ภาควิชาจิตวิทยาการศึกษาและการแนะแนว คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ถนนนครสวรรค์ ตำบลตลาด อำเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม 44000
ส่งยังไงหรอครับอาจารย์ ทำไม่เป็น
ส่งตรงคำว่า(แสดงความคิดเห็น)คลิ๊กเข้ามาแล้วก็เอาใส่ตรง(ฝากความคิดเห็นของคุณ)..ฮิฮิเราโทรถามอาจารย์แบบนี้จ้าเพื่อนๆ(น่าจะถูกต้อง)
อ๋อๆ เห็นเเล้วเพิ่งเข้าใจว่าส่งยังใงทดสอบคะ
นางสาวเกศสุดา วัชรบรรจง คณะศึกษาศาสตร์ สาขาจิตวิทยา รหัสนิสิต 52010517100ประวัติส่วนตัวข้าพเจ้าชื่อนางสาวเกศสุดา วัชรบรรจง คำว่าเกศสุดา แปลว่า ผมสวย เกิดเมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2532 ตอนนี้ก็อายุ 20 ปีแล้ว ตั้งแต่เล็กจนโต พ่อแม่ของฉันก็เลี้ยงฉันเป็นอย่างดี พ่อแม่ตั้งชื่อเล่นฉันว่า แอน ซึ่งจะให้คล้องจองกับชื่อพี่ชาย ตอนเด็กๆๆฉันจะอ้วน ซึ่งไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมคนแถวบ้านถึงเรียกฉันว่าอ๋อม แทนที่จะเรียกว่าแอน ฉันมีพี่น้องทั้งหมด 3 คน มีพี่ชายชื่อนายกฤษณะ วัชรบรรจง ชื่อเล่นชื่อเอ๊กซ์ ตอนนี้พี่ชายอายุ 22 ปี เรียนปีที่ 3 แล้วส่วนน้องสาวชื่อเด็กหญิงกฤษณา วัชรบรรจง ชื่อเล่น ใบเฟิร์น อายุ 14 ปี เรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ครอบครัวของฉันมีทั้งหมด 5 คน บ้านของฉันชื่อว่า กฤษสุดา ซึ่งชื่อนี้พ่อซึ่งเป็นหัวหน้าครอบครัว ตั้งขึ้นตามชื่อของลูกทั้งสาม ฉันก็เข้าเรียนโรงเรียนแถวหมูบ้านฉัน ซึ่งโรงเรียนนี้ชื่อโรงเรียนบ้านหนองฮะ เป็นโรงเรียนที่เรียนตั้งแต่อนุบาลจนถึง ป.6 ช่วง ระยะเวลาช่วงประถมนั้นฉันมักจะไม่ประสบความสำเร็จสักอย่าง จนมาถึง ป.6 เป็นช่วงที่พ่อแม่อยากให้ฉันไปเรียนมัธยมในเมืองมากกว่าที่นี้ ฉันจึงต้องอ่านหนังสือสอบปลายภาคให้ได้เกรดเยอะๆจากที่เรียนมานั้นฉันไม่เคยอ่านหนังสือสอบเลย ฉันรู้สึกไม่พร้อมที่ห่างพ่อแม่ และยังรู้สึกไม่โตพอสำหรับการอยู่หอพัก แต่พ่อแม่บังคับให้มาเรียนที่เมือง ฉันจึงจำเป็นต้องมาเรียนตามที่พ่อแม่จัดหาให้ ซึ่งโรงเรียนนั้นชื่อว่าโรงเรียนสิรินธร เป็นโรงเรียนที่เรียนตั้งแต่มัธยมศึกษาปีที่ 1 – 6 ช่วงแรกเข้าเรียน ม. 1 นั้นฉันอยู่ไม่ค่อยได้ พออยู่ไปสักพักก็เริ่มชิน แล้วก็อยู่ได้มีเพื่อนเยอะแยะ เข้ากับคนได้ง่าย เพราะฉันเป็นคนพูดตรงๆบางคนก็ชอบ บางคนก็ไม่ชอบก็แล้วแต่ เป็นคนง่ายๆ ช่วง ม.2 ก็เริ่มชินกับสถานที่เพื่อนที่คบก็เริ่มจะเกเร แต่ฉันรู้สึกว่าฉันยังไม่เปลี่ยนไปมากสักเท่าไร ก็มีแก๊งเดินกันเป็นกลุ่ม ช่วงมัธยมตอนต้นฉันทำเกรดได้ดีที่เดียว จนพ่อแม่ดีใจและไว้ใจในตัวฉันมากขึ้น จนจบมัธยมต้นก็มีเกรดเฉลี่ยที่พอใช้ได้ที่จะเอาเกรดเอาเรียนมัธยมตอนปลาย ในสายวิทย์ – คณิตฯ แต่ฉันไม่ชอบที่จะเรียนวิทย์ ฉันคิดว่ามันยากและฉันก็คงเรียนมันไม่ได้แน่นอน ฉันจึงแอบเลือกเรียนสายศิลป์ – คำนวณ แทน ซึ่งพ่อแม่ก็ไม่ได้เห็นด้วยสักเท่าไร แต่ฉันเลือกไปแล้ว ไม่สามารถแก้ไขได้อีก ก็เลยได้เรียนในสิ่งที่ง่าย
ในเวลาเรียนสายนี้ ในช่วงมัธยมตอนปลาย ม.4 เทอมต้น แม่เห็นฉันอยู่หอคนเดียว ก็เลยเอาน้องเข้ามาเรียนอนุบาลในเมืองให้อยู่หอเป็นเพื่อนกับฉัน ในช่วงมัธยมตอนปลายเข้าก็ให้เลือกชมรมเรียน ฉันไปเลือกเรียน รักษาดินแดน (ร.ด) ซึ่งในตอนนั้นไม่รู้คิดบ้าอะไรที่คนเขาไม่เลือกเรียนกัน เพราะตอนนั้นฉันชอบท้าทายชีวิต ทำกิจกรรมที่แปลก จน ม.5 เทอมปลายก็เริ่มต้องเตรียมตัวอ่านหนังสือสอบแอดมินชั่น ช่วงนี้เป็นช่วงที่พากันเริ่มเที่ยวตอนกลางคืนกับเพื่อนๆก็เริ่มสนิทกันมากขึ้น พากันเที่ยวทุกอาทิตย์จนเป็นความเคยชิน หนังสือก็ไม่ค่อยจะได้อ่าน ช่วงนี้เป็นช่วงที่ติดเพื่อนมาก เพื่อนว่าไงก็ว่าตามกัน พอมาถึงช่วง ม.6 ฉันกลัวสอบแอดมินชั่นไม่ติด ฉันจึงหามหาวิทยาลัยที่รับโควต้า เอาเกรดเข้าในคณะบริหารธุรกิจ สาขาเทคโนโลยีสารสนเทศทางธุรกิจ เพราะฉันไม่อยากอ่านหนังสือสอบ ยังไงก็รู้ว่าตัวเองสอบไม่ติดแน่นอน จึงเลือกที่อยากจะเรียนที่ไกลจากบ้าน ในขณะที่รอผลโควต้าที่มหาวิทยาลัยแม่โจ้ ก็สอบมหาวิทยาลัยขอนแก่นเผื่อด้วย สอบในคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ สาขาภาษาไทย ผลประกาศสอบออกพร้อมกันมหาวิทยาลัยแม่โจ้ฉันก็ติด รอจ่ายเงินอย่างเดียว ส่วนมหาวิทยาลัยขอนแก่นฉันสอบติดแบบไม่รู้ตัว ที่ติดเพราะคนในจังหวัดไม่มีคนเลือกคณะนี้จึงสอบติด ในความรู้สึกตอนนั้นใจฉันอยากไปเรียนที่เชียงใหม่มากที่สุด แต่คณะและสาขาที่มหาวิทยาลัยขอนแก่นนั้นเป็นสิ่งที่ฉันชอบและอยากเรียน ส่วนที่เชียงใหม่ไม่รู้ว่าเป็นสาขาที่เรียนเกี่ยวกับอะไรแต่คิดว่าตัวเองชอบที่เชียงใหม่ ฉันอยู่ไปเรื่อยๆเขาบอกว่ามีการรับน้องใหม่ทั้งปี ตอนแรกคิดว่าไม่มีอะไรมากนัก ฉันจะสู้กับเพื่อนๆในด้านการับน้องนั้นก็สนิทกับเพื่อนทุกคนในสาขาฉันและในสาขาอื่นๆ พอไปเรียนในสาขานี้แรกๆก็เรียนได้ พอเรียนไปเรื่อยๆยิ่งเรียนยิ่งยากจนเวลาเรียนจะต้องให้เพื่อนช่วยทำงานให้ และในด้านการรับน้องก็หนักขึ้นเรื่อยๆทั้งกับการเรียนก็เริ่มเรียนไม่ได้แล้ว จึงตัดสินใจลาออก แล้วมานับหนึ่งใหม่คือการรอสอบแอดมิ่นชั่น แต่พอลงคะแนนของมหาวิทยาลัยมหาสารคามทั้ง 3อันดับ ฉันได้อันดับที่ 3 คือ คณะศึกษาศาสตร์ สาขาจิตวิทยา ซึ่งเป็นสาขาหนึ่งที่อยากเรียน และในอนาคตฉันคงจะมีงานทำที่ดี แต่ที่ฉันฝันไว้คือการได้เป็นครูแนะแนวที่โรงเรียนสมัยมัธยมมันคงดีสำหรับฉันมากๆ แล้วก็อยากให้พ่อแม่ญาติพี่น้องเห็นความสำเร็จของฉัน เป็นคุณครูตามใจแม่ฉันที่ท่านหวังไว้อยากให้เป็น
.....
"เสี้ยวหนึ่งของชีวิต"เมื่อรู้ว่าตัวแม่นั้นตั้งท้อง......เฝ้าประคองด้วยใจที่มุ่งหวังสิ่งที่ชอบเผ็ดร้อนแม่ระวัง......เพื่อป้องกันลูกน้อยจะกระเทือน...แม้ไม่รู้ว่าจะชายหรือหญิง.....แม่ประวิงเฝ้านับครบวันเคลื่อนแม้จะเจ็บจะกลัวสิ่งทั้งปวง.....แม่ปลื้มทรวง.....เสียงแว้..แรกเริ่มดังอังคารที่ 7 สิงหาคม 2533 ในวันนี้ฝนตก แม่ตื่นเต้นและดีใจ พ่อรีบมาจากบริษัทเมื่อรู้ว่าคนที่พ่อ..รอมานานเป็นแรมปีได้ลืมตาดูโลกที่กว้างใหญ่..แม่ก็ดีใจไม่น้อยไปกว่าพ่อเลย..ลูกคนแรกของแม่และพ่อมีชื่อว่าหนูหนึ่ง (เพราะว่าเป็นลูกคนแรกนี่นา) พ่อตั้งชื่อให้ฉันว่า อาศุ ซึ่งแปลว่า รวดเร็ว ว่องไว ซึ่งเปรียบเหมือนม้า เพราะว่าฉันเกิดปีม้านั่นเอง เด็กผิวสีขาว ตาชั้นเดียวและก็มีปานอยู่ที่แก้มข้างซ้าย น่ารักน่าชังเลยทีเดียว พ่อฉันเป็นคนที่มีฐานะดีปู่ของฉันเป็นตำรวจ พันตำรวจโท ย่าของฉันก็เป็นลูกเศรษฐี ปู่และย่าเป็นคนจีนที่มาอยู่ในประเทศไทย ครอบครัวฉันจึงสุขสบายเพราะว่ามีทั้งบ้านที่ใหญ่โต มีพี่เลี้ยงที่คอยดูแล มีคนที่ทำความสะอาดบ้านให้ และอื่นๆอีกมากมาย เหมือสังคมชาวกรุงทั่วๆไปเริ่มตั้งไข่...ใจพองประคองลูก....ความพันผูกแนบแน่นสุดขานไขเริ่มหัดเดินหัดพูดแม่สุขใจ...ก้าวแรกได้ให้ลูก..ด้วยผูกพัน...แม่และพ่อเป็นครูแรกของชีวิต....ชี้ถูกผิดให้ลูกรู้ด้วยความฝันเติบโตใหญ่รวยจนไม่สำคัญ....ขอลูกฉันเป็นคนดีของสังคม
ความรักเป็นบทบาทหนึ่งที่สวมอยู่ในจิตใจมนุษย์มันเป็นความรู้สึก มีใครบอกได้ไหมว่าความรักมีหน้าตาแบบไหน มีใครบอกได้ไหมทำยังไงเราจึงหมดความรัก ฉันเป็นเด็กคนหนึ่งที่ได้รับความรักเหมือนเด็กคนอื่นๆ แต่แล้วเจ้าความรักที่พูดกันว่า รักรักรัก ไม่มีหน้าตาก็ดูเหมือนว่าหน้ากลัวฉันต้องอยู่กับพ่อของฉัน พ่อกับแม่หย่ากันตอนที่ฉันมีความรู้ความคิด รู้จักความรักที่งดงามฉันเริ่มเรียนอนุบาลแล้ว และฉันก็มีน้องหนึ่งคน (ลูกน้ำ) เราอายุห่างกัน2ปี ฉันยังจดจำวันนั้นได้ดีกว่าวันที่ฉันมีความสุขมากเป็นไหนๆ พ่อไปสถานที่หนึ่ง มีผู้คนเดินเข้าออกมากมาย บางคนก็ยิ้มแย้มออกมา แต่บางคนก็มีใบหน้าที่บ่งบอกเลยว่าเสียใจ ซักพักพ่อก็ไปนั่งที่เก้าอี้ตัวหนึ่งข้างๆแม่ และก็พูดกันซักพักกับผู้ชายหน้าตาดี ฉันได้ยินเขาถามพ่อกับแม่ของฉันว่า “ทั้งสองคนแน่ใจนะ” เท่านั้นเองแม่ก็มีน้ำใสๆร่วงลงมา ฉันได้แต่โอบกอดที่ตัวของแม่ที่สะอื้นจนตัวของฉันก็สั่นเทาไปด้วย ผู้ชายหน้าตาดีคนนี้ทำอะไรแม่ของฉันนะ.. แม่บรรจงเขียนชื่อของตนเองลงกระดาษที่มีพ่อเขียนลงไปก่อนแล้ว แม่เขียนช้ามากเหมือนแม่กำลังคิดอะไรอยู่ แต่แล้วแม่ก็เขียนเสร็จแม่บอกว่ากลับบ้านเรากันเถอะลูกพร้อมกับอุ้มน้องและจับที่แขนของฉัน พ่อก็บอกว่า “ไม่ได้นะลูกต้องอยู่กับฉันคนหนึ่ง” พ่อมองมาที่ฉันใบหน้าของฉันก็มีน้ำใสๆไหลออกมาเหมือนกัน ฉันเริ่มรู้แล้วว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไป มันคือสิ่งที่ฉันต้องเลือก แม่ดึงแขนของฉันแรงมากแต่ฉันไม่ได้ขยับเลยฉันกอดที่ขาข้างหนึ่งของพ่อแน่นมากเสียจนดึงไปไหนไม่ได้เลยช่วงเวลาหนึ่งฉันคิดได้ว่า ฉันได้ความรักและการเอาใจใส่จากพ่อมากกว่าแม่เสียอีก ตอนเช้าพ่อไปส่ง ตอนเย็นพ่อไปรับ พ่อไม่เคยที่จะทำให้ฉันเสียใจเลย อยู่กับพ่อแล้วอบอุ่นดี และอีกอย่างพ่อก็รักฉันมาก ฉันสัมผัสได้ แม่จึงได้น้องไปดูแลจากนั้นฉันก็ไม่ได้เจอแม่อีกเลยจนเรียน ป.1 ก่อนหน้านี้ หลังจากที่พ่อหย่ากับแม่ได้ไม่นานพ่อก็มีความรักครั้งใหม่และได้แต่งงานกัน นี่แม่คนที่สองของฉัน และไม่นานฉันก็ได้ไปอยู่ที่ชัยภูมิซึ่งเป็นบ้านของแม่เลี้ยง ตอนที่เขาแต่งงานใหม่ๆเขารักฉันมาก เขาดูแลฉัน ไม่เคยดุ ไม่เคยตี ตอนนั้นฉันก็ไปเรียนอนุบาลต่อที่นั่น พ่อฉันที่ไปทำงานอยู่ที่กรุงเทพก็นานๆกลับมาครั้ง และไม่นานความจริงในชีวิตฉันก็มาถึง เมื่อเขามีลูกเขาก็ต้องรักลูกเขามากกว่าลูกเราสิ จริงไหม แม่เลี้ยงใช้ฉันทำงานที่มีอยู่ในบ้าน เวลาที่พ่อไม่อยู่ และดุฉันตลอด ฉันมีความรู้สึกว่าฉันเป็นคนไม่มีพ่อไม่มีแม่ เขาว่าแม่ของฉันว่า “ร่านผู้ชาย” ว่าพ่อของฉันขาดผู้หญิงไม่ได้ เขาไม่ค่อยสอนให้ลูกของเขาช่วยเหลือตัวเอง ยาสีฟันก็ให้ฉันไปบีบให้ ว่าลูกเขาก็ไม่ได้เวลาที่เขาไปเที่ยวก็ซื้อของมาให้ลูกเขาตลอด เขาใช้คำพูดเรียกฉันกับเขาว่า ‘แก’ กับ ‘ฉัน’ และก็เคยตีฉัน ไม่ให้ฉันออกจากบ้านไปไหน ฉันเป็นเด็กที่ชอบทำกิจกรรม เป็นนักดนตรีไทยของโรงเรียนเล่นระนาดเอก ฉันต้องซ้อมกลับดึกก็ว่าฉันไปอยู่กับผู้ชาย ทั้งที่ตอนนั้นฉันยังไม่รู้จักกับความรักที่เป็นเรื่องชู้สาวแต่เขาพูดจนฉันแตกฉานเลยล่ะ เวลาที่พ่อกลับมาบ้านแม่จะพูดกับฉันดีมากเลย “ลูกไปเอาของมาให้แม่หน่อยนะจ๊ะ” โอบกอดฉันทั้งที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เขาเคยว่าฉันเป็นกายังไงฉันก็ไม่มีทางที่จะเป็นหงส์ไปได้หรอก
ความรู้สึกนั้นฉันยังจำมันได้เสมอ ฉันถูกใช้งานที่มีอยู่ในบ้านทุกอย่าง กวาดบ้าน ถูบ้าน ล้างจาน เกี่ยวหญ้าให้วัวกิน ฉันทำได้ทุกอย่าง มาวันนี้แม้ว่าฉันจะไม่ได้อยู่กับแม่เลี้ยงของฉันแล้วก็ตาม แต่ก็ยังหวนคิดถึงเรื่องเก่าๆที่ผ่านมา ฉันคิดว่าสิ่งที่แม่เลี้ยงทำกับเรามันให้ประโยชน์กับเราหลายอย่าง ใครจะรู้ว่าเรายืนด้วยตัวของเราเองเราเคยผ่านเรื่องอะไรมาบ้างมันทำให้เราสู้ชีวิต อย่างน้อยก็ผ่านการอบรมสั่งสอนให้เป็นคนที่ดี รู้จักลงมือทำอะไรหลายๆอย่าง พึ่งพาตัวเองได้ ฉันไม่เคยคิดอกตัญญูแม่คนไหนซักคนฉันรักเขาเหมือนที่รักทุกๆคน ฉันไม่โกรธแค้น คำบางคำมันทำให้ฉันฮึดที่จะสู้ แม่เลี้ยงเคยพูดกับฉันว่า “ฉันไม่มีวันเรียนจบ ฉันจะต้องไปขายตัว ฉันต้องเหมือนแม่ของฉันที่มีสามีถึงสองคน ฉันไม่มีทางเป็นคนที่ดีได้” และตอนนี้ฉันเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้แล้ว มันเป็นก้าวแรกของฉัน ก้าวเพียงหนึ่งเท่านั้น ชีวิตของฉันยังต้องเจออะไรข้างหน้าอีกมากมาย ฉันก็ขอขอบคุณแม่เลี้ยงของฉันด้วยที่ได้ดูแลฉันในช่วงหนึ่งของชีวิตให้เป็นคนที่ดีฉันไม่มีวันลืมบุญคุณท่านแน่นอน ส่วนแม่แท้ๆของฉัน อยู่ที่จังหวัดอุบลราชธานี เลี้ยงน้องของฉันแม้ว่าน้องจะเรียนไม่เก่งอยู่ชั้นประถม6ยังอ่านหนังสือไม่ออกเขียนชื่อตัวเองยังเกือบจะไม่ถูก เพราะว่าตอนที่น้องเรียนอยู่ ป.2 น้องของฉันเป็นโรคประจำตัวคือ ภูมิแพ้ ต้องนอนอยู่ที่บ้านขาดเรียนนานจึงเรียนไม่ทันเพื่อน แม่ของฉันก็ไม่ได้จบสูงนัก แต่ฉันนั้นก็พอเรียนดีแต่ไม่ค่อยเก่ง (ไม่ได้ชมตัวเองเลยนะ) ฉันมีพื้นฐานจากที่ยายแม่ของแม่เลี้ยงสอนฉันให้อ่านหนังสือเป็นตั้งแต่ยังไม่เข้าอนุบาล อนุบาลฉันก็สามารถอ่านหนังสือพิมพ์คำยากๆได้แล้ว ยายปลูกฝังให้รักในการอ่าน กลับจากโรงเรียนก็ให้อ่านเลยทันที ตอนที่ฉันเรียนอยู่ ป.4 ก็มาเรียนที่อุบลฉันเลยมีความกล้าและสามารถที่อ่านหนังสือ ตอนกลางวันก็จะไปอ่านนิทานให้เด็กๆที่อยู่อนุบาลฟังที่ห้องสมุด และอาสาเป็น บรรณารักษ์น้อย ที่โรงเรียนวิภาคและก็ยังเป็นพิธีกรเก่าคอยให้ความรู้ในตอนพักกลางวัน ฉันภูมิใจในตัวเองมาก ตอนที่ฉันเรียนอยู่ป.5ฉันก็ย้ายไปเรียนอยู่ที่กรุงเทพ โรงเรียนทานสัมฤทธิ์ ที่จังหวัดนนทบุรี(บ้านเกิดฉันเอง)ฉันชอบที่จะทำกิจกรรมของโรงเรียน ตอนนี้เองที่ฉันรู้จักดนตรีไทย มีอยู่วันหนึ่งที่ฉันได้ยินเสียงที่อ่อนหวานมาจากข้างหลังของโรงเรียนฉันจึงเดินเข้าไปดูเห็นคุณครูคนหนึ่งนั่งเล่นเครื่องดนตรีลักษณะเป็นรางไม้ใช้ไม้ตีฉันจึงขอเข้าไปนั่งฟัง ทำให้เกิดความรู้สึกอย่างหนึ่งขึ้นมาฉันอยากที่จะจับมันเหลือเกิน ฉันค่อยๆเอามือลูบเพื่อสัมผัสและได้ใช้ไม้เคาะ ครั้งแรกในชีวิตที่ฉันได้จับจากนั้นฉันก็ขอให้คุณครูสอนเพลงแรกที่ฉันเล่นเป็นคือ ลาวดวงเดือน ต่อด้วยลาวจ้อย ลางเสี่ยงเทียน และก็เพลงอื่นๆที่ตามมา (ฉันหลงรักดนตรีไทยเข้าแล้ว) ฉันพัฒนาตัวเองตลอดเวลา จนฉันได้ย้ายไปเรียนประถม6ที่โรงเรียนสุนทรวัฒนา ที่ชัยภูมิไปอยู่กับแม่เลี้ยง จากนั้นดนตรีที่ฉันเล่นก็ห่างหายเพราะว่าที่นั่นไม่สนับสนุนดนตรีไทย แต่ฉันก็เล่นเพลงเก่าเพราะพ่อได้ซื้อระนาดให้หนึ่งตัว ประมาณ20000 บาทฉันดีใจ และรักระนาดของฉันมาก เมื่อฉันกลับมาจากโรงเรียนฉันจะมานั่งเล่นซ้อมมืออยู่ไม่ห่าง ชาวบ้านที่ได้ยินจะชอบมาก พวกเขาต่างก็บอกว่าไพเราะฟังแล้วขนลุก(ทุกคนต่างก็ชอบ)“ ชนใดไม่มีดนตรีการ ในสันดานเป็นคนชอบกลนักอีกใครฟังดนตรีไม่เห็นเพราะ เขานั้นเหมาะคิดกบฏอัปลักษณ์ฤาอุบายมุ่งร้ายฉมังนัก มโนหนักมืดมัวเหมือนราตรีจิตใจย่อมดำสกปรก ราวนรกเช่นกล่าวมานี่ไม่ควรใครไว้ใจในโลกนี้ เจ้าจงฟังดนตรีเถิดชื่นใจ “
และพ่อของฉันก็ได้ซื้อซอด้วงให้อีกหนึ่งตัวเป็นซอที่ไพเราะมากเสียงหวานจับใจ ฉันเข้าเรียนต่อในม.1ได้เพราะว่าดนตรีไทยฉันใช้โควตาความสามารถพิเศษ ตอนนั้นมีคนไปสอบประมาณ 20 คนได้ เอาแค่5คน ฉันเป็นคนที่3 ฉันตื่นเต้นมากตอนที่ไปสอบเพราะว่าฉันไม่ได้พัฒนาด้านเพลงเลย ฉันเล่นเป็นแต่เพลงเดิมๆ แต่ฉันก็ใช้เพลงเดิมๆที่ฉันมีนั่นแหละไปสอบฉันบรรเลงเพลง ลาวดวงเดือน และเขมรไทรโยก 2เพลง ฉันมั่นใจฉันเล่นสุดความสามารถแล้วแม้ว่ามันจะผิดอยู่หลายรอบด้วยความตื่นเต้นแต่ฉันก็ยิ้มสู้กับกรรมการเล่นผิดฉันก็ยังเล่นต่อไม่กลัว ไม่หยุดจนจบเพลง วันที่ประกาศผลฉันตื่นเต้นและก็รู้ว่าฉันเข้าเรียนได้ด้วยความสามารถของตนเองจริงๆจึงเป็นเรื่องที่ฉันภาคภูมิใจอีกเรื่องหนึ่ง ฉันเรียนที่โรงเรียนชัยภูมิภักดีชุมพลจนถึงมัธยม4 ฉันทำกิจกรรมให้โรงเรียนตลอดฉันจึงจัดได้ว่าเป็นเด็กกิจกรรม เราเพราะผลการเรียนของฉันออกมาไม่ได้ดูดีเลย แต่ฉันก็พอใจในสิ่งที่ฉันทำได้เกรดของฉัน ไม่เคยต่ำกว่า2.60 และไม่เคยจะเกิน2.9เลย คือพูดง่ายๆเลยว่าไม่เคยเห็น3.00ขึ้นมาบนแฟ้มผลการเรียนเลย แม่เลี้ยงของฉันอยากให้ฉันทำผลการเรียนที่ดีกว่านี้แม่เขาก็คงจะหวังกับเราบ้างล่ะ ลูกของเขาก็เรียนใช้ได้เลยทีเดียว คนเล็กก็เป็นเด็กที่ฉลาดพูดเก่ง แต่ถ้าถามถึงพ่อว่าพ่อคิดยังไงกับผลการเรียนของฉัน ฉันว่าพ่อคงเฉยๆ เมื่อเวลามาถึงพ่อมารับฉันและให้ไปเรียนอยู่กับแม่จริงๆของฉันที่จังหวัดอุบล ฉันเข้าเรียนที่โรงเรียนพิบูลมังสาหาร มาอยู่ที่นี่เจอเพื่อนใหม่ๆ การใช้ชีวิตก็แปลกกว่าที่เคยอยู่กับแม่เลี้ยง แม้ว่าจะมีบางครั้งที่ยังไม่คุ้นเคยกับคนที่บ้านนี้ก็ตามยิ่งแม่ฉัน มีบางครั้งที่ฉันเขินอายไม่กล้าพูดด้วย ไม่กล้าที่จะปรึกษาฉันก็กลัวพ่อเลี้ยงของฉันด้วยแหล่ะ มันมีความรู้สึกที่แปลกๆอาจจะเป็นเพราะว่าฉันยังไม่คุ้นเคยมั้ง ฉันเดินทางไปโรงเรียนไปกลับวันละ20กิโล ก็บ้านของฉันมันอยู่ห่างตัวเมืองนี่นา ถ้าไม่ทันรถฉันก็จะให้น้องขับมอเตอร์ไซค์มารับครึ่งทางเพราะมีรถในหมู่บ้านแค่คันเดียว และก็จะได้ของแถมด้วยคือการถูกดุนั่นเอง น้องฉันเรียนอยู่ในโรงเรียนประจำตำบล โรงเรียนหนองบัวฮี ตั้งแต่ฉันมาเรียนที่พิบูลฉันก็รู้จักอาจารย์หลายท่านเพราะฉันก็ยังเล่นดนตรีไทยและทำกิจกรรมอื่นๆไม่ว่าจะ ชอบประกวดอ่านทำนองเสนาะ (แต่ขอบอกก่อนนะว่าเสียงฉันจะไพเราะ ความจริงฉันกล้าที่จะเสนอหน้ามากกว่า..ฮิฮิ)ก็แน่สิถ้าฉันไม่ทำในห้องเรียนเขาให้ส่งตัวแทนหนึ่งคนก็ไม่มีใครไปเพื่อนก็จะบอกแต่ว่าเธอนั่นแหล่ะตลอดเลย มันก็ดีนะทำให้เรารู้ว่าเพื่อนไว้วางใจฉัน แต่ว่า.................พอถึงเวลาประกวดจริงๆกลับไม่มีใครโผล่หน้ามาดูเลย...เฮ้ย เอ๊ะแต่มีอยู่หนึ่งคนนะ คนนี้เขาเป็นคนที่มาชอบฉัน (แน่ๆๆ.....คิดอยู่ละสิว่าหน้าตาแบบนี้ก็มีคนมาชอบหรอ) แน่นอนคนเรามันก็มีบ้างฮิฮิ ก็ตอนที่ฉันย้ายมาที่นี่ตอนแรกนะสิฉันต้องออกมาแนะนำตัวเขาบอกกับฉันว่าฉันน่ารักมากเลยล่ะ พูดไปก็เขินเหมือนกัน เขาชอบฉันตั้งแต่แรกเห็นเลย เอาเถอะตอนนี้เราก็คบกันอยู่เขาเป็นคนที่ดีเหมือนเดิมแม้เราจะเรียนมหาวิทยาลัยแล้วเขายังเสมอต้นเสมอปลายกับฉันเหมือนเดิม ผ่านก่อนนะเรื่องนี้ ฉันเรียนจนจะจบม.6แล้ว ตอนนี้ก็เป็นตอนที่เราต้องเลือกที่จะเรียนและเส้นทางชีวิตแล้ว ความจริงแล้วฉันอยากเป็นครูสอนดนตรีไทยตั้งแต่ ม. 1 มาจนถึง ม. 4 ต้องมาถอดใจและสับสนก็ตอน ม. 5 เพราะที่พิบูลไม่สนับสนุนดนตรีไทยเลย เครื่องดนตรีก็ไม่พร้อมและยังไม่มีครูที่จะมาสอนฉันก็เลยห่างดนตรีไทยไปเรื่อยๆทั้งที่ฉันก็มีระนาดที่ตั้งอยู่ที่บ้าน มีครูดนตรีมาสอนก็ ม. 6 แล้ว ฉันก็ไม่รู้จะเรียนอะไรซักเท่าไหร่แต่ก็อยากเป็นครูแนะแนว ฉันชอบพูดชอบเป็นผู้นำ
แต่ฉันไม่ได้เป็นคนที่เก่งหรอกฉันยังต้องเรียนรู้อะไรอีกเยอะเลย เขาบอกว่า”เหนือฟ้ายังมีฟ้า” วันหนึ่งก็มีโควต้าของมหาวิทยาลัยมหาสารคามมาฉันซื้อใบสมัครมาและมานั่งดูว่าฉันจะลงเรียนอะไรดีฉันอยากเรียนสิ่งที่ฉันอยากจะเป็นมากที่สุด มีคนเคยบอกว่า “เรียนในสิ่งที่งานต้องการงานเขารองรับอะไร ก็เรียนอันนั้นแหล่ะ” ฉันก็ถามเขาว่า “เราไม่ชอบก็ต้องเรียนหรอ” เขาตอบว่า “เรียนที่ชอบจบมาตกงาน จะเอาหรอ?” ฉันคิดว่าฉันเรียนในสิ่งที่ฉันชอบและอยากจะเรียนจริงๆดีกว่าฉันว่ามันง่ายกว่ากันเยอะเลย ฉันอยากที่จะเป็นคนที่พูดกับคนนั้นคนนี้ ช่วยเหลือคนอื่นๆ พยาบาลหรอ ไม่เอาหรอกถึงเรียนก็คงไม่จบ ฉันเห็นสาขาหนึ่งที่น่าเรียนมากคือ ศึกษาศาสตร์ จิตวิทยา ฉันใช้ปากกาขีดเส้นใต้ไว้ฉันไปหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ตว่าจิตวิทยาคืออะไร เมื่อฉันแน่ใจ ฉันก็ลงสาขาแรก จิตวิทยา สาขาที่สอง ปฐมวัย เพราะฉันชอบเด็กๆ พอถึงวันที่มาสอบสัมภาษณ์ฉันเดินทางมาที่สารคามด้วยความตื่นเต้น วันนั้นฉันมากับเพื่อนๆและคุณครู ท่านเป็นคุณครูแนะแนวที่โรงเรียนเรามาด้วยกันหนึ่งคันรถบัสใหญ่ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมมันจะโอเว่อร์ขนาดนั้นใครๆเขาก็มองว่าพวกนี้จะขนกันไปไหนฉันออกจากอุบลตอนตี 1 มาถึงมหาสารคามก็ 05.00 โดยประมาณ อืมฉันลืมบอกไปว่าฉันจองมหาวิทยาลัยนี้ไว้แล้ว ฉันไม่ลงโควต้าที่ไหนเลยฉันมั่นใจว่าถ้าดืที่นี่ฉันจะเรียนอยู่ที่นี่แต่ถ้าฉันไม่ได้ฉันจะลงแอดมินชั่นและถ้าไม่ได้ฉันก็จะไม่เรียนและรอแอดมิดชั่นเข้าสาขานี้อีกในปีต่อไป ถ้าพูดไปคงจะไม่น่าเชื่อแต่รับรองว่าจริงๆฉันตั้งใจไว้ว่าอย่างนั้น ....เมื่อฉันมายืนแหงนหน้ามองตึกศึกษาศาสตร์ ฉันตื่นเต้นยิ่งขึ้น และไม่นานก็มีพี่สาวแสนสวยมาดึงไปและถามฉันว่ามาสอบสาขาไหนฉันก็ตอบไปว่า สาขาจิตวิทยา ฉันได้ยินพี่พูดเบาๆว่า คิดยังไงมาเรียนเอกนี้นะ ฉันได้เดินต่อไปเพื่อไปหาเพื่อนและก็มีพี่พาขึ้นไปบนตึกศึกษาศาสตร์ นั่งรออยู่ที่ ไอที2ตั้งแต่เช้าจนบ่าย ก็เพราะว่ามีคนมาสอบประมาณ 100 กว่าคนได้เยอะจริงๆแล้วฉันก็ได้เข้าสอบ 4 คนสุดท้ายกับอาจารย์อารยาฉันมีความรู้สึกกลัวเล็กน้อย แต่ทุกอย่างก็ผ่านไปด้วยดีถึงวันประกาศผลฉันเห็นว่าทุกคนติดฉันรีบไปจ่ายเงินและยืนยันทันที และก้าวแรกของฉันก็เริ่มขึ้นด้วยความภาคภูมิใจที่ได้มายืนอยู่ที่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม วันที่ฉันมาเรียนฉันก็ได้เจอเพื่อนคนแรกของฉันเขาชื่อว่า บุ๋ม เขาผมสั้นมากดูท่าทางแล้วก็เหมือนทอมมากกว่าตั้งแต่เราเจอกันเราก็เป็นเพื่อนกันมาโดยตลอดและเราก็มีเพื่อนมาเพิ่มอีก 4คน ทั้งหมดก็มี หนูหนึ่ง บุ๋ม แป้ง ตั๊ก อุ๋มอิ๋ม จ๋า ทั้งหมด 6 คน เราเป็นเพื่อนที่ไปไหนไป
ด้วยกัน ถือได้ว่าเป็นเพื่อนสนิทเลยล่ะ อาจจะมีบางครั้งที่ความคิดเราสวนทางกันแต่ก็ลงเอยด้วยการเข้าใจกัน จำเป็นไหมที่เราเรียนจิตวิทยาเราต้องเข้าใจทุกๆคนบนโลก ฉันขอบอกเลยว่าไม่จริง ในบางครั้งฉันก็ไม่เข้าใจคนบางคนเพราะเข้าใจยากมากแต่ฉันก็ยิ่งอยากที่จะเรียนรู้ฉันว่าฉันมาเรียนสาขานี้เป็นสาขาที่ท้าทายในทุกๆด้านวันที่มาที่นี่วันแรกๆพ่อได้เอาของใช้มาให้ที่หอพัก มีคำพูหนึ่งที่ทำให้ฉันสู้และอดทนต่อสิ่งต่างๆรอบตัวได้ฉันถามพ่อว่า ถ้าหนูเรียนได้เกรดไม่ดีพ่อจะว่าหนูไหม พ่อได้ตอบหนูว่า ลูกมาเรียนที่นี่ลูกต้องพึ่งตนเองไม่มีพ่อแม่ที่ไหนจะอยู่กับลูกไปนานแสนนานหรอกซักวันลูกต้องยืนอยู่บนขาทั้งสองข้างของตนเอง และถ้าลูกทำเกรดออกมาไม่ดีหรือว่าเครียดจากการเรียนก็อย่าไปทำในสิ่งที่ไม่ดีทำร้ายตนเอง ลูกของพ่อไม่ต้องเรียนเก่งเพื่อแข่งขันกับใครแต่ลูกต้องแข่งกับตัวของลูกเอง หรือถ้าวันไหนอกหักหรือเกิดเรื่องที่ไม่ดีขึ้นจนทำให้ให้ลูกรู้สึกผิดและคิดที่จะฆ่าตัวตาย ลูกจำไว้เลยว่าพ่อพร้อมที่จะให้อภัยลูกเสมอและจะอยู่ข้างลูกตลอดไป ฉันรู้สึกรักพ่อยิ่งๆขึ้นและทำให้ฉันสู้เพื่อตัวของฉันเอง ฉันคิดในใจว่าฉันก็ผ่านอะไรมาเยอะทั้งความสุขหรือแม้กระทั่งความทุกข์ ฉันว่าฉันพร้อมกว่าคนอื่นๆและมีบางสิ่งที่มากกว่าคนอื่นแม้จะไม่ใช่ความร่ำรวย ความเพียบพร้อม มีโทรศัพท์ให้เปลี่ยนทุกๆปี มีสร้อยทอง มีแหวน มีกระเป๋าแบรนด์เนม มีชุดสวยๆใส่ หรืแม้กระทั่งการท่องราตรียามค่ำคืน อย่างหนึ่งล่ะที่มีมากกว่าคนอื่นคือ ประสบการณ์ชีวิตแม้จะใช้เวลาเพียงค่อนชีวิตที่มีความสุขทั้งกายและใจและเมื่อความสุขนั้นหายไปฉันก็ไม่เคยลืมเลยว่านี่เป็นแค่เพียง “เสี้ยวหนึ่งของชีวิต” และฉันต้องเดินก้าวไปอีกยาวไกล ล้มบ้างก็ลุกได้อีก ด้วยขาของฉันเองนี่แหล่ะ.................รักพ่อและผู้มีพระคุณนางสาวอาศุ อุทารจิตต์ (หนูหนึ่ง) 52010517053 คณะศึกษาศาสตร์ สาขาจิตวิทยา(เยอะหน่อยนะคะเพราะตอนแรกบอกว่า5หน้าไม่รู้ว่าจะตัดตรงไหนออก)สวัสดีค่ะ
""""""""""""
นางสาวสุกษมา เพียรหา รหัสนิสิต 52010517120 ตั้งแต่ฉันเกิดมาลืมตาดูโลก ฉันได้เรียนรู้อะไรหลายๆอย่าง ฉันเกิดมาในครอบครัวที่อบอุ่น ทุกคนให้ความรักความเอาใจใส่ฉันเป็นอย่างดี พ่อแม่สอนให้ฉันเป็นคนดี และรู้จักการเอาตัวรอดในสังคมที่จะเผชิญในอนาคต ในบางครั้งฉันเองก็คิดว่าฉันจะเกิดมาทำไม เกิดมาเพื่ออะไร ตอนเป็นเด็กทุกคนเอาใจ และเลี้ยงดูเป็นอย่างดี ฉันจึงเป็นเด็กที่ไม่ค่อยมีปัญหา แต่เมื่อฉันเริ่มเข้าเรียนในระดับอนุบาลฉันได้เจอเพื่อนใหม่ ได้เรียนรู้สังคมกว้างมากขึ้น ฉันเรียนหนังสือได้คะแนนดีมาโดยตลอด แต่ฉันเองก็ยังคิดว่าฉันมีเพียงแต่ความรู้ในหนังสือเท่านั้น แต่ความรู้จากการเรียนรู้ในชีวิตจริงฉันไม่มี ฉันปิดกั้นตัวเองในเรื่องต่างๆ ฉันไม่เคยสนใจโลกภายนอกเลย นอกจากจะมีคนมาเล่าให้ฟัง ฉันพยายามจะเข้าใจและเรียนรู้ด้วยตนเองมากขึ้น เมื่อฉันขึ้นชั้นประถม ฉันเข้าแข่งขันต่างๆมากมาย ไม่ว่าจะเป็น วาดภาพ คัดลายมือ เขียนเรื่องสั้น การประดิษฐ์ดอกไม้แห้ง ซึ่งสิ่งเหล่านี้ฉันก็เรียนรู้จากในห้องเรียนอีกนั่นแหละ ถ้าถามว่าฉันทำไมไม่เป็นเหมือนเพื่อนๆที่เวลาว่างก็ไปเล่นด้วยกัน แต่เวลาว่างสำหรับฉัน ฉันกลับมาทำการฝึกซ้อมเหล่านี้ ฉันเองก็ไม่ได้เป็นคนมีเพื่อนเยอะมากมายสักเท่าไหร่ ส่วนใหญ่เพื่อนๆเขาจะไม่ค่อยสนใจอะไรเหล่านี้ มีบางครั้งที่ทะเลาะกันบ้างเพราะฉันเป็นคนบ้างาน คือ การทำงานของฉันถ้าคิดจะทำแล้วต้องทำให้เสร็จ ฉันจะไม่ปล่อยไว้เป็นดินพอกหางหมูแน่นอน แต่ในบางครั้งก็มีบ้างถ้ามันด่วนจริงๆ ตอนเรียนชั้นประถมฉันเป็นที่รักของครูอาจารย์ที่โรงเรียนพอสมควร ถึงแม้จะเป็นโรงเรียนตามชนบทก็ตาม แต่ฉันก็ภูมิใจ สิ่งที่ฉันภูมิใจมากอีกอย่างหนึ่งคือฉันเข้าประกวดเขียนเรื่องสั้น เล่าเรื่องจากภาพ ฉันได้รางวัลชนะเลิศมา และประกวดการประดิษฐ์ดอกไม้แห้ง ฉันก็ได้รางวัลชนะเลิศมา อาจารย์เอาเรื่องราวของฉันไปลงในหนังสือ “ เพื่อนครู อุบล ” หลังจากแข่งเสร็จเป็นเวลาประมาณ สองสัปดาห์ อาจารย์ที่โรงเรียนก็เอามาให้ฉันดูและเอาไปให้พ่อกับแม่ดู ฉันภูมิใจมาก ฉันเป็นที่รู้จักของคนทั่วไปมากขึ้น ฉันภูมิใจในสิ่งที่ฉันทำ ฉันทำให้พ่อกับแม่มีความสุข ตั้งแต่นั้นมาทางโรงเรียนก็ส่งฉันเป็นตัวแทนโรงเรียนเข้าประกวดต่างๆ และเล่นกีฬาด้วย ฉันภูมิใจมากในการเล่นกีฬา ฉันหากดูภายนอกแล้วอาจจะดูเป็นคนเรียบร้อย อ่อนไหว แต่ในความเป็นจริงแล้ว ฉันเหมือนผู้ชายซะด้วยซ้ำ เล่นเหมือนผู้ชาย แข็งกระด้างในบางครั้ง ฉันเป็นนักกีฬาตระกร้อของโรงเรียน
คว้ารางวัลมาสร้างชื่อเสียงให้กับโรงเรียน แต่สุดท้ายฉันก็เลิกเล่นตระกร้อไปตอนฉันเข้ามัธยมต้ม ตอนฉันอยู่ชั้นประถม 6 ฉันเครียดมากเพราะตอนนั้นเริ่มมีโครงการบังคับให้เรียนถึงชั้นม. 3 แล้วพอดีทางโรงเรียนได้เปิดเป็นโรงเรียนนำร่องโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา อาจารย์บังคับให้ฉันเรียนต่อที่นี่ แต่ใจจริงฉันอยากเข้าไปเรียนในตัวเมือง เพราะพี่สาวก็เรียนอยู่ที่นั่น ฉันเครียดมากจนทำให้ผลการเรียนจากที่เคยเป็นที่หนึ่งของห้อง ฉันตกไปเป็นที่ห้าของห้อง ตอนนั้นฉันไม่รู้ว่าฉันต้องทำยังไงบ้าง ฉันพยายามสืบค้นข้อมูล วันรับสมัคร ของโรงเรียนที่ฉันอยากจะไปเรียน ฉันบอกแม่ว่าฉันไม่อยากอยู่ที่นี่เพราะเหตุผลหลายอย่างที่ฉันยกมาอ้าง ไม่ว่าจะเป็น อาจารย์สอนไม่เพียงพอ ความรู้อาจจะไม่แน่นพอเพราะเป็นโรงเรียนขยายโอกาส และที่สำคัญฉันอยากพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าฉันทำได้ ตอนเป็นเด็กฉันนั่งรถทีไรเป็นต้องอวก ฉันจึงพยายามพิสูจน์ตัวเอง ฉันสอบเข้าโรงเรียนที่ฉันอยากเข้าจนได้ ฉันมาปรึกษาแม่ว่าฉันต้องปรับตัวอย่างไรบ้าง ฉันต้องทำยังไงในการใช้ชีวิต และอีกหลายๆเรื่อง แม่คือผู้ที่ให้คำปรึกษาที่ดีสำหรับฉัน ฉันพยายามปรับตัวให้เข้ากับเด็กในเมืองให้ได้ ให้เขายอมรับในตัวฉัน ซึ่งก็ใช้เวลาพอสมควร ฉันเข้าเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น ซึ่งฉันพยายามปรับตัวเองเสียใหม่ในหลายๆเรื่องไม่ว่าจะเป็นการตื่นนอน การทานข้าว การแต่งตัว การคบเพื่อน เนื่องจากสังคมในเมืองมันล่อแหลมมาก ฉันพยายามระมัดระวังในทุกๆเรื่อง ฉันตื่นแต่เช้าอาบน้ำแต่งตัว รับประทานอาหารเช้า แล้วก็มานั่งรอรถอยู่ที่หน้าบ้าน ฉันเดินทางไปโรงเรียนใช้เวลาประมาณ หนึ่งชั่วโมงได้ ระยะทางก็ประมาณห้าสิบกิโลเมตร จากบ้านถึงโรงเรียน ฉันจึงต้องขยันเป็นพิเศษเพราะฉันต้องการพิสูจน์ว่าฉันทำได้ ฉันใช้ชีวิตในรูปแบบนี้เป็นเวลาสามปีได้ ฉันพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าฉันทำได้ต่อจากนั้นพ่อกับแม่ก็เริ่มไว้ใจฉันมากขึ้น ฉันจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่สามด้วยเกรดเฉลี่ย 3.67 ฉันทำให้คำดูหมิ่นเหยียดหยามของหลายคนต้องจบลง แต่หลายคนก็ยังคงคิดต่อว่าเดี๋ยวก็จะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ เพราะอยู่ในสังคมแบบนี้ถ้าไม่เก่งจริงก็เอาตัวไม่รอด ฉันจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่สามแล้ว เพื่อนก็ชวนไปสมัครเรียนที่โรงเรียนประจำจังหวัด ฉันกลัวว่าฉันจะปรับตัวเข้ากับสังคมของลูกคนรวยไม่ได้ ฉันคิดหลายรอบมาก แต่ฉันเองก็อยากจะลอง จึงตัดสินใจปรึกษาพ่อกับแม่ พ่อกับแม่ท่านก็ไม่ว่าอะไร กลับสนับสนุนอีก ฉันก็ยิ่งมีกำลังใจมากขึ้น ฉันไปสมัครเรียนโรงเรียนที่ฉันไม่คิดว่าจะไม่เข้าเรียนเลยด้วยซ้ำ เพราะฉันคิดว่ามันไม่เหมาะกับคนอย่างฉัน ฉันต้องปรับตัวอีกและต้องอยู่ให้ได้ มีหลายคนถาม
ว่าจะไปสอบเข้าโรงเรียนนี้ทำไมไม่ไปกวดวิชา ทำไมไม่อ่านหนังสือ ขนาดลูกของฉันทั้งกวดวิชา ทั้งเรียนพิเศษยังเข้าไม่ได้เลย ฉันเองก็ยังเฉยเพราะฉันไม่คิดที่จะเข้าอยู่แล้ว ในช่วงเวลาก่อนสอบนั้นมันเป็นช่วงปิดเทอม ฉันไม่อ่านหนังสือไม่เตรียมตัวอะไรทั้งนั้น แต่ฉันกลับมุ่งมั่นที่จะช่วยพ่อแม่ทำงานมากกว่า ที่บ้านของฉันทำผ้าห่ม ทำผ้าเช็ดเท้าขายเป็นกลุ่มแม่บ้าน ซึ่งตอนนี้อยู่ในระดับ 4 ดาวแล้ว ป้าของฉันเป็นประธานกลุ่ม และญาติๆก็ช่วยกัน รวมทั้งชาวบ้านในหมู่บ้านก็ให้ความสนใจเข้ามาร่วมกลุ่ม ช่วยกันผลิตผ้าออกจำหน่ายหารายได้เข้าชุมชนและครอบครัว ฉันเองก็มีส่วนช่วยในการทำหนังสือทางราชการส่งให้หน่วยงานต่างๆในกรสนับสนุน เมื่อถึงวันสอบจริง ฉันไปสอบแบบสบายๆไม่คิดอะไรเลย ทำข้อสอบก็แทบจะไม่อ่านเลยด้วยซ้ำ ผิดกับเพื่อนอีกคนหนึ่งที่เขาตั้งใจจะเข้าโรงเรียนนี้ให้ได้ เขาตั้งใจอ่านหนังสือตลอด ในห้องสอบฉันทำข้อสอบเสร็จก่อนเพื่อน และออกจากห้องสอบก่อนเพื่อน สอบเสร็จฉันรีบกลับบ้าน เมื่อวันที่รายงานตัวโรงเรียนเดิมฉันก็ไปรายงานตัวแบบตั้งใจ และเป็นวันเดียวกันกับที่อีกโรงเรียนประกาศผลสอบ ฉันไม่ไปดูรายชื่อผู้ผ่านการสอบเสียด้วยซ้ำเพราะฉันคิดว่าฉันไม่ได้แน่ๆ ฉันรายงานตัวเสร็จกำลังจะกลับบ้าน เพื่อนคนที่ไปสอบด้วยกัน เขาไปดูผลสอบมา ปรากฏว่าเขาสอบไม่ติดแต่ฉันสอบติด เขาเครียดมากและเขาก็ต้องเรียนที่โรงเรียนเดิม เขาถามฉันว่าสอบติดแล้วไม่ดีใจหรอ ฉันตอบเขาว่าฉันรู้สึกเฉยๆเพราะฉันไม่หวังที่จะไปเข้าอยู่แล้ว เมื่อฉันกลับมาถึงบ้านมาเล่าให้แม่กับพ่อฟังว่าสอบติด พ่อกับแม่ก็ไม่รู้ว่าฉันดีใจหรือเสียใจกันแน่ ฉันเองก็รู้สึกเฉยๆ ก่อนที่ฉันจะตัดสินใจ ฉันปรึกษากับญาติๆทุกคน ลุงถามว่าทำไมถึงไม่อยากไปเข้าเรียนที่นั่น ฉันบอกว่าฉันกลัวว่าฉันจะไม่มีเพื่อน เพราะเพื่อนเก่าไม่มีไปเลย และอีกอย่างค่าใช้จ่ายก็ต้องเพิ่มมากขึ้นด้วย กลัวว่าพ่อกับแม่จะส่งเรียนไม่ไหว ฉันจึงได้คำตอบจากลุงว่า เพื่อนน่ะไปหาเอาข้างหน้าก็ได้ เพื่อนเขามีไว้ให้ศึกษา จะมัวอยู่แต่กับคนเดิมๆโดยที่ตัวเองไม่ยอมเปิดโอกาสให้กับตัวเองเลยที่จะพบคนในรูปแบบต่างๆกัน และเรื่องค่าใช้จ่ายไม่ต้องห่วงเดี๋ยวลุงจะช่วยอีกแรง เมื่อฉันได้ฟังอย่างนี้ฉันเองก็เริ่มมีกำลังใจมากขึ้นจึงบอกกับตัวเองว่า ฉันน่าจะลองดูไม่น่าจะมีอะไรเสียหาย ในเมื่อโอกาสมันมาถึงแล้วต้องรีบคว้าเอาไว้ แล้วอีกอย่างคือโรงเรียนนี้เป็นโรงเรียนที่มีชื่อเสียงพอสมควร ใครๆก็อยากจะเข้าไปเรียนทั้งนั้น ถ้าไม่ลองก็ไม่รู้ ชีวิตนี้เกิดมาเพื่อเรียนรู้ ฉันเริ่มก้าวเข้ามาเรียนในโรงเรียนประจำจังหวัด ฉันรู้สึกภูมิใจเป็นอย่างมาก ถึงฉันจะไม่ได้เก่งอะไรแต่ฉันคิดว่าฉันมาถึงจุดนี้ได้ก็ถือว่าฉันทำได้ดีที่สุดแล้ว ฉันมาถึงจุดนี้
แล้วฉันเองก็ยังไม่พ้นจากคำพูดที่เสียหายต่างๆ เขาพูดจาไม่ให้เกียรติ พูดจาดูถูกเหยียดหยามเราสารพัด ฉันเองก็ได้แต่บอกกับแม่ว่าสักวันฉันจะทำให้พวกเขาพูดไม่ออกแม่คอยดูนะ และแม่กับพ่อก็ไม่ต้องเป็นห่วงให้เราทุกคนทำตามหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุดเท่านี้ก็พอแล้ว ฉันรู้ว่าแม่เองก็ยังคิดมาก เพราะสังคมในเมืองกับสังคมชนบทมันต่างกันมาก ทั้งผู้คน ทั้งการอยู่การกินการดำเนินชีวิต จะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ฉันเรียนชั้นมัธยมปลายในโรงเรียนประจำจังหวัด และระยะทางมันไกลกว่าเดิม รถเที่ยวเช้าก็ไม่มี ฉันกับพี่สาวอีกสองคนจึงจำเป็นที่จะต้องย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองเช่าหอพักอยู่ด้วยกันสามคนพี่น้อง แต่หอพักที่ว่าก็เหมือนบ้านเพราะเป็นหอพักของอาจารย์ที่สอนตอนประถมซึ่งปัจจุบันท่านก็ยังสอนอยู่ที่บ้านของฉัน เวลามีอะไรท่านก็ช่วยเหลือเราได้ เพราะบ้านท่านก็อยู่ติดกับหอพักนั่นแหละ แม่ให้ความไว้วางใจให้ฉันมาอยู่กับท่าน และฉันก็สัญญาว่าจะไม่สร้างความเดือดร้อนให้ท่านเป็นอันขาด ฉันอยู่หอพักนี้อบอุ่นดี ท่านดูแลดีทุกอย่าง เป็นแม่คนที่สองของฉันเลยก็ว่าได้ ชีวิตในชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายของฉันวุ่นวายมาก ไหนจะเป็นการปรับตัวเข้ากับเพื่อนใหม่ การเรียนที่เข้มข้นขึ้น และอีกหลายๆอย่างที่ฉันต้องเรียนรู้ด้วยตนเอง ยิ่งพี่สาวของฉันเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับฉัน ฉันเห็นความขยันของพี่ฉันจึงทำตาม ตอนนี้พี่สาวของฉันเรียนอยู่ที่วิทยาพยาบาลบรมราชชนนี นนทบุรี เรียนพยาบาลอยู่ปีที่สามแล้ว ยังเป็นคนที่ขยันเช่นเคย ตั้งใจเรียน และไม่ทำให้พ่อแม่ผิดหวัง พี่สาวของฉันสอบชิงทุนได้จึงทำให้พ่อกับแม่ลดภาระค่าใช้จ่ายลงบ้าง ฉันเห็นพี่ของฉันตอนเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย ทำทุกอย่างทั้งเรียน ทั้งกิจกรรม บางครั้งพี่ก็บอกว่าเหนื่อยแต่พอนึกถึงพ่อกับแม่ทีไรมันก็หายเหนื่อยทุกที เพราะคิดว่าพ่อกับแม่เหนื่อยยิ่งกว่าเราอีกหลายเท่าท่านยังผ่านมันไปได้ ฉันอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ฉันเริ่มปรับตัวเข้ากับทุกคนได้แล้วเริ่มรู้จักคนมากขึ้น เริ่มเข้าใจตัวเองมากขึ้นว่าตัวเองต้องการอะไรบ้าง ฉันเริ่มเข้าไปช่วยทำงานในห้องแนะแนวของโรงเรียน ฉันได้เรียนรู้งานต่างๆมากมาย ได้เรียนรู้บุคลากรในโรงเรียนมากขึ้น ได้พูดคุยได้รู้จักคนมากขึ้น เมื่อฉันอยู่ชั้น ม. 6 ฉันเริ่มเรียนหนักขึ้นเรื่อยๆ แล้วยังต้องสอบอีก งานห้องแนะแนวก็เยอะและมีแต่งานด่วนๆทั้งนั้น ฉันพยายามทำหน้าที่ตามที่ฉันได้รับมอบหมายอย่างเต็มที่ และเต็มความสามารถ มีช่วงหนึ่งที่งานด่วนมากๆฉันต้องเรียนและทำงานด้วยพร้อมกันเพราะถ้าฉันไม่ทำ งานก็ไม่เสร็จ ฉันเคยทำงานอยู่ที่โรงเรียนดึกจนถึงเกือบเที่ยงคืน ทุกคนเป็นห่วงมาก แต่ฉันก็ไม่ได้ทำตัวเหลวแหลกอะไร ฉันโทรบอกอาจารย์ที่หอพัก
