรมทุกอย่างร่วมกันเป็นวันที่ครอบครัวข้าพเจ้ามีความสุขขึ้นแต่เมื่อสมัยก่อน
เมื่อวันแรกที่ข้าพเจ้าย่างก้าวเข้ามหาวิทยาลัยมหาสารคามคณะศึกษาศาสตร์ สาขาวิชาวิทยาศาสตร์ทั่วไป ปีแรกข้าพเจ้าไปเรียนวันแกข้าพเจ้าไม่รู้จักกับใคร กลับมาหอพอพักข้าพเจ้าก็ไม่มีเพื่อนโทรศัพท์กลับไปที่บ้านร้องไห้กลับพ่อทุกวัน บอกว่าไม่อยากเรียนที่นี้ ทางกลับมาหอพักอยู่ไม่มีรถโดยสารตอนนั้นข้าพเจ้าพักอยู่หอพักสุพรรณิการ์ หอพักในคณาสวัสดิ์ ซึ่งเปิดเป็นปีแรกด้วย ข้าพเจ้าไปเรียนข้าพเจ้าก็ได้เจอนางสาวกิตติยา ภูงามนิล เป็นเพื่อนคนแรกของข้าพเจ้า และข้าพเจ้าก็เริ่มรู้จักเพื่อนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆร่วมทั้ง เพื่อนที่ชื่อเสริมและแอน เป็นเพื่อนที่ข้าพเจ้ารู้จักเป็นเพื่อนในตอนแรกปีหนึ่งด้วยกัน ไปไหนมาไหนก็ไปด้วยกัน คอยช่วยเหลือกัน และเวลาที่เรียนข้าพเจ้าไม่รู้เรื่องเลยข้าพเจ้าว่ามันยากมาก ข้าพเจ้าปรับตัวกับมันยามากจนคะแนนสอบกลางภาคออกมาคะแนนออกมาได้น้อยมากซึ่งข้าพเจ้าเสียใจมากไม่เหมือนกับตอนเรียนมัธยมศึกษาที่ได้คะแนนสูงสุดกว่าเพื่อน ข้าพเจ้าก็พยามยามทำดีที่สุดจนเกรดออกมาได้ 2.42 ข้าพเจ้ายิ่งเสียใจไปอีกเพราะไม่เคยได้ต่ำกว่า 3.00 บอกเกรดให้พ่อทราบพ่อก็ว่าเราไม่ตั้งใจเรียนหรือเปล่า ติดเพื่อนหรือเล่นมากหรือเปล่า จนขึ้นปีสอง ความเป็นเพื่อนในกลุ่มนี้ก็เริ่มหายไป ความพูดไม่ลงรอยก็เริ่มจางไป ข้าพเจ้าก็เริ่มหากเพื่อน ข้าพเจ้าไปไหนมาไหนคนเดียวจนถึงปี 2 เทอม 2 ข้าพเจ้าได้รู้จักนางสาวคำพอง พิเนตร หงส์เป็นเพื่อนที่ดีมาก เงียบ และเรียนเก่งมากเธอคอยช่วยเหลือข้าพเจ้าในเรื่องเรียนตลอด มีปัญหาอะไรข้าพเจ้าก็ปรึกษาหงส์ได้ หงส์ก็จะคอยให้คำปรึกษา คบเพื่อนคนนี้จนถึงปัจจุบัน และสิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นเมื่อทุกคนไม่อยากที่จะให้จากไปไหนวันที่ที่ข้าพเจ้าสูญเสียบุคคลที่ข้าพเจ้ารักเหมือนพ่อคนที่สอง คอยส่งข้าพเจ้าเรียนจนถึงปริญญานั้นก็คือคุณตาท่านได้เสียชีวิตลงซึ่งข้าพเจ้าเสียใจมาก เวลาข้าพเจ้ามีอะไรข้าพเจ้าก็ปรึกษาท่าน ท่านจากข้าพเจ้าไปทั้งๆที่ท่านอยากเห็นข้าพเจ้าเรียนจบก่อนแต่ท่านก็ไม่อยู่ คุณตาเป็นคนดี ท่านคอยอบรมสั่งสอนเวลาใช้เงินใช้อย่างไร ท่านรักลูกหลานทุกคนไม่เคยลำเอียง ข้าพเจ้าต้องขอบคุณโชคชะตาที่ทำให้ข้าพเจ้าได้รู้จักกับตาคนนี้ ขอให้คุณตาไปสู่สุขคติ ตอนนี้ข้าพเจ้าเรียนอยู่ปี 4 ข้าพเจ้าก็มีเพื่อนเพิ่มอีกคือ โบว์ ต่อ นิด เพื่อนเหล่านี้เป็นเพื่อนที่ดีกับข้าพเจ้ามาก เป็นเพื่อนเรียนไม่ใช่เพื่อนเที่ยว มีอะไรก็พูดกัน ช่วยเหลือกันในเวลาเรียน ซึ่งข้าพเจ้าดีใจมากที่ได้เพื่อนกลุ่มแบบนี้เหมือนกลุ่มที่ข้าพเจ้าเรียนสมัยมัธยมศึกษา และอีก 1 ปีที่ข้าพเจ้าจะเรียนจบ จะต้องออกไปฝึกสอนนักเรียนจริง ข้าพเจ้ายังไม่รู้เลยว่าจะเป็นอย่างไร
แต่ข้าพเจ้ามาถึงทุกวันนี้ได้ข้าพเจ้าต้องขอขอบพระคุณคุณพ่อที่คอยส่งข้าพเจ้าเรียน ท่านลำบากมากกว่าท่านจะกาเงินมาให้ข้าพเจ้าได้ในแต่ละวัน ท่านต้องตื่นแต่เช้าตีสี่พ่อต้องออกไปส่งหมูให้นาย กลับมาบ้านตอนก็มานอนพักเวลา 10.30 น.ก็ต้องออกไปทำหมูแร่หมูให้นาย กลับมาก็ตอน 16.30 น.ก็นำข้าวเย็นมาซื้อกับข้าวมาให้แม่ทำ และน้องสาวกิน พ่อนอนพักอีกเวลา 22.30 น.พ่อต้องออกไปทำหมู กลับมาก็ตีหนึ่งมานอนพัก ก็ออกตีสี่อีกพ่อทำอย่างนี้ทุกวันไม่เคยบ่นให้ข้าพเจ้าฟังสักคำว่าเหนื่อย ข้าพเจ้าเคยถามพ่อว่าจะให้ข้าพเจ้ากู้เงินเรียนไหม พ่อก็บอกว่าพ่อส่งเรียนได้แค่คนเดียวเอง พ่อพูดว่าปุ๊กมีหน้าที่เรียน เมื่อปุ๊กเรียนจบปุ๊กต้องมาส่งน้องสาวคนเล็กเรียน ไหนจะส่งเงินกู้ยืมอีก เพราะฉะนั้นมากู้ส่งน้องเรียนไม่ดีกว่าหรือคำนี้เป็นคำที่พ่อพูดกับข้าพเจ้า พ่อไม่อยากเห็นเราลำบากในวันข้างหน้า อยากเห็นเราเป็นคนดี พ่อจ๋าลูกคนนี้ขอสัญญาว่าจะเป็นลุกที่ดีของพ่อ จะทำให้พ่อได้ชื่นชมในใบปริญญาของลูก ลูกจะทำความฝันของพ่อให้เป็นจริงและอนาคตที่ข้าพเจ้าฝันอยากจะทำให้ได้ และต้องขอขอบพระคุณคุณแม่ที่ได้อุ้มท้องลูกมา 9 เดือนกว่าจะเลี้ยงลูกได้จนเติบใหญ่เหนื่อยแค่ไหนแม่ก็ยอม ลูกขอขอบพระคุณคุณท่านทั้งสองที่เลี้ยงข้าพเจ้าได้จนถึงทุกวันนี้ และสุดท้ายท่านอาจารย์ทุกคนที่ได้อบรมสั่งสอนข้าพเจ้าให้เป็นคนดี และสั่งสอนจนถึงทุกวันนี้
อัตชีวประวัติ
ข้าพเจ้าชื่อ นางสาวจุฬารัตน์ แจ้งเขว้า 48010510189 4GS (กลัวไม่ได้คะแนน) เพื่อนเรียกว่า โบว์ เป็นคนจังหวัด ชัยภูมิ อยู่บ้านเลขที่ 463 หมู่ 12 ต.บ้านเขว้า อ.บ้านเขว้า จ. ชัยภูมิ โทรศัพท์ 085-8557763 ระบบทรูมูฟ
ตั้งแต่ข้าพเจ้าจำความได้ข้าพเจ้าเคยถามแม่ว่า ข้าพเจ้าเกิดที่ใหน แม่ตอบข้าพเจ้าว่าแม่คลอดข้าพเจ้าบนต้นยูคาลิปตัสหน้าบ้าน ทำให้ข้าพเจ้าเชื่อแม่สนิทเลย เมื่อโตขึ้นมาอีกนิด ข้าพเจ้านึกถึงคำตอบแม่อีกครั้งจึงสงสัยว่า แม่จะขึ้นไปคลอดทำไมบนต้นยูคาลิปตัสทั้งๆที่ปวดท้อง แม่ข้าพเจ้าถึงกลับหัวเราะในคำถามของข้าพเจ้า แม่จึงบอกข้าพเจ้าว่า แม่ไม่ได้คลอดบนต้นยูคาลิปตัส แต่คลอดบนบ้านหลังเก่าเพราะไปโรงพยาบาลไม่ทัน
ยายเล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่าตอนเป็นเด็กประมาณ 1 ขวบ แม่ฝากข้าพเจ้าไว้กับน้า แม่ทำหวานฟักทองอยู่ในครัวมีผู้ชายคนหนึ่งมานั่งจีบหน้าของข้าพเจ้า แม่ข้าพเจ้าทำหวานฟักทองเสร็จจึงยกมาให้น้าและแฟนน้ารับประทานทันใดนั้นเองข้าพเจ้าได้เกิดทำน่าเกียจขึ้นคือ ถ่ายอุจาระและกินอุจาระของตนเอง ทำให้ทุกคนอึ้งไปตามๆกัน
ตอนเด็กข้าพเจ้าเป็นคนที่ชอบร้องไห้ตามพ่อเพราะเป็นคนที่ติดพ่อมาก เมื่อได้ยินเสียงรถพ่อก็ต้องวิ่งตามจนตายแล้วกลับคืนมา ภาษาอีสาน เรียกว่า “ ไห้กลั้น” ข้าพเจ้าเคยถูกพ่อตีหลายครั้งเนื่องจากไม่ชอบอยู่บ้านตัวเองชอบไปเล่นบ้านคนอื่นและชอบทานข้าวบ้านคนอื่น ซึ่งแม่ก็ถูกนินทราในเรื่องนี้บ่อย
เมื่อข้าพเจ้าอายุได้ 7 ปี ข้าพเจ้าได้เข้าเรียนในชั้นอนุบาล 1 ที่โรงเรียนอนุบาลบ้านเขว้า ข้าพเจ้าร้องไห้ตามพ่อแม่ทุกวัน และหนีโรงเรียนออกมาเพื่อจะกลับบ้านแต่มีคนนำข้าพเจ้ากลับไปส่งที่โรงเรียนข้าพเจ้าถูกครูลงโทษ ข้าพเจ้าไม่ได้เรียนในชั้นอนุบาล 2 เนื่องจากอายุเกินเกณฑ์
ข้าพเจ้าต้องย้ายโรงเรียนเพื่อที่จะเข้าเรียน ป. 1 ที่โรงเรียนบ้านเขว้าศึกษาซึ่งเป็นโรงเรียนที่ใกล้บ้านกว่า ในการไปโรงเรียนก็ลำบากในวันที่พ่อแม่ไม่ว่างไปส่งต้องขออาศัยไปกับคนอื่นเนื่องจากข้าพเจ้าปั่นจักรยานไม่เป็น ข้าพเจ้าเรียนอยู่ชั้น ป. 1 ได้ร่วมทำกิจกรรมของโรงเรียนหลายอย่าง เช่น การแข่งขันร้องเพลง การรำ วิ่งแข่งขัน และเมื่อข้าพเจ้าเรียนอยู่ชั้น ป. 4 ข้าพเจ้าได้รับคัดเลือกระดับโรงเรียนให้ไปประกวดแข่งขันร้องเพลงกับโรงเรียนในกลุ่มประถมศึกษา ได้อันดับที่ 2 และได้ร่วมประกวดแข่งขั้นอ่านทำนองเสนาะระดับกลุ่มประถมศึกษาในชั้น ป.5
ข้าพเจ้าเป็นคนชอบร้องเพลง ชอบการรำ อะไรก็ได้ที่เกี่ยวกับนาฏศิลป์ เคยคิดว่าเมื่อโตขึ้นอยากเรียนนาฏศิลป์ แต่เมื่อคุยกับแม่แม่อยากให้เป็นพยาบาล เป็นครู อยากให้ทำงานที่ได้รับราชการ เมื่อจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 พ่อและแม่ให้ข้าพเจ้าไปสอบเข้าโรงเรียน
กาญจนาภิเษกวิทยาลัย ชัยภูมิ ไม่มีเพื่อนข้าพเจ้าไปด้วยสักคน ข้าพเจ้าจึงคิดท้อ และเป็นเด็กบ้านนอกด้วยที่เข้าไปเรียนในเมือง ข้าพเจ้าเข้าไปวันแรกไม่กล้าคุยกับใคร เพราะพูดภาษากลางไม่ค่อยถนัดชอบพูดหลุดเป็นภาษาอีสานกลัวเพื่อนหัวเราะจึงต้องยิ้มไว้ก่อน
ตอนแรกก็มีแต่คนพูดภาษากลางแต่ต่อมาก็มีแต่ลาวอีสานอยู่ด้วยกัน ข้าพเจ้าเป็นคนที่เรียนภาษาอังกฤษไม่ได้เรื่องที่สุด แต่ต้องเจอกับครูสอนที่เป็นฝรั่ง มีเพื่อนที่เป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนด้วยยิ่งลำลากใหญ่ ข้าพเจ้าเป็นคนที่กลัวครูที่สุดและได้เกรดน้อยที่สุดคือ เกรด 2 ภาษาอังกฤษ
ข้าพเจ้าได้เป็นคณะกรรมการในโรงเรียน และเป็นหัวหน้าห้องตั้งแต่ ม. 4- ม. 6 แม่ของข้าพเจ้าได้รับคัดเลือกเป็นแม่ดีเด่น 3 ปีด้วยกัน แต่สิ่งที่ข้าพเจ้าทำให้แม่เสียใจที่สุดคือ ม. 5 เทอม 2 มีเรื่องกับคนภายนอกโดยการชกต่อยกันทำให้ต้องเสียค่ารักษาพยาบาลให้เขา เกือบ 2000 บาท พ่อเสียใจมากและตบหน้าข้าพเจ้าที่ทำตัวแย่แบบนั้น แต่ข้าพเจ้าไม่ได้ไปหาเรื่องเขาก่อน เขามาหาเรื่องก่อนโดยกระชากผมข้าพเจ้าไปตบ แต่จะให้ข้าพเจ้าถูกเขาตบฝ่ายเดียวได้ไง ข้าพเจ้าจึงได้เกิดการต่อสู้โดยคว้าเก้าอี้ไปตีถูกหัวเข้าอย่างแรงจนแตก
ข้าพเจ้ารู้ว่าไม่ควรทำ ข้าพเจ้ากราบขอโทษพ่อแม่ และสัญญาจะไม่ทำอีก (ข้าพเจ้าเกือบเรียนไม่จบใน ม.5 )
เมื่อถึงเวลาสอบเข้ามหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยแรกที่ข้าพเจ้าเลือกคือ มหาวิทยาลัยขอนแก่น เพราะใกล้บ้านและค่าเทอมไม่แพงด้วย ข้าพเจ้าสอบติดวิศวะ แต่พ่อแม่ไม่ให้เรียนเพราะกลัวเรียนไม่จบเนื่องจากข้าพเจ้าไม่เก่งคำนวณ ข้าพเจ้าสอบติดมหาวิทยาลัยมหาสารคามในรอบสอบคัดเลือกในรอบที่ 2 คณะศึกษาศาสตร์สาขาวิทยาศาสตร์ทั่วไป ซึ่งเป็นคณะที่พ่อและแม่ภูมิใจและข้าพเจ้าก็ชอบด้วยจึงเลือกที่จะเรียน ครู
พี่ ป้า น้า อา ต่างก็ดีใจกับข้าพเจ้าที่จะเรียนครู เพราะครูเป็นที่นับหน้าถือตาในสังคม เป็นอาชีพที่มีเกียรติตรงกับความต้องการของพ่อแม่
คติประจำใจของข้าพเจ้า
ความลำบากที่เกินทน จะหลอมคนให้ทนทาน
ความสบายที่ยาวนาน จะรอนราญความเป็นคน
นางสาวประภาพร พงษ์อนันต์
48010510948 4EN
ฉันเกิดเมื่อวันอังคารที่ 1กรกฎาคม 2529 ที่จังหวัดชัยภูมิ แม่ตั้งชื่อให้ว่าประภาพร พงษ์อนันต์ ชื่อเล่นว่าเอ ตอนนี้อายุ 22ปี ฉันเป็นลูกคนแรก มีน้องสาว 1คน
ชีวิตในวัยเด็กของฉันไม่มีอะไรที่น่าตื่นเต้น เนื่องจากฉันไม่ชอบเล่นอะไรที่โลดโผนอย่างเพื่อนคนอื่น ฉันแทบจะไม่เคยปีนต้นไม้ เล่นกีฬาก็ไม่เป็น แต่ฉันก็มีเพื่อนเยอะ ทั้งเพื่อนที่โรงเรียนและเพื่อนที่อยู่บ้านละแวกเดียวกัน ตอนนั้นฉันรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนไม่กล้าพูด ไม่เข้มแข็งด้วย ถ้าทำผิดแม่ก็จะลงโทษเสมอ แม่เป็นคนที่เอาใจใส่และคาดหวังกับผลการเรียนของฉันมาก แล้วฉันก็ไม่ทำให้แม่ผิดหวังเพราะผลการเรียนอยู่ในเกณฑ์ดี เคยเป็นตัวแทนไปแข่งทักษะก็หลายครั้ง
และแล้ววันหนึ่งเรื่องตื่นเต้นก็เกิดขึ้น ตอนเรียนอยู่ป.5มีสารวัตรนักเรียนมาจดรายชื่อคนที่เล่นไพ่ไปให้ครูลงโทษหน้าเสาธง ห้องป.5/1โดนเกือบทั้งห้องเลย แต่ฉันกับเพื่อนอีก4คนไม่ได้เล่น จึงไม่โดนลงโทษ แต่ความซวยมาเยือนเพราะว่ามีรุ่นพี่ที่อยู่บ้านข้างๆ เจอฉันตอนที่อยู่หน้าเสาธง เขาเข้าใจผิดว่าฉันเล่นไพ่ จึงไปบอกแม่ของฉัน พอกลับถึงบ้านฉันถูกแม่ตี สรุปคือฉันถูกตีฟรี พอเรียนจบชั้นประถมฉันดีใจมากที่ได้เป็นหนึ่งในนักเรียนดีเด่น
ตอนเรียนมัธยม ม.ต้นผลการเรียนก็ดี ชีวิตไม่มีอะไรมาก พออยู่ม.5 พักที่หอพักใกล้ๆโรงเรียน จำได้ว่าเจ้าของหอพักงกมากๆ และผลการเรียนของฉันต่ำลง ทำให้ต้องเรียนคนละห้องกับเพื่อนสนิทและแม่ก็ผิดหวังด้วย แต่เมื่ออยู่ม.6 ก็ได้ย้ายมาเรียนห้องเดียวกันกับเพื่อนสนิท ฉันดีใจมาก ตอนนี้ฉันกล้ามากขึ้น ฉันได้ไปแข่งทักษะภาษาอังกฤษและภาษาไทย ฉันรู้สึกว่าเรียนสายวิทย์ แต่ฉันไม่เก่งวิทยาศาสตร์เลย ตอนกีฬาสีสนุกมากเลย เพื่อนๆและฉันทั้งร้องเพลงและเต้น
ช่วงมัธยมปลายนี่เองที่ฉันเริ่มเชื่อว่าความรักเกิดขึ้นได้กับทุกคน เพราะฉันเป็นหนึ่งคนที่ชอบผู้ชายเป็น และฉันเชื่อว่าความชอบของแต่ละคนต่างกัน แต่ก่อนฉันไม่สนใจเรื่องผู้ชาย แต่พอเจอรุ่นพี่คนหนึ่งที่โรงเรียน ฉันก็รู้สึกว่าชอบมองเขา เขาไม่ได้หล่อ เพื่อนๆฉันบอกว่าท่าทางเขาดูตลกๆเขาจะชอบยิ้มกับคนอื่นๆ เวลาเห็นเขาทำอะไรก็ตาม ทำให้ฉันยิ้มได้เสมอ ฉันรู้จากเพื่อนของเขาว่าเขาเป็นคนเงียบๆ ไม่ชอบพูด ตรงนี้แหละที่ฉันชอบเขา ฉันไม่ชอบผู้ชายที่พูดมาก ทุกๆวันฉันจะมองหาเขา โดยที่เขาไม่รู้ตัว วันไหนที่ไม่เจอเขา ฉันก็จะสงสัยว่าเขาหายไปไหน และรู้สึกว่าขาดบางอย่างไป ฉันชอบเขาแต่ก็ไม่เคยบอกเขาเลย ฉันเคยให้การ์ดอวยพรเขาตอนปีใหม่ โดยฝากเพื่อนเอาไปให้เขา เขาไม่รู้หรอกว่าฉันเป็นใคร ที่กล้าให้เขาก็เพราะเป็นโอกาสสุดท้ายที่จะได้ให้ เพราะพี่เขาใกล้จะจบม.6แล้วนั่นเอง ดีใจที่ได้ทำอะไรให้เขาบ้าง อย่างน้อยเขาก็คงรู้ว่ามีคนรู้สึกดีๆกับเขา แค่นี้ฉันก็พอใจแล้วกับความรักของฉัน ในฐานะที่เป็นผู้หญิงฉันเชื่อเรื่องความรัก แต่ก็คิดว่าผู้หญิงควรรักนวลสงวนตัวอย่างยิ่ง
ช่วงที่เตรียมสอบentrance เพื่อนๆก็คิดว่าจะตั้งใจอ่านหนังสือ แต่จนกระทั่งวันสอบก็ไม่เห็นว่าจะมีใครอ่านได้มากเลย เมื่อผลสอบออกมาพวกเราก็สอบติดคนละที่กัน ฉันตัดสินใจเรียนที่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ซึ่งขัดแย้งกับความต้องการของแม่ แม่อยากให้ฉันเรียนที่มหาวิทยาลัยขอนแก่น ฉันไม่เลือกเพราะฉันคิดว่าระหว่างเอกภาษาอังกฤษกับเอกภาษาไทย ขอเลือกเรียนเอกภาษาอังกฤษ เพื่อนที่ฉันสนิทที่สุดสอบติดคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล เธอเป็นเพื่อนที่ฉันรักมาก คอยช่วยเหลือฉันตลอด ก่อนมหาวิทยาลัยเปิดเทอม เธอมาหาฉันที่บ้านเสมอ
เมื่ออยู่มหาวิทยาลัยทำให้ชีวิตมีรสชาติมากขึ้น ฉันกล้าคิดและกล้าพูดมากขึ้น ปัญหาเรื่องเกรดก็ไม่ค่อยมี ถ้าหากวิชาไหนที่ทำไม่ได้ ฉันก็ยอมรับตามนั้น แต่มีกรณีที่ไม่เคลียร์อยู่ครั้งหนึ่งอาจารย์ชาวต่างชาติสอน ตอนทำข้อสอบและงานต่างๆ ได้คะแนนดี แต่พอเกรดออกมาแล้วทำให้ฉันอยากไปประท้วงจริงๆเลย นี่แหละอาจารย์ที่ไม่เปิดเผยคะแนนก่อนตัดเกรด นิสิตตรวจสอบก็ไม่ได้ ฉันอยากรู้นักว่าไม่รู้สึกผิดบ้างรึไง ถ้าจะตัดเกรดมั่วแบบนี้ ทำไมไม่จับฉลากให้ไปเลยล่ะ นึกแล้วก็อยากให้ถูกเชิญออกจากการเป็นอาจารย์ของมมส. เร็วๆ โมโห โมโห
ตอนเรียนวิชาเอกที่คณะมนุษย์ มีอาจารย์ท่านหนึ่งเรียกฉันว่าJunior ทำให้เพื่อนๆในเอกเรียกตาม ต่อมาเมื่อมีความกล้ามากขึ้น เถียงกับเพื่อนตอนประชุมที่ค่ายภาษาอังกฤษเพราะคิดว่าเขาเสนอให้เพื่อนทำในสิ่งที่ไม่เข้าท่า ซึ่งเพื่อนๆก็เห็นด้วยกับฉันเกือบทั้งหมด เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้ได้ฉายาใหม่มา เพื่อนๆเรียกฉันว่า คุณแม่ ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม
ฉันรู้ตัวว่าเป็นคนใจร้อน ถ้าฉันเกลียดใครก็ยากที่จะเปลี่ยนความคิด ฉันพูดเสียงดัง เมื่อเถียงกับใครก็ตามมันจะดูรุนแรงมาก แต่ฉันมีเหตุผลพอว่าเรื่องใดควรเถียง เรื่องใดไม่ควรเถียง ถ้าฉันไม่รู้จริงฉันก็จะไม่เถียง ฉันไม่ชอบคนที่ชอบตำหนิคนอื่น แต่พอคนอื่นตำหนิตัวเองบ้าง กลับทำอย่างกับจะชักดิ้น ชักงอ เหตุการณ์ที่ปะทะคำพูดกับเพื่อนในห้องเรียนครั้งล่าสุด ที่ทำไปก็ไม่มีอะไรมากมายเลยก็แค่อยากเตือนสติเขาว่าอย่าคิดว่าตัวเองเก่ง อย่าหลงตัวเองให้มากนัก และอย่าดูถูกคนอื่น วันนั้นฉันบอกได้เลยว่าสะใจ ไม่รู้ว่าตัวเองแอบเป็นโรคจิตหรือเปล่า ก็คนมันใจร้อนนี่ ทนไม่ได้หรอกเมื่อเกิดเหตุการณ์แบบนี้ บางทีก็ไม่เข้าใจนะว่าทำไมฉันจึงเปลี่ยนจากใจเย็นมาเป็นใจร้อน วู่วามได้
อนาคตฉันหวังว่าจะเป็นครูที่ให้ความรู้แก่นักเรียนอย่างเต็มที่ นอกจากมีความรู้แล้วนักเรียนของฉันต้องเป็นคนดีด้วย ฉันแอบหวังว่าจะเรียนต่อระดับปริญญาโท เพื่อพัฒนาความรู้ทางด้านภาษาอังกฤษให้ดียิ่งขึ้น บางทีคิดว่าเรียนต่อในไทยก็ได้ แต่ถ้าได้ไปเรียนที่ต่างประเทศก็คงจะดี จะได้สัมผัสสิ่งแวดล้อมใหม่ๆบ้าง และสิ่งที่ฉันต้องทำให้ได้คือ ทำให้แม่กับพ่อมีความสุข ไม่ให้ท่านต้องทำงานหนัก ทำได้ทั้งหมดนี้ฉันก็มีความสุขแล้ว
มยุรี นาทองคำ
48010510981
ข้าพเจ้าชื่อนางสาวมยุรี นาทองคำ ชื่อเล่นชื่อปุ้ย พ่อเป็นคนตั้งชื่อให้ค่ะที่มาคือเป็นชื่อของคุณหมอที่ทำคลอดให้แม่และมีความหมายว่านกยูงตัวเมีย เกิดวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2529 ที่โรงพยาบาลเลิศสินกรุงเทพค่ะ พ่อและแม่เป็นคนจังหวัดกาฬสินธุ์ทั้งคู่ค่ะมีอาชีพค้าขายข้าพเจ้ามีพี่สาว 1 คน และมีน้องชายอีก 1 คน มีสมาชิกใหม่คือน้องส้มโอ เป็นลูกพี่สาวค่ะอายุ 2 ขวบย่าง 3ขวบค่ะ
ข้าพเจ้าเคยถามแม่ว่า “ทำไมไม่คลอดข้าพเจ้าวันที่ 14 กุมภาพันธ์จะได้ตรงกับวันวาเลนไท” แม่ตอบข้าพเจ้าว่า “วันนั้นไม่ปวด” ข้าพเจ้ารู้สึกเสียดายมากค่ะ ตอนนี้ข้าพเจ้าอายุ 22 ย่าง 23 ปีค่ะ แต่มองกระจกที่ไรก็นึกว่าตัวเองยังไม่ถึง 20 ปีเลยค่ะ ครอบครัวของข้าพเจ้าอาศัยอยู่บ้านเลขที่ 30 หมู่ที่ 12 ตำบลร่องคำ อำเภอร่องคำ จังหวัดกาฬสินธุ์
ข้าพเจ้าจบชั้นประถมศึกษาจากโรงเรียนกุดลิงวิทยาคม เป็นโรงเรียนใกล้ๆบ้านค่ะ ตอน ป. 4 เคยสอบได้ที่ 1 ของห้องดีใจมากค่ะหลังจากจบ ป.6 ก็ไปเรียนต่อระดับมัธยมศึกษาตอนต้นและตอนปลายที่โรงเรียนร่องคำ เป็นโรงเรียนประจำอำเภอค่ะอันนี้ก็ใกล้บ้านเหมือนกันค่ะซึ่งในระดับมัธยมข้าพเจ้าก็อยู่ห้องคิงบ้างห้องควีนบ้าง ก็ไม่ได้เรียนเก่งอะไรหรอกค่ะแต่ก็อยู่ระดับปานกลาง ระดับมัธยมศึกษาตอนปลายข้าพเจ้าก็ยังเรียนอยู่ที่เดิมข้าพเจ้าเลือกเรียนสายวิทย์-คณิต ค่ะ เพราะในตอนนั้นข้าพเจ้าอยากเป็นพยาบาลค่ะและตอนสอบเอนทรานข้าพเจ้าก็ลงพยาบาลจริงๆค่ะ แต่ไม่ติดข้าพเจ้าก็ไม่เสียใจเลยค่ะเพราะคิดๆๆดูอีกทีข้าพเจ้าคงไม่อยากเป็นพยาบาลหรอกค่ะแล้วข้าพเจ้าก็ติดคณะการโรงแรมที่มหาวิทยาลัยเกษตรวิทยาเขตสกลนคร และคณะศึกษาศาสตร์มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ข้าพเจ้าจึงเลือกเรียนที่มมส.เพราะชอบคณะนี้กว่าค่ะ
ปัจจุบันนี้ข้าพเจ้ากำลังศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยมหาสารคามคณะศึกษาศาสตร์ สาขาภาษาอังกฤษ ชั้นปีที่ 4 ตอนข้าพเจ้าอยู่ปี 1 ข้าพเจ้ารู้สึกกลัวมากคิดว่าจะเรียนไม่ได้ซะแล้วเพราะต้องเจอกับวิชาของอาจารย์ธูปทองซึ่งเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาของข้าพเจ้าเอง ยอมรับว่าท้อจริงๆค่ะ แต่พอเรียนไปซักพักก็เริ่มปรับตัวได้และเริ่มคิดได้ว่า จะกลัวทำไมในเมื่อรุ่นพี่ยังเรียนได้แล้วทำไมเราจะเรียนไม่ได้ แล้วก็บอกกับตัวเองว่าลองดูซักตั้งวะ และวิชาแรกที่เรียนกับอาจารย์ธูปข้าพเจ้าก็ได้เกรด D ค่ะ แต่ไม่เป็นไรค่ะยังไงวิชาอื่นก็ยังเรียนได้ และอีก 2 วิชาที่เรียนกับอาจารย์ธูป ในปีต่อมา ก็ได้ D อีก จนปี3 เทอมที่สองข้าพเจ้าก็ได้ B เกรดตัวนี้เป็นที่ภูมิใจของข้าพเจ้ามากค่ะ
ตอนนี้ข้าพเจ้าพักอยู่หอพักสตรีวัฒนจิตรหลังม.เก่านี่เองค่ะงานอดิเรกของข้าพเจ้าคือดูทีวี อ่านหนังสือ(บ้าง) คติประจำใจของข้าพเจ้า คือแม้แต่นาฬิกาตายก็ยังเดินตรงเวลาถึงสองครั้ง ความหมายก็คือทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ย่อมมีประโยชน์แต่ขึ้นอยู่กับว่าเราจะมองเห็นประโยชน์จากมันไหม
นางสาวชุติมา ไชยมูล
48010510924
เดียร์ EN
อัตชีวประวัติ
ด้วยความรักของพ่อและแม่จึงทำให้เกิดนางฟ้าตัวน้อยๆขึ้นมาในปีขาล วันอังคารที่ 16 ธันวาคม 2529
เธอมีชื่อชื่อ ชุติมา ไชยมูล คนทั่วไปเรียก เดียร์ เพื่อนและคนที่สนิทกันเรียก nadoize(นาดอยซ์)
ชื่อชุติมา มีความหมายว่าผู้มาจากแสงสว่างหรือผู้มีปัญญาเลิศ และพ่อของเดียร์ชื่อสุริยา มีความหมายว่า พระอาทิตย์ เดียร์ก็เลยคิดว่าสงสัยคงตั้งชื่อเดียร์ให้คล้ายกับพ่อ เพราะโบราณเขาว่าลูกผู้หญิง ถ้าตั้งชื่อคล้ายพ่อจะดี ลูกผู้ชายคล้ายแม่จะดี เดียร์ก็เลยกลายเป็นแสงสว่างที่มาจากพระอาทิตย์ อิอิ ตอนเด็กๆชื่อ เดียร์ หมายถึงกวาง พอตอนโตมาชื่อ เดียร์ ก็มี 2 ความหมาย คือ กวางและที่รัก กวาง คือ สัตว์ที่มีดวงตาสวยงาม สง่าและมีเสน่ห์ ส่วน ที่รัก คือ เดียร์อยากเป็นที่รักของทุกๆคนค่ะ เดียร์เป็นลูกสาวคนโตของพ่อและแม่ เดียร์มีน้องชาย 1 คน อายุ 16 ปี เดียร์และน้องมีอายุห่างกันมาก เดียร์กับน้องชายจะค่อนข้างสนิทกัน ไม่ค่อยมีปัญหากัน เวลาที่เดียร์มีสิ่งของที่เดียร์ต้องการ เดียร์ก็อยากให้น้องมีด้วยคือขอให้แม่ซื้อให้น้อง ส่วนมากน้องของเดียร์จะไม่ค่อยขอกับแม่ น้องจะมาเล่าให้เดียร์ฟังก่อนแล้วให้เดียร์พูดให้ ถ้าสิ่งของที่น้องต้องการเหมาะสมกับน้อง เดียร์ก็จะขอแม่ให้ค่ะ เดียร์เป็นคนเอาแต่ใจ ค่อนข้างซน เล่นเหมือนเด็กผู้ชาย เพราะตอนเด็กๆเดียร์มีเพื่อนที่เป็นญาติกันมีแต่ผู้ชาย พ่อเป็นคนเข้มงวดมาก ตั้งแต่เล็กจนโต ถ้าเดียร์กลับบ้านตอนที่มืดแล้ว เดียร์ก็จะโดนพ่อด่า เดียร์ก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเหมือนกัน ทำไมคนอื่นเขาไปไหนมาไหนได้ตอนกลางคืนได้ ทำไมเดียร์ไปไม่ได้ จนปัจจุบันนี้เดียร์ก็ยังสงสัย แต่เดียร์ก็คิดว่าสงสัยพ่อคงเป็นห่วงเดียร์มาก หรืออาจะเพราะว่าเดียร์เป็นผู้หญิงด้วยก็ได้ จึงไม่อยากให้ไปไหนมาไหนตอนกลางคืน พอตอนมาเรียนที่มหาวิทยาลัยจึงทำให้เดียร์ไม่ได้ไปเที่ยวกลางคืนเหมือนเพื่อนคนอื่นๆเขา อาจจะเป็นเพราะความเคยชินที่ไม่ได้ไปไหนตอนกลางคืน เดียร์ก็เลยไม่ชอบเที่ยวกลางคืน บางครั้งเดียร์ก็คิดว่ามันอาจจะเป็นผลดีกับเดียร์ก็ได้ที่ไม่ได้เจอโลกแบบนั้น แต่บางครั้งเดียร์ก็กลัวตัวเองเป็นคนไม่ทันคน กลัวโดนหลอก อิอิ ตอนแรกเดียร์ก็ไม่คิดว่าจะได้เรียนที่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม เพราะว่าตกลงกับแม่แล้วว่าถ้า entrance ไม่ติดที่ไหนเลย เดียร์จะลงระบบพิเศษที่มหาวิทยาลัยขอนแก่น แต่บังเอิญว่าติดรุ่นปลดหนี้(อาจารย์ธูปบอก)ที่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม แม่จึงให้เดียร์เรียนที่นี่เลย เดียร์ร้องไห้มากมายเพราะไม่อยากเรียนที่มหาวทิยาลัยแห่งนี้เพราะใกล้บ้าน กลัวต้องได้กลับบ้านบ่อย (แต่พอมาเรียนก็อยากกลับบ้านเพราะว่าคิดถึงบ้าน อิอิ) แต่สุดท้ายก็ต้องทำตามแม่บอก เดียร์เป็นคนเชื่อฟังพ่อแม่ค่ะ เดียร์ตกลงกับแม่ว่าถ้าเดียร์เรียนที่นี่แม่จะซื้อรถมิโอให้เดียร์และแม่ก็ยอม แม่ของเดียร์ทำเพื่อเดียร์ได้ทุกอย่างเลยค่ะ ผู้หญิงคนนี้เจ๋งมาก เดียร์สนิทกับแม่มากกว่าพ่อ อาจจะเป็นเพราะว่าเราเป็นผู้หญิงเหมือนกัน และแม่ก็เป็นคนชอบพูด ชอบคุย แม่ชอบถามเรื่องเรียนของเดียร์ แม่กลัวว่าเดียร์จะมีปัญหาเรื่องเรียน และแม่ก็จะให้กำลังใจเดียร์เสมอค่ะ เดียร์รักแม่ที่สุดเลยค่ะ
อัตชีวประวัติ กรรณิการ์ 48010510903 4EN
อัตชีวประวัติ
ชีวิตของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งเริ่มต้นขึ้นเมื่อ 20 กว่าปีที่แล้ว ชีวิตของเธอเริ่มต้นจากคนสองคนที่รักเธอมาก คนหนึ่งคือ พ่อ และอีกคนก็คือแม่ของเธอนั่นเอง แม่ใช้เวลาเก้าเดือนในการดูแลชีวิตอีกหนึ่งชีวิตในท้องของแม่ ขณะเดียวกันพ่อใช้เวลาเก้าเดือนในการดูแลแม่และเด็กน้อยที่อยู่ในท้องของแม่ จนกระทั่งวันที่ 16 ธันวาคม 2529 ทั้งพ่อและแม่ก็ให้โอกาสกับเด็กหญิงตัวน้อยได้ลืมตาดูโลก และก็ตั้งชื่อที่เด็กน้อยคิดว่าเพราะที่สุดในชีวิต นั่นก็คือ เด็กหญิงกรรณิการ์ ตุนีย์ หรือที่พ่อและแม่เรียกว่า “แพท”
แพทเกิดและเติบโตในครอบครัวของชาวนาผู้แสนจะใจดี ครอบครัวของเรามีกันทั้งหมด 4 คน พ่อ แม่ พี่สาว และ แพท (ลูกสาวหล่า)ครอบครัวของเราไม่ใช่ครอบครัวที่ร่ำรวยแต่ก็ไม่ใช่ครอบครัวที่ยากจนชนิดที่ว่าต้องอดมื้อกินมื้อ แต่ครอบครัวของเราเป็นครอบครัวที่พอมีกินมีใช้ไม่ลำบาก แพทกับพี่สาวอายุห่างกันประมาณ 7 ปี เราสองคนจัดได้ว่าเป็นไม้เบื่อไม้เมากันเลยทีเดียว มีเรื่องให้ได้ทะเลาะกันไม่เว้นแต่ละวัน เรื่องที่ทะเลาะกันต้นเหตุก็มาจากแพทเอง ชอบขโมยใช้ของใช้ส่วนตัวของพี่สาว ไม่ว่าจะเป็น แป้ง หวี ลิปสติก น้ำหอม (ชอบที่สุดในโลก) เสื้อผ้า ด้วยตอนนั้นพี่สาวก็กำลังโตเป็นสาว เป็นวัยรุ่น รักสวยรักงาม เราก็เลยอยากเป็นเหมือนเค้าบ้าง พอพี่สาวจับได้ก็ยืนกรานแบบกระต่ายขาเดียวถึงสองตัวอยู่ด้วยกัน แต่ก็ไม่สำเร็จเพราะต้องจำนนต่อหลักฐาน ก็โดนว่า ไปตามระเบียบ ถึงเราจะชอบทะเลาะกันบ่อยๆ ก็ไม่ได้หมายความว่าเราไม่รักกันนะ เราสองคนพี่น้องรักกันมาก เพราะพ่อและแม่สอนเราเสมอว่า เกิดเป็นพี่น้องกันต้องรู้จักที่จะรักและสามัคคีกัน พี่ต้องรู้จักเสียสละให้น้องในขณะที่น้องก็ต้องรู้จักเสียสละให้พี่ด้วยเช่นกัน
ชีวิตวัยเด็กของแพทก็เหมือนๆกับเด็กทั่วๆไป ที่อยากจะได้โน่นอยากได้นี่ตามประสาของเด็ก แต่ต่างกันนิดเดียวที่ของเล่นและเสื้อผ้าของแพทส่วนมากจะเป็นของใหม่ของแพทแต่เป็นของใหม่ที่มาจากของเก่าของพี่สาวนั่นเอง แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาเพราะทุกๆตัวก็สวยๆทั้งนั้นแพทไม่ถือจ้า ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ของใหม่เหมือนเด็กหลายๆก็ไม่เป็นไร เพราะว่าเด็กบางคนก็ไม่มีเหมือนเราด้วยซ้ำ ถือได้ว่าชีวิตวัยเด็กของแพทก็มีความสุขมากคะ
แพทเข้าเรียนในระดับอนุบาลจนถึงชั้นป.6 ที่โรงเรียนในหมู่บ้าน และความใฝ่ฝันของเด็กป.6หลายๆคนก็คืออยากจะเรียนต่อชั้นมัธยมในโรงเรียนประจำจังหวัด แพทก็เป็นอีกคนที่อยากจะเรียนที่นั่น พ่อกับแม่ของแพทก็อยากจะให้เรียนที่นั่น แพทตัดสินใจไปสอบเข้าม.1 ที่โรงเรียนแห่งนั้น วันที่สอบนั้น แพทรู้สึกตื่นเต้นและก็กดดันมาก กลัวไปหมดทุกอย่าง กลัวว่าจะทำข้อสอบไม่ได้บ้างล่ะ กลัวว่าจะทำข้อสอบไม่ทันมากล่ะ กลัวสารพัดอย่างเลยทีเดียว พ่อกับแม่บอกแพทว่า “ตั้งใจนะลูก ลูกสาวของพ่อกับแม่ต้องทำได้สิลูก” แพทรู้สึกหายกลัว หายตื่นเต้นเลย และก็บอกกับตัวเองว่า “ทำได้อยู่แล้ว แพทคนเก่งต้องทำได้อยู่แล้ว” และแล้วการสอบในวันนั้นก็ผ่านไปได้ด้วยดี จนกระทั่งมาถึงอีกหนึ่งวันที่น่าตื่นเต้นมากที่สุดเหมือนกัน นั่นก็คือวันประกาศผลสอบ วันนั้นไปกันทั้งครอบครัว ทั้งญาติพี่น้อง เรียกได้ว่าไปกันทั้งตระกูลเลยทีเดียว ก่อนจะดูผลสอบพ่อบอกกับแพทว่า “ไม่ได้ก็ไม่เป็นไรนะลูก เรียนที่ไหนก็ดีเหมือนกัน” แพทพยายามหาชื่อตัวเอง แต่หาเท่าไรก็หาไม่เจอสักทีกระดาษแผ่นที่หนึ่งก็แล้ว สองก็แล้ว สามก็แล้ว แต่ก็ยังหาชื่อตัวเองไม่เจอ ใจเสียแล้ว พ่อกับแม่ก็ช่วยหานะ แล้วพ่อก็พูดขึ้นว่า “อยู่นี่ลูก ชื่อของหนูอยู่นี่ลูก” แพทสอบเข้าโรงเรียนประจำจังหวัดได้ด้วยความรู้ความสามารถของแพทเองและก็บวกด้วยดวงดีนิดหน่อย (อิอิอิ) ดีใจมากเลย ทำได้แล้ว ตอนนั้นพ่อกอดแพทไว้แน่นมาก แล้วก็บอกกับแพทว่า “เก่งมากลูกพ่อ” แพทรู้สึกภูมิใจมากกับความสำเร็จในก้าวแรกของแพท แพททสัญญากับตัวเองว่าแพทจะตั้งใจเรียน จะใช้เงินทุกบาททุกสตางค์ของพ่อกับแม่ให้คุ้มค่าที่สุด แพททำได้เหมือนที่สัญญาจริงๆ ถึงแม้ว่าเกรดของแพทจะไม่ได้ 4.00 แต่ได้แค่ 3.50 ขึ้นไป ทุกๆภาคเรียนก็น่าจะทำให้พ่อกับแม่ภูมิใจได้ไม่ใช่เหรอ
ด้วยความที่แพทสนิทกับพ่อมาก ไม่ว่าที่โรงเรียนจะมีงานอะไร ก็จะเป็นพ่อที่ไปร่วมงานมากกว่าแม่ แม้กระทั่งงานวันแม่ก็ตาม ตอนที่แพทเรียนอยู่ชั้นม.5 ที่โรงเรียนจัดงานวันแม่ และก็เชิญผู้ปกครองของนักเรียนมาด้วย บังเอิญว่าแม่ไม่ว่าง พ่อก็เลยต้องมาอีกเหมือนเคย วันนั้นน้ำตาถึงกับท่วมหอประชุมเลยทีเดียว แพทเอาพวงมาลัยมากราบที่ตักของพ่อและก็บอกกับพ่อว่า “หนูรักพ่อนะคะ อยู่กับหนูไปนานๆนะคะ เวลาที่หนูโตขึ้น หนูเรียนจบ หนูมีงานทำ หนูจะเป็นคนดูแลพ่อกับแม่เอง รอใช้เงินเดือนหนูนะคะ” พ่อถึงกับน้ำตาไหล (ซึ้งมาก)
และแล้ววันที่แพทไม่อยากให้มาถึงก็ไม่มีวันที่จะหนีพ้นอีกแล้ว พ่อป่วยเป็นโรคมะเร็งตับ ระยะสุดท้าย ทุกคนในครอบครัวดูเศร้า เสียใจ สับสน ทำอะไรไม่ถูก เพราะทุกอย่างมันเร็วมาก เร็วมากซะจนไม่มีใครจะรับได้ แต่ก็ต้องรับ พ่อไม่เคยมีอาการของโรคมะเร็งมาก่อน พ่อล้มป่วยอยู่ประมาณ 1 เดือนเท่านั้น แล้วท่านก็จากแพทไปชั่วชีวิตในวันที่ 8 พฤศจิกายน 2548 ชีวิตของคนหนึ่งคนจากไป แต่ว่าชีวิตของคนอีกสามยังคงต้องเดินต่อไป พ่อยังคงอยู่ในชีวิตของเราทุกคนเสมอ ไม่ได้จากไปไหนเพราะเค้ายังอยู่ในทุกความทรงจำของพวกเราเสมอ
พ่ออยากให้แพทเป็นครู เป็นตัดสินใจสอบเอ็นทรานซ์ ในคณะศึกษาศาสตร์ สาขาวิชาภาษาอังกฤษ เพื่อพ่อ แพทตั้งใจมากกว่าเดิมเป็นหลายเท่า และในที่สุดแพทก็ทำได้ แพทสอบเข้าเรียนในระดับอุดมศึกษาได้ ในคณะที่พ่ออยากให้เรียนได้ แม่และพี่สาวของแพทบอกกับแพทว่า “หนูทำได้แล้วลูก พ่อต้องภูมิใจในตัวหนูมากเหมือนที่แม่กับพี่ภูมิใจในตัวหนูแน่ๆ”
ถึงตอนนี้แพทกำลังศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัยมหาสารคาม ชั้นปีที่ 4 คณะศึกษาศาสตร์ สาขาวิชาภาษาอังกฤษ ถึงตอนนี้แพทก็ยังคงสัญญากับตัวเองเสมอว่าเป็นต้องตั้งใจเรียน ต้องไม่ทำให้พ่อและแม่รวมถึงพี่สาวของแพทต้องผิดหวัง แพทจะต้องเป็นครูที่ดี ให้ได้เหมือนกับที่แพทเป็นลูกที่ดีของพ่อกับแม่ “แม่ขารออีกแค่ปีเดียวนะคะ แพทก็จะเรียนจบแล้ว เมื่อถึงวันนั้น ของขวัญที่แพทอยากได้มากที่สุด ก็คือ มีแม่ มีพี่ตุ๊ก และก็มีพ่อถึงแม้ว่าจะเป็นแค่รูปของพ่อก็ตาม ยืนอยู่ข้างๆแพท ยิ้มให้กับแพท ดีใจกับแพท และก็กอดแพทไว้ ในวันที่แพทรับปริญญานะคะแม่” หนูภูมิใจที่ได้เกิดมาเป็นลูกของพ่อกับแม่และเป็นน้องของพี่นะคะ
นางสาวนงนลิน ขาวจันทร์คง หนึ่งค่ะ
รหัสนิสิต 48010511539 สาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย (EC)
สวัสดีค่ะ อาจารย์โอ๋ ที่น่ารัก หน้าเด็ก ใจดี จริงๆนะคะ อิอิ
....นงนลิน ขาวจันทร์คง..... หนูชอบชื่อและนามสกุลตัวเองมากค่ะ รู้สึกภูมิใจทุกครั้งที่มีคนเรียก คิดว่าชื่อตัวเองเพราะและแปลกไม่ซ้ำใครน่ะค่ะ ^__^ นงนลิน แปลว่า นางงามแห่งดอกบัว,ผู้หญิงที่สวยเหมือนดอกบัวค่ะชื่อนี้เป็นชื่อที่คุณแม่และคุณพ่อช่วยกันตั้งเองเลยนะคะ ทีแรกคุณพ่อดูจากหนังสือของ คุณเสฐียรพงศ์ วรรณปก ว่าควรใช้ชื่อ ธัญพิมนตร์ ท่านช่วยกันตัดสินใจกันอยู่หลายเดือน ในที่สุดจึงเลือกที่จะตั้งชื่อหนูว่า นงนลิน ส่วนนามสกุล ขาวจันทร์คง ไม่ทราบความหมายค่ะ เพราะไม่เคยถามคุณปู่เลย หนูเกิดที่โรงพยาบาลราชวิถี ในวันอาทิตย์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2530 แรกคลอดน้ำหนัก 2450 กรัม ตัวเล็กมาก จนคุณพ่อคุณแม่เป็นห่วงมาก แต่ไม่รู้ว่าโตขึ้นแล้วตัวใหญ่ได้งัย ^^ นิสัยส่วนตัว เป็นคนใจร้อนมาก (เพื่อนๆและคุณแม่บอก) ปัจจุบันกำลังปรับปรุงโดยการสวดมนต์ เพื่อให้ใจสงบค่ะ ทำมาตั้งแต่ต้นปีแล้ว พยายามไม่โกรธค่ะ ใจเย็นๆนึกถึงผลเสียของการโวยวายค่ะ แต่ก้อจิตใจอ่อนโยนนะคะ ชอบช่วยเหลือเพื่อน ขี้อาย ไม่ค่อยกล้าแสดงออก นิสัยที่ต้องแก้ไขด่วน คือ เป็นคนที่ช้ามาก ทำอะไรแทบจะช้าทุกอย่าง ขาดความมั่นใจในตนเอง รู้สึกเป็นปัญหากับตนเองมาก
คุณพ่อ ชื่อ นายแสงพันธ์ ขาวจันทร์คง เป็นชาว อ.หัวไทร จ.นครศรีธรรมราช ท่านประกอบอาชีพเลี้ยงสัตว์ค่ะ แม้ท่านจะเป็นคนใต้ แต่ท่านก้อไม่ใจดำนะคะ ท่านรักอีสานเหมือนบ้านเกิดค่ะ ทั้งยังพูดภาษาอีสานได้บ้างค่ะ คุณแม่ชื่อ นางสาวธนิดา ยืนยงนุชิต เป็นชาว อ.พิบูลมังสาหาร จ.อุบลราชธานีค่ะ ท่านประกอบอาชีพ กิจการส่วนตัวค่ะ คือร้านเช่าชุดวิวาห์ รับแต่งหน้าเจ้าสาวค่ะ ท่านเป็นคุณแม่ที่น่ารักค่ะ ตัวขาวๆเล็กๆ พูดจาอ่อนหวาน เข้าใจลูกแทบทุกเรื่อง มีคนทักว่าแม่สวยบ่อยๆค่ะ หน้าเด็ก ต่างจากลูกที่ตัวใหญ่ ยังมีน้องชายหนึ่งคนชื่อ ด.ช.เฉลิมเกียรติ ขาวจันทร์คง เรียนชั้นม.2 ค่ะ น้องชายตัวสูงกว่าหนูอีกค่ะ ไปไหนก้อมีคนทักผิดว่าเป็นแฟนประจำเลย ปัจจุบันคุณพ่อคุณแม่เลิกกันค่ะ หนูอยู่กับคุณแม่และน้องชาย
วัยเด็ก....ตอนออกจากรพ.คุณพ่อ คุณแม่ก้อกลับมาบ้านคุณตาซึ่งอยู่ในกรุงเทพคุณยายซึ่งอยู่อุบลได้มา เพื่อเลี้ยงหนูเลยนะคะ หนูอยู่กรุงเทพฯ ถึง 4 ขวบก็ต้องมาอยู่อุบลฯ กับคุณยายคุณตา พอ 6 ขวบ คุณพ่อคุณแม่จึงลาออกจากงานเพื่อมาอยู่อุบลฯ พอเริ่มเข้าเรียนในระดับชั้นอนุบาล หนูอยู่กับคุณยายคุณตา ท่านก็จะนั่งรถสามล้อไปส่งที่โรงเรียนทุกวัน ไปโรงเรียนวันแรกถูกเพื่อนๆมองแปลกๆ คุณครูก็มาถามว่าบ้านอยู่ไหน คุณแม่ชื่ออะไร หนูก็ตอบไปค่ะ เพื่อนๆและครูจะเรียกหนูว่าอินเดีย เพราะตอนนั้นหนูตัวดำ ผมหยิก หน้างงๆ พอกลับบ้านไปก้อถามคุณยาย ท่านก็ตอบ แต่ตอนนั้นต้องบอกว่าไม่เข้าใจเลยค่ะ ว่าความหมายของคำว่า “อินเดีย” ปัญหาอีกอย่างที่พบในช่วงวัยเด็กก็คือ การรับประทานอาหารค่ะ หนูจะทานอาหารที่มีส่วนประกอบ มีกลิ่นของปลาร้าไม่ได้เลยค่ะ พวกส้มตำ แกงต่างๆที่ใส่น้ำปลาร้า แต่ตอนนี้ชอบมากค่ะโดยเฉพาะตำป่า ด้านภาษาฟังไม่รู้เรื่องค่ะ สื่อสารกับใครก้องงๆกว่าจะพูดอีสานคล่องก็ประมาณป.สี่ค่ะ ด้านการเรียน ช่วงนั้นทำการบ้านเองตลอด ไม่เข้าใจก็จะถามคุณยาย คุณยายจะคอยดูแลทุกอย่าง นอนกับท่านทุกคืน หนูรักคุณยายมากรักเหมือนคุณแม่เลยนะคะ จนปัจจุบันทุกรั้งที่กลับบ้านจะนอนกับท่าน หอม กอดท่านเหมือนกับตอนเด็ก ช่วงป.6 เริ่มปรับสภาพเป็นชาวอีสานได้เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์แล้วค่ะ อยู่ที่โรงเรียนจะพูดภาษาอีสานแต่พออยู่ที่บ้านต้องพูดภาษากลางนะคะ ช่วงวัยนี้รู้สึกมีความสุข สนุกกับการเรียนมากค่ะ ชอบวิชาภาษาไทยมาก ชอบแต่งกลอน เขียนเรียงความ ส่งเข้าประกวดทุกครั้งที่ทางโรงเรียนจัดกิจกรรมวันสำคัญต่างๆ วันพ่อ วันแม่ วันรัฐธรรมนูญ และได้รับรางวัลทุกครั้งเลยนะคะ รู้สึกภูมิใจและดีใจมากค่ะ ในช่วงนั้นมีการสอบเพื่อวัดความรู้ของนักเรียนชั้นป.6ภายในอำเภอค่ะ มีเงินรางวัล 4000 บาทค่ะสำหรับผู้ที่ได้คะแนนมากสุดในแต่ละกลุ่ม แบ่งเป็นสองกลุ่มให้เลือกสอบค่ะ กลุ่มแรก คือ กลุ่มวิชาคณิตศาสตร์-วิทยาศาสตร์ กลุ่มที่สองคือ กลุ่มวิชาภาษาไทย-สังคมศึกษา หนูเลือกสอบในกลุ่มที่สอง ผลการสอบประกาศในสามสัปดาห์ให้หลัง ผลออกมาว่าหนูได้รางวัลชนะเลิศ ได้รับเงินรางวัล 4000 บาท พร้อมเกียรติบัตร ตอนนั้นจำได้ว่าดีใจมากๆ นำเงินรางวัลไปให้คุณยายหมดเลยค่ะ เพื่อนทั้งชั้นจะเรียกหนูว่า หนึ่งสี่พัน ตอนนั้นอายค่ะ แต่ก็แอบปลื้มเบาๆ ช่วงวัยนี้ยังเป็นวัยที่รักการประกอบอาหารมากค่ะ เรียนรู้วิธีทำกับข้าวสนุกๆจากคุณยายและคุณพ่อ ช่วงนั้นทำน้ำพริกกะปิ ผัดเผ็ดซี่โครงหมู ข้าวผัด อาศัยเป็นลูกมือก่อนค่ะ ช่วงหลังๆทำเมนูซ้ำๆบ่อยๆ จนที่บ้านบ่นค่ะ บ่นว่าไม่อร่อยน่ะค่ะ อิอิ ตอนนี้ทำเก่งแล้วค่า...
ช่วงเปลี่ยนแปลง...ม.2 ค่ะ ช่วงนี้คุณพ่อกับคุณแม่เลิกกันสับสน ว้าเหว่มาก รู้สึกว่าโชคร้ายค่ะ คิดถึงครอบครัวที่เคยอบอุ่น เหงามากค่ะ แรกก็คิดถึงคุณพ่อมากท่านกลับนครศรีฯน่ะค่ะ แต่พอนานไปก็ชินนะคะ คุณแม่ คุณยายก็พยายามอธิบาย ชี้แจงให้เข้าใจ ตั้งแต่ม.2 เคยเจอคุณพ่อแค่ครั้งเดียวเองค่ะเพราะท่านอยู่ไกลและไม่มีโอกาสได้ไปด้วยค่ะ ตอนนี้ก็คิดถึงท่านมาก อยากกราบท่าน อยากกอดท่าน ปิดเทอมนี้สัญญาว่าจะไปหาท่านค่ะ รู้สึกน้อยใจบ้างเมื่อถึงวันพ่อของทุกปี ก็กราบคุณตาแทนค่ะ ถึงคุณพ่อจะอยู่ไกลแต่หนูก็รักคิดถึงท่านเสมอค่ะ สัญญาว่าปิดเทอมนี้จะไปกราบท่านค่ะ ตอนนี้คุณแม่แต่งงานใหม่มา 4 ปีแล้วค่ะ หนูและน้องเข้ากับพ่อใหม่ได้ดีค่ะ ไม่มีปัญหาใดๆ
ม.4-5 ช่วงนี้รักสวยรักงามค่ะ อยากแต่งตัวสวยๆงามๆบ้าง ไปดูประกวดนางงามมาก็หลายเวที บ้านตัวเองยังเป็นร้านเช่าชุด ทั้งยังส่งนางงามเข้าประกวดทุกปี อย่าว่างั้นงี้เลยนะคะ อายค่ะ...
หนูก็เลยบอกคุณแม่ว่าอยากประกวดบ้าง ตอนนั้นไม่ดูตัวเองเลยนะคะ อ้วนก็อ้วน ดำก้อดำ แต่แบบว่าอยากสวยค่ะ+ความพยายาม(สวย)ค่ะ คุณแม่ก็เลยจัดให้ งานแรกถือป้ายค่ะ งานกีฬาสีที่โรงเรียนค่ะเพื่อนผลักดันเต็มที่เพื่อประหยัดงบฯของคณะสี ไม่ได้สวยเสยไรเลยนะคะ จากนั้นก็ประกวดในโรงเรียนประกวดนางในวรรณคดีประจำโรงเรียนในวันภาษาไทยแห่งชาติ ชนะเลิศค่ะ หนูงงมาก
เดินก็แมนๆ แข็งๆ แต่ได้ด้วยค่ะ สงสัยกรรมการให้เพราะกลัวมั๊งคะ จากนั้นก็ประกวดตลอดค่ะ ตามอำเภอต่างๆในจ.อุบลฯ มีความสุขมากค่ะ เพิ่งค้นพบว่าชอบมาก ชอบประกวดค่ะมีการแสดงความสามารถพิเศษด้วยนะคะ หนูก็อ่านทำนองเสนาะ พูดภาษเวียดนาม ไปแต่ละที่ก้อได้แทบทุกที่ค่ะ ดีใจและเหนื่อยๆๆๆมากค่ะแต่ก็สนุก นับจากครั้งแรกที่ประกวดถึงตอนนี้ก็ประมาณ 10 กว่าเวทีค่ะ ยังไม่เคยประกวดของจังหวัดค่ะ ไม่มีโอกาส (สวยยังไม่ถึงขั้น) ตอนอยู่บนเวทีประกวดหนูจะดูเป็นคนละคนกับข้างล่างนะคะ คือมั่นใจกว่าปกติ พูดจาฉะฉานดูมั่นใจ หนูคิดว่าผลของการประกวดทำให้หนูมั่นใจ กล้าคิด กล้าพูดมากขึ้นค่ะ ที่สำคัญได้ตังค์ด้วยค่ะ ประกวดมาตั้งแต่ม.4 ถึงปี 3 ค่ะ ก็พัก ไม่ได้อยากพักนะคะแต่ไม่มีใครส่งประกวดแล้วค่ะ ประกวดบ่อยไปค่ะ
ช่วงมหาวิทยาลัย....ค่ะ เอนทรานซ์ได้รอบโควตาค่ะได้ที่เดียว คณะเดียวค่ะ แต่เลือกเลย
นะคะ แบบว่าไม่อยากอ่านหนังสือหลายรอบน่ะค่ะ คุณแม่ก็ไม่บังคับ ให้อิสระในการตัดสินใจค่ะ ก็เลยได้เรียนใน มหาวิทยาลัยมหาสารคาม คณะศึกษาศาสตร์ สาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย เรื่องหอพักหนูพักที่ หอพักสตรีศิริพรรณค่ะ หอนี้เป็นหอที่เข้มงวดสุดๆค่ะ เข้มงวดกว่าหอใน แต่อยู่แล้วก็ชินสบายจัย สบายกายค่ะ อยู่ใกล้ม.ด้วยพักมาตั้งแต่ปีหนึ่งถึงตอนนี้เลยนะคะ ชีวิตในการเรียนมีความสุขมากค่ะ การเรียนในสาขาวิชานี้ทำให้หนูพบว่าหนูมีทักษะการเต้นที่ต่ำ ไม่สิ ต่ำมากค่ะ เต้นไม่เข้ากับจังหวะเพลงใดๆเลยค่ะ น่าอายมาก เวลาเต้นแล้วหนูจะดูงงๆ แปลกๆ
ดูง่วงๆ อิอิ ปกติหนูก็ดูง่วงๆอยู่แล้ว ช่วงนี้หนูก็เลยต้องซ้อมเต้นหนักค่ะ ซ้อมไว้ไปฝึกสอนตอนปีห้าค่ะ ต้องฝึกการเต้นที่ถูกไว้สอนเด็กๆค่ะ ด้านการวาดภาพหนูวาดได้ดีกว่าเดิมค่ะ ที่ดีมากคือ หนูใจเย็นลงค่ะ เข้าใจเด็กๆมากขึ้น การเรียนโดยทั่วไปตลอดสี่ปีสนุกสนานมากกกกกค่ะ เรียนอย่างสบาย มีการเต้นประกอบเพลง การทำอาหารให้เด็กทาน การเขียนแผน การทำวิจัย เพื่อนๆในสาขาก็ดี น่ารักแทบทุกคนค่ะ เอาใจใส่ช่วยเหลือกันดีมากๆ ผลการเรียนก็เป็นที่น่าพ่อใจค่ะ อยากจบเร็วๆค่ะ ช่วงนี้เห็นเพื่อนๆรับปริญญาก็รู้สึกอิจฉาเบาๆ แต่ก็ทำใจค่ะเรียนๆๆ ฝึกสอนๆๆต่อไป
เพื่ออนาคตคุณครูใจดีค่ะ ^^ เทอมที่แล้วแย่มากค่ะไม่ค่อยได้หลับได้นอนค่ะ วิจัยค่ะ วิจัยเดี่ยว ทำร้ายพวกหนูทั้งสาขาเลยค่ะ อิอิ ไม่ขนาดนั้นหรอกค่ะ ที่บอกว่าไม่ได้นอนก็ สองวันก่อนส่ง
น่ะค่ะ นอกนั้นแชทดึกค่ะ แต่ก็ผ่านไปด้วยดี เทอมนี้ต้องต่ออีกนะคะวิจัยน่ะ สู้ๆๆเต็มที่ค่ะ อาจารย์เป็นกำลังใจด้วยนะคะ ....