และโทรบอกทุกคนเพื่อไม่ให้ท่านเป็นห่วง วันนั้นทำงานเสร็จฉันรู้สึกโล่งมากๆ เหมือนยกภูเขาออกจากอก มันเป็นความภาคภูมิใจที่บอกไม่ถูกเหมือนฉันประสบความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ประมาณนั้นได้ ฉันรู้ว่าฉันเริ่มก้าวเข้ามาทำงานในส่วนนี้ มันเหนื่อย แต่ถึงจะเหนื่อยเพียงใดแต่ถ้าใจมันรักมันก็สู้ ช่วงโควตาของมหาวิทยาลัยต่างๆมา ฉันบอกแต่เพื่อนๆ ฉันไม่สมัครเองฉันอยากให้เพื่อนๆได้ที่เรียนที่ดี ส่วนฉันตอนนั้นยอมรับว่าไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไรกันแน่ อยากเรียนนั่น แต่กลับชอบนี่ ฉันตัดสินใจไม่ได้ เมื่อผ่านรอบโควต้าเรียบร้อยฉันจะรอโควต้าของวิทยาลัยพยาบาลอย่างเดียว ฉันคิดว่าฉันอยากเป็นพยาบาลเหมือนพี่สาว ซึ่งพ่อกับแม่เองก็อยากให้ฉันเรียนพยาบาลเช่นกัน ฉันลองสมัครไปในรอบแรก ใช้โควตาบุตร อสม. เหมือนโชคชะตาจะไม่เข้าข้าง วันประกาศผล ฉันมีชื่อติด แต่ฉันหาชื่อฉันเท่าไหร่ก็ไม่เจอ ฉันเลยไม่ได้สอบสัมภาษณ์ พอผลสอบสัมภาษณ์ออกมีคนบอกว่าฉันมีชื่อสอบสัมภาษณ์ทำไมฉันไม่ไปสอบ ฉันรู้สึกผิดหวังมาก แต่ฉันก็ไม่ละความพยายาม ฉันรอรอบสองอีก แล้วฉันก็สมัครอีก แต่ฉันก็ไม่ติดอีก ก็เลยบอกกับแม่ว่าฉันคงไม่เหมาะกับการเรียนพยาบาลหรอก มาถึงเวลานี้แล้วแม่ก็ไม่ว่าอะไร แม่บอกว่าให้ฉันเรียนในสิ่งที่ตัวเองชอบดีกว่า แม่ไม่อยากบังคับ และฉันก็เลือกเรียนในส่วนตรงนี้คือ จิตวิทยา ฉันเลือกเรียนในตรงนี้เพราะฉันคิดว่าฉันน่าจะทำได้ดี เพราะฉันคลุกคลีกับงานตรงนี้มาพอสมควรพอจะรู้แนวทางในการทำงานมาบ้าง แม่ก็ตามใจ และที่ฉันดีใจคือ ในตอนนี้แม่ของฉันถูกส่งเข้าประกวด อสม. ดีเด่น ในด้านจิตวิทยา ซึ่งแม่บอกว่าฉันมีส่วนช่วยคือเขาดูว่าลูกเรียนอะไรบ้าง ซึ่งตรงกับที่ฉันเรียนพอดี ตอนนี้ก็รอประกวดระดับจังหวัดและระดับภาค ฉันจึงบอกกับแม่ว่าฉันจะทำในส่วนของตรงนี้ให้ดีที่สุด และจะตั้งใจเรียน ฉันจะไม่ทำให้ใครมาว่าครอบครัวของฉันเสียๆหายๆอีกต่อไป มาถึงตอนนี้ฉันเรียนมหาลัยแล้วฉันโตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นและฉันก็รู้ว่าอะไรเป็นอะไรมากขึ้น และฉันบอกว่าฉันจะทำทุกอย่างเพื่อให้พ่อกับแม่สบายทั้งกายและใจ ฉันจะเป็นลูกที่ดี และทำให้พ่อแม่ภูมิใจในตัวฉัน ฉันเดินมาถึงจุดๆนี้ได้ฉันก็ภูมิใจ และฉันก็กลับกลายเป็นคนแปลกหน้าสำหรับทุกคนในหมู่บ้านเพราะทุกคนไม่เคยเห็นหน้าฉัน แทบจะไม่รู้ว่าฉันเป็นลูกของใครซะด้วยซ้ำ ชีวิตที่ผ่านมาของฉัน ฉันเจออะไรต่างๆมากมาย บางทีฉันก็รู้สึกท้อ รู้สึกเหนื่อย แต่ฉันก็ยังผ่านมันมาได้ แล้วอนาคตของฉันฉันเป็นคนที่จะกำหนดมันเอง ฉันต้องทำให้ได้ และที่สำคัญฉันจะไม่ทำให้พ่อกับแม่เดือดร้อนเป็นอันขาด ที่ผ่านมาฉันเอาคำต่อว่า คำดูถูกของคนมาคิด ฉันคิดว่ามันเป็นสิ่งที่ดี มันเป็นกำลังใจของฉันอีกอย่างหนึ่ง เหมือนที่เขา
ด่าฉันก็คิดว่ามันเป็นคำชม มาคิดๆดูแล้วฉันเองมันก็แปลกคนเหมือนกันเนอะ บางครั้งฉันยังตลกตัวเองเลยว่าฉันจะทำไปเพื่ออะไร ทำไปทำไม ในเมื่อมันไม่ได้ช่วยให้ทุกอย่างดีขึ้นมาหรือแย่ลงไปเลย ตัวฉันในปัจจุบันนี้ไม่ขออะไรมากไปกว่านี้ แค่มีชีวิตที่ดี มีความสุขกับการได้เกิดมาก็เพียงพอแล้ว และก็ทำทุกวันให้เป็นวันที่มีค่ามากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ความสุขของฉันมันอยู่ที่ใจ ถ้าใจคิดดีทุกอย่างมันก็จะดีเองขอโทษทีนะค่ะอาจารย์ เกินมานิดนึง ไมม่รู้จะตัดออกตรงไหน เลยเอามาหมดเลยค่ะ
นางสาวอาติญา ไชยยศ ส่งงาน ดร.รังสรรค์ โฉมยาชื่อ-นามสกุล นางสาวอาติญา ไชยยศ 52010521007ชื่อเล่น ครอบครัวเรียก ดักแด้ เพื่อนเรียน นังแด้ วัน/เดือน/ปีเกิด วันอาทิตย์ที่ 10 มีนาคม 2534 สถานที่เกิด โรงพยาบาลร้อยเอ็ดที่อยู่ ร้อยเอ็ดคือถิ่นฐานบ้านเกิด 556 ถ.รญชัชชาญยุทธ ต.เหนือเมือง อ.เมือง จ.ร้อยเอ็ดการศึกษา จบเตรียมอนุบาลโรงเรียนสรีสินร้อยเอ็ด จบอนุบาล- ป.6 โรงเรียนอนุบาลร้อยเอ็ด จบมัธยม 1-6 ที่โรงเรียนสตรีศึกษาร้อยเอ็ดสถานะปัจจุบัน MAHASARAKHAM UNIVERSITY คณะศึกษาศาสตร์ สาชาจิตวิทยา ปี1 ฉายาขำๆ อีหมาเพลินวา เพราะเพื่อนอยู่ด้วยแล้วขำทั้งวันนิสัย บ้าๆ ไม่ชอบอารมณ์เสีย ชอบเสียงหัวเราะ ปากไวอนาคต การวางแผนเป็นิ่งดี แต่ตอนนี้ยังไม่แน่นอนสไตล์การแต่งตัว ตามอารมณ์ ง่ายๆ เริ้ด หนังแนวที่ชอบ comedy แนวเพลงที่ชอบ indy สีที่ชอบ น้ำตาล ทอง อาหารจานโปรด สปาเก็ตตี้ คาโบนาร่าเครื่องประดับติดตัว กิ๊บดอกไม้ แวนตา สร้อย เงิน นาฬิกากิจกรรมที่ชอบทำ ยิงปืน bb แอดเวนเจอร์ ทุกชนิดตอนนี้อยากเจอใครมากที่สุด ฟรอยด์ คำถามมากมายที่ไม่เค้าใจเพื่อนซี้ๆปึ้ก มิ่ม ตุ้ม เ ดียร์ ก้อย เปิ้ลเป๋อ หลิน นิ่ม ปิ๊ก เปิ้ลผู้ชายในสเป็ค ท้วมๆ ดูอบอุ่น อารมณ์ดี รักครอบครัว ถ้าเลือกเกิดได้อยากเป็นใคร บียองเซ่ (สวยมาก)อาหารที่ทำได้อร่อยที่สุด สปาเก็ตี้ ยำ น้ำพริกกะปิ ผลไม้ที่ชอบ ทุเรียน ข้าวโพด ละมุด ของที่เห็นแล้วต้องซื้อ รองเท้า ตุ้มหู ของชิ้นเล็กๆน่ารักๆสัตว์ตัวโปรด สุนัข ลิง จิงโจ้ เมียแคส สัตว์ที่เห็นแล้วยี้ ทุกอย่าที่เป็นก้อนๆถ้าเป็นแฟนกับใครก็ได้ในโลก พระเอกเกาหลีทุกคนถ้ามีเงินพันล้านอยากทำอะไร ใช้หนี กยศ.พาพ่อแท่ เที่ยวเวนีสสิ่งที่ทำบ่อยๆจนติดเป็นนิสัย ดีใจ หัวเราะ แบบเวิ้อๆเรื่องที่อยากลืมที่สุด ไม่มีๆ ทุกความทรงจำมีค่าเหตุการณ์ที่โรแมนติกที่สุดในชีวิต เพื่อนบอกรัก.งงไปหลายวันNever fear shadow. They simply mean there's a light shining some where near by. อย่ากลัวเงา เพราะเงา หมายความว่ามีแสงสว่าง ส่องอยู่ใกล้ ๆ ♥ สักแห่ง ♥ ดักแด้เป็น มิตร กับทูก..อย่างบนโลกนี้ ภูเขา สายลม ทะเล และ แสงแดด !! หนักแน่ อ่อนโยน สบายๆ ร้อนแรง ♥คือทุกสิ่งที่ดักแด้เป็น ♥
ประวัติส่วนตัวของฉันน.ส.รุ่งทิวา ชะบา รหัสนิสิต 52010517116 ฉันเกิดมาในครอบครัวที่อบอุ่น มีพ่อแม่และญาติพี่น้อง แม่เล่าว่าตอนที่แม่จะคลอดฉันแม่ต้องให้คนข้างบ้านพาไปโรงพยาบาล เพราะพ่อฉันเมาเหล้า ในตอนเด็กแม่ตั้งชื่อฉันว่า “รุ่งระวี” แต่พอคุณย่าของฉันมาหาฉันที่บ้านท่านว่าไม่เหมาะ จะด้วยเหตุผลอะไรก็ไม่รู้ ย่าเลยเปลี่ยนเป็น “รุ่งทิวา” ดังนั้นฉันจึงชื่อ รุ่งทิวา มาจนถึงทุกวันนี้ผ่านมา 2 ปี บ้านฉันก็ได้ตอนรับสมาชิกใหม่เป็นผู้ชาย นั้นคือน้องฉันเอง ตอนเด็กฉันและน้องอาศัยอยู่กับคุณตา เพราะพ่อแม่ทำงานอยู่ที่กาฬสินธุ์ ฉันเริ่มที่โรงเรียนอนุบาลแถวๆบ้าน มันเป็นโรงเรียนวัดชื่อโรงเรียน วัดตาล แต่ทุกวันนี้เปลี่ยนชื่อเป็น โรงเรียนวัดศรีทองนพคุณ พออยู่ประมาณอนุบาล 2 พ่อกับแม่ก็มารับฉันไปอยู่ด้วย ฉันจึงได้ย้ายไปเรียนที่ โรงเรียนบ้านบุ่งเลิศ ต.บุ่งเลิศ อ.เมยวดี จ.ร้อยเอ็ด ฉันเรียนอยู่ที่นั้นจนถึง ป. 3 พอ ป. 4 ฉันก็ย้ายกลับมาที่เสลภูมิ เรียนที่โรงเรียน เสลภูมิสามัคคี วันแรกที่ฉันย้ายมาฉันรู้สึกเกร็งมาก เพราะฉันยังไม่รู้จักใครเลย และฉันก็ย้ายมาตอนกลางเทอมด้วย วันแรกฉันไม่ค่อยมีเพื่อนเลย เพราะฉันเป็นคนขี้อาย และฉันก็ไม่กล้าคุยกับใครเลย วันต่อมามีเพื่อนผู้ชายเข้ามาทักฉัน และถามชื่อฉัน ฉันจึงรู้ว่าเขาคนนั้นชื่อ บอส หลังจากวันนั้นฉันก็มีเพื่อนเยอะแยะไปหมด และเราทุกคนก็สนิทกันมาก พอพอขึ้น ป.6 เราก็มีเรื่องทะเลาะกัน ก็ไม่รู้ว่าเกิดจากสาเหตุอะไร และเราก็ไม่พูดกันเลย แต่สุดท้ายเราก็กลับมาดีกันเหมือนเดิม จนถึงวันจะจบ ป.6 ฉันรู้สึกว่าเป็นเวลาที่เศร้ามากเพราะฉันไม่อยากจากเพื่อนๆไปไหนเลย อยากให้โรงเรียนของฉันเป็นโรงเรียนขยายโอกาสจะได้มีต่อจนถึง ม.3 แต่คงจะเป็นไปไม่ได้ เพราะโรงเรียนของฉันอยู่ในตัวอำเภอ และมีโรงเรียนมัธยมประจำอำเภออยู่แล้ว สุดท้ายเราก็ต้องจากกัน วันแรกของการเรียนที่โรงเรียนมัธยม ฉันได้อยู่ห้อง9 และไม่มีเพื่อนมาจากโรงเรียนเก่าเลย ถามเพื่อนคนอื่นก็อยู่ห้อง 8,7.......และเพื่อนบ้างคนได้อยู่ห้องเดียวกัน แต่ทำไมฉันได้อยู่คนเดียว แรกๆก็มีเหงาบ้าง แต่ผ่านมาไม่นานฉันก็สนิทกับเพื่อนใหม่ ชีวิตฉันตอน ม.ต้นก็ไม่มีอะไรหวือหวามากนักก็ตามปกติธรรมดาของคนที่มีเพื่อนเยอะทั้งเก่า ทั้งใหม่ สนุกสนานบ้าๆไปตามประสาแต่
ก็ไม่เคยออกนอกหลู่นอกทางนะ จะบอกแม่ตลอด ต่อพอขึ้น ม.ปลาย รู้สึกเลยว่าชีวิตฉันเปลี่ยนไป เพราะเพื่อนฉันเยอะมาก เพื่อนชวนไปไหนฉันไปหมด นอนบ้านเพื่อน หรือ เพื่อนมานอนบ้านฉัน เพราะฉันมีบ้าน 2 หลัง และบ้านฉันอยู่ในตัวอำเภอ จึงเป็นศูนย์รวมของเพื่อนๆ อาจจะดูไม่เหมาะบ้าง แต่ทุกอย่างที่ฉันทำลงไป พ่อกับแม่จะรู้ทุกเรื่อง เพราะฉันเล่าให้พ่อกับแม่ฟังตลอดเกือบจะทุกเรื่องเลยก็ว่าได้ เวลาฉันมีปัญหาอะไร ฉันก็จะเล่าให้พ่อกับแม่ฟัง ดังนั้นฉันจึงสนิทกับพ่อและแม่มาก ฉันเคยฝันว่าอยากเป็นพยาบาล จะว่าเป็นความฝันของฉันก็ไม่เชิง เพราะพ่อกับแม่ชอบและอยากให้ฉันเรียน แต่พอเอาเข้าจริงๆฉันกลับรู้สึกว่า ฉันไม่ชอบ กลัว และไม่อยากเข้าใกล้คนไข้ที่ป่วย เนื่องจากสาเหตุอะไรก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าไม่ ยังไงฉันก็ทำไมได้ ฉันเลยเล่าให้พ่อกับแม่ฟัง แต่พ่อกับแม่ก็ยังอยากให้ลองดู แต่ฉันรู้ดีว่าฉันคงทำไม่ได้ฉันเลยยืนยันว่าจะไม่เรียน สุดท้ายพ่อกับแม่ก็เลิกบังคับฉัน และให้ฉันเรียนคณะที่ฉันอยากเรียน พอถึงตอนสอบ O-Net , A-Net ก็ยังเลือกไม่ได้อยู่ดีว่าจะเรียนคณะอะไร ฉันก็ปรึกษาแม่ แม่ก็บอกว่าจะเรียนอะไรก็เรียน แล้วแต่ดูว่าฉันชอบอะไร แล้วค่อยเลือก ถึงแม่จะพูดแบบนั้นแต่ฉันก็เลือกไม่ได้อยู่ดี สุดท้ายเลยเลือกลง คณะศึกษาศาสตร์ที่สารคาม เพราะฉันก็ชอบ มากกว่าคณะอื่นๆที่มีอยู่ ตอนแรกคิดว่าจะเรียนสาขา ปฐมวัย เพราะที่บ้านเราก็มีน้องที่อยู่ประมาณอนุบาล ฉันก็คิดว่าอยู่กับเด็กได้ แต่เอาเข้าจริงๆฉันอยู่กับเด็กได้ก็จริง แต่เป็นเด็กแค่คนเดียว ถ้าจะให้สอนเด็กเยอะๆฉันคงทำไม่ได้ สุดท้ายอะไรก้อไม่รู้ทำให้ฉันได้มาเรียนสาขาจิตวิทยา ยอมรับเลยว่าแรกๆไม่รู้ว่าจิตวิทยาเรียนเกี่ยวกันอะไร ฉันก็ไปปรึกษาแม่ๆที่ฝ่ายแนะแนวของโรงเรียน แม่ก็ถามว่า “ยังไม่รู้อีกหรอว่าจิตวิทยาเรียนเกี่ยวกับอะไร จบแล้วทำงานอะไร” ฉันก็บอกแม่ว่ารู้แต่ว่าเกี่ยวกับการให้คำปรึกษาอะไรประมาณนี้ แม่ที่ฝ่ายแนะแนวเลยแนะนำฉันเยอะแยะมากมายจนฉันได้ข้อมูลพอถูๆไถๆไปได้ ตอนแรกฉันไม่คิดว่าฉันจะเรียนได้เพราะฉันเป็นคนไม่ค่อยพูด แล้วอีกอย่างฉันก็ไม่ค่อยมีพื้นฐานอะไรมากมาย แต่สุดท้ายฉันว่ามันก็โอเคนะที่ฉันมาเรียนสาขานี้ เพราะฉันมีคนคอยให้คำแนะนำและช่วยเหลือฉันเยอะแยะเต็มไปหมดเลย และกำลังใจของฉันคือ พ่อและแม่ของฉันเองที่คอยเป็นกำลังใจให้ฉันมาตลอดและฉันอยากบอกว่าฉันดีใจมากที่ได้เกิดมาเป็นลูก พ่อกับแม่
ป ร ะ วั ติ ข อ ง ฉั นฉันเกิดในครอบครัวที่ไม่ใหญ่มากนัก พ่อ-แม่-น้อง และตัวฉันเอง ส่วนชื่อ “อัญภิชา” แม่บอกว่าตั้งให้เพราะต้องการให้ไม่เหมือนใคร ไม่เหมือนจริง ๆ เพราะจนถึงวันนี้ยังหาคนชื่อเหมือนฉันไม่เจอเลย ตอนเด็ก ๆใครก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า เลี้ยงยาก เพราะจะไม่ยอมกินนม พอโตขึ้นมาหน่อยก็ซนมาก ๆเล่นเหมือนเด็กผู้ชาย แม่บอกว่าอาจเพราะตอนก่อนจะท้องแม่มีลูกยาก จนต้องไปบนบานขอลูกที่วัด(ไม่รู้เกี่ยวอะไร) แม่เล่าให้ฉันฟังว่า ตอนเด็ก ๆ แม่เลี้ยงฉันคนเดียวเพราะพ่อเป็นทหาร ต้องไปทำงานต่างจังหวัด แม้กระทั่งตอนเกิดต้องให้คนข้างบ้านพาไปคลอด ตอนเด็ก ๆ ไม่เข้าใจ คิดว่า “อ้าวทำไมพ่อไม่มาหาเลย” หลัง ๆเริ่มรู้เรื่อง ไร้สาระค่ะ เพราะปัจจุบันเรารักกันมาก มากที่สุดเลย Jตอนเด็ก ๆ ที่บ้านจะเรียกเราว่า “อ้วน” เพราะตอนเกิดหนัก 3,200 กรัม ต่างจากน้องสาวที่ตัวเล็กหนัก 2 พันกว่า ๆ กับน้องเมื่อก่อนเราทะเลาะกันบ่อยมาก ๆ ตีกันบ้าง แล้วน้องก็จะฟ้องแม่ เราก็จะโดนทุกครั้ง เพราะเป็นพี่ จะผิดจะถูกเราก็ผิดเสมอ เพราะเป็นพี่แล้วไปทะเลาะกับน้อง ฟังแล้วดูไม่สมเหตุสมผลเลย (ตอนนี้ก็ยังคิด) จะว่าแบบนั้นก็ได้เพราะฉันกับแม่ไม่ค่อยสนิทกันเท่าไหร่ แต่ฉันจะไปสนิทกับพ่อมากกว่า ทั้ง ๆที่ตลอดชีวิตนี้เจอกับพ่อน้อยมาก ป.1 พ่อก็ย้ายไปต่างจังหวัดแล้ว จนถึงปัจจุบันก็ยังย้ายไปโน่น นี่ อยู่ แต่เราอาศัยคุยโทรศัพท์ คนส่วนมากจะคิดว่าลูกสาวจะสนิทกับแม่ มีอะไรจะคุยกับแม่มากกว่า แต่ฉันกับตรงข้าม ทุกเรื่อง 90 % ฉันจะเล่าให้พ่อฟังหมด
จนถึงปัจจุบันเรามาเรียนมหาลัยก็ยังโทรหาพ่อเกือบทุกวัน ส่วนแม่..นับครั้งได้ พอขึ้นม.6 ฉันก็มาอยู่กับปู่-ย่า เพราะปู่ กับ ย่าอยู่กันสองคน แล้วก็ป่วยบ่อยเราก็เลยขอ “พ่อหนูขอไปอยู่กับย่านะ” พอพ่ออนุญาต เราก็หอบผ้าย้ายบ้านเลย เปิดเทอมวันแรกปู่ก็ออกรถให้หลานสาวเลย เพราะตอนนั้นฉันต้องไปเรียนพิเศษ เพราะเป็นช่วงที่จะสอบเข้ามหาลัย แต่ละวันจะเข้าบ้าน2 ไม่ก็ 3 ทุ่ม เลิกจากโรงเรียนเราก็เรียนพิเศษต่อ เป็นแบบนี้ไปจนจบม.6 ตลอดเวลาที่ฉันอยู่กับปู่-ย่า บอกได้คำเดียวว่ามีความสุขมาก ฉันได้ดูแลย่า ตอนที่ไม่สบาย มีอะไรก็จะมาคุยให้กันฟัง ตอนเช้าตี 5 ย่าก็จะปลุกแล้ว ไปวิ่งออกกำลังกายด้วยกัน หนาวแค่ไหนก็ต้องลุก เสร็จจากออกกำลังกายก็จะเลยไปตลาด กลับถึงบ้านมากินกาแฟ ทำงานบ้าน ทำกับข้าวกินกัน มีความสุขแปลก ๆค่ะ เพราะโดยส่วนตัวแล้วฉันชอบชีวิตแบบนี้มาก ชีวิตที่ติดดิน ไม่ต้องมีรถคันโต มีเงินทองอะไรมากมาย แค่เราได้อยู่กับคนที่เรารัก แล้วเราก็เห็นเขามีความสุข เท่านี้มันก็เกินพอแล้ว แต่คนอื่นมักจะมองไปเป็นอย่างอื่น อาจจะเพราะบุคลิกภาพด้วย เพราะฉันชอบแต่งตัว ชอบเที่ยว บางครั้งภายนอกอาจจะมองบิดเบือนจากที่เป็นจริงไปบ้าง แต่ก็ไม่เป็นไรเพราะที่ทำทุกอย่าง ฉันจะคิดเสมอว่าสิ่งที่ทำไปต้องไม่ทำให้ใครเดือดร้อน แต่ก็มีบางครั้ง ที่ตามใจตัวเองเกินไป อาจเพราะอารมณ์ วัยวุฒิที่บางครั้งบางที อาจจะดูไม่เหมาะสม ที่ทำลงไป เช่นล่าสุดก็ตอนม.6 ตอนนั้นเราติดเพื่อนมาก ๆ เพื่อนชวนไปไหนไม่มีปฏิเสธเลย แล้วกลุ่มเพื่อนที่เราคบก็เป็นพวกชอบเที่ยวด้วยสิ เอาแล้ว ..ฉันรึจะปฏิเสธ ว่าแต่โทรมา ฉันก็ไปหาเลย ตอนแรกคิดว่า “แล้วจะเป็นอะไร ก็โตแล้ว ไปเที่ยวบ้างจะเป็นไรไป” แต่ตอนนั้นมันถี่เหลือเกิน ยอมรับเลย แต่ก็ทำเพราะห้ามใจตัวเองไม่ได้
แต่ทุกครั้งฉันจะโทรบอกพ่อตลอด (บอกแล้วว่าคุยกันทุกเรื่อง) เพราะฉะนั้นฉันทำอะไร อยู่ที่ไหน พ่อก็จะรู้ตลอดเราก็เลยสบายใจอย่างน้อยผู้ใหญ่ก็รับรู้ แต่ตอนนี้โตแล้ว รู้ว่าอะไรควรทำ รู้ว่าหน้าที่ของเราคืออะไร และรู้ว่าต้องทำให้ดีที่สุดเมื่อครั้งสมัยเด็ก ๆเราจะมีความฝันอยากเป็นโน่น อยากทำนี่ จินตนาการเรื่อยเปื่อย นึกย้อนไปก็เสียดายที่เวลานั้นมันผ่านไปไวเหลือเกิน แต่ตอนนี้ กลับสู่โลกของความเป็นจริง เพราะยิ่งโตความฝันก็ยิ่งน้อยลงแต่ความเป็นจริงต่างหากที่มากขึ้นทุกที ความฝันแรกของฉัน ถ้ามีใครถามว่าโตขึ้นอยากเป็นอะไร ฉันจะตอบอย่างเดียวเลย “อยากเป็นคุณครูค่ะ” แต่พอโตมาหน่อยประมาณม.1 ก็เริ่มเปลี่ยน “อยากเป็นตำรวจค่ะ” ม.3 “อยากเป็นหมอค่ะ” แต่ก่อนจะสอบเข้ามหาลัยความคิดสุดท้ายที่อยากเป็นคือ อยากจะเป็นแอร์โฮสเตรส ! พอเอาเข้าจริง ๆตอนเลือกคณะ ก็ต้องดูหลาย ๆอย่าง เช่น ความชอบ ความถนัดของเรา ความเห็นของพ่อ แม่ ด้วย และที่สำคัญคะแนนสอบ คะแนน GPAX ไป ๆมา ๆสุดท้ายก็มาอยู่คณะศึกษาศาสตร์แล้ว (อะไรเนี่ ย ?) ความรู้สึกตอนแรกที่รู้ว่าติดคณะนี้ มันก้ำกึ่งค่ะ ประมาณว่า ตกลงฉันจะดีใจดีไหม พอพ่อถามว่าตกลงชอบไหม เราก็เงียบ แถมถามกลับว่า “แล้วพ่อว่าไง” คือต้องบอกก่อนว่าทางบ้านฉันจะสนับสนุนให้ลูกหลานเป็นข้าราชการมากกว่า จะอาชีพไหนก็ตามแต่จะชอบ ขออย่างเดียว “ลูกต้องสอบโจโฉให้ได้นะ” คือ เป็นข้าราชการเถอะ ปั้นปลายจะได้สบาย เพราะส่วนใหญ่ที่บ้านก็รับราชการกันทั้งนั้น ตอนนี้ก็ขอสนองความต้องการของพ่อ แม่ พี่ น้อง ก่อนแล้วกันค่ะ.. เอาก็เอา !ตอนนี้ถ้าให้ย้อนเวลาไปได้อยากจะกลับไปเรียนใหม่เลย ทุกครั้งตอนเปิดเรียนฉันก็จะพูดกับตัวเองทุกครั้ง “จะตั้งใจเรียน” แต่ก็ทำได้นะ ได้2-3 อาทิตย์แรกแค่นั้นแหละ
ต่อมามันก็แบบว่า ..ขี้เกียจ แล้วก็จะมาเร่งเอาตอนใกล้สอบ แบบว่าไฟไม่จี้ตูด ฉันก็จะไม่อ่านหนังสือ สมัยเรียนก็จะแบบว่าขี้ลอกเหลือเกิน เป็นกันทั้งห้องเลย ไม่ว่าจะการบ้านเล็ก ๆน้อย ๆ ไปจนสอบไฟนอล ฉันก็เอาหมดค่ะ เพื่อความอยู่รอด ฝาผนังเอย โต๊ะเอย ยางลบ แขน เขียนไว้หมดค่ะ ทำมาทุกอย่าง แต่ก็ไม่เคยโดนจับได้สักครั้งนะ กลัวมากว่าจะสอบเรียนต่อไม่ได้เพราะที่ผ่านมาเราเลื่อนชั้นได้เพราะมีเพื่อนช่วย แต่สอบเข้ามหาลัยนี่ ใครจะช่วยเราหนอ มันรู้สึกกลัวแปลกๆ ก็เลยเรียนพิเศษแบบเอาเป็นเอาตายเลย ดีที่ยังมีที่เรียนกับเพื่อน พอมาเรียนมหาวิทยาลัย ฉันได้มีโอกาสคุยกับพี่คนหนึ่งเรียนคณะแพทย์ จะบอกว่าพี่คนนี้ฉันชอบมาก ๆ เราก็แบบคุย ๆถามทุกอย่าง มีแอบแซวว่าพี่เรียนเก่งจัง โชคดีจัง อะไรแบบนี้ พี่เค้าเงียบแล้วตอบกลับมาว่า “ไม่ใช่โชคหรอกครับ พี่ตั้งใจมากกว่า พี่ไม่ได้เล่นเลยนะ เตรียมตัวมาตั้งแต่เรียนม.ปลายแล้ว พี่บอกกลับตัวเองว่าถ้าพี่ไม่ได้เรียนหมอ ก็จะไม่เรียนเลย”.. สุดยอดค่ะ ฉันแบบว่าอึ้งเลย แล้วยังมิวายแซวต่อ “โห เก่งแบบนี้ กรรมพันธุ์รึเปล่า” พูดไปได้ไง แล้วเราก็ปรึกษาพี่เค้าแบบว่าความจริงแล้วเราก็อยากเรียนหมอเหมือนกัน ชอบมาก ๆ ให้ทำฟรีก็เอา เพราะอยากช่วยคนจริง ๆ แต่คงจะเรียนไม่ได้เพราะโง่ ..แค่นั้นแหละค่ะพี่แกตอบกลับมา “ถ้าคิดแบบนี้ก็คงจะเรียนไม่ได้หรอกครับ คิดแค่นี้คุณก็แพ้แล้ว” เราก็อะไรวะ นี่จะไม่ให้กำลังใจเลยหรอ ซ้ำเติมเข้าไป แต่ความจริงพี่เขาตั้งใจจะบอกว่า “ที่เราเรียนไม่ได้เพราะเราไม่พร้อมมากกว่า ทุกอย่างมันอยู่ที่ใจ ถ้าเราตั้งใจเตรียมตัวตั้งแต่เนิ่น ๆเราก็มีสิทธิเหมือนคนอื่น ทุกอย่างมันอยู่ที่เราทั้งนั้น อย่าให้ใครมากำหนดชีวิตเราแม้แต่โชคชะตา จินตนาการถึงวันที่เราทำได้แล้ว ทำสำเร็จแล้ว มันจะมีความสุขมากแค่ไหน”..ประโยคพวกนี้ฉันไม่เคยลืมหรอกค่ะ ไม่เคยเลย ฉันเรียนรู้อะไรจากคน ๆนี้มากมาย เขาสอนฉันทุกเรื่องสอนให้รู้ว่าคนเราไม่ได้ดีไปหมดทุกอย่าง อยากรู้จักใครก็
ต้องเรียนรู้ คนเรามีสองด้าน ก็เหมือนกับฉันค่ะ ฉันก็เป็นคน มีลมหายใจ ไม่ใช่ภาพวาด ที่จะสวยงามตลอดเวลาก่อนที่ฉันจะนอน จะคิดอยู่ทุกวันว่าพรุ่งนี้จะทำอะไรบ้าง แล้วก็ต้องทำให้ได้ พยายามที่จะบังคับตัวเอง เช่น พรุ่งนี้จะต้องอ่านหนังสือให้ได้ 3 ชั่วโมง , พรุ่งนี้จะทำความสะอาดห้อง แล้วก็ต้องบังคับตัวเองว่า ต้องทำ ! แต่ก็มีบ้างที่ทำไม่ได้ เพราะตอนนี้ติดเน็ตงอมแงม แชทกับเพื่อนบ้าง เล่นเกมส์บ้าง มีช่วงหนึ่งที่ติดมากชนิดที่ไม่หลับไม่นอน เล่นโต้รุ่งจนเช้า บางครั้งเผลอหลับไป แต่พอตื่นก็กดเปิดเล่นต่อเลย พยายามจะตัดใจเหมือนกัน เอาคอมฯไปเก็บในตู้ไม่ให้เห็น จนปัจจุบันก็ยังทำไม่ได้ แต่ก็เล่นน้อยลงกว่าเมื่อก่อนแล้ว จริงอย่างที่เขาว่ากัน ชนะใจตัวเองมันยากจริง ๆ ทนต่อการทำอะไรที่ไม่ชอบ ฝืนความรู้สึกตัวเอง ฉันเป็นคนที่ถ้าชอบอะไรแล้ว ก็จะทำซ้ำ ๆ ทำอยู่อย่างเดียว เช่น ถ้าเจออะไรที่อร่อย ก็จะกินอยู่อย่างเดียว กินได้เป็นเดือน ๆ เหมือนสมัยเรียนม.5 หลังเลิกเรียนต้องกินยำ ร้านนี้ร้านเดียวเท่านั้น กินติดต่อกันประมาณ 3 เดือน จนวันหนึ่งไม่เหลือเงินจากโรงเรียน ก็เลยไปขอแม่ แต่แม่ไม่ให้เพราะรู้ว่าต้องเอาไปซื้อยำอีกเสื้อผ้าเหมือนกันใส่ชุดเดียวได้จนกว่ามันจะขาด ตัวอื่นจะใหม่แค่ไหนก็ช่าง เอามาแลกก็ไม่เอา เพราะอย่างนี้อย่าให้ได้ติดใจอะไรอีกเลย ไกลแค่ในฉันก็ตามไปได้ ถ้าต้องการจริง ๆ (สงสัยจะบ้า) แต่นี่เป็นกรรมพันธุ์หรือเปล่าก็ไม่รู้เพราะพ่อก็มีนิสัยแบบนี้คล้าย ๆกัน แต่ไม่บ้าขนาดลูก เสื้อผ้าก็เช่นเดียวกัน ฉันจะชอบอะไรที่ใส่แล้วรู้สึกมั่นใจ แล้วก็ติดแบรนด์ อย่างกางเกงยีนส์ก็ต้องยี่ห้อนี่เท่านั้น แต่เรื่องเสื้อผ้านี้เป็นกันทั้งบ้าน จะติดยี่ห้อกัน ใครใส่เสื้อยี่ห้อในจะรู้กันหมด ว่าต้องของยี่ห้อนั้น นี้เท่านั้น ประมาณว่าพอ ๆกันทั้งครอบครัว แต่ของที่สามารถดูดเงินในกระเป๋าฉันได้มากที่สุดคงจะเป็นหนังสือ จะประเภทไหนก็ช่าง แค่ได้ซื้อก็มีความสุขแล้ว อันนี้ต้องบอกก่อนว่าไม่ได้เป็น
หนอนหนังสืออะไรหรอก บางเล่มซื้อมา เปิดดูแค่รูปภาพเฉย ๆก็มี แล้วทุกวันนี้เหมือนกัน จะไปไหนต้องมีหนังสือติดกระเป๋าไปด้วย กล้าให้ค้นได้เลย แม้ว่าถือไปรู้ทั้งรู้ว่าไม่ได้อ่านก็จะเอาไป มีช่วงหนึ่งต้องเอามานอนด้วยทุกครั้ง คือที่บ้านห้องฉันจะอยู่ชั้นสอง พอทานข้าว ดูทีวี อะไรเรียบร้อยแล้ว ก็จะหยิบหนังสือเข้าห้องแล้วก็หลับโดยต้องมีหนังสืออยู่ข้าง ๆตลอดเวลา เป็นเอามากเหมือนกัน ตอนนี้ห้องนอนฉันก็เลยอุดมไปด้วยหนังสือ จนต้องซื้อชั้นไว้วางหนังสือเป็นของตัวเอง เพราะถ้าไม่ซื้อก็คงจะไม่มีที่นอนแน่ ๆตอนนี้บอกตามตรงว่ายังมองไม่เห็นอนาคตตัวเองเลย คือที่เป็นอยู่ทุกวันนี้พยายามที่จะใช้ชีวิตทุกวันให้ดีที่สุด อย่างที่พูดไปว่าก่อนนอนจะคิดไว้ว่าวันพรุ่งนี้จะทำอะไร เหมือนกับเราได้ตั้งใจไว้แล้วว่าถ้าทำได้อย่างที่คิดไว้จะดีมาก ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย หายใจทิ้งไปวัน ๆ แล้วก็ไม่ได้อะไรเลย จริง ๆก็เคยเป็นแบบนี้ ตอนแรกรู้สึกสบายมาก ตื่นมาก็กิน ดูหนัง เบื่อก็ฟังเพลง เหงาก็โทรศัพท์ หมดวันก็นอน เคยอยู่แบบนี้ตอนช่วงปิดเทอม แต่พอทำแบบนี้ไปสักอาทิตย์หนึ่ง รู้สึกเหมือนใจจะขาด เกลียดตัวเอง แบบว่าหงุดหงิดมาก อารมณ์เสียจริง ๆ เพราะวัน ๆมัวแต่นั่งกิน นอนกิน แต่พอได้มาทำนู่นทำนี่ มันเหนื่อย บางครั้งเพลียสุด ๆ แต่จิตใจมันแจ่มใสกว่ากัน เหมือนกับได้ออกกำลังกายเป็นการดูแลสุขภาพตัวเอง ได้ออกไปข้างนอกเจอคนมากมายก็ได้สังคม มีความรู้สึกดีกว่ากันเยอะเลย รู้สึกว่าชีวิตมีคุณค่าที่ได้ทำอะไรเพื่อตัวเอง และคนอื่น อดีตก็เป็นเรื่องของอดีต ที่มันแก้ไขอะไรไม่ได้ ส่วนอนาคตมันก็ยังมาไม่ถึง อนาคตจะเป็นยังไงก็อยู่ที่ปัจจุบันเราทำอะไรไว้ ทำดีก็ดี ทำชั่วก็ชั่ว ตอนนี้พยายามทำหน้าที่
ของตัวเองให้ดีที่สุด เพราะตอนนี้ความฝันสูงสุดของฉันไม่ใช่ได้เป็นหมอ ไม่ใช่ได้เป็นครู ไม่ใช่ได้เป็นแอร์โฮส-เตรด แต่ตอนนี้ฝันอย่างเดียวคือ อยากเรียนจบมีงานทำ แล้วเลี้ยงพ่อ แม่ได้ ฉันอยากเห็นพ่อแม่สบาย เพราท่านเหนื่อยกับเรามามากแล้ว อยากที่จะทำให้พ่อ แม่ภูมิใจในตัวเราบ้างสักครั้ง เมื่อก่อนตอนเด็ก ๆเราร้องอยากได้นู่น นี่กับพ่อ แม่ มาทั้งชีวิตแล้ว ตอนนี้ฉันคิดว่าฉันไม่ต้องการอะไรแล้ว เพราะสิ่งที่ท่านให้มาตา หู จมูก แขน ขา ..ชีวิตที่ท่านให้มาแค่นี้มันก็มากพอแล้ว ฉันไม่ต้องการอะไรนอกจากตื่นมาแล้วรู้ว่าพ่อ แม่ยังอยู่กับเราบนโลกใบนี้ หนูสัญญาว่าจะเป็นลูกที่ดีของพ่อ แม่ จะเป็นหลานที่ดีของปู่ กับย่า ขอบคุณทุกสิ่งทุกอย่างที่ให้มา ขอบคุณที่ให้หนูมีโอกาสมานั่งเขียนเรื่องราวเหล่านี้ด้วยความภาคภูมิใจว่าได้เกิดมาเป็นลูกของท่านทั้งสอง
ประวัติส่วนตัว นางสาวปรียานุช ศรีหาโคตร นิสิตชั้นปีที่ 1 ปีการศึกษา 2552 รหัสนิสิต 52010517025 คณะศึกษาศาสตร์ หลักสูตร จิตวิทยา ปีการศึกษา 2552ข้อมูลเบื้องต้น- ชื่อ นางสาว ปรียานุช ศรีหาโคตร ชื่อเล่นๆ อุ๋มอิ๋ม - กรุ๊ปเลือด บี เกิดวันที่ 4 เดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2533 อายุ 19 ปี - สีที่ชอบ สีม่วง,สีชมพู อาหารที่ชอบ แป๊ะซะปลาทับทิม,ปลาหมึกยัดไส้,สุกี้แห้ง - นิสัย มีความจริงใจ ใส่ใจคนอื่น เรียบง่าย มีเหตุผล คบคนดี มีมิตรภาพให้กับทุกคน ไม่มองอะไรด้านเดียว สงบ ร่มเย็น ชิวๆ ววว ..... - คติ 1. ธรรมชาติสร้างคนมองไปข้างหน้า เพราะไม่ได้มีตาไว้มองข้างหลัง 2. สิ่งที่บ่งบอกว่ามนุษย์แตกต่างจากสัตว์เดรัจฉาน คือ มนุษย์รู้จักผิดชอบชั่วดี ฉะนั้นจงทำดี 3. ถ้าเจอเรื่องร้ายๆ ขอให้ใจเราเติบโต 4. การเผชิญหน้า คือ ความกล้าของผู้ทระนง 5. เมื่อเราส่งใสในการกระทำของใคร ให้ดูที่ความเป็นมาเป็นไปของเขาด้วย - นักร้องที่ชื่นชอบ ต่าย อรทัย ในบทเพลง ทุกๆ เพลง.... เช่น อย่าให้แคร์ข้างเดียว - ความสามารถพิเศษ. ร้องเพลง วิ่ง ทำขนมไทย ทำอาหาร นวดผ่อนคลาย (สปาร์) แต่งกลอน ยิ้ม...ๆ - หากว่าคิดถึง 087-85529604
ที่อยู่ภูมิลำเนา บ้านเลขที่ 89 หมู่ที่ 2 บ้านนาง้อง ตำบลนางิ้ว อำเภอเขาสวนกวาง จังหวัดขอนแก่น รหัสไปรษณีย์ 40280ที่อยู่ปัจจุบัน หอพักสวนอักษร (หอพักเครือข่าย ม.เก่า) เลขที่ 13 ซอย 5 ถนนธรรมวงศ์สวัสดิ์ ตำบลตลาด อำเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม รหัสไปรษณีย์ 44000ครอบครัวของฉัน - มีสมาชิกในครอบครัวทั้งหมด 5 คน 1. (คุณพ่อ) นายคำนวณ ศรีหาโคตร อาชีพธุรกิจส่วนตัว 2. (คุณแม่) นางจีรานุช ศรีหาโคตร อาชีพรับราชการทางการเมือง 3. (พี่ชายคนโต) นายเกียรติศักดิ์ ศรีหาโคตร อาชีพรับเหมาก่อสร้าง(วิศวะโยธา) 4. (พี่ชายคนกลาง) นายเฉลิมเกียรติย์ ศรีหาโคตร อาชีพธุรกิจส่วนตัว 5. (น้องสาวคนเล็ก).. ฉันเอง นางสาวปรียานุช ศรีหาโคตร อาชีพศึกษาหาความรู้ สรุป มีพี่ชาย 2 คนค่ะ อุ๋มเป็นคนเล็ก (น้องสาว)แรกเกิด - ในตอนวัยเด็ก (อายุ 4-6 ขวบ) กว่าจะรอด กว่าจะคลอด กว่าจะคลาน คำว่า “แม่” จึงสำคัญมากๆ สำหรับตัวลูกแม่ตั้งท้อง อุ๋ม ตามระยะเวลาคือ 9 เดือนเต็มและคลอดตามกำหนดที่หมอนัดไว้ ในวันพุธ แรม 12 ค่ำ เดือน 8 ตรงกับวันที่ 4 เดือนกรกฎาคม พ.ศ.2533 ปีมะเมีย ด้วยน้ำหนักแรกเกิด 3,400 กรัม ที่โรงพยาบาลน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น อุ๋มเป็นบุตรคนที่3 เป็นลูกผู้หญิงคนเดียวและเป็นคนสุดท้องของบ้านตอนคลอดคุณพ่อดีใจมากจนน้ำตาไหล เพราะด้วยเหตุผลที่ว่า... ตอนแรกแม่เกือบกินยาทำแท้งอุ๋มออกแล้วเชียว เพราะกลัวจะเป็นผู้ชาย แต่สุดท้ายก็รอดมาได้ คนทางบ้านจึงชอบเรียกชื่ออีกชื่อหนึ่งว่า “บุญรอด” ตอนเด็กๆ ร่างกายและพัฒนาการสมบูรณ์แข็งแรงตามวัย แม่บอกว่าอุ๋มไม่ชอบหยุดนิ่งตั้งแต่เด็ก ทำนั่นทำนี่ ชอบไถ่ถามแม่ในสั่งที่สงสัย แม่บอกว่าตอนเด็กอุ๋มชอบเล่นกับหมาน้อย และเพื่อนต่างวัย (อายุมากกว่า) อุ๋มได้มีโอกาสเข้าเรียนก่อนเพื่อนรุ่นเดียวกัน 1 ปี ในชั้นอนุบาล (ก่อนเข้าเกณฑ์) ตอนอายุ 4 ขวบ เพราะเห็นพี่ชายทั้ง 2 คนไปโรงเรียน ก็อยากไปกับเขา แม่จึงไปขอครูให้ ครูก็อนุญาตเพราะไม่มีปัญหาอะไร จึงเข้าเรียนในชั้นอนุบาลเป็นเวลา 3 ปี ตั้งแต่อายุ 4-6 ขวบ ที่โรงเรียนในหมู่บ้าน ชื่อโรงเรียน บ้านนาง้อง
ในตอนนั้นเวลาที่ไปโรงเรียน จะเดินเข้าแถวกันไปเป็นคุ้มๆ อุ๋มอยู่คุ้ม 6 ก็เดินเข้าแถวไปโรงเรียนกับเพื่อนคุ้ม 6 ตัวเล็กได้อยู่หน้าตัวโตได้อยู่หลังเพื่อน ไปถึงโรงเรียนก็เหมือนเด็กอนุบาลคนอื่น อยู่กับเพื่อนๆ ได้ เข้ากับเพื่อนๆ ได้ แต่มีปัญหาเวลานอน ไม่ค่อยชอบนอน คุณครูก็จะให้มานั่งเล่นใกล้ๆ กับครู จนบางครั้งครูก็เผลอหลับไป อนุบาลที่อุ๋มเข้าอยู่ 3 ปี ทำให้อุ๋มได้อะไรหลายๆ อย่างโดยเฉพาะชอบมากๆ คือ การขี่ชิงช้าและม้าหมุน กับการเล่นขายของ ชอบเป็นแม่ค้ามากกว่าผู้ซื้อ ได้พูดคุยสนุกดี เวลาที่ครูให้นม ชอบกินนมรสช็อคโกแลต รสสตรอเบอรี่มากกว่ารสหวาน กับรสจืด เพราะในความรู้สึก รู้สึกว่ามันอร่อยกว่ามั้ง อีกอย่างชอบกินลูกกวาด ชอบพกใส่กระเป๋าไปโรงเรียนจนกลายเป็นเจ้าแม่ลูกอม และตอนนั้นฟันดำ ฟันหลอด้วย (ดูจากรูปค่ะ) สุดท้าย วัยอนุบาลก็สนุกสนานดี รู้สึกว่าจะตัวโตกว่าเพื่อนๆในห้อง อาบน้ำเอง กินข้าวเอง รับผิดชอบตัวเองพอได้ ไม่งอแง... สุขภาพกายและสุขภาพจิตสมบูรณ์แข็งแรงจ้า!ประถมศึกษา...พาเพลิน (อายุ 7-12 ขวบ) ในช่วงวัยประถมศึกษาตอนต้นไม่ค่อยสนุกเท่าใดนักเลย เพราะคุณครูผู้สอนดุมาก ยิ่งเวลาเรียนเลขซึ่งเป็นวิชาที่อุ๋มไม่ค่อยถนัด แต่ทำไมๆ เรียนทีไรครูชอบถามคำตอบจากอุ๋มประจำ ตอน ป.1 ได้มีโอกาสเป็นหัวหน้าห้องค่ะ เพราะอะไรก็ไม่รู้ คงเพราะตัวโตกว่าเพื่อนคนอื่นๆ รึเปล่า และก็ทำหน้าที่ได้ดีค่ะ ครูเคยชม ป.2 ก็เริ่มที่จะทำอะไรที่เหนือจากการเรียน เช่น ช่วยคุณยายทำขนมไทย ล้างจาน กวาดสนามเด็กเล่นที่โรงเรียน เอาข้าวให้สุนัข เลี้ยงปลา คือ รู้สึกว่าการเรียนก็ O.K. ดีค่ะ พอมาถึง ป.3 ก็มีโอกาสเป็นนักกรีฑาของโรงเรียน ต้องตื่นมาซ้อมวิ่งตีห้า ในตอนเช้า และบ่าย 4 โมงของทุกๆวันในตอนเย็น คือการเป็นนักวิ่งมาราธอนค่ะ คือตั้งแต่ระยะทาง 10 กม. ขึ้นไปอุ๋มจะวิ่งได้ดีกว่าวิ่งระยะทางสั้นๆ คือมีความอึดมากกว่าความเร็ว และตอนนั้นยังจำได้ดี...ในคาบเรียนวิชาภาษาไทย คุณครูที่สอนบอกว่าจะพาไปเที่ยวทะเลในวันพรุ่งนี้ เราก็ได้คุยกับเพื่อนๆ กันใหญ่เลยว่า จะเอาชุดอะไรไป เอาตังค์ไปกี่บาท เอาห่วงยางไปด้วยไหม คือด้วยความตื่นเต้นค่ะ พอวันพรุ่งนี้มาถึง เราก็เตรียมของเตรียมตัวมาเต็มที่ พอมาถึงที่โรงเรียน พอมาเรียนในชั้นเรียนอาจารย์ที่สอนภาษาไทยได้ถามพวกอุ๋มว่า นี่พวกเธอจะไปไหนกัน ก็คุณครูบอกว่าคุณครูจะพา พวกหนูไปเที่ยวทะเลไม่ใช่หรือค่ะ คุณครูเอาหนังสือเรียนเรื่องที่จะสอน ชื่อ “โอ้ทะเลแสนงาม” มากางออก พวกเราก็อึ้ง ด้วยความตลกตัวเอง คิดเป็นจริงเป็นจังอยู่ฝ่ายเดียว มาถึงวัยประถมตอนปลาย เรื่องที่เกี่ยวกับอุ๋มก็คงจะเป็น การช่วยงานครูทั้งงานวิชาการและงานวิชาชีพ คือ ช่วยในเรื่องของการเตรียมงานสอนช่วยครู และงานด้านวิชาชีพ คือ ทำอาหาร หาข้าวให้คุณครูตอนพักเที่ยง และเป็นนักกีฬาโรงเรียน ไม่ว่าจะเป็น วอลเล่ย์บอล ตะกร้อ วิ่ง และอีกอย่างเวลางานแข่งกีฬาก็จะได้ถือป้ายบ้าง เป็นคฑากรบ้าง เพราะโรงเรียนเราคนน้อย เลยต้องทำคนเดียวหลายอย่าง ไม่เหนื่อยค่ะสนุกดี ในช่วงวัยประถมศึกษา รู้แต่ว่าตัวเองมีความรับผิดชอบ ใฝ่ดี กระตือรือร้นอยู่ตลอด เพราะปัจจัยแวดล้อม ทั้งภายนอกและภายในของตัวเอง ที่หล่อหลอมให้ตื่นตัวอยู่เสมอ เช่น การเอาสุนัขมาเลี้ยง ก็ช่วยเพิ่มให้เราเป็นคนที่มีความรับผิดชอบ เพราะถ้าเราไม่เอาข้าวให้มันกิน ก็ไม่มีใครเลี้ยงดู มันจะผอม ด้วยความรัก มันถึงไม่ว่าง หนักหนาขนาดไหนเราจะคิดถึงมันอยู่เสมอ และไม่สบายใจถ้าไม่ได้ทำหน้าที่ หาข้าวให้มันกิน ทำให้เรามีความรับผิดชอบที่ดี และมีความสุขกับการให้ค่ะ
มัธยมต้น...บนเส้นทางการเรียนรู้ คิดอยู่อย่างเดียวว่าจะจบประถมศึกษาแล้วจะเข้าเมือง ก็มีโอกาสพอดี อุ๋มเรียน ม.ต้นที่โรงเรียนกัลยาณวัตร จังหวัดขอนแก่น ซึ่งมีชื่อเสียงในจังหวัดขอนแก่นในหลายๆ ด้านค่ะ อุ๋มเข้ามาเพราะการเรียนดีและมีโควตานักกรีฑา ก็มาเป็นทั้งนักเรียนและการเป็นนักวิ่งของทางโรงเรียนไปพร้อมๆกัน การเรียนและการปรับตัวอยู่ในสังคมที่เปลี่ยนไป ที่ไม่ได้อยู่กับคุณพ่อคุณแม่ก็ไม่อยากมากนัก เพราะเวลาอยู่ที่บ้านรู้สึกว่าต้องช่วยเหลือตัวเองตลอดค่ะ คือ เข้ากับสิ่งแวดล้อมได้ดี การเรียนใน ม.ต้น ก็ถือว่าได้เกรดดีพอสมควรค่ะ คือเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 3.50-3.70 ค่ะ ก็ถือว่าใช้ได้นะค่ะ มีวิชาที่ไม่ค่อยจะลงตัว คือ ภาษาอังกฤษค่ะ คือพื้นฐานเราไม่แน่น และคณิตศาสตร์ค่ะ เพราะยิ่งเรียนยิ่งยากและไม่เข้าใจเลย... แต่ก็ผ่านมาได้ด้วยดีค่ะในเรื่องการเรียน การกรีฑาก็เหมือนกันค่ะ ก็ไปได้สวย ด้วยความที่หุ่นให้ เหมาะกับการเป็นนักวิ่งระยะไกล ก็ซ้อมทุกวันค่ะ เช้าและเย็นในเวลาประมาณ 05.00-06.00 น. ในตอนเช้าและตอนเย็นเลิกเรียนเวลา 16.00-18.00 น. โดยประมาณค่ะ อุ๋มซ้อมที่สนามของมหาวิทยาลัยขอนแก่น โดยนั่งรถประจำทางบ้าง และรถของโค้ชผู้ฝึกสอนบ้างค่ะ ก็เรียกได้ว่า ทั้งสนุกและเหนื่อยค่ะ การแข่งขัน ก็จะเป็นการวิ่งในระยะทาง 10 กม. - 21 กม. เรียกว่ามินิฮาฟล์-ฮาฟล์มาราธอนค่ะ จะแข่งเสาร์-อาทิตย์ ในการวิ่งถนนและการวิ่งแข่งของระดับภาค ระดับประเทศชาติ เช่น ชิงแชมป์ภาคตะวันออก กีฬาเยาวชนแห่งชาติ กีฬาชิงแชมป์ประเทศไทยค่ะ ซึ่งแข่งในสนามค่ะ รางวัลที่ได้จากการเรียนก็จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการรักการอ่าน การแต่งกลอน เรียงความและการแข่งขันด้านวิชาการ เช่น โครงงานพลังงานทดแทนค่ะ รางวัลด้านกรีฑา คือ การได้เป็นตัวแทนภาค และเป็นเยาวชนทีมชาติในการวิ่งระยะทาง 3,000 เมตร - 5,000 เมตร ค่ะ และที่ภูมิใจ คือ ในการวิ่งในวันเสาร์-อาทิตย์ มินิฮาฟล์มาราธอน –ฮาฟล์มาราธอนนั้น หากเราได้อันดับก็จะมีถ้วยเกียรติยศ เงินรางวัล และของสมนาคุณค่ะ คือ เราสามารถเลี้ยงตัวเองและซื้อของเองได้ ด้วยการวิ่ง การอดทนซ้อมค่ะ ที่สำคัญได้ไปท่องเที่ยวทั่วประเทศ รู้จักว่าวัฒนธรรม ของกิน ของใช้แต่ละภาคเป็นไงค่ะ สุดท้ายวัย ม.ต้น ก็เป็นวัยที่เราได้บ่มเพาะตัวเองในหลายๆ ด้านค่ะ ทั้งการเรียนการอยู่ในสังคม การแบ่งเวลาในการเรียนและการซ้อมก็สนุกสนานบวกกับได้สาระดีๆสำหรับชีวิตของอุ๋มค่ะมัธยมปลาย...กลายเป็นผู้ใหญ่แล้วสิ! มัธยมปลาย อุ๋มต้องเดินทางห้างออกจากวงการนักวิ่งค่ะด้วยว่าใช้ร่างกายหนักเกินไปรึเปล่า ทำให้ปวดเข่า ได้ย้ายมาเรียนที่ จ.มหาสารคามค่ะ ที่โรงเรียนบรบือวิทยาคาร ซึ่งเป็นโรงเรียนประจำอำเภอ อยู่กับญาติพี่น้องทางพ่อค่ะ เพราะพ่ออุ๋มเป็นคน จ.มหาสารคาม โดยกำเนิดค่ะ แต่ไปอยู่ จ.ขอนแก่นตั้งแต่เด็ก เพราะคุณปู่เป็นคุณครู ต้องย้ายไปรับราชการเลยพาครอบครัวไปอยู่นั่น ก็ตอน ม.ปลาย ใช้ชีวิตด้วยการทุ่มเทให้กับการเรียนอย่างเดียวเลย และการอยู่กับเพื่อนๆ ที่น่ารัก ในห้อง ม.6/1 ค่ะ ซึ่งเป็นห้องเด็กเก่ง (แต่ไม่เหมือนเลย) ลิงๆ.... ด้านกิจกรรม ก็เป็นสารวัตรนักเรียน เป็นรองประธานโรงเรียน ได้เป็นหัวหน้าห้อง สนุกสนานค่ะ แต่เรียนวิชาคณิตศาสตร์ไม่เข้าใจเลยค่ะ ก็มาเรียนโดยการขับรถมอเตอร์ไซค์มาเอง และกลับเองเหมือนที่มา แต่ตอนเลิกจะแวะตลาดสด ที่อำเภอทุกๆ วันค่ะ เพราะชอบค่ะ มีของขายจำพวกผักและอาหารพื้นบ้านที่ชาวบ้านนำมาขายกัน ก็ไปถามไถ่ ไปช่วยซื้อ ก็มีความสุขดีค่ะกับการเลือกซื้อของ ก็อุ๋มเป็นคนชอบทำอาหาร เป็นแม่ครัวให้คนที่บ้าน เพราะบ้านที่อุ๋มอยู่เขาเลี้ยงเด็กด้วย ตั้ง 2 คน ซึ่งดื้อซนปนกันไปค่ะ ไม่ค่อยมีเวลา ต้องทำให้เขาค่ะ การเรียนก็ไม่ทิ้งกิจกรรมก็ไม่ถอยค่ะ ได้เกรดเฉลี่ยก็อยู่ที่ประมาณ 3.30 -3.50 ค่ะ ก็ไม่ถือว่าแย่ใช่ไหมค่ะ มีเรื่องเด่นอีกเรื่องหนึ่งค่ะ คือ การแต่งกลอนให้คนอ่านหน้าเสาธงก่อนการเคารพธงชาติ ค่ะ เช่น1. การศึกษา นำพาใจ ให้อยู่สูง ให้เรามุ่ง ฝันและใฝ่ ใจมุ่งมั่น ก้าวหน้าไกล ด้วยใจแกร่ง ผ่านคืนวัน ถึงฝั่งฝัน จะสุขสุนต์ นิรันดร์กาล 2. กาลเวลาพาพานพบความอุ่น กาลเวลาก็ทารุณด้วยความห่าง กาลเวลานำพาให้ใจอ้างว่าง เมื่อต้องห่าง เพราะต่างเดินต่างเลือกเป็น