หนูเคยเรียนกับอาจารย์ครั้งนึงแล้วค่ะ ตอนปีสอง ในรายวิชาจิตวิทยาเพื่อเสริมสร้างสัมพันธภาพทางสังคม อาจารย์สอนสนุก ฮามากค่ะ หนูยังจำมุขตลกไปเล่าให้เพื่อนฟังด้วยค่ะ ใบความรู้ที่เคยแจก หนูยังหยิบมาอ่านนะคะ ได้ความรู้มากค่ะ เทอมนี้พอเรียนแนะแนวหนูบอกกับตัวเองเลยค่ะว่าต้องเรียนกับอาจารย์ให้ได้ แม้เพื่อนบางคนจะบอกว่าได้เกรดน้อย แต่หนูก็ยังอยากเรียน เรียนแล้วมีความสุข สบายใจดีค่ะ
e-mail : nongnalin_the_one@hotmail.com
hi 5 :http://nongnalin111.hi5.com
^^รักและเคารพอาจารย์โอ๋นะคะ^^
นางสาวจันทร็สุนีย์ คำอ้วน
48010510911 4EN
สวัสดีท่านผู้อ่านที่เคารพ ดิฉันนางสาวจันทร์สุนีย์ พ่อให้มาแต่เกิด คำอ้วน และคิดว่าคงจะอยู่อย่างนี้ไปอีกนาน ฮิฮิฮิ ดิฉันเกิดเมื่อวันเข้าพรรษา เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2529 มีพี่น้องร่วมท้องแม่เดียวกันทั้งหมด 3 คนรวมดิฉันด้วย มีพี่สาวหนึ่งคน แล้วน้องชาย เฮ้อมีน้องชายก็เหมือนมีน้องสาวอีกคน สรุปแล้วพ่อแม่ดิฉันมีแต่ลูกสาวทั้งน้านนนน เป็นคนจังหวัดเกินร้อยตั้งแต่เกิด
ตั้งแต่จำความได้สิ่งที่ประทับใจที่สุดก็คงจะเป็น จักรยานโดราเอมอนสีฟ้า (ตอนนี้ก็ยังอยู่แต่ไม่ได้ขี่แล้ว) ตอนนั้นเข้าอนุบาลเห็นเพื่อนขี่จักรยานไปเรียน กลับมาก็เลย แอ่วพ่อกับแม่ซื้อจักรยานให้ ดีใจมากเลยที่ได้ขี่จักรยาน ทีแรกก็มีสองล้อเล็กคอยพยุง แต่พอเพื่อนมันล้อก็เลยบอกให้พ่อเอาล้อเล็กออก ผลปรากฏว่าไง ก็คงจะรู้ เพราะล้มไม่เป็นท่า แต่ความพยายามก็มีมากกว่า เลยปั่นจนได้ (ตอนนั้นอ้วนมากเลย ตัวใหญ่กว่าเพื่อนรุ่นเดียวกันอีก)
ตอนนี้เป็นเรื่องน่าอายมากเลย ตอนนั้นอยู่อนุบาล (เริ่มออกแววนักกีฬาตั้งแต่นั้นมา) เป็นกีฬาสีของโรงเรียน ทีนี้เลยไม่ไปโรงเรียน แต่พอสายหน่อย แม่ก็พาไปโรงเรียน แล้วอาจารย์ประจำชั้นเลยจับไปวิ่งให้หน่อยไม่มีใครลง เป็นวิ่ง 50 ม. นี่แหละ ตอนนั้น รู้ว่าไม่อยากลงวิ่งเพราะคนเยอะเลยกลัว ก็เลยงอแง พักใหญ่ อาจารย์เลยพูดว่า “ถ้าชนะมีรางวัลนะ” ปิ้ง โอเคทันทีเลยค่ะท่านผู้อ่าน แต่ยังไม่หยุดร้องไห้ พอกรรมการเป่านกหวีด ยังไม่ออกวิ่ง เห็นแต่เพื่อนวิ่งออกไปก่อน เลยหันไปหาแม่ แม่ก็เลยบอกให้วิ่ง นั่นเส้นชัยอยู่นั่น ดิฉันก็เลยออกวิ่ง วิ่งไปร้องไห้ไป (อายมาเลยคนอะไรตัวก็อ้วนคงจะน่าดูมากเลยฮิฮิฮิ) ผลปรากฏว่าได้ที่ 2 เฉยเลย (ก็คนมันวิ่งเกือบทุกวันนะ) ตอนนั้นคงยกความดีความชอบให้พ่อที่เคี่ยวเข็ญพาไปวิ่ง ตั้งแต่ตี 5 เกือบทุกวัน ตอนนั้นรู้สึกภูมิใจมาก อวดใครเขาไปทั่ว แต่แม่ดันไปบอกเขาว่า ร้องไห้ไปวิ่งไปด้วย เฮ้อแม่นะแม่
พอขึ้นประถมเลยย้ายไปเรียนอีกอำเภอหนึ่งจนถึง ป.3 ก็ย้ายกลับมาที่อำเภอตนเองแต่คนละโรงเรียน จนถึงป.4 ก็ย้ายไปเรียนอำเภอเดิมแต่คนละโรงเรียน เฮ้อเหนื่อย แต่ที่ยังไม่เปลี่ยนเลยคือการเป็นนักกีฬา
อีกเรื่องหนึ่งที่จะไม่มีวันลืมเลย และไม่อยากจะค่อยพูดให้ใครฟังซักเท่าไร ก็คงเป็นวันที่โดนรถมอไซต์ชน คือเป็นวันที่จะมาสอบเลือกห้อง ตอนเข้า ม.ปลาย เช้าวันนั้นก่อนมาโรงเรียน ได้บอกให้แม่มาส่งหน่อย (แต่แม่ก็ปฎิเสธ) ทั้งๆที่ไม่เคยบอกอย่างนั้น แล้วยังตื่นเต้นด้วยที่ได้เปลี่ยนชุดม.ต้น เป็น ม.ปลาย และเวลามาเรียนก็จะมีรถรับส่งประจำ แต่วันนั้นไม่รู้ทำไมถึงพูดออกไป พอมาถึงหน้าโรงเรียน ซึ่งจะต้องข้ามถนนไป ซึ่งถนนจะมีเกาะกลาง แล้วทุกเช้าจะมีคุณพี่ตำรวจคอยเป่าให้สัญญาณข้ามถนน และวันนั้นพอดิฉันและเพื่อนๆ น้องๆ ลงจากรถแล้วจะข้ามถนนซึ่งคุณตำรวจเป่าให้รถหยุดแล้วและดิฉันก็เห็นรถหยุด จึงวิ่งข้ามไป จังหวะนั้นมีเพื่อนเก่าดิฉันร้องเรียกชื่อดิฉัน ดิฉันจึงหันกลับไปแล้วบอกเพื่อนว่าเดี๋ยวจะรอที่เกาะกลางถนนนะ พูดยังไม่ทันจบ ได้ยินเพื่อนชี้นิ้วแล้วพูดว่า นุ้ยระวัง ดิฉันจึงหันกลับ พอหันกลับก็ตึงเลย รู้ตัวอีกที คุณพี่ตำรวจก็มาบอกว่าอย่าหลับนะ ซึ่งตอนนั้นยังงงๆ อยู่ว่าเป็นอะไรแล้วมีรถคันนึงใจดีเลยจอดแล้วนำส่งโรงพยาบาล แล้วต่อมาที่โรงบาลเอกชนแห่งหนึ่ง ผลตรวจ ปรากฎว่ากระดูกตรงโหนกแก้มข้างขวายุบลงไปไม่ถึงกับหัก และต้องทำการผ่าตัด ซึ่งโดนชนตอน 7 โมงเช้ากว่าๆ แต่เวลาผ่าตัดจริงๆ ทุ่มกว่าแนะ ตอนรอหมอมาตรวจซึ่งมันยังเช้าอยู่และเป็นโรงพยาบาลเอกชนด้วยจึงได้แต่รอ ขณะที่รออยู่บอกแม่ว่าอยากเข้าห้องน้ำ พอถึงห้องน้ำจะมีกระจกอยู่จึงมองหน้าตัวเอง โอ้แม่เจ้า มันเหมือนลูกแตงโมเลย มันกลมแล้วก็ใหญ่ด้วย พอถึงเวลาผ่าตัด ไม่เคยรู้สึกกลัวเช่นนั้นมาก่อน ยิ่งพยาบาลมาเข็นเข้าห้องผ่าตัด ยิ่งสั่น ยิ่งกลัว แอร์ก็เย็นมากเลย พยาบาลก็ชวนคุยนั่นคุยนี่ ได้ยินแต่บอกว่าเจ็บนิดเดียวนะ พูดยังไม่ทันขาดคำ ท่านผู้อ่านค่ะ มันปวดมาเลยตรงแขน ซึ่งพยาบาลบอกว่าเป็นยานอนหลับ จากนั้นก็ไม่รู้เรื่องอีกเลย ตื่นอีกทีได้ยินเสียงคนแก้คนหนึ่งว่าหมอ หมอ หมอ โอ้ยคนอยากนอน หนวกหูมากเลย ก็เลยลุกขึ้น (ตอนนั้นนึกว่านอนอยู่ที่บ้าน) พยาบาลเดินมาถามว่าตื่นแล้วหรือคะ จากนั้นสักครู่ก็โดนเข็นออกมาจากไหนก็ไม่รู้ มาอยู่ที่ห้องเดิม ส่วนอาการก็หายห่วงนอนอยู่โรงบาล 3 วัน ก็ขอออก (เพราะแพงมาก) ช่วงนั้นจะนอนตะแคงมาทางขวาไม่ได้ หมอห้ามเพราะกลัวกระดูกยุบลงไปอีก และก็โดนห้ามกินไก่ โอ้ยทรมานกายไม่พอ ยังทรมานใจอีก แต่ก็สงสารแม่ที่คอยเฝ้าเดตัว ดูแลอยู่ไม่ห่าง (อยากบอกแม่ว่ารักแม่และขอบคุณแม่มากจ้ะ)
จากวันนั้นจนถึงวันนี้ก็คงต้องตอนเข้าปีหนึ่งที่ มมส. คณะศึกษาศาสตร์ เอกภาษาอังกฤษ ซึ่งตอนเจออาจารย์ธูปทอง แล้วเจอแต่ภาษาอังกฤษล้วนๆ คงธรรมดาที่เด็กมาใหม่ไม่ค่อยรู้เรื่อง ฟังไม่ค่อยออก แล้วอาจารย์ก็สั่ง ๆ แต่งาน งานนี้ยังไม่ present อาจารย์ก็สั่งงานใหม่อีก เฮ้อ แล้วเพื่อนก็มีไม่มาก จึงกลัวว่าอาจจะเรียนไม่ไหว ร่ำร้องขอพ่อแม่ว่าจะเปลี่ยนเอกใหม่ พ่อกับแม่เลยให้กำลังใจไม่ต้องเปลี่ยนหรอก อันนี้น่ะดีแล้ว จากนั้นเป็นต้นมาก็พยายามเรื่อยๆ แล้วเพื่อนก็เริ่มรู้จักมากขึ้น และรู้ว่าไม่เฉพาะแต่เราที่รู้สึกอย่างนั้น ยังมีเพื่อนคนอื่นๆ อีกหลายคนที่รู้สึกแบบเดียวกัน ซึ่งก็ทนเรื่อยมาจนกระทั่งทุกวันนี้ และก็มีความสุขดี แม้จะต้องทำงานหลายอย่าง แต่ก็ยังมีเพื่อน พ่อแม่ ป้าอีกที่คอยช่วยสนับหนุน และคอยเป็นกำลังใจ จนทุกวันนี้ก็ดีใจที่ไม่เปลี่ยนเอกไปซะก่อน อยู่เอกนี้ได้เรียนรู้อะไรเยอะแยะ ซึ่งนับว่าคุ้มค่าที่ได้เรียนที่นี้ และเอกนี้ และอยากขอขอบพระคุณอาจารย์ทุกท่านที่พร่ำสอนทั้งเนื้อหาวิชา และ การดำรงชีวิตในทุกๆด้านค่ะ
นางสาวอมรรัตน์ ดอนพิลา (น๊อต)
48010511033 คณะศึกษาศาสตร์
สาขาภาษาอังกฤษ (4EN)
ในวันอาทิตย์ ที่ 10 สิงหาคม 2529 เป็นวันที่พื้นที่ภาคอีสานคือจังหวัดขอนแก่นต้องหนักเพิ่มขึ้นอีกเพราะมีเด็กคนหนึ่งเกิดจากความรักของพ่อกับแม่ เด็กคนนี้คือดิฉันเอง ฉันมีชื่อจริงๆว่า อมรรัตน์ ดอนพิลา ฉันเป็นลูกสาวคนที่ 2 ของพ่อกับแม่ ตอนเด็กๆฉันยังจำเรื่องราวที่ตัวเองเคยทำไว้ได้เป็นอย่างดี ถ้าจะเล่าก็ต้องเริ่มตั้งแต่ตอนที่ได้เจ็บตัวครั้งแรกเลยในชีวิต ตอนนั้นยังไม่ได้เข้าโรงเรียนแต่ฉันไม่รู้เรื่องอะไรมากเพราะยังเด็กๆอยู่ แต่เรื่องนี้แม่บอกฉันเองว่า ตอนที่ฉันอายุประมาณ 3-4 ขวบวันนั้นแม่เอาฉันขึ้นไปนั่งบนเตียงนอน แล้วฉันดื้อมากจนตกเตียง หัวกระแทกกับพื้นปูนจนต้องผ่าตัดกะโหลกศีรษะ ตอนนั้นแม่กับพ่ออยู่ที่ขอนแก่น ฉันถูกส่งไปรักษาที่โรงพยาบาลศรีนครินทร์จนหาย พอต้องเริ่มเข้าโรงเรียนครั้งแรกก็คือตอนที่ฉันต้องเข้าเรียนชั้นอนุบาล 1 ฉันอยู่ที่จังหวัดยโสธร โรงเรียนที่ได้เรียนมีชื่อว่าโรงเรียนสันติธรรม แต่ฉันเรียนที่นั่นยังไม่จบอนุบาล 1 ฉันก็ต้องย้ายไปอยู่ที่จังหวัดมุกดาหาร เพราะพ่อต้องย้ายตามคำสั่งของสำนักงาน พ่อกับแม่ของฉันทำงานที่โครงการชลประทาน และต้องย้ายไปเรื่อยๆตามจังหวัดต่างๆถ้ามีคำสั่งแต่นับตั้งแต่วันนั้นจนถึงทุกวันนี้ ครอบครัวของฉันก็อยู่ที่มุกดาหารอย่างถาวรแล้ว เมื่อฉันต้องมาเข้าเรียนที่โรงเรียนอนุบาลมุกดาหารตั้งแต่อนุบาล 1 ฉันมีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้นในชีวิตของฉัน ฉันเคยผ่าตัดกะโหลกศีรษะเลยทำให้มีผลต่อการเรียนของฉันมากๆ เพราะฉันมักจะเวียนศีรษะบ่อยๆ มันทรมานมาก เมื่อฉันมีอาการเวียนศีรษะ ฉันจะไม่สามารถลุกขึ้นนั่ง ยืนหรือเดินได้เลยเพราะฉันจะล้มลงทันที สาเหตนี้จึงทำให้ฉันต้องขาดเรียนอยู่บ่อยๆและทำให้เรียนไม่ทันเพื่อน แต่อาจารย์ผู้สอนทุกท่านนั้นรู้อยู่แล้วเพราะท่านมีประวัติของฉันอยู่ในสมุดรายงานประจำตัวนักเรียน ฉันสอบได้ที่สุดท้ายของห้องตลอดเลยตั้งแต่ชั้นป.1 จนถึงป.4 แต่พอขึ้นป.5 อาการของฉันก็ดีขึ้นจนเกือบปกติแล้ว แต่จะเป็นแค่บางช่วงเท่านั้น ฉันพยายามเรียนจนจบชั้นป.6 แล้วเข้ามาต่อที่โรงเรียนมุกดาหารซึ่งเป็นโรงเรียนประจำจังหวัด ฉันเรียนที่โรงเรียนนี้จนจบชั้นม.6 แต่กว่าจะจบมาได้ก็เกือบจะไม่รอดแล้วเพราะฉันก่อเรื่องไว้ตั้งมมากมาย ฉันชอบโดดเรียนออกไปหาของกินนอกโรงเรียนเป็นประจำ แต่มันผิดกฎของโรงเรียน ตอนนั้นอยู่ม.ต้นเลยไม่คิดอะไรมากเพราะเห็นใครๆก็ทำกัน พ่อจะเป็นคนไปส่งฉันกับพี่และน้องที่โรงเรียนทุกๆเช้า พอลงจากรถฉันก็เดินมาเข้าแถวตามปกติจึงไม่มีใครรู้ว่าฉันทำอะไร จนกระทั้งอาจารย์ไปหาพ่อกับแม่ที่บ้าน วันนั้นฉันยังไม่รู้ว่าอาจารย์ไปที่บ้านเพราะไม่ได้เข้าไปในห้องเรียนเลย พอกลับมาถึงบ้านโดนตีอย่างหนักเลย ตอนนั้นฉันกลัวมากๆแต่ไม่คิดว่าพ่อจะตีจริงๆ นึกว่าแค่พูดขู่เฉยๆแต่พอพูดกับฉันจบ พ่อบอกให้ฉันกอดอกแล้วพ่อก็ตีก้นฉัน ตอนนั้นฉันโกรธพ่อมากที่พ่อตีฉันและมันทำให้ฉันเกลียดอาจารย์ท่านนั้นด้วยที่ทำให้ฉันต้องถูกตี หลังจากนั้นฉันก็เข้าเรียนแต่ฉันมักจะทำกิริยาไม่ดีใส่อาจารย์ท่านนั้นจนฉันต้องถุกเรียกเข้าฝ่ายปกครองแล้วก็ถูกตักเตือน มันยื่งเพิ่มความเกลียดและโกรธที่ฉันมีต่ออาจารย์ เมื่อฉันเรียนชั้นม.3 ฉันก็ได้เจอท่านอีก ฉันรู้สึกเบื่อมากที่ต้องมาเห็นหน้าท่าน ดังนั้นฉันจึงโดดเรียนอีกครั้งจนฉันหมดสิทธิ์สอบทุกวิชาเลย พอฉันรู้ฉันเลยหนีออกจากบ้าน แต่หนีได้แค่ 1 วันเท่านั้นเพราะไม่รู้ว่าจะไปไหน พ่อกับแม่รู้เรื่องทั้งหมดแล้วแต่ท่านไม่ว่าฉันสักคำ พี่สาวฉันบอกฉันว่าเป็นเพราะอาจารย์ท่านนี้เป็นคนจัดการเรื่องทั้งหมดให้ฉัน และท่านก็ทำให้ฉันเรียนจบชั้นม.3 พร้อมๆกับเพื่อนโดยที่ไม่มีปัญหา ฉันรู้สึกผิดมากที่คิดอะไรไม่ดีต่อท่านแต่ตอนนี้ฉันสบายใจมากเพราะฉันได้กราบขอโทษท่านไปแล้ว พอถึงม.ปลายฉันก็เริ่มต้นใหม่ด้วยการตั้งใจเรียนแต่เกรอของฉันไม่ดีนักเพราะฉันไม่เก่งด้านคำนวณแต่ต้องมาเรียนสายวิทย์-คณิต ในช่วงของม.ปลายตลอดระยะเวลา 3 ปีนั้น ฉันยอมรับตรงนี้เลยว่าฉันเรียนจบเพราะลอกเพื่อนตลอด แม้แต่ตอนสอบ ฉันก็ลอกตั้งแต่ข้อแรกจนถึงข้อสุดท้าย เล่ามาแล้วก็รู้สึกตลกตัวเองจริงๆ ฉันไม่แปลกใจเลยว่าทำไมตอนนี้ฉันถึงไม่มีความรู้เก่าๆอยู่ในหัวของฉันเลย เรื่องเล่าของชีวิตฉันในช่วงก่อนหน้านี้คงจะจบแค่นี้ ทุกคนคงชอบนะคะ
clashnot@hotmail.com
Tel. 081-0582291
นางสาวเกศรินทร์ จงจิรัฐิติสกุล สาขาภาษาอังกฤษ
EN รหัส 48010510906
อัตชีวประวัติ
เป็นเวลา 20 ปีผ่านมาแล้ว ที่บ้านหลังเล็กๆในตัวอำเภอพังโคน จังหวัดสกลนคร ซึ่งฐานะทางเศรษฐกิจไม่ได้ร่ำรวยมากนัก แต่เต็มไปด้วยความรักและความอบอุ่นในครอบครัว ในเช้าตรู่ของวันพุธ ที่ 21 พฤษภาคม 2529 ทุกคนในบ้านต่างพากันตั้งหน้าตั้งตารอคอยสมาชิกใหม่ของบ้านที่กำลังจะลืมตาดูโลก แม่ให้กำเนิดเด็กหญิงตัวอ้วนถ้วนร่างกายแข็งแรงสมบรูณ์ เป็นสมาชิกใหม่ของบ้านในเวลา 07.30 น ของวันนั้น
แม่กับพ่อตั้งชื่อให้เด็กหญิงตัวอ้วนว่า เด็กหญิงเกศรินทร์ แซ่จง ชื่อเล่นว่า หลิน หลินเป็นลูกสาวคนที่ 4 ของครอบครัว “แซ่จง” ตลอดเวลาหลินได้รับความรักความอบอุ่นและการเลี้ยงดูที่ดีที่สุดของพ่อและแม่ นอกจากพ่อและแม่แล้วหลินยังมียายที่คอยเลี้ยงดูตั้งแต่เกิด หลินเป็นเด็กที่ร่าเริงแจ่มใสค่อนข้างซนเหมือนเด็กผู้ชาย เพราะเหตุนี้ตอนเด็กๆหลินมักจะได้เดินทางบ่อยๆ เพราะยายชอบที่จะพาไปโน่นมานี่เรื่อยๆไม่ค่อยวางใจให้อยู่นอกสายตาเพราะกลัวได้รับอันตรายเพราะความซุกซน หลินได้รับการอบรมเลี้ยงดูให้เป็นคนที่เข้มแข็ง ตอนเด็กๆ หลินเป็นเด็กที่ไม่กล้าแสดงออก และเอาแต่ใจตัวเองบ้าง และขี้น้อยใจ ชอบให้คนอื่นเอาใจแต่ไม่ค่อยพูดมาก ครอบครัวของเราจะไม่ใช่ครอบครัวที่ร่ำรวยแต่พ่อและแม่ก็ไม่เคยทำให้ลูกรู้สึกว่า ด้อยกว่าคนอื่นในทุกๆด้าน ไม่เคยลำบาก ไม่เคยอดอยาก ได้สิ่งที่สมควรได้และจำเป็น หลินใช้ชีวิตวัยเด็กเหมือนเด็กๆทั่วไป จนกระทั่งหลินตอนหลินอายุ 3 ขวบ ก็ได้เป็นพี่สาวเพราะแม่ได้คลอดน้องผู้ชายอีกคนตอน พออายุ 7 ขวบ ก็ได้เข้ารับการศึกษาชั้น ประถมศึกษาปีที่ 1ที่โรงเรียนบ้านพังโคน(จำปาสามัคคีวิทยา)จำได้ว่า พ่อเป็นคนพาไปมอบตัวนักเรียน ตอนนั้นครูก็จะเรียกชื่อนักเรียนแล้วผู้ปกครองก็จะขานรับแต่พ่อให้หลินเป็นคนขานรับเอง หลินรู้สึกตื่นเต้นมากเพราะทุกคนหันมามองที่หลินและพ่อแล้วยิ้ม ตอนนั้นหลินรู้สึกเขินและอายมากมันหลินเป็นคนที่ไม่กล้าแสดงออกและไม่มั่นใจในตัวเองตั้งแต่ตอนนั้น
เมื่อเข้าศึกษาชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 หลินเป็นเด็กที่เรียนไม่เก่งแต่อาศัยการตั้งใจเรียนในห้องเรียนมากกว่าทำให้หลินสอบได้ที่ 2 และที่ 1ตามลำดับ หลินเป็นเด็กที่เชื่อฟังครูอาจารย์ ครูจึงจำหลินได้มากกว่านักเรียนคนอื่นและอีกทั้งแม่เป็นแม่ค้าและรู้จักกับครูของหลินจึงมักจะได้คำชมของครูผ่านมาทางแม่อยู่บ่อยๆ เมื่อเลื่อนชั้นขึ้นระดับประถมศึกษาปีที่2 หลินก็ได้อยู่ห้องเด็กที่เรียนดีหรือในภาษาพูด คือ ห้องคิงส์ ตั้งแต่ชั้นประถม 2 ถึง 4 และแล้ววันที่น่าตื่นเต้นของนักเรียนชั้นประถม 4 ที่กำลังจะเลื่อนชั้นขึ้นประถม 5ก็มาถึง เป็นประจำทุกปีที่โรงเรียนจะทำการจัดลำดับนักเรียนตามผลการเรียนเพื่อคัดเข้าห้องและมีนักเรียนที่มีความสามารถไล่เลี่ยกัน หรือที่เรียกง่ายๆว่า จัดลำดับห้อง คิงส์ ห้องโหล่นั่นเอง ในตอนนั้นนักเรียนทุกคนต่างพากันตื่นเต้นใหญ่ครูเรียงรายชื่อจากห้องสุดท้ายไปหาห้องคิงส์ หลินหวังว่ารายชื่ออยู่สักห้อง 2 หรือ 3 ก็พอใจแล้ว แต่ในที่สุก็ได้อยู่ในห้อง 1 หรือ ห้องคิงศ์ และนั่นเป็นสิ่งแรกที่ทำให้หลินภูมิใจในตัวเองและเริ่มมีความมั่นใจขึ้นมาบ้าง ชีวิตประถมปลายทำให้หลินเริ่มกล้าแสดงออกขึ้นมาบ้างเพราะเพื่อนๆที่ชอบชักชวนทำกิจกรรม หลินได้ทำกิจกรรมที่โรงเรียนนิดๆหน่อยๆ เช่น แข่งขันอ่านทำนองเสนาะและเล่นดนตรีไทยเป็นกิจกรรมในโรงเรียนเท่านั้น(ไม่ถึงขั้นแข่งขันเพราะเก่งไม่พอ)
ความภูมิใจอีกออย่างที่หลินได้ทำให้ตัวเองคือ หลินสอบเข้าโรงเรียนประจำจังหวัด
โรงเรียนสกลราชวิทยานุกูล (ที่ใครๆบอกว่ายากแต่ทำไมเราว่าไม่ยาก)ได้อย่างที่ไม่เคยมีใครคาดฝันเรื่องนี้ดังกระช่อนไปทั่วตลาดสดอำเภอพังโคนและหมู่บ้านที่หลินอยู่(โดยมีแม่เป็นหอกระจายข่าวนั่นเอง) และดูเหมือนว่าพ่อกับแม่จะภูมิใจมากแต่ไม่อยากให้ไปเรียนไกลๆ แต่เพราะพี่สาวเป็นแรงหนุนทำให้หลินได้เข้าเรียนที่โรงเรียนประจำจังหวัดที่มีชื่อเสียงแห่งนี้ (ภูมิใจในตัวเองมากมาย)หลินใช้ชีวิตเป็นเด็กหอตอนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ได้แค่หนึ่งปีแล้วก็ต้องกลับไปอยู่ที่บ้านเพราะทนคิดถึงบ้านไม่ไหวและไม่ค่อยเอาใจใส่การเรียน พอใกล้จะจบชั้นมัธยม 3 หลินได้ตัดสินใจเรียนต่อชั้น มัธยมฯ 4 สายศิลป์ภาษา ด้วยเหตุผลอย่างเดียวเท่านั้นคือ “ไม่ชอบคณิตศาสตร์” แล้วพ่อก็เปลี่ยนนามสกุลจาก “แซ่จง” มาเป็น “ จงจิรัฐิติสกุล” ชีวิตมัธยมปลายกับนามสกุลใหม่เอี่ยมของหลินเริ่มแรกไม่ค่อยดีนักเพราะค่อนข้างกลัวว่า ภาษาจะเป็นส่งที่ยากสำหรับตัวเอง จนกระทั่งเจอครูสอนภาษาที่ใจดีมากๆ หลายคนและอีกทั้งมีเพื่อนๆที่คอยให้คำปรึกษา (และลอกการบ้าน) ผลการเรียนชั้นมัธยมฯปลายของหลินอยู่ระดับใช้ได้และเริ่มมั่นใจว่าตัวเองก็สามารถเรียนภาษาได้ การเรียนชั้นมัธยมจึงเป็นชีวิตที่เริ่มมีสีสันขึ้นมาบ้าง อีกทั้งเป็นเพราะมีเพื่อนที่ดีเพราะเป็นช่วงวัยรุ่นชอบคิด ชอบลอง อีกทั้งเป็นวัยที่เพื่อนมีอิทธิพลมากในการตัดสินใจ (แต่ก็ไม่เคยออกนอกลู่นอกทาง)
สิ่งที่น่าตื่นเต้นของเด็กหญิง/ชาย หรือ พี่มอหกกำลังเริ่มต้นขึ้นเมื่อถึงเวลาที่จะต้องสอบ เอ็นฯ ด้วยความที่เริ่มชอบในการเรียนภาษาและเริ่มรู้สึกอยากจะลาขาดจากการคำนวณไปตลอดการหลินจึงเอ็นฯ เข้าสาขาที่เป็นภาษาทั้งหมด สิ่งที่ทำให้พ่อแม่พี่น้องและตังหลินเองต้องตะลึงก็เกิดขึ้นอีกครั้งคือ หลินสามารถสอบเอ็นฯ รอบโควตา ติดถึง 2 มหาวิทยาลัยด้วยกัน หลินจึงตัดสินใจเลือกเรียนที่ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม สาขาภาษาอังกฤษ ชีวิตเด็กสาวที่กำลังจะเป็นเฟรชชี่กำลังเริ่มขึ้นแต่ฟ้าช่างลำเอียงกับเด็กตาดำๆผู้มีความหวังเหลือเกิน เพราะพ่อและแม่ของหลินมีอาชีพค้าขายและช่วงนั้นก็โดนพิษทางเศรษฐกิจเล่นงานจนไม่มีเงินที่จะเข้ามารายงานตัว หลินรู้สึกว่าช่างไม่มีความยุติธรรมบนโลกนี้จริงๆช่วงเวลาที่รอเวลาที่จะรายงานตัวที่มหาวิทยาลัยนั้นหลินมีความคิดอยู่อย่างเดียวคือขอให้ได้เรียน เรื่องนี้ทำให้หลินนอนกลุ้มและนอนร้องไห้เกือบทุกวันเพียงแค่คิดว่าถ้าไม่ได้เรียนต่อแล้วชีวิตและอนาคตจะเป็นอย่างไรต่อไป แต่แล้วก่อนหน้าวันรายงานตัวไม่กี่วันหลินก็ได้รับข่าวดีจากพ่อและแม่ว่าพ่อจะพาไปรายงานตัวเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัย นั่นคือสิ่งที่ได้บอกไปก่อนหน้าแล้วว่าพ่อกับแม่ไม่เคยทำให้ลูกรู้สึกว่าตนเอง ด้อยกว่าคนอื่นในทุกๆเรื่อง อีกทั้งหลินได้อาจารย์แนะแนวของโรงเรียนทั้ง2 ท่านที่ช่วยเรื่องการทำเรื่องขอผ่อนผันค่าเล่าเรียน และหลินก็ได้เข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยได้เป็นเฟรชชี่อย่างที่หวังไว้
ปีแรกของการเป็นเด็กมหาลัยนั้นไม่ง่ายเลย เพราะเป็นการเปลี่ยนแปลงชีวิตครั้งยิ่งใหญ่ ต้องปรับตัวกับการเรียนแบบใหม่และต้องใช้ชีวิตกับเพื่อนต้องอยู่กับเพื่อนมากกว่าอยู่ที่บ้านกับพ่อแม่ พี่น้อง การเรียนก็ไม่เหมือนตอนมัธยมฯปลาย เกรดเฉลี่ยเทอมแรกก็เลยไม่เป็นที่น่าพอใจนักแต่พอเริ่มปรับตัวทุกอย่างก็เริ่มเข้าที่เข้าทาง ตอนนี้หลินเป็นนิสิตชั้นปีที่ 4 สาขาภาษาอังกฤษ ชีวิตมหาวิทยาลัย 4 ปีที่ผ่านมามีสิ่งต่างๆเกิดขึ้นมากมายทั้งดีใจและเสียใจ สิ่งที่ทำให้หลินต้องเสียใจและเป็นการสูญเสียสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตของหลินถึง 3 ครั้งด้วยกันคือ ในชั้นปี่ที่ 2 หลินต้องสูญเสียน้องชายไปตลอดกาลด้วยอุบัติเหตุ ชั้นปีที่ 3 ยายได้จากโลกนี้ไปและจากหลินไปด้วยโรคชรา
สิ่งที่เลวร้ายที่สุดที่ทำให้ความร่าเริงและความสุขในชีวิตหายไปเกือบทั้งชีวิตนั่นคือ “แม่” หลินมีโอกาสได้เห็นหน้าแม่ครั้งสุดท้ายแต่แม่ไม่ได้เห็นหน้าลูกสาวที่กำลังจะได้เป็นคุณครูในเวลาอีกไม่ถึง 2 ปี แม่จากไปเพราะเส้นเลือดในสมองแตกและไม่ได้สติจนกระทั่งหมดลมหายใจ หลินคิดว่าจะหยุดเรียนเพราะอยากจะช่วยพ่อและพี่ทำมาหากิน เพราะขาดแม่ไปทางบ้านก็คงจะลำบากที่จะหาเงินในการใช้จ่ายต่างๆและค่าใช้จ่ายของการเรียนมหาวิทยาลัยก็หนักมากอีกทั้งน้องชายคนเล็กก็ยังต้องเรียนด้วยเหมือนกัน แต่ทั้งพ่อและพี่สาวก็บอกว่าถึงแม่ไม่อยู่แต่ก็จะส่งให้หลินเรียนจบมหาวิทยาลัยให้ได้ เพื่อทำสิ่งที่แม่อยากเห็นให้สำเร็จ และจนถึงวันนี้ความหวังของหลิน ของพ่อ ของพี่สาว และของแม่กำลังจะมาถึง เหลืออีก 1 ปีกว่าๆหลินก็จะจบการศึกษาระดับปริญญาตรี การเป็นนิสิตกำลังจะสิ้นสุด แต่การเริ่มต้นชีวิตการทำงานกำลังจะเริ่มต้นขึ้น หลินได้แต่หวังว่าชีวิตการทำงานข้างหน้า ขอให้ราบรื่นและได้เป็นครูอย่างที่ใจต้องการและเป็นหน้าเป็นตาให้กับพ่อแม่พี่น้องและตระกูล สาธุ ..............................................................
นางสาวกุหลาบ ปฏิรูปา (กุ๊)
48010510905 สาขาภาษาอังกฤษ คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
“จะเอาอะไรมากมายกับชีวิตนี้ มีเกิดต้องมีตาย มีหนึ่งต้องมีศูนย์ ไม่มีหรอกมีหนึ่งแล้วกลายเป็นสอง มันก็ยังงี้แหละแม้แต่ตัวเลขมันยังไม่แน่นอน แล้วเราจะเอาอะไรกับชีวิต”
ข้าพเจ้านางสาวกุหลาบ ปฏิรูปา เกิดเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2529 ที่โรงพยาบาลพล จังหวัดขอนแก่น ภูมิลำเนา เป็นคนหนองสองห้อง จังหวัดขอนแก่น ข้าพเจ้ามีพี่น้อง 2 คน ข้าพเจ้าเป็นคนโต และน้องชายอีกคน ข้าพเจ้าเรียนประถมที่โรงเรียนบ้านสำราญ มัธยมเรียนที่โรงเรียนหนองสองห้องวิทยา ปริญญาตรีเรียนมหาวิทยาลัยมหาสารคาม เป็นลูกชาวนา เกิดในครอบครัวที่มีฐานะไม่จน ไม่ปานกลาง ไม่รวย มีพอกิน ตั้งแต่เด็กข้าพเจ้าคิดเสมอว่าตัวเองจนลำบากไม่มีความสุขไม่เหมือนเพื่อนๆ แต่ตอนนี้คิดได้แล้วว่าตัวเองโชคดีกว่าคนอื่นหลายๆคนที่เขายังแย่กว่าเราตั้งเยอะ ถึงตอนนี้ข้าพเจ้าคิดว่าข้าพเจ้าโชคดีแค่ไหน ที่เกิดมาครบ32 และก็มีพ่อมีแม่ ปู่ย่า ตายาย มีญาติพี่น้องที่ใจดี
ตั้งแต่จำความได้ประมาณสามขวบข้าพเจ้าอยู่กับตายายและน้ามาจนถึง ม.3 เพราะพ่อกับแม่ต้องไปทำงานที่กรุงเทพฯ แม้จนวันหนึ่งตอนข้าพเจ้าเรียนอยู่ชั้นม.1 แม่จะมารับข้าพเจ้าไปอยู่ด้วย วันนั้นข้าพเจ้าร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวรทั้งวัน ข้าพเจ้าไม่อยากไป อยากอยู่กับตากับยาย แม่ยังไม่ล่ะความพยายามแม่กลับมารับข้าพเจ้าตอนเรียนจบม.3 พร้อมกับเหตุผลต่างๆนานามาอ้าง และแล้วข้าพเจ้าก็ได้ไป ทั้งที่ข้าพเจ้าเคยบอกกับแม่ว่าข้าพเจ้าจะไม่หนีไปไหนข้าพเจ้าจะอยู่กับตากับยายไปจนวันตากับยายตายเสียจาก และวันที่แม่ข้าพเจ้ามารับนั่นเองข้าพเจ้าได้เป็นคนเสียสัตย์ไปเป็นครั้งแรก ข้าพเจ้าเสียใจมากที่ข้าพเจ้าได้พูดไปแล้วข้าพเจ้ากลับทำไม่ได้ เพราะข้าพเจ้าเป็นคนรักษาสัตย์มากว่าสิ่งใด แต่ในที่สุดก็ต้องไป เหตุผลไรล่ะที่ข้าพเจ้าต้องไปล่ะ แม่บอกว่าถ้าข้าพเจ้าอยู่กับยายยังไงข้าพเจ้าก็ไม่ได้เรียนต่อเพราะยายตาก็แก่แล้ว อีกถ้าไปอยู่กับแม่พ่อกับแม่ก็จะส่งให้เรียนต่อ เพราะเหตุผลที่ข้าพเจ้าต้องไปเพราะข้าพเจ้าต้องการเรียนต่อ “เพราะคำว่าเรียนคำเดียวข้าพเจ้าต้องเสียสัตย์”
ชีวิตข้าพเจ้าตั้งแต่วัยเด็กจนโตมีทั้งสุขและทุกข์ สบายและลำบาก ข้าพเจ้าผ่านมันมาได้ ชีวิตตอนเด็กข้าพเจ้าก็จะเล่นกับผู้ชายเสียส่วนมาก ก็จะมีพี่ชาย น้องชาย หลานชาย ที่เป็นลูกพี่ลูกน้องกันอายุก็จะไล่เลี่ยกัน ของเล่นนี่ก็จะเป็นฟุตบอล ตระกร้อ ยิงลูกแก้ว ซ่อนหา ผีเหรียญบาท กระโดดน้ำแข่งขันกันว่าใครจะได้ไกล ขี่จักรยานบนคันนาเล็กๆ แข่งขันใครจะถึงเส้นชัยก่อน หรือจะไปเล่นวิ่งแข่งกันขึ้นบนกองฟาง แข่งกระโดดขึ้นหลังควาย ซึ่งตอนวัยเด็กข้าพเจ้าเล่นสนุกมาก ใช้ชีวิตโลดโผน สุดยอด ชีวิตในวัยเรียนตอนอยู่ประถมก็ไม่มีไรมากเรียนบ้างเล่นบ้าง ไม่ได้เป็นเด็กขยันเรียนเท่าไหร่การบ้านที่ครูสั่งทำได้ก็ทำเองทำไม่ได้ก็ต้องรีบมาโรงเรียนแต่เช้ามาลอกเพื่อนๆ ที่ไหนได้เพื่อนทั้งห้องมันก็ได้เหมือนเราได้คนล่ะสองข้อสามข้อทั้งที่การบ้านมีสิบข้อ รีบปั่นรีบลอกสนุกมาก ใครเสร็จก่อนก็ดูต้นทางถ้าอาจารย์มาก็จะรีบเก็บเดี๋ยวโดนแปรงลบกระดานเคาะนิ้ว ตอนนั้นครูเขามีท้องอารมณ์ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ท้าทาย สนุก บางวิชาก็จะโดนทำโทษก็จะเป็นบิดท้อง (บิดโพ่) แต่ล่ะถ้าไม่แน่ใจกับการบ้านว่าจะถูกหรือไม่ถูกต้องใส่เสื้อหนาๆไป และก็เตรียมยาหม่องไป หรือบางวิชาก็จะเป็นยางดีดหู ประมาณนี้ค่ะ ไม่รู้เหมือนกันนะว่าอาจารย์แต่ล่ะคนเขาคิดอะไรอยู่ขณะที่เขาทำโทษเด็ก
พอมาถึงมัธยมตอนต้นชีวิตในวัยเรียนตอนนี้ยิ่งท้าทาย สนุกกว่าตั้งเยอะ เรียนๆโดด แต่ก็ไม่ได้โดดเป็นชีวิตประจำวัน โดดเพราะเพื่อนมันยกห้องโดดเรียน ใส่กลอนกุญแจห้องไม่ให้ครูเข้าสอนได้ ข้าพเจ้าได้อยู่ห้องรองห้องคิงคือห้องที่สี่ เป็นห้องที่รวมเด็กดื้อสุด อยู่ด้วยกัน อาจารย์หลายคนไม่ชอบห้องข้าพเจ้าแม้แต่อาจารย์ที่ปรึกษายังไม่ชอบและไม่อยากพูดกับพวกเราเลย แต่ถามว่าพวกเราเก่งมั้ยในด้านการเรียนตอบได้ก็เท่าๆห้องคิงคองแต่แค่ดื้อ เสียงดังไปหน่อยจึงทำให้อาจารย์หลายครูไม่ชอบพวกเรา และอีกเหตุการณ์อีกหนึ่งได้ขึ้นห้องปกครอง เพราะช่วงนั้นเป็นช่วงจะออกพรรษา เพื่อนก็นำประทัดมาจุดที่ห้องมีเกือบทุกชนิด ตั้งแต่เด็กๆไปถึงโตๆ เช่น กระเทียม ทหาร ดอกไม้ไฟ กุหลาบ สามเหลี่ยม มังกรเยอะแยะ วันนั้นครูไม่มาสอนก็พากันปิดประตูจุดประทัดเล่นกันควันกลลิ่นก็เต็มห้อง และเพื่อนอีกคนมันเอาสามเหลี่ยมมาจุดเป็นประทัดที่แรงเสียงดังมาก พากันเล่นอยู่ในห้องตัวเองชั้นสองตรงข้างล่างห้องเราเป็นห้องรองผู้ช่วยผอ. (คนนี้หน้าดุมาก) นั่นแหละพี่น้องเอ้ย เพื่อนมันก็ไม่คิดจะทำจริงๆหรอก แต่ตอนนั้นมันจุดติดไฟไปแล้ว แล้วจะทิ้งไปไหนก็ไม่ได้คิดเพราะตอนนั้นมือมันนยังจับ มันคิดได้โยนทิ้งลงไปข้างห้องท่านรองผอ.ดังสนั่นหวั่นไหว เป็นไงล่ะ ต่างคนต่างเก็บกลับที่นั่งให้เป็นห้องเรียนปกติแต่ควันยังเต็ม รีบเปิดหน้าต่าง แต่ประตูไม่เปิด เพราะรู้แล้วว่าจะต้องเกิดอะไรขึ้นภายภาคหน้าและแล้วก็เป็นจริง แต่เป็นอาจารย์สอนพละทำหน้าโหดขึ้นมาถามว่าใครเป็นคนทำ ทั้งหมดเงียบ ถามเท่าไหร่ก็ไม่ยอมตอบ แต่อาจารย์ก็กลับไป ไม่กี่นาทีรองผอ.มาเองเลยทีนี้ ขึ้นมาก็ยืนมองหน้าและก็บอกว่าไม่มีใครตอบว่าใครทำก็จะเอาไปขึ้นห้องปกครองยกห้องหลังจากเลิกพักเที่ยง โฮตอนนั้นก็เงียบผิดกันทั้งหมด ก็ยอมรับกันไปทำทัณฑ์บนเฉยๆ สนุกมาก พอตอนม.ปลายไม่มีไรมากโตแล้ว แต่ก็จะมีเหตุการณ์หนึ่งที่พากันโดดเรียนไปช่วยเพื่อนสีข้าวกินต้มไก่กัน จนครูได้ไปตามตัวที่ทุ่งนาเองเลยแล้วก็สอบสวนที่ห้องปกครอง ก็ทำทัณฑ์บนตามเคย ส่วนการเรียนความคิดเป็นผู้ใหญ่แล้วพากันอ่านหนังสือเตรียมสอบเอนทรานต์เข้า มข.เป็นสิ่งที่ทุกคนคาดหวังมาก เรียนคณะไรก็ได้ขอให้เป็น มข. เพราะถ้าเข้าได้มันเท่ห์มาก เป็นซุปเปอร์สตาร์ในโรงเรียนและหมู่บ้านเลยล่ะ
ส่วนชีวิตในมหา’ลัย ก็สนุก เป็นการใช้ชีวิตที่ท้าทาย เพิ่มมากขึ้น มีประสบการณ์เยอะแยะ เพราะเป็นคนชอบเล่นกิจกรรมกิจกรรมในมหาวิทยาลัยก็ทำมาเกือบจะทุกอย่าง รู้สึกว่าตัวเองมีภาระมากขึ้น ต้องรับผิดชอบ อย่างเช่น ว่างจากเรียนต้องไปซ้อมกีฬา ปิดเทอมต้องออกค่าย แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาเลย สนุก ชีวิตตอนปีหนึ่งปีสองไม่ท้าทายมากเท่าไหร่ แต่ปีสามปีสี่สุดยอดท้าทายกว่าตอนข้าพเจ้าปั่นจักรยานแข่งบนคันนา แต่ข้าพเจ้าต้องขอย้อนกลับไปขอขอบพระคุณตายายน้า พ่อแม่ ที่สั่งสอน เลี้ยงดูให้ข้าพเจ้ามีความอดทน เพราะข้าพเจ้าได้มาเรียนในทุกวิชาของอาจารย์ธูปทอง สุดยอด สองอาทิตย์แรกไม่ท้อล่ะ แต่สักพักเริ่มท้อมาก มาก และเคยคิดว่าจะไหวมั้ยเนี่ย จะย้ายเอกดีมั้ย จะทำยังไงดี แล้วก็มานั่งคิดอีกว่า ทำไมเราจะทำไม่ได้ คนอื่นยังทำได้เลย แล้วเราเป็นใคร เราก็คนเหมือนกัน เราต้องสู้ คงไม่อยากเย็นแสนเข็ญหรอกที่จะเรียนกับอาจารย์ธูป ข้าพเจ้าจึงตัดสินใจสู้ต่อถึงปีสี่และปีห้าและจบด้วย
เหตุผลอีกอย่างที่ไม่ย้ายเอกเพราะรักในความเป็นเอกภาษาอังกฤษ ทั้งอาจารย์ รุ่นพี่ เพื่อน รุ่นน้อง พวกเราเป็นตัวของตัวเองในเอกภาษาอังกฤษ
ดีใจที่ข้าพเจ้าได้พบกับเพื่อนๆ พี่ น้อง ในเอกภาษาอังกฤษและอาจารย์ธูปที่ปรึกษาเป็นผู้สร้างอุปสรรคให้ข้าพเจ้าได้พยายามเป็นคนพยายามสู้ ไม่ย่อท้อ ต่อปัญหา อุปสรรคเล็กๆ ที่เกิดขึ้น กล้าคิด กล้าทำ ในสิ่งที่ถูกต้อง ทำให้คนเป็นคนยิ่งขึ้น สอนให้ทำเป็นทุกอย่างทั้งๆที่อาจารย์ธูปทำไม่เป็น (เช่น ทำ CAI ทำด้วย authurwear บ้างทำด้วยflash) อาจารย์อย่าบอกอาจารย์ธูปนะคะ
อาจารย์สุดยอด อาจารย์จะดุในสไตล์ของอาจารย์ (บางครั้งก็ดุแบบใจดี) ตรวจงานอย่างละเอียด งานคืองาน เวลาคือเวลา วินัยคือวินัย จบออกไปไปฝึกทหารต่อยังได้เลยค่ะ แล้วใครล่ะจะไม่รักอาจารย์ อาจารย์ธูปทองเป็นคนที่แปลก จะเป็นปัจจุบันหรืออนาคตข้าพเจ้าก็ไม่หวั่นเมื่อเจอปัญหาก็ถือว่าเป็นเรื่องเล็ก นึกถึงหน้าอาจารย์ธูปเข้าไว้เดี๋ยวปัญหาก็ผ่านไปได้เหมือนเดิม
การเขียนเรื่องราวแบบนี้ก็น่าเขียนเก็บไว้อ่านนะคะ แต่บางครั้งบางเหตุการณ์ก็ไม่น่าจดจำ ไม่น่าเขียนขึ้นมา
นางสาวรุ่งนภา บัวทอง
48010510988 EN
ประวัตินางฟ้าตกสวรรค์
ตั้งแต่ฉันลืมตาออกมาดูโลกฉันก็พบว่าฉันอยู่ในหมู่บ้านแห่งหนึ่งซึ่งเขาเรียกกันว่า บ้านนานวล คนแรกที่ฉันเห็นไม่ใช่นางพยาบาลใส่ชุดสีขาวพร้อมรอยยิ้มที่อบอุ่น แต่เป็นยายแก่ปากเต็มไปด้วยสีแดงเหมือนเลือด โอ้ไม่นะเขาคงกินฉันนะ แต่ก็เหมือนมีเสียงสวรรค์มาช่วยฉันไว้ได้ นั่นก็คือ เสียงร้องของฉันนั้นเองฉันไม่รู้ว่าได้เปล่งเสียงอันไพเราะออกไปเมื่อไหร่แต่ก็น่าจะดังน่าดูเพราะว่าพ่อของฉันได้ยินและเขาก็มารับฉันจากยายแม่มดปากแดง โอ๊ะโอลืมบอกไปว่า ฉันเกิดวันขึ้น 11ค่ำ เดือน 4 ปีฉลูตามหลักโหราศาสตร์ไทยและในสูติบัตร แต่ถ้าตามปฏิทินล่ะก็
วันพฤหัสบดี ที่ 20 เดือน มีนาคม พ.ศ.2529 ปีขาล และชื่อที่ทุกคนพร้อมใจกันตั้งให้ฉันก็คือ รุ่งนภา บัวทอง เรียกสั้นๆว่าแป๋ง ซึ่งเป็นชื่อที่กิ๊บเก๋ที่สุดแล้วในสายตาของครอบครัวของฉัน ฉันชอบการไปโรงเรียนที่สุดเพราะได้ตังกินขนมละมีชิงช้าให้เล่นชีวิตในวัยเด็กของฉันอย่างกับสูตรสำเร็จของนิยายน้ำเน่านางเอกถูกกลั่นแกล้งเพราะน่าหมั่นไส้ เฮ้ยไม่ใช่ เพราะโดดเด่นกว่าใครกว่าจะจบก็ได้เลือด เพราะมัวแต่เดินกินไอศกรีมเลยลืมดูบันไดตกลงมาหัวแตกได้เลือดเลย โรงเรียนประถมที่ฉันเรียนนี้ก็คือ โรงเรียนบ้านนานวล อำเภอท่าตูม จังหวัดสุรินทร์ ฉันอยากเรียนให้สูงๆก็เลยสมัคเรียนต่อที่โรงเรียนระดับอำเภอ ซึ่งมีชื่อว่าโรงเรียนจอมพระประชาสรรค์ อำเภอจอมพระจังหวัดสุรินทร์ ฉันมีเพื่อนมากมายชีวิตเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงมากขึ้นเพราะความโดดเด่นของฉันฉันมักจะได้ทำอะไรแปลกแปลงเสมอ เช่น ฉันได้เป็นนางเอกของการแสดงละครของห้องซึ่งมีชีวิตที่น่าสงสารพ่อตายต้องขอทานเป็นอาชีพ ไม่ยังไม่พอแค่นี้นะ เพื่อนทำให้บทฉันเด่นขึ้นไปอีกโดยการให้ฉันแสดงเป็นแม่มด เรื่อง Three Billy Goat มากมายสารพัดกิจกรรมที่ทางโรงเรียนสรรหามาให้นักเรียนเข้าร่วมกิจกรรม ฉันชอบกินก๋วยเตี๋ยวเส้นเล็กน้ำใส ใครๆเขาก็ว่ากันว่าผิวฉันกำลังเป็นที่ต้องการของตลาดต่างชาติซึ่งเป็นสิ่งที่ฉันเกรงกลัวมันมาตลอดเมื่อมีโอกาสที่จะได้พิสูจน์ว่าฉันไม่กลัวพวกต่างชาติ และเราสามารถคุยกันได้รวมทั้งฉันก็อยากเป็นครูมาโดยตลอดทำให้ฉันเลือกเข้ามหาวิทยาลัยมหาสารคม คณะศึกษาศาสตร์ สาขาภาษาอังกฤษ ฉันดีใจที่ได้เรียนที่นี่เพราะมันทำให้ฉันได้รู้ว่าฉันสามารถทำอะไรหลายๆอย่างได้พร้อมกัน และที่นี่ทำให้ฉันเป็นคนตรงต่อเวลา ฉันเรียนที่นี่ได้สี่ปีแล้ว ซึ่งฉันคิดว่าได้เรียนรู้อะไรมามากพอสมควร และที่สำคัญ ฉันมีเพื่อนมีครอบครัวมีคนที่ฉันรักและคนที่รักฉันคอยเป็นกำลังใจให้ฉันสู้ต่อไป
สู้สู้ สำหรับหัวใจที่ไม่ยอมแพ้
นางสาวบังอร สิมพันธ์ 48010511551 (อร)
สาขาการศึกษาปฐมวัย คณะศึกษาศาสตร์ ระบบปกติ
มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
อัตชีวประวัติ
นับย้อนเวลาไป 22 ปี ณ บ้านเลขที่ 16 ม. 8 บ. โพนเมือง ต. โนนกาเล็น อ.สำโรง
จ. อุบลราชธานี 34360 เมื่อประมาณเวลา 11.00 น. ของวันเสาร์ที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2529 ได้มีเด็กหญิงตัวน้อย ๆ คนหนึ่งลืมตาดูโลกจากความเจ็บปวดและความดีใจของแม่ แล้วเด็กหญิงตัวน้อย ๆ คนนั้น ก็ถูกตั้งชื่อว่า “บังอร สิมพันธ์” แล้วพ่อกับแม่ก็ตั้งชื่อเล่นให้เขาว่า “อร” ซึ่ง “อร”
ก็คือชื่อของฉันนั้นเอง
ฉันเกิดมาเป็นลูกคนแรกของพ่อกับแม่ และฉันก็อยู่กันเป็นครอบครัวใหญ่ คือ มี ตา ยาย พ่อ แม่ และฉัน แน่นอนว่าฉันเป็นหลานคนแรกของตากับยาย ฉันย่อมได้รับการดูแลเอาใจใส่จากทุกคนในครอบครัวเป็นอย่างดี ฉันกินนมแม่มานาน 1 ปี และตลอดเวลาที่ฉันกินนมแม่อยู่นั้น ฉันเป็นคนขี้โรคมาก ฉันเป็นไข้ แล้วก็ชักบ่อยมาก จนแม่ต้องพาฉันไปหาหมอบ่อย ๆ แม่เล่าให้ฉันฟังว่า มีคลินิกหมอที่ไหนที่ว่ารักษาคนไข้ดี ๆในเมืองอุบลฯ แม่พาฉันไปรักษามาหมด จนในที่สุดแม่เลิกให้ฉันกินนมแม่ ฉันก็เริ่มหายจากอาการไข้แล้วก็ชัก แม่เลิกให้ฉันกินนมโดยตอนแรกแม่เอาบอระเพ็ดมาทานมแล้วให้ฉันกิน เพราะแม่คิดว่าฉันจะกินเข้าไปแล้วขมแล้วก็คงจะเลิกกินนมแม่ แต่ที่ไหนได้ฉันกลับกินนมแม่ได้อีก แม่ก็เลยเปลี่ยนวิธีใหม่โดยการเอายาหม่องมาทานมให้ฉันกิน แน่นอนตอนที่ฉันกินนมทายาหม่องนั้น ฉันกินนมไม่ได้เลย แล้วฉันก็เลิกกินนมแม่ไปเลย และฉันก็รู้สึกไม่ชอบและไม่ใช้ยาหม่อง ยาดมหรือว่าพิมเสนจนถึงทุกวันนี้เลย ฉันเกลียดยาพวกนี้มากๆ
พอฉันเลิกกินนมแม่ในตอนอายุ 1 ปี ฉันก็ไม่นอนกับแม่ เพราะว่าฉันติดตากับยายมากกว่า ฉันจึงไปนอนกับตา ยาย ฉันนอนเปลให้ตาไกวจนฉันอายุได้ประมาร 4 ปี แล้วฉันก็มีน้อง ซึ่งเขาเป็นน้องชายของฉัน ชื่อ “ทินกร สิมพันธ์”หรือ กร นั่นเอง ฉันเริ่มไม่มีคนมาเอาใจเหมือนอย่างเดิมแล้ว เพราะว่า ฉันมีน้องที่ต้องมีคนดูแล เพราะว่าน้องยังไปไหนไม่ได้ ทำอะไรไม่เป็น พอถึงตอนนี้แล้ว ฉันก็กลับไปนอนกับแม่อีกครั้ง ฉันนอนกับพ่อ แม่มาหลายปี ฉันจึงแยกห้องนอนคนเดียวมาตลอด
เมื่อฉันอายุ 5 ปี ฉันต้องได้เข้าโรงเรียน ฉันดีใจมาก วันแรกที่ฉันเข้าไปโรงเรียน ฉันจำภาพนั้นได้ตลอด เพื่อน ๆ ทุกคนที่มาโรงเรียนจะมีแม่หรือพ่อมาส่งกันทุกคน แต่ฉันไม่มีเพราะว่าฉันไปกับป้าที่เป็นลูกพี่ลูกน้องกับแม่ฉัน เพราะป้าเขาก็ไปส่งลูกเขาเข้าโรงเรียนเหมือนกัน แล้วแม่ของฉันก็เลยฝากฉันไปกับป้าเพราะว่าพ่อกับแม่ไม่มีเวลา แม่กับพ่อต้องไปทำงาน แต่ฉันก็ไม่ได้คิดอะไรมาก ฉันไปโรงเรียน ฉันไม่เคยร้องไห้กลับบ้านก่อนเวลาเลย ฉับกลับมีความสุขที่ได้ไปโรงเรียนด้วยซ้ำ และที่โรงเรียนก่อนก่อนเวลาที่จะกลับบ้านคุณครูก็จะเอานมให้ดื่ม ฉันไม่ชอบดื่มนม พอครูตักนมใส่แก้วให้ฉัน ฉันก็แอบเอานมไปเททิ้งเป็นประจำ และพอมาถึงตอนนี้(ปัจจุบัน) ฉันตัวเตี้ย ทุกคนชอบว่าฉันเตี้ย คงเป็นเพราะว่าฉันไม่ดื่มนมในตอนเด็กแน่ ๆ เลย (กรรมตามทันแอบเทนมทิ้ง ผลเลยออกมาตัวเตี้ยเลย) ฉันเป็นคนตัวเล็กและผอมมาก ๆ ฉันตัวผอมและ
น้ำหนักน้อยมาตลอด ฉันเข้าเรียนชั้นเด็กเล็ก-ป.6 ที่โรงเรียนบ้านโพนเมือง ต.โนนกาเล็น
อ.สำโรง จ.อุบลราชธานี
ต่อมาฉันก็เข้าเรียนชั้นมัธยม 1-3 ที่โรงเรียนบ้านโพนเมืองเหมือนเดิมเพราะว่าเป็นโรงเรียนขยายโอกาส ฉันเรียนและก็ทำกิจกรรมไปด้วย ฉันเป็นนักกีฬาของโรงเรียนมาตลอด ฉันเล่นกีฬา ทั้ง วิ่ง วอลเล่ย์บอล ฟุตบอลและตะกร้อ และตอนที่ฉันอยู่ม.3 ฉันก็ได้เป็นดัมเมเยอร์ของโรงเรียนด้วย และก็เป็นรองประธานโรงเรียนด้วย
ต่อมาฉันก็ ได้ไปศึกษาต่อในระดับม.4-6 ที่โรงเรียนลือคำหาญวารินชำราบ ต.แสนสุข
อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี 34190 ในสัปดาห์แรกของการไปโรงเรียน ฉันยังปรับตัวไม่ได้ ฉันไม่พูดกับใครเลยถ้าไม่มีใครมาถามฉัน ฉันไม่ไปกินข้าวตอนกลางวันเลยทั้งสัปดาห์ และฉันก็รู้สึกอึดอัดมากจนในที่สุดฉันก็ทนไม่ไหว จนฉันต้องร้องไห้แล้วบอกกับพ่อแม่ว่าฉันไม่ไหวแล้และฉันก็ไม่ไปโรงเรียนต่อแล้ว ฉันหยุดเรียนไป 1 สัปดาห์เต็ม ๆ พ่อกับแม่ก็พูดกล่อมให้ฉันกลับไปเรียนแต่ตอนนั้นฉันบอกกับพ่อแม่ว่ายังไงฉันก็ไม่ไปเรียนแล้ว และเพื่อนกับครูที่โรงเรียนเดิมของฉันก็มาช่วยพูดกล่อมให้ฉันกลับไปเรียน ครูพูดกับฉันว่าอย่างน้อยก็น่าจะจบม.6 นะ ฉันก็เลยคิดใหม่แล้วก็กลับไปเรียนใหม่ และฉันก็เรียนจนจบม.6 แล้วก็ได้สอบโควตาเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยต่อด้วย ตอนนั้นฉันสอบได้ที่ม.สูรนารีฯและก็มมส.แล้วฉันก็เลือกที่จะมาเรียนที่มมส.
ย่างก้าวแรกของการเข้าสู่มหาวิทยาลัย เริ่มจากวันที่ฉันมาสอบสัมภาษณ์ที่มมส. ตั้งแต่ฉันลงรถมาเห็น แล้วฉันก็มีความรู้สึกว่าฉันอยากมาเรียนที่นี่ ฉันต้องมาเรียนที่นี่ให้ได้ แล้วก็ถึงวันที่ประกาศผลการสอบสัมภาษณ์ วันนี้ที่โรงเรียนของฉันจัดงานกีฬาสี ฉันเป็นนักกีฬากรีฑาของกลุ่ม
สีแสด ฉันไม่มีสมาธิในการวิ่งจนเพื่อนมาบอกว่าฉันสอบผ่าน แล้ววันนั้นฉันก็วิ่งรอบชิงชนะเลิศในประเภทวิ่ง 800 เมตรได้อันดับ 1ด้วย ฉันรีบกลับบ้านไปบอกแม่ว่าฉันสอบผ่านการสัมภาษณ์แล้ว แต่แม่ไม่ดีใจกับฉันเลยแม่กลับบอกว่าให้ฉันเรียนที่ราชภัฎดีกว่า ฉันรู้สึกเสียใจมาก ฉันไม่ยอมฟังคำแม่ ฉันได้แต่ร้องไห้ จนในที่สุดแม่ต้องยอมให้ฉันมาเรียนที่นี่ ที่มมส.แห่งนี้
แล้วการเป็นนิสิตใหม่ก็ได้เริมต้นขึ้น ฉันมีสิตเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยมหาสารคาม โดยมี
รหัสนิสิต 48010511551 แล้วฉันก็เข้าอยู่ในหอของมหาวิทยาลัย ฉันได้อยู่หอสุพรรณิการ์ ห้อง 108 พอฉันได้มาอยู่แล้วฉันก็รู้สึกเหงาและคิดถึงบ้านมาก แต่ฉันก็บอกตัวเองว่า “ตัดสินใจมาแล้วเราต้องสู้ เราต้องทำให้ได้” ฉันอยู่หอในได้ 1 ปี แล้วฉันก็ได้ย้ายออกไปอยู่หอนอก ที่บ้านเลขที่ 264 ถนนศรีสวัสดิ์ดำเนิน ต.ตลาด อ.เมือง จ.มหาสารคาม 44000 จนถึงปัจจุบันนี้ แล้วที่นี่ที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้ก็ได้สอนให้ฉันได้เรียนรู้อะไรหลาย ๆ อย่างที่ฉันไม่เคยรู้ ทั้งความรู้ที่เป็นวิชาการและก็ที่เป็นวิชาชีวิตด้วย
นางสาวศิริรัตน์ ไชยมานันต์ รหัส 48010511049 EN
ค่ำคืนอันมืดมิดมีเพียงแสงเทียนกับตะเกียงส่องไสว กับเสียงเพลงเสียงกลองร้องรำไป นำพาใจของพ่อนั้นชวนเบิกบาน พ่อท่านนั้นเฝ้าจดจ่อรอเพียงฉัน นี่คงเป็นวันที่ท่านนั้นสุขี เพราะแม่นั้นได้กำเนิดลูกคนดี ลูกคนนี้นั้นมีนามว่า ศิริรัตน์ ไชยมานันต์ ชื่อเล่นนั้นมีเยอะมากตามเรียกขาน พ่อเรียกฉันว่า เปิ้ล ตลอดกาล ส่วนแม่นั้นเรียกว่า นาง มาแต่ใด ส่วนเพื่อนพ่อเรียกฉันว่า ตาหวาน ญาติๆฉันนั้นเรียกฉันว่าหูเติ่ง(หมายความว่าหูกางค่ะ) ฉันเกิดวันอังคารที่ 18 กันยายน พ.ศ.2527 ตอนนี้อายุ 24 ปีค่ะอยู่บ้านเลขที่ 109/5 บ้านสุขสำราญ ตำบลเหล่าต่างคำ อำเภอโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย 43120 ตอนที่ฉันเกิดนั้น หมู่บ้านฉันยังไม่มีไฟฟ้าใช้เลย ย่าของฉันเป็นหมอตำแยประจำหมู่บ้าน แม่ของฉันคลอดฉันอยู่ที่บ้านมีคุณย่าทำคลอดให้ ครอบครัวฉันมีสมาชิกทั้งหมด 5 คน ได้แก่ พ่อ ชื่อนายอภัย ไชยมานันต์(รับราชการครู) แม่ชื่อนางคำเหลือง ไชยมานันต์(อาชีพค้าขาย) พี่ชายฉันชื่อนายฌานินทร์ ไชยมานันต์ ชื่อเล่นว่า เอส ตอนนี้อยู่ปี 4เอกภาษาอังกฤษ เหมือนกันกับฉัน ฉันเป็นลูกคนกลาง และน้องคนสุดท้องชื่อว่าน้องเดียว เรียนอยู่ ม.ม.ส ปี 1
ฉันเกิดมาในครอบครัวที่มีฐานะปานกลาง ครอบครัวฉันลำบากกายแต่ไม่ค่อยลำบากใจ เพราะพ่อกับแม่ฉันนั้นต้องตื่นไปตลาดตั่งแต่ตีสามตีสี่ทุกวัน ในวัยเด็กฉันเป็นเด็กที่ซนมากชอบเล่นมอมแมม กิจวัตรประจำวันของฉันคือร้องไห้ ฉันเป็นคนที่ร้องไห้ไม่มีเหตุผล พอถึงเวลาเดิมฉันก็จะร้องไห้ซึ่งแต่ละวันฉันจะร้องไห้เป็นชั่วโมงสองชั่วโมงไม่ยอมหยุด แม่ของฉันบอกว่าแต่ละวันต้องให้ตากับยายมาปลอบถึงจะหยุดร้อง ไม่งั้นก็พาฉันไปอาบน้ำเป็นวิธีการที่ดีที่สุดเพราะฉันโดนน้ำฉันจะหยุดร้องทันที การร้องไห้องฉันทำให้คนอื่นรำคาญและรับเคราะห์ไปทั่วโดยเฉพาะพี่ชายของฉันซึ่งฉันจำได้ไม่เคยลืมเลย เรื่องก็มีอยู่ว่าวันนั้นประมาณตี่สามตีสี่ฉันนอนไม่หลับ ฉันก็เลยตื่นมาร้องไห้ ทำให้พ่อฉันโมโหมาก พ่อฉันถามว่าเป็นอะไรถึงร้องไห ฉันตอบท่านไม่ได้ในตอนนั้นนึกขึ้นได้ว่าถ้าฉันไม่ตอบก็คงจะโดนพ่อตีแน่นอน ฉันก็เลยตอบพ่อว่าพี่เอสตี ทั้งๆที่พี่ชายของฉันนอนหลับอยู่ดีกลับมาโดนพ่อตีแทนฉัน ฉันเห็นพี่ร้องไห้ฉันรู้สึกผิดและสงสารเขามาก หลังจากวันนั้นฉันก็หยุดร้องไห้เพราะความรู้สึกผิด
ฉันเข้าโรงเรียนตั้งแต่อายุ 4 ขวบที่โรงเรียนบ้านเชียงอาด ต.เหล่าต่างคำ อ.โพนพิสัย จ.หนองคาย เรียนที่นี่ตั่งแต่อนุบาลจนถึงมัธยมศึกษาปี่ที่3 ฉันไปโรงเรียนกับพ่อทุกวันเพราะพ่อสอนอยู่ที่นั่น ตอนเย็นเดินกลับบ้านกับเพื่อนซึ่งระยะทางจากบ้านถึงโรงเรียนประมาณ 1กิโลเมตร ตอนเรียนอยู่อนุบาลฉัน ซ้ำชั้นสองปีเพราะอายุไม่ถึง โรงเรียนนี้เป็นโรงเรียนในโครงการของพระเทพฯซึ่งอยู่ในโครงการด้วยรักและห่วงใยเป็นโรงเรียนขยายโอกาส แม้ว่าโรงเรียนนี้จะเป็นโรงเรียนเล็กๆกลับทำให้ฉันรู้สึกอบอุ่นเพราะมิตรภาพระหว่างเพื่อนนั้นแน่นแฟ้นยิ่งนักยากที่จะมีวันลืม
หลังจากทีฉันเรียนจบ ม.3 ฉันได้มีโอกาสไปเรียนที่โรงเรียนประจำจังหวัด คือโรงเรียนปทุมเทพวิทยาคาร ฉันเรียนสายศิลป์ทั่วไป ซึ่งฉันอยู่ห้องสิบเป็นห้องที่บ้วยที่สุด เพื่อนใหม่ของฉันส่วนมากจะเป็นเพื่อนที่มีปัญหามาจากครอบครัว เพื่อนบางคนติดยาบ้า บางคนค้ายาบ้า เพื่อนบางคนไปมีเรื่องกับคนเอง(ห้องนี้เป็นห้องนักเลงก็ว่าได้) รวมทั้งด้านต่างๆมีทั้งพ่อแม่แยกทางกัน พ่อไปมีเมียน้อยบ้าง พ่อแม่ไม่สนใจลูกบ้าง ตอนนั้นฉันรู้สึกว่าฉันอยู่ในแวดล้อมที่หดหู่ใจที่ฉันยังไม่เคยเจอมาก่อน ตอนที่เรียน ม.4-ม. 6 ฉันรู้สึกว่าจะมีตำรวจมาห้อฉันเกือบทุกวันเลย เพื่อนบางคนก็โดนตำรวจจับเพราะข้อหาค้ายาบ้า บางคนก็ถูกเชิญตัวไปขึ้นศาลเพื่อนผู้หญิงบางคนติดยาบ้างอมแงมบางวันวิ่งแย่งไล่ยาบ้ากัน ฉันบอกได้เลยว่าฉันรู้สึกกลัวมากแต่อยู่ไปนานๆก็รู้สึกชินและเข้าใจเพื่อนมากขึ้น แม้ว่าเพื่อนฉันจะติดยาบ้าแต่ก็ไม่เคยชักชวนให้ฉันติดยาเหมือนเขา เขาบอกกับฉันว่าไม่อยากให้ฉันและเพื่อนคนอื่นเลวเหมือนเขา ติดแล้วเลิกยากและเป็นอะไรที่ทรมานสุดๆในตอนนั้นฉันเข้าใจเพื่อนดีและรู้สึกสงสารเพื่อนแต่ก็ไม่รู้ว่าจะช่วยเพื่อนยังไงดี ทุกๆวันฉันจะตื่นตั่งแต่ตีห้า รถนักเรียนมารับฉันหกโมงเช้าทุกวันพอไปถึงโรงเรียนก็โมงครึ่ง บางวันถ้ามีเรียนพิเศษก็จะขี่มอเตอร์ไซค์ไปกับพี่ข้างบ้าน ถ้าเป็นฤดูฝนเป็นช่วงที่ทรหดสุดๆ เพราะบางปีน้ำจะท่วมถนนทำให้ถนนขาดใช้งานไม่ได้ ถ้าจะไปเรียนต้องนั่งเรือข้ามฟากเอารถมอเตอร์ไซค์ขึ้นเรือ บางวันฝนตกลมแรงยิ่งทำให้ฉันรู้สึกกลัวเพราะฉันวายน้ำไม่เป็น ฉันเป็นคนที่เรียนไม่ค่อยเก่งแต่อาศัยขยันอ่านหนังสือตอนช่วงสอบ ทำให้ฉันสอบได้ที่หนึ่งที่สองตลอด ทุกๆปี ฉันได้รับรางวัลเกียรตินิยมไม่อันดับหนึ่งก็อันดับสองของห้อง รวมทั้งได้รางวัลทูตวัฒนธรรมสามปีซ้อน
หลังจากเรียนจบ ม.6 ฉันกับพี่ชายมี planจะไปเรียนต่อที่อเมริกาซึ่งคิดไว้ว่าจะไปอยู่กับน้าที่นั่น แต่ฝันของฉันก็ต้องสลายเพราะฉันโดนน้าสะใภ้หรอกเอาเงินไปติดต่อเรื่องโรงเรียนที่นั่นรวมทั้งเรื่องทำวีซ่าดันไม่ผ่านสักเรื่อง ตอนนั้นฉันสงสารพ่อกับแม่มากเพราะไปกู้เงินที่ธนาคารมาประมาณสี่แสน โดยการเอาบ้านไปจำนอง สรุปว่าตอนนั้นฉันไม่มีที่เรียนเพราะมหาลัยก็ใกล้จะเปิดเทอมแล้ว ฉันเลยตัดสินใจเรียนที่ วิทยาลัยประชาคมนานาชาติหนองคาย โดยพี่ชายของฉันก็มาเรียนใหม่พร้อมกันกับฉัน หลักสูตรสองปี เป็นวิทยาลัยเล็กๆ หลักสูตรการเรียนอินเตอร์ อาจารย์ที่สอนเป็นฝรั่งเกือบทั้งหมดยกเว้นอาจารย์สอนว่ายน้ำ พื้นฐานภาษาอังกฤษของฉันแย่มากแต่เรียนที่นั่นไม่กดดันเลยเพราะอาจารย์ฝรั่งใจดีมากและเพื่อนๆทุกคนเป็นกันเองมาก จากที่ฉันไม่ชอบภาษาอังกฤษเลยกลับเอาเป็นว่าทุก Course เรียนเป็นภาษาอังกฤษและฉันไม่รู้ว่าฉันชอบภาษาอังกฤษตอนไหน ฉันพบรักครั้งแรกที่นี่เป็นที่ๆฉับเก็บความประทับใจไว้ไม่เคยลืมฉันได้รู้จักผู้ชายคนหนึ่งซึ่งเขาเป็นคนที่ไม่หล่อแต่อัธยาศัยดีมาก ให้เกียรติผู้หญิงและก็เสมอต้นเสมอปลาย เขาเป็นคนที่เก่งภาษาอังกฤษมาก ฉันเห็นเขาครั้งแรกตอนที่เขาคุยกับอาจารย์ฝรั่ง ตอนนั้นในใจฉันคิดว่าได้เป็นแฟนกับพี่เขาคงจะดีนะ เพราะจะได้สอนเราด้วย เขาเป็นรุ่นพี่ที่เรียนจบนานาชาติและทำงานที่นั่น บางวันเขาเป็นล่ามช่วยฝรั่งสอนในห้อง ความรักของเราเกิดจากการสบตา ตอนแรกฉันก็ไม่เข้าใจว่าทำไมพี่เขาชอบสบตาและมองเราอย่างนี้ แต่เราก็ไม่มีโอกาสคุยกันเลย จนกระทั่งวันหนึ่งทางวิลัยจัดปาตี้ก่อนปิดภาคเรียน เราสองคนเดินสวนทางกันที่บันได พอฉันเห็นหน้าเขาฉันรู้สึกอายและเขินมาก เขาขอคุยกับฉันและขออีเมล์ฉัน ทุกๆวันเขาจะเขียนอีเมล์เป็นภาษาอังกฤษถึงฉัน ดังนั้นฉันก็ตอบเป็นภาษาอังกฤษเหมือนกันซึ่งเป็นเรื่องที่ดีเพราะฉันจะได้มีทักษะในการเขียน ยามฉันมีปัญหาเขาคอยให้คำแนะนำและปลอบใจเสมอมา(เล่าไปอีกสามวันคงไม่จบ เอาเป็นว่าตอนนี้เราก็ยังคบกันอยู่ก็ประมาณห้าปีกว่าๆ นี่แหละ) ฉันจบที่นี่ฉันได้วุฒิ ปวส.