ก็ประมาณนี้ค่ะ สำหรับ ม.ปลาย ผ่านมาได้ด้วยดีไม่มีปัญหา มีก็แต่ก่อนจะแยกจากเพื่อนๆ เพื่อไปศึกษาต่อในระดับวิทยาลัย มหาวิทยาลัย น่าเศร้าค่ะ หดหู่ยังไงไม่รู้บอกไม่ถูกชีวิตมหาลัย...ใจชื่นบาน ชีวิตมหาลัยยังงงๆ ค่ะ ว่าตัวเองเหมาะไหมที่จะเรียน ว.ท.บ.จิตวิทยา แต่ก็ชอบค่ะ แต่ยังมองตัวเองไม่ค่อยออกเท่าไหร่ ได้มาเรียนจริงๆก็ได้ค่ะดีค่ะ อาจารย์น่ารักค่ะ โดยเฉพาะอาจารย์รังสรรค์และอาจารย์อารยา ให้ความสนิทสนม รักใคร่และเอาใจใส่ ให้ความรู้ประสบการณ์มากมายค่ะ (ตรงต่อเวลาเป็นสำคัญค่ะ) ก็มีเพื่อทั้งสนิทและไม่สนิท จะให้มีเพื่อเยอะๆ ได้ไหม ได้ค่ะ แต่ชอบคำๆ นี้ค่ะ “จะกี่หมื่นพันคนที่รู้จัก ก็ไม่เท่าหนึ่งเดียวที่เรารักและรู้ใจ” ก็มีเพื่อนสนิทประมาณ 6-7 คนค่ะ ให้ห้องก็สนิทค่ะ พอประมาณ ชีวิตตอนแรกก็ต้องปรับตัวหลายอย่างค่ะ ทั้งการต้องทำกิจกรรมรับน้อง การเรียนรู้สังคมใหม่ ทั้งเพื่อน และรุ่นพี่ ก็ยากพอสมควร แต่ก็ผ่านมาได้ด้วยดีค่ะ ตอนนี้อะไรอะไรก็ดีค่ะ ทั้งการเรียน สังคม และอาจารย์ผู้สอน กับวิชาที่เลือกก็เหมาะสมกับคุณสมบัติตัวเองพอดี ก็มีความสุขทั้งกายและใจค่ะอนาคตที่ฝันไว้ อุ๋มคิดว่าจะเรียนจิตสังคมค่ะ เพราะอยากทำงานเกี่ยวกับนักจิตวิทยา คงเป็นสิ่งที่เหมาะกับคนอย่างอุ๋ม แต่ก็จะเรียนวิชาชีพครูควบคู่ไปด้วยค่ะ แล้วเมื่อเรียนจบ ปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม จะไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัย ขอนแก่นต่อในระดับปริญญาโทค่ะ คงพักที่บ้านตัวเอง เรียนจบปริญญาโทแล้ว ก็คงทำงานเกี่ยวกับสิ่งที่เรียนมา และเปิดกิจการควบคู่กับการรับราชการค่ะ อยากเปิดร้านอาหารที่เน้นเมนูอาหารทะเล และเกี่ยวกับปลา รวมทั้งทำขนมไทย เป็นสินค้าแนะนำค่ะ หากมีโอกาสก็จะศึกษาต่อในระดับดุษฎีบัณฑิต แล้วเป็นอาจารย์สอนในระดับมหาวิทยาลัยค่ะ เหมือนอาจารย์ไงค่ะ ชีวิตคือชีวิตเมื่อมีเข้ามา ก็มีเลิกไป มีสุขสม มีผิดหวัง หัวเราะหรือหวั่นไหว เกิดขึ้นได้ทุกวัน อยู่ที่เรียนรู้ อยู่ที่ยอมรับมัน อยู่กับสิ่งที่มี ไม่ใช่สิ่งที่ฝันและทำสิ่งนั้ให้ดีที่สุดข้อความบอกใจ...อุ๋มเสมอๆ มา ชีวิตเป็นเรื่องหิน...ลื่นบ้างก็ไม่แปลกเมื่อไรที่เดินสะดุดเส้นทางชีวิตลอง “มองเรื่องหิน เป็นเรื่องขี้หมา มองเรื่องง่ายให้เป็นเรื่องยากบ้าง เรื่องที่ไม่ค่อยคิดก็คิดให้มากขึ้น คิด ให้มากกับชีวิต..แต่อย่าคิดมาก” โลกนี้อาจไม่ได้มีทุกคนที่พร้อมจะรักและเข้าใจเรา “แต่เป็นหน้าที่ของเราที่จะพูดให้คน อื่นเข้าใจ ไม่ใช่หน้าที่ของคนอื่นที่จะทำความเข้าใจ...ในสิ่งที่เราพูด” อย่ามัวเสียเวลากับถนนสายนั้นที่เธอแค่เดินมาจนสุดสาย...ทางที่จะเดินต่อไปต่างหาก... ที่สำคัญ คนสู้ไม่เคยมีคำว่างแพ้ แต่คนที่แพ้ คือคนที่ไม่คิดจะสู้ อย่าเอาทุกๆ อย่างมาวางไว้ในชีวิต เพราะชีวิตไม่ใช่ห้องเก็บของที่พอจะหาอะไรก็หา ไม่เจอ วันที่มีเรื่องใหญ่ๆ เกิดขึ้นกับชีวิตต้อง “คิด” ก่อนที่จะ “รู้สึก” ความสุขของทุกคนมีเท่าๆ กัน เกิดขึ้นได้จากสิ่งที่เราอาจมองข้ามไป เมื่อมั่นใจว่างมีความเชื่อ-เชื่อว่าจะทำได้ เมื่อมั่นใจว่ามีความมุ่งมั่น-มุ่งที่จะทำ มักมี ปลายทางเสมอ อยากได้ในสิ่งไหน จงทำในสิ่งนั้น มีความสุขอยู่กับปัจจุบัน ทำวันนี้ได้ดีก็เกินพอจากใจศิษย์ถึงอาจารย์รังสรรค์...ที่รักยิ่ง ในวาระดีๆ ปีใหม่นี้ ขอให้อาจารย์รังสรรค์มีแต่ความสุขสมหวังสุขภาพพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรง ร่ำรวยเงินทอง และเป็นที่รักยิ่งของศิษย์ตลอดไปค่ะ
ประวัติส่วนตั๊ว........ส่วนตัว ข้าพเจ้าชื่อ นางสาวสุธาพร พูนสวัสดิ์ เกิดวันพุธที่ 21 เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2533 บ้านเกิดเมืองนอนเลขที่ 31 หมู่ 3 ตำบลสะเดา อำเภอนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์ ข้าพเจ้าเป็นลูกของ นายสมชาย พูนสวัสดิ์ และนางถาวร พูนสวัสดิ์ ข้าพเจ้ามีพี่น้องร่วมท้องเดียวกัน 2 คน คนแรกเป็นพี่ชายหนู ชื่อนายรพีพร พูนสวัสดิ์และคนที่ 2 ก็คือตัวหนูเอง ตั้งแต่ตอนหนูอยู่ในท้องแม่และหลังคลอด แม่เล่าว่า ตอนที่แม่ตั้งท้องหนู แม่หิวแต่ของกิน กินไม่หยุดเลย แม่ใช้เวลาอุ้มท้องหนูเป็นเวลา 8 เดือนเศษๆ ก่อนที่แม่จะท้องหนู แม่ก็ตั้งท้องพี่หนู และก่อนที่แม่จะตั้งท้องพี่ แม่ก็ได้พบกับผู้ชายคนหนึ่ง ซึ่งมีหน้าตาหล่อเหนือจะพรรณนาออกมาได้ มีลักษณะท่าทางรวมทั้งบุคลิกภาพ สูง หุ่นดี สมาร์ทเท่ห์ มีเสน่ห์ จนสาวๆ พากันหลงรัก แต่ก็น่าเหลือเชื่อที่แม่เป็นผู้หญิงที่มีหน้าตาไม่สวย แต่รวยน้ำใจจึงทำให้ผู้ชายคนนั้นตกหลุมรัก แล้วก็ได้แต่งงานกัน ดิฉันจึงขอเฉลยว่าผู้ชายคนนั้น ก็คือ.....พ่อของดิฉันเองตอนเป็นเด็กแม่บอกว่าดิฉันเป็นคนที่ขี้แง(ร้องบ่อย)มาก ใครที่คอยดูก็ต้องปวดหัว มีตา ยาย แม่ พ่อ และป้าที่คอยดูแลดิฉัน เวลาดิฉันร้องไห้ดิฉันชอบหลับตา ร้องนานมากจนทำให้คนรำคาญ ใช้เวลาร้องประมาณครึ่ง-1ชั่วโมงก็ว่าได้ ถ้าหากมีใครมาปลอบให้ดิฉันหยุดร้อง ดิฉันจะไม่หยุดแต่กลับร้องมากและนานกว่าเดิม ฉะนั้นแล้วเวลาดิฉันร้องไห้ตอนเป็นเด็กห้ามมีใครมาปลอบ แล้วดิฉันจะหยุดร้องเอง... ตอนเรียนอนุบาล แม่ก็ส่งให้หนูเรียนหนังสือที่โรงเรียนบ้านสองพี่น้อง จ. บุรีรัมย์ ซึ่งมีระยะห่างจากบ้านหนูประมาณ 4-5 กิโลเมตร หนูจำได้ดีว่า วันแรกที่หนูแต่งชุดอนุบาล ๑ พร้อมที่จะเป็นนักเรียน แม่ก็ได้ไปส่งหนูที่โรงเรียน พอถึงห้องเรียนแม่ก็จะกลับบ้านแต่หนูก็ร้องไห้ไม่ให้แม่กลับบ้าน มีคุณครูลดาวัลย์ เสาวโร คุณครูเบญมาศ มาวรรณ คุณครูอารียา อาจปรุ ที่มาคอยปลอบหนูให้หยุดร้องไห้แล้วให้ไปเล่นกับเพื่อน แล้วบอกอีกด้วยว่า..แม่ต้องกลับบ้านไปทำงานเพื่อหาเงินมาให้หนูเรียนหนังสือและเป็นค่าขนมให้หนู หนูจึงหยุดร้องแล้วก็เข้าห้องไปเล่นกับเพื่อนๆ ตอนอยู่ชั้น ป. 4 หนูได้เป็นนักวิ่งของโรงเรียนเคยวิ่งได้ที่ 2 และที่ 3 เมื่อเรียนจบชั้นประถมศึกษาหนูก็ต้องเรียนต่อระดับมัธยมศึกษา ตอนอยู่ชั้น ม.1- ม. 3 หนูได้เรียนต่อที่โรงเรียนทุ่งแสงทองพิทยาคมเริ่มเข้าสู่วัยแรกรุ่น ชีวิตตอนนี้เป็นชีวิตที่สนุกสนานแบบเด็กๆ เวลาที่ได้อยู่กับเพื่อน ส่วนทางครอบครัวตอนที่หนูอยู่ชั้น ม. 3 พ่อหนูได้เป็นผู้ใหญ่บ้าน พี่ก็ได้เรียนต่อระดับอุดมศึกษา ที่มหาวิทยาลัยราชภัฎบุรีรัมย์ ช่วงเวลาที่หนูกำลังอยู่ชั้น ม.3 หนู
คิดในใจเสมอว่า...หนูจะทำให้พ่อแม่ภาคภูมิใจในตัวหนูให้ได้ แต่เมื่อมีเหตุการณ์ที่หนูไม่คิดเลยว่าจะเกิดขึ้นกับชีวิตหนู หนูต้องสูญเสียคนที่หนูรักไปคนๆนั้นก็คือพ่อของหนูเอง พ่อของหนูป่วยเนื่องจาก เลือดครั่งในสมอง ในตอนที่หนูเรียนอยู่ชั้น ม. 3 ช่วงปลายเทอมและในวันที่พ่อหนูเสียตรงกับวันที่ 1 มกราคม 2549 เป็นช่วงเวลาที่โรงเรียนของหนูจัดวันขึ้นปีใหม่ ทุกคนที่อยู่ในโรงเรียนเขาเต็มไปด้วยความสุขและความสนุก แต่ตรงกันข้ามกับตัวของหนูที่เต็มไปด้วยความโศกเศร้า เพราะขาดคนที่สำคัญคนหนึ่งในชีวิตไป ขาดหัวหน้าครอบครัวไป หนูเสียใจมากกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตของหนู ทำไมต้องมาเกิดกับชีวิตหนูด้วย?หนูมีความรู้สึกหมดหวัง ท้อแท้ในชีวิตไม่อยากจะทำอะไรเลย แต่เมื่อเหตุการณ์ที่ต้องเศร้าและเสียน้ำตาผ่านไป ชีวิตของหนูต้องเปลี่ยนบทบาทจากเด็กที่มีแต่ความอ่อนแอ ต้องเปลี่ยนเป็นคนที่มีความอดทนสูง และเมื่อหนูเรียนจบชั้น ม. 3 หนูก็คุยกับแม่ และพี่ว่า “แม่..หนูอยากเรียนต่อ ม.4 แต่แม่บอกว่า..ถ้าอยากเรียนต่อต้องช่วยตัวเองในเรื่องค่าใช้จ่ายหนังสือเรียนนะ เพราะแม่คนเดียวคงหาเงินไม่พอใช้ ไหนยังต้องส่งให้พี่เรียน ไหนยังต้องใช้จ่ายเรื่องอื่นๆอีกมากมาย หนูจึงรับปากแม่ว่าจะหาเงินซื้อสมุด-หนังสือเรียนเอง ตั้งแต่จบ ม.3 ช่วงปิดเทอมหนูก็ไปทำงานที่ห้างทวีกิจที่อยู่ห่างจากบ้านหนูประมาณ 13 กิโลเมตร หนูได้ทำงานเกี่ยวกับคอยช่วยแคชเชียร์เอาของที่ลูกค้าซื้อใส่ถุงให้ลูกค้า จนได้เรียนต่อ ม. 4 ที่โรงเรียนทีโอเอวิทยา(เทศบาล ๑) และหนูก็ได้เข้าชุมนุมวงโยธวาธิตของโรงเรียน ได้ไปแข่งที่ จ. อุบลราชธานีบ้าง ไปแข่งต่างอำเภอบ้าง ได้รับรางวัลชนะเลิศบ้าง รองชนะเลิศบ้าง และก็ได้รับกับความพ่ายแพ้บ้าง แต่ชีวิตมีไว้ต่อสู้ ไม่ใช่มีไว้วิ่งหนี ใช่ไหมค่ะ? และในช่วงปิดเทอมหนูก็ได้ทำงานเพื่อเก็บเงินไว้ซื้อหนังสือเรียนเองอย่างที่เคยทำจนได้เรียนจบชั้น ม.6 และในเวลาเย็นของวันหนึ่ง หนูบอกแม่ว่า หนูอยากเรียนต่อปริญญา หนูพูดไปยิ้มไปด้วยมันเป็นภาพที่หนูกำลังเพ้อฝันอย่างมาก แม่ก็ฟังที่หนูได้พูดกับแม่ “แม่จะให้หนูเรียนต่อไหม?”เป็นคำถามแรกที่หนูถามแม่ในการเรียนต่อระดับอุดมศึกษา แม่ตอบว่า “แม่อยากให้ลูกได้เรียนต่อทุกคน แต่แม่ไม่มีเงินส่งให้หนูเรียนต่อระดับปริญญาหรอก คำนี้ออกมาจากปากของแม่ มันเป็นคำพูดที่หนูเก็บมาจดจำมาตลอด หนูคิดว่าหนูคงไม่มีโอกาสที่จะได้เรียนถึงระดับปริญญาหรอก ตั้งแต่ที่หนูถามคำถามนั้นกับแม่ แม่ก็ตอบคำถามหนู หนูแอบมานั่งคิดคนเดียวมันเหมือนตัวหนูไม่มีอนาคตเลยถึงแม้จะมีความฝันอยู่ในใจแต่คงไม่มีโอกาสได้ทำมันให้เป็นจริงได้และแอบร้องไห้อยู่คนเดียวและหนูก็ไม่กล้าที่จะถามคำถามนั้นกับแม่อีกเลย..................หนูขอย้อนเวลากลับไปตอนที่หนูอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 หนูได้อยู่กลุ่ม T-nad ที่มีพี่จักรกฤษณ์ การะเกต ซึ่งเป็นประธานชมรมนี้ พี่เขาจบปริญญาตรีที่จุฬากรณ์มหาวิทยาลัยและจบปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรตประสานมิตร คณะศิลปกรรมศาสตร์ กลุ่ม T-nad เป็นกลุ่มที่มีศิลปะและอนุรักษ์ธรรมชาติและยังเป็นชมรมที่ช่วยส่งเสริมศิลปะการวาดภาพแก่น้องๆที่สนใจวาดภาพและชอบอนุรักษ์ธรรมชาติ เวลาออกค่ายชมรมของเราจะไปที่เขาใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา และที่ที่เป็นธรรมชาติหนูก็ได้ไปออกค่ายกับชมรมนี้ด้วยคอยเป็นพี่เลี้ยงน้องๆคอยช่วยพี่ๆทำงานด้วยและก็ยังมีอาจารย์จากมหาวิทยาลัย มีพี่ๆจากมหาวิทยาลัยต่างๆมาเข้าค่ายด้วยคนที่อยู่ในค่ายเหมือนพี่น้องกันมีอะไรก็ช่วยกันทำหนูดีใจที่ได้อยู่กับชมรมนี้ค่ะ เมื่อมีอะไรที่ไม่สบายใจหนูก็สามารถขอคำปรึกษาจากพี่ได้ ก็จะได้สิ่งดีๆเสมอและเมื่อหนูจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 พี่ในชมรมก็ถามหนูว่าจะไปเรียนต่อที่ไหน? หนูจึงตอบว่ายังไม่รู้เลย แต่ในใจของหนูคิดอยู่เสมอว่าคงไม่ได้เรียนต่อแน่นอน สำหรับตัวหนูแล้ว หนูอยากเรียนต่อมากค่ะ อยากประกอบอาชีพรับราชการ พวกพี่ๆก็คอยให้กำลังใจแก่หนูจนมาวันหนึ่งพี่ที่อยู่ในกลุ่ม T-nad ก็รู้ว่าแม่หนูไม่มีเงินส่งให้หนูเรียนต่อระดับอุดมศึกษา พี่ๆจึงให้ความช่วยเหลือหนูและก็ยังมีผู้อำนวยการที่โรงเรียนที่ช่วยพูดกับแม่ให้เข้าใจอีกด้วย จนมาถึงวันนี้หนูจึงได้มีโอกาสได้เรียนต่อระดับปริญญาตรี หนูดีใจที่มีวันนี้และได้มีโอกาสเรียนในระดับที่สูงขึ้น หนูไม่เคยลืมพวกพี่ที่ให้คำปรึกษาหนูมาโดยตลอดและความรู้สึกดีๆที่พี่ๆมีให้
ปัจจุบันหนูได้เรียนอยู่ระดับปริญญาตรีชั้นปีที่ 1 เอกจิตวิทยา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคามซึ่งเป็นคณะที่หนูอยากเรียนและอยากประกอบอาชีพครูแนะแนวอย่างที่ตัวเองหวัง เพราะชีวิตของคนเราคือการต่อสู้เพื่อไปถึงจุดมุ่งหมายที่ตนเองตั้งไว้และต้องมีสักวันที่เป็นจริง ถ้าเราอดทนและใช้ความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จอยู่ที่นั้น...และหนูขอเล่าเรื่องชีวิตเมื่อย่างก้าวเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัยมหาสารคามให้ฟังว่า...วันแรกที่ดิฉันเข้ามาในมหาวิทยาลัยมหาสารคามก็คือวันสอบสัมภาษณ์ ดิฉันมีความรู้สึกตื่นเต้นมากและนึกภาพของวันสอบสัมภาษณ์ว่า อาจารย์จะหน้าตาเป็นอย่างไรบ้างหนอ ดุหรือเปล่า จะถามเกี่ยวกับอะไรซึ่งดิฉันได้เตรียมคำตอบมา ก็คือคำขวัญจังหวัดมีว่าอย่างไร นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันชื่อว่าอะไร อาหารหลักของจังหวัดบุรีรัมย์มีอะไรบ้าง แต่เมื่อเข้าไปในห้องสัมภาษณ์แล้วคำถามที่ต้องตอบเป็นคำถามที่เกี่ยวข้องกับจิตวิทยา อย่างเช่น ถ้าคุณมีเพื่อนที่เรียนอยู่ด้วยกัน แล้ววันหนึ่งเพื่อนไปมีแฟนใช้เงินสิ้นเปลือง ไม่ยอมเข้าห้องเรียน คุณจะมีวิธีบอกเพื่อนของคุณว่าอย่างไร เมื่ออาจารย์คนที่สัมภาษณ์คำถามนั้นกับหนูหนูจึงถอนหายใจอย่างคาดไม่ถึงว่า...จะเจอคำถามแบบนี้ด้วยหรอ ซึ่งเป็นคำถามที่หนูไม่ได้เตรียมตัวมาเลยแต่ก็สามารถตอบคำถามของอาจารย์ได้ อาจารย์ที่สอบสัมภาษณ์หนูชื่อว่า อาจารย์พัฒนานุสรณ์ สถาพรวงศ์ หลังจากที่สอบสัมภาษณ์เสร็จ หนูก็ได้รู้จักกับพี่น้องซึ่งพี่เขาเรียนอยู่มหาวิทยาลัยมหาสารคามแต่เรียนคณะสาธารณสุขศาสตร์ อยู่ชั้นปีที่ 4 พี่เขาเป็นคนที่น่ารักช่วยแนะนำเกี่ยวกับมหาลัยนี้ พี่น้องเป็นคนจังหวัดมหาสารคามและหนูก็ได้ไปเล่นที่บ้านของพี่น้องด้วยได้ไปเที่ยวผาน้ำย้อยกับพี่น้อง มีพ่อแม่ของเพื่อนไปด้วย และก็มีเพื่อนๆไปทั้งหมด 3 คน ชื่อวิ เหลียง และเบียร์ เพราะพวกเราพากันไปสอบสัมภาษณ์วันเดียวกัน ต่อจากนั้นพวกเราก็ได้เดินไปไหว้พระพุทธรูปที่อยู่ที่นั้น เมื่อเดินชมผาน้ำย้อยเหนื่อยแล้ว ก็พากันมาทานข้าวมีส้มตำ ไก่ย่าง ข้าวเหนียว ขนมจีน แกงไก่ ปลาดุกย่าง กับข้าววันนั้น”แซบอีหลี”อร่อยมากค่ะ เมื่อทานเสร็จก็พากันซื้อของฝากมาฝากญาติๆที่บ้านอีกด้วย แล้วก็พากันเดินทางกลับบ้านอย่างปลอดภัย เมื่อไปสอบสัมภาษณ์เสร็จอีกประมาณ 2 สัปดาห์ก็จะประกาศผลทางเว็บไซต์ของมหาวิทยาลัย ดิฉันและเพื่อนๆ ก็พากันรอลุ้นอยู่ และแล้วผลก็ออกมาทางเว็บไซต์ ปรากฏว่าเพื่อน 2 คนและดิฉันสอบติดแต่เพื่อนอีก 1 คนสอบไม่ติด แต่เพื่อนที่สอบติดไม่มาเรียน ส่วนดิฉันทางมหาวิทยาลัยให้มารายงานตัวเพื่อเป็นนิสิตชั้นปีที่ 1 ของมหาวิทยาลัยมหาสารคามในวันที่ 12 ธ.ค.2551 แต่ดิฉันสละสิทธิ์เนื่องจากไม่มีเงินมาเสียค่ารายงานตัวแล้วดิฉันก็ไม่ค่อยสนใจในการที่จะหาที่เรียนต่อ เพราะถึงแม้จะมีโอกาสที่จะได้ศึกษาต่อในมหาวิทยาลัย แต่ก็ยังไม่มีเงินมาจ่ายค่ารายงานตัวอยู่ดี ครูที่ปรึกษาจึงอยากรู้ว่า ทำไมดิฉันถึงไม่มารายงานตัว ดิฉันจึงบอกเหตุผลกับครูว่าไม่มีเงินค่ารายงานตัว เวลาผ่านไปประมาณหนึ่งเดือนกว่าๆ จึงมีเอกสารมาถึงโรงเรียน เป็นหนังสือราชการของมหาวิทยาลัยส่งมาถึงดิฉันว่า อยากทราบข้อมูลว่าทำไมดิฉันถึงไม่มารายงานตัว ดิฉันจึงใส่เครื่องหมายถูกหน้าข้อความที่ว่า อยากเรียนแต่ขาดแคลนทุนทรัพย์ และมหาวิทยาลัยจึงให้โอกาสมารายงานตัวภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2552 วันไหนก็ได้ ครูที่ปรึกษาก็พาดิฉันไปขอทุนที่เทศบาลเพราะโรงเรียนของดิฉันเป็นโรงเรียนที่อยู่ในเขตเทศบาล เมื่อนักเรียนมีเรื่องอะไรที่ทางเทศบาลพอจะช่วยได้ เทศบาลก็จะช่วย ก็ได้เงินมารายงานตัว ดิฉันจึงให้อา แม่ ป้าส่งมารายงานตัวดิฉันจึงมีโอกาสที่จะได้ศึกษาต่อ แต่ก็ยังไม่มีเงินค่าสมุด-หนังสือและค่าใช้จ่ายต่างๆอยู่ดี เมื่อปิดเทอมตอน ม.6 เทอม 2 ดิฉันก็ได้ไปช่วยพี่นุชซึ่งเป็นพี่ที่เคยเข้าค่ายกลุ่ม T-nad พีเขาเปิดสอนเด็กๆอายุประมาณ 8-12 ปี ดิฉันก็ไปช่วยสอน 11วัน พี่เขาก็ให้เงินมาใช้ 2000 บาท หนูบอกว่าไม่เป็นไร แต่พี่เขาบอกว่าอยากให้ ดิฉันจึงรับไว้ หลังจากที่ดิฉันกลับมาจากช่วยพี่นุชสอนน้องแล้วก็พักอยู่บ้าน 3 วัน จากนั้นพี่ที่ดิฉันเคยไปช่วยขายเครื่องเขียนที่ทวีกิจโทรมาบอกว่าให้ดิฉันไปช่วยขายเครื่องเขียนที่ทวีกิจ ดิฉันจึงไปทำงานได้ 1 เดือนกว่าๆได้เงินค่าทำงาน 6000 บาท และได้รับจ้างขายปลาหมึกได้เงิน 1000บาท รวมแล้วดิฉันทำงานช่วงปิดเทอมได้เงินเกือบ 10000 บาท ซึ่งก็ถือว่าเยอะพอสมควร จึงคุยกับแม่ว่าจะเอาเงินส่วนนี้มาเป็นค่าใช้จ่ายในการเข้ามาเรียนต่อในมหาวิทยาลัย แม่บอกว่า เงินแค่น่ะ ไม่พอใช้ในมหาวิทยาลัยหรอก ดิฉันจึงบอกแม่ว่า เดี๋ยวถ้าได้เข้าไปเรียนก็ยืมทุน กยศ.ที่มีในมหาวิทยาลัยก็ได้ แม่บอกต่ออีกว่า ถ้าต้องใช้เงินเยอะๆแม่ไม่สามารถหาเงินมาให้ทันใช้หรอกนะ เมื่อเวลาผ่านมาดิฉันก็ได้เข้ามาเรียนต่อในมหาวิทยาลัยมหาสารคาม แล้วก็พยายามดู
เว็บไซต์ของมหาวิทยาลัยเรื่องทุนการศึกษาว่า มีทุนอะไรบ้าง ? ตอนนั้นมีทุนคิวคัลเลอร์แล็บทุนละ 10000 บาท หนูก็สมัครแล้วก็ไปสอบสัมภาษณ์ ก็มีนิสิตมาขอรับทุนเยอะมากเกือบ 100 คน แต่เอาแค่ 9 คน ดิฉันจึงไม่ได้รับทุนและก็รอไปเรื่อยๆจนมีทุนบุญรอดพัฒนานิสิตมา ดิฉันก็ไปสมัคร ทุนนี้เป็นทุนต่อเนื่องปีละ 12000 บาท ดิฉันจึงรอฟังผล แต่เมื่อผลออกมา ดิฉันก็ไม่ได้รับทุน ตอนนั้นมีความรู้สึกเสียใจมาก ขอกี่ครั้งก็ไม่ได้ รู้สึกท้อแท้ที่ไม่ได้รับทุนนี้ แต่เมื่อมีทุนอะไรให้สมัครในมหาวิทยาลัยมหาสารคาม ถ้าดิฉันมีคุณสมบัติครบดิฉันก็จะสมัครไว้ จนเวลาผ่านไปประมาณ 2-3 เดือน ทางกองกิจการนิสิตโทรมาบอกว่า หนูได้รับทุนฉลากกินแบ่งรัฐบาลเพื่อสร้างบัณฑิต ทุนนี้ได้เทอมละ 10000 บาท โดยจะแบ่งการให้ทุนเป็นช่วงๆแต่ต้องส่งเกรดไปให้กองฉลากกินแบ่งรัฐบาลทุกเทอมและต้องช่วยกองกิจทำงานเมื่อทางกองกิจได้ขอความช่วยเหลือ หนูได้ไปรับทุนนี้เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2552 ที่ผ่านมาและก็ได้ใช้หนี้ค่าหอพักและก็ยังต้องจ่ายค่าที่ยืมทุนฉุกเฉินของมหาวิทยาลัยอีกด้วย ตอนนี้ดิฉันยังกู้ทุนกยศ. ไม่ได้เลย แต่เมื่อได้รับทุนฉลากกินแบ่งรัฐบาล ก็สามารถช่วยเหลือดิฉันได้มากเลยค่ะ เรื่องเงินก็ยังไม่พอใช้อยู่ดีค่ะ แต่ก็ดีใจมากที่ได้รับทุนฉลากกินแบ่งรัฐบาลเพื่อสร้างบัณฑิตทุนนี้ หนูขอขอบพระคุณกองทุนฉลากกินแบ่งรัฐบาลมากค่ะที่มีโครงการมอบทุนแก่นิสิตที่อยากเรียนแต่ขาดทุนทรัพย์ หนูจะเป็นคนดีของสังคม จะพัฒนาประเทศไทยให้เจริญยิ่งขึ้นค่ะ เพราะหากเราเยาวชนรุ่นใหม่ไม่ให้ความสำคัญของประเทศชาติ แล้วจะให้ใครมาให้ความสำคัญกับประเทศของเรา ช่วงวันที่ 19- 23 ธันวาคม 2552 เป็นช่วงของการรับพระราชทานปริญญาบัตรของมหาวิทยาลัยมหาสารคาม งานแนะแนวของกองกิจการนิสิตมหาวิทยาลัยมหาสารคาม ก็โทรมาให้ดิฉันไปช่วยขายช่อดอกไม้ ในวันที่ 21 และ 23 ธันวาคม 2552 วันที่ 21 เป็นวันซ้อมใหญ่ของพี่บัณฑิตวันนี้ขายช่อดอกไม้ได้เรื่อยๆ ส่วนวันที่ 23 ขายช่อดอกไม้ได้ดีมาก มีคนมาแสดงความยินดีกับพวกพี่ๆบัณฑิตเยอะมาก จึงทำให้ขายดอกไม้ได้เยอะ ช่อดอกไม้ช่อละ 200 บาท ช่อตุ๊กตาช่อละ 200-300 บาท แต่ก็ขายดีมาก ขายแทบไม่ทัน ดิฉันปวดขามากเพราะต้องเดินกลับไปกลับมา แถมยังเจ็บคออีกด้วยที่ต้องคอยเรียกลูกค้า แต่ก็สามารถขายช่อดอกไม้ได้เกือบหมดร้าน เจ้าของร้านจึงให้ทริบมาอีกคนละ 100 บาท รวมกับค่าแรงที่ได้เป็นเงิน 600 บาท และดิฉันยังได้ตุ๊กตาหมี ตัวใหญ่มากเจ้าของร้านใจดีให้ตุ๊กตามาคนละ 1 ตัว ดิฉันดีใจที่ได้ตุ๊กตาหมีตัวใหญ่ และที่ได้ทำงานนี้ ถึงแม้มันจะเหนื่อย แต่มันก็คุ้ม หลังจากนั้นวันที่ 24 ธันวาคม 2552 ตอนสายๆดิฉันก็ไปทำขนมครองแครงกรอบที่บ้านพี่น้องที่เรียนอยู่คณะสาธารณสุขศาสตร์ พากันทำขนมตั้งแต่เที่ยงจนถึง 2 ทุ่ม ขนมที่ทำอร่อยมากค่ะแล้วก็กินข้าว จึงอาบน้ำ แล้วพากันนอน ดิฉันทำขนมไปฝากแม่เพราะช่วงปีใหม่ดิฉันจะกลับบ้านไปเยี่ยมแม่และไปเยี่ยมญาติพี่น้องแล้วก็จะไปทำบุญให้แก่คุณพ่อด้วยค่ะ สุดท้ายนี้หนูขออวยพรให้อาจารย์จงมีแต่ความสุขตลอดปี 2553 ที่ใกล้จะมาถึงนี้ ขอให้มีสุขภาพที่สมบรูณ์แข็งแรง และเป็นอาจารย์ที่น่ารักของลูกศิษย์อย่างนี้ตลอดไป..........สวัสดีค่ะ
นางสาว ยุพาภรณ์ สิงห์สั่งถ้ำ รหัสนิสิต 52010521023 สาขา จิตวิทยา คณะศึกษาศาสตร์ ประวัติโดยส่วนตัวของดิฉัน ครอบครัวของดิฉันมีสมาชิก5คน มีคุณยาย คุณพ่อ คุณแม่ พี่ชาย และตัวดิฉันเองเป็นคนสุดท้อง คุณพ่อ คุณแม่ มีอาชีพทำเกษตรกรรม ที่บ้าน ส่วนพี่ชายทำงานที่ปะเทศลาว ที่โรงงานน้ำตาลมิตรผล และตัวดิฉันเองก็กำลังศึกษาที่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ปีที่1 คณะศึกษาศาสตร์ สาขาจิตวิทยา ในสมัยเด็กๆดิฉันก็ได้เรียนที่โรงเรียนใกล้บ้านของตัวเอง เรียนตั้งแต่อนุบาล1-ม.3 ในช่วงเวลาที่เรียนอยู่โรงเรียนใกล้บ้านนั้นก็มีหลากหลายหมู่บ้านในสมัยก่อนมาเข้าเรียนที่โรงเรียนนี้ช่วงนั้นยังไม่ค่อยพัฒนาไม่ค่อยมีใครเข้ามาเรียนในตัวเมือง อีกอย่างพ่อกับแม่ก็อยากให้เรียนใกล้บ้านเพื่อความสะดวกสบายและความปลอดภัย ตัวเราเอง ที่โรงเรียนก็มีเพื่อนๆจากต่างถิ่นมาเรียนที่โรงเรียนเดียวกันรู้จักคนมากหน้าหลายตา หลังจากที่เรียนจบชั้นม.3 ดิฉันก็ได้ศึกษาต่อม.4 - ม.6 ที่โรงเรียนเสลภูมิพิทยาคม พอเข้าไปโรงเรียนครั้งแรกดิฉันก็รู้สึกตื่นเต้นที่ได้เจอเพื่อนๆใหม่ รุ่นพี่ที่โรงเรียนเสลภูมิพิทยาคม พอวันที่เปิดเทอมใหม่วันแรกก็ได้เจอเพื่อนๆตั้งเยอะแยะ ดิฉันได้อยู่ห้องเรียน ห้องม.4/9 ซึ่งเป็นห้องเรียนสายวิทย์ คณิต ฉันเป็นคนที่เรียนไม่เก่งเหมือนเพื่อนคนอื่นเขา ดิฉันจึงพยายามตั้งใจเรียนให้ทันเพื่อน ช่วงแรกๆก็ไม่ค่อยเข้ากับเพื่อนสักเท่าไหร่ ก็มีอายกันบ้างไม่กล้าคุยพอได้เรียนรู้กันแต่ละคนทำความรู้จักกันเรื่อยๆ ไปกินข้าวด้วยกัน เพื่อนในกลุ่มก็จะมี 8คน ที่ไปไหนมาไหนด้วยกันมาตลอด พอถึงกลางเดือนก็มีกิจกรรมต่างๆให้นักเรียนที่โรงเรียนได้ทำร่วมกัน เช่น การทำโครงงานวิชาการ การแข่งทักษะ ที่โรงเรียนก็จะมีโรงเรียนต่างๆเข้ามาร่วมแข่งขัน มาร่วมทำกิจกรรมด้วยกัน พอถึงเดือนกันยายนเป็นช่วงการสอบปลายภาค พอสอบปลายภาคเสร็จก็ปิดเทอมประมาณ 1 เดือน ในช่วงเวลาที่ปิดเทอม ก็ไม่ทำอะไรนอกจากอยู่บ้าน ไม่ได้ไปทำงานที่ไหน ไม่ได้ไปเรียนพิเศษที่ไหน เพราะฐานะทางบ้านก็ไม่ค่อยดีเหมือนคนอื่นเขา อะไรที่พอประหยัดได้ก็ช่วยกันประหยัดหลังจากที่ปิดเทอมมาแล้ว พอเปิดเทอมก็ทำให้เราสนิทกันมากขึ้นเรื่อยๆ ช่วงเดือนธันวาคมก็มีการแข่งขันกีฬาสีภายในโรงเรียน ดิฉันก็ได้เข้าร่วมแข่งกีฬาบาสเกตบอลด้วยความที่ชอบกีฬาประเภทนี้ และ ประเภทที่เป็นคนตัวสูงก็เลยไดเข้าร่วมแข่งก็ได้ชนะเลิศมา มีทั้งความสนุก และเหนื่อยแต่ก็มีความสุขดี พองานกีฬาเสร็จเราก็ไปเลี้ยงฉลองกันอย่างสนุกสนาน ทั้งยังใกล้ถึงเทศกาลปีใหม่ ก็เลยอยู่เคาวน์ดาวด้วยกันกับเพื่อนๆตั้งหลายคน ในช่วงเรียนม.ปลายมาด้วยกันก็ได้รู้จักว่าเพื่อนๆแต่ละคนมีนิสัยยังไงเป็นคนแบบไหนแต่ละคนชอบทำอะไรบ้างก็ได้ศึกษาใจกันมาจนถึงม.6 แต่ละคนก็ได้หาที่เรียนหาสิ่งที่ตัวเองรักสิ่งที่ตัวเองชอบ พอใกล้จะจบม.6ทางโรงเรียนก็มีการจัดการอบรมติวโอเน็ต เอเน็ต ชั้นม.6 มันก็เป็นโอกาสสุดท้ายที่เราจะได้อยู่ร่วมกัน เพราะต่างคนก็ต่างไปศึกษาต่อ บางคนก็ไม่ได้เรียนต่อแต่ไปทำงาน ในช่วงเวลาที่อยู่ด้วยกันก็มีทั้งสุขและทุกข์ มีทั้งหัวเราะและร้องไห้ ตั้งแต่ได้รู้จักกับเพื่อนๆที่อยู่กลุ่มเดียวกัน และ ไม่ได้อยู่กลุ่มเดียวกัน เราก็เป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม สำหรับเพื่อนที่อยู่กลุ่มเดียวกันก็มักจะทำอะไรที่ตลก ฮา และชอบกวน แต่มันก็มีความสุขมาก อะไรที่เราไม่เคยทำเคยไม่เคยเห็นก็ได้เห็นได้ทำ อย่างกลุ่มของดิฉันก็ชอบเล่นการพนัน ในโรงเรียน โดดเรียนเป็นบางครั้งถ้ากลุ่มเราทำอะไรก็มักจะทำด้วยกัน ไปด้วยกัน มันเป็นอะไรที่สนุกมาก มันเหมือนว่าเราท้าทายดี ชอบทำอะไรที่แหกกฎอยู่ตลอดไม่ได้อยู่ในกรอบซักเท่าไหร่เพื่อนๆในกลุ่มแต่ละคนก็มีแต่คนที่ตัวใหญ่ๆ ทั้งนั้น เวลาที่เรามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับกลุ่มเราพวกเราก็จะอยู่ด้วยกันตลอดไม่ทิ้งกัน ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม
หลังจากที่ดิฉันเรียนจบ ตอนแรกดิฉันก็ตั้งใจว่าจะไปเรียนต่อที่กรุงเทพฯ แต่เพราะว่า พ่อกับแม่ดิฉัน ท่านไม่อยากให้ดิฉันไปเรียนที่ไกลบ้าน ท่านเป็นห่วงและฐานะทางบ้านก็ไม่ค่อยดีเหมือนคนอื่น ท่านก็บอกว่าเรียนที่ไหนก็เรียนไดเหมือนกันขอให้เราเป็นคนดีและตั้งใจเรียนก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว ไม่สำคัญที่มหาลัยหรอกแต่สำคัญตรงที่การกระทำของตัวเรามากกว่า ถ้าหาไปเรียนที่มหาลัยดีแต่กับทำตัวไม่ดีมันก็ไม่ต่างกันหรอกดิฉันก็เลยทำตามที่ท่านบอกเพราะที่บ้านของดิฉัน ดิฉันเป็นความหวังของทุกคนในครอบครัวเพราะพี่ชายของดิฉันก็จบ แค่ ปวส. ไม่ได้เรียนต่อปริญญาเหมือนดิฉัน และพี่ชายดิฉันก็ทำงานส่งดิฉันเรียน เพราะไม่อยากให้ดิฉันเป็นเหมือนอย่างคนอื่นเขา ที่ไม่ทำงานทำการอะไร อยู่บ้านก็ไม่ทำงานบ้านสร้างปัญหาให้พ่อกับแม่ พี่ชายของดิฉันไม่อยากให้เป็นเหมือนคนอื่นเขา อนาคตยังอีกยาวไกลดิฉันได้ให้คำปฎิญาณตนไว้กับพ่อ แม่ และ พี่ชายว่า ดิฉันจะทำให้สำเร็จอย่างที่ทุกคนคาดหวังไว้ และดิฉันก็จะตั้งใจทำให้ดีที่สุดจะไม่ทำให้ทุกคนในครอบครัวต้องผิดหวัง พอหลังจากที่จบม.6มา ดิฉันก็ศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม คณะศึกษาศาสตร์ สาขาจิตวิทยา พอดิฉันได้ย้ายเข้ามาหอพักเพื่อเข้าเรียนที่มมส. ดิฉันก็ได้รู้จักกับเพื่อนร่วมห้องนอนเดียวกัน เพราะต่างคนก็ต่างเข้ามาเรียนเหมือนกัน ดิฉันได้พักที่หอใน เพราะดิฉันยังไม่คุ้นกับสถานที่ต่างถิ่น ต้องเจอผู้คนมากหน้าหลายตา แต่ดิฉันก็มีเพื่อนที่เรียนม.ปลายห้องเดียวกันเราก็เลยพักอยู่ด้วยกัน พ่อกับแม่ก็สบายใจหน่อยที่ดิฉันมีเพื่อน กลัวว่าเราจะอยู่ไม่ได้ แต่เราก็ต้องอยู่เพื่ออนาคตของเราเอง พอถึงวันเปิดเทอมใหม่ ดิฉันก็ได้เป็นนิสิตเต็มตัวแล้วดิฉันรู้สึกภูมิใจมาก ที่มหาวิทยาลัยก็มีการปฐมนิเทศนิสิตใหม่มีทั้งเพื่อนๆพี่ที่มาในงาน และพี่ๆคณะครู อาจารย์ให้การต้อนรับนิสิตใหม่เป็นอย่างดี เพื่อนๆแต่ละคนก็มาจากที่ไกลๆบ้างใกล้บ้างแล้วแต่คนที่สอบได้ หลังจากที่มีการปฐมนิเทศเสร็จ ก็มีพิธีอีกอย่างหนึ่งเรียกว่า การรับน้องใหม่ ก็มีกิจกรรมให้ทำระหว่างรุ่นพี่กับรุ่นน้อง มีทั้งเสียงหัวเราะและเสียงร้องไห้ ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่แปลกใหม่ที่ไม่เคยได้เกดขึ้นกับตัวดิฉันเลยนับว่าเป็นสิ่งที่ดีมาก ได้ทำความรู้จักกับพื่อนต่างคณะ ต่างสาขา รุ่นพี่ก็มีทั้งโหด ทั้งใจดี และมีทั้งตลกมาสร้างสีสันและรอยยิ้มให้กับรุ่นน้องอย่างดิฉัน ในช่วงเวลาที่เข้าร่วมกิจกรรมนั้นถือว่ามีความศักดิ์สิทธิ์ เหมือนกันเพราะมันไม่ใช่เรื่องเล่นกับการที่เราได้เรียนรู้ถือเป็นสิ่งสำคัญสิ่งหนึ่งที่ทุกคนย่อมได้รับเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นมหาลัยไหนๆเขาก็จะมีกิจกรรมรับน้องเหมือนกัน แต่ละมหาลัยก็จะมีวิธีการรับที่แตกต่างกันไป อยู่ที่การกระทำของรุ่นพี่และรุ่นน้อง ถ้าการรับน้องเป็นเหมือนที่ในทีวีก็คงจะไม่มีการรับน้องเกิดขึ้น แต่ที่มมส.ไม่มีการรับน้องโหดๆแบบนั้น จะเป็นการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างพี่กับน้องมากกว่า หลังจากเสร็จมีกิจกรรมรับน้อง ก็เริ่มมีการเข้าเรียนได้เห็นหน้าเพื่อนๆที่มาจากต่างถิ่น ได้มาเรียนห้องเดียวกัน ช่วงอาทิตย์แรกก็ไม่ค่อยจะได้เรียนเพราะเวลาเช้าเรียนแต่ละวิชา อาจารย์ก็จะให้แนะนำชื่อของตัวเอง มาจากโรงเรียนอะไร เป็นคนจังหวัดอะไร ในห้องเรียนก็จะมีนิสิตทั้งเก่าและใหม่รวมกันได้ประมาณ83คน เท่าที่จำได้ แต่จำชื่อของเพื่อนในห้องยังไม่ได้หมดหรอก เพราะคนมันเยอะ แต่จะจำได้เป็นบางกลุ่มเท่านั้น ตอนแรกแทบจะร้องไห้อยากกลับบ้านเพราะไม่มีใครรู้จักซักคนพอ ระยะเวลานานไปก็เริ่มไม่เหงาเริ่มมีเพื่อนเป็นกลุ่ม เพราะเพื่อนที่อยู่กลุ่มเดียวกันก็พักหอใกล้ๆกันจึงสนิทกันมากขึ้น เริ่มคุ้นเคยกัน เรียนรู้ด้วยกัน สุดท้ายนี้ก็ขอให้อาจารย์มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง อยู่กับลูกศิษย์ไปนานๆ เป็นที่รักของทุกคนตลอดไป...นะคะ
ประวัติส่วนตัวชื่อ นางสาวสาวิตรี หล้าสรวยรหัสนักศึกษา 52010521026 คณะศึกษาศาสตร์ สาขาวิชาจิตวิทยา มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ชื่อเล่น เป้วันเกิด วันศุกร์ ที่ 6 เดือนเมษายน พ.ศ. 2533 ปีมะเมียอายุ 19 ปี กรุ๊ปเลือด โอ E – Mail : lasaruy27@hotmail.comเบอร์โทร 085-7550109 น้ำหนัก : 46 กิโลกรัม ส่วนสูง : 150 เซนติเมตรอาหารที่ชอบ สุกี้ กะเพราหมูกรอบ ผลไม้ที่ชอบ ส้ม น้ำผลไม้ที่ชอบ : น้ำแอปเปิ้ลของโปรด กาแฟปั่น เค้กช็อกโกแล็ต ดอกไม้ที่ชอบ ดอกกุหลาบ ( สีขาว) ดอกทิวลิปสีที่ชอบ ขาว ชมพู เขียว ดาราที่ชอบ ออย ธนา อั้ม พัชราภา ไชยเชื้อ ,แพนเค้ก ตลกที่ชอบ ตุ๊กกี้ หม่ำ จ๊กม๊ก เท่ง ภาพยนตร์ที่ชอบ ปายอินเลฟ 32ธันวา แนวเพลงที่ชอบ POP เพลงโปรด คนธรรมดา วันที่ฉันกลัว ศิลปินที่ชื่นชอบ ดา เอ็นโดรฟิน แดนบีม นักร้องในดวงใจ Dr. Fuu วิชาที่ชอบ คณิตศาสตร์วิชาที่ไม่ถนัด ชีววิทยา สัตว์เลี้ยงที่ชอบ สุนัข งานอดิเรก ฟังเพลง นอนในสมัยเด็กๆเรียนที่โรงเรียนสมสะอาดดงมุขวิทยา ม.1-3 พอม.ปลายเรียนที่โรงเรียนอุดรพิชัยรักษ์พิทยา คติที่ใช้ในชีวิตประจำวัน ขอบคุณข้าวทุกเม็ด น้ำทุกหยด อาหารทุกจานอย่างจริงใจ อย่าสวดมนต์เพื่อขอสิ่งใด นอกจาก “ปัญญา” และ “ความอุตสาหะ” “เพื่อนใหม่” คือของขวัญที่ให้กับตัวเอง ส่วน “เพื่อนเก่า” “มิตร” คืออัญมณีที่นับวันจะเพิ่มคุณค่า อ่านหนังสือธรรมปีละเล่ม ปฏิบัติต่อคนอื่นเช่นเดียวกับที่ต้องการให้ผู้อื่นปฏิบัติต่อเรา พูดคำว่า “ขอบคุณให้มาก” รักษา “ความลับให้เป็น” ประเมินคุณค่าของการให้ “อภัย” ให้สูง ฟังให้มากแล้วจะได้คู่สนทนาที่ดี ยอมรับความผิดพลาดของตัวเอง หากมีใครตำหนิ และรู้อยู่แก่ใจว่าเป็นจริง หากล้มลง จงอย่ากลัวกับการลุกขึ้นใหม่ เมื่อเผชิญหน้ากับงานหนักคิดเสมอว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะล้มเหลว อย่าถกเถียงธุรกิจภายในลิฟต์ ใช้บัตรเครดิตเพื่อความสะดวก อย่าใช้เพื่อก่อหนี้สิน อย่าหยิ่ง หากจะกล่าวว่า “ขอโทษ” อย่าอายหากจะบอกใครว่า “ไม่รู้”ระยะทางนับพันกิโลเมตร แน่นอนมันไม่ราบรื่นตลอดทาง เมื่อไม่มีใครเกิดมาแล้ววิ่งได้ จึงควรทำสิ่งต่าง ๆ อย่างค่อยเป็นค่อยไป การประหยัดเป็นบ่อเกิดแห่งความร่ำรวย เป็นต้นทางแห่งความไม่ประมาท คนไม่รักเงิน คือไม่รักชีวิต ไม่รักอนาคต ยามทะเลาะกัน ผู้ที่เงียบ
คือผู้ที่มีการอบรมสั่งสอนที่ดี ชีวิตนี้ฉันไม่เคยทำงานเลยสักวัน ทุกวันเป็นวันสนุกหมด จงใช้จุดแข็ง อย่าเอาชนะจุดอ่อน เป็นหน้าที่ของเราที่จะพูดให้คนอื่นเข้าใจ ไม่ใช้หน้าที่ของคนอื่นที่จะทำความเข้าใจในสิ่งที่เราพูด เหรียญเดียวมี 2 หน้า ความสำเร็จกับความล้มเหลว อย่าตามใจตนเอง เรื่องยุ่ง ๆ เกิดขึ้นล้วนตามใจตัวเองทั้งสิ้น ฟันร่วงเพราะมันแข็ง ส่วนลิ้นยังอยู่เพราะมันอ่อน อย่าดึงต้นกล้าให้มันโตไว ๆ (อย่าใจร้อน) ระลึกถึงความตายวันละครั้ง ชีวิตจะมีความสุข มีอภัย มีให้ ทุกชิ้นงานจะต้องกำหนดวันเวลาแล้วเสร็จ จงเป็นน้ำครึ่งแก้วตลอดชีวิต เพื่อเรียนรู้เพิ่มเติมได้ตลอด ดาวและเดือนที่อยู่สูงอยากได้ก็ต้องปีน “บันไดสูง” ที่สำคัญในการดำเนินชีวิต มนุษย์ทุกคนมีชิ้นงานมากมายในชีวิต จงทำชิ้นงานที่สำคัญที่สุดก่อนเสมอ หนังสือเป็นศูนย์รวมปัญญาของโลก จงอ่านหนังสือเดือนละเล่ม ระเบียบวินัย คือ คุณสมบัติที่สำคัญในการดำเนินชีวิตบิดาชื่อ นายมิตตา หล้าสรวย อาชีพ : รับจ้างทั่วไป มารดาชื่อ นางนวลจันทร์ หล้าสรวย อาชีพ : ค้าขายข้าพเจ้ามีพี่น้องร่วมท้อง 3 คนมีพี่ชาย 1 คน ชื่อนาย ณัฐวุฒิ หล้าสรวย ชื่อเล่น เติ้ล สำเร็จการศึกษาแล้ว ปัจจุปันทำงานอยู่ต่างประเทศ น้องสาว 1คน ชื่อ เด็กหญิงภาวิณี หล้าสรวยกำลังศึกษาอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่1 ที่โรงเรียนสตรีราชินูทิศ ภูมิลำเนา : อยู่ที่ อุดรธานี ( 193 หมู่ที่16 บ้าน ดงสว่าง ตำบล นาพู่ อำเภอเพ็ญ จังหวัดอุดรธานี 41150 ข้าพเจ้าได้พักอยู่ที่หออินทนิล ห้อง 206สิ่งที่ครอบครัวใช้สอนบ่อยคือชีวิตคนเราอาจเปรียบได้กับไม้ขีดไฟ ก้านไม้ขีด..ก็เหมือนกันเวลาชีวิตของเราเวลาชีวิตของเรา..หากมองจริงๆ ก็แสนจะสั้นเหลือเกิน เมื่อเรามีบางสิ่งบางอย่างทำบางคน..อาจมองว่าชีวิตของเรา ทำไมมันช่างแสนจะยาวนานนักเพราะนั่น..คือการที่เรายังไม่ได้จุดไม้ขีดไฟ เมื่อเกิดการเสียดสีกับกล่องไม้ขีด ไฟก็จะลุกโชน ในช่วงเวลาที่เราเริ่มจุดไม้ขีดนั้น ไม้ขีดบางอัน ก็อาจจะลุกติดในทันที แต่บางอัน ก็ต้องใช้เวลานานกว่าจะติด ไฟ..ก็เปรียบเสมือนงาน หรือจุดมุ่งหมายของเราบางคน...กว่าจะค้นหาเป้าหมายของตัวเองเจอ ก็ช่างนานแสนนาน และเมื่อจะเริ่มทำเป้าหมายที่วางไว้ให้สำเร็จ..หัวไม้ขีดก็เก่าเสียแล้ว จะจุดไม้ขีดก็ต้องยากเป็นธรรมดาเมื่อไฟลุกติด..เมื่อเราเริ่มทำความฝันให้เป็นความจริง ไฟก็จะมอดก้านไม้ขีด..เวลาแห่ง
ชีวิต เวลาแห่งอิสระก็เริ่มจะสั้นลงๆ ขณะที่ไฟลามไปยังก้านไม้ขีดบางอันอาจจะช้า บางอันอาจจะเร็ว ก็ขึ้นอยู่กับสิ่งต่างๆ ตอนที่ไฟลุกอยู่...อาจจะมีลมแรงพัดผ่านเข้ามา อาจจะมีฝนตก ไฟก็อาจจะดับได้ เมื่อลุกมาถึงกลางก้านไม้ขีดแล้ว ก็เป็นไปไม่ได้ที่ไฟจะกลับมาลุกโชนอีกครั้งได้ง่ายๆ ก็จำเป็นต้องพึ่งไม้ขีดอีกอัน พึ่งเพื่อนรักของเรา มาประคองไฟให้ลุกใหม่ได้อีกครั้ง เมื่อจุดหมายของเราใกล้จะประสบความสำเร็จ ก้านไม้ขีดที่เหลือก็มีอยู่น้อยเต็มทีแล้ว แต่เมื่อใดที่ไฟสุดท้ายของไม้ขีดดับมอดลง เมื่อวาระสุดท้ายของคนเรามาถึง ก็จำเป็นที่จะต้องจากไปแต่ประโยชน์ที่เราสร้างไว้ จุดหมายที่ประสบความสำเร็จ ไฟที่สร้างความสว่างไสวเอาไว้ แม้จะเป็นแค่เพียงไฟดวงเล็กๆ แต่ก็ได้สร้างประโยชน์เอาไว้ให้แก่คนรอบข้างและบางทีก้านไม้ขีดไฟอันนี้…ก็อาจนำไปเพื่อจุดกองไฟกองโต เพื่อความสว่างไสวและอบอุ่นของคนมากมาย..ตลอดคืนในทางกลับกัน..บางคนอาจกล่าวว่า ถ้าเราไม่จุดไฟ..เราก็มีก้านไม้ขีดที่เหลืออีกมากมายเหลือเฟือ แต่ถ้าหากเราปล่อยก้านไม้ขีดเอาไว้อย่างนั้น นานวันเข้า..นานวันเข้าก้านไม้ขีดก็จะจุดติดยาก หรืออาจจะจุดไม่ติด พอถึงวันนั้น.. คนที่จะใช้ไม้ขีดก็คงจะทำอะไรไปไม่ได้...นอกจากจะต้องทิ้งไม้ขีดไฟก้านนั้นทิ้งไป ความรู้สึกส่วนตัวเกี่ยวกับครอบครัว ครอบครัวของเราเป็นครอบครัวเล็กๆแต่เต็มไปด้วยความสุขและเสียงหัวเราะถึงจะไม่ได้ร่ำรวยอะไรแต่ก็สามารถเลี้ยงลูกทุกคนได้อย่างดีไม่ขาดตกบกพร่องอย่างใด ครอบครัวเราอยู่แบบให้ความสำคัญกับทุกคนเท่ากันหมดรักใดเล่าจะเท่ากับรักจากพ่อแม่ คือรักแท้บริสุทธิ์ดุจผ้าขาวถนอมลูกดุจดั่งเพชรอันแพรวพราว รักยืนยาวมั่นคงตลอดไปพ่อแม่นั้นรักลูกเท่าชีวิต ผูกพันธ์จิตด้วยสายเลือดอันยิ่งใหญ่ทั้งดูแลปกป้องสุดดวงใจ หวังเพื่อให้ลูกน้อยเป็นคนดีถึงเวลาที่ลูกจะแทนคุณ ด้วยการมอบความรักแห่งศักดิ์ศรีเป็นดั่งท่านหวังให้เราเป็นคนดี เพื่อชีวีก้าวหน้าพาเจริญหันมาให้เวลาแก่ครอบครัว ละส่วนตัวเพื่อแม่ได้เพลิดเพลินร่วมกันสร้างความสุขน่าสรรเสริญ อย่าหมางเมินให้พ่อแม่ทุกข์ตรมเอย
เกี่ยวกับญาติ ตระกูลของเราเป็นตระกูลที่ใหญ่ซึ่งต่างคนต่างครอบครัวก็จะให้ความสำคัญกับญาติๆทุกครอบครัว ช่วยเหลือซึ่งกันและกันเกี่ยวกับเพื่อน ส่วนมากเพื่อนที่คบกันอยู่ปัจจุปันก็เป็นเพื่อนที่เรียนมาตั้งแต่อนุบาลเพราะส่วนมากก็ถือได้ว่าเป็นเพื่อนตายได้เราเคยร่วมเป็นร่วมตายกันมาเคยร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาถึงแม้ว่าเราจะไม่ค่อยได้พบกันเท่าไร่เพราะต่างคนก็ต่างมีหน้าที่เขาตนเองที่จะเดินตามทางตามความฝันของตนเองไม่ว่างที่จะมีเวลาว่างเหมือนแต่ก่อนที่จะว่างมาทำกิจกรรมต่างๆร่วมกันเหมือนแต่ก่อน แต่ความรู้สึกดีๆที่มีให้กันและกันที่ผ่านมายังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง หนึ่งวันพานพบคนรู้จัก พบกันทักทายเสมอเสมือนห่างกันห่วงใยมิลืมเลือน เป็นเพื่อนในกาลต่อมา หลายปีอยู่ด้วยกันโรงเรียน พากเพียรตั้งใจการศึกษา ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมา ต้องล่ำลาจากกันด้วยอาลัย ต่างคนต่างไปตามหาฝัน แยกกันจากไปตามฝันใฝ่ อนาคตของตนทนฝ่าไป พบกันใหม่เวลาหน้าโอกาสมีแม้ห่างตัวอยู่ไกลใจคิดถึง ห้วงคะนึงเคยซึ้งหทัยนี้ จากวันนั้นจนวันนี้คงไมตรีหัวใจมีเพื่อนกันตลอดไป.....
ประวัติส่วนตัวชื่อ นางสาวเกศสุดา นามสกุล บุตรใสชื่อเล่น เอเอ้วันที่เกิด วันอาทิตย์ ที่ 12 เดือนเมษายน พ.ศ. 2534 ปีมะแมอายุ 18 ปี กรุ๊ปเลือด โอน้ำหนัก 51 กิโลกรัม ส่วนสูง : 169 เซนติเมตรครอบครัว บิดาชื่อ นายคำผุย บุตรใส อาชีพ : ธุรกิจส่วนตัว มารดาชื่อ นางพิกุล บุตรใส อาชีพ : ธุรกิจส่วนตัวข้าพเจ้ามีพี่น้องร่วมท้อง 2 คน มีพี่สาวชื่อนางสาวนริศรา บุตรใสชื่อเล่น แอมแปร์ กำลังศึกษาอยู่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม คณะแพทย์ศาสตร์สาขาแพทย์แผนไทยประยุกต์ ชั้นปีที่ 4ที่อยู่ปัจจุบัน 149 หมู่.6 บ้านน้ำใส ตำบลน้ำใส อำเภอจตุรพักตรพิมาน จังหวัดร้อยเอ็ด 45180 เบอร์โทรศัพท์ 087-8025116E – Mail : a_niranam@hotmail.comข้าพเจ้าได้พักอยู่ที่หอการเวก ห้อง 217อาหารที่ชอบ ข้าวผัด สุกี้ของหวานที่ชอบ ทองหยอด หม้อข้าวหม้อแกงผลไม้ที่ชอบ ส้ม มังคุด ทุเรียนน้ำผลไม้ที่ชอบ น้ำมะนาวของโปรด กาแฟปั่น เค้กช็อกโกแล็ต ดอกไม้ที่ชอบ ดอกกุหลาบ ( สีขาว)สีที่ชอบ ขาว ขาว ขาว แล้วก็ขาว 5555ดาราชายที่ชอบ สเตฟาน สันติดาราหญิงที่ชอบ อั้ม พัชราภา ไชยเชื้อ ตลกที่ชอบ หม่ำ จ๊กม๊กภาพยนตร์ที่ชอบ รถไฟฟ้ามาหานะเธอ
แนวเพลงที่ชอบ สตริง เพลงโปรด คนธรรมดาศิลปินที่ชื่นชอบ ดา เอ็นโดรฟิน นักร้องในดวงใจ Dr. Fuuวิชาที่ชอบ ภาษาไทยวิชาที่ไม่ถนัด คณิตศาสตร์งานอดิเรก ฟังเพลง อ่านหนังสือคติ ไม่มีอะไรสายเกินแก้ ถ้าเรายังไม่เริ่มทำผลงานด้านการศึกษาปัจจุบัน เรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยมหาสารคามเป็นนิสิตชั้นปีที่ 1 รหัสนักศึกษา 52010521012 คณะศึกษาศาสตร์ สาขาวิชาจิตวิทยา มหาวิทยาลัยมหาสารคามความรู้สึกส่วนตัว บ้านของฉันเป็นครอบครัวที่เล็กๆ แต่ฉันก็อยู่กันอย่างมีความสุข มีความอบอุ่นพ่อฉันเป็นคนจังหวัดร้อยเอ็ดอายุก็มากแล้ว นิสัยเป็นคนมีความรับผิดชอบมากชอบอ่านหนังสือเป็นที่สุดแม่ฉันเป็นคนจังหวัดร้อยเอ็ด ไปทำงานอยู่ที่กรุงเทพฯหลายปี แล้วก็กลับมาบ้าน แม่ของฉันเป็นคนหน้าตาค่อนข้างดี มีคนเข้ามาจีบบ่อยๆรวมทั้งพ่อของฉันด้วย พี่สาวของฉันชื่อแอมแปร์ เป็นคนสวย น่ารัก ขาวมาก แต่ฉันกลับตัวดำมีนิสัยที่ชอบเล่น ชอบอ่านหนังสือ พี่สาวของฉันเป็นคนที่เรียนเก่งมาก ฉันอยากจะยืมสมองของพี่สาวฉันมาใช้เวลาสอบ ไม่รู้ว่ากินข้าวกับอะไร เพราะไม่ค่อยได้เจอกันต่างคนก็ต่างเรียน แล้วเทอมนี้พี่สาวของฉันก็ต้องฝึกงาน ครอบครัวฉันเป็นครอบครัวที่ค่อนข้างเล็กอยู่กันพ่อแม่ลูก 4 คน แต่เมื่อถึงเทศกาลต่างๆพวกเราก็จะมารวมญาติกันที่บ้านของคุณยาย ส่วนพี่น้องก็ได้พบปะคุยกันส่วนฉันและลูกพี่ลูกน้องก็จะได้เจอหน้ากันพูดคุยกันตามประสาวัยรุ่น
ฉันพึ่งย้ายบ้านมาจากบ้านพ่อ แต่คนแถวบ้านจะเป็นญาติๆทางแม่จึงทำให้สนิทและรักกันดีสถานที่ท่องเที่ยวที่ใกล้บ้านของฉันคือ ผาน้ำย้อยวัดที่ใกล้บ้าน คือ วัดพัฒนาราม บริเวณหน้าบ้านของฉันเป็นปั๊มน้ำมัน บ้านของฉันมีสุนัข ชื่ออุลต้าแมน พันธุ์โกเดนท์ น่ารัก ตัวใหญ่มากเลยใครๆก็ชอบ มีคนมาขอถามซื้อ แต่ฉันไม่ขายเพราะฉันรักมันมาก และหลังบ้านแม่ฉันได้ปลูกพืชผักสวนครัวไว้กินเอง อยากให้ทุกคนได้อ่านดู - เอาไว้เป็นข้อคิดดีๆเธอชอบตุ๊กตาหมี --- เขาชอบรถถัง เธอชอบนั่งดูตะวันขึ้นที่ชายทะเลในตอนเช้า เขาชอบบรรยากาศของแสงไฟในเมืองตอนกลางคืน จักรยานเธอชอบ เพราะความช้าของมันทำให้เธอมีเวลาดูอะไรหลายๆอย่างที่ผ่านไป มอเตอร์ไซค์เขาชอบความเร็วของ เพราะมันทำให้เขาไปถึงที่หมายทันเวลา เธอนอนสี่ทุ่มตื่นตีสี่เพื่อใส่บาตร --- เขานอนตีสี่ ตื่นสี่โมงเย็นเพราะกลับดึก เธอได้ท๊อบเกือบทุกวิชา --- เขาได้ 0 เกือบทุกวิชา เธอถูกชมและรับรางวัลเด็กนักเรียนดีเด่นเป็นประจำ - -- เขาถูกด่าและมีชื่ออยู่ในบัญชีดำของโรงเรียน เธอยิ้มง่ายรักเด็กๆและกล้าแสดงออก - -- เขาหงุดหงิดเกลียดเด็กๆและขี้อาย เธอไม่ชอบกลางแจ้งกีฬา --- เขาชอบเล่นบาสกับฟุตบอล เธอขี้แย --- เขาเข้มแข็ง เธอกลัวฟ้าร้อง --- เขาชอบฝนตก เธอเกลียดความเหงาและไม่ชอบอยู่คนเดียว เขาเบื่อสังคมและชอบเก็บตัวในห้อง เธอร้องไห้ในเรื่องที่เราไม่คิดว่ามันน่าเศร้า เขากลั้นน้ำตาในเรื่องที่อยากฆ่าตัวตาย
เธอมองหน้าเขาแล้วเห็นผู้ชายที่แสนดีคนหนึ่ง --- เขามองหน้าเธอแล้วเห็นนางฟ้าที่ดีที่สุดในชีวิตเขา เธอจับมือเขาไว้ในวันที่เขาท้อแท้ เขานั่งลงข้างๆเธอในวันที่เธอว้าเหว่ เธอเบื่อคำชื่นชมจอมปลอมและต้องการได้ยินเสียงเขา แม้จะก็ตามเป็นการด่า --- เขาอยากได้ยินคำชื่นชมจอมปลอมขอแค่มันมาจากปากเธอ เธอจมปลักอยู่ในความทุกข์ในวันที่เขาหายไป เขาจมดิ่งลงในความสุขในวันที่เธออยู่ข้างๆ วันใดก็ตามที่เขาท้อแท้หรือยอมแพ้เธอจะโทรไปหาเขาพูดแต่คำว่า รักเธอนะ --- วันใดก็ตามที่เธอผิดหวังหรือเหงาเขาจะโทรไปหาเธอและจะเงียบ อยู่อย่างนั้นจนกว่าเธอจะหยุดร้องไห้ วันใดก็ตามที่เขาได้รับชัยชนะเธอจะตรงเข้าไปหาแล้วกอดเขา วันใดก็ตามที่เธอได้รางวัลเขาจะตรงเข้าไปหายิ้มให้ชูนิ้วโป้ง แล้วพูดคำว่ายินดีด้วย วันเกิดเขาเธอหอมแก้มเขาฟอดหนึ่งแล้วพูดคำว่าฉันรักเธอ วันเกิดเธอเขาโทรมาตอนเที่ยงคืน แล้วพูดคำว่าฉันก็รักเธอ เธอจับมือเขาเพื่อจะเตือนให้เขารู้ว่าเขาสำคัญสำหรับเธอมากแค่ไหน เธอเขานั่งข้างๆ เพื่อให้เธอรู้ว่าเธอไม่ได้อยู่คนเดียว เธอจะร้องไห้และขอร้องให้คนที่ทำร้ายเขาหยุดการกระทำ เขาจะต่อยหน้าใครก็ตามที่ทำร้ายเธอ เมื่อเขาโกรธเธอจะรอให้เขาหายโกรธแล้วโทรไปบอกว่าขอโทษนะ เมื่อเธอโกรธเขาจะดึงมือเธอไว้แล้วพูดคำว่าฉันขอโทษ เธอโทรไปหาเขาทุกวันเพื่อพูดคำว่าฉันรักเธอ - -- เขารอคอยโทรศัพท์เธอทั้งวัน ... เพื่อรอฟังคำว่าฉันรักเธอ …
ประวัติส่วนตั๊วส่วนตัวชื่อจริงๆ :: นางสาวรจนา โพธิ์เศษเพื่อนๆเรียก :: ตัวเล้กเล็กวันเกิดจ้า :: วันอังคาร ที่ 25 กันยายน 2533 ปีมะเมียอายุ :: 19 ปี กรุ๊ปเลือด :: บีน้ำหนัก :: 41 กิโลกรัม ส่วนสูง :: 145 เซนติเมตรครอบครัว :: บิดาชื่อ นายมีชัย โพธิ์เศษ มีอาชีพรับราชการ( เจ้าหน้าที่ครุภัณฑ์ 3 ) ที่โรงเรียนรุจีจินตกานนท์ อำเภอรัตนวาปี จังหวัดหนองคาย มารดาชื่อ นางคำพอง โพธิ์เศษ มีอาชีพรับราชการ(ครู) ที่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กบ้านนาคำมูล ข้าพเจ้ามีพี่น้อง 1 คน เป็นน้องชายชื่อ นายประสิทธิ์พงษ์ โพธิ์เศษ ชื่อเล่น ต๋อง กำลังศึกษาอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/1 โรงเรียนกีฬาจังหวัดหนองคาย ประเภทกีฬา เซปักตะกร้อ ตำแหน่งผู้เล่นกลาง ที่อยู่ :: 110 หมู่ 6 บ้านนาคำมูล ตำบลนาทับไฮ อำเภอรัตนวาปี จังหวัดหนองคาย 43120เบอร์โทรศัพท์ :: 0800092926E – Mail :: Tannoy_25@hotmail.comส่วนตอนนข้าพเจ้าได้พักอยู่ที่หอพักตักสิลานคร ตึก A 106อาหารที่ชอบ :: ข้าวเหนียว ส้มตำ ไก่ย่างของหวานที่ชอบ :: ทับทิมกรอบ ลอดช่องผลไม้ที่ชอบ :: แตงโม ส้มน้ำผลไม้ที่ชอบ :: น้ำส้มคั้นของโปรดปราน :: เค้กช็อกโกแล็ตดอกไม้ที่ชอบ :: ดอกมะลิ กุหลาบเครื่องประดับที่ชอบใส่ :: แหวนสีช๊อบชอบ :: สีฟ้า ขาว ดำดาราชายที่ชอบ :: วีรภาพ สุภาพไพบูลย์ดาราหญิงที่ชอบ :: แพนเค้ก ตลกที่ชอบ :: ตุ๊กกี้ หม่ำ จ๊กม๊ก
หนังที่ชอบ :: แหยมยโสธร 2แนวเพลงที่ชอบ :: ลูกทุ่ง หมอลำเพลงโปรด :: ดาวมีไว้เบิ่งศิลปินที่ชื่นชอบ :: ปอยฝ้าย ไหมไทยนักร้องในดวงใจ :: โปเตโต้ (พี่วิน)วิชาที่ชอบ :: พลศึกษาวิชาที่ไม่ถนัด :: ภาษาอังกฤษ สังคมศึกษาศาสนาและวัฒนธรรมชอบนวนิยายแนว :: แฟนตาซี ได้แก่ แฮรี่ พอตเตอร์ เซวีน่า ไฟด์ติ้ง แลนด์ งานอดิเรก :: เล่นอินเทอร์เน็ต อ่านหนังสือ ฟังเพลง ( ดูพี่ ) เล่นกีต้าร์ คติ :: Tomorrow never die (พรุ่งนี้ไม่มีวันตาย)ผลงานด้านการศึกษาเรียนที่โรงเรียนบ้านนาคำมูลชมพูพร ตั้งแต่ชั้นอนุบาล 1 – ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6- ชั้นอนุบาล 2/1 ได้ไปแข่งวิ่งเปี้ยว- ชั้นอนุบาล 2/1 ได้ไปแข่งการประกวดการเล่านิทานประกอบการแสดงของโรงเรียน- ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ได้ไปแข่งขันคิดเลขเร็ว - ได้ผลการเรียนอันดับ 1 (เฉพาะในห้อง ตั้งแต่ อ.1-ป.6) - ได้ไปแข่งขันวาดภาพระบายสีระดับ ป. 1- 2- ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ไปดูงาน งานวิทยาศาสตร์ ที่อำเภอเมืองหนองคายกับพ่อ ไปเข้าร่วมกิจกรรมเข้าค่ายตณิตศาสตร์ มีโอกาสเข้าร่วมแข่งขัยโครงงานวิทยาศาสตร์ที่โรงเรียนและเป็นตัวแทนของเขตพื้นที่การศึกษาหนองคายเขต 2- ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ได้เข้าอบรม โครงการประหยัดไฟ (กฟภ.) - ไปเข้าร่วมกิจกรรมเข้าค่ายตณิตศาสตร์ 2 - ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ได้ผลการเรียนดี 4.00 ได้รับว่าเป็นผู้มีความประพฤติดี ตั้งใจเรียนและได้รับรางวัลลูกกตัญญู - ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ได้เข้าร่วมการแข่งขันตอบปัญหาภาษาอังกฤษ ได้รับรางวัลชนะเลิศของเขตพื้นที่การศึกษาหนองคายเขต 2
- ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ได้เข้าร่วมการแข่งขันตอบปัญหาคณิตศาสตร์ ได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 ของเขตพื้นที่การศึกษาหนองคายเขต 2เรียนที่โรงเรียนชุมพลโพนพิสัย ตั้งแต่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 - 6- ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 – 2 ได้เข้าร่วมการแข่งขันตอบปัญหาวิทยาศาสตร์ ได้รับรางวัลชนะเลิศของเขตพื้นที่การศึกษาหนองคายเขต 2- ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ได้เข้าร่วมการแข่งขันตอบปัญหาวิทยาศาสตร์ ได้รับรางวัลชนะเลิศของเขตพื้นที่การศึกษาหนองคายเขต 2- ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 – 6 ได้ผลการเรียนเฉลี่ย 2.54 - ได้รับรางวัลลูกกตัญญูของโรงเรียนปัจจุบัน เรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยมหาสารคามเป็นนิสิตชั้นปีที่ 1 รหัสนักศึกษา 52010517115 คณะศึกษาศาสตร์ สาขาวิชาจิตวิทยา มหาวิทยาลัยมหาสารคามความรู้สึกส่วนตั๊วส่วนตัว ถึงบ้านของฉันจะหลังไม่ใหญ่โตนัก แต่ครอบครัวฉันก็อยู่กันอย่างมีความสุข พ่อฉันเป็นคนจังหวัดหนองคายโดยกำเนิดนิสัยถึงตอนนี้อายุจะมากแต่ความเป็นวัยรุ่นนั้นยังมีอยู่เต็มตัวและชอบพูดฮาๆแบบคาดไม่ถึงแม่ฉันเป็นคนจังหวัดมหาสารคามโดยกำเนิด แต่มาอยู่กับญาติที่จังหวัดหนองคายก็เลยได้พบรักกันกับพ่อนิสัยเป็นคนจู้จี้ แต่ชอบเล่นมุขขำๆให้เรื่อยๆ น้องฉันชื่อต๋อง ตัวสูงมาก เรียนที่โรงเรียนกีฬาจังหวัดหนองคายนิสัยขี้เล่น ชอบโม้ ผีเข้าผีออกไม่แน่นอน(อารมณ์สุนทรีสุดๆ)ส่วนข้างๆบ้านเป็นบ้านปู่ย่า ลุงป้าอา ครอบครัวฉันเป็นครอบครัวที่ค่อนข้างใหญ่เมื่อถึงเทศกาลต่างๆพวกเราก็จะมารวมญาติกันที่บ้านปู่กับย่า ส่วนพี่น้องก็ได้พบปะคุยกันส่วนฉันและลูกพี่ลูกน้องก็จะได้เจอหน้ากันพูดคุยกันตามประสาวัยรุ่น คนในชุมชนส่วนใหญ่จะเป็นญาติๆกันทั้งนั้น จึงทำให้สนิทและรักกันโรงเรียนที่ใกล้บ้านของฉันมากที่สุดคือโรงเรียนรุจีจินตกานนท์( เป็นโรงเรียนที่พ่อฉันทำงานอยู่ ) สถานที่ท่องเที่ยวที่ใกล้บ้านของฉันคือ วัดโพธ์ชัยวัดที่ใกล้บ้าน คือ วัดใหม่อัมพวัน ( ก็วัดที่บ้านไง )สินค้า o-topในชุมชนของฉันคือ ผ้าไหมที่แม่ฉันทอเอง
บริเวณหน้าบ้านเป็นลานกว้างส่วนข้างบ้านมีดอกไม้ที่พ่อกับแม่ปลูกไว้หลายชนิด เช่น ดอกกุหลาบสีขาว ดอกมะลิ และอีกหลายๆชนิดและหลังบ้านได้ปลูกพืชผักสวนครัวไว้รับประทานอีกด้วย สิ่งที่ฉันฝันไว้ในสมัยยังเด็ก คือ หมอ และฉันคิดว่าสมัยเด็กๆคนส่วนใหญ่ก็ฝันอยากเป็นหมอทั้งนั้นแต่พอเริ่มโตฉันก็รู้ว่ามันยากมากและฉันก็ไม่ถนัดวิชา วิทยาศาสตร์ อีกด้วย พอ ม.3 จนจะต่อม.4 ฉันก็ได้ตัดสินใจเลือกเรียนสายวิท- คณิต อยู่ดีเพราะแม่บังคับ ฉันจึงพยายามคิดว่าตัวเองชอบอะไร แต่พอนานๆไปเริ่มรู้ว่าตัวเองไม่มีความถนัดด้านนี้เลยเพราะฉันไม่ชอบพวกคำนวณ แต่จะชอบทำความเข้าใจและการบรรยายซะมากกว่าเพราะว่าฉันพูดมากฉันจึงได้รู้ว่า ถ้าเราชอบอะไรสักอย่างแต่ถ้าไม่ถนัดเรื่องนั้นเอาซะเลยแต่เราก็จะเป็นได้แต่อาจไม่มีความสุขกับสิ่งที่ทำเพราะเหมือนเราทำในสิ่งที่ฝืนกับตัวเองนั้นก็คือ"ความฝันคืออะไรก็ได้ที่เราทำแล้วมีความสุข"ตอนนี้ฉันคิดว่าฉันถนัดในเรื่อง การระบายสี การบรรยายและหลักการมีเหตุผลและอาชีพที่ฉันอยากจะเป็นในตอนนี้ คือ ตำรวจ และนักจิตวิทยา แต่น่าเสียดายเนอะฉันเตี้ยเกินไปก็เลยเป็นตำรวจไม่ได้***ความฝันถ้าเราไม่เริ่มทำ มันก็จะเป็นความฝันตลอดไป***และในที่สุดฉันก็เลือกเรียนจิตวิทยาจนได้แล้วก็สอบได้ตามที่พ่อกับแม่ตั้งใจไว้ด้วย ***จิตวิทยาคืออะไร??จิตวิทยาเป็นวิชาที่ศึกษาพฤติกรรมโดยรวมของมนุษย์ เพื่อให้เข้าใจสาเหตุของพฤติกรรมต่างๆในอันที่จะช่วยพยากรณ์และควบคุมพฤติกรรมนั้นๆหน้าที่ของนักจิตวิทยา คือ การค้นหาสาเหตุของพฤติกรรมที่ตนกำลังศึกษาอยู่นั้นว่ามีสาเหตุมาจากปัจจัยใดบ้าง เพื่อให้เกิดความเข้าใจพฤติกรรมนั้นๆ เมื่อมีความเข้าใจในสาเหตุของพฤติกรรม ก็จะสามารถนำไปสู่การคาดการณ์ การควบคุมและการพัฒนาไม่ให้เกิดพฤติกรรมนั้นๆ ตามความเหมาะสม รวมทั้งแนวทางที่จะพัฒนาตนเองได้ดีที่สุดเพื่อให้เกิดความเข้าใจถึงความสัมพันธ์ระหว่างผู้คนแวดล้อมในครอบครัวสถาบันการศึกษาที่ทำงานสังคม รู้เท่าทันความเปลี่ยนแปลงทุกรูปแบบและสามารถบริหารจัดการกับความเปลี่ยนแปลงได้
นางสาวประภัสสร สุพรรหัส 52010517023ระบบ ปกติประวัติชื่อนางสาวประภัสสร สุพร ประภัสสร พ่อเป็นคนตั้งให้ซึ่งหมายถึง แสงจากดวงอาทิตย์ แล้วตอนแรกพ่อตั้งชื่อเล่นให้ที่มาจากความหมายของชื่อจริงว่า ชื่อแสง พอพ่อตั้งให้ชื่อนี้แม่บอกว่าไม่ชอบแม่ก็เลยตั้งชื่อเล่นให้ใหม่ว่าชื่อจ๋า เกิดวันที่ 29 ธันวาคม 2533 อยู่ บ้านเลขที่ 80 หมู่ 8 บ้านหนองไผ่ ตำบลผึ่งแดด อำเภอเมือง จังหวัดมุกดาหาร 49000 มีพี่น้อง 2 คน เป็นคนที่ 2 ตั้งแต่เล็กจนโตพ่อแม่เอาใจตั้งแต่เด็กๆเพราะเป็นลูกคนเล็กอยากได้อะไรก็ต้องได้ ถ้าไม่ดังใจก็จะโกรธให้คนในบ้าน โตมาเลยทำให้เป็นคนที่เอาแต่ใจตัวเองไม่ฟังเหตุผลของใครต้องได้ดังใจทุกอย่าง เป็นคนที่โกรธง่ายหายเร็ว ขี้งอน ไม่ชอบง้อใคร ใครจะเป็นยังไงไม่สนไม่ใส่จะถึงจะผิดจะถูกก็ไม่ง้อตอนเด็กอายุประมาณ 2-3 ขวบ ถ้าอายุประมาณนี้ก็เข้าเรียนที่ศูนย์เด็ก เพื่อนก็พากันเข้าเรียนและหนูก็เป็นหนึ่งในนั้นกับเพื่อนอีกคนหนึ่งเข้าไปวันแรกไม่ค่อยรู้จักคนรู้จักใครรู้จักแต่เพื่อนอีกคนที่เล่นด้วยกันอยู่บ้านใกล้กันครูในโรงเรียนก็ไม่รู้จักตอนนั้นเรียนที่ศูนย์เด็กบ้านหนองไผ่ก็ไม่ใกล้จากบ้านไปวันแรกนั่งร้องไห้กับเพื่อนเพราะอยากกลับบ้านจนครูรำคาญแล้วเอาไปขังไว้ให้ห้องน้ำ พอวันต่อมาก็ยังเหมือนเดิมอีก พ่อกับแม่ก็มาไปส่งเข้าเรียนเหมือนเดิม วันนั้นก็ยังนั่งร้องไห้อีกเหมือนเดิมกับเพื่อนแล้วก็ด่าครูที่สอนอีกด่ามั่วไปหมดครูก็เลยตียิ่งร้องเข้าไปใหญ่เพื่อนๆที่เรียนด้วยกันพากันมุงดูสรุปวันนี้ร้องไห้แทบจะทั้งวันวันและครูก็เอาไปขังไว้ในห้องน้ำอีกเหมือนเดิม พอวันที่4ที่เข้ามาเรียนที่ศูนย์เด็กบ้านหนองไผ่ ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของการเข้าเรียนที่ศูนย์เด็กเล็กก็ว่าได้ เพราะมานี้ก็ร้องไห้เหมือนเดิมครูเอาไปขังไว้ให้ห้องน้ำ ด่าครูตามภาษาเด็กๆ แล้วยังแอบหนีกลับบ้านอีก ครูก็เลยบอกว่าไม่ไหวแล้วพอกับแม่ก็เลยไม่ให้เข้าเรียนที่ศูนย์เด็กอีกเลย รอเข้าเรียนอนุบาลหนึ่งเลย สรุปตอนนี้เพื่อนรุ่นเดียวกันเขาพากันเข้าเรียนกันแต่หนูกับเพื่อนคนหนึ่งไม่ได้เรียนนั่งเล่นอยู่บ้านเล่นด้วยกันสองคนแทบจะทุกวันเพราะเพื่อนที่อยู่แถวบ้านไปเรียนกันหมด พอตอนอายุ 4 ปี ก็เข้าเรียนอนุบาลหนึ่งที่โรงเรียนบ้านหนองไผ่ เข้าเรียนวันแรกก็ตามเคยเหมือนกับที่อยู่ศูนย์เด็กไม่มีผิด คืนนั่งร้องไห้
บางวันก็หนีกลับบ้านบ้างแต่ไม่ให้พ่อแม่เห็นไปแอบตรงโน้นบ้างตรงนี้บ้างพอถึงเวลาเพื่อนที่โรงเรียนเลิกเรียนกันเคยพากันออกมากับเพื่อนอีกคนหนึ่งและพอกับแม่ก็ยังไม่รู้ถึงปัจจุบันนี้ พอหลายวันผ่านไปก็เริ่มสนิทกับเพื่อนเริ่มเข้ากับเพื่อนได้และก็รู้จักเพื่อนเยอะแทบจะทุกคนก็เลยเลิกร้องไห้เลิกหนีกลับบ้าน พอขึ้นอนุบาลสอง ก็เรียนอยู่ที่เดิมที่โรงเรียนบ้านหนองไผ่อยู่อนุบาลรู้สึกว่าเป็นอะไรที่น่าเบื่อมากเพราะแต่ล่ะวันไม่ได้ทำอะไรมากเรียนก็ไม่ค่อยได้เรียนอะไรมากมายมีแต่เล่นกันตามภาษาเด็กๆเล่นของเล่นแล้วเล่นได้ไม่เท่าไหร่ก็พักทานข้าวตอนเที่ยวพอพักตอนเที่ยงทานข้าวเสร็จก็ได้เล่นสักพักหนึ่งก็ถึงเวลาเข้านอนเพราะตอนเด็กก็ต้องเข้านอนตอนกลางวันในตอนนี้ที่ยังเด็กๆการเข้านอนตอนกลางวันเป็นอะไรที่น่าเบื่อมากๆๆๆๆๆแต่ก็ต้องนอนเพราะครูที่สอนบังคับถ้าใครไม่นอนแกก็จะด่าๆและก็ด่าแต่พอโตขึ้นมาพอเขาไม่ให้นอนแล้วเรียนไปง่วงไปแทบจะทุกวัน พออายุ 6ปี ก็ขึ้นประถม1ก็ยังเรียนที่เดิมไม่เคยย้ายไปไหนจะถึงประถม6 อยู่ ป1ขึ้นมาจากปกติที่ไม่ค่อยได้เรียนพอขึ้นมา ป1ได้เริ่มเรียนมาขึ้น ปกติเป็นคนที่เรียนไม่เก่งอยู่แล้วทำการบ้านก็ไม่ค่อยได้พอครูสั่งแบบฝึกหัดให้ทำก็ทำไม่ได้จะดูกับเพื่อนก็ไม่ได้เพราะแต่ล่ะคนก็ต้องออกไปทำวิธีทำที่กระดานช่วงนั้นโดนครูประจำชั้นด่าแทบทุกวันเรียนอยู่ประถมก็เป็นอะไรที่น่าเบื่อเช่นกันเพราะบ้างวันเรียนคณิตศาสตร์ทั้งวันพอบ้างวันก็ให้เรียนภาษาไทยทั้งวันทั้งเช่นทั้งบ่ายเป็นโรงเรียนที่ไม่เคยมาตารางเรียนจนถึงปัจจุบันไม่รู้ว่ามีหรือยัง ทุกๆวันก็ต้องได้ถือสมุดหนังสือไปทุกวิชาเพราะไม่รู้ว่าแต่ล่ะวันครูจะสอนวิชาไหนบ้างวันให้ทำแบบฝึกหัดคณิตศาสตร์ทั้งวันทั้งเช้าทั้งบ่ายโจทย์ปัญหาการคำนวณแต่บ้างวันให้เขียนตามคำบอกให้ท่องบทร้อยแก้วร้อยกรองทั้งวันตอนเด็กเลยเป็นอะไรที่น่าเบื่อที่สุด ส่วนความใฝ่ฝันตั้งแต่เด็กๆตอนอยู่ ป.1พ่อกับแม่มักจะถามว่าโตขึ้นอยากเป็นอะไร ก็จะชอบตอบว่าหนูอยากเป็นพยาบาลโตขึ้นหนูจะเรียนพยาบาลเพราะมีน้าเป็นพยาบาลเป็นเภสัชเป็นชุดที่น้าเป็นชุดสีขาวมันสวยดีก็เลยอยากใส่บ้าง พอขึ้น ป.2 ตอนอายุ 7ปีก็เหมือนเดิมหนังสือไม่เคยอ่านพ่อกับแม่ก็ไม่เคยว่าไม่เคยสนใจว่าจะอ่านหรือไม่อ่านจนได้ใจ แต่พอมาวันหนึ่งครูให้การบ้านมาแล้วพ่อก็นั่งสอนพ่อก็ถามว่าตัวนี้คูณตัวนี้เท่ากับเท่าไหร่ในตอนนี้ท่องสูตรคูณก็ไม่ได้พ่อถามอะไรก็ตอบไม่ได้วันนั้นก็เป็นวันแรกตั้งแต่เกิดมาที่โดยพ่อตีแล้วก็นั่งร้องไห้ว่าพ่อไม่รักนับตั้งแต่วันนั้นมาหลังจากมองพ่อว่าใจดี รักเรา ตามใจทุกอย่าง กลับมองพ่ออีกแง่หนึ่งว่าพ่อน่ากลัวตามภาษาเด็กแต่พอโตขึ้นมาก็เข้าใจว่าที่แกสอนแกว่าให้ก็อยากให้ลูกเก่ง
อยากให้ได้ดีแต่ก็ยังแอบกว่านิดๆเพราะแกเป็นคนใจร้อนเวลาพ่อโกรธจะน่ากลัวมากพอเวลาดีก็ดีใจหาย พอขึ้นมา ป.3ยิ่งน่าเบื่อมากๆปกติเป็นคนที่ไม่ชอบภาษาอังกฤษที่นี้ขึ้น ป.3ครูประจำชั้นแกจบด้านภาษามาครูก็สอนแต่ภาษาอังกฤษเป็นส่วนใหญ่ พอขึ้น ป.4ค่อยสบายหน่อยเป็นอะไรที่ไม่เบื่อเลยเพราะครูประจำชั้นจบศิลปะมาเรียนส่วนมากก็วาดรูปเรียนไปก็สนุกไปไม่เครียดและตอนนั้นก็สนใจกีฬาเปตองมากๆเลยเข้าไปซ้อมกับพวกพี่ๆที่อยู่ในโรงเรียนทุกวันจนได้เป็นนักกีฬาของโรงเรียนไปแข่งที่โน้นที่นี้มากมายช่วงนั้นเลยไม่ค่อยมีเวลาให้กับการเรียนมาเท่าไหร่เพราะมัวแต่ซ้อมกีฬาบางวันก็มีโรงเรียนอื่นมาเป็นคู่ซ้อมกลับก็ห้าโมงหกโมง แล้วพอช่วงสอบเกรดออกมาเกรดตกทีนี่หลังจากนั้นพ่อเลยไม่อยากให้เล่นเปตองพอเลยให้หยุดซ้อมตอนเย็นแต่ก็ยังแอบซ้อมอยู่ทุกวันพอพ่อถามก็หาเหตุผลมาอ้างโน้นอ้างนี้เกือบทุกวัน พอขึ้น ป.5 พ่อยิ่งเริ่มเข้มงวดเรื่องการเรียนมากขึ้นพ่อจะบังคับตลอดว่ากลับมาถึงบ้านก็ต้องอ่านหนังสือก่อนไม่ให้ออกไปไหน พ่อจะบอกเสมอว่าไม่อยากให้ลำบากเหมือนพ่ออยากให้ตั้งใจเรียนเพราะตอนนั้นพ่อแม่ทำงานก่อสร้างต้องไปทำงานทุกวันเหนื่อยทุกวัน บางวันเห็นแกเหนื่อยแทบอยากจะร้องไห้สงสารพ่อแม่ต้องมาเหนื่อยเพราะต้องส่งเรียนตั้งสองคนก็เลยรู้สึกว่าเห็นใจแกตอนนั้นคิดอยู่เสมอว่าต้องเรียนให้จบแล้วโตขึ้นจะไม่ให้แกลำบากเลยช่วงนั้นตอนอยู่ ป.5ก็เลยลงเรื่องซ้อมกีฬาไว้ก่อนต้องรีบกลับบ้านต้องรู้จักแบ่งเวลามากขึ้นกลับบ้านต้องช่วยพ่อแม่ทำงานบ้านและก็มีพี่ชายช่วยทำงานบ้านแบ่งๆกันไปไม่เคยให้พ่อแม่ต้องบ่นเรื่องกวาดบ้านถูบ้าน ซักเสื้อผ้าก็ไม่ให้แกซัก เพราะแกต้องทำงานเหนื่อยมามาก ขึ้น ป.6 พ่อแม่ก็เปลี่ยนงานใหม่มาขายเสื้อผ้าแทนแต่ก็ยังเหนื่อยแก่ลำบากเหมือนเดิมแต่ก็ดีกว่าตอนที่ทำงานก่อสร้างตอนอยู่ ม.6 เป็นช่วงหนึ่งที่คิดมากที่สุดเพราะปีต่อไปจะต้องสอบเข้าเรียนต่อมัธยมต้น เลยทำให้คิดมากเครียดๆกลัวจะสอบเข้าไม่ได้ ช่วงที่สอบเข้าช่วงนั้นห้องหนึ่งเป็นห้องที่เรียนเก่งที่สุดแต่สอบเข้าได้อยู่ห้องสองก็ยังดีที่พ่อไม่ว่าอะไรแค่บอกว่าอยู่ห้องไหนไม่สำคัญมันอยู่ที่ผู้เรียนว่าจะตั้งใจเรียนมาแค่ไหน ขึ้น ม.1 เรียนที่โรงเรียนผึ่งแดดวิทยาคารอยู่ห้อง1/2วันแรกที่เข้าไปเรียนมีแต่คนแปลกหน้าไม่สนิทกับใครเลยต้องได้แยกกับเพื่อนเก่าที่เรียนอยู่ประถม สองสามวันแรกที่เข้าเรียนห้องเรียนเงียบมากๆไม่มีเสียงคุยกันเลยต่างคนต่างอยู่พอหนึ่งอาทิตย์ผ่านไปเริ่มสนิทกันมาขึ้นห้องเรียนเริ่มมีเสียงพอหลายอาทิตย์ผ่านไปไม่ต้องผู้ถึงเลยห้องเรียนยังกะตลาดสดตอนอยู่ ม.1เกรดออกมาได้น้อยมากๆ ไม่ถึง2.5เห็นเกรด
แล้วโคตรตกใจเลย พอขึ้น ม.2ก็ยังเหมือนเดิมไม่ค่อยตั้งใจเรียนเท่าไหร่ กลับบ้านไม่เคยอ่านหนังสือเล่นดูแต่ทีวี แล้วก็ซ้อมกีฬาเปตองเหมือนเดิมไม่ใช้ใจเรื่องเรียนเลยเกรดออกมาก็ออกมาแบบแย่ๆเหมือนเดิม พอขึ้น ม.3 ก็เริ่มปรับตัวเองเริ่มตั้งใจเรียนมากขึ้น(ช่วงแรกๆ)รู้จักแบ่งเวลา ซ้อมกีฬาเพราะเป็นนักกีฬาของโรงเรียนพอกลับบ้านไปก็อ่านหนังสือ แล้วก็ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ตอนอยู่ ม.3เป็นอะไรที่สนุกที่สุดและมีความตรงจำดีๆมากมาย ตอนอยู่ ม.3 มีเพื่อนสนิทมากๆไปไหนไปด้วยกันไปกินข้าวก็ไปด้วยกันนั่งเรียนก็นั่งเรียนด้วยกันเวลาติวหนังสือก็จะติวให้กันทั้งสี่คนไปด้วยกันตลอดเวลาเป็นทั้งเพื่อนทั้งที่ปรึกษาทุกอย่างไม่เคยปิดบังกัน พอช่วงจะสอบก็นัดกันอยู่บ้านคนใดคนหนึ่งติวหนังสือให้กัน พอเกรดออกมาก็เป็นที่น่าพอใจ เกรดเฉลี่ยสามจุดขึ้นหมดทุกคนแถมได้ที 1 2 3 ของห้องอีกทั้งสี่คนเลยที่ไปด้วยกันได้ที่สามสองคนภูมิใจมากๆเลยทำให้ ม.3เป็นอะไรที่มีความตรงจำดีๆมากที่สุด มาถึงเรื่องความรัก ม.3เป็นครั้งแรกที่มีความรักเข้ามา เป็นเพื่อนพี่ชายเข้ามาจีบแต่คบกันไม่ถึงเดือนก็เลิกกันแต่ก็ยังพูดคุยกันเหมือนพี่เหมือนน้องแล้วต่อมาก็คบกับเพื่อนให้ห้องที่เรียนด้วยกันคืน3/2 เป็นอะไรที่น่าขำมากๆห้องม.3/2เป็นห้องมาจีบกันภายในห้องมากที่สุด คืน7คู่ด้วยกันมันก็คืนช่วงเวลาหนึ่งที่ทำให้คิดถึงแล้วเป็นความทรงจำแต่ในที่สุดมันก็ได้เลิกกันเหมือนเดิม และมีอยู่วันหนึ่งหนูตอนเย็นก็ต้องซ้อมกีฬาเหมือนเดิมและเพื่อนอีกสามคนก็ซ้อมกีฬาและอีกก็ซ้อมร้องเพลงแล้วก็รอกลับพร้อมกันแล้ววันนั้นมีเพื่อนที่อยู่ในห้องเดียวกันมายืมรถไปบอกว่าเดี๋ยวจะเอาส่งแต่ก็ไม่เอาส่งพอ5โมงจะถึง6โมงเย็นก็โมงบอกพ่อว่าไม่รู้จะได้กลับตอนไหนเพราะเพื่อนยืมรถไปแล้วก็ยืนรอกับเพื่อนกอีกคนหนึ่งจนถึง6โมงกว่าก็เลยโทรหาเพื่อนที่เป็นผู้ชายให้ไปส่งบ้านคนที่ยืมรถไปก็ไปยืนรอที่นั้นกับเพื่อนอีกคนหนึ่งแล้วเพื่อนผู้ชายอีกสองคนยืนรอที่บ้านคนที่ยืมรถไป แล้วทีนี้พ่อออกว่าตามพ่อเห็นยืนอยู่กับผู้ชายแกไม่พอใจมากอธิบายยังไงก็ไม่ฟังนับตั้งแต่วันนั้นมาไปเรียนก็ให้กลับตรงเวลากีฬาก็ไม่ให้ซ้อมและแทบจะไม่ให้เล่นกีฬาเลยเพราะแกบอกว่ามันเสียว่าเรียนน่าจะเอาเวลาที่ซ้อมกีฬาไปอ่านหนังสือตั้งใจเรียนดีกว่า แต่ก็ยังไงด้วยความที่ชอบเล่นกีฬาเปตองมากก็เลยไปเลื่อนนัดกับอาจารย์ว่าเปลี่ยนมาซ้อมตอนพักกลางวันแล้ววันไหนจะไปแข่งกีฬาก็ไม่ได้บอกแกเลย พอขึ้น ม.4 ก็สอบเข้าที่เดิมที่โรงเรียนผึ่งแดดวิทยาคารตอนนั้นเปลี่ยนจากห้องหนึ่งมาเป็นห้องสามที่เรียนดีก็สอบเข้าได้ห้องสามและเพื่อนในห้องเรียนเก่งมากๆบบางคน4.00 3.90 ตามลำดับมีแต่คนเกรดเยอะเข้าไป
เรียนแรกกดดันมากๆเลย เพราะเป็นห้องเรียนที่ไม่มีความสามัคคีกันเลยแย่งชิงกันตลอดและแตกแยกกันตลอด ส่วนในเรื่องการเรียนก็เริ่มดีขึ้นเพราะอยู่ในห้องที่เรียนเก่งมันก็เลยต้องปรับตัวต้องกระตือรือร้นมากขึ้นเพราะตอนนี้ทางโรงก็ตั้งโครงการขึ้นมาโครงการหนึ่งคือสานฝันปั้นดาว ถ้าเกรดเฉลี่ยไม่ถึงก็จะโดนย้ายห้องเกรดเฉลี่ยที่ออกมาก็อยู่ที่สามจุดกว่าๆ และพอขึ้นมา ม.5ก็เรียนที่เดิมห้องเดิมก็ยังตั้งใจเรียนและก็ซ้อมกีฬาและก็แข่งกีฬาไปเรื่อยทั้งแข่งให้โรงเรียนและไปแข่งให้พัฒนาชุมชนประเภททีมและก็เป็นตัวแทนของจังหวัดไปแข่งที่จังหวัดอุบลอีกช่วงนั้นก็เป็นช่วงที่สนุกมากๆกีฬาก็ได้เล่นและเกรดตอนอยู่ ม.5ก็ออกมาดี 3.50ขึ้น พอขึ้น ม .6 กีฬาก็ไม่ได้เล่นเลยเพราะต้องเตรียบสอบเยอะมากๆเป็นช่วงที่เครียดมากเพราะไม่รู้จะมีที่เรียนไหม ทั้งการเรียนก็ต้องใส่ใจมากขึ้นกว่าเกรดออกมาไม่ดี พอถึงช่วงสมัครสอบก็สมัคร3ที่ คืนที่ กาฬสินธ์และก็ที่ ม.อุบล แล้วก็ที่ มมส ก็สอบติดสองที่ ติดที่กาฬสินธ์ แล้วก็ที่สารคามแต่ก็เลือกมาเรียนที่สารคาม วันมาสอบสัมภาษณ์เป็นวันที่ตื่นเต้นมากๆแล้วก็มาอยู่ปี1แรกวันที่มารายงานตัวก็ไม่รู้เรื่องอะไรเลยเพื่อนก็ไม่มี หอก็ไม่รู้จะอยู่หอไหนแต่ก็ยังดีที่มีเพื่อนคนหนึ่งที่สอบติด มมสเหมือนกันมารายงานตัวรอบเดียวกับแต่อยู่คนละคณะกันเป็นเพื่อนที่โรงเรียนเก่าแล้วก็เลยหาหออยู่ด้วยกัน มาอยู่ที่สารคามวันแรกเป็นอะไรที่ลำบากมากๆเพราะปรับตัวหลายอย่างทั้งเรื่องการอยู่ทั้งเรื่องการกินทั้งการเดินทางไปเรียนอีกมาอยู่อาทิตย์แรกนั่งร้องไห้แทบทุกวันเลยเพราะคิดถึงบ้านคิดถึงพ่อแม่เพราะอยู่ที่บ้านไม่ค่อยได้ลำบากเท่ากับมาอยู่ที่นี้อยู่ที่บ้านไปเรียนก็รถรับส่งบางวันไม่ทันรถก็พี่ไปส่ง หิวข้าวก็พี่ไปซื้อมาให้กินไม่สบายก็มีพี่และก็พ่อแม่ค่อยดูแลพาไปหาหมอแต่มาอยู่ที่นี้ไปเรียนก็ต้องไปเองหิวข้าวก็ออกไปหาซื้อกินเองไม่สบายก็ต้องดูแลตัวเองแต่นี้ก็เป็นความรู้สึกที่แย่ๆที่ได้มาอยู่ห่างไกลบ้านห่างไหลพ่อแม่ แล้ววันที่เข้าไปเรียนแรกก็ไม่ค่อยเข้าใจเพื่อนก็ยังไม่มีและก็ยังไม่สนิทกับเพื่อนด้วยต้องปรับตัวอะไรมากมาย และที่ลำบากที่สุดคืนการรับน้องเพราะปกติก็ไม่ชอบให้คนมาออกคำสั่งให้ทำโน้นทำนี่แต่ตอนนี้ก็ชินแล้วไปไหนมาไหนคนเดียวได้โดยที่ไม่ลำบาก เพื่อนก็พอรู้สักบ้าง และมาอยู่ที่นี่ก็สนุกไปอีกแบบมีที่เที่ยวที่กินเยอะแทบจะไม่อยากกลับบ้านเลยส่วนเรื่องการเรียนก็เรื่อยๆก็เรียนยากกว่าที่เรียนอยู่ ม.6 เรื่องการเรียนก็ต้องช่วยตัวเองทุกอย่างเวลาสอบก็ยิ่งยากมากถามใครไม่ได้เลยนั่งสอบก็ถามใครไม่ได้ต้องเอาตัวรอดด้วยต้นเองพึ่งใครไม่ได้ด้วยแต่เกรดเทอมแรกออกมาก็พอใช้ได้ก็ยังถือว่าดี
ประวัตินางสาวเจนจิรา แก้วเพชร รหัสนิสิต 52010517009 เมืองหญิงกล้า ผ้าไหมดี หมี่โคราช ปราสาทหิน ดินด่านเกวียน วันที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2533 ได้มีงานแต่งงานเกิดขึ้น ที่บ้านหนองยาง ตำบลหนองยาง อำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งเป็นงานแต่งงานของ นาย แจน แก้วเพชร กับ นางทุเรียนแก้วเพชร อีก 9 เดือนต่อมาในวันอาทิตย์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2533 เวลา 17.17 น. ก็ได้มีพยานรักของทั้งสองเกิดขึ้นมา คือ นางสาวเจนจิรา แก้วเพชร ซึ่งปัจจุบันก็คือดิฉันเอง......(ตอนที่เกิดมาแม่บอกว่าดิฉันตัวใหญ่สมบูรณ์ น้ำหนักตัวตั้ง.... 3700 กรัม ถือว่าเป็นเด็กที่ตัวโตมากๆเลย) เมื่อดิฉันอายุได้ 2 ขวบ แม่ก็กำลังตั้งท้องน้องอยู่ ตอนนั้นเท่าที่จำได้ดิฉันก็ตื่นเต้นมากๆ เพราะแม่บอกว่ามีน้องอยู่ในท้องแม่ แม่เลยก็ให้ดิฉันเอาหูไปแนบที่ท้องเพื่อที่จะฟังเสียงของน้อง และคุยกับน้องที่อยู่ในท้องด้วยตอนนั้นดิฉันตื่นเต้นและสนุกมีความสุขมากๆเลย........ตามประสาเด็ก ต่อมาเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2535 เป็นวันที่เลยแม่คลอดน้อง น้องของดิฉันชื่อนางสาวพัชรินทร์ แก้วเพชร ชื่อเล่นชื่อปาล์ม ปัจจุบันกำลังเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่โรงเรียน ท่าช้างราษฎร์บำรุง เมื่อดิฉันอายุ 4 ขวบ ดิฉันได้เข้าเรียนอนุบาลที่โรงเรียนบ้านหนองยาง ซึ่งเป็นโรงเรียนชั้นนำประจำชนบท ในวันแรกที่เข้ามาเรียนดิฉันร้องไห้ไม่ยอมมาเรียน ครูและแม่ก็ต่างพากันมา”โอ๋”กัน จนดิฉันยอมเข้าไปเรียนในห้องกับเพื่อนๆแต่เรื่องก็ยังไม่จบ พอครูเข้าไปไปปลอบเพื่อนคนอื่นๆ ดิฉันก็เลยแอบวิ่งหนีครูกลับบ้านไปหาแม่เพราะบ้านของดิฉันอยู่ใกล้โรงเรียนมากๆ ประมาณ 50 เมตร แต่แล้วแม่ก็นำดิฉันส่งกลับโรงเรียน แล้วแม่ก็ถามว่า “ ทำไมไม่อยากไปโรงเรียน เห็นเพื่อนคนอื่นไหมเขายังไม่กลัวเลย “ ฉันก็เลยบอกเหตุผลว่า “ ไม่อยากอยู่ห้องกับครูบุญเกื้อ แต่อยากอยู่กับครูอีกคนหนึ่ง คืออนุบาลจะมีห้อง ก. กับห้อง ข. ดิฉันอยากอยู่ห้อง ก. กับคุณครูสมเจตแม่ก็เลยเข้าใจ จึงไปบอกไปเล่าให้ครูฟัง ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะว่า เนื่องจากบ้านของดิฉันอยู่ใกล้กับโรงเรียน ก่อนที่จะมาเข้าโรงเรียนแม่มักจะพาดิฉันเข้ามาเล่นที่โรงเรียนจึงรู้จักพูดคุยกับครูสมเจต พอถึงเวลามาเข้าโรงเรียนจริงๆก็เลยคุ้นเคยกับครูสมเจต ครูบุญเกื้อท่านก็ไม่ได้ไม่ดีอะไรหรอกเพียงแต่ตอนนั้นยังเป็นเด็กรู้สึกยังไงก็ทำไปอย่างนั้น ตอนที่เรียนอยู่อนุบาลก็ไม่มีอะไรมาก ก็มีแต่....เล่น....กิน...แล้วก็นอน เวลานอนเป็นอะไรที่น่าเบื่อมากสำหรับตอนเป็นเด็ก ก็จะหยอกกัน เล่นกัน ตีกัน ตามประสาเด็ก แต่ครูสมเจตก็มีวิธีการทำให้เรานอนโดยครูจะต้องไล่ผีก่อนนอนคนละหนึ่งครั้ง คือการตีก่อนนอนนั่นเองถ้าใครยังหยอกกัน เล่นกัน ครูก็จะมาไล่ผีซ้ำอีกบางคนก็ร้อง บางคนก็ไม่กล้าร้องสะอึกสะอื้นกันไปจนหลับ....... กิจกรรมที่ร่วมในวัยเด็กเท่าที่จำได้ก็จะเป็นเต้น....ร้องเพลงดิฉันเป็นค่อนข้างกล้าแสดงออกแต่ก็ไม่ถือว่าเด่นอะไรมาก แม่บอกว่าฉันเป็นค่อนข้างมีความคิดมาแต่เด็กเพราะตอนนั้นอยู่กับแม่แล้วก็น้องแม่เล่าว่าเวลาตอนค่ำหรือตอนฝนตกดิฉันก็จะคอยดูตรวจตราว่าปิดหน้าตาหมดหรือยัง คอยบอกแม่ให้ลองน้ำตอนฝนตกโดยแม่ไม่ต้องบอก พอขึ้นชั้นม. 1 ดิฉันเรียนอยู่ที่โรงเรียนท่าช้างราษฎร์บำรุงเป็นโรงเรียนอยู่ในตัวอำเภอห่างจากบ้านดิฉันประมาณ 14 กิโลดิฉันต้องขี่มอเตอร์ไซด์ไปจอดที่อำเภอคนเดียวแล้วขึ้นรถสองแถวต่อไปโรงเรียนคนเดียวเพื่อนคนอื่นๆรุ่นเดียวกันไม่มีใครมาเรียนกับดิฉันเลยเพราะเพื่อนส่วนมากไปเรียนอยู่ที่โรงเรียนใกล้บ้านดิฉันจึงต้องมาเรียนที่โรงเรียนท่าช้างฯคนเดียวดิฉันก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงอยากมาเรียนที่นี่.....แต่รับรองเลยว่าไม่ใช่เรื่องชู้สาวแน่นอนก่อนจะตกลงมาเรียนดิฉันก็บอกและขอเล่าเหตุผลให้ท่านฟังแล้วพ่อแม่ก็ไม่ได้ห้ามอะไรท่านก็จะถามเหตุผล ดิฉันถูกสอนให้เป็นเด็กที่จะกล้าไปไหนมาไหนคนเดียว กล้าที่จะทำหรือตัดสินใจเรื่องต่างๆเองอาจเป็นเพราะดิฉันเป็นลูกคนโต ด้วยแหละ...พ่อกับแม่ค่อนข้างที่จะไว้ใจและอีกอย่างหนึ่งต้องดูแลน้อง ทำกับข้าวกินกันเองประจำกับน้องเวลาพ่อกับแม่ไปทำงาน
ตอนอยู่ม.ต้นครูที่ปรึกษาจะมี 2 ท่านชื่อครูสุธน นัยจิต (สอนภาษาไทย) และครูอัมพร นาควิจิตร(สอนคณิตศาสตร์)ในห้องมีทั้งหมด 40 คนจบม.3 นั้น 38 คน ดิฉันเป็นนักเรียนที่ค่อนข้างที่จะถูกระเบียบทั้งหัวจรดเท้าและเคยถูกยกเป็นตัวอย่างเรื่องทรงผมถูกระเบียบในสายชั้นตั้งแต่ ม.ต้นจนถึง ม.ปลายถึงแม้ว่าจะไม่มีเกียรติบัตรอะไรดิฉันก็ภูมิใจมากเพราะดิฉันก็ไม่ใช่เด็กเรียนเก่งอะไรแค่นี้ก็ภูมิใจแล้ว กิจกรรมตอนช่วง ม.ต้นก็มีบ้างอย่างเช่น ค่ายภาษาอังกฤษกับทางโรงเรียนโดยมีชาวต่างชาติพาทำกิจกรรม, ค่ายผู้บำเพ็ญประโยชน์, ค่ายจริยธรรม 2 คืน 3 วัน , ค่ายฝึกการเป็นผู้นำ ส่วนกิจกรรมในโรงเรียนก็อย่างเช่นร่วมกิจกรรมงานขลุ่ยสัมพันธ์ซึ่งทางโรงเรียนจัดเป็นประจำทุกปีโดยเป็นตัวแทนห้องกับเพื่อนอีก 4 คนไปเป่าขลุ่ยเพลงลาวเสี่ยงเทียน เป็นตัวแทนไปตอบปัญหาทางวิชาการในวันสำคัญที่แต่ละกลุ่มสาระต่างจัดรางวัลน้อยครั้งจะได้...แล้วก็เป็นตัวแทนในการแข่งขันกีฬาสี เช่นฟุตบอล ฟุตซอส ตอน ม.3 ก็มีเหตุการณ์เกิดขึ้นกับดิฉันคือมีเด็กมือบอนไม่รู้ว่ามันเป็นใครมาแกล้งปล่อยยางรถมอเตอร์ไซต์ดิฉันแบลนทั้ง 2 ล้อ คงเป็นความคึกคะนองของเด็ก ม. 2 เพราะก่อนหน้านี้ก็เคยมีรถคันอื่นโดนปล่อยยางเหมือนกัน ตอนแรกเห็นก็ตกใจแล้วก็งงมากไม่คิดว่าจะซวย...เพราะตอนนั้นก็เย็นมากไม่มีใครจะมีก็แต่ครูบ้างท่านลุงนักการบ้างคนก็เลยไปหาลุงนักการช่วยให้เติมยางรถให้...แต่ถ้าคิดไปในทางที่ดีเรื่องนี้ก็ถือว่าทำให้ดิฉันรู้จักฝึกการแก้ปัญหาตนเองก็ได้เหมือนกัน.. ต่อมาช่วง ม.ปลายตอน ม.4 ม.5 ได้ร่วมเป็นคณะกรรมการนักเรียนตอนนั้นดีใจไม่คิดว่าจะได้เป็นเพราะเคยคิดเห็นแต่พวกคนที่เก่งๆที่เขาได้เป็นและสิ่งที่ทำให้ดิฉันภูมิใจไปกว่านั้นคือมีคุณครูที่ท่านเป็นครูที่ปรึกษาของคณะกรรมการนักเรียนท่านเป็นผู้ชวนดิฉันเข้ามาร่วมทำงานกับเพื่อนคณะกรรมการคนอื่นๆคือครูท่านนี้เป็นครูที่สอนวิชาสังคมฯ ตอนดิฉันอยู่ ม.ต้นซึ่งดิฉันชอบเรียนกับท่านมากและก็ชื่นชอบท่านอยู่แล้ว แต่เพื่อนหลายๆคนไม่ชอบเรียนกับท่านเพราะท่านจะชอบชี้ให้ตอบรายบุคคลและถ้าใครคนไหนตอบไม่ได้ท่านก็จะด่าแบบเจ็บแสบแบบแอบตลกแล้วทำให้เราได้คิด....ยิ่งดิฉันโดนด่าประจำเวลาท่านถามก็จะไม่ค่อยมีใครกล้าตอบเพราะกลัวโดนด่า แต่ดิฉันก็ชอบตอบตอบแล้วแถมตอบผิดอีกและการสอนของท่านแบบนี้ก็มีเสน่ห์ที่ทำให้ดิฉันชอบเรียนและก็แอบปลื้มท่านก็ไม่รู้ว่าทำไมทั้งที่ก็ถูกด่าประจำเพื่อนก็ชอบหัวเราะเยาะประจำแต่รู้สึกว่ามีกำลังใจยังไงไม่รู้เวลาถูกด่าแล้วก็จะมีคำชมตามมาเสมอถึงแม้ว่าจะตอบผิดแต่ก็กล้าที่จะตอบและกล้าที่จะผิดในเรื่องที่ควร ตอนที่เรียนห้องดิฉันมีกันทั้งหมด 40 คนแต่จบ ม.6 จริงๆ มี 29 คนดิฉันมีกลุ่มเพื่อนกัน ห้า คน กับเพื่อนห้องทับ 1 อีกหนึ่งคนคือเพื่อนทั้งหมดเป็นเพื่อนที่เรียนด้วยกันมาตอน ม.ต้น