หลังจากเรียนจบที่นานาชาติฉันกับพี่ชายของฉันก็เทียบโอนรายวิชามาเรียนที่นี่ (นิสิตเอกภาษาอังกฤษ คณะศึกษาศาสตร์)ซึ่งเริ่มเรียนปีหนึ่งใหม่ ฉันรู้สึกท้อใจมากเลย เพราะเพื่อนๆของฉันโอนมาเรียนการโรงแรมแค่สองปีก็จบการศึกษา ส่วนฉันเรียนใหม่ตั้งห้าปี พี่เอสก็เหมือนกันกับฉันเพราะเริ่มเรียนใหม่ห้าปีเหมือนกัน เราทั้งสองพักอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่ปี1-4 ปัญหาเรื่องเรียนของฉันไม่ค่อยมีแต่จะเป็นปัญหาเรื่องเงิน เพราะว่าตอนนี้ฉัน พี่ชายและน้องชายของฉันกำลังเรียนเหมือนกันและพวกเราก็ไม่ได้ยืมทุนเรียนด้วย ฉันรู้สึกสงสารพ่อกับแม่มากที่ต้องรับภาระเติมๆ สิ่งที่ฉันทำดีได้ในตอนนี้คือ เรียนให้จบ มีงานทำที่มั่นคง เป็นคนดีของพ่อแม่และอยากแบ่งเบาภาระของพ่อแม่บ้าง
คติประจำใจของฉันคือ วันนี้ท้อได้ แต่พรุ่งนี้ห้ามท้อ
อัตชีวประวัติ
สวัสดีค่ะ...ก่อนอื่นต้องขอแนะนำตัวก่อนดิฉันนางสาว นิตยา คำสิงห์ เพื่อนๆเรียกว่า นิด เรียนที่คณะศึกษาศาสตร์ สาขาวิทยาศาสตร์ทั่วไป รหัสประจำตัว 48010510193 ฉันเกิดที่บ้านของหมอสมัยนามสกุลอะไรไม่รู้แม่ก็จำไม่ได้ หมอเปิดคลินิกทำคลอดหรือว่าผดุงครรถ์ แม่ปวดท้องจะคลอดตั้งแต่วันที่ 11 สิงหาคม ปวดท้องตั้ง 4 วัน ตอนแรกแม่นึกว่าจะคลอด 12 สิงหาคม วันแม่มหาราชพอดี แต่ก็เลยมา 3 วันถึงวันศุกร์ที่ 15 สิงหาคม 2529 ปีขาล เวลา 19.45 น. ได้เวลาที่ฉันจะออกมาเผชิญโลกแล้ว แม่บอกว่าฉันคลอดยากมากเพราะเป็นท้องแรกแถมยังนอนเอามือกุมหัวทำให้ติดช่องคลอดออกเองไม่ได้หมอต้องช่วยดึงออก เกือบไปแล้ว...เกือบไม่ได้เห็นหน้าพ่อแม่และคงไม่ได้มาเขียนประวัติตัวเองให้ทุกคนได้อ่าน น้ำหนักตอนคลอดของฉันน้อยมากแค่ 2700 กรัม ตัวเล็กมากต้องอยู่ในตู้อบ 1 วัน ถึงได้กลับบ้าน ตอนนี้ฉันอายุ 22 ปี ฉันเป็นเด็กดีเลี้ยงง่าย เงียบๆไม่ค่อยพูด แม่เลี้ยงด้วยน้ำนมแม่ 1 ปีเต็มก่อนแม่จะกลับไปทำงานกับพ่อ แล้วฝากฉันไว้กับตายาย ฉันเป็นลูกสาวคนแรกของพ่อแม่และเป็นหลานสาวคนแรกด้วย ทุกคนจึงรักและเป็นห่วงฉันมากเพราะฉันเกือบมีพี่ ถ้าเขาไม่จากเราไปเสียก่อน ฉันก็อยากมีนะจะได้มีคนค่อยดูแล อยากรู้แล้วใช่ไหมว่าพี่เขาไปไหน เรื่องก็มีอยู่ว่าวันหนึ่งแม่ปั่นจักรยานไปทุ่งนาตอนนั้นตั้งท้องได้ 4 เดือนถนนเป็นทางลูกลังแม่ปั่นไปเรื่อยจนถึงใต้ต้นมะม่วงป่าแม่จะจอดเก็บมะม่วงแต่ตกหลุมส่ะก่อน แม่ปวดท้องมากและมีเลือดออก โชคยังดีที่มีคนผ่านมาเจอเลยรีบไปบอกพ่อ พ่อรีบส่งแม่ไปโรงพยาบาล แม่แท้งลูกคือพี่ของฉัน พ่อแม่ตายายเสียใจมากที่เกิดเหตุการณ์อย่างนี้ขึ้น ฉันมีน้องชาย 1 คน ชื่อนาย ลิขิต คำสิงห์ อายุ 19 ปี เรียนที่วิทยาลัยเทคนิคมหาสารคาม สาขาช่างกลโรงงาน ชั้นปวช. ปี 3 มอ่ากว่ามันทรมานมากตอนที่ขูดมดลูกเพื่อเอารกและเด็กออกมันทรมานยละมีเลือดออกมาก โชคยังดีที่มีคนผ่านมาเจอเลยรีบไปบอกพ่อให้ส่งแม่ไป นิสัยเป็นคนร่าเริง พูดเก่ง ปากหวาน เข้ากับคนอื่นง่าย อัธยาศัยดีก็เลยเจ้าชู้ เป็นเรื่องธรรมดา หน้าตาก็งั้นๆนะตามความคิดฉัน แม่ของฉันชื่อ นางสายฝน คำสิงห์ อายุ 40 ปี อาชีพทำนาและธุรกิจส่วนตัว นิสัยแม่เป็นคนเจ้าระเบียบ ชอบสะอาด ทำบ้านรกโดนบ่นแน่ ขี้บ่นปานกลางถึงมากที่สุดแล้วแต่โอกาส แต่ก็ใจดีนะจ๊ะ พ่อของฉันชื่อ นายประสิทธิ์ คำสิงห์ อายุ 42 ปี อาชีพทำนาและธุรกิจส่วนตัว นิสัยพ่อเป็นคนพูดไม่เก่ง ใจดี มีเหตุผลมากกว่าแม่ ขอเงินยากแต่จำนวนเงินมากที่เดียว เพราะพ่อเป็นคนอนุมัติงบประมาณเวลาที่อยากได้อะไรราคาแพงหน่อย เช่น รถจักรยานยนต์ คอมพิวเตอร์ กล้องดิจิตอล เป็นต้น ต้องได้รับความเห็นชอบจากพ่อ แม่จึงสามารถดำเนินการจ่ายเงินให้ไปซื้อ แต่ถ้าเป็นของเล็กๆน้อยๆ เช่น เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า ขอจากแม่โดยตรง ฉันจบมัธยมศึกษาปีที่ 3, 6 จากโรงเรียนผดุงนารี อำเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม สมัยที่ฉันเรียนอยู่มัธยมได้เงินไปโรงเรียนวันละ 30 บาท ค่ารถไปกลับ 10 บาท ค่าข้าว 10 กินขนม 5 บาท เหลือเก็บวันละ 5 บาท บางวันก็มากกว่านั้น ตอนฉันเรียนจบ ม. 6 มีเงินเก็บเกือบหมื่น เอาเงินให้แม่จ่ายค่ามอบตัวฉันตอนที่เข้ามหาลัยมหาสารคาม ปี 1 แต่พอเข้ามหาลัยฉันเก็บเงินไม่ได้เลย เก็บได้ก็เอาไปซื้อนู้นซื้อนี้หมด ตอนมัธยมฉันสนุกมากๆเลย เพื่อนๆน่ารักแต่ตอนนี้นานๆทีจะได้เจอพร้อมหน้าพร้อมตา ในกลุ่มเล็กของฉันมีเพื่อนซี้ 4 คนคือ นิด(โอ) จอย เนาวรัตน์ และตัวฉันนิดน้อย แต่เราเป็นเพื่อนกลุ่มใหญ่ทั้งห้อง1 และห้อง 2 (ตอนนั้นโรงเรียนผดุงนารีมี 10 ห้อง ) เพราะเราจะขึ้นๆลงๆระหว่างสองห้องนี้ มาสนิทกันหมดทั้งสายชั้นตอนม.6 เพราะเราจะจบแล้วแถมยังเรียนมาด้วยกันตั้ง 6 ปี บางคนก็ 3 ปี ตอนจะจบร้องไห้กันใหญ่เลย สัญญาว่าจะไม่ลืมกันจนปัจจุบันนี้เราก็ยังเป็นเพื่อนกัน เพื่อนแท้หาง่ายในมัธยมแค่จริงใจก็พอ แต่เพื่อนในมหาลัยฉันว่ามันหายากนะ แค่จริงใจไม่พอ จริงใจมากก็เป็นคนโง่ได้ ตอนนี้ฉันพักกับพ่อแม่อยู่ที่บ้านเลขที่ 310 หมู่ 3 บ้านบ่อใหญ่ อำเภอบรบือ จังหวัดมหาสารคาม 44130 ฉันเกิดที่สารคามและอยากทำงานที่นี้ไม่อยากไปไหนไกลๆอยากอยู่กับพ่อแม่ ฉันยังไม่รู้เลยว่าฉันจะอยู่ได้ไหมถ้าฉันต้องไปทำงานไกลๆเพราะฉันไม่เคยห่างบ้านห่างพ่อแม่นาน ตอนที่ฉันเข้ามหาลัยใหม่ๆ เทอมแรกเกรดออกมาแทบรับไม่ได้เพราะฉันไม่เคยได้เกรดต่ำกว่า 3 เลย มาที่มหาลัยเทอมแรก ได้ 2.56 อยากจะบ้า แต่พอเทอม 2 ก็เริ่มปรับตัวได้ เกรดค่อยๆดีขึ้น ยังดีที่รุ่นพี่ที่ดีอย่างพี่ญา พี่จอย ที่ค่อยให้กำลังใจและคำปรึกษา ตอนนี้เกรดเฉลี่ยอยู่ที่ 3 กว่าๆ ฉันก็หวังว่ามันจะยังอยู่ระดับนี้ตลอดจนจบ คติประจำใจของฉันคือทำวันนี้ให้ดีที่สุด แล้ววันต่อๆไปจะดีเอง ทุกสิ่งเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อเราจะต้องมีสติต่อสู้กับมัน อนาคตก็อยากเป็นครูสอนวิทยาศาสตร์โรงเรียนแถวๆมหาสารคามถ้าเป็นไปได้ จะได้อยู่แถวบ้าน สุดท้ายไม่มีอะไรจะบอกงั้นขอให้ประเทศไทยสงบสุขแล้วกัน อิอิอิ
ประวัติส่วนตัว
นางสาวพรพรรณ ถ่ายกลาง
48010511563 สาขาการศึกษาปฐมวัย (EC)
คณะศึกษาศาสตร์
11 สิงหาคม พ.ศ. 2529 เป็นวันเกิดของดิฉันครอบครัวของฉันต่างก็รอลุ้นกันว่าแม่จะคลอดฉันตอนไหนเพราะแม่ปวดท้องและมาที่โรงพยาบาลตั้งแต่วันที่ 10 สิงหาคมแล้วแต่ฉันก็ไม่ยอมออกมาลืมตาดูโลกซักที และที่บ้านของฉันก็กลัวว่าฉันจะออกมาจากท้องแม่วันที่ 12 สิงหาคมซึ่งเป็นวันที่พระราชินีประสูติ เพราะว่าพี่สาวซึ่งเป็นญาติของฉันเกิดวันที่ 12 สิงหาคมเมื่อถึงวันเกิดของเขา เขาก็จะได้รับอุบัติเหตุหรือป่วยหนักทุกครั้ง หมอดูจึงบอกว่าพี่ของฉันจะได้รับเคราะห์แทนพระราชินี เมื่อเวลา 22.37 น. แม่ก็ได้คลอดฉันออกมาด้วยความทรมานแม่เล่าให้ฉันฟังว่าฉันคลอดยากมากซึ่งต่างจากพี่ชายที่เป็นท้องแรก ฉันมีน้ำหนักแรกคลอด 2,700 กรัม คุณหมอตั้งชื่อให้ดิฉันว่า “ผึ้ง” เพราะเห็นว่าดิฉันตัวกลมๆเหมือนผึ้ง หลังจากที่ออกจากโรงพยาบาลแม่และพ่อของดิฉันจึงได้ตั้งชื่อให้ดิฉันใหม่ว่า “พรพรรณ” ซึ่งแปลว่า “ผู้ที่มีผิวพรรณดี” นี่เป็นชื่อจริงของดิฉันซึ่งมาจากชื่อจริงของพ่อ คือ “พรหมปัญญา” และชื่อจริงของแม่ คือ “เชาวรีย์” ฉันมีพี่ชายคนหนึ่ง อายุห่างกัน 2 ปี ชื่อว่า “ทศพล” ชื่อเล่นว่า “เบียร์” ซึ่งในตอนนั้นพ่อของดิฉันเป็นหัวหน้ากุ๊กอยู่ที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร ส่วนแม่เป็นแม่บ้านคอยเลี้ยงดูดิฉันและพี่ ครอบครัวของฉันจึงมีฐานะไม่ดี แม่เล่าให้ฟังว่าตอนที่แม่คลอดดิฉันพ่อได้ไปยืมเงินลุงที่ร้านอาหารมาจ่ายค่าทำคลอดเพราะในตอนนั้นที่บ้านของฉันมีฐานะยากจน ตอนที่แม่คลอดดิฉันพ่อก็เมาอยู่ที่บ้านเพื่อนยายจึงพาแม่ไปโรงพยาบาล ตอนที่พ่อจะไปยืมเงินลุงพ่อก็ขับรถตกคลองน้ำ พอแม่คลอดดิฉันแล้วแม่จึงขอให้พ่อเลิกเหล้าตามที่ได้ให้สัญญากับแม่ไว้ พ่อของดิฉันจึงเลิกเหล้าตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ทำให้ครอบครัวของดิฉันเริ่มตั้งตัวได้ พ่อก็ได้ย้ายๆไปทำงานที่อื่นและได้เลื่อนตำแหน่งเป็นผู้จัดการ ทำให้ครอบครัวมีฐานะดีขึ้น แม่ของฉันดุมากดิฉันกับพี่ก็จะโดนตีบ่อยจนเป็นที่เลื่องลือในซอยว่าแม่ของดิฉันดุ ตีลูกบ่อยจะโดนตีวันละหลายครั้ง ซึ่งดิฉันคิดว่าดิฉันกับพี่เมื่อเทียบกับเด็กคนอื่นแล้วไม่ดื้อเลย ดิฉันกับพี่จะเงียบ ไม่ค่อยพูด เพราะถ้าพูดมากๆแล้วแม่ก็จะบอกว่ารำคาญ บางทีถามอะไรแม่ก็จะไม่ตอบและบอกให้หยุดพูด นี่อาจเป็นสาเหตุหนึ่งว่าทำไมดิฉันและพี่จึงไม่ค่อยพูดและมีนิสัยขี้อาย ดิฉันจำได้ว่ามีอยู่ครั้งหนึ่งแม่พาดิฉันไปอุดฟันซี่หน้าแต่ดิฉันไปกินอมยิ้มซึ่งแม่ห้ามไม่ให้ดิฉันกินลูกอมหรืออมยิ้มเด็ดขาด ไม่รู้ว่าดิฉันอมหรือกัดอมยิ้มอย่างไร ทำให้ฟันที่อุดไว้ของดิฉันหลุด ดิฉันจึงรีบวิ่งไปหาแม่ที่อยู่นอกบ้าน ดิฉันโดนแม่ตบจนปากแตก ดิฉันร้องไห้และคิดว่าทำไมแม่ถึงได้ทำกับดิฉันรุนแรงขนาดนี้ พอดิฉันร้องไห้แม่ก็บังคับให้หยุดร้องไม่อย่างนั้นจะตีซ้ำอีกแต่ดิฉันหยุดร้องไม่ได้เพราะดิฉันเจ็บ แม่จึงตีดิฉันซ้ำอีก ทำให้ดิฉันจำมาจนถึงทุกวันนี้ ทั้งที่เรื่องนี้เกิดขึ้นตั้งแต่ดิฉันยังอายุ 4 ขวบ บางครั้งดิฉันก็มีคำถามในใจว่าทำไม ?แม่ต้องบังคับดิฉันอยู่ตลอดเวลา เมื่อดิฉันอายุ 5 ขวบ แม่ก็พาดิฉันไปเรียนที่ศูนย์บริการชุมชนห้วยขวางซึ่งเป็นโรงเรียนเดียวกับที่พี่ชายของดิฉันเคยเรียน ทุกเช้าแม่จะปลุกให้ดิฉันตื่นประมาณ 6 โมงเช้า เพื่อที่จะอาบน้ำ แต่งตัว ไปโรงเรียน แต่ดิฉันไม่อยากไปโรงเรียนอยากอยู่บ้านกับแม่มากกว่าก่อนไปโรงเรียนจำได้ว่า แม่จะพาไปกินโจ๊กที่ดิฉันชอบมากและดิฉันก็กินช้ามากด้วยจนทำให้พี่ซึ่งเรียนอยู่ที่โรงเรียนสามเสนนอกไปโรงเรียนสายทุกวันแล้วพี่ก็จะโกรธดิฉันทุกวันเช่นกัน ดิฉันก็พยายามกินให้ไวแล้วแต่ก็ยังไม่ทันอยู่ดี พอไปถึงโรงเรียนก็มีคุณครูมารับที่หน้าโรงเรียนแล้วพาเข้าไปในห้อง ดิฉันก็ร้องไห้ทุกวันอยากกลับบ้านกับแม่ แต่คุณครูก็อุ้มกลับไปทุกวันจนดิฉันรู้สึกว่าโรงเรียนนี้ไม่น่าอยู่เลยและแม่ก็คงรู้สึกเหมือนดิฉันเช่นกัน แม่จึงพาไปฝากที่โรงเรียนใหม่ส่วนใหญ่จะมีแต่ผู้ที่นับถือศาสนาคริสต์ ไปครั้งแรกดิฉันก็ร้องไห้ตามแม่เหมือนเดิม แต่เมื่อผ่านไปประมาณ 1 อาทิตย์ ดิฉันก็เลิกร้องไห้คงเพราะว่าชอบโรงเรียนนี้ ดิฉันจำได้ว่าคุณครูที่โรงเรียนนี้ใจดีมากดิฉันจึงไม่ร้องไห้อีกเลย จนกระทั่งวันหนึ่ง แม่ของดิฉันซื้อสติ๊กเกอร์รูปการ์ตูนให้ ก่อนไปโรงเรียน แล้ววันนั้นดิฉันไปสายจึงได้นั่งข้างหลัง พอดิฉันเอาสติ๊กเกอร์ออกมาดูด้วยความชื่นชมเพื่อนก็มาแย่งเอาสติ๊กเกอร์ของดิฉันไป ทั้งเอาไม้บรรทัดตีและหยิกดิฉัน ดิฉันจะฟ้องคุณครูก็ไม่ได้เพราะเพื่อนขู่ว่าถ้าฟ้องครูแล้วจะตีแรงกว่าเดิม พอเลิกเรียนแม่ของดิฉันเห็นว่าดิฉันมีรอยเล็บตามตัวจึงไปบอกคุณครู ให้คุณครูลงโทษเพื่อนที่รังแกดิฉัน ดิฉันรู้สึกว่าโรงเรียนนี้ไม่น่าอยู่อีกแล้วแม่จึงพาย้ายกลับไปที่โรงเรียนเดิม หลังจากนั้น ดิฉันก็ไม่ร้องไห้เมื่อไปโรงเรียนอีกเลย
เมื่อถึงเวลาที่อายุของดิฉันถึงเกณฑ์ที่จะเข้าประถมศึกษาแล้วดิฉันตื่นเต้นมากและกลัวด้วยเพราะพี่ของดิฉันเมื่อตอนที่อยู่ชั้น ป.1 เจอกับคุณครูที่ดุมาก ดิฉันก็ภาวนาอย่าให้เจอครูคนนี้เลยแล้วก็สำเร็จดิฉันเจอกับครูที่ใจดี ไปวันแรกคุณครูทบทวนความรู้เดิม คือ ให้เขียน ก. ไก่ – ฮ. นกฮูก คุณครูชมว่าดิฉันเขียนได้สวยทำให้ดิฉันไม่กลัวและอยากไปเรียนทุกวัน เมื่อดิฉันอยู่ชั้น ป.2 ก็ได้ย้ายห้อง ซึ่งเพื่อนแต่ละคนเก่งมาก ดิฉันฉลาดน้อยกว่าเพื่อนเลยก็ว่าได้ แต่ดิฉันก็ยังไม่ท้อก็ยังเรียนไปเรื่อยๆตามกำลังสมอง จนกระทั่ง ดิฉันขึ้น ป.3 ก็ได้ย้ายมาเรียนอยู่ที่โคราชซึ่งเป็นบ้านของย่าดิฉันมาอยู่ที่โคราชเรียนที่โรงเรียนประจำหมู่บ้าน เมื่อดิฉันเข้าไปเรียนวันแรกรู้สึกว่าทุกคนมองดิฉันแปลกๆดิฉันไม่อยากให้พ่อกับแม่กลับบ้านเลย แต่ก็ต้องยอมเพราะว่าโตแล้ว เป็นอย่างที่ดิฉันคิดไว้จริงๆ เพื่อนๆไม่มีใครอยากพูด อยากเล่นกับดิฉันเลยดิฉันก็เล่นอยู่คนเดียวหรือไปเล่นกับรุ่นพี่ดิฉันไม่อยากไปโรงเรียนเลยรู้สึกเหงาไม่มีเพื่อนบางวันก็โดนเพื่อนแกล้ง ถ้าวันไหนฝนตกดิฉันก็ต้องจอดรถจักรยานไว้ข้างทางเพราะขี่ไปไม่ได้ถนนที่นั่นเป็นดินแดงเวลาฝนตกจะเข้าไปในขอบล้อ ดินจะเหนียวปั่นไปไม่ได้ ดิฉันก็ต้องเดินร้องไห้ไปโรงเรียนด้วยความเหนื่อยเพราะโรงเรียนห่างจากหมู่บ้านประมาณ 1 กิโลเมตร แต่ดิฉันก็ไม่เคยขาดเรียนแม้จะไปสายบ้าง ไม่อยากไปเรียนบ้างเพราะไม่มีเพื่อนแต่ดิฉันก็อดทนจนเรียนจบชั้น ป.6 เมื่อถึงเกณฑ์ที่จะเรียน ม.1 แล้ว เพื่อนๆต่างพากันไปเรียนที่โรงเรียนใกล้บ้านกันหมด แต่ดิฉันก็ต้องจำใจไปเพราะพ่อและแม่บังคับ เมื่อดิฉันไปโรงเรียนวันแรกก็มีเพื่อนเยอะแยะเลย เพื่อนแต่ละคนเฮฮาดีต่างจากที่โรงเรียนเดิมทำให้ดิฉันเลิกกังวลไปแต่จะมากังวลเรื่องการเรียนมากกว่าเพราะกลัวว่าจะเรียนไม่ได้ ไปวันแรกก็เจอกับครูที่ขึ้นชื่อในโรงเรียนว่าดุมากเป็นครูที่ปรึกษาของดิฉัน แต่ก็ยังไม่กลัวเท่าไหร่เพราะไม่ได้เรียนกับครูคนนี้ตลอดจะเดินเรียนเปลี่ยนครูไปเรื่อยๆในแต่ละคาบเรียน เมื่อดิฉันอยู่ชั้น ม.2 ก็ได้ย้ายห้องอีกแต่การย้ายห้องครั้งนี้ทำให้ดิฉันมีเพื่อนที่สนิทมากเราจะไปด้วยกันตลอดจนจบชั้น ม.3 ก็ได้เรียนต่อที่โรงเรียนเดิมดิฉันเลือกเรียนสายวิทยาศาสตร์ – คณิตศาสตร์ ทั้งที่ดิฉันเรียนไม่เก่งเลยแต่ต้องเรียนเพราะพ่อและแม่บังคับอีกเหมือนเดิมแต่ดิฉันก็พยายามเรียนให้ได้แม่ว่าเกรดเฉลี่ยจะไม่น่าภาคภูมิใจเหมือนคนอื่นๆ ก็ตาม มีอยู่ครั้งหนึ่งคุณครูให้ส่งสมุดวิชาฟิสิกส์ 10 คะแนน แต่ดิฉันไม่ทราบว่าต้องส่งจึงชวนเพื่อนที่ไม่ได้เอาสมุดมาหนีโรงเรียนกลับไปเอาที่บ้านทำให้คุณครูฝ่ายปกครองจับได้และเรียกไปพบ วันนั้นดิฉันโดนตี กลับไปถึงบ้านจึงไปเล่าให้แม่ฟังในใจคิดว่าต้องโดนแม่ว่าอีกแน่เลย แต่แปลกวันนั้นแม่ไม่ว่าดิฉันเลยและหายามาให้ดิฉันทา เมื่อเกรดออกปรากฏว่า ดิฉันติด 0 วิชาฟิสิกส์ ดิฉันเสียใจมากจนร้องไห้จะบอกแม่ก็ไม่กล้าบอก จนถึงเวลาที่คุณครูให้ผู้ปกครองเซ็นต์ดิฉันจึงบอกกับแม่ แต่แม่ก็ไม่ว่า แม่คงเริ่มใจดีแล้วเพราะเท่าที่ดิฉันจำได้ แม่ไม่ตีดิฉันเลยตั้งแต่จบ ม.3 ดิฉันเป็นคนที่เรียนอ่อนจนคุณครูบางคนไม่ชอบดิฉัน (จากที่รู้สึกนะคะ)ก่อนที่จะถึงเวลาสอบเอนทรานซ์ประมาณ 3 เดือน ดิฉันขี่รถมอเตอร์ไซค์ตกถนนทำให้เดินไม่ได้เป็นเวลาหนึ่งเดือนกว่า ดิฉันไม่ได้ไปเรียนเลยแต่ก็เอางานมาทำที่บ้าน พ่อและแม่ก็กลุ้มใจกลัวว่าดิฉันจะสอบเอนทรานซ์ไม่ได้ แต่เมื่อดิฉันไปสอบเอนทรานซ์กับเพื่อนและได้สมัครรอบโควตาที่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ปรากฏว่าได้และเป็นคนเดียวในห้องเรียนไม่ใช่เก่งนะคะแต่ฟลุ๊ก พ่อและแม่ดีใจมากรวมถึงดิฉันด้วย คุณครูแต่ละท่านต่างงงที่ดิฉันสอบได้ ครั้งแรกที่ดิฉันรู้ตัวว่าสอบได้ดิฉันคิดว่าตนเองเลือกลงเอกจุลชีววิทยาจนคุณครูแนะแนวมาถามดิฉันว่า เป็นไงคุณครูอนุบาลดิฉันงงเพราะดิฉันยังไม่ทราบเลยว่าปฐมวัยคือเด็กอนุบาลและดิฉันก็คิดว่าดิฉันสอบติดเอกจุลชีววิทยาเพื่อนๆต่างก็หัวเราะดิฉัน แต่ถึงอย่างไร ดิฉันก็ไม่อยากเรียนที่มหาวิทยาลัยมหาสารคามเพราะดิฉันไม่รู้จักและไม่เคยมาที่มหาสารคามแต่พ่อและแม่ของดิฉันก็บังคับให้ดิฉันมาเรียนที่นี่แม้จะยังไม่รู้ผลของมหาวิทยาลัยอื่นก็ตาม พอถึงเวลาที่ต้องมาเรียนดิฉันก็มาเรียนคนเดียวทางหอพักจัดให้อยู่กับเพื่อนอีกคนหนึ่ง เมื่อดิฉันเข้าไปในห้องเจอกับเพื่อนและครอบครัวของเขา ยิ่งทำให้ดิฉันไม่อยากอยู่ที่นี่เพราะเพื่อนคนนี้มีฐานะค่อนข้างดีแตกต่างจากดิฉันและเรียนอยู่คนละคณะ พ่อและแม่จึงพาดิฉันไปอยู่ห้องรวมกับเพื่อนที่อยู่คณะเดียวกันเพื่อนทั้ง 2 คนนี้น่ารักมาก เป็นกันเอง จนเมื่อถึงเวลาที่พ่อและแม่กลับดิฉันรู้สึกไม่ดี และร้องไห้อยู่นานมาก จนพ่อและแม่กลับถึงบ้านโทรมาหาดิฉัน ดิฉันก็ร้องไห้อีก แต่ดิฉันก็สามารถปรับตัวได้จนอยู่ปี 4 ดิฉันอยู่คนเดียวได้แล้ว และคิดถึงบ้านน้อยลง เหลือเวลาอีกปีกว่าดิฉันต้องเรียนให้จบเพื่อพ่อและแม่ที่พยายามส่งให้ดิฉันเรียนรวมถึงพี่ที่ยอมเป็นทหารเรือเพื่อที่พ่อและแม่จะได้ส่งฉันเรียนได้
วรรณรี ชาลีเปรี่ยม (จิม)
48010510995 4EN
ข้าพเจ้าเกิดมาในช่วงที่เขาเรียกว่าปลายฝนต้นหนาว ซึ่งแม่ของข้าพเจ้าบอกว่าอากาศดีมาก ข้าพเจ้าชื่อ นางสาววรรณรี ชาลีเปรี่ยม เกิดเมื้อวันที่ 12 กันยายน 2529 บิดาชื่อ นายคำวัง ชาลีเปรี่ยม มารดาชื่อ นางหนูพวน ชาลีเปรี่ยม ซึ่งชื่อ “วรรณรี ” นี้แม่เป็นคนตั้งให้มีความหมายว่า หญิงผู้มีผิวพรรณงาม เพราะตอนคลอดออกมาข้าพเจ้าตัวแดงมากแม่คงรู้ว่าโตขึ้นต้องดำอย่างแน่นอนเลยตั้งชื่อให้ตรงกันข้ามกับสีผิวซะงั้น แต่คนทั่วไปมักจะอ่านชื่อข้าพเจ้าว่า วัน- รี ซึ่งเป็นชื่อของเด็กคนหนึ่งในหนังที่ชื่อว่า วรรณรี ข้าพเจ้าก็ไม่เคยดูหรอกแต่มีคนเล่าให้ฟังว่าเป็นหนังที่เด็กหญิงคนหนึ่งมีความกตัญญูมาก ข้าพเจ้ามีพี่น้องสองคน ข้าพเจ้าเป็นลูกคนโตมีน้องสาวหนึ่งคน ชื่อศศิธร อายุ 13 ปี ซึ่งเกิดมาค่อนข้างห่างกันพอสมควร ด้วยอายุที่ห่างกันมากข้าพเจ้ากับน้องก็เลยไม่ค่อยทะเลาะกันและขัดแย้งกันสักเท่าไรนัก ตอนเด็กๆข้าพเจ้าค่อนข้างเข้าโรงพญาบาลบ่อยมากเพราะเป็นคนขี้โรคจนเป็นแบบนี้ก็ยังเป็นแบบนี้อยู่ตลอดเพราะข้าพเจ้าภูมิต้านทานค่อนข้างน้อยหมอบอกแม่ว่างั้น พ่อกับแม่ของข้าพเจ้าเป็นคนไม่ค่อยพูดแต่ข้าพเจ้ากับน้องพูดค่อนข้างเก่งมากมีแต่คนแปลกใจพูดเก่งเหมือนใครกันหว่า ? ตอนช่วงประถมศึกษาข้าพเจ้าเรียนที่โรงเรียนบ้านตลาดอุดมวิทย์ พอข้าพเจ้าขึ้น ป. 3 ข้าพเจ้าประสบอุบัติเหตุตกบ้านเลยแขนหักไม่ได้ไปโรงเรียนอยู่เป็นเดือนเลยทีเดียว ข้าพเจ้าจำได้ว่าตอนนั้นเป็นช่วงเทศกาลปีใหม่เขาพากันเล่นไพ่อยู่บนบ้านข้าพเจ้าก็เลยไปดูเขาเล่น แต่ทีนี้น้องของข้าพเจ้าเล่นนกหวีดอยู่ข้างล่าง ข้าพเจ้านึกว่าตำรวจมาด้วยความตกใจและกลัวโดนจับข้าพเจ้าจึงโดดลงทางหน้าต่างเพราะถ้าลงทางบันไดกลัวเขาจับได้ก็เลยแขนหักซะแต่แม่บอกว่าดีนะที่ขาไม่หักไปด้วย
พ่อกับแม่ของข้าพเจ้าค่อนข้างตามใจข้าพเจ้ามากเพราะเป็นลูกคนแรกและไม่ค่อยได้อยู่ด้วยเพราะพ่อไปขับรถทัวร์อยู่ ก.ท.ม แม่ก็ไปด้วยยายกับตาก็เลยเป็นคนเลี้ยงข้าพเจ้าแต่ยายไม่ตามใจข้าพเจ้าเลยค่อนข้างดุข้าพเจ้าจึงไม่ค่อยเป็นเด็กขี้แยเท่าไร ยายจะสอนให้ข้าพเจ้าทำทุกอย่างเพราะยายบอกว่าโตขึ้นจะได้มีความอดทน หลังจากนั้นไม่นานพ่อกับแม่ของข้าพเจ้าก็กลับมอยู่บ้าน มาทำไร่อ้อยช่วงนั้นข้าพเจ้าจำได้ว่าแถวบ้านไม่มีคนปลูกอ้อยเลย คนส่วนใหญ่ก็เลยบอกพ่อว่าจะไปรอดเหรอทำอย่างอื่นไม่ดีกว่าหรอแต่พ่อก็ทำต่อไป พอปลูกอ้อยได้ไม่นานพ่อก็มีเงินซึ้อรถไถฟดร์ด ซื้อรถกระบะ และรถสิบล้อ จากที่เราไม่เคยมีอะไรเลยพ่อสร้างขึ้นมาภายในไม่กี่ปีและคนแถวนั้นก็หันมาปลูกอ้อยเหมือนพ่อเพราะโรงงานอยู่ใกล้เองๆ พ่อกับแม่ทำให้ข้าพเจ้าเห็นว่าถ้าเราอดทนและสู้เราก็จะทำได้ข้าพเจ้าจึงรักพ่อกับแม่มาก พอช่วงมัธยมศึกษาข้าพเจ้าเรียนที่โรงเรียนบ้านหันวิทยาจนจบมัธยมศึกษาตอนปลาย ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านข้าพเจ้าแค่ 3 กิโลเมตรเอง ช่วงมัธยมศึกษาตอนต้นข้าพเรียนค่อนข้างดีได้รับรางวัลนักเรียนดีเด่นตลอด สำหรับรางวัลที่พ่อกับแม่ให้ก็คือคำชม ข้าพเจ้าจะไม่ค่อยอ้อนซื้อของสักเท่าไหร่ถึงขอไปก็ไม่ได้ เพราะพ่อบอกว่าถ้าถึงเวลาจำเป็นพ่อจะซื้อให้เองไม่ต้องขอและพ่อกับแม่ก็ซื้อให้จริงๆ อย่างเช่น คอมพิวเตอร์พ่อก็ซื้อให้ตอนจบม.3 โทรศัพท์มือถือและมอเตอร์ไซด์พ่อก็ซ้อให้ตอนขึ้นม.4 เทอมสองเพราะพ่อกับแม่บอกว่ามันคงจำเป็นต้องใช้แล้ว