แต่ว่าดิฉันค่อนข้างจะสนิทเข้ากับเพื่อนทุกคนในห้องได้ดี...แต่เพื่อนในกลุ่มของดิฉันบางคนมันจะชอบแบ่งกลุ่มแบ่งพวกกันแล้วในกลุ่มก็เป็นไปกันหมดและมันก็เคยโกรธดิฉันที่ดิฉันไปนั่งเล่นกับเพื่อนกลุ่มอื่นมันไม่พูดกับดิฉันเลยทำตัวเหมือนกับเด็กเลยพวกนี้ดิฉันก็เคยพูดเรื่องนี้กับพวกมันแล้วว่า....จะมาโกรธมาเครียดทำไมเรื่องแค่นี้จะมาแบ่งพักแบ่งพวกกันทำไมและที่พูดหรือบอกพวกมันก็ไม่ใช่ว่าตัวเองดีหรือว่ามีความคิดกว่าพวกเพื่อนหรอกแต่มันเป็นอย่างนี้บ่อยจนดิฉันเคยร้องไห้เพราะน้อยใจพวกเพื่อนแต่ก็ไม่เคยบอกพวกมัน ดิฉันจะมาเล่ามาปรึกษาแม่มากกว่าและแม่ก็จะมีวิธีการบอกการสอนการยกตัวอย่างให้ดิฉันได้เข้าใจทั้งเพื่อน...เข้าใจทั้งตัวเอง บางครั้งแม่จะทำตัวเป็นทั้งเพื่อนและเป็นทั้งแม่สงสัยแม่คงไม่อยากทำให้เราเกิดช่องว่างระหว่างวัยให้น้อยเพื่อที่จะทำให้เรารู้สึกว่าแม่เข้าใจเราจริงๆเวลามีเรื่องอะไรแม่จะได้รู้และช่วยแก้ไขได้ก่อนคนอื่น แต่ดิฉันกับพวกเพื่อนๆเราก็ไม่ได้เลิกคบกับและลึกๆก็ห่วงก็ช่วยเหลือกันนั้นแหละมันก็ไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้นคงเป็นเพราะดิฉันคิดมากเอง...เพื่อนมันก็แค่งอนถ้าเราปรับความเข้าใจมันก็ไม่มีปัญหาอะไรสรุปว่าก็เป็นเรื่องธรรมดาที่คนเราคบไม่ว่าจะเป็นกลุ่มเพื่อนหรือกลุ่มไหนๆก็ต้องมีแบบนี้กันทั้งนั้นเพียงแค่เราจะมีวิธีทำยังไงให้เราได้เข้าใจกันและการทำให้เกิดทุกข์น้อยที่สุด (จะว่าไปก็คิดถึงพวกมันเหมือนกันนะเนี๊ย.....) ตอนอยู่ชั้น ม.ปลายครูที่ปรึกษาจะมี 2 ท่าน คือครูวินัย ทองภูบาล และครูพจนีย์ สวยปาน กิจกรรมในตอนนั้นเช่นกิจกรรมชุมนุมรักษาดินแดน (รด.)เรียนตั้งแต่ ม.4 – ม.6 จนจบ รด.ปี 3และต้องไปเข้าค่ายฝึกอีก 12 วัน พอขึ้นปี 2 และปี 3 ต้องเข้าฝึกภาคสนามอีก 5 วัน ตอนปี 1- 2 เข้าค่ายฝึก 12 วันเข้าที่โรงเรียนโชคชัยสามัคคี ส่วนตอนปี 3 ฝึกที่โรงเรียนปักธงชัยประชานิรมิต สำหรับชุดครูฝึกที่มาฝึกเป็นชุดครูฝึกจาก มทบ.ที่ 21 ยิ่งตอนฝึกภาคสนาม 5 วัน ไปฝึกที่อำเภอวังน้ำเขียวที่เขากุดรัง 5 วันน้ำไม่อาบ 5 วันไม่เคยขี้ คือสถานการณ์มันบังคับเน๊าะไม่ว่ากัน... ประโยชน์ของการเรียน รด. ที่เห็นได้ชัดเลยก็อย่างเช่น ฝึกความอดทน ฝึกการเสียสละ ฝึกการเป็นผู้นำ ฝึกความรับผิดชอบ ฯลฯ ดิฉันเองก็สามารถนำประสบการณ์ที่ได้จากการเรียนหรือฝึก รด.นี้มาประยุกต์ใช้ได้ดีมากๆในปัจจุบันแล้วก็คิดว่าเพื่อนที่เรียนก็คงจะเหมือนกับดิฉัน กิจกรรมงานขลุ่ยสัมพันธ์ตอนได้ร่วมแข่งขันกับเพื่อนอีก 4 วันสุนทรภู่ เป็นต้น รางวัลน้อยครั้งที่จะได้กับเขาแต่ก็ไม่ได้เสียใจอะไรเพราะอย่างน้อยๆเราก็ได้เข้าร่วม...เน๊าะ ตอนเรียนถ้าจะถามว่าเคยโด่เรียนมั๊ย..ก็มีเหมือนกันบ่อยมากช่วง ม.6 เทอม 2 แต่ก็ไม่เคยโด่เรียนคนเดียวหรอกถ้าจะโด่ก็สามัคคีหาเรื่องโด่เรียนกันหมดห้องเพราตอนนั้นขอสารภาพตามตรงไม่ได้คนเป่าขลุ่ยตอนนั้นเป่าเพลงสาวตรึมพากันดีใจมากที่ห้องเราได้รางวัลแถมยังเป็นรางวัลชนะเลิศของ ม.ปลาย (นานๆห้องห้องจะมีชื่อเสียงกับเขาสักที) แล้วก็ได้ร่วมเป็นตัวแทนไปแข่งขันฟุตซอลในระดับเขตพื้นที่การศึกษารุ่นอายุ 16- 18 ปี เป็นตัวแทนห้องไปแข่งขันพูดทอล์คโชว์วันยาเสพติดโลกได้รองชนะเลิศอันดับ 1 อันนี้ภูมิใจมากเพราะต้องไปแข่งกับห้องเก่งๆทั้งโรงเรียนซึ่งเราประสบการณ์ก็ไม่มีเหมือนกับพวกเขาได้แค่นั้นก็ดีใจมากๆ และกิจกรรมที่เป็นที่ฮือฮาไปกว่านั้นในวันคริตสมาสดิฉันได้มีโอกาสร้องเพลงสากลคู่กับน้องสาว และเป็นครั้งแรกของดิฉันที่ได้ร้องเพลงโชว์ที่โรงเรียน แล้วก็จะเป็นกิจกรรการตอบปัญหาเนื่องในวันสำคัญต่างๆที่ทางโรงเรียนจัดขึ้นก็เช่นวันแม่ วันพ่อ ฯลฯตอนนั้นไม่ได้คิดเรื่องขึ้นเรียนเท่าไรพากันเขียนแต่...เฟรนชิฟ..ครูท่านก็คงเข้าใจแหละแต่ครูบางท่านก็ด่าก็บ่นบ้างก็มี เพราะท่านสอนไม่ทัน..ก็เลยอารมณ์เสีย...อิ..อิ แต่ก่อนหน้านี้ก็จะพากันปวดหัวกันเรื่องหาที่เรียนกันมากๆ เพื่อนบ้างคนก็สับสนว่าตัวเองใช่หรือว่าเหมาะกับสิ่งไหนรวมถึงตัวของดิฉันด้วย จนทำให้ดิฉันต้องเข้าไปคุยกับครูแนะแนวบ่อยๆเพื่อที่จะปรึกษาและได้ช่วยแนะนำให้
ตอนนั้นมหาวิทยาลัยมหาสารคามเป็นสถาบันแรกที่ดิฉันได้สมัครเรียนดิฉันสมัครเรียนทั้งหมด 3 สถาบันคือที่ ม.ราชภัฎนครราชสีมา ม. เทคโนโลยีราชมงคลอีสานและม.สารคามวันส่งใบสมัครของ ม.สารคามดิฉันเกือบไม่ได้ส่งเพราะวันนั้นดิฉันไปเข้าค่ายฝึก รด.ที่โชคชัยฯ 12 วัน เพื่อนก็เลยโทรมาถามว่าจะส่งไหม...แล้วจะส่งยังไง ก็เลยต้องโทรหาแม่ให้ช่วยหาใบสมัครให้พอดีแม่เพิ่งเลิกจากงานมาพอดี แม่ของดิฉันทำงานโรงงานคะ ท่านกลับมาท่านก็เหนื่อยกว่าท่านจะหาเจอก็เกือบเป็นชั่วโมงเพราะในตู้ดิฉันก็มีแต่เอกสารกระดาษในงานเยอะแยะไปหมดยากต่อการหาของแม่พอแม่หาเจอแม่ก็ต้องเอาไปส่งให้ดิฉันอีกถ้าแม่ไม่อยู่บ้านดิฉันคงไม่ได้ส่งใบสมัครและคงไม่ได้เรียนเพราะครูแนะแนวท่านต้องส่งใบสมัครก่อนเที่ยง ในวันมาสอบสัมภาษณ์โรงเรียนเรามีคนมีรายชื่อมาสอบสัมภาษณ์กันทั้งหมด 13 คนต่างคนก็ต่างคณะต่างสาขากันไปพวกเราก็เลยรวมตัวกันคุยกันว่าจะมายังไงก็เลยลงมติว่าจะเหมารถตู้พวกเราเอาเดินทางตอน ตีสามก่อนจะขึ้นรถพวกเราก็พากันไปพึ่งสิ่งศักดิ์คือนัดรวมตัวกันที่หน้าอำเภอและหน้าอำเภอก็จะมีอนุสาวรีย์ของย่าโมเราก็เลยพากันไปอธิฐานขอพรจากท่าน จากนั้นก็ออกเดินทางใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมงกว่าๆพอใกล้จะถึงต่างพากันตื้นเต้นกันยกใหญ่ยิ่งดิฉันมีสอบที่ ม.เก่าคนเดียวยิ่งตื้นเต้นและรู้สึกยังไงแบบบอกไม่ถูกไหนจะไม่มีเพื่อนและไม่รู้จักใครเลยรุ่นพี่ที่โรงเรียนก็ไม่มีใครมาเรียนที่นี่ก้าวแรกที่ก้าวเข้าไปรู้สึกอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก พอไปเจอเพื่อนที่มาสอบสัมภาษณ์ดิฉันรู้สึกเหมือนตัวเองไม่มีใครเลยและแอบหมดหวังในใจเพราะเพื่อนที่มาต่างก็มีแต่คนมาความสามารถและพูดเก่งกันทั้งนั้นดิฉันนั่งเหมือนคนไม่ได้เอาปากมายังไงยังงัน...ปกติดิฉันเป็นคนพูดค่อยข้างเก่งเหมือนกันที่โรงเรียนพอมาเจออย่างนี้จ๋อย...ไปเลยพอดีมีเพื่อนคนหนึ่งเขามาจากกาฬสินทร์มาคุยกับดิฉันทำให้ดิฉันแสดงศักยภาพของตัวเองในการพูดเอามาเย้..ดีใจจังจากนั้นก็นั่งคุยกันและรู้จักกัน ก่อนเข้าสัมภาษณ์ดิฉันนั่งรวบรวมสติและสมาธิหลังจากนั้นพี่เขาก็เรียกเข้าไปสอบไปทีละชุด ชุดละ 4 คน ดิฉันลำดับที่ 18 ในการเข้าสอบอ้อ...ลืมบอกไปว่าตอนมาสอบนั้นดิฉันได้ถือขลุ่ยมาด้วยเผื่อท่านอาจารย์ผู้สัมภาษณ์ท่านถามหาความสามารถ อาจารย์ที่สอบสัมภาษณ์ดิฉันคือท่านอาจารย์พัฒนานุสรณ์ แต่ตอนนั้นไม่รู้ว่าท่านชื่ออะไรรู้แค่ว่าท่านเป็นหัวหน้าภาค ถามว่าตอนนั้นตื้นเต้นไหมก็นิดหน่อย เพราะไม่รู้จะตื้นเต้นทำไมแค่เห็นเพื่อนที่มาแต่ละคนก็คิดว่าตัวเองหมดสิทธิ์ก็เลยบอกตัวเองทำให้เต็มทีเต็มความสามารถอย่าเอาความกัดดันความตื้นเต้นมาทำให้ความสามารถและกำลังใจของเราต้องลดลงแต่ถ้าถามว่าในใจลึกๆหวังไหมก็ต้องหวังเหมือนกันแหละเพราะสาขานี้เป็นสาขาที่ตั้งใจและอยากเข้ามาเรียนมากๆ
ดิฉันก็คิดว่าเพื่อนที่มาสอบเองก็หวังเหมือนกันอีกอย่างหนึ่งสาขาจิตวิทยาเท่าที่ดิฉันได้ศึกษาหาข้อมูลและจากการถามครูอาจารย์ก็ทำให้ดิฉันรู้สึกว่าตัวเองอยากที่จักสาขาวิชานี้มากขึ้นเพราะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันจึงคิดว่าตัวเองน่าจะเหมาะ ดิฉันสอบสัมภาษณ์เสร็จตอนเช้า สี่โมงกว่าๆคิดว่าตัวเองไม่น่าได้แต่ก็เต็มทีแต่ท่านอาจารย์ท่านก็ชมทำให้ดิฉันต้องแอบหวังและเชียร์ตังเองในใจ แล้วก็ต้องนั่งรอเพื่อนที่มาสอบด้วยกันซึ่งพวกเขาไปสอบที่ ม.ใหม่รอประมาณ บ่ายหนึ่งถึงจะได้กลับแต่ก่อนหน้านั้นก็นั่งคุยกับเพื่อนที่อยู่กาฬาสินทร์ลืมบอกไป เธอชื่อจุ๋ม เราก็แลกเบอร์โทรกันปัจจุบันจุ๋มไม่ได้มาเรียนที่นี่เธอเรียนอยู่ที่เทคโนฯกาฬาสินทร์ไม่ใช่ว่าเธอสอบไม่ติดนะ เธอนะสอบติดแต่เนื่องด้วยมีปัญหาทางบ้านทำให้ต้องเธอจึงเรียนที่กาฬาสินทร์ ไม่เป็นไรหรอกเรียนที่ไหนก็ดีและประสบความสำเร็จได้เหมือนกันมันขึ้นอยู่กับเรามากกว่าแต่ปัจจุบันเราก็ยังติดต่อกันเหมือนเดิมโทรถามสารทุกข์สุขดิบกันเสมอ กลับถึงบ้านตอน 1 ทุ่ม เช้าวันรุ่งขึ้นหลังจากวันไปสอบสัมภาษณ์ที่โรงเรียนเพื่อนในห้องก็ต่างพากันมาถามว่าเป็นยังไงคือดิฉันเป็นคนเดียวในห้องที่มาสอบที่สารคามนอกนั้นจะมีแต่เพื่อนห้อง 1 พอในตอนเที่ยงครุที่เป็นเวรประจำก็ให้นักเรียนที่ไปสอบสัมภาษณ์ได้ออกไปเล่าให้เพื่อนๆในสายชั้นฟังก็เท่ากับว่าดิฉันเป็นตัวเพื่อนๆในห้องม.6/2 เพื่อนก็บอกว่าถ้าเป็นแบบที่มึงเล่ากูว่ามึงต้องติดมันก็พากันคอยลุ้นว่าดิฉันจะติดไหม พอถึงวันประกาศผลคอมฯที่โรงเรียนก็ไม่มีเครื่องว่างเพื่อนก็เลยเข้าไปดูทางโทรศัพท์ให้ปรากฏว่ามีรายชื่อดิฉัน ดิฉันดีใจมากๆไม่นึกว่าเราจะมีรายชื่อกับเขาโรงเรียนมีคนไปสอบกัน 13 คนมีสอบติดกัน 6 คนเพราะเพื่อนที่สอบไม่ติดนั้นเขาต้องสอบข้อเขียนกันด้วยมั่งแต่ทุกคนก็คงทำกันเต็มทีนั้นแหละ สอบติด 6 คนมีคนมาเรียนคนเดียวคือดิฉันหมดโรงเรียนมีดิฉันมาเรียนคนเดียวชวนเพื่อนมามันก็ไม่มีใครมาเรียนบางคนก็บอกว่าไกลบางคนก็บอกไม่มีเพื่อนเพื่อนก็เลยชวนให้ดิฉันเรียนที่โคราชแต่โคราชไม่มีจิตวิทยาเน๊อะ..ก็ไม่เป็นไรดิฉันก็เลยตัดสินใจมาเรียนที่สารคามคนเดียวดิฉันชินแล้วแหละเพราะตอนขึ้นเรียนมัธยมดิฉันก็มาเรียนคนเดียวก็ไม่ได้เป็นปัญหาอะไรมากนักอยู่ที่ไหนก็ต้องปรับตัวทั้งนั้นแหละ พอวันจบ ม.6ซึ่งเป็นวันอาลาอาลัยที่น้องๆม.5 และทางโรงเรียนจัดให้เอาซะจนพี่ ม.6 ต่างกลั่นน้ำตาไว้กันไม่อยู่ไม่ได้เป็นงานยิ่งใหญ่แต่มันรู้สึกว่าใจหายอย่างบอกไม่ถูกเลยจริงเรื่องราวต่างๆที่ได้เกิดขึ้นตลอดระยะเวลา 6 ปี ดิฉันได้เก็บบันทึกรวบรวมไว้ในความทรงจำทั้งหมดแล้วและมันยากเกินจะลืมมันเป็นช่วงเวลาที่น่าจดจำมากช่วงหนึ่ง แต่เราทุกคนก็มีโอกาศกันมีทำหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบต่างกันเช่นกันกับดิฉันมีโอกาสได้เรียนต่อดิฉันก็จะพยายามทำหน้าที่ของดิฉันให้ดีเหมือนกัน วันที่เข้ามาอยู่ที่สารคามก็จะมีพ่อ,แม่ ,ตา,ย่า ,น้า, น้องแล้วก็เพื่อนมาส่งตอนแรกก็เฉยๆพอตอนที่พวกเขาพากันกลับเริ่มใจหายเหมือนกันเพราะยังไม่รู้จักใครสักคนเลยปัจจุบันดิฉันนางสาวเจนจิรา แก้วเพชร เป็นนิสิตชั้นปีที่ 1 สาขาจิตวิทยา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ได้รับกำลังใจจากทางบ้านเป็นอย่างดีมาถึงขนาดนี้โอกาสก็มีและประสบการณ์ บทเรียนต่างๆทั้งที่ดี ไม่ดี ที่ได้พบได้ประสบมาตลอดระยะเวลา 19 ปีคงจะทำให้ดิฉันได้คิดได้จำและสามารถที่จะนำมาใช้นำตัวให้ประสบความสำเร็จได้ในอนาคต
ประวัติส่วนตัวเกิดมา…กับธรรม อยู่…กับธรรม จนตายไป…กับธรรมหลายคนบอกว่า การใช้ชีวิตอยู่ในแต่ละวันมันยาก กว่าจะผ่านไปได้ในแต่ละวัน แต่สำหรับดิฉันกลับไม่คิดอย่างนั้นเลย เพราะนั่นมันคือธรรมดาของโลกที่ยังไงทุกคนจะต้องได้เจอเหมือนกันอยู่แล้วแค่ใครจะเจอก่อนหรือหลังเท่านั้นเอง หากเป็นเช่นนี้ก็ให้ทุกคนคิดซะว่า ชีวิตก็เหมือนโจทย์คณิตศาสตร์ที่ยังไง๊ยังไงมันก็มีคำตอบ(มีทางออก) แต่ชีวิตคนเราต้องเจอหลายวิธีกว่าเลขคณิตศาสตร์เท่านั้นเอง………………… ดิฉัน นางสาวภัสสุดา พละศูนย์ ชื่อเล่น บุ๋ม อายุ 19 ปี เกิด วันพุธ ที่ 24 เมษายน 2533 เกิดที่จังหวัดอำนาจเจริญ คาราบาว คือกลุ่มศิลปินที่ชื่นชอบมาก คติประจำใจ คือ ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ที่ความมุ่งมั่น ตั้งใจ มีพี่น้องทั้งหมด 2 คน ชื่อที่ตั้งขึ้นเองและพยายามให้เพื่อนๆเรียก คือ บุ๋ม’บาว เพราะรู้สึกว่าได้เป็นส่วนหนึ่งของวงคาราบาว บทเพลงคาราบาวสอนอะไรหลายๆอย่างให้กับดิฉัน ดิฉันได้ฟังเพลงของศิลปินกลุ่มนี้มาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก เหมือนถูกเลี้ยงมากับบทเพลงเหล่านี้ มันเลยยิ่งซึมซับมากขึ้นในทุกวันนี้ เมื่อมองย้อนไปในอดีตดิฉันรู้สึกมีความสุขยังไงบอกไม่ถูก บางครั้งก็อยากกลับไปเป็นอย่างนั้นอีก ในตอนเด็กๆดิฉันค่อนข้างจะอ่อนแอ ทำอะไรไม่ได้ก็ร้องไห้ นิสัยนี้มันติดตัวดิฉันมาถึง ม.6 เทอม 1 พอเทอม 2 ดิฉันถึงได้รู้ว่า การสอบตกบ้าง ผิดหวังบ้าง บางทีมันก็ดีเหมือนกัน สอบตกแบบไม่ร้องไห้ รู้จักปล่อยวางมากขึ้น อาจเป็นเพราะว่าการเรียนของดิฉันเคยอยู่ในระดับดีมาตลอด(จริงๆนะคะ)ตั้งแต่ ป.1 ประกาศผลสอบทีไรดิฉันได้อันดับต้นๆของห้องตลอดเลย เลยทำให้เวลาเจออะไรที่แย่กว่าก็ร้องไห้ได้ง่ายๆ ดิฉันเรียนชั้นอนุบาลถึง ป.2 อยู่ที่โรงเรียนในหมู่บ้าน ชื่อโรงเรียนบ้านคำสร้างบ่อ จากนั้นย้ายไปเรียนในตัวจังหวัด ชื่อ โรงเรียนเมืองอำนาจเจริญ เข้าไปเรียนช่วงแรกๆ ดิฉันไม่ชอบเลย รู้สึกกดดันเวลาเรียนมาก คิดว่าเพื่อนๆทุกคนต้องเก่งกันแน่ๆเลย กลัวเรียนไม่ทัน และต้องตื่นแต่เช้า ตอนนั้นกลับถึงบ้านร้องไห้ไม่ชอบ ไม่อยากเรียนที่นั่น แต่ไม่กล้าบอกให้พ่อกับแม่รู้ กลัวโดนด่า พ่อจะชอบให้ไปเจอกับสิ่งที่ลำบากจะได้รู้จักหาวิธีช่วยเหลือ แก้ไขปัญหาได้เอง บางทีพ่อก็รู้ว่าเราไม่อยากทำ ไม่ชอบ หรือกลัว พ่อก็ยิ่งจะให้ทำ อยากให้เราเจอกับสิ่งที่ไม่สมหวังบ้างจะได้เป็นภูมิคุ้มกันในเวลาที่ท้อแท้ แต่ในตอนนั้นดิฉันไม่รับรู้กับจุดประสงค์ของพ่อเลยซักนิด ความจริงแล้วที่ดิฉันรู้สึกกดดันก็เป็นเพียงเพราะว่าดิฉันอยู่กลุ่มเดียวกันกับกลุ่มเพื่อนที่เรียนเก่งเท่า
นั้นเอง แต่พออยู่ไปนานๆความรู้สึกเหล่านั้นก็หายไปรู้จักกับเพื่อนมากขึ้น มีแต่ความรู้สึกที่อยากไปโรงเรียน ถึงวันประกาศผลสอบของ ป. 3 คุณครูที่ปรึกษานัดเจอกันที่ห้องเพื่อบอกผลสอบและให้รางวัลสำหรับคนที่ได้อันดับหนึ่งของห้อง วันนั้นตื่นเต้นมากไม่รู้ผลจะออกไม่เป็นยังไง และแล้วนาทีที่ตื่นเต้นนั้นก็มาถึง ดิฉันได้อันดับที่ 4 ของห้อง ดีใจมากๆเลย คุณครูบอกว่า “เด็กใหม่เขามาแรงนะ”แล้วให้เพื่อนๆปรบมือแสดงความยินดีให้ กว่าจะเจอกับเพื่อนที่สนิทก็เกือบจะจบ ป.3 เขาชื่อ ขัตติยา เขาเพิ่งย้ายมาเรียนที่นี่ใน ป. 3 เหมือนกัน เรานั่งเรียนในห้องกันคนละแถวก่อนจะย้ายมานั่งด้วยกัน เขาวาดรูปเก่งมาก ทั้งวาดเร็วและออกมาสวยด้วย มีเพื่อนๆหลายคนมาให้เขาวาดให้เพื่อเอาไประบายสี เวลาทำให้เราสนิทกันมากขึ้น ป.4 ป.5 ป.6 ดิฉันก็เรียนมาอย่างมีความสุข (ยิ่งเล่าก็ยิ่งทำให้คิดถึงวันเก่าๆมากขึ้น) ตอนเรียนในชั้น ป.6 เพื่อนสนิทของดิฉันก็ย้ายโรงเรียน เราได้คุยกันทางโทรศัพท์เท่านั้น นานๆเราจะได้เจอกันทีแต่ความสนิทของเรายังมีอยู่เหมือนเดิม ใน ป.6 ดิฉันเหมือนได้รับการเป็นหัวหน้าห้องเลยมันเป็นอะไรที่ไม่อยากเป็นกลัวทำหน้าที่ได้ไม่ดีพอ เพราะเวลาจะทำอะไรเพื่อนที่เป็นหัวหน้าห้องจะชอบมาปรึกษาดิฉันก่อนเสมอ เวลาไปไหนเพื่อนๆผู้หญิงจะไปด้วยกันเกือบทุกคนดิฉันเลยรู้สึกว่าสนิทกับทุกคนเลย คุณครูที่ปรึกษาบอกว่าดิฉันเป็นขวัญใจของเพื่อนๆ เวลาเพื่อนเป็นอะไรมาคุณครูก็จะให้ข้าพเจ้าไปปลอบ ไปพูดด้วย ดีใจมากเลยที่ได้มีส่วนร่วมอะไรขนาดนั้น นอกจากเพื่อนผู้หญิงแล้วดิฉันมีเพื่อนสนิทที่เป็นผู้ชายอยู่คนหนึ่งชื่อ พงษ์รวี สนิทกันเพราะมันชอบเพลงแนวเดียวกัน ชอบศิลปินกลุ่มเดียวกัน ชอบคุยอะไรเหมือนๆกัน บางทีมันก็ดูไม่ใช่ผู้ชายเพราะเวลามันมีเรื่องกับเพื่อนที่นักเลงๆหน่อย มันก็ร้องไห้ เล่าเรื่องไป ร้องไปพร้อมกับโชว์แผลไปด้วย(คิดไปแล้วก็ตลกดี) แล้วเวลามันชอบใครไม่สมหวังมันก็ร้องไห้ น่าสงสารมัน ดิฉันก็ได้แค่ปลอบใจและเป็นที่ปรึกษาอย่างนี้เรื่อยไป และเพื่อนที่นั่งคู่กับดิฉันชื่อ ซาเรมา เขาสวยมาก เป็นลูกครึ่งด้วย พ่อเขาเป็นคนบังกลาเทศ นับถือศาสนาอิสลาม เวลาจะกินอะไรมันต้องระวังเพราะพวกเราชอบแกล้งเอาเนื้อหมูมาให้กินซึ่งซาเรมาบอกว่า ถ้ากินเนื้อหมูเข้าไปจะปวดหัว ก็ได้รู้ถึงวัฒนธรรมของเขามากขึ้น มันเป็นธรรมดาอยู่แล้วที่เมื่อเรียนถึงชั้นสูงสุดของโรงเรียนจะรู้สึกรักและผูกพันกับเพื่อนกับโรงเรียนมากขึ้น ยังรู้สึกว่าอยากอยู่ต่อยังไม่อยากแยกย้ายกันไปไหน เมื่อถึงวันอำลาพวกเรานัดเจอกันที่ห้อง ก่อนจะรวมตัวกันที่หอประชุม เพื่อพูดคุย รำลึกถึงอดีตเล่ากันซะแอบมีน้ำตาเล็กน้อย เราทุกคนอินกับบรรยากาศนั้นมากเหมือนยังไม่พร้อมกับการอำลารู้สึกว่ามันยังไม่ใช่ที่วันพรุ่งนี้และวันต่อๆไปเราจะไม่ได้เจอกัน ไม่ได้มาทำอะไรๆทุกวันแบบนี้อีก ในช่วงปิดเทอมเราก็ยังนัดเจอกันบ้าง พวกเราได้ที่เรียน ม.1 กันคนละที่ บางคนก็เรียนต่อที่ต่างจังหวัด ระยะทางและเวลาทำให้พวกเราค่อยๆลืมกันไป ดิฉันเข้าเรียน ม.1 ที่โรงเรียนน้ำปลีกศึกษา รู้สึกตื่นเต้นที่ได้เจอเพื่อนใหม่ โรงเรียนใหม่ ตอนม.1 ไม่ค่อยตั้งใจเรียนเลยมัวแต่สนุกกับที่ได้เจอเพื่อนใหม่ แต่ยังดีที่แม่บังคับให้เรียนพิเศษในวิชาคณิตศาสตร์ ผลการเรียนของดิฉันจึงค่อนข้าออกมาดี เพื่อนที่สนิทในม.1 จนถึงปัจจุบัน ชื่อ ไพลิน และ มณฑกานต์ เรา 3 คนอยู่บ้าน
ใกล้กันยิ่งทำให้เราสนิทกันมาก ในม.2การเรียนในรายวิชาภาษาอังกฤษเป็นอะไรที่น่าจดจำที่สุด อาจารย์ผู้สอนโหดมากจะตลกบ้างแต่แบบโหดๆ เวลาเข้าเรียน ถ้าเข้าห้องช้ากว่าอาจารย์แค่แป๊บเดียวอาจารย์ก็จะไม่ให้เข้าเรียน เวลาเรียนอาจารย์ถามใครตอบไม่ได้ ก็จะโดนดุเสียงดัง น่ากลัวมาก แล้วถ้าใครเป็นเวรประจำห้องต้องเปลี่ยนวันที่ต้องตรวจให้เรียบร้อย ที่วางชอล์ก แปลงลบกระดาน ต้องสะอาด มีอยู่วันหนึ่งที่พวกเราซวยกันทั้งห้องเพราะผ้าปูโต๊ะของที่นั่งสำหรับอาจารย์มันอยู่อย่างไม่เรียบร้อย เป็นเพราะพวกเรารีบวิ่งเข้าห้องเลยทำให้ไปโดนกับผ้าปูโต๊ะหลังจากที่กลับมาจากเรียนที่ห้องวิทยาศาสตร์ โดนทำโทษกันยกห้อง วันนั้นไม่ได้เรียนเลยแต่พวกเรากลับรู้สึกดีกว่าการไปนั่งเรียนอย่างเคร่งเครียดซะอีก อาจารย์ท่านนี้เป็นผู้ชายแต่เจ้าระเบียบมาก อาจารย์ยังเป็นผู้กำกับลูกเสือ-เนตรนารีประจำม.2 อีกด้วย ใครที่เป็นหัวหน้าหมู่และรองหัวหน้าหมู่จะต้องได้เจออาจารย์เป็นประจำเพื่อไปซ้อมใช้คำสั่งให้คล่อง ให้ชิน ซึ่งข้าพเจ้าได้เป็นรองหัวหน้าหมู่จึงต้องเจอกับอาจารย์ท่านนี้ พอรุ่นพวกเราจบไปอาจารย์ได้ย้ายไปเป็นผู้กำกับลูกเสือสามัญรุ่นใหญ่ของม.4-6 ราวกับว่าอาจารย์มาเพื่อรุ่นของพวกเราจริงๆ นักเรียนหลายๆคนชอบอาจารย์ท่านนี้มาก แท้ที่จริงแล้วอาจารย์เป็นคนใจดี ศรัทธาในธรรม อยากให้เรามีระเบียบวินัยในตัวเองเท่านั้นเอง ถึงม.3 มัธยมตอนต้นปีสุดท้าย เพื่อนๆทุกคนสนิทกันมากขึ้น ไปไหนก็ไปกัน ทำผิดกฎของโรงเรียนก็เหมือนพร้อมใจกันทำ มีความสามัคคีกันมากขึ้น พอถึงวันอำลาก็เศร้ากันไป แต่ดีที่เพื่อนๆส่วนมากเรียนต่อที่เดิม ดิฉันเรียนต่อม.4-6ที่โรงเรียนน้ำปลีกศึกษาแห่งนี้เหมือนเดิม เรียนม.4ดิฉันคิดว่าจะต้องปรับเปลี่ยนตัวเองเยอะเลย หนังสือต้องอ่านเยอะขึ้นเพิ่มเวลามากขึ้น ตอนนั้นเรียนอย่างเดียวเลย ไม่มีเวลาไปคิดอะไรอย่างอื่นเลยเหมือนมันยุ่งมาก แต่ความจริงแล้วดิฉันคิดไปเองว่าจะต้องทำตัวใหม่ ต้องอ่านๆๆมากมายอย่างนั้น แต่ตอนม.4 ชอบตัวเองมากเลยที่เป็นอย่างนั้น อ่านหนังสือไม่ง่วงเลย บางวันอ่านถึงตี 2 ยังไม่ง่วงไม่รู้เลยว่าเวลาไหนแล้วอ่านอย่างเดียว วิชาคณิตที่ไม่เข้าใจในเวลาเรียนก็เอามาอ่าน ทบทวนดูใหม่ ทำมันหลายๆรอบอยู่นั่นแหละ จนทำได้มันจะรู้สึกดียังไงบอกไม่ถูกที่ทำได้เอง สิ่งที่เป็นประโยชน์กับดิฉันมากที่เลือกเรียนแล้วไม่ผิดหวังคือ กิจกรรมนักศึกษาวิชาทหาร การเรียน การเป็นนักศึกษาวิชาทหารทำให้ดิฉันเข้มแข็งขึ้น ทั้งด้านร่างกายและจิตใจ ดิฉันชอบและจดจำคำพูดของครูฝึกได้เสมอว่า “แดดจะร้อน เหงื่อจะไหลเข้าตา ร่างกายมันเหมือนจะล้มลงแค่ไหน หากใจเราสู้เอาใจเป็นตัวกำหนดว่ายังไงก็ไหว ติดคำว่าไหวไว้ที่ใจ ยังไงกายเราก็ไหวเพราะมันอยู่ที่ใจเรา”ตอนอยู่ปี3ต้องไปฝึกภาคสนามที่ค่ายทหารกลัวผีมากเลย ที่นั่นเคยเป็นป่าช้า พอเข้าไปจริงๆโอ๊ย! โหด มันส์ ฮา มีครบทุกอารมณ์ ตอนกลางคืนไม่มีเวลาไปกลัวผีเลยชีวิตเร่งรีบมากไม่รู้อะไรเป็นอะไรวิ่งอย่างเดียว ตอนนอนหลับเร็วมากนอนแบบเน่าๆไม่ได้อาบน้ำตั้ง 2 วันเรียกรวมกันแต่ละทีเหม็นมากๆแต่ก็เป็นประสบการณ์ที่น่าจดจำ มันทำให้ดิฉันรู้ว่าความกลัวเป็นสิ่งที่เราสร้างขึ้นมาเอง เพราะฉะนั้นอย่าเพิ่งกลัวกับสิ่งที่ยังไม่ทำนะคะ ม.5 ก็ยังคงปฏิบัติเหมือนเดิมแต่มีคิดและทำเรื่องไร้สาระบ้าง เช่น วันเสาร์- อาทิตย์ก็มีนัดกับเพื่อนๆ บางทีการบ้านก็ไม่ทำเอง ถ้าเป็นวิชาที่ไม่ชอบดิฉันจะมีคำใช้ผลักดันตัวเอง คือ “ไม่ชอบสิ่งไหนยิ่งต้องเข้าไปหามัน”-“สิ่งที่ทำไม่ได้ก็ใช่ว่าจะไม่ทำ” บางครั้งดิฉันต้องเจอกับตัวเองก่อนถึงจะจำ(การสอบตก)อย่างม.5 เทอม 1 ความขี้เกียจไม่รู้มาจากไหนเอาชนะมันไม่ได้เลย เกรดก็ลดตามพฤติกรรมนั่นแหละพอรู้เกรดถึงมารู้ตัวว่าต้องปฏิบัติตัวใหม่ เริ่มใหม่(ช่วงหลังๆชอบให้อภัยตัวเองบ่อยเกินไป) พอเทอม2มุ่งมั่น ตั้งใจใหม่อีกครั้ง และแล้วเกรดก็ออกมาอย่างที่หวังไว้เกรดเพิ่มขึ้นเยอะกว่าของม.4 ซะอีก...ฮือ..ภูมิใจ ม.6 มาอีกแล้ว
พฤติกรรมที่ไม่ค่อยตั้งใจเรียน ยิ่งเป็นวิชาไหนที่พยายามทำแล้วยังทำไม่ได้ ไม่พยายามอีกเลย ปล่อยให้ไม่เข้าใจอยู่อย่างนั้นไม่ได้นำมาทบทวน ความพยายามไม่ค่อยมีเลยในตอนนั้น คิดแต่เพียงว่าอยู่กับเพื่อนๆสนุกสนานและมันก็เป็นปีสุดท้ายด้วยที่จะได้ทำแบบนี้ มีครั้งหนึ่งจดจำไม่เคยลืม วันที่สอบเก็บคะแนนวิชาเคมี สอบผ่านแต่ได้คะแนนน้อยมาก รับไม่ได้ (ก็ร้องไห้) ตอนอาจารย์บอกคะแนนมาก็แค่ซึมๆ นิ่งเพื่อวิเคราะห์พฤติกรรมตัวเอง กรรมตามทันจริงๆ พอเพื่อนเดินมาปลอบบอกว่าไม่เป็นไรนะ เอาใหม่ น้ำตาไม่รู้มันมาจากไหนไหลซะ กลั้นไว้ไม่เชียว บางครั้งการสอบตกหรือไม่ได้ตามที่หวังไว้ มันก็ดีเหมือนกันทำให้ดิฉันรู้จักเผื่ออะไรไว้บ้าง ให้รู้จักคิดว่ามันมีสองด้านสองมุมเสมอ รู้วิธีแก้ไขปัญหา และเข้าใจอะไรมากขึ้น พ่อจะบอกอยู่เสมอว่า “คนเราต้องเจอกับสิ่งที่ผิดหวังบ้าง ชีวิตจะได้มีภูมิคุ้มกันที่ดีเมื่อต้องเจอกับสิ่งที่แย่กว่า(หากสมหวังทุกอย่างอย่างที่คิด จะเอาชีวิตไปกองไว้ที่ไหน)” เวลาเพื่อนคนอื่นสอบตกก็ทำให้ดิฉันเข้าใจเขามากขึ้น ผลสอบของ ม.6 ตกลงมามากอย่างไม่น่าให้อภัยตัวเอง แต่ไม่ร้องไห้เพราะเริ่มมองโลกในมุมมองใหม่ๆคิดว่าเป็นผลของพฤติกรรมที่ไม่ตั้งใจเรียน เกรดบางตัวไม่เคยได้มาก็ได้ในม.6 นี่แหละ พอถึงเทอม2 ก็สบายหน่อย เรียนแบบสบายๆเพราะมีที่เรียนแล้วไม่เครียดมาก เกรดออกมาก็ดีเป็นไปได้อย่างไรก็ไม่รู คงเป็นเพราะเรียนแบบไม่เครียดละมั้ง ดิฉันสมัครเรียนต่อไว้ 5 ที่ มีที่นึงเป็นโควต้ารับโรงเรียนละ 5 คน ดิฉันติด1ใน5ดีใจมากเลยแต่พอไปสอบในวิชาภาษาอังกฤษ ทำไม่ค่อยได้เลย ยากมากก็เครียดนะ เพื่อนที่ไปด้วยกันก็เก่งๆกันทั้งนั้นเลยพวกเขายังไม่ติดกันซักคน(แล้วเราล่ะ จะเหลือเหรอ) ฟ้าคงดลบันดาล ‘มหาวิทยาลัยมหาสารคาม’มาให้ ดิฉันดีใจมากเลยที่ตัดสินใจเลือเรียนสาขาจิตวิทยา เพราะก่อนหน้านี้อยากเรียนอีกอย่างหนึ่งที่มันค่อนข้างจะคนละเรื่องเลย จนมาถึงม.6นี่แหละถึงได้พบสิ่งที่ใช่ที่สุด ดิฉันใฝ่ฝันอยากเป็นนักสังคมสงเคราะห์ ชอบสโลแกนของงานด้านช่วยเหลือสังคมมากที่บอกว่า “เราพร้อมสละเวลาส่วนตัวเพื่อส่วนรวมเสมอ” เมื่อเรียนจบสถานที่ที่แรกที่ดิฉันและครอบครัวอยากไป คือ ที่วัดพระบาทน้ำพุ คิดไว้ว่าถ้ามีงานทำแล้ว วันว่างจากการทำงานดิฉันและครอบครัวจะไปช่วยงาน ไปให้กำลังใจผู้ป่วยที่วัดแห่งนี้ ดิฉันภูมิใจมากที่เกิดเป็นลูกของพ่อกับแม่และเป็นน้องของพี่สาวที่แสนดี ทุกคนดูแลดิฉันเป็นอย่างดี ที่บ้านเราใช้เหตุใช้ผลเป็นส่วนใหญ่ ตามหลักศาสนาพุทธที่บอกไว้ว่า ‘เมื่อสิ่งนี้มี....สิ่งนี้จึงเกิด’ ทุกวันนี้ครอบครัวของดิฉันเรื่องสุขภาพมาเป็นที่หนึ่งเลย คำว่า ‘สารพิษ’คือคำฮิตติดปากของคนในบ้าน เพราะจะกิน จะใช้อะไรที่มีสารเคมีหน่อยก็จะมีการทักว่าสารพิษๆตลอด คำๆนี้ต้องได้ยินทุกวัน พ่อจะพูดคำนี้บ่อยที่สุด พ่อสอนให้รู้ถึงเรื่องบาปกรรม ที่บ้านเลยไม่มีใครกินเนื้อสัตว์เลย(ยกเว้นปลา) บวกกับที่แม่ชอบดูรายการที่เกี่ยวกับเวรกรรม เช่น กรรมลิขิต ละครชีวิตจริง(แสงพระธรรม) ฟ้ามีตา พ่อกับแม่จะไปวัดสวนธรรม(มูลนิธิธรรมะร่วมใจ) ที่นั่นเขาทานอาหารมังสวิรัติ อยู่อย่างพอเพียง
อาหารเป็นอาหารธรรมชาติทั้งหมดไม่มีสารอื่นเจือปน อาหารที่บ้านของดิฉันก็เป็นอาหารธรรมชาติเช่นกัน กินเข้าไปแล้วรู้สึกดีทั้งสุขภาพกายและใจ สบายทั้งกายและใจเลยทีเดียว พ่อกับแม่จะใช้หลักธรรมมาสอดแทรกเข้ากับคำสอน ซึ่งเป็นอะไรที่ดิฉันชอบอยู่แล้ว บางทีนำธรรมะมาพูดกับเพื่อนๆแทรกเข้ากับบางประโยค พวกมันสาธุตอนพูดจบทุกที บางคนก็หัวเราะเห็นเป็นเรื่องตลกซะงั้น คิดว่าซักวันเขาคงรู้เองนะ ส่วนใหญ่แล้วพ่อกับแม่จะเข้าใจดิฉัน รู้สึกดีมากเมื่อได้กลับมาที่บ้าน บ้าน คือ ที่เติมพลังที่ดีที่สุดสำหรับดิฉัน เวลาที่ท้อแท้ เหนื่อยล้า สอบตก พ่อและแม่จะให้กำลังใจเสมอ พ่อจะชอบบอกว่า “อะไรที่มันจะดียิ่งๆขึ้นไปมันก็ต้องยากอย่างนี้แหละ แต่ถ้าเราทำได้ผลลัพธ์มันก็คุ้มนะ” และให้จำไว้ว่า “ไม่มีใครพ่ายแพ้ตลอดกาล ไม่มีใครชื่นบานทุกวี่วันหรอกนะลูก” อะไรที่ดิฉันกลัวหรือคิดว่าจะทำไม่ได้ พ่อจะยิ่งบังคับให้ทำ อย่างการเรียนนักศึกษาวิชาทหารพ่อก็บอกไว้ตั้งแต่ที่ดิฉันเรียนอยู่ ป.6 บางทีบางอย่างมันก็ไม่สามารถบอกออกมาได้อย่างคำว่า รัก เพราะทุกคนรับรู้ด้วยตัวเองได้อยู่แล้ว แค่เราเข้าใจกัน มีความเชื่อใจกัน ดิฉันดีใจมากที่พ่อกับแม่เชื่อในตัวดิฉัน เวลาพ่อพูดออกแนวว่าป็นห่วง ห่วงนั้นห่วงนี้ กลัวจะเป็นอะไร ทำอะไรๆแบบวัยรุ่นเขาทำกัน แม่ก็จะบอกว่ามองดูหนังสือที่กองอยู่นั่นสิ(หนังสือธรรมะที่ดิฉันชอบอ่าน) มันคงรู้ว่าอะไรควรทำไม่ควรทำตัวอย่างก็มีให้เห็น เพราะดิฉันรู้ว่าพ่อกับแม่คิดอย่างนี้ วางใจเราเรายิ่งต้องหนักกับเรื่องพวกนี้ ต้องทำให้ท่านเห็นว่าเราเป็นอย่างที่ท่านคิดนั่นแหละ ที่ผ่านมาดิฉันไม่รู้ว่าสิ่งที่พูดไปพ่อกับแม่จะต้องมาคิดมาก ลำบากใจหรือปล่าว เพราะมีอะไรดิฉันก็เล่าให้ท่านฟังหมดแม้จะเป็นเรื่องที่ทำผิด(แต่ต้องให้ผ่านไปซัก5วันก่อน) ต่างจากเพื่อนของดิฉันที่มีอะไรเขาก็ไม่บอกผู้ปกครองก็แก้ไขเองไปก่อน เพราะเพื่อนคนนี้จึงทำให้ดิฉันคิดใหม่ว่าบางเรื่องก็ไม่ต้องบอกพ่อแม่แก้ไขเองได้ก็ทำ ไม่รู้สิถ้าได้เล่าๆให้พ่อกับแม่ฟังแล้วรู้สึกดี ความกังวลก็ลดลง ความกังวลอาจไปอยู่ที่พ่อแม่ก็ได้เนอะ ต่อไปดิฉันจะพยายามหลีกเลี่ยงไม่ให้ความหนักใจ ความกังวล ไปให้พ่อแม่ต้องหนักใจ จะพยายามแก้ไขด้วยตัวเองจะทำตามที่ท่านสอนมาและสุดท้ายจะบำเพ็ญตนให้เป็นประโยชน์รวมทั้งการปฏิบัติธรรมตามที่ท่านหวังไว้ด้วย ดังที่ท่านปัญญานันทภิกขุ บอกไว้ว่า “ชีวิตเพื่องาน งานเพื่อธรรมะ”.............. อย่าอยู่เพื่อการแสวงหา ลองอยู่เพื่อการเสียสละดูบ้าง....คุณอาจจะรู้สึกดีกับชีวิตมากขึ้น..….ไม่มีอะไรง่าย แต่ก็ไม่ยากเกินความพยายามของเรา……
ประวัติส่วนตัวชื่อ นางสาวพัชรินทร์ คัสเตศรี ชื่อเล่น เปิ้ลชื่อจริงกับชื่อเล่นนี้ทวดเป็นคนตั้งให้ค่ะ เพื่อนเรียกอี่ตาตีบวัน พุธ ที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2533 อายุ 20 ปีเกิดปี........มะเมีย........ราศีธนู.........กรุ๊ปเลือด........ โอน้ำหนัก..... 52 ส่วนสูง..... 167ที่อยู่ปัจจุบัน.......หอพักหญิงยิ่งเจริญ ม.ใหม่ภูมิลำเนาที่อยู่ 215/6 ต.วัดธาตุ อ. เมือง จ.หนองคาย 43000จบมาจากโรงเรียน..........ปทุมเทพวิทยาคาร อ. เมือง จ.หนองคายปัจจุบันศึกษาอยู่ที่.......มหาวิทยาลัยมหาสารคาม.......คณะศึกษาศาสตร์......สาขาจิตวิทยารหัสประจำตัวนิสิต.......... 52010517081ชื่อบิดา นาย บุญสวน คัสเตศรี อาชีพ ค้าขาย อายุ 41 ปีชื่อมารดา นาง รัตนา คัสเตศรี อาชีพ ค้าขาย อายุ 42 ปีเป็นลูกสาวคนโต มีน้องชายหนึ่งคน ครอบครัวมีทั้งหมดสี่คนนิสัยส่วนตัวของข้าพเจ้า........ โกรธง่ายหายยาก ไม่ชอบให้ใครมาดูถูก แล้วเกลียดพวกประเภทหน้าเนื้อใจเสือ เป็นคนจริงใจกับทุกคนที่จริงใจด้วยเป็นคนพูดเก่ง........ใครทำให้เจ็บจะเอาคืนเป็นสองเท่าแนวเพลงที่ชอบ......ลูกทุ่งชอบเพลงคืนใจให้กัน ลูกจ้างเขาสาวโรงงาน สาวท้ายซอยสาวเพชรบุรี อยากเป็นคนรัก....ไม่อยากเป็นชู้ รักนี้ไม่มีลืมความสามารถพิเศษ...........ร้องเพลงลูกทุ่ง เล่นเซปักตะกร้อได้ความใฝ่ฝัน...........นักร้องลูกทุ่ง นักจิตวิทยาอนาคต............อยากเป็นอาจารย์สอนมหาลัยคติประจำใจ..........ทำวันนี้ให้ดีที่สุดความภูมิใจ............ ดีใจที่ได้เกิดมาเป็นคนไทยงานอดิเรกชอบทำในยามว่าง............ ชอบฝึกร้องเพลง ฟังเพลง อ่านหนังสือกิจกรรมคลายเครียด............ ฟังเพลง เล่นกีฬา ขับรถเล่น วาดภาพกีฬาที่ชอบ............ ก็เล่นเป็นเกือบทุกประเภทนะ แต่ที่ชอบก็คือ วอลเล่ย์บอลเซปักตะกร้อ ว่ายน้ำ บาสเกตบอล
เพื่อนสนิท ก็ยังหาไม่เจอเท่าไหร่นะ(หายากมาก)แต่ก็พอมีนะ1 .นางสาวภาสุรีย์ อ่อนฉวี ชื่อเล่น เดียร์ เพื่อนชอบเรียก(คนนะไม่ใช่กบ)2. นางสาวสุภาพร ศรีอาราม ชื่อเล่น ตุ้ม (ศีษะเกต) 3. นางสาวนาตยา เสาแก้ว ชื่อเล่น มิ่ม (ศีษะเกต) 4. นางสาวอาติยา ไชยยศ ชื่อเล่น ดักแด้ (ร้อยเอ็ด)สถานท่องเที่ยวที่ชอบ......ทะเล.......น้ำตก.....ภูทอก พี่ที่ฉันสนิท 1. นางสาวลลิตตา ยาทองไชย ชื่อเล่น พี่อ้อม (PSY) ปี3 2. นางสาวนันทิกา ศิริศักดิ์ ชื่อเล่น พี่บิ๋ม (PSY) ปี2อาหารที่ช๊อป.....ชอบ.....ส้มตำ.....หมูกระทะ.......ไก่ย่าง...... ต้มไก่....... ข้าวผัดกุ้ง..... ต้มยำกุ้ง..... ปลาเผา........อาหารทะเล(กุ้งกับปลาหมึก)ผลไม้ที่ชอบ........ทุเรียน..... แอปเปิล.....ส้ม.......แก้วมังกร สีที่ชอบ.........สีเขียว...... สีฟ้า..... สีชมพู สัตว์ที่ชอบ...........สุนัข.........หมีโคล่า........ กระต่ายสัตว์ที่เกลียด...........งู...... แมว..... ตะขาบ..... แมงป่องดอกไม้ที่ชอบ.......กุหลาบสีขาว......มะลิมันหอมดีฉันเป็นคนหนองคายมาแต่กำเนิด แม่ฉันไม่ได้คลอดฉันอยู่ที่โรงพยาบาล....แต่คลอดฉันอยู่ที่บ้าน แม่บอกว่า.....ตอนเด็กๆ ฉันร้องไห้เก่งมาก ตอนเด็กไม่ค่อยซนหรือดื้อมาก แต่......ฉันเป็นคนพูดเก่ง ตอน....ที่เรียนประถมเพื่อนชอบให้ฉันเป็นหัวหน้าห้อง.......เป็นหัวหน้าแก๊ง ฉันชอบเล่นกีฬา คุณครูชอบให้เป็นหัวหน้าทีม ตอนเด็กฉันกลัวหมอกับเข็มฉีดยามากและปวดฟันบ่อยมากเข้าโรงพยาบาลกับคลินิกเป็นว่าเล่น ครอบครัวของฉันทำอาชีพค้าขาย พ่อของฉันเปิดร้านซ่อมรถ ฉันเป็นลูกสาวคนเดียวที่พ่อกับแม่ชอบตั้งความหวังกับฉันไว้มากมาย ฉันก็ไม่รู้ทำไมต้องคาดหวังกับฉันสูงขนาดนี้ด้วยไม่เข้าใจเลย พ่อกับแม่......ฉันเลี้ยงลูกแบบเป็นกันเอง พ่อ......ไม่ชอบให้ฉันออกบ้านกลางคืน และตั้งแต่ตอนเด็กแล้วพ่อไม่ชอบให้มีแฟน ถ้ารู้ซวยเลย ณ ปัจจุบันนี้เพื่อนผู้ชายยังไม่กล้าไปที่บ้านฉันเลย เพื่อนมันบอกว่า.........พ่อฉันดุ..........กลัวพ่อฉัน ......... ก็มีแต่เพื่อนผู้หญิงนั้นแหละที่เคยมาบ้านฉัน และฉันกับน้องชายของฉันตอนเด็กชอบทะเลาะกันบ่อยมากๆๆๆ แต่ก็แปลก
นะพอเวลามีคนมารังแกน้องฉัน ฉันก็ไปช่วยน้องทุกครั้ง น้องชายข้าใครอย่ามารังแก ไม่งั้นโดนดีแน่ๆๆ ตอนเด็กพ่อชอบเปิดเพลงให้ฟัง โดยเฉพาะ.......เพลงลูกทุ่ง จนฉันร้องได้เกือบทุกเพลงที่พ่อเปิดให้ฟัง จนถึงปัจจุบันนี้จึงทำให้ฉันชอบเพลงลูกทุ่งฟังเพลงลูกทุ่ง ฉันคิดว่ามันเพราะดีมันบ่งบอกถึงเอกลักษณ์ไทย ความเป็นไทย ฟังแล้วมีความสุขเข้าใจง่าย อย่างตอนนี้ฉันเรียนอยู่ไกลบ้าน ได้ฟังเพลงลูกทุ่งก็ทำให้คิดถึงบ้าน ถึงแม้ว่าใครจะมองว่าเพลงลูกฟังแล้วไม่เพราะฉันคิดว่าคนนั้นลืมกำพืดตนเองนะ จงจำไว้เราคือคนไทย ไม่ผิดหรอกที่จะชอบฟังเพลงแนวอื่น แต่ก็อย่ามาดูถูกเพลงไทยเพลงลูกทุ่งนะ ศิลปินที่ฉันชอบ......ตั๊กแตน ชลดา.........ฝน ธนสุนทร ชอบมากเลย ฉันชอบเกือบทุกเพลง ฉันอยากเป็นเหมือนพี่เขาทั้งสองคนบ้างจัง และทุกวันนี้ฉันก็ฝึกร้องเพลงอยู่บ้างเผื่อขึ้นไปประกวดกับเค้าได้บ้าง แต่ยังไงแล้วฉันก็ต้องเรียนให้จบปริญญาตรีจะได้มีงานทำและน่าจะต่อปริญญาโทด้วย พ่อกับแม่จะได้ภูมิใจ และอีกประการหนึ่งจะได้ใช้หนี้เขาสักที(กยศ.)เป็นหนี้แต่เด็กเลย
นางสาว หนูเอื้อง เวียงฆ้อง50010520024 ระบบพิเศษประวัติส่วนตัว ข้าพเจ้าชื่อ หนุเอื้อง เวียงฆ้อง ชื่อเล่น เอื้อง เพศหญิง เกิดวันที่ 19 มิถุนายน 2531 อาศัยอยู่บ้านเลขที่67/5 ต.น้ำคำ อ.สุวรรณภูมิ จ.ร้อยเอ็ด 45130 สูง 160 เซนติเมตร น้ำหนัก 43 กิโลกรัม ลักษณะผิวสีน้ำผึ้ง บุคลิกภาพเป็นคนตลก อัธยาศัยดี เข้ากับคนง่าย ยิ้มเก่ง ขี้เกียจ ชอบผัดวันประกันพรุ่ง นิสัยที่อยากปรับปรุงคือควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ ใจร้อน เอาแต่ใจตัวเอง โกรธง่าย มีพี่น้องทั้งหมด 3 คน ตนเป็นคนสุดท้อง พี่ชายกับพี่สาวทำงานรับราชการทั้งสองคน พ่อแม่ทำงานค้าขาย พ่อแม่ตามใจข้าพเจ้ามากเลยอยากได้อะไรท่านก็หาให้ตามกำลังท่าน ตอนเด็กๆไม่ค่อยได้ออกไปเล่นกับเพื่อนเลยคุณพ่อไม่ให้ไปให้เฝ้าหน้าร้านขายของ พ่อดุมากจนเพื่อนไม่กล้ามาเล่นด้วยที่บ้าน จะออกไปไหนก็ไม่ได้ต้องไปกับคนในครอบครัวเท่านั้น ตอนข้าพอยู่ชั้นประถมสอบได้ที่หนึ่งเกือบทุกเทอมเลย แต่พอเข้ามัธยมติดเพื่อนมากตอนม.1ก็ได้เกรด3.3อยู่นะพอเริ่มขึ้นม.2ชอบโดดเรียนออกไปเล่นข้างนอกกับเพื่อนไม่ชอบเข้าเรียนเข้าเรียนประมาณสัปดาห์ละ3วันเกเรมาก ตอนนั้นมีแฟนเยอะมากส่วนมากจะเป็นรุ่นน้อง เพื่อนในกลุ่มจะมีทุกประเภทมีทั้ง ทอม กะเทย เป็นกลุ่มที่ใหญ่มาก เพื่อนในกลุ่มบางคนก็บ้าผู้ชาย บางคนก็ชอบหาเรื่องตี ต่อย บางคนก็บ้าพนัน ปะปนกันไปกลุ่มของข้าพเจ้าได้เข้าพบฝ่ายปกครองบ่อยมากจนอาจารย์ขี้เกียจเรียกเข้าไปพบ และตอนนั้นอยู่ม. 3 ได้เป็นเชียร์ลีดเดอร์ของคณะสีซึ่งตื่นเต้นมากอยากจะถอนตัวแต่เค้าก็ไม่ให้ถอนตัวถึงเวลาเต้นประกวดก็เต้นถูกๆผิดๆสรุปผลออกมาก็ด้ำดับที่2ภูมิใจมากเลยเพราะคณะสีของข้าพเจ้าไม่ได้แชมป์อะไรเลย จนข้าพเจ้าจะจบม.3 คุณพ่อก็เลยให้ข้าพเจ้าไปเรียนต่อที่โรงเรียนสตรีศึกษา เข้าไปเรียนไก้ประมาณ3-4วันก็ได้เพื่อนสนิทเลยโดยกลุ่มของข้าพเจ้ามี 7 คน แต่ข้าพเจ้าสนิทจริงๆก็มี 2 คน คือ แอม กับ เบียร์ ก็ยังไม่ชินอยู่ดีตอน ม.4 โดดเรียนไปเล่นกับเพื่อนเก่าเป็นประจำ พอถึงม.5 เริ่มติดเพื่อนที่โรงเรียนแล้วก็เลยเลิกกลับไปหาเพื่อนเก่าแล้วก็ห่างกับเพื่อนเก่าม.3ไปเลยจนตอนนี้ไม่ได้ติดต่อกับใครเลย ตอนเรียนอยู่ที่สตรีเรียนพิเศษตลอดเลยไม่ค่อยได้พัก มาเรียนที่นี่ไม่มีแฟนเลยเท่าที่จำได้มีแค่คนเดียวเองไม่ได้เรียนที่เดียวกันหรอกเค้าเรียนที่การอาชีพเค้ามีเพื่อนเยอะมากทั้งผู้ชายและผู้หญิง เวลาเค้าชวนไปไหนก็ไม่ค่อยไปกับเค้ากรอกเพราะชอบคนละแบบกับเค้าอย่างเช่น เรื่องการกิน เรื่องเที่ยวเค้าชอบฟังเพลงลูกทุ่ง เพื่อชีวิต ดูหมอลำ แต่เราชอบฟังเพลงอินดี้หรือชอบฟังเพลงที่ร้านอาหารแนวๆก็เลยเข้ากันไม่ค่อยได้กับคนนี้คบประมาณเกือบ3ปี พอใกล้จะจบม.6 ตั้งใจจะเรียนต่อจิตวิทยาอยู่แล้วตอนสอบ ASSMISSION สอบไม่ผ่านก็เลยได้มาลงเรียนจิตวิทยาที่ มหาวิทยาลัยสารคามโดยเรียนระบบพิเศษกับเพื่อนกลุ่มเดียวกันที่เรียนอยู่สตรีศึกษาด้วยกันชื่ออั๋น โดยเราก็ผ่านการคัดเลือกทั้งสองคน เหตุที่อยากเลือกเรียนสาขานี้เพราะไม่ค่อยมีใครอยากเรียนและเป็นสาขาที่ศึกษาเกี่ยวกับมนุษย์ก็เลยทำให้ชอบและอยากเรียน ถ้ามีโอกาสก็อยากเรียนต่อปริญญาโทสาขาจิตวิทยาคลินิก เข้ามาเรียนแรกๆก็ยังไม่มีเพื่อนที่สนิทเวลาทำอะไรหรือจะไปไหนส่วนมากไปกับเพื่อนที่มาจากสตรีด้วยกันจนจะหมดเทอมที่ 1 จึงได้เพื่อนสนิทซึ่งมี 5 คน มี แอม อั๋น ปุ๋ย แพต และก็ข้าพเจ้า พวกเราสนิทกันมากเลยมีอะไรก็ช่วยเหลือกัน ไปไหนมาไหนก็ไปด้วยกัน กลุ่มของข้าพเจ้ารักสนุกชอบเที่ยวมากไปเที่ยว 3-4 วันต่อสัปดาห์ ข้าพเจ้าได้เงินจากพ่อแม่ใช้เดือนละประมาณ15000 บาทแต่ก็ไม่พอใช้ ข้าพเจ้าใช้เงินเงินเปลืองมากส่วนใหญ่หมดไปกับเสื้อผ้า การกิน หรือไม่ก็เที่ยว จนพ่อแม่บ่นเป็นประจำ ข้าพเจ้าก็อยากแก้ไขปรับปรุงตัวเองอยู่เหมือนกันแต่ทำยังไงก็แก้ไขไม่ได้สักที ตอนนี้ข้าพเจ้ามีความสุขมากเลย มีความสุขที่มีเพื่อนดีๆ มีอาจารย์ที่ดีที่สอนแต่สิ่งดีๆให้เป็นสิ่งที่น่าจดจำมาก ข้าพเจ้าก็อยู่ปี3 จะขึ้นปี4 แล้วรู้สึกสลดใจยังไงไม่รู้ไม่อยากจบเลยเพราะคิดถึงเพื่อนๆ บรรยากาศของมหาวิทยาลัยที่แสนสนุกสนาน อาจารย์ที่น่ารัก ข้าพเจ้าคิดว่าในการใช้ชีวิตในมหาวิทยาลัยเป็นอะไรที่สนุกมากมันทำให้เรามีการกระตือรือร้น ได้พบเจอคนหลายรูปแบบ ทำให้เรามีความรับผิดชอบสูง อาจารย์ก็สอนสนุก ชอบให้แง่คิด เป็นต้น สิ่งที่ข้าพเจ้าได้พบเจอมาตั้งแต่เกิดทำให้ข้าพเจ้ารู้ว่าชีวิตข้าพเจ้าโชคดีที่ได้พบแต่สิ่งดีๆ เพื่อนที่ดี อาจารย์ที่น่ารัก พ่อแม่ที่ให้โอกาสดีๆให้อภัยกับสิ่งที่เราทำพลาดเสมอ พี่ชายและพี่สาวที่รักและหวังดีกับเราตลอด ข้าพเจ้ามีความสุขที่สุดและพร้อมที่จะออกไปเผชิญกับโลกภายนอกได้อย่างเต็มที่
ประวัติส่วนตัวโดยทั่วไปของผมครับผมมีชื่ออยู่ว่า นาย ชยุติกร ศรีแสง ชื่อเล่น อ้นหมู่เลือด B ส่วนสูง 165 เซนติเมตร น้ำหนัก 50 กิโลกรัมเกิดวันที่ 6 มกราคม 2534 โทร. 08-9571-3713ที่อยู่ บ้านเลขที่ 1072 ซอย 7 ถนนเจริญเมือง ตำบลธาตุเชิงชุม อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร 47000E-mail on_555@hotmail.comHi5 http://HS4RWL.hi5.comความสามารถพิเศษ ดนตรีสากล (เบส)ความต้องการ ทุนการศึกษา(เงินที่เอาไว้ทั่วไปครับ)สีที่ชอบ ขาว เขียว ดำ ฟ้าอาหารที่ชอบ อาหารทุกชนิดที่มีคนจ่ายเงินให้ผลไม้ที่ชอบ ทุเรียน ลำไย แตงโม มะม่วง ฯลฯกิจกรรมยามว่าง เล่นคอมพิวเตอร์ เล่นเบส คุยวิทยุ(สมัครเล่น)กีฬาที่ชอบ(ดู) แข่งรถทุกชนิดความสนใจ รถแข่งทุกชนิด เกมส์(แข่งรถ สงคราม และเกมส์ที่เบาสมอง) ชอบคณิตศาสตร์ลักษณะนิสัย เป็นคนชอบความสนุก พูดเก่ง(ถึงขั้นพูดมากเลยก้อได้) ชอบมีเพื่อน เยอะๆ จบชั้นอนุบาลจาก โรงเรียนเชิงชุมราษฎร์นุกูล ต.ธาตุเชิงชุม อ.เมือง จ.สกลนครจบชั้นประถมศึกษาจาก โรงเรียนเชิงชุมราษฎร์นุกูล ต.ธาตุเชิงชุม อ.เมือง จ.สกลนครจบชั้นมัธยมศึกษาจาก โรงเรียนสกลราชวิทยานุกูล ต.ธาตุเชิงชุม อ.เมือง จ.สกลนครขณะนี้ศึกษาอยู่ที่ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม คณะศึกษาศาสตร์ สาขาจิตวิทยา ชั้นปีที 1 รหัสประจำตัวนิสิต 52010517012
สวัสดีครับ อาจารย์รังสรรค์ โฉมยา ที่เคารพ ผมชื่อนาย ชยุติกร ศรีแสงครับ ซึ่งใครเป็นคนตั้งให้ผมก็จำไม่ได้แล้วครับ ชื่อของผมแบ่งได้ 2 คำ คือคำว่า “ชยุติ”ที่แปลว่า “แสง” และคำว่า “กร” ที่แปลว่า “มือ, ผู้สร้าง” เมื่อเอามารวมกันจึงแปลว่า “ผู้สร้างแสง” ผมมีพี่1คน เป็นพี่สาว ตอนนี้เรียนที่ วิทยาลัยพยาบาลเกื้อการุณย์ ชั้นปีที่ 3 ผมเกิดที่โรงพยาบาลสกลนคร แม่บอกว่าคลอดแบบธรรมชาติทั้งสองคนเลย แม่บอกว่าตอนที่ยังเด็กน่ารักมาก แต่พอโตขึ้นก้อน่ารักเหมือนเดิม ผมเป็นคนตัวเล็กมาตั้งแต่เด็ก เมื่อตอนที่ยังเด็กผมเป็นคนที่สุขภาพไม่ค่อยจะดีเท่าไร เพราะเมื่อประมาณขวบกว่าๆ แม่บอกว่าผมได้เข้าไปนอนโรงพยาบาลเพราะว่าเป็นหอบหืด พร้อมกับยายทวดแต่น่าเสียดายที่ยายทวดไม่ได้ออกมาจากโรงพยาบาลแบบคนปกติพร้อมกับผม หลังจากที่ออกจากโรงพยาบาลมา แม่บอกว่าผมดื้อมากเลย ตอนที่ลากศพของยายทวดไปทำการฌาปนกิจ ผมก็เดินจูงศพพร้อมกับญาติๆ แต่แม่บอกให้ไปขึ้นรถ ไม่อยากให้เดิน พอถึงเวลาที่จะเผา จะมีการล้างหน้าศพและให้ลูกหลานได้ดูหน้าศพเป็นครั้งสุดท้าย แม่บอกว่าผมก็ไปดูกับเขา แม่ก็เลยได้อุ้มผมออกมา เมื่อสมัยที่เรียนชั้นอนุบาลและประถม ผมได้เรียนที่โรงเรียนเดียวกันและเป็นโรงเรียนที่แม่ผมสอนอยู่ แม่ผมสอนชั้น ป.1 แต่เมื่อตอนที่ผมเรียนชั้น ป.1 นั้นแม่ไม่ได้สอน ตอนแรกผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมแม่ไม่สอนลูกตัวเอง พอผมถามแม่ แม่ก็บอกว่า “กลัวอดไม่ได้ตอนที่ไม่เป็นดั่งใจ เดี๋ยวจะตบ” แม่ผมบอกแบบนี้เลยครับเมื่อตอนที่เรียนชั้นอนุบาล ได้เดินร่วมขบวนกีฬาสีของโรงเรียน ได้แต่งตัวแล้วก็ถือไม้คทา ชุดที่ใส่แม่เป็นคนทำเอง ตอนนี้แม่ก็เก็บไว้ที่ตู้เสื้อผ้าที่บ้าน ผมลองเอามาดูแล้วก้อนึกตลกในใจว่าตอนนั้นตัวเล็กขนาดนั้นเลยหรอ แต่จะว่าไปก้อตัวเล็กจริงๆ
เพราะอาจารย์ที่โรงเรียนเรียกว่า “หลอด” เพราะตอนนั้นตัวผมผอมมากจนเหมือนหลอดเลยครับ เมื่อตอนที่เรียนชั้น ป.1 แม่บอกว่าผมต้องเข้าโรงพยาบาลอยู่บ่อยๆเพราะไม่สบาย แม่บอกว่าเข้าทุกอาทิตย์เลย เข้าจนหมอที่ดูแลผมจำผมได้และก้อกลายเป็นหมอประจำตัวผมไปเลยครับ เพราะหลังจากนั้นเวลาที่ไม่สบายก็จะไปหาแต่หมอคนนี้ตลอด หมอคนนั้นชื่อหมอพรชัย จันทร์งามครับ ซึ่งผมก็ยังจำได้เพราะหมอชอบฉีดยาแล้วผมก็ร้องให้ครับ แล้วพอขึ้น ป.2 ผมได้เล่นกีฬาฟุตบอล ในการแข่งขันกีฬาสีของโรงเรียน ผมได้ลงไปวิ่งอยู่สักพักนึง แล้วเพื่อนกับครูก็เรียกผมออก ตอนนั้นแม่ผมหัวเราะมากเลยเพราะผมยังไม่ได้แตะลูกบอลเลย แค่วิ่งไล่บอลแล้วก็เปลี่ยนตัวออก ตอนนั้นงงเลย เพราะว่ายังไม่ได้เตะเลยก็ออกจากสนามแล้ว นึกแล้วก็ตลกดีครับ พอขึ้น ป.3 มีอยู่วันหนึ่งที่อาจารย์ให้จดงานเยอะมากครับ เต็มหน้ากระดานเลย ด้วยความที่เป็นเด็กจึงรู้สึกว่าเยอะจนคิดว่าจดไม่ได้แน่นอน เลยรีบจดให้เสร็จ แต่ด้วยความที่ผมเป็นคนที่ลายมือไม่ค่อยจะดีเท่าไร พอส่งอาจารย์ อาจารย์ก็อ่านไม่ออกเลยครับ อาจารย์ก็บอกว่าให้อ่านให้ฟัง ซึ่งตอนนั้นผมร้องให้ออกมาเลยครับ เพราะหิวข้าวมากแต่อาจารย์กลับมาบอกให้อ่านให้ฟัง อาจารย์เลยบอกว่าไปจดใหม่ คราวนี้ผมจดแบบบรรจงมาเลยครับ เพราะกลัวไม่ผ่านอีก หลังจากนั้นมาผมเลยพยายามทำให้ลายมือตัวเองดีขึ้น(ซึ่งตอนนี้กับตอนนั้นก็ไม่ค่อยต่างกันเท่ารัยเลยครับ) พอมา ป.4 ผมได้ไปเรียนที่วัดแถวบ้าน เพราะเขามีเปิดสอนวันเสาร์-อาทิตย์ แต่เรียนไปก็เหมือนไม่ได้เยนเลยครับ เพราะเดี๋ยวก็มีงานที่วัดบ้าง หยุดบ้าง ผมก็เลยไม่ค่อยได้เรียน ตอนวันสุดท้ายพระก็บอกให้พากันเก็บโต๊ะกับเก้าอี้ แต่ฝนก็ตกลงมาแล้วก็มีฟ้าแลบด้วย พระเลยบอกว่าเทวดาถ่ายรูปคนทำความดี ตอนนั้นก็ยังไม่รู้เรื่องหรอกครับก็เลยดีใจที่เทวดามาดู แต่พอถึงเวลาก็ได้ใบประกาศณียบัตร พอตอนกลับบ้านผมก็เอาให้แม่ดูเพราะอยากอวดแม่ แต่แม่ก็หัวเราะเพราะแม่ว่า ได้เรียนด้วยหรอ เห็นมีแต่
หยุด ไม่ได้เรียน ซึ่งตอนนั้นผมคิดว่า ก็จริงอย่างที่แม่พูดแล้วก็หัวเราะออกมา ตอนนั้นมีเพื่อนใหม่ที่ย้ายโรงเรียนมา เขาชื่อ ฟลุ๊ค ซึ่งเขาไม่ค่อยมีเพื่อนเพราะย้ายมา ด้วยความที่ผมดื้อ ผมก็เข้าไปคุยกับเขาจนสนิทกันเลย เขาเก่งคณิตศาสตร์แล้วความสามารถเข้าก็เยอะ เขาไว้จุกด้วย ผมถามว่าทำไมถึงไว้ เขาก็ตอบว่า ถ้าตัดเมื่อไรจะไม่สบาย ต้องรออายุถึงก่อนถึงจะทำพิธีตัดได้ตอนนี้เขาก็เรียนที่มหาวิทยาลัยมหาสารคามที่นี่แหละครับแต่ไม่รู้คณะอะไร พอขึ้น ป.5กับ ป.6 ก็เริ่มโตแล้วล่ะครับ เริ่มรู้เรื่องอะไรบ้างแล้ว ก็เริ่มชอบคณิตศาสตร์บ้างแล้ว พอถึงเวลาเรียนคณิตศาสตร์ก็จะทำแข็งกันกับ ฟลุ๊ค แข่งกันว่าใครจะเสร็จก่อนกัน ตอน ป.5 ก็ไม่ค่อยมีอะไรมากครับเพราะว่าเริ่มรู้เรื่องแล้วครับ แต่พอถึง ป.6 มันเป็นเวลาที่ต้องหาที่เรียนต่อ ผมก็สมัครที่โรงเรียนสกลราชวิทยานุกูลครับ เพราะมันใกล้บ้านดี แล้วมันก็อยู่ข้างกับโรงเรียนตอนประถมเลยครับ ผมก็ไปจับสลากครับ เพราะมันมีโควตาคนที่บ้านอยู่ในเขตในเมืองครับ ตอนนั้นลุ้นมากเลย เพราะผมได้นั่งแถวหลังๆ ก็กลัวว่าคนที่จับก่อนจะได้หมด เหลือแต่อันที่ไม่ได้ แต่แม่ผมจดไว้เลยครับว่าสลากอันที่ได้เหลือกี่อัน อันที่ไม่ได้เหลือกี่อัน ตอนที่ใกล้ถึงคิวผม ผมก็เดินไปถามแม่ว่า จะได้ใหม่ แม่บอกว่า ไปจับเลย ผมก็เลยไปจับ ตอนนั้นกลัวมากเลยครับ แต่ก็จับได้ ดีใจมากแต่ก็ทำอะไรมากไม่ได้ เพราะอายคนอื่น บรรยากาศตอนนั้นมีมากมายเลยครับ คนที่ได้ก็พากันดีใจ พ่อแม่ก็พากันดีใจกับลูก ส่วนคนที่ไม่ได้ก็ร้องให้จนพ่อแม่ต้องมาปลอบลูก บางคนถึงกับลงมาด้านล่างเวทีแล้วเป็นลมก็มีครับ ผมก็กลัวๆเหมือนกัน กลัวเป็นแบบเขา พอได้เข้าเรียนก็รู้สึกดีครับ เพราะเป็นโรงเรียนประจำจังหวัดด้วย แล้วแม่ พี่ก็เรียนที่โรงเรียนนี้ด้วย พอขึ้นมาเป็นน้องใหม่ ม.1 ก็ยังไม่รู้เรื่องอะไรเลยครับ ทำอะไรไม่ถูกเลย แต่พอดีพี่ก้อกำลังเรียนชั้น ม.3 ที่นั่นพอดี เลยถามพี่อย่างเดียวเลย พอตอนเรียนก็สนุกดีครับ แต่บางวิชาก็ไม่รู้เรื่องเลย แต่ก็ชอบเรียนคณิตศาสตร์เหมือนเดิมเลยครับ เพราะอาจารย์สอนสนุกด้วยทำให้อยากเรียน แต่เพื่อนๆพากันบอกว่าไม่รู้เรื่อง ซึ่งผมก็ไม่
เข้าใจว่าผมไม่เหมือนเพื่อนหรือว่าเพื่อนไม่เหมือนผม พอถึงเวลาที่เขาจักงานกีฬาสี ก็จะมีการซ้อมร้องเพลงเพื่อเตรียมขึ้นแสตน ก็จะซ้อมกันทุกเที่ยงเลยครับตอนแรกๆก็ดีล่ะครับ พี่เขาก็เช็คชื่อตลอดเลย ทำให้ไปใหนได้เลย เลยต้องมาซ้อมทุกวัน พอ ม.2 ก้อซ้อมเหมือนเดิมเลยครับ เพราะเขาให้ ม.1กับ ม.2 ขึ้น แต่ด้วยความที่เคยผ่านมาแล้ว เพื่อนๆกับผมก็พากันเข้าบ้างไม่เข้าบ้าง แล้วก็ไม่เป็นรัยครับ แล้วก็ได้สมัครเข้าเป็นวงโยทวาทิตของโรงเรียนด้วย ตอนนั้นก็เล่นมาตั้งแต่ประถมแล้ว ก็เล่นจนถึง ม.3 ก็ออกเพราะว่าอาจารย์ให้ออก จะได้ให้รุ่นน้องมาเล่นแทน ตอน ม.3 ก็ไม่มีอะไรมากเลยครับ ก็เรียนตามปกติ ตอน ม.4 ขึ้นมาแรกๆก็งงเลยครับ เรียนอะไรก็ไม่รู้ ไม่รู้เรื่องเลย โดยเฉพาะฟิสิกส์ กับเคมี ไม่รู้เรื่องเลยครับ แต่ก็พยายามจนผ่าน ม.4 ได้ครับ ดีใจมากเลย แล้วก็เป็น ร.ด. ด้วย ตอนปี1นี้หนักมากเลยครับ ฝึกอย่างเดียวเลย เหนื่อยมาเลยครับ แต่ก็สนุก ม.5 นี่สำคัญเลยครับ เพราะเปิดเรียนมาไม่ทันไร ก็เข้าโรงพยาบาลเลยครับ เพราะเป็นไข้เลือดออก แต่ดีที่เป็นตอนแรกครับเพราะหลังจากนั้นวิชาคณิตศาสตร์อาจารย์สอนแบบหนักเลยครับ ขยับตัวเป็นโดนตบเลย แล้วก็ตบจริงๆครับ ผมโดนครั้งนึง เพราะเขียนผม อาจารย์ให้การบ้านทุกวันครับ อาจารย์สอน 3 ห้อง ผมก็มีเพื่อนอยู่ห้องอื่นที่เรียนกับอาจารย์คนนี้แล้วเป็นห้องสายศิลป์ เขาทำไม่ค่อยได้ เขาเลยลอกผมเกือบหมดเลย การบ้านแต่ละวันกว่าจะเสร็จก็ประมาณเกือบเที่ยงคืนครับ เพราะอาจารย์ให้ทำแบบละเอียดเลย ทุกขั้นตอน ทุกบรรทัดเลย ผิด1บรรทัดก็แก้หมดเลย ผมได้แก้ประจำเลยครับ แล้วผมก็เริ่มใช้วิทยุตอนนี้ล่ะครับเพราะงานร.ด.ได้เป็นทีมสื่อสารของโรงเรียนแล้วเพื่อนเขาก็มีหมดเลย ผมก็เลยไปซื้อมาใช้แต่ตอนนั้นยังไม่ได้สอบครับ จะพกไปใหนก็ระแวงกลัวตำรวจถาม ถึงม.6แล้วครับ จะจบแล้ว ผมก็ได้ไปสอบวิทยุสื่อสารนี่แหละครับ จะได้เป็นนักวิทยุสมัครเล่นให้ถูกซะที พอถึงเวลาที่ต้องหาที่เรียนต่ออีกรอบ คราวนี้ต้องไปหลายที่เลยครับเพื่อที่จะสอบเข้าเรียนต่อทำให้ไม่ค่อยได้เรียน ตอนนั้นยังไม่รู้เลยครับว่าจะ
เรียนอะไรดี ไปที่ไหนก็ไม่ติด จนมาที่ มมส. นี่แหละครับ ดีใจมากเลย มีที่เรียนแล้ว จนมาถึงทุกวันนี้แหละครับ
อุ๊แว้..อุแว้ๆๆๆ แม่ตื่นขึ้นมาเมื่อได้ยินเสียงเด็กน้อยขี้แยคนนึงร้องไห้ลั่นโรงพยาบาล ในช่วงเวลา 23:56 น. ของวันอาทิตย์ ที่ 23 ธันวาคม 2533 เหล่าญาติพี่น้องต่างเห่อหลานสาวคนใหม่ที่พึ่งคลอดออกมาเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมา แม่กับพ่อยิ้มรับขวัญลูกด้วยความยินดี เด็กน้อยคนนี้ก็คือ “ตัวฉันเอง” ฉันเกิดมาด้วยน้ำหนัก 280 กรัม ร่างกายของฉันไม่ค่อยจะแข็งแรงสมบูรณ์นัก ตัวเหลืองซีดจนต้องอยู่ในตู้อบ แต่เสียงร้องไห้ดังไม่แพ้ใครเลยแหล่ะ ในวันต่อมาน้าชายของฉันได้ตั้งชื่อให้ตั้งเช้ามืดว่า “รัตติกาล” เพราะเมื่อคืนทั้งคืนไม่ได้เป็นอันหลับอันนอน กับเสียงร้องไห้ของฉัน พ่อกับแม่ตกลงรับชื่อ รัตติกาล ตามที่น้าชายตั้ง พร้อมให้ความหมายว่า สิ่งที่ฟ้าประธานมาให้เมื่อยามราตรีฉันจึงมีชื่อว่า เด็กหญิงรัตติกาล ตุ้มทอง ตั้งแต่นั้นมา ต่อมมาไม่กี่วัน แม่ก็ได้ตั้งชื่อให้กับฉันว่า ใบเฟริน์…..ใบเฟริน์เป็นเด็กขี้โรค ขี้แย แต่ก็ร่าเริงพูดจาแจ้วๆได้ตลอดเวลา เวลาผ่านไปซักพักใบเฟริน์ก็ได้ชื่อใหม่ว่า น้องเบลล์ ชื่อนี้พ่อกับแม่ช่วยกันตั้ง เพราะเปรียบเสมือนเสียงกระดิ่งน้อยๆของพ่อแม่ (bell = กระดิ่ง,ระฆัง) และจะได้เป็นอักษรที่คล้องจองกับชื่อเล่นของพี่สาวคนโตอีกคนคือ พี่โบว์ ซึ่งเป็นพี่สาวคนละแม่ พี่โบว์ถูกเลี้ยงดูโดยย่าและพ่อแม่บ้างครั้งคราว ส่วนฉันถูกเลี้ยงดูโดยพ่อแม่ตลอดเวลา เราสองคนจึงไม่ค่อยสนิทสนมกันเท่าไร ทั้งยังมีนิสัยที่แตกต่างกันมากๆด้วยแต่พ่อกับแม่ก็บอกเสมอว่า เราต้องรักกัน ตั้งแต่ฉันเกิดมาครอบครัวของฉัน ก็ได้ย้ายบ้านบ่อยๆเสมอ เนื่องจากพ่อของฉันได้บรรจุงานเป็นเกษตรตำบลที่ยังมีต่ำแหน่งในขั้นต่ำอยู่พร้อมทั้งมีวัยวุฒิและคุณวุฒิ อยู่ในสถานะที่เลือกสถานที่ทำงานไม่ค่อยได้นัก หลังจากฉันอายุได้ประมาณสองเดือน ฉันก็ได้ย้ายจากจังหวัดอุดรบ้านเกิดไปจังหวัดสกลนครอยู่จังหวัดสกลนครได้พักใหญ่ก็ได้ย้ายมาอยู่ที่ บ้านทรายมูล อำเภอน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น ฉันโตอยู่ที่นี้พร้อมกับธรรมชาติที่ห้อมล้อมไปด้วย คน สัตว์และธรรมชาติที่น่าอยู่ ที่บ้านพักของครอบครัวฉันมีคนเข้าออกแทบทุกวัน เพราะพ่อของฉันทำงานกับชาวบ้านโดยเฉพาะกลุ่มเยาวชน พ่อจึงเป็นคนที่พูดเก่ง และเข้ากับผู้คนได้ง่ายซึ่งฉันก็ได้ส่วนนี้มาจากพ่อ
ชาวบ้านแถบนั้นแทบจะไม่มีใครที่ไม่รู้จักฉันถ้ารู้จักพ่อของฉัน เพราะฉันเป็นคนพูดเก่งตั้งแต่เด็กถึงขั้นพูดมากเลยก็ว่าได้ แถมยังขี้อ้อนติดคนง่ายอีกด้วย จึงทำให้ฉันได้กินขนมทุกวันแต่สิ่งที่ฉันไม่กินเลยคือ นม นอกจากนมแม่ ชีวิตตอนนั้นแทบจะไม่มีวันไหนที่ฉันต้องเหงาเลย ฉันมีพี่ลิงคู่ใจอยู่ตัวหนึ่งถึงจะไม่ค่อยถูกกันเท่าไรก็เถอะ พี่ลิงชอบหาเหาที่อยู่บนหัวฉันชอบขว้างจานและร้องด่าเวลาที่โกรธแถมยังชอบแกล้งฉันอีกต่างหาก แต่ฉันก็ไม่แคร์ เพราะฉันมีพี่หมาอีก 2 ตัว ชื่อ พี่แจ็คกี้ กับ พี่จอย และยังมีพี่หนู พี่งู พี่กระรอก พี่กระต่าย พี่นกแก้ว อีกต่างหาก พูดไปมองดูคล้ายสวนสัตว์ใช่ไหมล่ะ หลายคนก็พูดเช่นนั้น แต่นี่แหละมันคือบ้านของฉัน นอกจากนี้ยังมีต้นไม้เต็มไปหมด แต่ที่ฉันรู้จักชื่อนะก็มี ต้นมะม่วง ต้นฝรั่ง ต้นชมพู ต้นน้อยหน่า และดอกไม้อะไรไม่รู้อยู่หน้าบ้าน เป็นไงล่ะพ่อของฉันบ้าวิชา ตกแต่งบ้านซะเหมือนสวนสัตว์เลย ด้วยบรรยากาศที่เป็นใจจึงทำให้ฉันมีน้องสาวอีก 1 คน ชื่อน้องบีท เมื่อน้องฉันเกิดมาพ่อกับแม่ก็ได้ออกรถกระบะคนใหม่รับน้องทันที (เห่อเอามาก) แต่เรื่องไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น...พ่อของฉันนอกใจแม่ ด้วยความที่พ่อเป็นคนที่พูดเก่ง อัธยาศัยดีและเจ้าชู้โดยนิสัยถาวร จึงทำให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น แม่พูดอยู่เสมอว่า พ่อเจ้าชู้มาแต่ไหนแต่ไร ตั้งแต่ฉันยังไม่เกิด แต่พ่อก็คือ พ่อของลูก แค่คนเดียว (จำไว้) แม่ตัดสินใจพาฉันหนีสิ่งต่างๆไปโดยวิธีฆ่าตัวตาย แม่กินยาฆ่าหญ้าที่ใต้บันไดบ้านพัก ในตอนที่พ่อออกไปทำงาน เพราะไม่อยากรับรู้อะไรอีกแล้ว แม่บอกให้ฉันดูแลน้องให้ดีที่สุด ก่อนที่แม่จะชัก ฉันตกใจมากทั้งร้องไห้ ด้วยความเป็นเด็กจึงทำอะไรไม่ถูก โชดดีที่ระหว่างนั้นพ่อกลับมาบ้านพร้อมกับกลุ่มยุวเกษตรกรอีกสองสามคน ฉันจึงวิ่งไปบอกพ่อทั้งน้ำตา พ่อตกใจมากเมื่อเจอสภาพแม่ในตอนนั้น พ่อจึงรีบอุ้มแม่ขึ้นรถไปโรงพยาบาล เป็นโชคดีที่หมอล้างท้องช่วยชีวิตแม่ของฉันไว้ทันเวลาพอดี ฉันจึงมีแม่จนถึงทุกวันนี้ เวลาผ่านไปประมาณ 2 สัปดาห์ พ่อของฉันตัดสินใจเลิกกับกิ๊กมาดูแลแม่ตามเดิม แต่ก็ใช่ว่าจะได้นาน ซักพักใหญ่พ่อก็มีกิ๊กคนใหม่ แม่ตัดสินอย่างเด็ดขาดอีกครั้ง แม่พาฉันหนีไปอยู่บ้านญาติๆ ชีวิตช่วงนั้นฉันซัดเซพเนจรไปโดยที่มองไม่เห็นจุดหมายปลายทาง ไม่รู้ซึ่งชะตากรรม แต่ข้อดีของพ่อก็คือ...แม้ว่าจะมีใครแต่คนแรกและคนสุดท้ายที่คิดถึงมีแค่ลูกกับเมีย พ่อจึงตัดสินใจตามหาแม่จนพบ และได้กลับมาอยู่ด้วยกันเช่นเดิม
หลังจากนั้นพ่อก็ทำเรื่องขอย้ายไปอยู่ บ้านบึงใคร่นุ่น อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น ซึ่งเป็นบ้านย่าของฉัน เพื่อจบสิ้นปัญหาและเริ่มต้นใหม่ ฉันไดไปเข้าโรงเรียนเป็นครั้งแรก ชื่อโรงเรียนบ้านบึงเนียมบึงใคร่นุ่น แต่เนื่องจากฉันอายุได้ 6 ขวบแล้ว จึงไดเข้าชั้นอนุบาล 2 เลยฉันเป็นเด็กดีมาตลอดตั้งใจเรียนว่านอนสอนง่าย กล้าแสดงออก ประหยัดอดออม แต่ปากจัด พวกเพื่อนๆ ของพี่สาวฉันจึงแรก น้องเบลล์ปากปลาแดก แต่ฉันก็เก่งไม่เบานะสอบได้ไม่เกินที่ 2 เลย แถมยังเป็นนักร้องประจำโรงเรียนอีกด้วย ฉันเป็นตัวแทนในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ไปแข่งกับพี่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 , ประถมศึกษาปีที่ 6 แล้วยังได้ที่ 1 กลับมาด้วย นอกจากนี้ฉันยังได้เป็นตัวแทนไปแข่ง แต่งกลอน แต่งคำขวัญ เขียนไทย คัดไทย คิดเลขเร็ว อีกต่างหาก ชีวิตด้านการเรียนกำลังสดใส ฉันกำลังติดเพื่อน ติดครู แต่ชีวิตครอบครัวของฉันก็ไม่สู้ดีนัก ย่ากับแม่ปัญหากันบ่อยๆ แม่กับพี่สาวก็มีปัญหากัน รวมทั้งตัวฉันกับพี่สาวด้วย คงเป็นเพราะว่าเราไม่ได้อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เด็กทัศนคติเลยแตกต่างกัน พอเกิดปัญหาได้พักใหญ่ พ่อของฉันจึงพาแม่ น้อง และฉันย้ายไปอยู่ที่ บ้านหนองโก อำเภอกระนวน จังหวัดขอนแก่น เพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้ง ฉันได้เจอกับประสบการณ์ใหม่ๆมากมาย ฉันย้ายไปเข้าที่โรงเรียนบ้านหนองโก ตอนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 หลายๆสิ่งทำให้ฉันได้รู้จักปรับตัวครั้งใหญ่ ฉันได้เจอกับเพื่อนใหม่ เธอชื่อ อัง เธอพูดเก่งเหมือนฉันจนทำให้ฉันได้รู้จักเพื่อนๆคนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น แนน กลอย กล้วย แพน ตุ๊กตา วิทย์ ฯลฯ ฉันเริ่มสนิทกับพวกเค้ามากขึ้นทุกวันทุกวัน และเริ่มแสดงความเป็นตัวเองออกมาจนอาจารย์เห็นแววให้ฉันไปแข่งร้องเพลง แต่ก็ได้แค่ที่ 2 กลับมา แล้วฉันก็ได้เป็นตัวแทนไปแข่งอ่านทำนองเสนาะ แต่ก็ได้แค่ที่ 4 เท่านั้น เวลาผ่านไปได้ 1 ปี ฉันขึ้นชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 พ่อก็ได้พาฉันและครอบครัวย้ายไปอยู่ที่บ้านนามูล เพื่อที่จะหารายได้เพิ่มเติมมาจุนเจือครอบครัว ที่นั่นพูดได้ว่าทุรกันดารมาก รอบด้านล้อมรอบด้วยภูเขาเต็มไปหมด ผู้คนเกือบ 100% ทำอาชีพเกษตรกรรม ทุกๆเช้ามืดก็จะเห็นผู้คนขับรถอีแต๊กขึ้นภูเขาเพื่อไปปลูกอ้อย ปลูกมัน ปลูกยางพารา และทำสวนผักผลไม้ แต่บ้านของฉันเป็นร้านขายของจำพวกน้ำมัน ยาฆ่าแมลง และสินค้าเบ็ดเตล็ด แล้วพ่อของฉันก็รับส่งนักศึกษาวิทยาลัยการอาชีพกระนวนด้วย ฉันและครอบครัวต้องตื่นตั้งแต่ตี 5 ทุกวัน เพื่อที่จะได้ทำภาระกิจในตอนเช้า แม่ทำกับข้าวรอทุกครั้งระหว่างที่ฉันและน้องแต่งตัว
หลังจากที่ทำภารกิจเสร็จ พ่อก็เริ่มเคลื่อนรถพาฉันกับน้องมารับพี่ๆนักศึกษา ที่ขึ้นรถรับส่งกับพ่อตั้งแต่ 6 โมงเช้า กว่าจะถึงโรงเรียนก็ปาเข้าไป 7 โมงครึ่ง ทุกวัน พอตอนค่ำพ่อก็ต้องมารับฉันกับน้องแล้วพาไปรับพี่ๆนักศึกษากลับบ้าน ถึงบ้านทุกวันก็ปาเข้าไป 6 โมงเย็น ทำอย่างนี้อยู่เทอมหนึ่ง พ่อกับแม่ก็ได้คุยกันเรื่องที่จะให้ฉันกับน้องย้ายโรงเรียนเพราะสงสารที่ฉันกับน้องต้องตื่นแต่เช้านั่งรถไปกับพ่อวันละหลายชั่วโมงทุกวัน ฉันกับน้องจึงได้ย้ายมาเรียนที่โรงเรียนบ้านนามูล ตอนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 เทอมที่ 2 มาอยู่ที่นี่ไม่ค่อยได้เรียนเลย ร้อยมาลัยทั้งวัน อาจารย์ก็ไม่สอน แต่ก็สนุกดีได้ปลูกดอกไม้ ทำนา ทำสวนด้วย พ่อกับแม่ทนเห็นสภาพของฉันและน้องที่ไม่ได้เรียน ไม่มีการบ้านทุกวันไม่ได้ (ไม่ได้หนังสือ) ประจวบเหมาะกับพี่ๆนักศึกษาที่ขึ้นรถรับส่งกับพ่อฉันจบพอดี พ่อก็เลยเลิกทำงานรับส่งนักศึกษา และย้ายบ้านมาอยู่ที่บ้านหนองโก อำเภอกระนวน เช่นเดิม พร้อมทั้งย้ายโรงเรียนมาเข้าโรงเรียนบ้านหนองโก ฉันและน้องดีใจมาก ฉันได้เจอเพื่อนๆของฉันอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มีเรื่องพิเศษให้ปลื้มหลายเรื่องเลยแหละ..ฉันได้เป็นตัวแทนไปแข่งพูดต่อหน้าสาธารณะชน (ภาษาอิสาน) ได้รางวัลชนะเลิศที่ 1 และไปแข่งต่อที่จังหวัดได้ที่ 2 ฉันดีใจมากที่ได้รางวัลนี้มา และต่อมาฉันก็ได้ไปแข่งยอดนักพูด ก็ได้รางวัลชนะเลิศที่ 1 เช่นกัน แต่ครั้งนี้แย่หน่อยเพราะตอนไปแข่งที่จังหวัดลืมบอกชื่อตัวเองเลยได้ที่ 4 กลับมา แต่ที่น่าปลื้มก็คือบทความที่ใช้แข่งขันในครั้งนี้ คนที่ร่างให้ก็คือพ่อของฉันเอง และยังมีครูที่ทุ่มเทแรงกาย แรงใจ เวลาให้กับการติวฉันด้วย ประสบการณ์ที่ได้มาในครั้งนี้ก็เลยดูพิเศษกว่าทุกครั้ง อีกเรื่องที่พิเศษไม่แพ้กันก็คือ ฉันได้เจอกับรักครั้งแรก ฉันแอบชอบคนหนึ่ง เค้าชื่อ เบส เค้าน่ารักมากๆในสายตาของฉัน และที่สำคัญเค้าเองก็ดูเหมือนจะรู้สึกไม่ต่างอะไรไปจากฉัน เรามีโอกาสได้อยู่ใกล้ชิดกันทุกเวรวันศุกร์ เพราะเราอยู่เวรวันเดียวกัน เรากวนกัน หยอกล้อกัน เล่นด้วยกันตามประสาแรกรักแบบเด็กๆ เพื่อนต่างล้อกันใหญ่ว่าเราชอบกัน จนวันหนึ่งมีจดหมายฉบับหนึ่งวางอยู่ใต้โต๊ะของฉัน และเมื่อฉันเปิดดูก็ได้รู้ ความรู้สึกของเค้า เค้าเขียนกลอนและคำสารภาพรักพร้อมลงชื่อในบรรทัดสุดท้ายว่า จากเบส ฉันดีใจมากที่เรามีความรู้สึกที่ตรงกัน และเราก็เขียนจดหมายรักตอบกลับกันทุกวัน มีวันหนึ่งซึ่งมันก็เป็นวันเกิดของฉัน ฉันรอของขวัญจากเค้าทั้งวัน
จนถึงตอนเลิกเรียนเค้าก็ได้เอาตุ๊กตาหมาสีขาวชมพูที่ฉันอยากได้มาให้ แล้วก็ชวนฉันไปขี่จักรยานเล่น เราคบกันจนถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 แล้วเราก็ห่างกันเรื่อย เพราะเราต้องย้ายไปอยู่คนละโรงเรียน จนในที่สุดก็เลิกติดต่อกัน ฉันสอบเข้าได้ที่โรงเรียนประจำอำเภอกระนวน ชื่อโรงเรียน ศรีกระนวนวิทยาคม ได้อยู่ห้อง 7 ตอนแรกที่ฉันดูรายชื่อ ฉันแทบรับไม่ได้ เกิดคำถามหนึ่งที่ต้องการคำตอบอย่างมาก คือทำไมเราอ่านหนังสือมาสอบแล้วเรายังโง่อยู่...ในเวลานั้นเองมีอาจารย์คนหนึ่งเดินมาบอกว่าชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ห้องคิงคือห้อง 7 ฉันดีใจมากชีวิตมัธยมเริ่มต่างจากเด็กประถมออกไปที่ละน้อย ประสบการณได้สอนให้ฉันโตขึ้น ฉันได้เจอเพื่อนใหม่อีกมากมาย ต่างคนต่างนิสัย ด้วยความที่ฉันพูดมากก็เลยมีเพื่อนเยอะหน่อย แต่มันก็มีข้อดี ข้อเสียหลายอย่าง...ข้อดีคือ ทำให้เรามีที่พึ่งและได้รู่ว่าใครที่จริงใจกับเรา จนฉันได้ค้นพบว่า เพื่อนห้องคิงมีดีที่การเรียน แต่ข้อนข้างเห็นแก่ตัว แต่เพื่อนห้องคละจะปรึกษาได้ทุกเรื่องและจริงใจมากกว่า ข้อเสียคือ แบ่งเวลาให้เพื่อนได้ไม่เท่ากัน ติดเพื่อนมากเกินไป ชีวิตมัธยมต้นก็มีความสุขตามภาษาเด็กเริ่มแตกสาว มีเรียนบ้าง มีโดดบ้าง เที่ยวบ้าง รักบ้าง ปะปนกันไป แต่พอขึ้นมัธยมศึกษาตอนปลายเป็นอะไรที่คุ้มค่ามาก ฉันได้ย้ายห้องใหม่มาอยู่ 4/8 ซึ่งเป็นห้องรองคิงฉันเสียใจมาก มันคงเป็นที่ตัวฉันเองที่สนุกมากเกินไป แต่บนความโชคร้ายก็มีความโชคดีแฝงอยู่ ฉันอยู่ห้องรองทำให้ฉันเรียนอยู่ในเกณฑ์แนวหน้า ซึ่งในขณะที่อยู่ห้องคิง ฉันเรียนอยู่ในเกณฑ์ท้ายๆ ฉันได้เจอเพื่อน ที่เป็นทั้งเพื่อนกิน เพื่อนเล่น เพื่อนเรียน พวกเค้าอยู่ห้องเดียวกับฉัน พวกเค้ามีน้ำใจ ไม่เห็นแก่ตัว แล้ววันหนึ่งฉันก็เจอกับรักครั้งใหม่ “ไอซ์” เด็กผู้ชายน่ารัก ติ๊งต๊อง และอบอุ่น เค้าเริ่มเข้ามามีความหมายในชีวิตฉัน เค้านั่งข้างหลังฉัน ตอนแรกฉันหมั่นไส้เค้าจะตายชัก คนอะไรไม่เห็นหล่อ มีสาวๆมาปริ๊งมากมาย อาจจะเป็นไปได้ว่าเค้าเป็นลูกผู้ดีมีกะตังค์ในแถบอำเภอนี้ และพึ่งย้ายมาจากโรงเรียนแก่นนครซึ่งเป็นโรงเรียนประจำจังหวัดก็เป็นได้ ความผูกพันธ์ที่เกิดในใจของฉันมันไม่รู้เลยว่าเกิดขึ้นตอนไหน รู้แค่ว่าเราสนิทสนมกันมากขึ้นทุกวัน มันมากเกินกว่าเพื่อนไปแล้ว หลายครั้งที่เค้าทำให้ฉันหวั่นไหว หลายครั้งที่ฉันก็แอบเสียใจทำไงได้ฉันห้ามใจตัวเองไม่ได้จริงๆ แต่ 1 ครั้งที่ฉันได้รักเค้ามันก็เกินพอ เพื่อนรู้เมื่อมองตาเรา 2 คนว่าคิดอะไรอยู่ แต่เรา 2 คนต่างกลัวว่าถ้า...เพื่อนรักเพื่อน แล้วจะไม่เหมือนเดิม เค้าโทรมาหาฉันหาข้ออ้างคุยกับฉันเกือบทุกวัน มานั่งกับฉัน ไปกินข้าว ไปเที่ยว ไปไหนมาไหนด้วยกันจนคนหลายคนที่ปริ๊งเค้าเข้าใจผิดว่าเราเป็นแฟนกัน ทั้งๆที่เค้าก็มีคนของเค้าซึ่งเลิกกันคบแบบพี่ชายน้องสาวอยู่แล้ว แต่...ไม่รู้สิ
และแล้วก็มาถึงวันหนึ่งที่ฉันรอคอย เราได้ไปทัศนะด้วยกันที่วัดถ้ำกระบอกและวัดพระบาทน้ำพุ เธอให้เพื่อนจัดแจงที่นั่งให้เรา 2 คน ต้องบังเอิญได้มานั่งด้วยกัน แล้วเค้าก็ได้บอกความในใจกับฉัน ฉันอึ้งมาก!!! ทุกอย่างมันเกิดขึ้นโดยที่ฉันไม่ได้ตั้งตัว เค้าถามฉันถึงความรู้สึกที่ฉันมีให้กับเค้า...ฉันตัดสินใจสารภาพความรู้สึกนั้นออกไป ความรู้สึกตอนนั้นมีทุกความรู้สึก ทั้งตื่นเต้น กลัว เขิน โล่ง แต่ฉันก็มีความสุขมากราวกับขึ้นสวรรค์ ถึงแม้จะเป็นเวลาแค่ 1 วัน ก็เป็น 1 วันที่ฉันไม่เคยลืม แต่หลังจากนั้นไม่ถึง 2 เดือน เราก็ได้เลิกกันเพราะความไม่เข้าใจกัน ฉันพยามเข้าใจว่าบางทีเรา 2 คน อาจจะเหมาะที่จะเป็นเพื่อนสนิทกันมากที่จะเป็นแฟนก็เป็นได้ แต่ฉันก็ไม่เคยลืมเค้าได้เลย จนถึงวันนี้ฉันก็ยังคิดถึงเค้าเช่นที่ผ่านมา พอฉันขึ้น มัธยมศึกษาปีที่ 5 ฉันก็ได้ย้ายไปอยู่ห้องคิงตามเดิม คือห้องมัธยมศึกษาปีที่ 5/1 แต่ก็มีปัญหาต่างๆให้ฉันต้องคิดมากเต็มไปหมด ทั้งเรื่องเรียน เรื่องรัก เรื่องครอบครัว แต่ที่หนักก็คงเป็นเรื่องครอบครัว ตอนนี้ครอบครัวของฉันอยู่ในภาวะวิกฤต ด้านความสัมพันธ์ในครอบครัว และด้านการเงิน แม่ของฉันได้ไปทำงานที่โคราชเพื่อจุนเจือครอบครัว แล้วพ่อของฉันก็มีกิ๊กไม่เคยเปลี่ยนมาเสมอ แต่คนนี้หนักหน่อย อาจเป็นเพราะว่าแม่ไม่อยู่รึว่าฉันโตแล้วก็เลยคิดมากไปหน่อย ฉันไม่พร้อม ไม่อยากจะต้องมารับรู้เรื่องราวเหล่านี้เลย ฉันถึงกับเศร้าเลยทีเดียว แต่ฉันก็มีเพื่อนๆที่ดี โดยเฉพาะ ไอ้บอล นุ่น ที่คอยปลอบและเป็นกำลังใจให้กับฉัน และเพื่อน เก่าที่ไม่เคยทิ้งฉันไปไหน ก็คือ อัง พิน แนน ชีวิตของฉันในช่วงนั้นใช้เวลาอยู่กับเพื่อน และพยามยามขวานขวายหาความอบอุ่น คนที่เข้าใจ แล้วเลิกกับทุกคนเมื่อเค้าเริ่มชอบฉัน มันเป็นวิธีที่ฉันใช้แก้แค้นผู้ชายทุกคน เพราะฉันเกลียดผู้ชาย แม้บางครั้งฉันจะรักพวกเค้าเหล่านั้นก็ตาม มันอาจจะเจ็บแต่ฉันก็ทำ จนฉันขึ้นชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ฉันเล่นกิจกรรมทุกอย่าง ทุ่มเทเวลาส่วนใหญ่ให้กับส่วนรวม เพื่อฉันจะไดไม่เหงา และลืมเรื่องราวเหล่านั้นได้ ฉันคิดเสมอว่าฉันต้องเป็นเสาร์หลักให้กับน้อง และต้องเก็บเรื่องราวของพ่อไว้เป็นความลับไม่ให้แม่รู้ แต่สุดท้ายแม่ก็รู้จนได้ เพราะฉันพาน้องหนีออกจากบ้าน เนื่องจากฉันทนกับสิ่งที่พ่อทำไม่ได้ แม่กลับมาอยู่กับฉันและน้อง ทำให้ฉันรู้สึกดีขึ้นเยอะ รู้สึกมีที่พึ่ง รู้สึกถึงความรักที่จริงใจ อีกครั้ง ในช่วงที่ฉันเคร่งเครียดอยู่กับเรื่องของพ่อ ก็มีสิ่งต่างๆเกิดขึ้นมากมาย ช่วงกีฬาสีฉันได้เจอกับรักครั้งใหม่อีกครั้ง เค้าคนนี้ ชื่อ อาร์ตี้ เค้าเป็นรุ่นน้องของฉัน 1 ปี เรารู้จักกันเพราะฉันไปเก็บตังค์กีฬาสี เค้าเดินเข้ามาขอเบอร์ฉัน ฉันให้เบอร์จริงเค้าไป แต่คนอื่นให้เบอร์มั่วๆ ไม่รู้ว่า
มันเรียกว่าพรมลิขิตรึว่าความตั้งใจของฉันกันแน่ เค้าพิสูจน์ตัวเองให้ฉันไดรับรู้หลายๆอย่าง จนฉันตัดสินใจคนกับเค้าเป็นแฟน เค้าเข้าใจฉันกว่าทุกคน เราอาจมองโลกในแง่มุมที่แตกต่างกัน แต่เราก็ใช้เหตุและผลในการคบกัน และเค้าก็เข้ากับทุกคนได้ หลังจากแม่กลับมาอยู่บ้านได้ไม่นาน ก็ได้มาทำงานอยู่ที่โรงเรียนของฉัน แม่เป็นพนักงานขายน้ำสมุนไพร งานอาจดูเหมือนไม่หนัก แต่ก็เหนื่อยเอาการ เวลาที่ฉันว่างจากการเรียน ฉันก็มาขายช่วยแม่ เพื่อนๆก็มาช่วยขาย อาร์ตี้ ก็ด้วย แถมตอนเย็นฉันกับอาร์ตี้ก็มาช่วยแม่เก็บตู้ ล้างตู้อีกด้วย ทำให้เราผูกพันกันมากพอสมควร ทั้งเค้าก็ได้เข้ามามีบทบาทในครอบครัวของฉันมากขึ้น แต่ก็เกิดปัญหาขึ้น พ่อไม่อยากให้เราคบกัน และไม่อยากให้มาเจอกันอีก เพราะกลัวเสียการเรียน แต่สุดท้ายพ่อก็แพ้ความดีที่อาร์ตี้ทำ จนพ่อยอมให้เราคบกัน แล้วเวลาก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว เราสอบติด คณะศึกษาศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม แต่อาร์ตี้ยังไม่จบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 เราต้องจากกันแล้ว...ฉันกลัวมากจริงๆ กลัวเป็นเหมือนคนอื่นๆที่ผ่านมา กลัวว่าถ้าเราห่างกันแล้วเราอาจได้เลิกคบกันไปเลยก็ได้ แต่เราก็ใช้เวลา ความเชื่อใจ และระยะทางเป็นเครื่องพิสูจน์อุปสรรค จนถึงตอนนี้เราก็ยังคงคบกันอยู่ และไม่มีปํญหาอะไรมากมายให้เราต้องเลิกรากัน ชีวิตมหา’ลัยมีอะไรหลายๆอย่างที่เราต้องปรับตัวและต่อสู้อีกมาก ฉันรู้จักช่วยเหลือตัวเองมากขึ้น รู้จักแบ่งเวลา รู้จักจัดแจงใช้เงิน และรู้จักกำหนดขอบเขตในการใช้ชีวิตอย่างอิสรเสรีมากขึ้น เพราะทุกสิ่งทุกอย่างตอนนี้ขึ้นอยู่กับตนเองทั้งหมดตอนแรกฉันยอมรับว่าไม่มีความสุขกับชีวิตมหา’ลัยเท่าไหร่ อาจเป็นเพราะไม่เคยห่างบ้าน และยังปรับตัวให้เข้ากับสิ่งต่างๆไม่ได้ แต่พอถึงตอนนี้ฉันรู้สึกดีกับที่นี่ กับชีวิตแบบนี้ มันทำให้ฉันเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น และพร้อมที่จะเผชิญกับโลกภายนอกได้ด้วยตัวเองนางสาวรัตติกาล ตุ้มทอง52010517034 ส่งแล้วจ้่าส่งยากส่งเย็นนะคะ ยาวไปหน่อยไม่รู้จะตัดตรงไหน อายด้วยอิอิแต่ก็ส่งเพื่อ...