ข้าพเจ้าเอ็นติดคณะวิทย์-เคมี ที่ม.ขอนแก่น และคณะศึกษาศาสตร์ สาขาภาษาอังกฤษที่ม. สารคาม ข้าพเจ้าตัดสินใจไม่ถูกเลยว่าจะเรียนต่อที่ไหนดี แต่ส่วนใหญ่มีแต่คนแนะนำว่าให้เรียนครูดีกว่าถ้าเรียนวิทย์-เคมี กลัวไปไม่รอดข้าพก็คิดว่าอย่างนั้นเหมือนกันเลยตัดสินใจมาเรียนที่ม.สารคาม ซึ่งตอนมาเรียนใหม่ๆข้าพเจ้ายังปรับตัวไม่ค่อยได้เรียนก็ไม่รู้เรื่อง เพราะพื้นฐานภาษาอังกฤษของข้าพเจ้าไม่ค่อยดี คิดอยู่หลายครั้งว่าจะย้ายคณะดีหรอเปล่าแต่ก็ขอลองสู้ให้มันถึงที่สุดก่อน เพราะข้าพเจ้าถามพ่อกับแม่ท่านบอกว่า อย่าดูถูกความสามารถตัวเอง ข้าพเจ้าก็เลยลองพยายามทำให้สุดความสามารถตัวเอง ตอนอยู่ปี 2 ข้าพเจ้าเป็นอันต้องเข้าโรงพยาบาลผ่าตัดไส้ติ่งเลยต้องหยุดเรียนไป 2 สัปดาห์ ที่จริงหลังจากผ่าตัดไส้ติ่งเขาจะผอมกันแต่ข้าพเจ้าผอมได้ไม่นานด้วยความโหยหิวหลายอย่างที่ไม่ได้กินเพราะเขาให้กินแต่อาหารอ่อนๆข้าพเจ้าก็เลยกินเอาๆเลยอ้วนขึ้นตั้ง 5 กิโลกรัม ปัจจุบันข้าพเจ้ากำลังเรียนอยู่ชั้นปีที่ 4 ก็ใกล้จะจบแล้ว ข้าพเจ้าก็รอล้นว่าจะได้ออกฝึกสอนโงเรียนไหนเพราะทางมหาลัยยังไม่แจ้งแต่ข้าพเจ้าก็อยากได้ที่ใกล้บ้านที่สุดแต่มันก็คงเป็นไปได้ยาก ข้าพเจ้าอยากจบเร็วๆพ่อกับแม่จะได้หายห่วงและมีงานทำดีๆในอนาคตอีกไม่กี่ปีข้างหน้านี้
ประวัติโดยย่อ
กระผมชื่อ นายฌานินทร์ ไชยมานันต์ สมาชิกในห้องเรียก พี่เอส
ลืมตาดูโลกเมื่อ วันที่ 3 เม.ย 2526 ปัจจุบันกำลังศึกษาอยู่ คณะศึกษาศาสตร์ เอก ภาษาอังกฤษ ชั้นปีที่ 4 เป็นคนเมืองบั้งไฟพญานาคโดยตรง พูดไปแล้วปีนี้บั้งไฟพญานาคขึ้นเยอะกว่าทุกปีอาจเป็นเพราะผมมีเวลาไปวางลูกไฟ (ล้อเล่น) บุคลิกส่วนตัว เป็นคนอารมณ์ร้อน โกรธง่าย หายเร็ว เป็นครั้งคราวแล้วแต่สถานการณ์ ส่วนเรืองอาหารการกินนั้นชอบบริโภคอาหารอีสานเป็นชีวิตจิตใจ ไปอยู่เมืองนอกก็ยังคิดถึงส้มตำอยู่เหมือนเดิม ไม่ปฏิเสธหรอกครับว่ากินอาหารไม่เข้ากับหน้าตา จำไม่ได้ว่าสถานที่เกิดนั้นคือที่ใด หนองคาย หรือว่า กรุงเทพ ฯ. คนหนองคายโดยกำเนิดเลยครับ ส่วนท่านเทวดาทั้งสองของผมก็เป็นคนหนองคาย แต่ยายมีเชื่อสายมาจากทางจังหวัดสกลนคร แต่ตามีเชื่อสายมาจากทางภาคเหนือเจ้า ที่เมืองรถม้า จ.ลำปาง
ประวัติด้านการเรียน เรียนจบชั้นประถมจากโรงเรียนเมืองเลย จังหวัดเลย คิดถึงบ้านอย่างแรงก็เลยย้ายมาเรียนต่อระดับมัธยมศึกษาที่ โรงเรียนปทุมเทพวิทยาคาร จังหวัดหนองคาย ตอนที่เรียนอยู่ ม.4-6 ก็ค่อนข้างจะฮอตฮิตเหมือนกัน มีสาวๆ มาจีบมากมายแต่พอจะคบใครจริงๆ ก็อกหักไปซะทุกที เพื่อนผมบอกว่าผมเป็นคนที่มีสถิติอกหักติดชาร์ต อันดับ1 เพราะว่าผมอกหักเดือนละ 1-2 ครั้งก็ว่าได้ ตรงกันข้ามชีวิตผมเติบโตมากับพระ เพราะว่าผมอยู่ที่วัดมาตั้งแต่เรียนอยู่ ม.3 จนถึงปัจจุบันก็ยังใช้ชีวิตอยู่กับวัดอยู่ ผมเชื่อว่าผมได้ดีหรือมีวันนี้ได้ส่วนหนึ่งก็เพราะหลวงพ่อที่คอยอบรมดูแลผมมาตลอด ตอนที่ผมเข้าไปอยู่วัดตอนแรกมีเด็กวัดทั่งหมด 12 คน ตั้งเป็นทีมฟุตบอลได้เลย แต่ก็โดนหลวงพ่อตีเป็นประจำ เด็กวัดที่นั้นล้วนแล้วมีแต่ลูกครูกันทั้งนั้น ผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงยอมให้ลูกไปอยู่วัด อยู่ที่วัดนี้ค่อนข้างจะกดดันพอสมควรครังเพราะอยากเล่นฟุตบอลก็ไม่ได้เล่น อยากไปเที่ยวกับเพื่อนก็ไม่ได้ไป อยากจีบสาวก็ต้องหลบๆ ซ่อนๆ แต่มีวันนี้ได้ก็เพราะวัดลำดวน พอจบ ม.6 ชีวิตหันเหในช่วงนี้เพราะสอบเอ็นทรานซ์ที่ไหนก็ไม่ติดก็เลยไปเรียนต่อที่สถาบันราชภัฏอุดรธานี เอก วิทยาศาสตร์การกีฬา คนที่ส่งเสียค่าเทอมก็คือหลวงพ่ออีกนั่นแหละ จากนั้นมีโอกาสจะได้ไปเรียนต่อที่ประเทศสหรัฐอเมริกา แต่เกิดความกลหลวุ่นวายจากเหตุการณ์ เวิร์ลเทรด เซ็นเตอร์ ถล่ม ผมก็เลยพราดทำวีซ่าไม่ผ่านถึง 2 ครั้ง เสียใจมาก มิหนำซ้ำยังโดนน้าสะใภ้ต้มจนเปื่อยกินเงินไป 200,000 บาท เสียศูนย์เลยครับ จากนั้นก็เลยลาออกจากราชภัฎมาเรียนต่อที่ วิทยาลัยประชาคมนานาชาติ หนองคาย – อุดรธานี เป็นเวลา 2 ปี ตอนที่เข้าไปเรียนแรก ๆ นึกว่าจะเอาตัวเองไม่รอดแล้ว เพราะครูที่สอนทั้งหมดเป็นฝรั่ง จากนานาประเทศ สำเนียงก็ไม่เหมือนกัน แต่ก็สนุกครับ หลังจากที่เรียนจบที่นั้นผมก็ได้สอบเทียบโอนหน่วยกิต มาเรียนต่อที่ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ตอนที่มาสอบเข้าวันแรก เจอเลยครับ อาจารย์ ดร.ธูปทอง ตอนแรกผมกับเพื่อนไปนั้งรอสอบทื่ห้อง ก็รอว่าเมื่อไรอาจารย์จะมาซะที รอนานแล้ว และแล้วเขาก็มา คุณป้าถือตะกร้าเหมือนจะมาขายของอะไรซักอย่าง แต่พอมาถึงแล้วพูดออกมาแต่ละคำเป็น ภาษาอังกฤษ ผมแทบงงไม่นึกไม่ฝันว่าเขาคนนั้นจะเป็น รองศาสตราจารย์ ดร.ธูปทอง นั่นเอง หลังจากที่มาเรียนที่นี่ก็มีประสบการณ์ที่ดีหลายอย่าง ได้มีโอกาสไปเที่ยว เกาหลี สหรัฐอเมริกา บ้าง และตอนนี้ก็กำลังจะไปอีก อนาคตผมคิดว่าผมคงไม่เป็นครูอังกฤษหรอกครับ แต่ใจจริงแล้วผมอยากเป็นนักธุรกิจมากกว่า และผมตั้งใจว่าพอเรียนจบจะไปทำงานที่สหรัฐอเมริกาเลย
ตอนนี้ก็ทั้งเรียนทั้งทำงานด้วย งานที่ผมทำก็คือ เป็นคนสวน คนขับรถอาจารย์ธูป และงานเบ็ดเตล็ดทั่วไป เช่น ตกแต่งกำแพง ซ่อมประปา ฯลฯ พูดแล้วก็รู้สึกผิดอยู่บ้างเพราะว่าตอนที่ผมพาอาจารย์ธูป ออกนิเทศที่โรงเรียนต่าง ๆ เพื่อนในกลุ่มก็โทรมาให้มาเขียนแผนบ้าง ทำงานกลุ่มบ้าง บางทีก็มาไม่ทันเพื่อนก็รู้สึกไม่ค่อยดีเหมือนกันครับ แต่ว่าก่อนออกเดินทางก็มีการวางแผนงานกับอาจารย์ไว้แล้ว แต่เพื่อนก็ดันนัดโดยที่ไม่ได้บอกล่วงหน้าซะงั้นผมก็เลยกลุ้มไปเลย แต่ก็ดีใจครับที่ได้รับใช้อาจารย์เพราะว่าบางทีตังค์ช็อต อาจารย์ก็ช่วยชีวิตไว้ได้แต่ต้องแลกกับค่าเหนื่อยพอสมควรครับ การเรียนในเทอมสุดท้ายนี้ก็สบายๆ เรียนไม่หนักมีเวลาว่างเยอะ เรียนเสร็จก็กลับหอ ตอนเย็นก็ไปเตะฟุตบอลกับเพื่อนสนิท เป็นสไตล์ กีฬาครอบครัว สนุกครับ พอเสร็จตอนเย็นก็นัดกันกินข้าว และชนแก้วกันเป็นครั้งคราว
ประวัติของผมก็มีไม่เยอะหรอกครับเท่าที่จับใจความหรือจดจำได้ก็มีไม่มากพอสังเขป สุดท้ายนี้ก็สนุกกับการเรียนวิชาแนะแนวมากครับ ได้หัวเราะอยู่ไม่ขาดสายเลยเชียว ยังไงก็ขอให้อาจารย์รักษาเอกลักษณ์นี้ไว้นานๆ นะครับ เพราะว่าเหมาะสมกับคนหน้าตาดีอย่างอาจารย์มากเลย
ขอบคุณครับ
นายฌานินทร์ ไชยมานันต์ 4EN 48010511050
นางสาว นีรนุช วารีสี (นุ้ยส์)
48010510992 (4EN)
สืบ – สาว – ราว – เรื่อง ของนู๋นุ้ยส์
ภาคแรก (แนะนำตัวเอง)
นีรนุช วารีสี อันนี้คือ ชื่อ- สกุลจริงๆค่ะ เรียกกันง่ายๆก็ นุ้ยส์ ค่ะ เหตุผลที่เขียนแปลกๆ คือจะ ได้ง่ายต่อการจำค่ะเพราะคนที่มีชื่อเล่นว่า นุ้ย มีมากเลยจำไม่หวาดไม่ไหว ส่วนเหตุที่เลือกเติม (ส์) ก็เพราะนุ้ยส์เกิดปีขาล 12 เมษายน 2529 ค่ะ ราศี มีน กรุ๊ปเลือด โอ นุ้ยส์เป็นลูกคนโตค่ะ มีน้องชายหนึ่งคนค่ะ แล้วอายุก็ห่างกัน 12 ปีค่ะ พื้นเพเดิมเป็นคนจังหวัดกาฬสินธุ์ค่ะ พ่อกะแม่ประกอบอาชีพเกษตกรและก็ค้าขายค่ะ
เรื่องประวัติการศึกษา….เริ่มเรียนอนุบาล-ประถมฯ 6 ที่โรงเรียนหนองไผ่รัฐบำรุง เป็นโรงเรียนประถมใกล้บ้านค่ะ นุ้ยส์เดินไปโรงเรียนทุกวันค่ะ ห่างจากบ้านประมาณ 100 เมตรค่ะ
มัธยมฯ ตอนต้น เรียนที่โรงเรียนยางตลาดวิทยาคารค่ะ เป็นโรงเรียนระดับมัธยมขนาดกลางมีตั้งแต่ระดับมัธยมฯ 1 – 6 ในอำเภอยางตลาด จังหวัดกาฬสินธุ์ ส่วนระดับมัธยมฯตอนปลายย้ายมาเรียนที่โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยมหาสารคาม อำเภอกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคามค่ะ หลังจากนั้นเข้าเรียนระดับอุดดมศึกษาที่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม คณะศึกษาศาสตร์ สาขาภาษาอังกฤษค่ะ
ภาคสอง (นี่แหละคือ....ฉันเอง)
นุ้ยส์เป็นคนยิ้มเก่งค่ะ ชอบยิ้มหวานๆให้ทุกคนค่ะ ไม่ว่าจะสนิทหรือไม่รู้จักกันมาก่อน เพราะเชื่อเสมอว่า ยิ้มแล้วโลกสดใสเสมอค่ะ และยิ้มให้กันแล้วทำให้เรารู้จักกันและรู้จักกันมากขึ้นด้วยค่ะ คำพูดคำจานั้นก็มีหลายแบบทั้งไพเราะอ่อนหวานและตรงไปตรงมา แล้วแต่กรณีค่ะ นุ้ยส์ชอบคนจริงใจและรักใครรักจริงด้วยนะค่ะ นุ้ยส์ไม่ค่อยจะโกรธง่ายค่ะ ถึงโกรธใครก็หายเร็ว เพราะขี้เกียจโกรธ ขี้เกียจงอน เหนื่อยค่ะ แถมโกรธแล้วยังปวดหัว หน้าบึ้งตึง นุ้ยส์ไม่ชอบค่ะ ชอบที่สุดก็คือยิ้มหวานๆ ที่สำคัญต้องจริงใจด้วยนะค่ะ
เรื่องของสีที่ชอบก็มี 3 สี สีที่ชอบที่สุดคือ สีม่วงค่ะ เหตุผลเพราะดูลึกลับน่าค้นหา อีกทั้งสง่าน่าสนใจ สีขาวก็ชอบเหมือนกัน เพราะดูสะอาดบริสุทธิ์ สดใส สุดท้าย….สีดำค่ะ เพราะดูน่าเกรงขาม สุขุมนุ่มลึกค่ะ
เรื่องของสัตว์ที่นุ้ยส์ชอบก็คือ….มังกรค่ะ มังกรทองจะชอบที่สุดค่ะ เพราะดูลึกลับ มีอำนาจ ทรงพลังค่ะ นุ้ยส์จะชอบแทนตัวเองว่า The Princess of Dragon ไม่ก็ Dragoness 004 เสมอๆเวลาแช็ตหรือเวลาต้องการแสดงความเป็นเจ้าของกับสิ่งต่างๆที่แสดงถึงตัวเองค่ะ
นุ้ยส์ก็แช็ตบ้างแต่ไม่ถึงกับบ่อยแต่ครั้งละนานๆ ส่วนมากเวลาเล่นเน็ตจะเป็นทำงาน และอ่านข่าวบ้าง บทความบ้าง เคล็ดลับต่างๆ เทคโนโลยีที่กำลังอัพเดรส ประมาณชอบโหลดโปรแกรมมากกว่าค่ะ บางครั้งชอบหารูปภาพที่ดูแล้วแสดงอารมณ์ต่างๆได้….รัก เหงา เศร้า โกรธ ดีใจ สับสน ฯลฯ พวก Emotion pictures จะชอบมากๆเลย เวลาไม่สบายใจนุ้ยส์เลือกที่จะชอบเขียนระบาย เขียนเสร็จแล้วอ่าน อ่านเสร็จแล้วทำลายทันที….ไม่เก็บเป็นหลักฐานค่ะ อีกหนทางนึงคือจะเล่าให้เพื่อนสนิท (สนิทจริงๆ) ฟัง นุ้ยส์กล้าปรึกษาทุกเรื่องค่ะกับเพื่อนคนนี้ และรู้สึกเชื่อใจค่ะว่าไว้ใจได้ที่สุดเลยค่ะ
นุ้ยส์ชอบดูหนังค่ะ ดูได้ทุกแนว โดยเฉพาะหนังแนว Action & Myth & Science ค่ะ ถ้าดูในโรงหนังส่วนมากก็ไปดูที่เสริมไทยค่ะ (ถ้ามีตังค์) ไม่อย่างนั้นจะเช่ามาดูที่ห้องค่ะ ส่วนเพลงก็ชอบแนว R & B & Dance & Hip Hop ค่ะ
ถ้าเป็นนิยายจะชอบแนวทะเลทราย อาหรับค่ะ เพราะอ่านแล้วสนุกเข้าถึงอารมณ์….เป็นอารมณ์รุนแรงทั้ง รัก เกลียด โกรธ หลง เวลาอ่านแล้วนุ้ยส์รู้สึกว่า คนเขียนเค้าเขียนจากเรื่องจริง เวลาเราอ่านก็ทำให้เราเข้าถึงอารมณ์ได้จริงๆค่ะ การดำเนินเรื่องไม่ราบรื่นตลอด ต้องเจออุปสรรคบ้าง ให้เราได้ฝ่าฟัน พิสูจน์ความแกร่งของใจ ทำให้รู้ว่า….นี่แหล่ะรสชาติของชีวิตที่จริงๆ….ผ่านช่วงที่เลวร้ายมาได้เราก็แกร่งขึ้นอีกเยอะค่ะ และอีกเหตุผลที่ชอบแนวอาหรับ คือลักษณะโครงสร้างทางด้านร่างกายดูอบอุ่น ดูดีค่ะ ผู้หญิงก็สวยสุดๆ ผู้ชายก็คมเข้มค่ะ อันนี้ชอบจริงๆค่ะ….แบบว่าชอบที่สุดเยยยยยยยย ค่ะ 5555
ถ้ามีโอกาสได้เที่ยวนุ้ยส์จะเลือกไปเที่ยวภูเขา เที่ยวท่ามกลางสายหมอก แสงเดือน หมู่ดาว ต้นไม้ใบหญ้า และอากาศดีๆ ไม่ก็ทะเล ที่เต็มไปด้วยหาดทรายขาว น้ำทะเลสีเขียวมรกต สัตว์ทะเลน้อยใหญ่มากมายค่ะ เพราะสัมผัสได้ถึงธรรมชาติที่อบอุ่น อุดมสมบูรณ์ค่ะ
ภาคสาม ( ใฝ่และฝัน )
นุ้ยส์เชื่อว่าทุกคนมีความฝัน....เราทุกคนอยู่ได้เพราะความฝันที่ต่างก็อยากให้มันเป็นความจริงเสียที ตั้งแต่เด็กมีความใฝ่ฝันอยากเป็นทหารเรือค่ะ ชอบเครื่องแบบเป็นอันดับแรกค่ะ อยากแต่งเครื่องแบบอย่างนี้บ้าง โดยที่ไม่รู้ว่าหน้าที่ของทหารเรือนั้นต้องทำอย่างไรบ้าง รู้แค่ว่าต้องสวมเครื่องแบบนี้ ถือปืน เดินเรือค่ะ....5555 อย่างเดา แต่ทว่าช่วงชีวิตผกผันต้องเรียนสายศิลป์- ภาษา ทำให้เข้าเรียนในโรงเรียนทหารไม่ได้ เลยผันตัวเองมาเรียนสายครู แต่ความฝันยังไม่ดับสิ้นไป ยังมีความต้องการที่จะเป็นทหารเหมือนเดิม ตอนนี้อยากเป็นอาจารย์สอนในโรงเรียนทหารค่ะ
นางสาว ณัฐจิตรา มุทนาเวช (อ้อมอ้อม)
48010510992 (4EN)
แบบฝึกหัดวิชา นี่แหละตัวชั้น
จงตอบคำถามดังต่อไปนี้
1. จงบอกชื่อและนามสกุลของคุณ
ชื่อ ณัฐจิตรา มุทนาเวช (อนาคตอาจจะเปลี่ยน 555) (อนาคตเป้นสิ่งไม่แน่นอน)
2. คุณมีชื่อเล่นหรือไม่ อะไรบ้าง
มีค่ะ ชื่อ อ้อม แต่ก็มีเพื่อนบางคนเรียกว่า “วนัส” ส่วนมากจะเป็นเพื่อนสมัยมัธยมศึกษา อยากรุ้ใช่มั๊ยหล่ะว่า วนัส มาจากไหน ก็แต่ก่อนชื่อจริงชื่อ วนัสนันท์ค่ะ
3. วันที่คุณเหยียบโลกวันแรก
จำไม่ได้ค่ะว่าเหยียบโลกครั้งแรกวันไหน แต่ถ้าหมายถึงวันเกิดก็ วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2530
4. จงบอกปีนักษัตรและราศีของคุณ
เป็นคนปีขาล (เสือ)ค่ะ ส่วนราศีก็ ราศีกุมภ์
5. คุณมีกรุ๊ปเลือดอะไร
กรุ๊ปเลือดที่ใจบุญที่สุด กรุ๊ปโอค่ะ
6. จงบอกถึงนิสัยของคุณ
เป็นคนใจร้อน ขี้น้อยใจ โกรธง่าย จริงจังและก็รักคนที่จริงใจ ร่าเริง เป็นเพื่อนได้กับทุกคน อารมณ์แปรปรวนง่าย
7. จงเล่าประวัติการศึกษาของคุณ
ชีวิตการศึกษาไม่เคยเข้าศึกษาในเมือง(ร้อยเอ็ด) มาดูกันค่ะว่าเรียนที่ไหนบ้าง
ระดับประถมศึกษา เรียนที่โรงเรียนบ้านหนองเข็ง (โรงเรียนระดับหมู่บ้านค่ะ เลิศขนาด)
ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น เรียนที่โรงเรียนจังหารฐิตวิริยาประชาสรรค์ (โรงเรียนนี้ก็ระดับอำเภอค่ะ)
ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย เรียนที่โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยมหาสารคาม (พอเรียน ม. ปลายก็ออกต่างจังหวัดค่ะ เลิศมากๆ (หมายถึงโรงเรียนค่ะ เค้าว่ามาก็ว่าตามเค้า) )
8. จงอธิบายถึงความแตกต่างระหว่างตอนที่เรียน ม. ต้นกับ ม. ปลาย
ม. ต้น เรียนที่ร้อยเอ็ดค่ะ เวลาไปโรงเรียนทำตัวเหมือนเด็กเรียนมากคือแบกสมุด หนังสือไปเยอะแยะ ไม่ใช่ว่าขยันอะไรมากมายนะ พอดีที่โรงเรียนเวลาเรียนไม่ได้นั่งเรียนในห้องเดิมตลอด คือต้องเดินเปลี่ยนห้องทุกชั่วโมง เก็บหนังสือไว้ใต้โต๊ะไม่ได้ ต้องแบกมา แบกกลับทุกวัน ตัวยิ่งเตี้ย ยิ่งมาเพิ่มความหนักให้เตี้ยอีก (เศร้า) เวลาไปเรียนก็นั่งรถประจำทาง(ร้อย- กาฬสินธุ์)ไปเรียน ตอนพักเที่ยงอยากกินไรก็ซื้อกินตามใจชอบไม่ได้จ่ายค่าอาหารกลางวันเป็นเทอม
ม. ปลาย ย้ายมาเรียนที่มหาสารคาม พักหอพักของโรงเรียน เวลาไปโรงเรียนก็เดินเอา เดินไม่กี่ก้าวก็ถึงแล้วเพราะโรงเรียนกับหอพักติดกัน ตอนเรียนม. ปลายสบายมากๆ ไม่ต้องเดินเปลี่ยนห้องเหมือนตอนเรียนม. ต้น แถมยังได้เรียนในห้องแอร์ เวลาพักเที่ยงเดินไปนิดเดียวก็ถึงโรงอาหาร ไม่ได้สั่งอาหารกินเองเลย แล้วแต่ทางโรงเรียนจะทำอะไรให้กินเพราะว่าที่โรงเรียนได้จ่ายค่าอาหารเป็นเทอมไว้แล้ว กินข้าวเสร็จก็ขึ้นห้องเรียน นั่งเล่นในห้องเรียน อยู่แต่ในโดมทั้งวัน (กล้าคิดออกนอกโดม)
9. จงเล่าชีวิตมหา’ลัยของคุณอย่างคร่าวๆ
ก็ไม่มีอะไรมากค่ะ ตอนนี้ก็เรียนคณะศึกษาศาสตร์ เอกภาษาอังกฤษ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ชีวิตช่วงมหา’ลัยมีหลายรสชาติ ทุกข์ สุข สนุก เศร้า (เคล้าน้ำตา) ไม่ค่อยได้ร่วมกิจกรรม ยิ่งตอนปีหนึ่งเรียกได้เลยว่าไม่ร่วมกิจกรรม อยากบอกว่าตอนปีหนึ่งมีสโลแกนประจำตัวด้วย (เรียนไม่มา กีฬาไม่ทำ กิจกรรมไม่ร่วม) คิดขึ้นเอง555 ชั่วร้ายจริงๆ แต่พอเริ่มปีสาม ปีสี่ ก็เข้าร่วมกิจกรรมมากขึ้น ส่วนเรื่องผลการเรียนยิ่งเรียนยิ่งแย่ ไม่รู้ว่าเรียนยากขึ้นหรือขี้เกียจมากขึ้น (อันหลังจะใช่มากกว่า) เพื่อนๆในมหา’ลัยก็มีเยอะทั้งสนิทและก็ไม่สนิท เพื่อนที่มาจากโรงเรียนเดียวกันก็มี แต่ก็ไม่ค่อยได้เจอกันเพราะเรียนกันคนละคณะ เพื่อนอยู่ในกลุ่มเดียวกันดีมากๆเลย (ช่วยจดงานให้ตอนโดดเรียน โทรตามไปเรียน ช่วยเรื่องทำงาน ทำการบ้านด้วย) ขอบใจเพื่อนมากนะ
10. คุณชอบกินไอศกรีมหรือไม่ รสอะไร
ชอบมั่กมาก ชอบกินรสช็อกโกแลตชิพ
11. เรื่องที่คุณอายสุดๆ
นี่เลยตอนเป็นอาสาสมัครซีเกมส์ที่โคราช วันนั้นไปดูสถานที่ปฏิบัติงานกะเพื่อนๆแล้วไม่มีรถกลับบ้าน เลยโบกรถกลับ ก็มีคนใจดีรับกลับด้วย(ขอบคุณมากมายค่ะ) ตอนขึ้นรถเราไม่ได้สังเกตว่าเป็นรถสี่ประตู เราก็เปิดประตูหน้าแล้วก็ผลักเบาะให้เพื่อน พอคนสุดท้ายกะลังจะขึ้นเค้าก็พูดขึ้นว่า “เอ้าประตูตรงนี้ก็มี” ทุกคนก็หันไปดูแล้วก็พากันหัวเราะ พี่เจ้าของรถก็หัวเราะด้วย บอกตรงๆว่าตอนนั้นอายมั่กมาก ถึงตอนนี้ก็ยังอายอยู่ นึกถึงเรื่องนี้ทีไรขำตลอดเลยอ่ะ
12. คุณชอบดูหนังแนวไหน
ชอบดูหนังแนว Action จะว่าไปแล้วก็ดูได้ทุกแนวนะ ยกเว้นเรื่องผีอ่ะ
13. คุณมีความรักในวัยเรียนหรือไม่ ถ้ามีจงเล่าพอกรุ๊บกริบ
ความรักในวัยเรียนหรอเป็นรักข้างเดียวอ่ะ แอบมอง (ไม่ใช่พวกโรคจิตน๊าๆๆๆ) ตอนม. ปลายแอบชอบเพื่อนต่างห้อง เค้าเป็นเพื่อนของแฟนเพื่อนหน่ะ วันนึงเราโทรศัพท์คุยกะเพื่อนของเค้าแล้วก็ถามเรื่องของเค้า ตอนแรกเข้าใจว่าเพื่อนอยู่ห้องคนเดียวก็เลยถามซะยืดยาวที่ไหนได้เพื่อนเค้าอยู่ทั้งแก๊ง พอไปโรงเรียนเพื่อนในแก๊งเค้าก็ถามหาคนที่โทรศัพท์ มีเพื่อนเค้าคนนึงมาเขียนประกาศตามหาในห้องเรียนเราเลยอ่ะ (รักก็บอกว่ารัก...........) อายมั่กมาก แต่ก็ไม่มีไรเกิดขึ้น เค้าเรียนที่ มมส. ด้วย เจอกันบ้างแต่ก็ไม่กล้าทักเค้า แบบว่าเขิน วันนั้นเจอกันแล้วเค้าก็ยิ้มให้ อยากบอกว่าแทบหลอมละลาย เขินมั่กมาก วันนั้นเป็นไม่ทำไรเลยมัวแต่ยิ้มทั้งวัน
14. ตอนเป็นเด็กคุณอยากเป็นอะไร (หมายถึงอาชีพ)
ตอนเป็นเด็กฝันอยากเป็นหมอ พยาบาล เพราะคิดว่าจะได้ดูแลพ่อกะแม่ค่ะ
15. วันที่คุณเสียใจและร้องไห้สุดๆ
วันที่คุณพอจากไปตลอดกาลค่ะ ตอนนั้นเปิดเทอมได้วันเดียว นั่งเรียนยังไม่ถึงวันเลยก็ต้องรีบกลับบ้าน
16. ถ้ามีโอกาสไปเที่ยวคุณจะเลือกไปที่ไหน
อยากไปเที่ยวทะเลทางภาคใต้ แถวภูเก็ต พังงา และก็อยากไปเที่ยวภูเขาที่เชียงใหม่ เชียงราย แล้วก็แม่ฮ่องสอน อะไรอย่างนี้
17. เวลาคุณมีปัญหาหรือรู้สึกไม่สบายใจคุณจะทำอย่างไร
ถ้ารู้สึกไม่สบายใจ กะลังเศร้าก็จะฟังเพลง ร้องเพลง เวลามีปัญหาก็แก้ปัญหาสิค่ะ อิๆๆๆๆ บางครั้งก็เล่าให้เพื่อนฟัง ขอแค่ได้พูดระบายออกมาก็โอเคแล้ว
18. จงเล่าถึงเรื่องอนาคต อนางอของคุณ
ในอนาคตก็ตั้งใจจะประกอบอาชีพครูค่ะ อยากสอนในโรงเรียนเตรียมทหาร (ที่ฝันๆอ่ะนะ) ทำงานเก็บตังค์ สร้างบ้าน ซื้อรถ ดูแลแม่ค่ะ
19. เรียนปริญญาตรีแล้วคุณจะเรียนต่อหรือทำงาน
ก็อยากเรียนต่อมากกว่าค่ะ แต่ก็ไม่แน่เรียนจบอาจจะหางานทำเลย (อนาคตเป็นสิ่งไม่แน่นอน)
20. คติประจำใจของคุณ
คุณทำอะไร อย่างไร กับใคร คุณก็จะได้รับเช่นนั้น
นางสาวสุภาวดี จันทร์ตรัย
รหัสนิสิต 48010511628 ระบบปกติ EC
อัตชีวประวัติ
ดิฉันชื่อนางสาวสุภาวดี จันทร์ตรัย ชื่อเล่น น้อย เกิดวันศุกร์ ที่ 15 เดือน ตุลาคม พ.ศ. 2529 ปีขาล ภูมิลำเนาเกิดบ้านเลขที่ 21 หมู่ที่ 12 ตำบลโคกยาง อำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์ 32140 แต่ที่อยู่ปัจจุบัน คือ บ้านเลขที่ 63 หมู่ที่ 20 ตำบลขามเรียง อำเภอกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม 44150 สมาชิกในครอบครัวของฉันมีดังนี้ คือ
1. นายลัย นามเขตต์ คุณตา
2. นางเยาะ นามเขตต์ คุณยาย
3. นายกำพล จันทร์ตรัย คุณพ่อ
4. นางชุติมา จันทร์ตรัย คุณแม่
5. นางสาวศุทธินี จันทร์ตรัย น้องสาว
6. เด็กหญิงสุขฤดี จันทร์ตรัย น้องสาว
ตั้งแต่ฉันลืมตามาพบกับแสงสว่างและเริ่มรู้จักความ ฉันเกิดมาในครอบครัวที่อบอุ่น และไม่รู้ว่าคนรอบข้างพูดอะไรกัน ภาษาไทยก็ไม่ใช่ อีสานยิ่งไม่คล้าย ในตอนแรกดิฉันคิดว่าได้เกิดมาในครอบครัวอินเตอร์ แต่เมื่อเติบโตขึ้นจึงได้รู้ว่าภาษาถิ่นที่ตนเองพูดเรียกว่า ภาษาเขมร แต่ดิฉันก็รู้สึกภูมิใจเมื่อได้มาอยู่ ณ ที่แห่งนี้ (นินทาคนอื่นต่อหน้าแล้วเขาไม่รู้ ไม่ดี ) ดิฉันมีการศึกษาในครั้งแรกในระดับอนุบาลจนถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ในโรงเรียนบ้านสวายซอ การใช้ชีวิตนักเรียนในตอนเด็ก ฉันรู้ว่าเป็นอะไรที่มีความสุขเช่นนี้ ตั้งแต่ ป. 1 ถึง ป. 6 ฉันเป็นนักกีฬากรีฑาของโรงเรียนตลอดมา ได้รางวัลกี่ครั้งนับไม่ถ้วน เพราะไม่มีให้นับน่ะ อดีตเป็นนักวิ่งแต่ปัจจุบันเคลื่อนที่แต่ละทีแสนจะลำบาก
เติบโตขึ้นมาเรื่อยๆ จนได้เข้าเรียนในโรงเรียนมัธยม ไปไหนได้ไม่ไกลก็อยู่ใกล้ๆโรงเรียนเดิมนั่นแหละ โรงเรียนประจำตำบลแต่ฉันภูมิใจมาก เพราะโรงเรียนเล็กๆก็ทำให้ฉันสามารถ
เอ็นทรานซ์ได้เข้ามาเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยแห่งนี้ โรงเรียนที่ฉันกล่าวถึงนั้นคือ โรงเรียนโคกยางวิทยา จบ ม. ต้นด้วยเกรดเฉลี่ย 3.58 มัธยมปลายด้วยเกรดเฉลี่ย 3.38 ฉันเลือกเรียนในสายวิชา
วิทย์-คณิต แต่ฉันมีความสนใจในภาษาอังกฤษ และโง่การคำนวณ ฉันก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน แต่สุดท้ายฉันก็เลือกที่จะเรียนครูและเป็นครูสอนอนุบาล
ตอนนี้ฉันกำลังศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม คณะศึกษาศาสตร์ สาขาการศึกษาปฐมวัย ชั้นปีที่ 4 ในชั้นปีที่ 1 ฉันรู้สึกท้อมากเพราะต้องอยู่ไกลบ้าน ฉันกลับบ้านบ่อยมาก แต่ทุกวันนี้ฉันไม่ค่อยได้กลับบ้านเพราะการใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ฉันมีเพื่อน จึงทำให้การคิดถึงครอบครัวลดน้อยลง ฉันสนุกกับการเรียนเป็นอย่างมาก
ฉันเคยถามแม่ว่า “แม่เมื่อตอนเด็กหนูซนไหม เป็นยังไงบ้าง” แล้วแม่ก็เล่าให้ฉันฟังว่า ในตอนประมาณ 3 เดือน ฉันเกือบตายมาแล้ว เนื่องจากฉันร้องให้ไม่ยอมหยุด (เวลาดื่มนมเงียบ) เป็นเวลา 3 เดือนเต็มๆแม่กับยายไม่ค่อยได้พักผ่อน เพราะคอยดูแลฉันแล้วเมื่อฉันหลับแม่กำลังจะใส่ฉันลงในเปล ด้วยความง่วงแม่ใส่ฉันลงเปลผิดจึงทำให้ฉันตกเปลทันที ฉันร้องให้เสียงดัง ดังนั้นฉันเข้าใจแล้วว่าเพราะเหตุใดฉันจึงไม่มีส่วนที่ฉันน่าจะมี ( ดั้งก็ไม่มีเหมือนคนอื่นหรือเปล่า? ) สิงที่ฉันเคยอยากถามฉันไม่คิดจะถามแล้ว ( เศร้าจัง! )
เมื่อโตได้ซัก 3-5 ขวบ แม่บอกว่าฉันซนมากชอบเอาไม้ไล่ตีเพื่อนข้างบ้านหากเขาทำอะไรไม่พอใจ แต่ฉันคิดว่าฉันเป็นคนฉลาดน่ะ ดังที่เขาว่าเด็กซนคือเด็กฉลาด ( นี่มันไม่ใช่เด็กซนแต่มันเด็กดื้อมากกว่า )
ที่ฉันเล่าอาจเป็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมแต่ฉันก็มีประวัติที่น่าภาคภูมิใจเหมือนกันนะ สิ่งที่จะกล่าวต่อไปนี้เป็นความภาคภูมิใจของฉัน ( ไม่ได้โม้นะ )
เนื่องจากฉันมีความสนใจในภาษาอังกฤษ แม้จะอ่านไม่ค่อยออก เขียนไม่ค่อยได้ แต่ฉันดันทุรังอยากรู้ ตอนอยู่มัธยมอาจารย์ที่โรงเรียนท่านคงเห็นแววฉันจึงส่งให้ฉันเข้าแข่งขันครอสเวิร์ดเกมส์ ไม่อยากจะบอกหรอกนะว่าแข่งไม่เคยว่าจะแพ้เลย ( แพ้เขาทุกครั้งแต่ก็ยังจะไปแข่งอีกนะ ) ถึงฉันไม่เคยได้รางวัลที่ 1 แต่ฉันก็ได้รางวัลชมเชยนะ แต่ที่เขาบอกว่าความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จอยู่ที่นั่นฉันก็พยายามในด้านอื่น ลองไปแข่งเปิดพจนานุกรมภาษาอังกฤษแล้วฉันก็ได้รู้ซึ้งถึงคำว่าที่ 1 มันเป็นเช่นนี้เอง ฉันได้ที่ 1 ระดับอำเภอในการแข่งขันเปิดพจนานุกรมภาษาอังกฤษ ( สุดยอด!) ก็เป็นครั้งเดียวเท่านั้นแหละ ( เฮ้อ!) แต่ฉันก็ภาคภูมิใจมากนะ การเรียนในระดับมัธยมเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขมากที่สุด เพราะเป็นวัยที่กำลังเติบโตอย่างเต็มที่และเป็นช่วงเวลาที่ต้องประสบกับทั้งปัญหา ซึ่งทำให้เรามีประสบการณ์ใหม่ๆ
เมื่อฉันอายุได้ 19 ปี ฉันต้องอยู่ไกลบ้านเพราะฉันต้องไปเรียนต่อต่างจังหวัด จังหวัดนั้นคือมหาสารคาม ฉันได้เข้ามาเรียนที่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ในสาขาการศึกษาปฐมวัย คณะศึกษาศาสตร์ จากที่เคยมีปัญหาอะไรเกิดขึ้นกับตนเองมีพ่อและแม่คอยช่วยแก้ปัญหาให้ แต่ตอนนี้ไม่มีแล้วฉันต้องแก้ปัญหาทุกอย่างด้วยตนเอง มาเรียนอยู่ที่นี่ฉันได้เจอเพื่อนที่หลากหลาย ทั้งภาษา แต่ละคนต่างคนต่างมา มาจากคนละท้องที่ การมาเรียนที่นี่ดีเหมือนกันในตอนแรกฉันมีปัญหาเรื่องภาษาฟังไม่ค่อยเข้าใจ แต่ตอนนี้ฉันเริ่มปรับตัวได้แล้วพอฟังเข้าใจแต่ยังพูดไม่ได้ ในระหว่างการเรียนอยู่ที่นี่ฉันจะเก็บเกี่ยวประสบการณ์เต็มที่และฉันจะต้องพูดภาษาถิ่นของคนที่นี่ให้ได้
นางสาวสุกัญญา ศรีวิชา
ชื่อเล่น เก่ง
คณะศึกษาศาสตร์ สาขาวิชาภาษาอังกฤษ
ชั้นปีที่ 4 รหัส 48010511014
ลืมตาดูโลกครั้งแรกที่โรงพยาบาลมุกดาหาร ในฐานะลูกคนที่ สาม ของพ่อกับแม่ พร้อมความหวังว่าจะเป็นลูกผู้ชายเนื่องจากพี่สองคนนั้นก็เป็นผู้หญิง แม่จึงไม่ลังเลใจเลยว่าทำหมันเดี๋ยวนี้ เพราะพ่อกับกับแม่ตั้งใจว่าอยากมีลูกผู้ชาย จึงเสี่ยงตั้งท้องเราดู เรามารู้ทีหลังว่าเกิดมาจากการเสี่ยงดวงโดยแท้จริง หลังจากนั้นที่ประชุมก็ลงมติตั้งชื่อทั้ง พ่อ แม่ ตา ยาย และนางพยาบาลทั้งหลาย สรุปได้ว่า สุกัญญา โคตรเชยเลย คิดดูดิพี่ชื่อ สกาวเดือน กับกิ่งดาวอะเรามาจากไหนสุกัญญาโคตรแก่ สรุปถ้าตอนแรกเกิดรู้ว่ามันจะเชยขนาดนี้ไม่ยอมหรอก ออกมาจากโรงพยาบาลน้องสาวพ่อเรียกข่มขวัญคู่แข่งว่า "น้องเก่ง "เอ้อพี่คนโตชื่อแก๋ม และคนกลางชื่อก้อย อยู่บ้านได้ไม่ถึงอาทิตย์ดดนป้าโขมยไป แม่ต้องตามไปเอาคืนด้วยความรัและคิดถึงงับ ขอหยุดเรื่องวัยเด็กอันโหดร้ายก่อน
พอเริ่มจำความได้แต่ก่อนบ้านเป็นบ้านสองชั้น ทั้งพี่และน้องซ้อมกีฬาบ่อยมาก ยิมนาสติกลีลาคับท่านตกจากชั้นสองบ่อยมากแม่เลยตัดสินใจทุบบ้าน ทำบ้านใหม่เป็นบ้านปูนชั้นเดียวซะเลย ไอ้เก่งไข่แตกเป็นฉายาที่คนสนิทที่เป็นผู้ใหญ่เค้าเรียกกัน เพราะนิสัยห้าวยังกะทอม แต่ไม่ใช่นะเพราะน่ารัก ตั้งแต่เด็กจนโตใช้ชีวิตอยู่กับตลาดเพราะว่าแม่เป็นแม่ค้าคับมีความสุขมากสนิทกับทุกคนที่ตลาดและผูกพันธ์กันตั้งแต่เด็กจนโต ตอนเด็กประมาณ สองสามปีพ่อแม่ไม่อยู่บ้าน พ่อแม่ต้องให้อาเลี้ยงและอาก็รักเรามากเพราะอายังไม่มีลูก และตอนนั้นที่โตมาพร้อมกันก็จะมี พีก้อย โย ฑี่แอ๋น เก่ง ยะ และนก จนกระทั่งโตและแยกย้ายกันไปเรียนพี่ก้อยกับพี่แอ๋นจบแล้ว โยเรียนอยู่อุบล เก่งเรียนมมส ยะเรียนรักไท และนกเรียน มอุบล และสิ่งที่เราไม่ต้องการให้เกิดขึ้นและคิดว่ามันเลวร้ายมากคือ วันนั้นเป็นวันพุธโย โทรหาแต่ไม่ได้รับ วันศุกร์แม่โยให้โอนตังให้โย พอวันเสาร์พี่ก้อยซ้อมรับปริญญา ที่อุบลโทรมาบอกว่าโยไม่เห็นมาหาเลย โทรไปแฟนโยบอกว่าโยไม่กลับหอสี่วันแล้ว ทุกคนทั้งแม่โยแลพี่แก๋มพี่พี่คนโตของหนูก็ออกรถไปอุบลอย่างเร่งด่วนเพื่อไปจัดการกับไอ้โย ตามหาโยจนทั่วตามโรงพักและโรงพยาลทั่วอุบลสิ่งที่พบคือร่างของโยนอนอยู่ในโรงพยาบาล โยโดนรถชนตั้งแต่วันพฤหัสจนวันนี้ที่พบร่างของโยวันจันทร์กี่วันแล้วที่โยตาย ทำไมละโรงพยาบาลกับโรงพักไม่ติดต่อมาเลย เมื่อพี่แก๋มโทรมาบอกแทบจะบ้า เชื่อมั้ยว่าแม่รักโยมากรักกว่าลูกด้วยซ้ำ แม่ให้ทุกอย่างกับโย เพราะแม่อยากมีลูกผู้ชาย แม่หนูหอบผ้าเดินรอบบ้านร้องอย่างไม่อาย เลวร้ายมาก โยกูรักมึง
สองปีต่อมาตอนปีสามสิ่งเลวร้ายก็เกิดขึ้นอีกอาคนที่เลี้ยงเราตอนเด็กรถคว่ำแต่เข้าโรงบาลไม่ถึงอาทิตย์ก็ออกมาขายของไม่ถึงเดือนอาเข้าโรงบาลอีกป่วยหนักเป็นไข้ เข้าโรงบาลมุกอินเตอร์คืนนึงหลายพันอางกจึงขอกับบ้านแต่กับมาได้ไม่ถึงคืนอาการหนักอีกส่งโรงบาลด่วน หนูกับบ้านวันพุธไปหาอาระหว่างขับรถอยู่ดีๆๆพอพูดถึงอาก็ร้องเฉยเลยทั้งๆที่ทุกคนก็ไม่รู้ว่าอาเป็นงัย แค่ปวยธรรมดา พอไปเห็นอาเค้าจำเราแทบไม่ได้เป็นไปได้ไงอาแค่44ปีเองเราก็ร้องอีก วันพฤหัสกำลังขายของอยู่พี่โทรมาบอกว่าอาเสียแล้ว เสียงร้องดังขึ้นอย่างไม่อายใคร ความเจ็บปวดมากเกินเก็บไว้ เสียใจอีกแล้ว อาจ๋ารักเหลือเกิน
ขอจบเรื่องปวดร้าวมากๆๆ แต่ก็ยังไม่หมด ตอนนี้ก็มีเรื่องปวดร้าวมากมายเล่ายังไงก็ไม่หมดขอหยุดน้ำตาไว้แค่นี้ละกัน
รุ่งทิพย์ สุระพร (รุ่ง)
48010512067
คณะศึกษาศาสตร์
สาขาวิชา ภาษาไทย
ฉันเกิดที่จังหวัดเพชรบูรณ์ แต่มาโตที่ขอนแก่น
(อำเภอพล)มีพี่ชาย 3คน ฉันเป็นคนสุดท้องและเป็นผู้หญิงคนเดียว
นิสัยโดยส่วนตัวนั้นเป็นคนร่าเริง หัวเราะง่าย ยิ้มง่าย อัธยาศัยดีเข้ากับคนได้ง่าย แต่ตรงข้ามก็ค่อนข้างเป็นคนเก็บกดจากปัญหาครอบครัวที่ซึมซับมาตั้งแต่เด็กจนถึงปัจจุบัน ทุกวันนี้พ่อกับแม่ก็แยกทางกัน แต่ด้วยความที่เป็นคนร่าเริงจึงไม่แสดงออก คนทั่วๆไปแม้กระทั่งเพื่อนๆจึงมองไม่ค่อยออก เป็นคนที่ค่อนข้างมีความในใจแต่ไม่ค่อยระบายให้ใครฟัง แต่บางเรื่องก็ระบายให้เพื่อนฟัง
แต่ในอีกด้านเวลาเพื่อนมีปัญหาอะไรแล้วมาเล่าให้ฟัง จะเป็นผู้ฟังที่ดีมากคือวางตัวให้เค้าสบายใจเมื่อเล่าปัญหาให้ฟัง ถ้าช่วยปรึกษาได้ก็จะช่วยแนะนำบ้าง
แต่ก็แนะนำอย่างเป็นกลางๆเพราะปัญหาทุกอย่างนั้น จะแก้ได้หรือไม่ได้ มันขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายๆอย่าง
นิสัยอีกอย่างคือเป็นคนขี้เกรงใจ ถ้าไม่จำเป็นจริงๆจะไม่ได้ขอความช่วยเหลือจากใคร จะทำเองหรือแก้ปัญหาเองทุกอย่าง แต่ถ้าคนอื่นมาขอความช่วยเหลือหากช่วยได้ก็จะช่วย
ส่วนในเรื่องความชอบนั้นก็จะเป็นคนที่ชอบฟังเพลงอาจเป็นเพลงสตริงหรือเพลงสากล แต่ว่าตอนอยู่ประถมฯเคยเป็นตัวแทนโรงเรียนไปประกวดร้องเพลงลูกทุ่ง ลูกกรุง ได้รางวัลมา1ใน3ตลอด ส่วนเรื่องการเรียนก็เป็นคนที่ค่อนข้างเรียนดีไม่ถึงกับเก่งมาก แต่ก็มีหลายคนบอกว่าเราเก่ง แต่เราคิดว่าเราแค่พอใช้นะ ความขยันก็มีขึ้นๆลงๆ ขยันบ้าง ขี้เกียจบ้าง แต่ก็เอาตัวรอดได้ สามารถเรียนได้เกรดเฉลี่ย 3 มาตลอดตั้งแต่ม.1จนถึงมหาวิทยาลัยปี4 แต่ส่วนมากจะได้3จุดต้นๆ
อาจมีตกบ้างก็2.7หรือ2.8 ก็ไม่ซีเรียสหรอก เพราะเกรดก็ไม่ได้ตัดสินคนเราเสมอไป เกรดที่ได้มามันขึ้นอยู่กับหลายๆอย่าง ทฤษฎีไม่สำคัญเท่าปฏิบัติ แต่ก่อนปฏิบัติก็ควรเรียนรุ้ทฤษฎี เพราะฉะนั้นถ้าได้ทั้ง2อย่างก็จะดีมาก
ถ้าพูดเรื่องการเรียนแล้วสามารถเรียนได้ทั้งวิทยาศาสตร์และภาษา มันสนุกคนละแบบ แต่ที่เลือกเรียนภาษาอาจเป็นเพราะชอบอ่านชอบเขียน ใจจริงแล้วก็ชอบภาษาอังกฤษ ไม่เก่งแต่ก็พอไปได้ ถ้าใจรักแล้วพยายามศึกษาค้นคว้าเราก็สามารถประสบความสำเร็จได้ แต่ถ้าพื้นฐานน้อยก็กลัวจะเรียนได้ไม่ดี เรียนแล้วเครียดที่ทำไม่ได้ จึงเปลี่ยนใจมาเรียนภาษาไทยดีกว่า
ก็แอบๆคิดว่าถ้ามีเวลาจะไปเรียนภาษาอังกฤษเพิ่มเติมเป็นความรู้เสริม เพราะปัจจุบันนี้ภาษาอังกฤษนั้นสำคัญจึงควรศึกษาไว้ อีกอย่างยังฝันที่จะไปเรียนต่างประเทศหรือทำงานต่างประเทศเพราะจะได้เรียนรู้ภาษาจากคนรอบข้าง ถ้าเรียนอย่างเดียวคงไม่ไหวต้องให้สิ่งแวดล้อมซึมซับด้วย ก็เผื่อๆใจไว้อยู่เพราะทางบ้านคงไม่มีเงินส่งไปเมืองนอกหรอก ถ้าได้เป็นครูที่เมืองไทยก็จะทำหน้าที่ให้ดีที่สุดและตอบแทนบุญคุณของแม่คนที่ส่งเรียนและเลี้ยงดูมา ส่วนคนอื่นๆที่มีบุญคุณก็จะตอบแทนเหมือนกันหากมีกำลังตอบแทน
นางสาววรรณิภา โพสีลอย
4810510996 สาขาภาษาอังกฤษ คณะศึกษาศาสตร์
อัตชีวประวัติ
ข้าพเจ้าเป็นเด็กหญิงตัวเล็กๆ มีผิวสีคล้ำปานกลางถึงดำมาก เกิดมาในครอบครัวเล็กๆ ครอบครัวหนึ่ง เกิดวันที่ 9 ตุลาคม 2529 ข้าพเจ้ามีพี่น้องร่วมท้องเดียวกันหรือถีบหัวกันออกมารวมสองคน ข้าพเจ้าเป็นบุตรคนที่2 ตั้งอยู่ในหมู่บ้านทุ่งอินแปลง ในปัจจุบัน (เมื่อก่อนเป็นหมู่บ้านภูตะคาม) ตำบลท่าศิลา อำเภอส่องดาว จังหวัดสกลนคร ในสมัยนั้นข้าพเจ้าเป็นเด็กที่น่ารัก น่าเอ็นดู พอตัว ใคร ๆ เจอก็มักจะชม จำได้ว่ามีครอบครัวหนึ่ง เขาเป็นคุณครูทั้งคู่และยังไม่มีบุตร เลยอยากได้ข้าพเจ้าเป็นบุตรของเขา เมื่อไหร่ก็ตามที่ข้าพเจ้าตามแม่ไปซื้อของที่ร้านค้าในหมู่บ้านและต้องผ่านหน้าบ้านเค้า ข้าพเจ้าเป็นต้องหลบเสียทุกครั้งไป และเมื่อไหรี่หลบไม่พ้น ข้าพเจ้าเป็นต้องร้องไห้ทุกที เพราะเขา(ผู้เป็นสามี) อยากได้ข้าเจ้าไปเป็นลูกสาวมาก ข้าพเจ้าร้องไห้จนน้ำตาแทบเป็นสายเลือด และเขาจะเรียกข้าพเจ้าว่า ”ลูกหญิง” เสมอ
เมื่อข้าพเจ้ามีอายุได้ประมาณ 3 ขวบกว่า ๆ อายุยังไม่ถึงเกณฑ์ที่ต้องเข้าโรงเรียน เพราะสมัยนั้นหมู่บ้านข้าพเจ้าไม่มีชั้นอนุบาล มีเฉพาะชั้น ป เด็กเล็ก ข้าพเจ้ามักจะตื่นนอนแต่เช้า เพื่อแต่งตัว เตรียมไปโรงเรียนกับพี่ชาย พี่ชายข้าพเจ้าเป็นคนน่ารักมาก ดูแลน้องสาวเกือบทุกอย่างมีของอะไร ก็จะให้น้องก่อนเสมอ พี่ชายข้าเพเจ้าเป็นคนที่ไม่ชอบพูด หรือเรียกว่า พูดน้อยนั่นเอง ข้าพเจ้ารักและเคารพพี่ชายคนนี้มาก
จำได้ว่า ตั้งแต่จำความได้ ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นหน้าพ่อเลย เห็นแต่รูปเท่านั้น เพราะ พ่อของข้าเจ้าไปทำงานยังต่างประเทศ ตั้งแต่ข้าพเจ้ายังเล็ก ๆ ทุก ๆ สองสัปดาห์จะมีบุรุษไปรษณีย์ ใส่ชุดสีกากี ขับมอเตอร์ไซต์คันเก่า ๆ มาจอดที่หน้าบ้าน และเรียกคนในบ้านไปรับจดหมายส่งมาจากแดนไกล จากประเทศลิเบียร์ และดูเหมือนว่า ชีวิตของข้าพเจ้าในตอนนั้นจะมีความสุขมากทีเดียว และมันก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ เพราะชีวิตในตอนนั้นเป็นชีวิตที่ข้าเจ้ามีความสุขมาก เพราะไม่ต้องมารับรู้ เหตุการณ์ที่วุ่นวายจนกระทั่ง 1 ปีต่อมา พ่อของข้าพเจ้าเดินทางกลับมาที่เมืองไทย แล้วพ่อกลับมาสร้างบ้านหลังใหญ่ ให้พวกเรา 4 คน แล้วพ่อมีนิสัยอย่างหนึ่งที่แก้ไม่หายสักที และอาจเป็นเพราะอายุของพ่อยังน้อยนัก(ข้าพเจ้าคิดเองนะ อิอิ) เพราะข้าพเจ้ากับพ่อมีอายุห่างกันเพียง 20 ปีเท่านั้นเอง นิสัยของพ่อคือ ชอบเล่นการพนัน ดังนั้นเงินทอง บ้านที่พ่อเคยสร้างไว้เริ่มหายไปทีละอย่าง ดังนั้นพ่อกับแม่ข้าพเจ้าจึงตัดสินใจจากลูกน้อยทั้งสองที่มีอายุแค่ 7และ 8 ขวบ ไปทำงานที่ต่างประเทศ คราวนี้ข้าพเจ้าโตขึ้นมากแล้ว แต่ก็ไม่ค่อยรู้เดียงสาเท่าไหร่พ่อกับแม่จึงให้เราพี่น้องสองคน ไปอยู่กับญาติที่บ้านย่าที่อยู่ภายในหมู่บ้านเดียวกัน เหตุการณ์จึงบังเกิดขึ้น ข้าพเจ้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่า ทำไมชีวิตของข้าพเจ้าจึงโหดร้ายได้ถึงเพียงนี้ ข้าพเจ้ามีความสุขมากเมื่ออยู่กับย่า เพราะย่ารักเราสองพี่น้องมาก มีอะไรก็นึกถึงเราอยู่เสมอ ย่าแก่มากแล้วนั้นตอนนั้น ย่ามีอายุ 70 ปี ย่างเข้า 80 ปี แล้ว ชีวิตในชนบทไม่มีอะไรมากมาย คือ ทำนา มีข้าวกิน และกับข้าวหากินเอง เพราะมีความอุดมสมบูรณ์ มีของป่า ปลาในนา ชีวิตในช่วงแรก ๆ ชีวิตราบรื่นทุกอย่าง ป้าก็รักเอาใจใส่ เพราะพ่อกับแม่ส่งเงินมาให้ตลอด ได้กินอาหารดี ๆ ทุกมื้อ ได้เงินไปโรงเรียนวันละหลายบาท จนกระทั่งป้าที่ข้าพเจ้าอยู่ด้วยโดนหลอก ติดการพนัน ดังนั้นเงินที่พ่อกับแม่ส่งมาให้ป้าก็จะนำไปลงทุน (ในบ่อน) ข้าพเจ้าและพี่ชายจึงมีเพียงย่าเท่านั้นที่หาเลี้ยงทุกวัน ย่าจะพร่ำสอนพวกเราทั้งสองให้เป็นคนดี ไม่ลืมบุญคุณของผู้มีพระคุณ ซึ่งในตอนนั้น ข้าพเจ้าก็ยังไม่เข้าใจว่า มันคืออะไร จนบัดนี้ข้าพเจ้าเข้าใจดีแล้วและแล้ววันหนึ่ง ชีวิตเรายิ่งย่ำแย่ลงกว่าเดิม เมื่อพ่อถูกส่งตัวกลับบ้าน ทั้งที่ยังไม่ครบกำหนดสัญญาจ้าง เมื่อพ่อกลับมาโดยไม่มีเงิน หนี้สินก็ยังใช้ไม่หมด ดังนั้น ญาติ ๆ ฝ่ายแม่จึงไม่ชอบพ่อ จะคอยนินทาตลอดเวลา มิหนำซ้ำพ่อยังไปมีเมียน้อย (อดีตแฟนเก่าพ่อ) สามีของเขาก็ไปทำงานที่ต่างประเทศเหมือนกัน วันแรกที่พ่อพาเขามา พ่อบอกให้เราสองพี่น้องเรียกเขาว่า แม่ และบอกเราว่า เขาเป็นเพื่อนพ่อ แรก ๆ เราก็เรียกเพราะยังไม่รู้เรื่องอะไร พอนานเข้า เรารู้ความจริงว่าเขาคือเมียน้อยพ่อ เราทั้งสองพี่น้องจึงไม่พูดกับผู้หญิงคนนั้นอีกเลย พ่อบอกกับเราเสมอว่า ผู้หญิงคนนั้นไม่เคยมาแทนแม่ได้เลย เรื่องนี้จึงเป็นความทรงจำที่ไม่น่าจดจำของข้าพเจ้าเลย
ชีวิตสมัยเรียนมัธยมศึกษาก็ไม่ค่อยมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากวัยเด็กมากนัก ครอบครัวเราก็ยังเหมือนเดิม ส่วนใหญ่ข้าพเจ้าจะอยู่ทำกิจกรรมกับทางโรงเรียน คือ ข้าพเจ้าเป็นนักกีฬาวอลเลย์บอลของโรงเรียน ทุกวันจะซ้อมกีฬาที่โรงเรียน แรก ๆ ครอบครัวของเราก็อยู่ด้วยกัน แต่ด้วยผลกระทบจากเศรษฐกิจ พ่อกับแม่จึงต้องไปทำงานที่เมืองหลวง(กรุงเทพมหานคร) แต่พ่อกับแม่ก็ต้องผิดหวังเพราะพ่อเป็นคนใจกว้าง มีน้ำใจกับทุกคน ในช่วงที่พ่อทำงานกับผู้รับเหมาดูแลลูกน้องทุกคน ลูกน้องจะนัดเบิกเงินใช้ก่อน พ่อก็จะยินยอม ดังนั้น เมื่อพ่อมีน้ำใจกับทุกคน พ่อจึงต้องขาดทุน เพาะเห็นใจคนที่บ้านเดียวกัน (บ้านนอกด้วยกัน) ดังนั้น เมื่องานที่พ่อทำไม่ดีพ่อจึงต้องกลับบ้านมาทำนา 2 ปีต่อมา ในช่วงที่ข้าพเจ้าเรียนอยู่ชั้น ม. ปลาย ญาติ ๆ ที่เขาไปทำงานที่จังหวัดชุมพร ทำธุรกิจระดับประเทศ เพราะเราส่งสินค้านี้ออกนอกประเทศ ทำรายได้ปีละหลายล้านบาท (ถ้าเราเป็นเจ้าของป่านนี้ก็คงรวยไปแล้ว) ธุรกิจนี้คือ ทำสวนยางพารา หรือเรียกว่า กรีดยาง นั่นเอง ในช่วงแรก ๆ พ่อกับแม่ยังทำไม่เป็น มีแค่เพียงพี่ชายเท่านั้นที่ทำเป็น และทุก ๆ ซัมเมอร์ ข้าพเจ้าจะไปช่วยครอบครัวทำงาน จนตอนนี้ ข้าพเจ้ามีความรู้สึกว่าเป็นเกษตรกรชาวสวนยางอย่างเต็มตัว ข้าพเจ้าไม่เคยรังเกียจและไม่เคยดูถูกอาชีพนี้เลย แต่กลับรักและบูชาอาชีพนี้ไว้เหนือหัว
ชีวิตในการเป็นนักศึกษาเป็นชีวิตที่มีทั้งความสุขและความทุกข์ในเวลาเดียวกัน มีผิดหวัง เสียใจ ท้อแท้ บ้างเป็นบางครั้งจึงอยากจะขอเก็บเอาไว้ก่อน แต่ทุกครั้งที่ข้าพเจ้าเศร้า ผิดหวัง ท้อแท้ ข้าพเจ้ามักจะโทรหาพ่อกับแม่อยู่เสมอเพื่อเล่าความทุกข์ของข้าพเจ้าให้ฟัง แล้วพ่อกับแม่จะมีทางออกที่ดีสำหรับข้าพเจ้าเสมอ
นางสาวสุพรรณี มณีศรี
48010511020 4EN
ฉันชื่อ นางสาวสุพรรณี มณีศรี มีชื่อเล่นว่า ปอล์ ฉันเกิดวันที่ 25 ตุลาคม 2529 ซึ่งตรงกับวัน ศุกร์ ปัจจุบัน อายุ 22 ปี เป็นคนจังหวัดสุรินทร์ค่ะ ครอบครัวฉันมีทั้งหมด 8 คน มีพ่อ แม่ และพี่สาวอีก 5 คนฉันเป็นคนที่ 6 ครอบครัวฉันไม่มีพี่ชาย ความจริงแล้วที่บ้านฉันมีสมาชิกเยอะ ก็เพราะว่าพ่อของฉันอยากได้ลูกชายมาก พ่อกับแม่ของฉันมีอาชีพเป็นเกษตรกร ฉันเกิดมาในช่วงที่ครอบครัวสุขสบายแล้ว เพราะเมื่อก่อนแม่เล่าให้ฟังว่าครอบครัวของเราลำบากมากหาเช้ากินค่ำ ทั้งพ่อและแม่รวมทั้งพี่สาวต่างก็ลำบาก กว่าที่บ้านฉันจะก้าวเข้ามาถึงจุดนี้ได้ถือว่าต้องต่อสู้มามากมายถึงแม้ว่าช่วงนั้นบ้านฉันจะลำบากแต่พ่อกับแม่ก็ยังส่งพี่สาวของฉัน 2 คนเรียนจนจบปริญญาตรีปัจจุบันพี่สาวต่างก็เป็นหัวเรี้ยวหัวแรงให้กับครอบครัว พี่ที่จบคนแรกเป็นพยาบาล คนที่สองทำงานอยู่ฝ่ายธุรการที่บริษัทแห่งหนึ่ง และปัจจุบันพี่ก็ส่งฉันเรียนต่อด้วย ปัจจุบันครอบครัวฉันมีความสุข ถึงแม้ว่าครอบครัวฉันจะตั้งตัวได้ ทั้งที่พื้นฐานมาด้วยความยากลำบากแต่เราก็ยังทำงานเหมือนเดิม(เกษตรกร)