ประวัติส่วนตัวณ โรงพยาบาลมหาราช จังหวัดนครราชสีมา เวลา 21.15 น.ของวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2534 ฟ้าได้ประทานสักขีพยานแห่งความรักของนายสุชิน รักแดน และนางผ่อนศรี รักแดน เป็นเด็กเพศหญิงผู้หนึ่งนาม ว่า สุนิศา รักแดน แต่ในอีก สามวันต่อมา เด็กหญิงผู้นี้จึงได้รับนามใหม่อันไพเราะด้วยการเลือกสรรของผู้เป็นบิดา นามว่า เด็กหญิงยลวิสุทธ์ รักแดน ซึ่งแปลด้วยถ้อยคำที่วิจิตรแล้วว่า มองแล้วสะอาดบริสุทธิ์ หากแต่เป็นความบริสุทธิ์ที่จิตใจ เด็กหญิงผู้นี่นามเล่นว่า แก้มยุ้ย เธออาศัยอยู่บ้านเลขที่ 262 หมู่ 2 ต. ด่านขุนทด อ.ด่านขุนทดจ.นครราชสีมา 30210 เธอผู้นี้อยู่ในการเลี้ยงดูจากผู้เป็นยาย เนื่องจากมารดาและบิดาต้องเข้าไปทำงานที่ในตัวเมืองอยู่ที่สำนักงานชลประทาน จังหวัดนครราชสีมา เมื่อเธอย่างเข้าสู่วัยแห่งการเรียนรู้ คืออายุ 4 ปีตามเกณฑ์ เธอได้ศึกษาที่โรงเรียน ชลประทาน แต่เรียนได้เพียงหนึ่งอาทิตย์ ก็ได้ย้ายมาเรียนที่โรงเรียนด่านขุนทด ในชั้นอนุบาล 1 ในปีแรกเธอต้องให้ญาติไปเฝ้าเป็นเวลาหนึ่งปีเต็ม (อิอิ เธอคงกลัวในสิ่งที่มองไม่เห็น) แต่เหตุการณ์กลับตลปัทถ์ เมื่ออนุบาลสอง เธอได้เข้าเรียนโดยไม่ต้องมีผู้มาดูแล เหมือนแต่ก่อน และหากเธอมาโรงเรียนสายเกิน 7.30 น. เธอจะร้องไห้ทันที เมื่อเข้าสู่วัยกำลังซน ชั้นประถม1คุณครุประจำชั้นคือ นางปราณี ดอกสันเทียะ ยลวิสุทธ์ ได้รับเลือกเป็นหัวหน้าชั้น มีเหตุการณ์การเป็นหัวหน้าที่ ยลวิสุทธ์ จดจำได้จนถึงทุกวันนี้คือที่หน้าเสาธง คุณครูประกาศให้หัวหน้าชั้นทุกชั้นออกมา เพื่อแบ่งหน้าที่ทำความสะอาด แต่หาเป็นเช่นนั้นไม่ ยลวิสุทธ์ หัวหน้าชั้น ป. 1/2 ได้ไปขัดห้องน้ำ จากวันนั้น ยลวิสุทธ์ บอกกับตนเองว่าจะไม่เป็นผู้นำอีกต่อไป ในเทอมแรก ยลวิสุทธ์ สอบได้ที่ 6 ส่วนในเทอมที่สองยลวิสุทธ์ สอบได้ที่ 7 จากการเรียนคงเป็นนิมิตหมายอันดีว่ายลวิสุทธ์เรียนดีม๊ากมาก ในชั้น ป. 2 อาจารย์ประจำชั้นคือ นางลำปาง ฉายชูวงศ์ เทอมแรกผลการเรียนได้ลำดับที่ไม่แตกต่างจาก ประถมหนึ่ง ในประถม 3 คุณครูปะจำชั้นเป็นคนเดิม ผลการศึกษาได้ลำดับที่ 5 ทั้งสองเทอม ในระดับชั้นนี้ยลวิสุทธ์ ได้รับความเกียจชังจากเพื่อนชายคนหนึ่ง เพราะยลวิสุทธ์ ฟ้องคุณครูว่ามันแกล้งเพื่อน แต่เพื่อความถูกต้อง
ยลวิสุทธ์ หาได้กลัวไม่ เนื่องจากฟ้องเก่งมาก ในประถม 4 คุณครูประจำคือนาง สาวแจ่มจันทร์ รัตนพันธากุล ในระดับชั้นนี้ ยลวิสุทธ์ มีความกระตือรือร้นเป็นพิเศษเนื่องจากอิจเพื่อนที่ทำไม มันเก่งนักหนา ได้ที่ 1 ทุกปี ยลวิสุทธ์ปรึกษากับผู้เป็นมารดารว่าควรทำอย่างไรดี มารดาจึงบอกว่า อ่านข้อสอบท้ายบท ยลวิสุทธ์ทำตามที่มารดาบอก จึงทำให้ผลการเรียนจากการอ่านหนังสือครั้งนี้ได้ที่ 4 (เก่งสุดเท่านี้คะ) ได้รางวัลเป็น แหวนทอง หนึ่งสลึง ในชั้นประถมที่ 5/4 คุณครูประจำชั้นชื่อนาง สาว สุรางค์ มากขุนทด ได้ผลการเรียน ที่2 และที่ 8 ในเทอมที่สอง น่านแนเห็นยังการเรียนแนวโน้มเป็นอย่างไร ในชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6/4 นางปิยาณี ภู่มาก และนางสาวปิ่นเพชร ในชั้นประถมไม่มีใครไม่รู้จัก ยลวิสุทธ์ เนื่องจากเป็นคนที่อัธยาศัยดี พูดมากว่างั้น เมื่อวัยประถมลับเลือนไป วัยมัธยมก็เข้ามาแทนที่ยลวิสุทธ์ สอบเข้าได้อยู่ห้องที่จัดว่าเป็นห้องเก่ง คือชั้นม. 1/6 ห้องหลังจัดว่าเก่งนะคะโรงเรียนนี้ อิอิ มีอาจารย์ สมทรง น้อยเจริญ เป็นอาจารย์ประจำชั้น วันที่ได้อยู่ที่ชั้นมัธยมทำให้ยลวิสุทธ์ มีแก๊ง ชื่อว่า เจ็ดสลึง คือ แก้มยุ้ย เหมี่ยวต่าย แจง แนน โซ่ เมย์ ในวัยนี้ทำให้เรารู้ว่า มีการเปลี่ยนแปลงของใครหลายคน ซึ่งเป็นช่วงหัวเรี้ยวหัวต่อ เพื่อนดีจะเตือนเรา เพื่อนที่ไม่ดีแต่ก็ไม่ใช่ซะทีเดียว ก็จะชวนเราออกไปเที่ยวบ้าง สอนในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับความต้องการของผู้ใหญ่ ในช่วงที่ดิฉันอยู่ชั้นม.3 เป็นการประเมินโรงเรียนในฝันครั้งแรก และในทางเดียวกัน เป็นโชคร้ายที่เกิดกับ ยลวิสุทธ์ เนื่องจากได้รับการตรวจที่โรงพยาบาล ค่ายสุรนารีว่าเป็น โรค SLE นอนโรงพยาบาล 28 วัน ในช่วงนั้นไม่ได้เรียน แต่ก็จบจาก ม.3 ด้วยเกรดเฉลี่ย 3.58ด้วยความอนุเคราะห์ ขิงอาจารย์ และ เพื่อนๆที่ส่งงานให้ทำระหว่างอยู่โรงพยาบาล และเป็นเวลาเดียวกันกับที่ ยลวิสุทธ์ ต้องเข้าศึกษาในระดับที่สูงกว่าเดิม ยลวิสุทธ์ เข้าศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่ โรงเรียนมัธยมด่านขุนทด อาจารย์ รุ่งทิพย์ โด่งพิมาย เป็นอาจารย์ที่ปรึกษา ด้วยความที่ ยลวิสุทธ์ มีโรคประจำตัวซึ่งห้ามถูกแดด จึงมิได้ไปเข้าแถวที่หน้าเสาธง เหตุนี้จึงทำให้ต้องทำงานที่ฝ่ายปกครองช่วยอาจารย์ ทุกวันเห็นแต่ผู้ที่กระทำความผิดระเมิดกฎของโรงเรียน คงเป็นสาเหตุนี้ด้วยที่ทำให้ ยลวิสุทธ์ ต้องการจะทราบว่าเหตุใด เด็กเหล่านี้จึงต้องทำพฤติกรรมเช่นนี้ ดังนั้น จิตวิทยา เป็นคำตอบที่ดีที่สุด และบวกกับความต้องการทำให้อนาคตของชาติเติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพ อาชีพครูก็เป็นอีกทางเลือกที่ ยลวิสุทธ์ ต้องการทำในอนาคต ระหว่างที่ทำงานที่ห้องปกครองก็มีรุ่นพี่ที่ทำหน้าที่เป็นคณะกรรมการนัก เรียนมาประจำอยู่ที่ห้อง ทำให้ ยลวิสุทธ์ ได้รู้จักและมีเพื่อนรุ่นพี่เป็นครั้งแรก ในความแตกต่างที่มองเห็นคือ พี่ผู้ชายที่ทำหน้าที่ จะไม่เกี่ยงงอนกัน ผิดกับพี่ผู้หญิงที่ต้องทำหน้าที่ของทุกคนของใครของมันโดยไม่มีการที่จะรับ ผิดชอบแทนกัน จากการที่เห็นรุ่นพี่ทำงานปกครองอย่างนี้ทำให้ ยลวิสุทธ์ เกิดแรงบันดาลใจว่า เรา ต้องเป็นคณะกรรมการนักเรียนรุ่นให้ได้ จากนั้นเมื่อเวลาล่วงไปทำให้ ยลวิสุทธ์ ได้ก้าวมาอยู่ในระดับชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 5/2 ทำให้บทบาทหน้าที่เริ่มชัดเจนขึ้น การทำงานเริ่มมีหน้าที่มากขึ้น พวกเราชาว นักเรียน ม .5/2 ได้เริ่มวางแผนที่จะเตรียมตัวเป็นคณะกรรมการนักเรียน โดยมีการสนับสนุน
จากท่านอาจารย์ เมทินี รักบำเหน็จ ซึ่งเป็นอาจารย์ประจำชั้น ในตอนนั้น ในช่วงวัยนี้ยลวิสุทธ์ ได้เริ่มคิดการศึกษาต่อในระดับอนาคต คือการเป็นครูแนะแนว เริ่มเด่นชัดขึ้น ในวัย มัธยมศึกษาปีที่ 6/2 โดยมีท่านอาจารย์ สายฝน สมพงศ์ เป็นอาจารย์ที่ปรึกษา พวกเราได้ ได้ส่งตัวแทนเพื่อนสมัคร เป็นประธานนักเรียน โดยมีนักเรียนที่ห้องเราบางส่วนเป็นคณะกรรมการ และผลก็ออกมา พวกเราได้เป็นห้องแกนนำการบริหารโรงเรียน และมียลวิสุทธ์ ทำงานที่ฝ่ายปกครอง และฝ่ายวิชาการ การทำหน้าที่ในครั้งนั้น ทำให้ ยลวิสุทธ์ รู้ว่า การทำอะไรเพื่อส่วนรวมก็เป็นสิ่งที่สำคัญ หากสถานที่ใดขาดผู้นำแล้วไซร้ สถานที่นั้นย่อมไร้ความเจริญ และในวันหนึ่งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ก็ได้เริ่มขึ้น เป็นช่วงที่ นักเรียน ชั้น ม. 6 ต้องสมัครโควตาตาม มหาวิทยาลัยที่รับสมัครยลวิสุทธ์ ได้เลือก มหาวิทยาลัยมหาสารคาม เป็นที่แรก และที่เดียว ในสาขา จิตวิทยา ระหว่างที่รอก็ได้มีการคัดเลือกน้องที่จะมาเป็นประธานรุ่นต่อไป หากแต่ชีวิตในวัยนั้นกำลังเป็นชีวิตที่อยู่ในช่วงเด็กตอนปลาย ผู้ใหญ่ตอนต้นมักจะอยากทำอะไรที่ให้ผู้คนเห็นว่าเราเก่ง เราดี เมื่อผลการคัดเลือดรอบโควตา ออกมา ยลวิสุทธ์ ก็ได้เป็นหนึ่งในผู้ที่ได้ไปสัมภาษณ์ที่ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ในการมาเมืองแห่งการศึกษาครั้งแรกนั้นด้วยความตื่นเต้น และในใจคิดว่า นี่เรากำลังก้าวเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัยแล้วหรอ ช่วงเวลาของนักเรียนมัธยม ช่างผ่านไปเร็วเหลือเกิน เมื่อมาถึง พี่ๆต้อนรับอย่างอบอุ่น เรียกรวมที่หน้าตึก ไอที แล้วนั่งรอการสอบสัมภาษณ์ที่ห้อง ไอที 2 ในตอนนั้นยลวิสุทธ์ นั่งติดกับ เมทินี ที่มาจากจังหวัดอุดร และได้ขึ้นไปสอบสัมภาษณ์ที่ชั้น 6การนั่งรอในครั้งนั้นช่างเป็นช่วงเวลาที่หัวใจเต้นไม่เป็นปกติ แต่ด้วยความต้องการที่จะมาศึกษาที่มหาวิทยาลัยมหาสารคามแห่งนี้ ทำให้ความตื่นเต้นหายไปเหลือเพียงความมั่นใจ ยลวิสุทธ์ ได้สอบสัมภาษณ์ โดยอาจารย์ พัฒนานุสรณ์ ในตอนนั้น ยลวิสุทธ์ เริ่มสังเกตเห็นว่าการเป็นนักจิตวิทยาต้อง สุขุม ดูคนให้รอบคอบ ดิฉันแอบมองอาจารย์ระหว่างที่อาจารย์ กำลังดูแฟ้ม อาจารย์ ให้ ยลวิสุทธ์ แนะนำตัว และถามว่า เล่าประวัติหลวงพ่อคูณให้ฟังหน่อย และมีคำถามที่ ยลวิสุทธ์ คิดว่า คำถามนี้ต้องเค้นความเป็นจิตวิทยาที่แอบแฟงอยู่ในตัวของแต่ละคนออกมา คำถามนั้นคือ หากเพื่อน ยลวิสุทธ์ ติดยาเสพติด ยลวิสุทธ์ จะบอกเพื่อนว่ายังไง ยลวิสุทธ์ก็บอกไปว่าก็จะแนะนำให้เห็นถึงผลเสียที่มันเกิดขึ้น และบอกเพื่อนว่ามันไม่ดีเลิกจะดีกว่า และคำสุดท้ายที่ทำให้ยลวิสุทธ์ คิดถึงความหมายของมันคือ หากครูรับยลวิสุทธ์ ปรับปรุงวิชา ภาษาไทยนะ แล้วพวกเราทั้ง 4คนก็เดินออกจากห้องแห่งการตัดสินอนาคต หากแต่วันนั้น ยลวิสุทธ์ ไม่มีความมั่นใจเลยว่าตนเองจะได้เรียนในสาขาจิตวิทยาที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้ เนื่องจากการตอบคำถามที่คิดว่าตนเอง ตอบได้ไม่ดี แต่แล้วผลก็ออกมา ยลวิสุทธ์ เป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่ได้ก้าวเข้ามาเรียนที่มหาวิทยาลัยมหาสารคามแห่งนี้ วันนั้นทั้งบ้านดีใจมาก แต่มีสิ่งหนึ่งที่ ยลวิสุทธ์ ไม่พอใจคือ คนส่วนมากมักจะ กล่าวว่ามหาวิทยาลัยมหาสารคามเป็นมหาลัยที่ไม่ดีอย่างนั้นไม่ดีอย่างนี้ คงเป็นเพราะมหาวิทยาลัยของเราเทียบกับ มหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์ มหิดล และขอนแก่นไม่ได้ คำพูดนั้นทำให้ ยลวิสุทธ์ ต้องการที่จะพิสูจน์ให้เห็นว่า ไม่ว่าสถาบันไหน ไม่สำคัญอยู่ที่ เมื่อคุณจบออกมาคุณสามารถทำงานของคุณได้ดีแค่ไหน นั้นมันจึงจะหมายถึง สถาบันที่บ่มเพาะเมล็ดพันธุ์แล้ว ไปเติบโตในที่ใหม่ของมันได้ดีแค่ไหนมากกว่า ใช่ที่มหาวิทยาลัยมหาสารคามเป็นมหาลัยที่เทียบมหาวิทยาลัยอื่นไม่ได้ แต่ยลวิสุทธ์ ก็รักเชิดชูในสถาบันที่ตนก้าวเข้ามา และพอใจอย่างยิ่งที่ได้เป็นเลือดสีเดียวกับเพื่อนๆที่ร่วมอุดมการณ์เดียวกัน ที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้ และเป็นเลือดที่เข้มขึ้นทุกวันเนื่องจาก จิตวิทยา คือความเป็นเราเป็นพี่เป็นน้อง เป็นเพื่อน เป็นพ่อเป็นแม่ เป็นดั่งคนในครอบครัว เดียวกัน วันแรกที่ก้าวเข้ามาในหอพัก ชวนชมก็ได้รับความอบอุ่นจาการต้อนรับของพี่หอและได้เจอเพื่อนร่วมห้องที่ เป็น กัลยาณมิตรที่แท้จริง วันแรกที่ ยลวิสุทธ์ก้าวเข้าเรียน วันนั้นไม่ได้อะไรมากเพียงแต่สังเกตบุคลิกอาจารย์ที่สอนเท่านั้นหวังเพียง ปรับตัวให้เข้ากับอาจารย์ได้ และสิ่งยลวิสุทธ์ทำเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เพราะอาจารย์อารยา ให้สังเกตอาจารย์แต่ละท่านไว้เพราะ มันก็เป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญของนักจิตวิทยา คือ รู้จักสังเกต การเรียนก็สนุกสนาน เพราะยลวิสุทธ์ คิดว่า เหมือนกับเป็นสิ่งที่ เรียนรู้อย่างเข้าใจมากกว่าการท่องจำ มีสิ่งหนึ่งที่ ยลวิสุทธ์ รอคอยมาได้แก่ การได้ใส่เสื้อกราว Psychology นั่งให้คำปรึกษา
มันเป็นสิ่งที่ ยลวิสุทธ์คิดว่า เพียงแค่เราพูดไม่กี่คำหากแต่ทำให้คนสบายใจได้ คนคนนั้นก็ย่อมมีกำลัง ที่จะทำประโยชน์เพื่อสังคมต่อไป เฉกเช่น กายป่วยหมอยังต้องให้ผู้ป่วยเกิดกำลังใจดีก่อนอย่างแรกจึงทำให้ร่างกายดีตาม ไปด้วย การก้าวเข้ามาอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัยที่ไร้ซึ่งการดุแลของครอบครัว ผู้เป็นแม่ย่อมห่วง ยลวิสุทธ์ เป็นธรรมดาและต้องห่วงเป็นสองเท่า คือยล วิสุทธ์ มีโรคประจำตัวที่ยากต่อการใช้ชีวิตและการทำกิจกรรม หากแต่ ยลวิสุทธ์ ก็พยายามทำให้ผู้เป็นแม่เห็นว่า การมาอยู่ที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้เป็นไปอย่างราบรื่นเนื่องจากเพื่อที่ ยลวิสุทธ์ หวังให้เพียงว่าการมีความสำเร็จกลับไปฝากแม่ที่บ้าน เพราะในใจ ยลวิสุทธ์ คิดเสมอว่า เราเป็นลูกสาวคนเดียวเป็นหลานคนสุดท้องของครอบครัว ที่ผูกพันธ์อยู่กับครอบครัวมามากกว่าลูกพี่ลูกน้องคนอื่นๆ ป้าลุงพี่ๆ ก็จะได้ดูแลมากเป็นพิเศษ ในทุกๆเรื่อง เราต้องมาเรียนในระดับมหาวิทยาลัยเพื่อให้แม่ ปู่ ย่า ลุง ป้า อา พี่ๆ ได้มองเห็นอนาคตที่ดีของ ยลวิสุทธ์ ซึ่งเป็น ความสำเร็จที่บุพการีทุกคนต้องการมองเห็น และเพื่อให้แม่ของยลวิสุทธ์เห็นว่า ถึงแม้ว่าเป็นโรคประจำตัว ลูกสาวคนเดียวคนนี้ก็จะทำให้ได้ เพื่อแม่ ในใจ ยลวิสุทธ์ คิดตลอดว่าเราเป็นลูกคนเดียวต้องเป็นที่พึ่งของแม่ให้ได้ หากเราไม่ทำความสำเร็จนี้แล้วใครละที่จะมาทำให้แม่ของเรา แต่ความคิดของยลวิสุทธ์ กลับตรงกับข้าม กับทางครอบครัวที่พูดไว้ว่า ไม่ต้องเรียนก็ได้ ขอให้แก้มยุ้ยมีสุขภาพดีก็พอ ไม่ต้องคิดมาก ให้อยู่กับครอบครัว เป็นคนดีอย่างที่เป็นอยู่แค่นี้ก็พอ ไม่ต้องไปกังวลถึงการที่จะต้องได้มาซึ่งการประสบความสำเร็จที่มี ใบปริญญาเป็นเครื่องการันต์ตรี คำพูดนี้ยิ่งทำให้ ยลวิสุทธ์ ต้องมาทำหน้าที่ ลูก และหลานที่ดี เพื่อนำความสำเร็จกลับบ้าน การมาอยู่ที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้ ยลวิสุทธ์คิดว่า หากเราไม่ได้เพื่อน อาจารย์ พี่ น้อง ดีแล้วนั้น การอยู่ที่มหาวิทยาลัยก็จะลำบาก ยิ่งเพื่อนเป็นสิ่งสำคัญยลวิสุทธ์ มีเพื่อนๆ ที่ดี คือ รัตติกาล อรวรรณ ที่คอยช่วยเหลือมาตลอด ในเวลาที่ยลวิสุทธ์ ต้องขาดเรียนเพื่อไปรับการรักษา โรคประจำตัวที่ กรุงเทพมหานคร โรงพยาบาลรามาธิบดี เพื่อนทั้งสองคนนี้ก็ จะดูแลบอกอาจารย์ให้ แต่มีสิ่งหนึ่งที่อดหัวเราะไม้ได้ คือ เราทั้งสามคน มีโรคประจำตัวทุกคน ไม่มีใครแข็งแรงเลย เพื่อนๆที่จิตวิทยาก็น่ารักทุกคน เป็นเพื่อนที่ดี ยลวิสุทธ์ มีความสนุกสนานเมื่อได้มาอยู่ร่วมกับเพื่อนจิตวิทยาทุกคน ส่วนพี่ๆน่ารักคอยช่วยเหลือเราตลอดมา คือ พี่รหัส พี่ลูกน้ำ พี่ยุ้ย พี่เทคแคร์ พี่เปรียวพี่สลาก พี่ลูกน้ำคอยดูแลอย่างดี วันแรกที่ยังถอนรหัสวิชาเรียนไม่ป็นพี่ลูกน้ำก็อาสาทำให้ทำให้เรามีความผูก พันธ์ กับพี่เป็นพิเศษ คือมีความรู้สึกที่ดีให้ ต่อมาเป็นความรู้สึกที่ มีต่ออาจารย์ อาจารย์ พัฒนานุสรณ์ เป็นอาจารย์ ที่ ยลวิสุทธ์ เลือกที่จะเอาความรู้ลึกในทุกเรื่องของอาจารย์มาเป็นต้นแบบ คืออาจารย์สอนให้ดูว่า หากเราอยากจะรู้ว่าทำไมคนนี้ถึงมีลักษณะอย่างนี้เราต้องรู้ศึกษาให้ลึกใน เรื่องนั้นก่อนเราถึงจะทราบในสิ่งที่เค้าเป็นได้อาจารย์ท่านต่อมา คือ อาจารย์ เสริมเกียรติ ยลวิสุทธ์เลือกในความโอบอ้อม มีจิตใจช่วยเหลือของท่านมาเป็นแบบอย่าง คือ ท่านเกษียณอายุราชการนานแล้ว แต่ก็ยังมาให้ความรู้แก่ศิษย์จิตวิทยาอีก นี่ทำให้ ยลวิสุทธ์ คิดว่า นี่เป็น คำว่า ครู โดยแท้จริง เป็นสิ่งที่ท่านทำให้เห็น ส่วนอาจารย์ ลักขณา ทำให้ ยลวิสุทธ์ รู้จักคิดกว้างไกล นำสิ่งรอบข้างมาประยุกต์ใช้ให้เข้ากับหลักการทฤษฏี เป็นอาจารย์ที่ใจเย็น อาจารย์ อารยา เป็นผู้ที่ยลวิสุทธ์ เห็นครั้งแรกรู้สึกศรัทธา และอยากที่จะทำให้ได้เหมือนอาจารย์ คือ บุคลิกภาพที่นักจิตวิทยาควรมีรวมอยู่ในท่านอาจารย์แล้ว สายตาของท่านมองด้วยความสุขุม การย่างก้าวแต่ละครั้งสวยงาม การพูดสะกดใจผู้ฟัง แม้แต่การนั่งยังสะดุดตา ท่านสุดท้ายคือ ท่านอาจารย์ รังสรรค์ ที่รัก (โฉมยา) อิอิ ที่แนะนำเป็นคนสุดท้ายไม่ใช่ไม่สำคัญหากแต่เรียนแบบความขี้เล่นของอาจารย์ เท่านั้นเอง คืออยากให้อาจารย์อ่านคนสุดท้าย อาจารย์จะได้สงสัยในตอนแรกว่า ยัยยลวิสุทธ์มันจะเขียนถึงชั้นว่าไง อาจารย์เป็นคนขี้เล่น สนุกสนานมีคำพูดที่ด่า แต่นิ่มๆ ไม่รู้หลอกด่าหรือป่าว แต่คำที่ติดปากอาจารย์ คือ ที่รัก ฟังแล้ว แหม! ชื่นใจไม่รู้ตั้งใจเรียกไหม แต่หนูก็เคลิ้มไปแล้ว อาจารย์สอนโดยความสนุกสนานไม่
ซีเรียส เหมือนอาจารย์พัฒ แต่อาจารย์แทรกความรู้โดยเราไม่รู้ตัวและยังจำได้ดีอีกด้วย วงเล็บ ในเรื่องความเป็นอยู่ การใช้ชีวิตในมหาวิทยาลัยนะ แต่เรื่องการเรียนละ ยลวิสุทธ์ งงอย่างเดียวเลย อาจารย์ทุกท่านที่กล่าวมา หากแต่ทุกท่านมีความสมบูรณ์แบบในทุกๆด้าน แต่ยกมาเพียงบุคลิกส่วนที่เด่นชัดของแต่ละท่านเท่านั้น หากนำทุกท่านมาเป็นต้นแบบ ความพร้อม ความสมบูรณ์แบบก็จะเกิดขึ้นอย่างหาที่เปรียบเทียบไม่ได้ หากแต่เวลาล่วงเลยไป การเป็นจิตวิทยา ปีหนึ่งเริ่มพัฒนาไปเป็น จิตวิทยาปีสองอย่างรวดเร็ว พวกเราได้รับน้องโควตาจิตวิทยา นั้นก็หมายถึงว่าที่พี่จิตวิทยาปีสอง ยลวิสุทธ์ ได้รับน้องมาดูแล คือน้องหลัน ฐาปนีย์ มานอนที่ห้อง พาไปเลี้ยงข้าวเย็น พาน้องไปไหว้เจ้าที่ สิ่งที่ ยลวิสุทธ์ สังเกตเห็นได้คือ การไม่ค่อยอยากมาเรียนที่ มหาวิทยาลัยมหาสารคามเต็มร้อย น้องติด ที่มหาวิทยาลัยขอนแก่นเช่นกัน มีสิ่งหนึ่งที่ ยลวิสุทธ์ คิดได้ในตอนนั้น คือ ต้องทำให้น้องเห็นว่าจิตวิทยา ที่นี่น่าอยู่อบอุ่น วันรุ่งขึ้นก็ส่งน้องไปสัมภาษณ์ เมื่อน้องสัมภาษณ์เสร็จก็เลี้ยงข่าวเที่ยงและก็ส่งค่ารถกับไปที่ขอนแก่น ระหว่างทางได้ยินน้องพูดให้ฟังว่า ครั้งแรกไม่อยากมาเรียนที่นี่เท่าไรนัก แต่พอมาเห็นแบบนี้ อยากมาเรียนจริงๆแล้วซิ จะได้ไหมน้อ สัมภาษณ์ครั้งนี้ ทำให้ยลวิสุทธ์ รู้สึกว่าการทำหน้าที่ดูแลน้องสำเร็จไปแล้วครึ่ง เมื่อส่งน้องชึ้นรถเสร็จ รอให้รถน้องออก เมื่อน้องหันหลังมาสวัสดี เป็นอะไรที่เกิดความภาคภูมิใจมากเมื่อมีคนมาเคารพเรา ในฐานะพี่ รถน้องออกเวลาเที่ยงตรง ยลวิสุทธ์ ก็มาเรียน กลังจากที่ส่งน้องเสร็จเมื่อเวลาบ่ายโมง มีข้อความมาว่า ขอบคุณๆๆๆสำหรับทุกอย่างนะคะ พี่ๆน่ารักกันทุกคนเลย รักจิตวิทยา รักสารคาม รักพี่สาว เมื่อได้เห็นข้อความนี้ทำให้เรารู้ว่าการดูแลน้องครั้งนี้ประสบความสำเร็จ อย่างสมบูรณ์แบบ ไม่มีความดีใจไหนที่จะเทียบเท่ากับการได้รับรู้ความรู้สึกที่ดีที่ผู้ที่เรา ให้การดูแลด้วยความรักแสดงออกมายลวิสุทธ์ ถือว่ารางวัล คำชมคำนี้ เป็นรางวัลที่เป็นความภาคภูมิใจของ เราพี่น้องจิตวิทยาทุกคนขอบ คุณทุกสิ่งที่สรรค์สร้าง ยลวิสุทธ์ ขึ้นมาเพื่อพบประสบการณ์ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยมหาสารคามแห่งนี้ ท่านอาจารย์ทุกท่าน เพื่อน ๆพี่ และอนาคตน้องๆทุกคน เป็นสิ่งที่ยลวิสุทธ์ จะจดจำทุกเหตุการณ์ แห่งความประทับใจนี้ไว้ให้ตราตรึงตราบเท่า ความจำในจิตใจจะลบเลือนไปขอบคุณท่านอาจารย์ รังสรรค์ ที่มอบหมายงานที่ดีอย่างนี้มาให้คะ
ประวัติส่วนตัวของข้าพเจ้า ปัจจุบัน/อดีต/อนาคต -ข้าพเจ้าชื่อ นางสาวอรวรรณ ละมอม นามสมมุติ เพียงออ อายุ 19 ปี-ข้าพเจ้าเกิดวันที่ 30 วัน พุธ เดือน พฤษภาคม พุทธศักราช 2533-ที่อยู่ที่สามารถติดต่อข้าพเจ้าได้ที่บ้าน บ้านเลขที่ 69/8 บ้านกุดโดน ตำบล กุดโดน อำเภอ ห้วยเม็ก จังหวัด กาฬสินธุ์ 46170 โทร 0846867590 DTAC-ที่พักที่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม หอพักชวนชม ห้อง 103 เขตพื้นที่ในเมือง จังหวัด มหาสารคาม -บิดาของข้าพเจ้า ชื่อ นายแสงจันทร์ ละมอม ประกอบอาชีพส่วนตัว-มารดาของข้าพเจ้าชื่อ นางจูมทอง ละมอม ประกอบอาชีพส่วนตัว-ข้าพเจ้ามีพี่น้องร่วมทุกข์ ร่วมสุข ด้วยกัน 2 คน1. นายพิทักษ์ ละมอม อายุ 21 ปี กำลังศึกษาอยู่ มหาวิทยาลัยราชภัฎมหาสารคาม สาขาวิชา นิติศาสตร์ ชั้นปีที่ 3 คนที่ 2 คือตัวของข้าพเจ้าเอง คือนางสาวอรวรรณ ละมอม อายุ 19 ปี กำลังศึกษาอยู่ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม คณะศึกษาศาสตร์ สาขาวิชา จิตวิทยา ชั้นปีที่ 1 รหัสประจำตัวนิสิต คือ 52010517050 รหัสประจำตัวประชาชน 1460800059004ครอบครัวของข้าพเจ้ามีด้วยกันทั้งหมด 5 คน ดังนี้1. นายอ่อนสา ปริวันตา เป็นคุณตา2. นายแสงจันทร์ ละมอม คุณพ่อ3. นางจูมทอง ละมอม คุณแม่4.นายพิทักษ์ ละมอม พี่ชาย5.นางสาวอรวรรณ ละมอม เจ้าของประวัติเองค่ะ ครอบครัวของพวกเราเป็นครอบครัวเล็กๆแต่เต็มไปด้วยความรัก ความอบอุ่น และความ ผูกพัน ตั้งแต่ข้าพเจ้าเกิดมาก็ได้เจอกับบุคคลเล่านี้ที่มอบความรักและความอบอุ่นให้กับราตลอดตั้งแต่แรกเกิดจนถึงปัจจุบันข้าพเจ้าก็ขอขอบคุณสวรรค์ที่ส่งข้าพเจ้ามาเจอกับครอบครัวที่ดีๆ อย่างนี้
นางสาวฟ้าใส ลีเลิศ รหัสนิสิต ๕๒๐๑๐๕๑๗๐๓๐ คณะศึกษาศาสตร์ สาขาจิตวิทยา “ My Beauitful life ” ดิฉัน “ นางสาวฟ้าใส ลีเลิศ ” อ๊ะอ้า!..มีหลายคนสงสัยและแปลกใจว่าทำไมต้องชื่อ “ ฟ้าใส ” บางคนถามว่า ใครตั้งให้ ? มาเปลี่ยนทีหลัง ? หรือตั้งแต่ตั้งแต่เกิด ? บ้างก็ยิ้ม หัวเราะชื่อของดิฉัน จนในบางครั้งการแนะนำตัวในที่ที่ต่าง ๆ ของดินฉัน มันทำให้ขาดความมั่นใจในตนเองไปอย่างมากเลยทีเดียว แต่ในบางครั้งก็มีคนชมเหมือนกันคะว่า “ชื่อเพราะดี” “มันแปลว่าอะไรหรอ” ความจริงแล้วป้าเป็นคนตั้งชื่อให้ ป้าเล่าว่าตอนที่ดิฉันเกิดมานั้น ไม่รู้จะตั้งชื่อว่าอะไรดี พอดีป้าไปอบรมมาในเรื่องของดอกไม้ มีชื่อ “ดอกฟ้าใส” เลยตกลงว่าชื่อ ”ฟ้าใส” นี่คือที่มาของชื่อคะ อิอิ และมีหลายคนที่เข้ามาชมชื่อของดิฉันว่าเพราะดีนั่นเขาบอกว่า “ฟ้าใส” นั่น เป็นชื่อของเทพธิดาในสรวงสวรรค์ เหอะ ๆ ค่อยน่าฟังไปอีกแบบ สรุปว่า “ฟ้าใส” ก็คือ ชื่อของเทพธิดาในสรวงสวรรค์ และก็เป็นชื่อของดอกไม้คะ เกิดวันที่ ๑๗ เดือน กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๕๓ ที่โรงพยาบาลบ้านผือคะ สำหรับข้อมูลที่สามารถติดต่อได้นะคะ ดิฉันอาศัยอยู่บ้านเลขที่ ๑๔๑ หมู่ที่ ๓ บ้านจำปาดง ตำบลจำปาโมง อำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี รหัสไปรษณีย์ ๔๑๑๖๐ แต่ปัจจุบันดิฉันพักที่หอพักหญิงสุมนรัตน์คะ และตามด้วยอิเล็กทรอนิคในการสื่ออันรวดเร็วที่ใครหลาย ๆ คนชอบกัน หมายเลขโทรศัพท์ ๐๘๓-๓๖๐-๓๐๘-๙ E-mail : love_fasai@hotmail.com คะ “ เรื่อยเรื่อย .. หาฝัน ” การหาความชอบหรือความฝันของตัวเองนั้นมันไม่ใช่เรื่องยากสำหรับดิฉัน เพราะการกระทำหลาย ๆ อย่างมันฟ้องอยู่แล้วว่าเราเหมาะกับอะไร ถึงหลายคนมองว่าสิ่งนั้นไม่ใช่ตัวเรา เราชอบซะอย่าง ก็อย่าไปแคร์ ขอแค่สิ่งที่ทำนั้นมันเป็นสิ่งที่ขาวบริสุทธิ์ หลายคนมองฝันของตัวเองซึ่งเป็นเรื่องง่าย ๆ ให้เป็นเรื่องยากใหญ่โต อย่าหยุดฝันตัวเองสิคะ คุณลองทำหรึยัง? ถึงรู้ว่าตัวเองจะทำไม่ได้? เราต้องทำได้คะ สู้ต่อไปเพื่อสิ่งที่สวยงาย (เลยทีเดียว)
-อดีต ข้าพเจ้าอยู่ในท้องมารดามาเป็นเวลา 9 เดือนเต็ม พอครบ 9 เดือนแล้ว ข้าพเจ้าก็ได้โผล่ออกมาดูโลกอันสดใสด้วยความรักอันบริสุทธิ์จากมารดาอันเป็นที่รักของข้าพเจ้าข้าพเจ้าเกิดอยู่ที่บ้านโดยหมอตำแยเพราะมารดาของข้าพเจ้าขึ้นรถไปโรงพยาบาลไม่ทันโผล่หน้าออกมาดูโลกอันสดใส เมื่อเวลา 15. 32 นาที หลังจากคลอดออกมามารดาของข้าพเจ้าก็แล้วดูอย่างทะนุถนอม ยุงไม่ให้ไต่ลัย ไม่ให้ตอม จนถึงอายุ 4 ขวบ มารดาก็พาไปเข้า ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก บ้านกุดโดน ตำบลกุโดน อำเภอห้วยเม็ก จังหวัดกาฬสินธุ์ พออายุ ครบ 5 ขวบ มารดาของข้าพเจ้าก็พาเข้ามาเรียน ป. เตรียม หรืออนุบาล 1 ที่โรงเรียนชุมชนกุดโดนวิทยาคม เมื่ออายุครบ 6-12 ปี ก็ได้เข้าเรียนชั้นประถมศึกษาที่โรงเรียนเดิม คือ โรงเรียนชุมชนกุดโดนวิทยาคมจนกระทั่งถึงอายุ 13-15 ก็ได้เข้าศึกษาต่อชั้นมัธยมตอนต้นที่โรงเรียนชุมชนกุดโดนวิทยาคม เรียนที่เดิมมาตลอดเพราะเป็นโรงเรียนที่อยู่ใกล้บ้านมากที่สุดเดินไม่ถึง 2 นาที ก็ถึงโรงเรียนแล้ว เพราะบ้านก็อยู่หน้าโรงเรียน เมื่ออายุ 16-18 ปี ก็ได้ย้ายไปศึกษาต่อที่โรงเรียนห้วยเม็กวิทยาคมที่ตัวอำเภอแต่ไม่ห่างจากบ้านนัก คือไปศึกษาต่อที่มัธยมศึกษาตอนปลาย คือ ม.4 ม. 5 ม. 6 ที่โรงเรียนห้วยเม็กวิทยาคมเป็นโรงเรียนที่น่าอยู่ ร่มรื่น และเป็นโรงเรียนที่อยู่ใกล้กับบ้านอยากบอกว่าตอนที่เข้าศึกษาต่อตอนแรกๆไม่รู้จักใครเลยค่ะ ไปเรียนทีไรก็อยากจะกลับบ้านเพราะเราไม่รู้จักใครเลยเพื่อนๆที่เขาเคยเรียนอยู่ที่นั่นเขาก็ไปแต่กลับเพื่อนเก่าของเขา เขายังไม่มาคบกับเพื่อนคนใหม่เลย คนที่เขาอยู่โรงเรียนเดิมเขาก็แอบมีอำนาจกับเรา นิด นึง เพราะเขาเป็นศิษย์เก่าที่นั่น แต่พอผ่านไปประมาณ 2-3 สัปดาห์ก็มีเพื่อนที่เขาเป็นศิษย์เก่าที่นั่นเดินเข้ามาทัก และถามประวัติความเป็นมาว่า มาจากที่ไหน ชื่ออะไร จบมากจากโรงเรียนอะไร ตัวของข้าพเจ้าก็ตอบคำถามให้กับเขาอย่างละเอียด หลังจากนั้นเขาก็ชวนข้าพเจ้าเข้าไปอยู่กลุ่มกับเขาหลังจากที่เขาเคยอยู่ด้วยกัน 3 คน ข้าพเจ้าเข้าไปก็ 4 คน พอได้เข้าไปอยู่กับกลุ่มของเขาแล้วเขาก็ให้ความอบอุ่นดีมีอะไรก็ให้คำปรึกษาจะพูดอะไรก็เกรงใจเพื่อนๆในกลุ่ม แต่อยู่ไปสักพักก็รู้จักนิสัยซึ่งกันและกันก็กล้าจะพูดกล้าจะแสดงออก ที่เป็นนิสัยส่วนตัวของตัวเองและเพื่อนๆ ก็กล้าที่จะคุยกันแบบเป็นกันเอง
กล้าคิดกล้าพูดมากขึ้นเมื่อรู้จักกันไปมากๆ ก็ชวนกันไปเล่นที่บ้านเพื่อนบ้าง บ้านตัวเองบ้างแต่ส่วนมากเพื่อนๆก็จะชอบมาบ้านข้าพเจ้ามากที่สุดเพราะบ้านของข้าพเจ้าอยู่ใกล้กับโรงเรียนมากที่สุด เพื่อนทั้ง 4 คนของข้าพเจ้านะค่ะถ้ามีปัญหาอะไรจะมาเล่าให้กันฟังทันที ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเรียน เรื่องแฟน เรื่องส่วนตัว ก็จะมาเล่าให้เพื่อนๆและข้าพเจ้าฟัง แต่ถ้ามีเรื่องพอที่จะแก้ปัญหาให้ได้พวกเราก็จะรีบพากันช่วยแก้ปัญหาให้แต่ถ้าแก้ปัญหาช่วยไม่ได้จริงๆแล้วก็จะแนะนำให้เขากลับไปคิด ให้ดีๆดูก่อนว่าถ้าเราแก้ปัญหาช่วยไม่ได้แล้วเราจะทำอย่างไร ดี ตัวเพื่อนและข้าพเจ้าเองจะเก็บความลับซึ่งกันและกันจะไม่นำเอาเรื่องที่เพื่อนนำมาเล่าให้กับข้าพเจ้าและเพื่อนฟังแล้วจะไม่นำไปเล่าต่อเพราะเป็นข้อมูลส่วนตัวของเพื่อน และความลับเฉเพาะพวกเรา 3 คน นี่ล่ะค่ะคือความเป็นเพื่อนกันจริงๆ ถึงแม้ว่าตอนแรกพบเขาอาจจะมาเข้ามาทักเรา เขาอาจไม่ชอบตัวของข้าพเจ้าก็ได้ แต่ในความเป็นจริงแล้วเขายังมีความรัก และความอบอุ่นให้กับข้าพเจ้า เวลาเรียนถ้าตัวของข้าพเจ้าไม่เข้าใจ เพื่อนเขาเข้าใจก็สามารถอธิบายให้ตัวของข้าพเจ้าเข้าใจโดยถ่องแท้โดยที่เพื่อนไม่เคยบ่นให้กับตัวของข้าพเจ้าเลยว่ารำคาญ ตัวของข้าพเจ้า เขายังให้คำแนะนำและคำปรึกษาที่ดีๆ แก่เรา เวลาที่ตัวของข้าพเจ้าทุกข์ เพื่อนก็ทุกข์ ด้วยกัน เวลาที่ข้าพเจ้ามีความสุขเพื่อนๆก็มีความสุขด้วยกันมีความสนุกสนาน เฮฮา ปาตี้ เหมือนกัน โดยเฉพะเวลาที่มีงานกลุ่มหรือกิจกรรมใดๆ ก็ตามเพื่อนของข้าพเจ้ากลุ่มนี้และเพื่อนๆในกลุ่ม ก็ให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกันอย่างเต็มที่ ไม่เห็นแก่ตัว โดยเฉเพาะตอนกิจกรรมกีฬาสี ที่โรงเรียนห้วยเม็กวิทยาคม พวกเราต้องฝ่าฟัน กับอุปสรรคที่ยากมาก ตอนที่ไปขอยืมเสื่อที่วัด มีพระรูปหนึ่งพระรูปนี้เป็นเจ้าโอวาทด้วยนะค่ะ วันนั้นตัวของข้าพเจ้าและเพื่อนๆใส่เสื้อสีเหลืองไปเพราะเสื้อสีเหลือง มันเป็นเสื้อห้องพระรูปนั้นก็บอกกับตัวของข้าพเจ้าและเพื่อนๆว่าใส่เสื้อสีเหลืองเข้ามาวัดทำไมไม่ใส่เสื้อสีแดงเข้ามา เออตัวของข้าพเจ้าและเพื่อนก็งงว่าเออพระรูปนี้ ทำไมพูดอย่า นี้วะ หลังจากคุยกับพระรูปนี้เสร็จพวกเราก็รีบไปยืมเสื้อสีแดงห้องข้างกันมาใส่ พวกเราก็ทำทุกวิถีทางกว่าจะได้เสื่อจาก วัดนั้นมายากมากนะค่ะ พอยืมเสื่อได้มาแล้วบอกตรงๆเลยค่ะว่า ต้องไปหาเช่าชุด ให้กับพวกหรีด ถือป้าย ดำมินเยอร์ บอกตรงๆเลยค่ะว่าวันซ้อมใหญ่และวันกีฬาสีตัวของข้าพเจ้า และเพื่อนๆไม่ได้นอนเลยค่ะเพราะว่าเป็นกิจกรรมสุดท้ายที่ตัวของข้าพเจ้าจะทำให้กับสถาบันและทำกิจกรรมร่วมกับรุ่นน้องๆ
ดิฉันเคยทำงานร่วมกับหลายหน่วยงาน ทั้งแบบเป็นพิธีการ มีการจัดการที่สวยหรู และที่เป็น “ผักชีโรยหน้า” อาทิเช่น สำนักข่าวเด็กและเยาวชนจังหวัดอุดรธานี ตะลอนไปเรื่อย ๆ ไม่ค่อยได้เรียนเท่าที่ควร ตอนนี้สนุกมากมาย คิดยังไม่ทันว่าต้องตั้งใจเรียน เจอดารา สนุก ! / สภาเด็กและเยาวชนจังหวัดอุดรธานี ได้ไปศาล เจอนักสังคมสงเคราะห์ เจอนักพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์บ่อย ๆ เล่าเรื่องราวในการว่าความให้ฟัง ทั้งสนุกทั้งสงสาร คนเรานี่ก็แปลก...ทำไปได้ เหอะ ๆ เป็นเยาวชนชาติไทยต้องรู้รักสามัคคีนะคะ ยุวชนประชาธิปไตย / สมัชชาอาสาสมัครพิทักษ์สิทธิเด็กและเยาวชน ( ๒ ทีมนี้แข่งกันดัง) / ชมรมเพศศึกษาของจังหวัดอุดรธานี (ชมรมไข่มดแดง) แจกถุงยางอนามัยทั่วเมืองอุดรธานี ใครที่ทำงานด้านโรคเอดส์และเพศศึกษาคงจะรู้จักนะคะ ไปเรื่อย ๆ ไม่หยุดไม่หย่อน แต่เป็นอะไรที่ประทับใจมากกว่าหน่วยงานอื่น เพราะเป็นหน่วยงานอิสระ สบาย ๆ เป็นตัวของตัวเอง สายอาชีวะกับสายสามัญมาเจอกันแล้วอะไรจะเกิดขึ้น ความสัมพันธ์ของเราแน่นมากคะ ไม่มีลืม / เป็นวิทยากรให้กับโรงพยาบาลอุดรธานี โครงการ “เพื่อพ่อเราทำได้” โครงการนี้ก็ชอบคะ ได้พาเด็ก ๆ ไปดูเรือนจำ การเข้าไปในเรือนจำครั้งแรกมันตื่นเต้นมากคะ ไม่ใช่ใครจะเข้าได้ง่าย ๆ นะคะเนี่ย อิอิ เหตุการณ์ตอนฝังลงในใจ ลืมไม่ลงแน่ / กับการเป็นเด็กวัด เกือบสองปีแห่งการพิสูทความบริสุทธิ์ของตนเอง พูดทั้งหมู่บ้าน กับการว่าเราชอบพระ มันเป็นเรื่องตลกมาก สำหรับเราแล้วเราไปเพื่อทำบุญ แต่กลับถูกมองอีกในแง่มุมหนึ่ง ต้องฝ่าฟันกับสิ่งเหล่านั้นมา ในที่สุดเราก็ทำได้ นี่เป็นบางส่วนของการใช้ชีวิตที่คุ้มค่าที่สุด เราช่างโชคดีได้เจออะไรหลาย ๆ อย่าง ได้ทำในสิ่งที่หลายคนไม่มีโอกาส ได้รู้ในสิ่งที่หลายคนไม่รู้ ได้ร่วมงานกับหลายหน่อยงาน ได้รู้ว่าคนเรา “รู้หน้า ไม่รู้ใจ” การได้เรียนรู้ด้วยตนเองอะไรมากมายมันจึงทำให้เรานั้นต้องเรียน “จิตวิทยา” แม้อาจถูกมองในหลาย ๆ มุมแล้วแต่บุคคล เราต้องผ่านมันไปได้แน่ “ อย่าหยุดฝัน ” ความจริงแล้วที่รู้ ๆ กันว่าโลกเราหมุนอยู่ตลอดเวลา อนาคตของเราเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา อาจเพราะว่าเราไม่หยุดฝัน มีการคิดอยู่ตลอดเวลาว่าเวลาใดควรไม่ควร ประมวลผลออกมาเป็นการกระทำ แต่การคิดออกมาเป็นการกระทำบางครั้งไม่ทันไตร่ตรองให้ดีอาจทำให้คุณล้มลงภายในช่วงเวลากระพริบตาเดียวของคุณเท่านั้นเอง ดังนั้นเราควรคิด
เพราะจะจบออกไปแล้วต้องทำหน้าที่ตรงนี้ให้ดีที่สุด กีฬาสีครั้งนี้ก็ยอมรับว่า หนึ่งล่ะเราเป็นรุ่นพี่เราต้องทำเป็นตัวอย่างให้น้องๆ เพราะรุ่นปีต่อไปเขาจะได้ทำตามแนวทางที่เขาเห็นเราทำ ถ้าเขาคิดว่ารุ่นพี่ทำไม่ดี แต่รุ่นพี่ก็ได้บอกกับน้องอยู่ว่าถ้าพวกรุ่นพี่ทำไม่ดีปีที่น้องๆเป็นรุ่นพี่น้องก็เก็บเอาประสบการณ์จากที่เห็นรุ่นพี่ทำ นำ ไปปฏิบัติให้ดีกว่านี้ หลังจากที่แข่งกีฬาสีเสร็จพวกรุ่นพี่ก็จะเริ่มสอบกัน หลังจากนั้นกลุ่มของข้าพเจ้าและเพื่อนๆ 3 คน ก็เริ่มหันหน้าตั้งใจเรียนหนังสือเพราะต้องได้เอาความรู้ที่เรียนมาเอาไปสอบเข้ามหาวิทยาลัยต่างๆ พอเรียนผ่านไปได้สักพัก ก็จะเริ่มสอบพวกเราและเพื่อนๆ ก็เริ่มจะ ตริว ข้อสอบให้กัน อย่างเต็มที่ ไม่กลัวเลยว่าใครจะได้คะแนนมากกว่าน้อยกว่ากันแต่อันดับแรกเลยล่ะที่ฝันไว้คือเพื่อนในกลุ่มต้องจบทุกคน ในห้องเรียนของข้าพเจ้าก็มีหลายกลุ่ม เช่นกลุ่มของข้าพเจ้าก็จะสอบแข่งขันกันกับกลุ่มที่อยู่ในห้องเดียวกันว่ากลุ่มคนจะผ่านมาก กว่ากัน กลุ่มใครจะได้คะแนนมากกว่ากัน และบางกลุ่มเพื่อนออกกลางคันก็มีค่ะ แล้วกลุ่มที่เพื่อนออกไปแล้วไม่มาเรียนเขาชอบจะมองกลุ่มนั้นด้วยสายตาที่แปลกมาก ตัวของข้าพเจ้าก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร แต่ไม่ใช่กลุ่มของข้าพเจ้านะค่ะ กลุ่มของข้าพเจ้าผ่านมาด้วยดีทุกคน หลังจากนั้นก็ถึงเวลาที่จะซื้อใบสมัครสอบเข้ามหาวิทยาลัย พวกเรากลุ่มเดียวกันก็ได้ไปซื้อใบสมัครด้วยกัน คือใบสมัครมหาวิทยาลัยมหาสารคามคิดว่าจะอยู่ด้วยกัน พักด้วยกัน เรียนด้วยกัน พอถึงเวลาประกาศรายชื่อ วันนั้นรู้สึกตื่นเต้นมากเลยค่ะ ผลออกมาปรากฏว่าเพื่อนมันไม่ติดสักคนเลยค่ะ หรือว่าเพื่อนมันเรียกคณะที่สูงเกินไปหรือ เปล่าก็ไม่รู้ แต่สุดท้ายเราต้องเริ่มต้นชีวิตใหม่ หาเพื่อนใหม่ แต่ก็ไม่ลืมเพื่อนเก่าเหมือนเดิมยังติดต่อสื่อสารกันอยู่เป็นระยะๆ เมื่อมีเวลาว่างตรงกันเพื่อนๆเก่าก็เข้ามาเล่นด้วย ถามไถ่ ทุกข์สุข กันเป็นประจำ เพราะคิดว่าความรู้สึกดีๆยังมีให้กันตลอดไป จะไม่ทอดทิ้งกันไม่ว่า จะไม่ได้เรียนด้วยกันก็แล้วแต่เพื่อน 4 คนนี้ยังยืนยันว่าจะเป็นเพื่อนที่ดี และจะเป็นคนที่ให้คำปรึกษาที่ดีๆแก่เพื่อนคนนี้ได้อย่างแน่นอน พอได้เข้ามาศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ก็ได้เจอกับสิ่งแปลกใหม่ เจอกับเพื่อนใหม่ สถาบันใหม่ ที่ห่างจากบ้านมา ห่างจากพ่อ แม่มา มาใช้ชีวิตตัวคนเดียว และต้องเผชิญกับสิ่งต่างๆที่เราไม่เคยพบเจอมาก่อนแต่เราก็ต้องปรับสภาพ และปรับตัวของเราให้เข้ากับเพื่อนๆให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนที่อยู่ในห้องเรียน เพื่อนที่อยู่ร่วมหอพักเดียวกัน ตัวของข้าพเจ้าเองก็ได้เจอกับเพื่อนที่แสนดี ที่หอพัก ชวนชม ห้อง
103 เพื่อน 2 คนนี้ เป็นเพื่อนที่ดีมากที่สุดเลยค่ะที่ตัวของข้าพเจ้าได้เข้ามาเจอที่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม เขาเป็นคนที่มีน้ำใจ มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เป็นบุคคลที่ให้คำปรึกษาที่ดี แก่ตัวของข้าพเจ้าเอง และบุคคลอื่นอีกหลายคน ตอนนี้ตัวของข้าพเจ้าเองก็อยู่ร่วมกับเพื่อน 2 คนนี้ล่ะค่ะ ไปไหนมาไหนก็ต้องไปด้วยกัน ฟ้าคงลิขิตมาให้เราเจอกัน เจอกับสิ่งที่ดีๆ ที่เรามีให้ซึ่งกันและกัน เมื่อมีงานที่ค้างคาที่ยังทำไม่เสร็จพวกเราก็ช่วยกันทำเป็นอย่างดี ให้ความร่วมมือซึ่งกันและกัน จนงานที่ทำสำเร็จ ลุล่วงไปด้วยดี ปัจจุบันก็ยังคบกันแบบเพื่อนกันฉันท์ พี่น้อง และเพื่อนที่คบอยู่ปัจจุบันนี้ก็เคยมาเล่นที่บ้านด้วยแล้วหลายครั้ง ก็รู้สึกดีใจที่เพื่อนอยากมาเล่นบ้านของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็ยินดีที่จะต้อนรับเพื่อนที่ดีๆอย่างนี้ค่ะ หวังว่าคงจะคบกันจนถึงปี 4 นะจ๊ะเพื่อนรัก อนาคต 5 ปีข้างหน้า 15 ปีข้างหน้า 30 ปีข้างหน้า ในอีก 5 ปีข้างหน้า กำลังเห็นตัวเองศึกษาอยู่ ใน ปี 1 ปี 2 ปี 3 และ ปี 4 ได้รับปริญญาได้ถ่ายรูปร่วมกับครอบครัวอย่างมีความสุข ทานข้าวร่วมกับครอบครัวอย่างสนุกสนาน และอยากจะทำความฝันของตัวเองให้เป็นจริงในอีก 5 ปี ข้างหน้า อยากถ่ายรูปที่รับปริญญาไปให้กับครอบครัว และอยากจะเป็นเสาหลักให้กับครอบครัว อยากมีชื่อเสียงของวงศ์ตระกูล ในอีก 5 ปีข้างหน้า อยากทำให้ พ่อ และ แม่ มี ความสุข เมื่อเห็นลูกได้ทำความฝันของตัวเองให้เป็นจริง นี่คือสิ่งที่ครอบครัวคาดหวังในอีก 5 ปี ข้างหน้า และเป็นสิ่งที่ตนเองคาดหวังมากที่สุดคือการได้ใบปริญญาและการมีงานที่ดีๆทำ ในอีก 15 ปี ข้างหน้า ต้องมีงานทำและได้เป็นครูแนะแนวอยู่สถานศึกษาที่ใกล้กับบ้านเป็นสิ่งที่ ตนเอง คาดหวังในชีวิตจะได้ดูแลครอบครัว พ่อ แม่ ที่เริ่มจะแก่ชรา ที่ไม่มีใครมาดูแลเราต้องกลับไปดูแลเพื่อตอบแทนบุญคุณท่าน ในอีก 30 ปี ข้างหน้า อันดับแรกเลยนะค่ะ เมื่ออายุราว 50-60 ปี ก็ยังเห็นตัวเองกำลังสอนนักเรียนอยู่ แต่พออายุประมาณ 60-70 ปี ป่านนั้น ก็คงจะเกษียณอายุราชการแล้วนะค่ะ และอยู่บ้านรอรับเงิน บำนานอยู่ที่บ้าน เพราะแก้แล้วต้องการพักผ่อนให้มากๆ จะได้มีร่างกายที่แข็งแรง อายุที่ยืนยาว เพื่อที่จะเผชิญกับปัญหาที่จะมาในภายภาคหน้านางสาวอรวรรณ ละมอม คณะศึกษาศาสตร์ สาขาวิชาจิตวิทยา ชั้นปีที่1 52010517050
วิเคราะห์ให้ดีว่าอะไรควรไม่ควร ฝันให้ไกลไปให้ถึง ส่วนที่พึ่งนั้นมันเป็นเรื่องของความสัมพันธ์ การอยู่ร่วมกันในสังคมก็มีความสัมพันธ์หลากหลายรูปแบบแตกต่างกันไป มีทั้งหวานทั้งเปรี้ยวหลากหลายรสชาติซะ ! เหลือเกิน อยู่ที่ว่าเราจะรับมันไหวไหม ไม่ไหวก็ต้องไหว เหอะ ๆ ล่วงเลยมาไกลส่วนฝันของดิฉันนั้นมันก็ยาวไกลเหมือนกัน หลายคนอาจมองว่าเพ้อเจ้อ แต่มันก็เป็นฝันของฉัน อิอิ “อย่าหยุดฝัน” ดิฉันอยากเรียนจบเร็ว ๆ อยากทำงาน มันอาจเป็นสิ่งที่ขัดแย้งกันกับวัยทำงาน เพราะมีหลายคนบอกว่า “อยากทำงานเร็ว ๆ แล้วจะรู้สึก...คิดถึงสมัยเรียนจะตาย สบายก็สบาย คิดถึงเพื่อน ๆ” ผลาญเงินพ่อ-แม่สิไม่ว่า อิอิ อนาคตนะอยากประกอบอาชีพหลายอย่างมากมายเลยทีเดียว ดิฉันอยากทำงานอะไรก็ได้ “เพื่อสังคมไทย” อยากเป็นนักสังคมสงเคราะห์ รับราชการ ครู ทำงานในค่ายทหาร ตำรวจ ชุมชน ผู้พิทักษ์สิทธิเด็กและเยาวชน งานเกี่ยวกับจิตวิทยา และผู้ให้ความยุติธรรมในสังคม หลายอย่างมากมาย อะไรที่ได้ช่วยสังคมดิฉันอยากทำคะ หลายคนอ่านไปอ่านจะเหยียบฝันของดิฉันอยู่นะคะ ขอความกรุณายกเท้าออกด้วยนะคะ เหอะ ๆ ฝันของดิฉันอาจเป็นไปได้หรือไม่ได้ก็ตามแต่ฟ้าเห็นสมควรและตัวเองพยายาม แต่ดิฉันไม่หยุดไว้แค่ฝันหรอกคะ นั่นคือสิ่งที่หมาย ต้องทำให้ได้ ! เพื่อตัวเองเพื่อสังคมเพื่อทุกสิ่งทุกอย่างที่หลายคนปรารถนา สู้จนถึงที่สุด มีหวังดีกว่าไม่มีหวังนะคะ “ ทำไม ? ต้อง จิตวิทยา ” การมาเรียน “จิตวิทยา” ในรั้วมหาวิทยาลัยมหาสารคามแห่งนี้ ก่อนมาเรียนดิฉันต้องเผชิญกับคำพูดมากมาย อาจเป็นเพราะพวกเขาไม่ทราบว่าการเรียนจิตวิทยานั้นเรียนเกี่ยวกับอะไรก็เป็นได้ เหอะ ๆ คุณครูที่รักของดิฉันบอกกับดิฉันว่า “จะเรียนไปทำไม จิตวิทยา ! เพื่อนครูเรียนจบมาไม่มีงานทำ ต้องไปเรียนใหม่ เสียเวลา” “เรียนโรคจิตหรอ ? ” “(หัวเราะ)พวกโรคจิตหรอ”หลายอย่างต่าง ๆ นานา แต่มันเหมือนเป็นแรงในการกระทำแห่งการสวนกระแสในคำพูดของผู้คนเหล่านั้น ยังไม่หมด ยังมีโทรศัพท์มาอีก ฝากเพื่อนมาบอก “จะเรียนจริง ๆ หรอ ไปหาเรียนอันใหม่ไม่ดีกว่าหรอ” จนทำให้ดิฉันไม่กล้าที่จะเข้าไปโรงเรียน แต่คุณครูก็โทรถามตลอดเวลา เข้าใจในความหวังดีของทุก ๆ คน ขอบคุณมากนะคะ ไม่ลองไม่รู้หรอคะ รอวันแห่งความสำเร็จถึงจะกล้าเผชิญหน้าอย่างเต็มภาคภูมิ
หลายคนมองจิตวิทยาในหลายรูปแบบ แต่สำหรับดิฉันแล้ว ใครจะมองว่าอย่างไรก็ตามที การเรียนจิตวิทยาของดิฉันเป็นการศึกษาที่มีคุณค่ามากกับการดำรงชีวิต ได้ช่วยเหลือสังคม ได้เรียนรู้ในสิ่งที่คนมากมายไม่อาจรู้ได้ในการแสดงพฤติกรรมของตนเอง การที่ได้ช่วยเหลือผู้อื่นนั่นเป็นสิ่งที่มีคุณค่าที่สุดในการได้เกิดมาบนโลกใบนี้ “ ห้องเรียน จิตวิทยา ” ขณะนี้ล่วงเวลามาถึงสองยามแล้ว ดิฉันยังไม่หลับไม่นอนอีก ยิ่งเขียนยิ่งมันไปเรื่อย แค่เล่าเป็นบางส่วนเท่านั้นยังรู้สึกว่าตัวเองสนุกมากมาย เล่าทั้งหมดจะสนุกขนาดไหน ห้องเรียนจิตวิทยา เป็นห้องเรียนที่เต็มไปด้วยผู้คนมากมาย เยอะจริง ๆ ดิฉันมีเพื่อนที่แสนดีมากมาย ได้ทำกิจกรรมที่สนุกสุขสันต์คละเคล้าเศร้าบ้างบางครั้งเราก็ไปพร้อมกัน การที่คนเราอยู่ร่วมกันเป็นสังคม คนเยอะแยะ เขาจะมองดิฉันอย่างไรก็ตามที แต่ดิฉันรักพวกเขา มากมาย การคิด การกระทำจึงต้องคิดก่อนทำอย่างรอบคอบ เพราะการอยู่ร่วมกันมาก ๆ คนเรามีความคิดที่แตกต่างกัน อาจมีความขัดแย้งเกิดขึ้นในสังคมห้องเรียนนี้ อาจมีบางเรื่องราวที่เราคิดไม่ตรงกัน ต้องการที่ปรึกษา ต้องการที่พึงทางใจ แต่พวกเราก็ผ่านมันมาได้ “ที่ใดมีความขัดแย้ง ที่นั้นมีการพัฒนา” ในบางครั้งบางเวลาบางเรื่องราวมันอาจทำให้ดิฉันเจ็บปวด ข้างนอกอาจสดใส ข้างในอาจจะอ่อนโยน...อิอิ แล้วใครจะรู้บ้าง การที่ดิฉันได้เข้ามีอยู่ร่วมกันกับคนหมู่มาก มีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้นในช่วงระยะเวลาที่ได้อยู่ร่วมกันมา มันทำให้ดิฉันได้เรียนรู้ว่าคนเรานี่ก็แปลก แตกต่างกันไปมากเหลือเกิน บางครั้งการที่เราเชื่อใจ ไว้กันเขามากเกินไป ความหวังดีของเรามันอาจย้อนกลับมาทำร้ายตัวเราเอง เจ็บปวดมากคะ ไม่รู้ว่าดิฉันไปทำอะไรให้เขา แต่ก็ช่างเถอะคะ เราทำดีที่สุดแล้ว ให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่ให้ได้ คอยช่วยเหลือ ปลอบใจ พูดคุยด้วยความหวังดีและความจริงใจ ให้เขาหมดหัวใจ แต่ ... แนะนำการดำรงชีวิตสารพัด ให้กำลังใจ มันอาจเป็นสัจธรรมของโลกก็เป็นได้ เหอะ ๆ เรามันก็ทำได้แค่นี้ ดีที่สุดแล้ว เขามองเรายังไงก็มองไป แต่ขอให้มองในสิ่งที่ดิฉันเป็น เป็นคนยังไงมันก็แล้วแต่คนมอง ไม่ใช่ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นยังไงนะจ๊ะ แต่ดิฉันไม่สามารถตัดสินด้วยตนเองได้หรอกคะ มันก็แล้วแต่คนมองอยู่ดี ไม่ได้เป็นคนดีอะไรมากมาย แต่ก็ให้ความจริงใจกับทุกคนหมดหัวใจ โปรดอย่ามาทำให้เจ็บ ....ไม่เป็นไร---อภัยเสมอ....