ในวัยเด็กของฉันค่อนข้างจะดื้อและชอบเอาแต่ใจเพราะฉันเป็นลูกคนเล็กใครๆต่างก็ตามใจ ในบ้านฉันฉันคิดว่าฉันสบายที่สุดแล้วไม่ต้องทำงานลำบากเหมือนพี่เมื่อสมัยก่อน อยากได้อะไรก็ได้ ฉันเป็นคนเรียนดีในระดับปานกลางมาตั้งแต่สมัยประถม ถึง มัธยมต้น จนกระทั้งเมื่อฉันเรียน ม.ปลาย ฉันเริ่มเข้าร่วมกิจกรรมกับทางโรงเรียนมีการประกวดแข่งขันทางวิชาการมากมาย และฉันก็ได้เข้าร่วมเพราะครูเริ่มเห็นแวว
ผลงานที่น่าภาคภูมิใจสำหรับฉันตั้งแต่ ม.ปลาย คือ
แข่งขันวงคนตรีไทยระดับจังหวัดได้ที่ 2 (ฉันเล่นซออู้)
แข่งขันการเขียนเรียงความระดับจังหวัดได้ที่ 2
เคยเป็นฝ่ายประชาสัมพันธ์กับกิจกรรมทางโรงเรียน(ในงานจอมพระนิทรรศ)
นักเรียนเกรดเฉลี่ยยอดเยี่ยม (ไม่รู้ว่าฉันทำไปได้ยังไง)
แต่สิ่งที่ฉันภูมิใจมากกว่านั้นนั้นคือ ฉันเป็นเด็กที่ชอบร้องเพลงมาก ฉันชอบฟังเพลงสากลมาตั้งแต่เด็ก แม่เคยบอกว่าฟังเพลงอะไรก็ไม่รู้ แม่ฟังไม่รู้เรื่อง แต่สุดท้ายแม่ก็เริ่มชินกับการฟังเพลงของฉัน แม้แต่เพื่อนสนิทฉันยังไม่รู้เลยว่าฉันชอบร้องเพลงจนกระทั้งวันหนึ่ง ฉันได้ร้องเพลงให้เพื่อนฟังเพื่อนบอกว่าเพราะมาก (ไม่คิดเลยว่าไอ้ปอล์จะร้องได้) จากนั้นเพื่อนและอาจารย์ที่ปรึกษาก็แนะนำให้ไปประกวดร้องเพลงในงาน วันคริสมาส และได้ที่ 3 มาครอง (แบบว่างงเหมือนกัน) จากนั้นก็ประกวดร้องเพลงในกลุ่มเพลงสากลกับทางโรงเรียนและได้ที่ 2 (ฉันดีใจมาก) ความฝันของฉันยังไม่หมดเท่านี้ฉันชอบในการจัดรายการวิทยุมาก จึงขอสมัครกับทางสถานีวิทยุในอำเภอของฉันเอง เป็นดีเจเยาวชนในช่วงปิดเรียนฉันได้ไปจัดรายการวิทยุด้วย จัดได้ 1 เดือนโรงเรียนก็เปิดเรียนพอดี ฉันภูมิใจกับผลงานของฉันมากฉันรู้สึกว่า ถ้าฉันกล้าแสดงออกเร็วกว่านี้ฉันอาจจะได้สะสมประสบการณ์มากกว่านี้ก็ได้ เพื่อปูทางให้ฉันต่อไป นั้นคือ นักจัดรายการวิทยุ ในระดับ ม.ปลายของฉันเปรียบเสมือนยุคทองของฉันมาก ฉันไขว่คว้าโอกาสในช่วงที่ฉันใกล้จะเรียนจบ ม.ปลายแล้ว
จากนั้นฉันก็สอบEntrance ติดที่มหาวิทยาลัย มหาสารคาม คณะศึกษาศาสตร์ เอก ภาษาอังกฤษ แม่ภูมิใจกับตัวฉันมาก พอฉันเริ่มโตเป็นผู้ใหญ่ ฉันก็เป็นเด็กดีมาเสมอ แม่ไม่ต้องบ่นมากมาย แม่อยากให้ฉันเป็นครู ส่วนฉันก็ชอบภาษาอังกฤษสุดท้ายลงเอยที่การเป็นครูสอนภาษาอังกฤษ ความจริงแล้วฉันอยากเป็นไกด์ มากกว่า หรือไม่ก็ทำงานด้านสื่อสารมวลชน แต่ทำไงได้ก็มันสอบไม่ติดนี้ เลยต้องลงเอยที่ คณะศึกษาศาสตร์ เอก ภาษาอังกฤษ ฉันได้เป็นคณะกรรมการชมรมครูอิ้ง เพราะเชื่อว่าการทำกิจกรรมจะทำให้เราได้ประสบการณที่ดี ปัจจุบันฉันเรียนอยู่ ปี 4 ฉันเริ่มมีใจรักในอาชีพครู และ ภูมิใจในความเป็นครูมาก ถึงแม้ว่าใครๆมองอาชีพครูว่าลำบากและเงินเดือนน้อยแต่ฉันก็เข้าใจแล้วในตอนนี้ว่าภูมิใจที่จะได้เป็นแม่พิมพ์ของชาติ ฉันมีคติประจำใจว่า เกิดมาทั้งที่ต้องเอาดีให้ได้(ไม่ใช่เกรดนะค่ะ) ฉันเชื่อว่าทุกคนมีความสามารถที่แตกต่างกันแต่อยู่ที่ว่าเขาจะนำมันออกมาใช้ในทางที่ถูกต้องหรือไม่ ฉันอยากให้เขาเหล่านั้นกล้าแสดงออกบางที่เขาอาจจะค้นพบสิ่งที่เป็นตัวเขาจริงๆก็ได้เหมือนที่ฉันได้ค้นพบตัวเอง
อัตชีวประวัติ
“ศรีสะเกษ แดนปราสาทขอม หอมกระเทียมดี มีสวนสมเด็จ เขตดงลำดวน หลากล้วนวัฒนธรรม เลิศล้ำสามัคคี” ยินดีต้อรับเข้าสู่การรับรู้ประวัติของเด็กอีสานใต้…………
ผมชื่อนายพิทักษ์ชัย นามสกุลคำพะทา เป็นลูกของคุณพ่อคมสัน คำพะทา และคุณแม่สมพงษ์ คำพะทา มีพี่น้อง 2 คน ผมเป็นลูกคนที่ 1 และมีน้องสาวอีกคน ผมเป็นคนจังหวัดศรีสะเกษ เกิดและเติบโตจากที่นั่น หมู่บ้านที่ผมอาศัยอยู่ชื่อว่าบ้านโนนแฝก ตั้งอยู่ที่ตำบลพราน อำเภอขุนหาญ ผมถือว่าโชคดีที่ได้เกิดเป็นลูกของคุณพ่อคมสันและคุณแม่สมพงษ์ และอีกอย่างที่คิดว่าตัวเองโชคดีก็คือเกิดในชุมชนที่มีภาษาพูดมากมาย อาทิเช่น ภาษาไทย ภาษาอีสาน ภาษาเขมร ภาษาส่วย เป็นต้น จึงทำให้ผมพูดได้หลายภาษา ตอนเด็กผมเรียนชั้นประถมศึกษาที่โรงเรียนบ้านโนนแฝก ชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นและตอนปลายที่โรงเรียนพรานวิบูลวิทยา ตอนที่เรียน
อยู่โรงเรียนมัธยมผมเป็นคนชอบทำกิจกรรมอยู่เสมอ โดยได้เป็นคณะกรรมการนักเรียนอีกด้วย ทำกิจกรรมทุกอย่างที่ได้รับมอบหมายจากคณะครู อาจารย์ การทำกิจกรรมนั้นเป็นสิ่งที่ผมชอบมากที่สุด ถึงแม้บางครั้งมันจะเหนื่อยไปบ้าง แต่หากเราทำด้วยความเต็มใจ หรือ ด้วยความตั้งใจก็จะสนุกกับกิจกรรมนั้นๆ เราจะไม่รู้สึกว่าเหนื่อยเลย ถึงแม้ว่าผมจะทำกิจกรรมมากมายเพียงใด แต่ผมก็ไม่ทิ้งการเรียน และไม่ทำให้เสียการเรียนอีกด้วย ผมการเรียนที่ออกมาในแต่ละเทอมก็ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดี เพราะเหตุนี้จึงทำให้ผมได้รับการยกย่องชมเชยจากคณะครูอาจารย์ อยู่ตลอดเวลา และเมื่อมีการประชุมผู้ปกครองแต่ละครั้ง อาจารย์ก็จะชมและประกาศยกย่องผมให้ผู้ปกครองของเด็กนักเรียนคนอื่นๆฟัง ว่าเป็นตัวอย่างที่ดี แล้วยังชมไปถึงคุณพ่อและคุณแม่ผมอีกว่าเป็นผู้ปกครองที่ดีสามารถเลี้ยงลูกให้เป็นคนดี น่ายกย่อง ควรเอาเป็นแบบอย่าง จึงทำให้คุณพ่อคุณแม่ภูมิใจในตัวผมเอง และผมก็ดีใจที่ผมได้ตอบแทนบุญคุณท่านในระดับหนึ่งแล้ว เมื่อผมเรียนมาเรื่อยๆ จนมาถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 เป็นช่วงของการสอบเข้าเรียนต่อในสถาบันระดับอุดมศึกษา ผมได้ขออนุญาตคุณพ่อคุณแม่ไปสอบในสถานที่ต่างๆ ที่มีการจัดสอบ ท่านก็อนุญาต อย่างเช่นไปสอบโครงการเพชรในตมเป็นโครงการที่สอบเอาทุนในการเรียนเป็นครู โดยเป็นทุนฟรี จบแล้วได้บรรจุเป็นครู ซึ่งในตอนนั้นได้จัดสอบที่จังหวัดนครราชสีมา โดยทั้งที่เงินทองก็ไม่ค่อยจะมี แต่ท่านก็หายืมเพื่อนบ้านให้เพื่อที่จะให้ลูกได้ไปสอบกับเขา เพราะตอนนั้นเพื่อนของผมก็สมัครสอบกันเยอะ เมื่อสอบเสร็จแล้วก็รอฟังผลการสอบ ต่อมาไม่นานผลการสอบก็ประกาศ ปรากฏว่าเพื่อนที่ไปสอบด้วยกันไม่มีใครติดเลย เพราะคนสอบเยอะมากแต่รับคนน้อย ต่อมาสักพักก็ถึงช่วงการสมัครเรียนต่อในมหาวิทยาลัยต่างๆ รอบโควตา ผมก็สมัครไว้ตั้งหลายแห่ง แต่ก็ไมติดซักแห่ง มาติดรอบเอนทรานซ์ ที่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม คณะศึกษาศาสตร์ สาขาวิชาสังคมศึกษา ระบบปกติ เมื่อรู้ข่าวว่าสอบติดก็บอกคุณพ่อคุณแม่ให้รู้ ท่านก็ดีใจมากที่รู้ว่าลูกตัวเองสอบติด เพราะส่วนน้อยมากที่คนทั่วไปจะสอบเอนทรานซ์ได้ ในช่วงนั้นถ้าใครเอนท์ติดถือว่าเก่งจริงๆ และสุดยอดมาก อย่างเช่นผมก็เป็นคนที่3 ในหมู่บ้านที่ได้เรียนในมหาวิทยาลัยนับจากรุ่นพี่ก่อนๆ ก็ถือว่าทำให้ครอบครัวและวงศ์ตระกูลได้เชิดหน้าชูตาเป็นที่ยกย่องของคนทั่วไปในหมู่บ้าน จนทุกวันนี้ผมก็ได้เรียนในมหาวิทยาลัยได้อย่างตั้งใจ
จะกล่าวถึงตอนที่เข้ามาเป็นนิสิตใหม่ ตอนนั้นรู้สึกตื่นเต้นมาก ยังปรับตัวไม่ถูก แต่ผมก็ได้รู้จักเพื่อนใหม่ตั้งมากมาย และยิ่งตอนเข้ามาใหม่ๆ มีการรับน้องด้วย รู้สึกตื่นเต้นมากยิ่งขึ้นไม่รู้ว่าจะรุ่นแรงเหมือนในข่าวหรือเปล่า ผมก็ได้เข้าร่วมการประชุมเชียร์ของมหาวิทยาลัยและกิจกรรมร้องเพลงคณะ จนได้รุ่นมฤคมาศ 8 มา กว่าจะได้รุ่นมาเหนื่อยมากๆ แต่ก็รู้สึกภูมิใจ ต่อมาก็ได้มีการจัดประกวดดาวเดือน โดยตัวผมเองก็ได้เป็นตัวแทนของสาขาวิชาสังคมศึกษา ไปร่วมคัดตัวในการประกวดของคณะศึกษาศาสตร์ ปรากฏว่าชนะเลิศที่1 ได้เป็นตัวแทนของคณะศึกษาศาสตร์ไปร่วมประกวดของมหาวิทยาลัย ผลออกมาปรากกว่าได้ที่4 ของมหาวิทยาลัย จากทั้งหมด 14 คณะ ไม่รู้ว่าบังเอิญหรือยังไงที่ได้เป็นเดือนคณะ โดยที่ไม่ได้ตั้งใจไว้เลย แต่ก็ภูมิใจที่ทำให้คณะศึกษาศาสตร์ได้ชื่อเสียงจากการประกวดครั้งนี้ เพราะเป็นครั้งประวัติศาสตร์เลยก็ว่าได้ที่ผมเป็นเดือนคนแรกที่ได้เข้ารอบติดอันดับรอบสุดท้ายของการประกวดระดับมหาวิทยาลัย ทุกปีที่ผ่านมาตกรอบแรกกันทุกคน ปัจจุบันนี้ผมได้เรียนอยู่ชั้นปีที่4แล้ว รู้สึกดีใจและภูมิใจที่ได้เรียนคณะศึกษาศาสตร์อย่างที่ตั้งใจไว้ เพราะว่าอยากเป็นครู และผมก็มีความสุขกับการใช้ชีวิตในทุกวันนี้และคิดว่าจะเป็นครูที่ดีในอนาคต ขอบคุณครับ
นายพิทักษ์ชัย คำพะทา รหัสนิสิต 48010510786 เอก SO คณะศึกษาศาสตร์
นางสาว จิราภรณ์ พ่อสียา รหัสนิสิต 48010511522 สาขาการศึกษาปฐมวัย
คนจะสวย สวยที่ใจ ใช่ใบหน้า
คนจะงาม งามจรรยา ใช่ตาหวาน
คนจะแก่ แก่ความรู้ ใช่อยู่นาน
คนจะรวย รวยศีลทาน ใช่บ้านโต
เป็นคำกลอนที่สอนและเตือนสติดิฉันให้ทำดีมาตลอด เมื่อรู้สึกว่าตนเองท้อแท้และหมดกำลังใจ น้อยเนื้อต่ำใจ
ก่อนอื่นก็สวัสดีค่ะ ดิฉัน นางสาวจิราภรณ์ พ่อสียา เรียกสั้น ๆ ว่า ปุ๊ก,ปุ๊กลุ๊ก,ปุ๊กปิ๊ก แล้วแต่อารมณ์คนเรียก แต่ที่มาจริงๆ ของชื่อเล่นดิฉันชื่อ “ปลุก” เพราะตอนเด็กๆ ชอบร้องให้ตั้งแต่เช้าตรู่ทำให้คนทั้งบ้านต้องตื่นทั้งๆ ที่ยังไม่สว่างเลย เลยได้ชื่อเลยว่า “ปลุก” (คือปลุกคนทั้งคลุ้มบ้าน) แต่นานวันเข้าก็เลยเพี้ยนเป็นว่า ปุ๊ก (แบบว่าเขียนให้ไฮโซหน่อย)
ประวัติคร่าวๆ (สาวใส้ให้คนสวยคนหล่อฟัง)
นาม : จิราภรณ์ นามของพ่อ : พ่อสียา
เรียกกันสั้นๆ ว่า : ปุ๊ก
ถึงเวลาต้องออกจากท้องที่อบอุ่น : วันจันทร์ ที่ 8 ธันวาคม 2529
เจ้าของท้องอันอบอุ่น : นางบังอร พ่อสียา
ผู้ช่วยคนสำคัญ : นายนครไทย พ่อสียา
พี่สาวที่มีอายุห่างกันเกือบ 9 ปี : นางสาวพรรัก พ่อสียา
พี่สาวคนสำคัญ(ที่ส่งดิฉันเรียน) : นางสาววีรมร พ่อสียา
สำมะโนครัว : บ้านเลขที่ 63 หมู่ 8 ตำบลพุ่มแก อำเภอนาแก จังหวัดนครพนม 48130
ณ ที่อยู่ปัจจุบัน : หอหญิง “สวนอักษร” เลขที่ 13 ซอย 5 ถนนธรรมวงศ์สวัสดิ์ ตำบลตลาด อำเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม 44000
มาพรรณนากันต่อค่ะ
ดิฉันเกิดมา ณ ท่ามกลางการลุ้นอยากให้เป็นลูกชาย เพราะมันเป็นความต้องการของตระกูล เพราะคุณแม่ของดิฉันคลอดลูกผู้หญิงมาแล้วสองคน พ่อก็เลยขอว่าคนสุดท้ายเป็นลูกผู้ชายแต่ว่าสิ่งแรกที่ยายตะโกนออกมา “คือลูกผู้หญิงน้อสู” พากันหัวเราะกันใหญ่ แม่เล่าให้ฟังว่า ดิฉันได้คลอดที่บ้านและคลอดด้วยหมอตำแย ที่เป็นญาติๆ ดิฉันเกิดมาท่ามกลางความอบอุ่นของพ่อกับแม่และญาติพี่น้อง เมื่อดิฉันอายุได้แปดเดือน ดิฉันประสบอุบัติเหตุอย่างร้ายแรงที่สุดที่ทำให้แม่ร้องให้เป็นอาทิตย์ คือดิฉันตกชานบ้านขาหัก เหตุการณ์คือ พี่สาวทั้งสองคนมัวแต่ทำงานบ้าน และทำการบ้านส่งคุณครู และช่วงที่ดิฉันอายุครบแปดเดือน ก็กำลังนั่งได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ทำให้พี่สาวไม่ทันได้ระวังจึงทำให้ดิฉันตกชานบ้านจนขาหัก ทำให้ช่วงเวลานี้ น้ำตาของแม่ดิฉันสามารถที่จะไหลออกมาเป็นโอ่งได้กระมั้ง ดิฉันได้รับการรักษาจากหมอปราชญ์ชาวบ้านที่มีทั้งการรักษาแบบเป่ายาสมุนไพรและเชื่อมกระดูกโดยวิธีโบราณ ดิฉันคิดว่าตอนนั้นดิฉันคงยังเล็กข้อกระดูกต่างๆ จึงสามารถเชื่อมต่อได้อย่างรวดเร็ว แต่ก็รักษาเป็นปี จึงหายดี
โรงเรียนแห่งแรกที่ดิฉันได้ศึกษาคือบ้านเมื่ออายุสี่ขวบ ก็เข้าโรงเรียนอนุบาลที่โรงเรียนบ้านตับเต่าโนนจันทร์ ซึ่งวันแรกจำได้ว่าคุณพ่อไปส่งที่โรงเรียน พ่อมาเฝ้าเกือบครี่งวัน กลัวดิฉันหนีกลับบ้าน แต่พ่อก็แปลกใจว่าทำไม ดิฉันถึงไม่ร้อง และไม่คิดที่จะกลับบ้าน เพราะมีเพื่อนเยอะและคุณครูคนแรกของดิฉันชื่อคุณครู สุริสันต์ ฯ ท่านเป็นคนที่ใจดีมาก ทั้งๆ ที่เป็นผู้ชายแต่ก็สามารถสอนเด็กอนุบาลได้ เอกลักษณ์ของท่านคือรอยยิ้ม (ขอบอกว่าฟันคุณครูหลอด้านหน้าหนึ่งซีก) และเหตุการณ์ที่ประทับใจและฝังใจดิฉันมาตลอดในระดับชั้นอนุบาล ก็คือดิฉันฉี่ราดใส่กระโปรงแต่คุณครูคนนี้ไม่รังเกียจแต่ท่านกลับวิ่งเข้ามาหาดิฉันจูงมือพาไปล้างตัวและเปลี่ยนกางเกงให้ เพราะกลัวเพื่อนเข้ามาล้อ และคุณครูคนนี้ชอบเรียกดิฉันว่า กระปุกปลาแดก และตอนอีฉันป่วยเป็นไข้อีสุกอีใส ท่านก็เอายามาทาให้ที่บ้าน
*การที่ดิฉันมาเรียนที่คณะศึกษาศาสตร์มหาวิทยาลัยมหาสารคามแห่งนี้อาจบอกได้ว่าดิฉันมีแบบอย่างที่ดีคือคุณครูคนนี้เป็นแรงบันดาลใจอย่างหนึ่ง ที่ทำให้ดิฉันอยากเป็นคุณครูอนุบาล *
ดิฉันก็ได้ศึกษาต่อชั้นประถมศึกษาปีที่หนึ่งถึงหก ที่โรงเรียนบ้านตับเต่าโนนจันทร์ และเมื่อตอนดิฉันเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่สาม ได้รับเกียรติบัตรจากสำนักงานคณะกรรมการเยาวชนในด้านเป็นผู้มีความระเบียบวินัยเรียบร้อย และช่วงดิฉันศึกษาชั้นประถมศึกษาปีที่ห้า มรสุมชีวิตที่ร้ายแรงที่สุดที่พัดเข้ามาอีกรอบหลังจากดิฉันขาหัก นั่นก็คือพ่อของดิฉันมีเมียน้อยและท่านก็ได้ย้ายไปอยู่กับเขา แต่ในขณะช่วงที่พ่อกับแม่ได้พูดคุยตกลงเรื่องราว เป็นเพราะบุญวาสนาหรืออะไรก็ไม่รู้ ทำให้ดิฉันไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ที่เลวร้าย เนื่องจาก เป็นช่วงปิดเทอมฤดูร้อน ดิฉันเลยไปเข้าค่ายอบรมบวชชีถือศีลแปดที่วัดแห่งหนึ่งในจังหวัดสกลนคร เป็นครั้งแรกที่ดิฉัน จากพ่อแม่และบ้านมาพักเป็นเวลาเกือบเดือน และวันสุดท้ายของการเข้าค่ายฯ เพื่อนๆ พี่ ๆ คนอื่นๆ มีพ่อแม่มารับกลับบ้าน แต่ดิฉันมีเพียงยาย ดิฉันพยายามถามยายว่า ทำไมพ่อกับแม่ถึงไม่มาด้วย แต่ยายก็บอกแค่ว่า พ่อกับแม่ไม่ว่าง แต่พอดิฉันกลับมาถึงบ้าน เห็นแม่นอนร้องให้ และดิฉันถามหาพ่อ แม่ก็ไม่ตอบอะไร มีแต่ร้องให้ ดังนั้นยายจึงตัดสินใจเป็นคนเล่าเหตุการณ์ให้ดิฉันฟังถึงสาเหตุที่พ่อกับแม่แยกทางกัน ตอนนั้นดิฉันโกรธมากไม่รู้ว่าจะพูดจากับใคร เพราะแม่เอาแต่ร้องให้อย่างเดียว พี่สาวคนโตก็ไปทำงานต่างจังหวัด และพี่สาวคนกลางก็กำลังเรียนอยู่ที่จังหวัดชลบุรี อาจเป็นเพราะตอนนั้นดิฉันเด็กมากมาก จึงได้แต่ทำหน้าที่อยู่กับแม่ และปลอบแม่
เหตุการณ์ก่อนที่พ่อจะไปอยู่กับเมียน้อย มันก็มีเหตุบอกล่วงหน้า คือเล่าแบบชาวบ้านว่า “ถูกของ” เพราะมันเป็นประสบการณ์ที่ดิฉันเจอมาด้วยตัวเองจริงๆ สำหรับเรื่องนี้ใครไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่ เอาเป็นว่ารายละเอียดมันมีมากกว่านี้ แต่สำหรับเรื่องนี้ ถ้าไม่เจอกับใคร ใครก็จะสัมผัสไม่ถึง แต่โชคดีที่พ่อไปอยู่ได้ไม่นานพ่อก็กลับมาหาดิฉัน อาจเป็นเพราะว่าความรักความผูกพันกับสิ่งดีดีที่ครอบครัวเราได้กระทำมา เลยส่งผลให้พ่อกับมาเป็นพ่อคนเดิมที่ดีที่อบอุ่นให้กับดิฉันจนถึงทุกวันนี้(บางครั้งชีวิตอาจดูเหมือนละคร แต่บางครั้งละครก็เอามาจากชีวิตจริง)
และช่วงที่ดิฉันศึกษาอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่หก ดิฉันได้รับเลือกให้เป็นประธานโรงเรียน ซึ่งตอนนั้นมีผู้สมัครห้าคน ดิฉันชนะได้รับเลือกเพราะได้หมายเลขหนึ่งหรือเปล่า (ฮิฮิ) เพราะเด็กน้อยมักชอบเลือกชอบกาช่องแรกๆ ที่มันง่ายๆ เสมอ
ดิฉันเข้าศึกษาต่อชั้นมัธยมศึกษาปีที่หนึ่งถึงหก ที่โรงเรียนนาแกพิทยาคม เป็นโรงเรียนประจำอำเภอ ซึ่งห่างจากบ้านประมาณสิบห้ากิโลเมตร ดิฉันต้องนั้งรถตั้งแต่หกโมงครึ่ง เพื่อจะมาเข้าแถวให้ทัน มันเป็นช่วงเวลาที่ทรมานมากในช่วงเวลาแรกๆ โดยเฉพาะหน้าหนาว ดิฉันเรียนในมัธยมก็ไม่ค่อยเด่นพื้นๆเรียบๆ แต่สิ่งที่ดิฉันเป็นคือเงียบขรึมและเรียบร้อย และได้รับใบเกียรติบัตรเป็นผู้มีความประพฤติเรียบร้อยประจำห้องสามทับหนึ่ง ซึ่งดิฉันก็งงๆ และดีใจเหมือนกัน เพราะมันเป็นสิ่งที่ทำให้เราภูมิใจและมีกำลังใจที่จะทำสิ่งดีดี ต่อไป
และช่วงมัธยมศึกษาปีที่สี่ถึงหก ก็ได้รับความไว้วางใจจากเพื่อนๆและอาจารย์ให้เป็นคณะกรรมการนักเรียน ทั้งๆ ที่แอบทำผิดวินัยเป็นประจำ เช่น แอบกินส้มตำหลังโรงเรียนบ่อยๆ และปีสุดท้ายของการใช้ชีวิตมัธยมศึกษาปีที่หก ดิฉันถูกรับเลือกเป็นผู้ถือป้ายประจำสี ในการแข่งขันกีฬาสีของโรงเรียน ทำให้ตัวเองรู้สึกว่าเราก็ยังสามารถทำได้ ทั้งๆที่หน้าตาไม่ให้แต่ใจรัก(ฮิฮิ) การสอบช่วงเอนทรานส์ดิฉันได้มีโอกาสได้ไปติวที่ขอนแก่น เป็นการจากบ้านนานๆครั้งที่สอง ดิฉันรู้สึกว่ามันเป็นการติวที่ใช้ช่วงเวลาเร่งรัดมาก ดิฉันเรียนด้วยความไม่เข้าใจ เพราะส่วนมากมีแต่คนเก่งๆ ทั้งนั้น แต่ดิฉันก็ไปเรียนทุกวิชาอาศัยหัวไม่ดีแต่ขยันและตั้งใจ และอีกอย่างก็เสียดายตังค์ที่พ่อกับแม่ส่งมาเรียน และผลการสอบเอนทรานส์ ออกมาก็เป็นที่น่าพอใจ เพราะดิฉันสามารถสอบได้สองมหาวิทยาลัย และสองคณะ คือ ที่มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี คณะการบัญชีและการจัดการ และ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม คณะศึกษาศาสตร์ สาขาการศึกษาปฐมวัย และบังเอิญสอบสัมภาษณ์พร้อมกันทั้งสองมหาวิทยาลัย ดิฉันก็เลยเลือกที่จะทำตามความฝันของดิฉัน คือเป็นคุณครูสอนเด็กอนุบาล ก็เลยเลือกที่จะมาสอบสัมภาษณ์ที่มหาวิทยาลัยมหาสารคามแห่งนี้ และอีกใจหนึ่งดิฉันก็อยากจะเรียนพยาบาลเหมือนกัน เพราะดิฉันชอบที่จะรักษาคนไข้ อยากจะช่วยคนที่เจ็บป่วยเขาได้บรรเทาลงได้บ้าง ไม่มีสุขใดจะสุขเท่า เท่ากับการที่เราได้ช่วยชีวิตคน แต่แม่ไม่สนับสนุนเพราะแม่อยากให้เป็นคุณครูมากกว่า เพราะแม่อยากให้ลูกสาว ของแม่เป็นแม่พิมพ์ของชาติมากกว่า เพราะแม่ถือคติที่ว่า การให้ทานใดจะประเสริฐเท่ากับการให้ทานความรู้แก่คนที่เขาไม่รู้ และเป็นการชี้ทางที่สว่างให้กับคนที่เขามืดในสิ่งที่เขาไม่รู้ได้
และความภูมิใจอีกอย่างหนึ่งที่ดิฉันรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง เมื่อดิฉันได้ถูกให้รับเลือกทุนหนึ่งตำบลหนึ่งบัณฑิต ซึ่งเป็นจำนวนเงิน สองหมื่นบาท/ปี แต่น่าเสียดายที่ดิฉันได้เพียงแค่สองปีเท่านั้น เพราะเกิดการรัฐประหารขึ้นก่อน เลยทำให้รัฐบาลตัดโครงการนี้ออก นับว่าเงินก้อนนี้สามารถจุนเจือในเรื่องของการศึกษาค่าใช้จ่ายต่างๆ ของดิฉันได้มากเหลือเกิน มันทำให้เราได้รู้ค่าของเงินว่าแต่ละบาทแต่ละสตางค์มันมีค่าและมีความหมายแค่ไหน ก่อนที่เราจะกินจะใช้ เราควรที่จะคิดและไตร่ตรองให้ดีดี และอีกอย่างช่วงนี้เศรษฐกิจยิ่งไม่ดี ประเทศก็ย่ำแย่ แต่สิ่งเดียวที่ดิฉันคิดในตอนนี้ ดิฉันจะตั้งใจทำหน้าที่ของดิฉันให้ดีที่สุด และจะทำให้สุดความสามารถ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการเรียน การเป็นเด็กดีของพ่อกับแม่ และดิฉันจะสร้างอนาคตของดิฉันให้สวยงามที่สุด และดิฉันจะเป็นคุณครูอนุบาลให้ได้และที่สำคัญดิฉันจะเป็นตัวอย่างที่ดีดีให้กับเด็กอนุบาลๆ ตลอดไป
และเหตุการณ์ที่ประทับใจที่ได้มาศึกษาในมหาวิทยาลัยแห่งนี้
- ได้มีอาจารย์และเพื่อนดีๆ คอยช่วยเหลือ
- ได้มีโอกาสได้เลี้ยงข้าวน้องคนพิการที่ จ.ร้อยเอ็ด รู้สึกประทับใจและมีความสุขมาก
- ได้มีโอกาสได้เป็นนิสิตต้นแบบในการซักซ้อมการรับปริญญาบัตร
- สุดท้ายได้เป็นลูกศิษย์ดีๆ ของอาจารย์ และเป็นเด็กดีของพ่อกับแม่
- และสุดท้ายจริงๆ ในอนาคตข้างหน้าจะเป็นคุณครูที่ดีของเด็กๆ ต่อไป สวัสดี
“ ตัวอย่างที่ดี มีค่ามากกว่าคำสอน”
แสดงความคิดเห็น