“ มองแต่แง่ดีเถิด ” เขามีส่วน เลวบ้าง ช่างหัวเขาจงเลือกเอา ส่วนดี เขามีอยู่เป็นประโยชน์ แก่โลกบ้าง ยังน่าดูส่วนที่ชั่ว อย่าไปรู้ ของเขาเลยจงหาคน มีดี โดยส่วนเดียวอย่ามัวเที่ยว เสาะหา สหายเอ๋ยเหมือนเที่ยวหา หนวดเต่า ตายเปล่าเลยฝึกให้เคย มองแต่ดี มีคุณจริงไม่นานนัก จักมี ดีประดังจนกระทั่ง จักมี ดีอย่างยิ่งเมื่อพ้นดี จะถึงที่ นิพพานจริงนับเป็นสิ่ง ควรฝึกแน่ “มองแต่ดี” ท่านพุทธทาสภิกขุ “ ขอให้ทุกคนโชคดีนะคะ ” สวัสดี
ประวัติส่วนตัวดิฉันชื่อ น.ส.ปภารดา สิทธิอาภากุล นิสิตปีที่ 1 รหัสประจำตัวนิสิต 52010517022คณะศึกษาศาสตร์ สาขาจิตวิทยา มหาวิทยาลัยมหาสารคามอยู่หอพัก เฮือนเฮา หอใน (ม.เก่า) ชื่อเล่น กิ๊ฟจ๋าเบอร์โทรศัพท์ 0872527142อายุ 19 ปีเกิดวันที่ 7 สิงหาคม 2553ศาสนาพุทธ สัญชาติไทย เชื้อชาติไทยที่อยู่ 53-55 ถ.เทศบาล9 อ.บัวใหญ่ ต.บัวใหญ่ จ.นครราชสีมา 30120ความสามารถพิเศษ ห่อของขวัญ, เต้นชอบสี ฟ้า ชมพู ขาวนิสัยส่วนตัว ขี้อาย ไม่ค่อยพูด ใจดีและเป็นมิตรกับทุกคนงานอดิเรก อ่านหนังสือสัตว์เลี้ยงที่ชอบ หมา,แมวนางแบบที่ชอบ มิโดริ คุชุโอกะ , เอมะ ชิคุโมรินักร้องที่ชอบ หวังลีโฮมดาราที่ชอบ แพนเค้กอาหารที่ชอบ ข้าวผัด , ข้าวไข่เจียวอาหารที่กินบ่อยที่สุด บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปผลไม้ที่ชอบส้ม, กล้วยการ์ตูนที่ชอบ โคนัน, มิรูโมะ, ฮิคารุ เซียนโกะ, วันพีชสบู่ที่ใช้ บีไนท์, นกแก้วแชมพูที่ใช้ แพนทีนครีมที่ใช้ บิโอเร SPF 50+ผงซักฟอกที่ใช้ บรีสคัลเลอร์ปรับผ้านุ่มที่ใช้ คอมฟอร์ทคติประจำใจ ทำวันนี้ให้ดีที่สุดขนมที่ชอบ ปีโป้, คุกกี้, เค้กมะพร้าว, บลูเบอร์รี่ชีสเค้ก
ไอศกรีมที่ชอบ วานิลลา, ช็อกโกแลตละครที่ชอบ เงารักลวงใจซี่รี่ห์เกาหลีที่ชอบ ดนตรีรักหัวใจปรารถนา, จามองชุดที่ต้องใส่ให้ได้ ชุดฮันบก ประจำชาติเกาหลีมีพี่น้องทั้งหมด 2 คน เป็นลูกคนที่ 1บิดาชื่อ นายสมบัติ สิทธิอาภากุล อาชีพค้าขาย เบอร์โทรศัพท์ 0872385895มารดาชื่อ นางพรประภา สิทธิอาภากุล อาชีพค้าขาย เบอร์โทรศัพท์ 0862365945น้องสาวชื่อ มนวิภา สิทธิอาภากุล เบอร์โทรศัพท์ 0844179407เรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนขอนแก่นวิทยายน ชื่อเล่น มะเหมี่ยวสถานที่ท่องเที่ยวที่ชอบ หัวหินจบอนุบาล3 ที่โรงเรียนโพธิ์ชัยราชินูปถัมป์ อำเภอโพธิ์ชัย จังหวัดร้อยเอ็ดจบประถมศึกษาที่โรงเรียนบัวใหญ่วิทยา อำเภอบัวใหญ่ จังหวัดนครราชสีมาจบมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่โรงเรียนบัวใหญ่วิทยา อำเภอบัวใหญ่ จังหวัดนครราชสีมาจบชั้นมะยมศึกษาปีที่ 6 ที่โรงเรียนบัวใหญ่วิทยา อำเภอบัวใหญ่ จังหวัดนครราชสีมาอนาคต ทำในสิ่งที่ตัวเองรักสิ่งที่จะต้องทำให้สำเร็จ ต้องไปเที่ยวญี่ปุ่นให้ได้อีเมล์ kibja_little.comประวัติการเกิดดิฉันเกิดเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2533 ที่โรงพยาบาลโพนทอง อ.โพนทอง จ.ร้อยเอ็ดพ่อเป็นคนตั้งชื่อให้ ชื่อว่า ปภารดา ซึ่งแปลว่า แสงสว่างที่ส่องสว่างแล้วสวยงาม ตอนแรกดิฉันไม่ได้ชื่อนี้หรอก ดิฉันชื่อ มนวิภา ซึ่งปัจจุบันเป็นชื่อของน้องดิฉันเอง พอแม่คลอดน้องดิฉันออกมาปุ๊บ พ่อก็เลยเอาชื่อมนวิภาให้น้อง แล้วก็ไปหาชื่อใหม่ให้ดิฉัน ฉันใช้นามสกุลของพ่อ คือ สิทธิอาภากุล ซึ่งแปลว่า สกุลที่หหน้าที่อันชอบะรรมและสูงส่ง ส่วนชื่อเล่น พ่อก็เป็นคนตั้งให้ว่า กิ๊ฟจ๋า ที่มีจ๋าด้วย เพราะอยากให้ทุกคนเรียกแนเพราะๆไงประวัติการศึกษาพ่อแม่ของดิฉันได้ส่งฉันเรียนอนุบาล 1 ที่โรงเรียนโพธิ์ชัยราชินูปถัมป์ อำเภอโพธิ์ชัย จังหวัดร้อยเอ็ด
ตอนอนุบาล 1 พ่อฉันก็เริ่มให้ฉันหัดอ่านหนังสือแล้ว ทำให้ดิฉันอ่านหนังสือเรียนของพวกป.1 ได้ ตอนอนุบาลฉันเก่งมาก แต่ทำไมโตมาถึงโง่นะไม่เข้าใจ แต่พอฉันเข้าชั้นป.1พ่อกับแม่เริ่มทำงานหนัก เลยไม่ค่อยมีเวลาดูแลดิฉันกับน้อง ญาติรู้เลยให้ฉันกับน้องย้ายมาเรียนที่โรงเรียนบัวใหญ่วิทยา อ.บัวใหญ่ จ.นครราชสีมา แต่พอขึ้นม.ปลาย ฉันกับน้องก็แยกกันเรียน ฉันเรียนอยู่ที่เดิม ส่วนน้องเรียนอยู่ที่ขอนแก่นน้องสาวของฉันฉันกับน้องสาวสนิทกันมาก ถึงแม้เราจะห่างกันแต่ก็เข้าใจกันมากน้องของดิฉันชื่อมะเหมี่ยว ม่าเหมี่ยวเป็นยิ่งกว่าเพื่อนสนิท เป็นยิ่งกว่าพ่อแม่ เป็นยิ่งกว่าแฟน เพราะเราคุยกันได้ทุกเรื่อง วันข้างหน้าที่พ่อแม่ไม่ได้อยู่กับพวกเราแล้ว ดิฉันก็ยังมีม่าเหมี่ยว ม่าเหมี่ยวก็ยังมีดิฉันที่จะดูแลไว้ใจเติมเต็มความสุขให้กันได้ยิ่งกว่าใครๆในโลก เป็นมรดกเป็นของขวัญที่มีค่ายิ่งกว่าทรัพย์สินใดๆ ที่พ่อแม่จะพึงทิ้งไว้ให้เราสองคนได้ เป็นสิ่งที่ยิ่งใหย่มากที่จะมีคนอีกคนหนึ่งนอกจากพ่อแม่ ที่เรารู้สึกว่าจะไม่มีวันหักหลังเรา จะไม่มีวันไม่รักเรา จะไม่มีวันหยุดหาวิธีที่จะทำให้เรามีความสุข จะมีรอยยิ้มและสร้างรอยยิ้มให้เราทุกวัน วันละนับครั้งไม่ถ้วน (ซึ้ง)
img src="http://photos3.hi5.com/0113/730/190/m4HFaS730190-02.gif" >
น.ส.วิราภรณ์ ทิพสุวรรณ์1psy 52010517037ประวัติส่วนตัวเขามีชื่อว่า นางสาววิราภรณ์ ทิพสุวรรณ์ เป็นผู้หญิง เขามีชื่อเล่นว่า หมิว ฉายาที่เพื่อนตั้งให้เขาคือ ลีจุน เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าความหมายของมันคืออะไร แต่เขารู้สึกดีเวลาที่มีคนเรียกเขาด้วยชื่อนี้ ชื่อและนามสกุลของเขามีความหมายโดยรวมว่า ทองที่เป็นทิพย์ (เขาเลยไม่อาจจับต้องมันได้ เพราะมันเป็นทิพย์) เขาเกิดเมื่อ 10 มกราคม 2534 ตรงกับวันพฤหัสบดี ราศีธนู ปีนักษัตร ม้า เขามีพระประจำวันเกิดด้วยคือ พระปางสมาธิ คาถาสวดบูชาประจำวันเกิดของเขามีอยู่ว่า ปูเรนตัมโพธิสัมภาเร นิพพัตตัง โมระโยนิยัง เยนะ สังวิหิตารักขัง มหาสัตตังวเนจรา จิรัสสัง วายะมันตาปิ เนวะ สักขิงสุ คัณหิตุง ฯ สวด 19 จบ เขาเชื่อว่าจะมีความเจริญรุ่งเรือง และโชคดี แต่เขายังไม่เคยปฏิบัติเลยสักครั้ง ต้นไม้ประจำวันเกิดของเขาคือ ต้นโสน ต้นราชพฤกษ์ และต้นบานบุรี ความเชื่อมีอยู่ว่า หากมีต้นไม้เหล่านี้อยู่ในบ้านจะช่วยคุ้มครองดูแลให้ปลอดภัย (แต่ตอนนี้เขาอยู่มหาลัยนะ เขาจะปลอดภัยหรือเปล่า) ดอกไม้ประจำวันเกิดของเขาคือ ดอกกุหลาบสีเหลือง หมายถึงการเปลี่ยนแปลงในเรื่องความรัก และดอกไม้อีกชนิดหนึ่งคือดอกคาร์เนชั่นสีชมพู หมายถึงรักที่อ่อนโยนและอ่อนหวาน พระธาตุประจำวันเกิด คือ พระธาตุประสิทธิ์ อยู่จังหวัดนครพนม ภายในบรรจุพระบรมสารีริกธาตุและพระอรหันตสารีริกธาตุรวม 7 องค์ เชื่อกันว่าผู้ไปนมัสการจะได้รับอานิสงส์ให้สัมฤทธิ์ผลในการทำงาน เทพประจำวันเกิด คือพระหฤหัสบดี เทพองค์นี้เป็นเทพแห่งปัญหา เป็นอาจารย์ของเทวดาทุกองค์ จุดเด่นคือเวลาจะไปไหนต้องถือกระดานจดชวเลขติดมือไปด้วย เพื่อเอาไว้เลคเชอร์ลูกศิษย์ได้ตลอด พระหฤหัสบดี เป็นบุตรของ พระอังคิรสมนี กับ พระนางสมปฤดี ซึ่งตระกูลฤาษีโดยแท้ พระองศ์มีพระมเหสี 2 พระองค์นามว่า พระนางดารา และ พระนางมนตา เรืยกว่าฉลาดด้วยเจ้าชู้ด้วย เมียเดียวไม่พอ พี่ต้องขอสอง เขามีชื่อตามวันเกิดเป็นภาษาเกาหลีว่า คิม - ยอง - ฮุน เขาชอบสีน้ำเงินมาก แต่เขาก็ไม่เคยใส่เสื้อสีนี้เลย เขามีกรุ๊ปเลือด B จะเป็นคนใจร้อน งานอดิเรกของเขาคือ
การนอนหลับ เขาสามารถนอนได้เร็วและนานมาก ปลุกยากที่สุดด้วย เขามีที่อยู่ตามทะเบียนบ้านคือ 52 หมู่ 9 ตำบล นาตงวัฒนา อำเภอ โพนนาแก้ว จังหวัด สกลนคร 47230 แต่ปัจจุบันเขามาอาศัยอยู่ที่ หอพักเบญจมาศ ห้อง 107 อยู่เขตคณาสวัสดิ์ ม.เก่า เขาเชื่อว่ามันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นพรหมลิขิตที่เขามีกุญแจห้องนี้และได้อาศัยเป็นที่หลับนอน หลบแดดหลบฝน เพราะตอนที่เขามาจองห้องพักต้องอาศัยดวงล้วนๆ ลุ้นว่าจะได้อยู่ห้องไหน เพื่อนร่วมห้องจะหน้าตาเป็นอย่างไร จะอยู่ด้วยกันรอดมั๊ย แต่แล้วมันก็ผ่านไปได้ด้วยดี ทุกอย่างลงตัว เขามีคำพูดติดปากคือคำว่า ok เขาจะพูดทุกครั้งเวลาที่เขารู้สึกดี หรือเวลาที่อยู่กับเพื่อนแล้วไม่รู้จะพูดอะไรหรือเวลาที่เขาเศร้าเขาก็ยังพูด ของสะสมที่สำคัญของเขาคือเงิน รวมไปถึงบัตรส่วนลดต่างๆ แต่เขาก็ไม่เคยได้ใช้สักที เขาชื่นชอบดารานักร้องเกาหลีมากถึงมากที่สุด มีอยู่ครั้งหนึ่งเขานั่งดูซีรี่ห์เกาหลีตั้งแต่เก้าโมงเช้าจนถึงบ่ายสองโมงของวันถัดไปโดยไม่ต้องนอนเลย (มันจะอะไรขนาดนั้น) นักร้องที่เขาปลื้มสุดๆ คือ Rain แต่นั่นมันคืออดีต ตอนนี้เขามีที่หมายใหม่ มีชื่อว่า Kimhyunjoong เป็นนักร้องวง ss501 จะมาเปิดคอนเสิร์ตในเมืองไทยวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2553 ที่อิมแพล็ค อารีน่า เมืองทองธานี เขามีความตั้งใจอยากจะไปดูมาก แต่แล้วเขาก็เปลี่ยนใจ เมื่อเขารู้ราคาบัตรคอนเสิร์ต (มันจะแพงอะไรขนาดนั้น) 800 บาท คือขั้นต่ำ เขาก็เลยคิดว่า เก็บเงินไว้ซื้อข้าวดีกว่า ไปหาดูตาม youtube เอา จุใจกว่าเยอะ การดำเนินชีวิตในแต่ละวันของเขาเรียบง่าย ไม่หวือหวา ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น แต่เน้นที่ความสุข สนุกเฮอา เขาไม่ค่อยจะออกไปไหนเลย เช่นวันเสาร์ อาทิตย์ ส่วนมากถ้าสัปดาห์ว่างเขาก็จะกลับบ้าน เขาจะอยู่ในหอพัก อยู่กับตัวเอง อยู่กับเพื่อนในห้อง อยู่กับ Notebook เขาค่อนข้างจะพอใจในชีวิต ไม่เคยรู้สึกว่ามันจำเจ ซ้ำซาก อาจเป็นเพราะเขาชินกับชีวิตแบบนี้ แต่ถ้าเขาอยากดูหนัง อยากออกไปเที่ยวบ้างเขาก็ไป ไม่ยึดติดกับอะไรทั้งนั้น โดยนิสัยส่วนตัวของเขาเป็นคนร่าเริง มองโลกในแง่ดี เป็นคนสบายๆ แต่ก็ใช่ว่าจะอะไรก็ได้ในทุกเรื่อง มีหลายครั้งที่คนบางคนคิดจะเอาเปรียบเขา คงคิดว่าเขาโง่ แต่อยากจะบอกว่าเขาไม่ได้โง่แค่ไม่เคยเจอคนเลว เท่านั้นเอง เขามีความคิดเป็นของตัวเอง เพียงแต่ว่าถ้ามีความคิดที่ดีกว่าเขาก็ยอมรับฟัง แต่ไม่ค่อยจะปฏิบัติตาม สิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตของเขาคือครอบครัว เขาจะรู้สึกแย่ทุกครั้งเวลาที่เขาทำอะไรให้ครอบครัวรู้สึกผิดหวัง เช่น การสอบได้คะแนนน้อย ทั้งๆที่ครอบครัวไม่เคยตำหนิ ซ้ำเติม
อะไรเขาเลย แต่เขาก็ก้าวร้าวตัวเอง โทษตัวเองเป็นประจำ (เฮ้อ! ชีวิตหนอชีวิต) ชีวิตการศึกษาของเขา อนุบาล 1 – ประถมศึกษาปีที่ 6 เขาจบจากโรงเรียนบ้านนาตงสหราษฎร์อุทิศ โรงเรียนใกล้บ้าน ไปสายเป็นประจำ 9 โมงอย่างเร็วสุด มัธยมศึกษาปีที่ 1 – มัธยมศึกษาปีที่ 3 เขาจบจากโรงเรียนเซนต์โยเซฟ ท่าแร่ เป็นโรงเรียนที่คนทั่วไปมองว่ามันไฮโซ คุณหนู อะไรประมาณนั้น แต่ถ้าได้สัมผัสจะรู้ว่ามันโลโซมาก อบอุ่นมากถึงมากที่สุด เป็นโรงเรียนแรกที่สอนให้เขารู้จักความรู้สึกของการลาจาก และโรงเรียนนี้ทำให้เขาได้เขาห้องปกครองเป็นครั้งแรก สาเหตุที่ได้เข้าอาจจะแหวกแนวหน่อย คนอื่นก็จะมีเรื่องวิวาทชกต่อยกัน หรือไม่ก็ทำผิดกฎระเบียบ แต่โทษฐานของเขาคือ สั่งส้มตำจากร้านข้างนอกเข้ามากินในโรงเรียน วันที่เกิดเหตุตรงกับวันที่ 24 ธันวาคม 2548 เป็นวันคริสต์มาส อีฟ โรงเรียนจัดให้มีการเฉลิมฉลองต้อนรับวันคริสต์มาส จากนั้นก็หยุดยาวถึงปีใหม่ ประมาณ 11 โมง ของวันที่ 24 ธันวาคม 2548 รถมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งขับเข้ามาในโรงเรียนมีถุงห้อยมาด้วยเต็มไปหมด สักพักมีผู้หญิงคนหนึ่งหนึ่งหน้าตาน่ารัก (เพื่อนเขาเอง) วิ่งไปรับของ อ้า! มันคือถุงส้มตำนั่นเอง รับมาเสร็จก็จัดการคลุกเคล้าให้เข้ากัน เพราะสั่งแบบแยกน้ำแยกเนื้อ กินกัน 11 คน สักพักมีเสียงตามสายประกาศว่า ขอพบน.ส.วิราภรณ์ ทิพสุวรรณ์ พร้อมเพื่อนๆ ที่นั่งอยู่โต๊ะ 7 ที่ห้องปกครองด้วยด่วนที่สุด อยากบอกว่าตอนนั้นเขาเริ่มหน้าบางขึ้นมาแล้ว อายมากรู้กันทั้งโรงเรียน แรกๆก็งงเหมือนกันว่าทำอะไรผิด พอไปถึงอาจารย์ก็ให้ลงชื่อ แล้วก็ให้นั่งรอจนกว่าจะถึงบ่ายโมง เหมือนกับกักบริเวณเลย เป็นการลงโทษ ไม่เสียดายส้มตำหรอก เพราะกินหมดแล้ว ลงชื่อเสร็จอาจารย์ก็บอกว่าความจริงมันก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรเลย แต่มันเป็นหน้าที่ของครูเวรประจำวันอย่างครู ถ้าครูทำเป็นไม่เห็น แต่ถ้าคนอื่นเห็นเขาจะหาว่าครูละเลยหน้าที่พวกเธอก็จะเดือดร้อนด้วยอาจจะได้เข้าห้องเย็น หรือห้องครูใหญ่แน่นอน (เหตุผลดีน่าฟังให้อภัยก็ได้คะ) นี่คือชีวิตม.ต้น สนุก ท้าทาย ตื่นเต้น มีความสุข มัธยมศึกษาปีที่ 4 – มัธยมศึกษาปีที่ 6 เขาจบจากโรงเรียนสกลลราชวิทยานุกูลเป็นโรงเรียนประจำจังหวัด ใหญ่โตมากแต่ไม่ค่อยจะอบอุ่น เขารู้สึกว่ามันเป็นสังคมของการแข่งขัน แต่นั่นคือการเริ่มต้นให้เขามีวันนี้ เป็นโรงเรียนแรกที่เขาต้องเดินทางไกลห่างจากบ้านเขา 44 กิโล ทุกวันๆ แต่เขาไม่เคยรู้สึกเบื่อหน่ายกับการเดินทาง เพียงแต่เขาจะรู้สึกโดดเดี่ยวในการสอบทุกครั้ง อาจารย์คุมเข้มมากไม่เปิดโอกาสให้ส่งกระแสจิตหากัน
ได้เลย แต่เขาก็พอใจในคะแนนสอบเพราะอย่างน้อยเขาก็ได้ทำ เกรดออกเทอมแรกตอนม.4 เขาเหนื่อยใจมาก 2.8 คือตัวเลขที่ทำร้ายจิตใจเขา เพราะตอนอยู่ม.ต้นเขาไม่เคยได้น้อยขนาดนี้ เขาก็เลยไปถามเพื่อนสนิทว่าได้เท่าไหร่ 2.79 คือตัวเลขที่เพื่อนบอกทั้งน้ำตาเพื่อนยังเศร้าอยู่แต่เขาหายแล้ว เพราะคิดว่า เอ่อ! ยังมีคนได้น้อยกว่าเขาและมีเพื่อนร่วมชะตากรรมเดียวกันกับเขาทั้งเพื่อนและเขาก็ปลอบกันเกือบครึ่งวันแล้วก็พากันไปดูหนังต่อ(ซะงั้น)พอเทอมต่อมาเกรดของเขาและเพื่อนก็ขยับขึ้นมาถึง 3 กว่าๆ เกรดของเขาเป็นเหมือนขั้นบันไดมีขึ้นมีลง บางงเทอมได้น้อยกว่า 3 เขาก็รู้สึกเฉยๆ เพราะเขาเริ่มชินชาและปรับตัวได้แล้ว เขาเริ่มยอมรับความจริงได้ แม้ว่ามันจะเจ็บปวดก็ตาม ณ ปัจจุบันเขากำลังศึกษาอยู่คณะศึกษาศาสตร์ สาขาจิตวิทยา ปี1 เขามีความสุขในการได้เรียนในสิ่งที่เขาชอบ เขารู้สึกโชคดีอย่างมากที่พ่อแม่ไม่ขัดขวางความฝันของเขา เขามีความเชื่อเสมอว่าทุกเส้นทางเดินของชีวิตไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเสมอแต่ก็ใช่ว่าจะโรยด้วยขวางหนามเสมอไป ด้วยความคิดแบบนี้จึงทำให้เขาอยู่ได้ด้วยกำลังใจตัวเองตลอดมา ชีวิตความรักของเขาไม่มีอะไรมาก ไม่ใช่ว่าเขาปิดกั้นตัวเอง แค่เขายังไม่พร้อมที่จะลำบากเพื่อใครและยังไม่พร้อมจะเอาใจใส่ใคร ตอนนี้เขามีความสุขกับการอยู่กับตัวเอง การได้ดูแลตัวเอง คติประจำใจของเขามีอยู่ว่า ในความโชคร้ายย่อมมีความโชคดี เขามีที่อยู่หลายที่ไม่เว้นแม้แต่โลกไซเบอร์ kidhodey.hi5.com เขาจะเข้ามาอยู่ทุกวันไม่เว้นวันหยุดนักขัตฤกษ์ kidhodey@hotmail.com เขาจะเข้ามาอยู่เฉพาะวันจันทร์แค่ 10 นาที raincove.multiply.com เดือน 2 เดือนเขาก็ไม่ค่อยได้เข้ามา เพราะบ้านเขายังสร้างไม่เสร็จ ชีวิตในด้านครอบครัว เขามีพี่น้อง 2 คน เขาเป็นลูกคนโต มีน้องชายคนเดียว ตอนนี้อยู่ม.3 โรงเรียนสกลราชวิทยานุกูล ครอบครัวเขาค่อนข้างจะอบอุ่น พอเพียงแต่ไม่เคยเพียงพอ เขารักครอบครัวของเขามาก เขาดูแลพ่อและแม่เป็นอย่างดีเท่าที่ลูกคนหนึ่งทำได้ เขาไม่ใช่คนดีอะไรมากแต่พ่อกับแม่ก็ไม่เคยต้องเสียน้ำตาเพราะเขาเลยสักครั้งเขาไม่ใช่คนพูดมาก แต่เขาก็ดีใจที่คนแบบเขาก็มีคนคบด้วย เขาและเพื่อนค่อนข้างจะมีความแตกต่างกันมาก เขาชอบเปรี้ยวเพื่อนชอบหวาน เขาชอบเกาหลีเพื่อนชอบหมอลำ เขาพูดน้อยแต่เพื่อนพูดได้ทั้งวัน เพื่อนมีคนมาจีบเยอะแต่เขาไม่เคยสนใจใคร(ดูดีนะ) แต่เขาก็ยังคิดว่ามันเป็นความต่างที่ลงตัว เรื่องที่เขาภาคภูมิใจมีหลายเรื่อง แต่ที่ภูมิใจมากคือ เขาสวดอิติปิโสได้ครบ 108 จบ ที่วัดป่ากู่แก้ว วันที่ 7 มกราคม 2553
เขาเคยคิดว่าคนที่มีความอดทนน้อยอย่างเขาจะทำได้เหรอ แต่แล้วก็ทำได้ด้วยดี ความใฝ่ฝันของเขาเมื่อเรียนจบเขาอยากเป็นนักจิตวิทยา ในโรงพยาบาลจิตเวช ขอนแก่น เขาคิดว่าเขาจะมีความสุขมากถ้าได้ทำในสิ่งที่ชอบ เขาชอบฟังเพลงแบบ pop pop ฟังง่าย สบายๆ ไม่ต้องใช้ความรู้สึกอะไรมาก เหตุผลที่เขาชอบเพลงเกาหลี ฟังไม่รู้เรื่องแต่คนร้องหน้าตาดี ชอบแต่ไม่ได้คลั่งไคล้ เพลงไทยเขาก็ฟัง นักร้องไทยเขาก็ชอบ ความเป็นไทยอยู่ในสายเลือด ในวันที่10 มกราคม 2553 ที่ผ่านมาเขามีความสุขมาก มันเป็นวันคล้ายวันเกิดเขา มีคนกลุ่มหนึ่งกลุ่มเล็กๆแต่อยู่ด้วยแล้วสบายใจ อบอุ่น จัดวันเกิดให้เขา อดหลับอดนอนเพื่อรอให้ถึงเที่ยงคืน วางแผนต่างๆ แต่รู้สึกว่าวางแผนดังไปนิดจนเจ้าของวันเกิดเหมือนจะรู้ วันนั้นเค้กก็ไม่เป็นใจ ปักเทียนแต่เทียนก็ละลายหน้าเค้กก็เลยเละมาก จนไม่รู้ว่าเขียนคำว่าอะไร แต่ด้วยความตั้งใจของเพื่อนๆก็ทำให้เจ้าของวันเกิดอย่างเขาแอบซึ้งเหมือนกัน เขารักเพื่อนมากจริงๆ แต่อยากจะบอกว่าเพื่อนยังไม่เคยได้ยินคำว่ารักจากปากเขาเลย(มันน่าเศร้านะ ) และขอบคุณด้วยที่ทำให้เขารู้สึกไม่โดดเดี่ยว ไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว และก็เพื่อนหลายคนที่ส่งข้อความมาอวยพรวันเกิดให้เขา มันทำให้เขารู้สึกดีมากๆ ทั้งๆที่หลายคนเพิ่งจะสนิทกัน ทุกๆปีเขาจะไปทำบุญแต่ปีนี้เขาแค่สวดมนต์ให้ตัวเองเนื่องจากโอกาสไม่เอื้ออำนวย เขาชอบกินแหนมเนืองมากอร่อยดี นานๆกินทีกินบ่อยมากเดี๋ยวเป็นโรคทรัพย์จาง เขาชอบดูซีรี่ห์เกาหลีมาก แรกๆก็ดูตามกระแส ไปๆมาๆติดซะงั้น เรื่องแรกที่เขาดูและรู้สึกประทับใจคือ full house สะดุดรักที่พักใจ สนุกมาก ปลื้มนางเอก บ๊องๆได้ใจ ทุกครั้งที่กินไอศกรีมเขาชอบสั่งรสมะนาว หรือไม่ก็ส้ม เขาไม่ชอบเลยก็คือรสช็อกโกแลต และเผือก ความสามารถพิเศษของเขา เล่น hula-hoop (เรียกว่าความสามารถได้ใช่ไหม) ในอดีตเขาเล่นได้ค่อนข้างนาน แต่ตอนนี้ไม่รู้ว่าติดอะไร ไม่ได้อยากวิจารณ์เขาเลยนะ แต่อยากจะบอกว่าติดพุง ตอนนี้เขามีมวลสารในร่างกายมากเหลือเกิน เขาเริ่มท้อในการออกกำลังกายแล้วนะ เขาจึงกลับมากินและก็กินเหมือนเดิม เขาเชื่อเสมอว่าไม่มีอะไรได้มาโดยไม่พยายาม ทุกอย่างยากที่การเริ่มต้นมีคำคมหนึ่งเขาชอบมากและมันก็ทำให้เขามีกำลังใจ “หากล้มลง จงอย่ากลัวกับการลุกขึ้นใหม่” และเขาก็มีความเชื่อหนึ่งว่า จะมีกระแส psychology Fever เหมือนเกาหลีฟีเวอร์บ้าง แสงสว่างจะสว่างไสว ส่องนำทางให้ก้าวเดิน ไปสู่ประกายแห่งความหวัง ขอให้มุ่งมั่นและสู้ต่อไปนะ ขอให้ทุกคนโชค A
ผู้หญิง ตาโตๆ คิ้วหนา(แอบมีหนวดนิดๆ55+) ตัวเล็กๆ (เตี้ย) ผอมๆ ตัวขาวๆ^^ นั่นแหละตัวฉัน คนอื่นที่ไม่รู้จักฉันดีพอมักจะมองว่าฉันหยิ่ง แต่ที่จริงไม่เลย ฉันเป็นคนพูดน้อยกับคนที่ไม่สนิทที่จริงฉันเป็นคนเข้ากับคนง่าย อยากรู้แล้วสิว่าใคร----------????เอาล่ะขอแนะนำตัวหน่อย^^บ้านฉันอยู่ที่บ้านสมสะอาด อ.เลิงนกทา จ.ยโสธรฉันเกิดวันที่ 20 มิถุนายน 2533ตอนนี้อายุ 19 ปีแล้ว ววว วกรุปเลือด B เวลาว่างๆ --- >> ชอบดู TV เล่นเน็ต อ่านนิยาย การ์ตูน^^ผลไม้ที่ชอบ --- >> ชอบทุกอย่างแหละ ^O^อาหาร --- >> กินได้ทุกอย่างเล้ยย ชอบกินศครีม^^รายการโปรด --->> ดูได้ทุกอย่าง E-mail--->> tualek_s_s@hotmail.comสัตว์เลี้ยง --->> สุนัข^^___3ชื่อจริงนางสาวศุภรักษ์ แปลว่าความดีงามและนามสกุลที่มักจะมีคนอ่านผิดอยู่บ่อยๆสิริโสม อ่านว่า สิ-ริ-โสม มิใช่ สิริโฉม ^o^^พ่อแม่และญาติๆที่สนิทเรียกจ่อย 55++ ตลกชมัด(มันเป็นฉายาจ้ะ)แต่ชื่อเล่นจริงๆที่พ่อกับแม่ตั้งใจตั้งให้ ชื่อ--->>> “หลิน”<<<---- ^___^ Zz รู้สึกภูมิใจในชื่อนี้มากเลย ฮ่าๆ (แบบว่าดังเป็นบ้า)หลังจากที่มีเจ้าหมีแพนด้ามา ฉันก็ได้ฉายาเพิ่มอีกมามากมายไม่ว่าจะเป็นหลินฮุ้ย หลินปิง ตัวเล็ก ^^ฉันเป็นรู้สาวคนโตของบ้าน มีน้องสาว 1 คนตอนนี้เรียนม.1ที่รร.เลิงนกทา O___ooตอนเด็กๆฉันมักจะตามพ่อไปโรงเรียน(ไม่รู้ว่าทำไม) อ๋อๆลืมบอกพ่อฉันเป็นครูเดี๋ยวงงนี่แหละคือเหตุผลที่พ่ออยากให้ฉันเป็นครูส่วนแม่ไม่ได้ทำอะไร (สบายจัง^^) อ้อๆ .... มีๆที่บ้านชั้นๆ ทำนาด้วยแหละ^_^และเมื่อฉันอายุได้ 5 ขวบ แม่ก็ให้ฉันเข้าเรียนโรงเรียนใกล้บ้าน ใกล้จริ๊ง จริง หน้าบ้านเลยแหละการที่โรงเรียนอยู่ใกล้บ้าน มันทำให้ฉันไม่เข้าห้องน้ำที่โรงเรียน แอบๆ แว๊ปๆ มาเข้าที่บ้านมันเลยชิน ติดนิสัย มา ...ชอบกลั้นๆไว้มาเข้าที่บ้านหลังจากที่เรียนใกล้บ้านจนถึงป.4 พ่อก็ย้ายฉันไปเรียนโรงเรียนในอำเภอฉันจบป.6ที่นั่น และเรียนมัธยมที่โรงเรียนเลิงนกทา ทั้งม.ต้นและม.ปลายช่วงม.ต้นฉันยังเด็กมาก ฉันเดินทางไปโรงเรียนโดยขึ้นรถรับส่ง หรือบางวันพ่อก็จะไปรับช่วงที่อยู่ม.4 – ม.5–ม.6 เป็นช่วงที่ฉันติดนิยายมากมีบางครั้งที่ฉันต้องแอบแม่อ่าน(แบบว่าต้องมีมุมส่วนตัวที่เงียบๆ^^)ไม่รู้ว่าทำไมฉันติดมันมากมาย แบบว่าอ่านทั้งวันก็ได้ (ถ้ามันสนุกนะ) ที่ชอบที่สุดก็ May 112 ชอบบ บ มากกก ก ^^^ บ้าไปแล้วชั้ล!! เอิ๊กๆเล่ามาถึงช่วงนี้รู้สึกคิดถึงเพื่อน คิดถึงบรรยากาศตอนเรียนจังทุกปิดเทอมช่วงซัมเมอร์ ฉันกับเพื่อนๆเราจะไปเรียนพิเศษกัน(เล่นมากกว่า)ช่วงม.6 เป็นช่วงที่วุ่นวาย เพราะต้องการที่เรียนมาก^__3และต้องเตรียมตัวสอบนั่น สอบนี่ แต่รู้สึกว่าฉันไม่ค่อยเต็มที่กับมันเลยฉันไม่ค่อยชอบอ่านเอง ถ้าให้ดีชอบแบบเรียนพิเศษมากกว่าชอบสูตรแบบลัดๆอ่ะนะ^^ณ ปัจจุบัน ---->>> นางสาวศุภรักษ์ สิริโสม นิสิตปี 1 มหาวิทยาลัยมหาสารคาม คณะศึกษาศาสตร์ สาขาจิตวิทยารหัส 52010521025 ^^___^^
ประวัติส่วนตัวชื่อนางสาว อริสรา พงษ์สระพัง ชื่อเล่น ถุงแป้ง แต่ส่วนมากจะเรียกว่าแป้งเฉยๆ เพราะขี้เกียจเรียกยาวๆ เกิดวันพฤหัสบดี ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2533 เวลาตี2 จึงนับว่าเป็นวันศุกร์เกิดบนรถแถมฝนตกอีกต่างหากอยู่บ้านเลขที่ 85 หมู่ 4 บ้านหนองไรไก่ ต.โคกสะอาด อ.ภูเขียว จ.ชัยภูมิ 36110 มีพี่น้องด้วยกัน 2 คน ดิฉันเป็นน้องสาวคนโต มีน้องชายอายุ 5 ขวบซึ่งซนเหมือนลิงมาก พ่อแม่มีอาชีพทำนาและรับจ้างทั่วไป ลักษณะนิสัย ถ้าไม่สนิทกับใครจะดูเงียบๆ ดูเหมือนคนเรียบร้อยมาก แต่ที่จริงแล้วไม่ใช่ จะเป็นคนที่คนข้างจะซุ่มซ่ามดื้อนิดหน่อย คุยเก่ง ถ้าสนิทกับใครจะคุยเก่งมากและสนิทกับคนง่ายมาก เป็นคนที่แคร์ความรู้สึกคนรอบข้างและเป็นคนใจร้อนทำอะไรต้องทำให้ทันใจรวดเร็ว เป็นคนที่ชอบกินเยอะ บางทีกินเยอะจนเพื่อนๆว่า กินแล้วเอาไปเก็บไว้ที่ไหน เพราะกินแล้วก็ไม่อ้วนถ้ารู้สึกว่าน้ำหนักขึ้นหน้าก็จะกลมนิดนึง ชอบกินอาหารรสจัดโดยเฉพาะส้มตำจะกินแบบเผ็ดมากๆ เป็นคนโกรธง่ายหายเร็วและก็มีเอาแต่ใจบ้างเพราะเป็นลูกสาวคนเดียวมาตั้ง 14 ปี และมีลูกพี่ลูกน้องเยอะมากส่วนมากจะเป็นผู้ชายมีเป็นผู้หญิงอยู่2 คน คือดิฉันและลูกพี่ลูกน้องอีกคนหนึ่งก็เลยถูกตามใจซะส่วนใหญ่ การอบรมเลี้ยงดู ทางบ้านจะเลี้ยงแบบเหมือนเดินตามทางที่ขีดไว้ให้ที่บ้านที่บ้านทำไร่ทำนาแต่ดิฉันจะทำไม่เป็นแต่ก็พอรู้จักวิธีแต่ไม่เคยได้ทำเพราะมีโรคประจำตัวมาตั้งแต่เด็กๆคือเป็นโรคภูมิแพ้จะแพ้ง่ายมากและก็เป็นโรคหอบจะทำงานหนักไม่ได้พ่อกับแม่จึงไม่ให้ทำเวลาที่พ่อกับแม่ไปทำงานก็จะต้องอยู่บ้านดูแลน้องชาย 5 ขวบและก็ทำงานบ้านจะเป็นคนที่ไม่ได้ไปเที่ยวไหนเพราะพ่อจะไม่ชอบให้ออกไปไหนถ้าออกไปก็จะต้องถูกจำกัดเวลาคือต้องกลับบ้านตามเวลานั้นหรือเร็วกว่านั้นและก็เรื่องการเลือกเรียนคือพ่ออยากให้เป็นครูก็เลยต้องเรียนครู ทีแรกตั้งใจจะเรียนมนุษย์ศาสตร์ภาษาเกาหลี เพราะเคยเรียนพื้นฐานทางด้านการเขียนภาษาเกาหลีมาก็เลยบอกพ่อว่าจะเรียนมนุษย์ศาสตร์ภาษาเกาหลีแต่พ่อบอกว่าไม่ให้เรียนอยากให้เป็นครูต้องเรียนครูก็เลยมาดูคณะศึกษาศาสตร์ว่ามีสาขาไหนน่าสนใจบ้างก็เลยเลือกสาขาจิตวิทยาเพราะเห็นครูแนะแนวที่โรงเรียนก็เลยสมัครเรียนจิตวิทยาเป็นอันดับแรกและก้อย่างเดียวและที่นี่ทีเดียว คือเพื่อนๆไปสอบขอนแก่นหรือมหาวิทยาลัยอื่นๆ เราก็ไม่ไปเราก็สมัครที่นี่ทีเดียวก็กลัวไม่ได้อยู่นะเพราะคนส่วนใหญ่เรียนสานวิทย์ส่วนดิฉันเรียนทางด้านสายศิลป์ภาษา แต่พอได้แล้วก็รู้สึกดีใจมากเลย พ่อจะตามตลอดไม่ว่ามาทำกิจกรรมก่อน
สอบสัมภาษณ์ สอบสัมภาษณ์ รายงานตัวก็จะมีพ่อตามมาด้วยเสมอ ถ้าถามว่าตอนนี้ถ้าให้เลือกเรียนมนุษย์ศาสตร์ภาษาเกาหลียังจะเรียนอยู่ไหม ขอตอบว่าอยากเรียนมากเพราะการเรียนพื้นฐานภาษาเกาหลีไม่ได้ไปเรียนที่โรงเรียนสอนภาษาแต่ด้วยความตั้งใจไปซื้อหนังสือเกาหลีมา 3 เล่มใหญ่และใช้เวลาว่างทำหลังเลิกเรียนและก่อนนอนอ่านและทำความเข้าใจและฝึกเขียนเองใช้เวลาปีกว่าๆ จึงเขียนได้ค่อนข้างคล่องประวัติการเรียนเรียนโรงเรียนเด็กก่อนเกณฑ์อยู่ 3 ปีที่โรงเรียน วัดโพธิ์ศรีและก็เรียนอนุบาลจนถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่โรงเรียนบ้านหนองไรไก่ซึ่งเป็นโรงเรียนในหมู่บ้าน กิจกรรมที่ทำขณะเรียนอยู่ชั้นอนุบาลจนถึงชั้นประถม6 คือเป็นนางรำตอน ป.4 และเข้าร่วมแข่งขันทักษะทางวิชาการหลายด้านและร่วมกิจกรรมต่างๆเช่นถือป้าย แต่งตัวเวลามีงานกีฬาต่างๆ หลังจากจบชั้นประถมประถมศึกษาปีที่ 6 ที่โรงเรียนบ้านหนองไรไก่ก็เรียนต่อชั้นมะยมศึกษาตอนต้นที่โรงเรียนโคกสะอาดวิทยาเกรดเฉลี่ยถือว่าพอใช้ได้เพราะไม่เคยต่ำกกว่า 3 กิจกรรมก็มีเป็นเชียร์ลีดเดอร์ตอนอยู่ ม.1 และเป็นนางนพมาศตอนอยู่ม.3 รางวัลที่ได้มีเข้าร่วมแข่งขันทักษะทางวิชาการด้านต่างๆและได้รับเกียรติบัตรมารยาทดีเด่นและการเรียนดี หลังจากจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 จากโรงเรียนโคกสะอาดวิทยาแล้วก็เข้าศึกษามัธยมศึกษาตอนปลายที่โรงเรียนชุมแพศึกษา กิจกรรมที่ทำคือเป็นสตาฟดูแลสแตนด์ ช่วยเพื่อนๆตอนม.6 และเป็นนางนพมาศตอนอยู่ม.5 เหตุการณ์ที่จำไม่เคยลืมตอนอยู่ม.6 คือวันแข่งขันกีฬาสีอาจารย์จะไม่ให้นักเรียนแอบหนีกลับบ้านและก็จะมีอาจารย์กะน้ายามมาคอยคุมอยู่ที่หน้าประตูโรงเรียนด้วยความที่อยากกลับบ้าน และเบื่อ ในกลุ่มมีประมาณ 6-7 คน ผู้หญิงล้วนจึงแอบพากันไปปีนรั้วโรงเรียนด้านหลังซึ่งสูงมากสูงมากๆเพื่อนๆโดดไปเกือบหมดแล้วเหลือดิฉันกะเพื่อนอีกคนดิฉันจึงให้เพื่อนโดดก่อนจึงโดดตามพอเท้าแตะพื้น เพื่อนคนที่โดดก่อนมันก็บอกว่าอาจารย์ขี่รถมอเตอร์ไซค์ตามมาเพื่อนอีกกลุ่มจึงวิ่งเข้าหลบข้างทางเหลือดิฉันกะเพื่อนอีกคนหนึ่งซึ่งกระโดดรั้วทีหลังเพื่อนตกใจมากจะหลบก็หลบไม่ทันก็เลยต้องวิ่ง โชคดีที่รถมอเตอร์ไซค์เก่ามากแล้วอาจารย์ก็ซ้อนกันมา 2 คน ทำให้รถวิ่งไปช้ามากทีเดียวนี่คือเหตุการณ์ที่คนในกลุ่มจำไม่เคยลืม เพราะมันเป็นครั้งแรกในชีวิต และดิฉันก็จบการศึกษาด้วยเกรดเฉลี่ย 3.46 ปัจจุบันศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม คณะศึกษาศาสตร์ สาขาจิตวิทยา ปี 1 ซึ่งเป็นอะไรที่เรียนยากมากเพราะตั้งแต่เรียนมาเกรดไม่
เคยต่ำกว่า 3 เลย แต่ปีนี้เกรดยังออกไม่หมดตั้ง2 ตัว แต่เกรดเหลือแค่ 2.9 กว่าๆซึ่งเป็นอะไรที่ทำให้คิดหนักมากๆเพราะคิดว่ายิ่งเรียนยิ่งยาก เพราะฉะนั้นการที่จะทำให้เกรดเพิ่มขึ้นเป็นอะไรยากมากแต่ยังไงดิฉันก็จะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อพ่อกะแม่ที่ท่านอุตส่าห์ส่งมาเรียนต่อทั้งๆที่ที่บ้านไม่มีตังก์ประวัติด้านความรักตั้งแต่เกิดมาเพิ่งเคยมีแฟนครั้งแรกเพราะที่ผ่านมาไม่ได้คิดเรื่องนี้เลย อาจารย์เคยบอกว่าถ้าคนที่มีแฟนแล้วจะไม่เกิดการเรียนรู้ จะไม่เกิดจินตนาการ เพราะถ้าเรายังไม่มีแฟนก็จะได้เกิดจินตนาการว่าคนที่มาชอบมาจีบเราเขาจะหน้าตาเป็นยังไง แต่ถ้ามีแฟนแล้วก็ไม่เกิดจินตนาการเพราะเราเจอหน้าเขาแล้ว แล้วเราเลือกคบเขาแล้ว สำหรับดิฉันถึงคบเป็นแฟนแล้วก็เกิดจินตนาการได้เพราะคบกันมาเกือบจะถึงปียังไม่เคยเห็นหน้าสักที เพราะฉะนั้นก็สามารถใช้จินตนาการได้ว่าเขาจะหน้าตาเป็นอย่างไร
นางสาวเพ็ชรรัตน์ ปิ่นทอง52010517029 คณะศึกศาศาตร์ เอกจิตวิทยาประวัติส่วนตัว ฉันชื่อนางสาวเพ็ชรรัตน์ ปิ่นทอง ชื่อเล่นยุ้ยทีแรกว่าจะตั้งชื่อว่าเมย์ที่ตั้งชื่อว่ายุ้ยเพราะตอนนั้นยุ้ย ญาติเยอะกำลังดัง ตอนฉันเป็นทารกร้องบ่อยมากแม่เลยเอาฉันไปไห้พระโกนผมไห้ แล้วเอาไปลอยน้ำกำลังดัง ฉันเป็นลูกของนายนพ ปิ่นทองกับนางสายันต์ ปิ่นทอง ฉันเป็นลูกคนเดียวของครอบครัว แม่บอกว่าตอนแม่ท้องฉันแพ้ท้องบ่อยมากแม่ฉันไม่เหมือนคนมีท้องเลยแล้วก็กินยาบ่อยมาก ตอนคลอดหมอใช้ยาเร่งช่วยไห้แม่ออกฉันเพราะแม่ไม่มีแรง ฉันเกิดอยู่ที่โรงพยาบาลวชิรพยาบาล ที่กรุงเทพมหานครเกิดวันพุธ ที่25เมษายน2533 เวลาบ่าย2โมงตรง สัญชาติไทย เชื้อชาติไทย ศาสนาพุทธ ปัจจุบันนี้อยู่บ้านเลขที่72 หมู่2 บ้านแห่ใต้ ตำบลแห่ใต้ อำเอโกสุมพิสัย จังหวัดมหาสารคาม บ้านของฉันอยู่ใกล้กับศาลากลางบ้าน อยู่ติดกลับร้านเสริมสวยฉันเป็นลูกคนเดียวของครอบครัว ฉันจึงค่อนข้างเอาแต่ใจ พ่อแม่ตามใจแต่ว่าต้องโดนด่าก่อนถึงจะได้สิ่งที่ต้องการ พ่อฉันไม่ดุเลยแต่เวลาฉันต้องการอะไรพ่อมักจะลืม แต่แม่ของฉันบ่นดีมากจู้จี้จุกจิกแต่แม่กลับไม่ลืมสิ่งที่ฉันต้องการ คอยเตือนฉันหลายๆเรื่อง แต่ฉันก็รักท่านทั้งสอง ตอนแม่คลอดฉันแล้วแม่เอาฉันไปเลี้ยงอยู่นนทบุรี3ได้เดือนแม่ก็เอาฉันมาไห้ตากับยายเลี้ยงเพราะพ่อกับแม่ต้องทำงานอยู่กรุงเทพมหานครมีคนมาช่วยเลี้ยงหลายคน ยายบอกว่าตอนเด็กๆฉันผิวเนียนมากแล้ว ไม่เหมือนตอนนี้ผิวออกจะธรรมดา ตอนเด็กๆฉันชอบฉี่รดที่นอนถึงประถม6ฉันถึงเลิกฉี่รดที่นอน แต่โตมาชอบนอนละเมอบ่อยมาก ตอนเด็กๆชอบซื้อตุ๊กตาบาบี้มาเล่นกับเพือนๆชอบเอามาเก็บสะสม ฉันสูง153 เพื่อนๆสุงกว่าฉันทุกคนแต่ฉันเตี้ยมาก พ่อกับแม่ของฉัน เตี้ย ฉันก็เตี้ยกรุ๊ปเลือเอ ตาและน้าของฉันก็สูงอยู่ ทางอาก็สูง ก็ได้เข้าโรงเรียนที่บ้านแห่ใต้ อำเภอโกสุมพิสัย จังหวัดมหาสารคาม ตอนเด็กๆฉันด่าคนเก่งมากเลย ขี้แมลงวันอยู่ปากฉันมีเยอะมากตากลับยายใช้ไปไหนก็ไป ซึ่งต่างจากตอนนี้ใครใช้ก็ยากแล้วก็ไม่ค่อยพูด ตอนเด็กๆฉันชอบกินส้มตำมากเลยอยู่โรงเรียนขายถุงละบาทฉันซื้อมากินทุกวัน วันไหนไม่มีตังก็ไปเซ็นแม่ค้าไว้ฉันไม่อายเลย ถ้าไม่ได้กินใจจะขาด ปัจจุบันนี้ก็ยังชอบกินเหมือนเดิมได้เงินไปโรงเรียนวันละ10บาท ตอนนั้นได้10บาทก็ถือว่าเยอะตอนไปโรงเรียนฉันไม่ชอบรีดเสื้อผ้า ใส่รองเท้าแตะไปเรียน ไปโรงเรียนก็ไปสาย เสื้อผ้าก้ซักไม่สะอาด ครูประจำชั้นตอนประถมศึกศาปีที่1ดุมาก ตอนนั้นฉันโดนด่า และโดนบิดใส้ประจำ พูดแล้วก็เสียวใส้
ฉันกลัวบางวันก็ไม่อยากไปโรงเรียน พอฉันเรียนถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่5 ฉันก็ย้ายโรงเรียนไปเรียนที่กรุงเทพมหานคร โรงเรียนที่ฉันเรียนมี3ศาสนามีศาสนาพุทธ ศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลาม แต่ฉันนับถือศาสนาพุทธ เด็กที่นี่มีแต่คนตัวโตๆ ฉันตัวเล็กมากเลย เวลาไปโรงเรียนฉันเดินไปทุกวันเพราะโรงเรียนอยู่ไกล้ๆก่อนมาโรงเรียนฉันมักจะซื้อข้าวเหนียวกับเนื้อกินเสมออร่อยดี แต่ว่าที่โรงเรียนไม่มีอาหารทีทำจากหมูเพราะถิ่นนั้นมีพวกอิสลามเยอะ เลยไม่ค่อยได้กินหมู เวลาอิสลามถือศิลอดกลืนน้ำลายก็ไม่ได้ น่าสงสารครูในโรงเรียนที่ฉันชอบที่สุดคือครูนิธิมา สะมะแอเพราะครูคนนี้เรียบร้อยดี โรงเรียนของฉันติดกับโรงเรียนปอเนาะซึ่งมีแต่ผู้ชาย คนหล่อๆก็มีเยอะ เวลาฉันกับเพื่อนๆพักเที่ยงก็จะมานั่งอยู่ศาลาเพื่อดูหนุ่มๆ แต่ตอนนั้นฉันชอบคนเป็นอยู่ แต่ไม่กล้าคบ เพราะฉันกวาพ่อแม่จะว่าที่มีแฟน เวลาว่างของฉันและเพื่อนๆก็จะมาเล่นผีเหรียญ ซึ่งผีเหรียญคล้ายๆกับผีถ้วย แต่เปลี่ยนจากแก้วเป็นเหรียญ ตอนเล่นทีแรกก็น่ากลัว แต่เล่นไปเล่นมาก็ไม่น่ากลัว ฉันก็ได้สร้างวีรกรรมก่อเรื่องทะเลาะวิวาทกับเพื่อน ทะเลาะกันอยู่บ่อยๆเพราะพูดไม่ค่อยเข้าหูกันฉันเรียนถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่2ฉันก็ได้ย้ายกลับมาเรียนที่มหาสารคาม กลับมาอยู่กับตายายฉันก็ได้ไปเรียนที่อำเภอโกสุมพิสัย จังหวัดมหาสารคาม ที่โรงเรียนนี้มีสามเณรมาเรียนด้วยมีรถรับส่งตามหมู่บ้านต่างๆ บางครั้งฉันก็ขึ้นรถโรงเรียน บางครั้งก็ไปมอเตอร์ไซค์กับเพื่อน ต้องตื่นไปโรงเรียนแต่เช้าทุกวันวันไหนไปสายก็โดนทำโทษหรือวันที่ให้ใส่ชุดนักเรียนแล้วไปใส่ชุดพละก็โดน โรงเรียนนี้อยู่ติดกลับวนอุทยานโกสัมพี หรือเรียกว่าบุ่งลิง มีลิงมากมายเลยลิงเข้ามาในโรงเรียนทุกวัน แล้วก้อยู่ไกล้พระมิ่งเมืองซึ่งเป็นสิ่งที่เคารพบูชาของคนในอำเภอโกสุมพิสัย และก้มีวัดกลางอยู่ติดกับโรงเรียน ฉันตั้งใจเรียนขยัน แต่เรียนไม่เก่งเลย มีครูคนหนึ่งดูดวงเป็นฉันก็ชอบไปครูดูดวงไห้จนครูรำคาญและแล้วฉันก็ได้สร้างวีรกรรมทะเลาะกับเพื่อนในห้องเรียน เพราะเพื่อนเข้าใจว่าฉันโยนลิขิตใส่หัวของเขาเลยมีเรื่องขึ้นห้องปกครองโดนบันทึกประวัติ ฉันว่าจะไม่ทะเลาะกับคนนี้แล้ว แต่เขาจะหาว่าฉันกวาเขา ฉันก็เลยตีกันกับเขา เขานักเลงมากเลยมีเพื่อนเยอะด้วย แล้วเขาก็มาคุยกับฉันเหมือนเดิม เขาพูดกัฉันก่อน ฉันก้ว่าจะไม่พูดกับเขาแต่ถ้าไม่พูดเขาจะว่าฉันหยิ่งเลยพูดด้วย ตอนฉันมีเรื่องกับเขาเพื่อนๆพากันเข้าข้างเขาไม่เข้าข้างฉันเลยทั้งๆที่เขามาหาเรื่องก่อน ฉันก้รู้สึกน้อยใจอยู่น้ำตาไหล เพื่อนๆไม่ค่อยมีคนจริงจัย
เลย เห็นแก่ตัวด้วย แล้วฉันก้ได้สร้างวีรกรรมอีก มีเรื่องกับเด็กมัธยมศึกษาปีที่3 ตอนนั้นฉันอยู่มัธยมศึกศาปีที่5เขามองหน้าฉันและแฟนของฉันก็บอกเลิกฉันไปคบกับคนนั้น ที่ฉันมีเรื่องตบตีกันไม่ใช่เพราะเรื่องแฟนเป็นเพราะเขามามองหน้าฉัน แล้วทำหน้ากวนๆฉันเลยทนไม่ไหว แล้วก็นัดกันไปตีกันอยุ่บึงบอน ซึ่งอยู่ไกล้ๆโรงเรียน คนนั้นเขาไปบอกครูไว้ก่อนที่จะมีเรื่อง ก็เลยได้ขึ้นห้องปกครองอีกครั้ง ครูบอกว่าไห้ไปเรียกพวกที่พาไปมาด้วย ไม่งั้นจะไม่ได้สอบ เพราะจะถึงวันไกล้สอบแล้ว กว่าจะตามตัวแต่ล่ะคนได้เกือบจะไม่ได้สอบ หลังจากนั้นฉันก็ประพฤติตนเป็นคนดี ไม่ว่าจะมีใครมายุแย่ให้ฉันไปมีเรื่องกับใครฉันก็ไม่ทำ และแล้วคนที่ฉันรักมากที่สุดคือตาของฉันก็ได้เสียชีวิตลงด้วยวัย72ปี เนื่องจากเป็นโรคเบาหวานได้30ปี ตาของฉันรักฉันมาก แต่ฉันดุแลตาไม่ดี ตอนท่านป่วยฉันก็ไม่ไปเยี่ยมที่โรงพยาบาลเลย เพราะมีคนดูแลตาแล้ว ฉันแย่มาก ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ ฉันอยากจะดูแลท่านไห้ดีกว่านี้ ฉันเพิ่งจะมารู้สึกเสียใจเมื่อตอนที่ได้เสียท่านไป ตอนตาตายได้เอาศพกลับมาบ้านตอนที่ยังไม่ได้ใส่โรง ตาของฉันตายตาไม่หลับ ครอบครัวของฉัน พากันร้องไห้กับการจากไปของตาโดยไม่มีวันกลับ ตาเป็นผู้นำของครอบครัวเคยเป็นอดีตผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน เวลามีเรื่องอะไรชาวบ้านก็มักจะมามเรียกตาไปพูดเคลียร์เรื่องต่างๆให้ เมื่อไม่มีตาแล้วไม่ค่อยมีคนไห้ความเคารพ เดือดร้อนอย่างไรก็ไม่มีคนสนใจ ญาติพี่น้องก็พึ่งไม่ได้ ตอนมัธยมศึกศาปีที่6 เทอม1 ฉันก้ได้มีแฟนอีกครั้งหลังจากที่เคยมีแฟนตอนมัธยมศึกศาปีที่3ก้อกหักมาตลอด ทีนี้ก็ได้มาคบกับคนหนึ่ง ทีแรกเขาก็เอาอกเอาใจฉัน แคร์ฉัน ครั้งนี้คิดว่าใช่แล้วแต่กลับไม่เป็นอย่างนั้นฉันก็โดนหักอกอีก เขาไปมีคนใหม่ ตอนนั้นฉันแค้นมาก ฉันเจ็บใจที่ว่าคบกับใครก็ได้เลิกหมดทุกคน เขาก็ได้แต่งงานกับเด็กมัธยมศึกศาปีที่3ตอนนี้เขาก็มีลูกแล้ว ผู้ชายทีแรกก็เอาอกเอาใจ ทุ่มเท เทคแคร์ พอนานไปก็ตรงกันข้ามสันดานก็ออก ฉันเลยพักหัวใจไว้ก่อน เตรียมตัวสอบเข้ามหาลัย ฉันก็ลังเลใจ ไม่รู้จะเรียนคณะอะไร สาขาอะไรฉันเลือกที่เรียนไว้3ที่คือ มหาวิทยาลัย มหาสารคาม มหาวิทยาลัยราชพัฎมหาสารคาม มหาวิทยาลัยประทุมธานี แล้วฉันก็เลยเลือกเรียนที่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม เพราะใกล้บ้านที่สุดเลือกคณะศึกษาศาตร์ เอกจจิตวิทยา เพราะฉันอยากจะเข้าใจการกระทำของมนุษย์แต่ละคนว่ามีความแตกต่างกันอย่างไร จะได้อยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุข ด้วยความเข้าใจ ก่อนวันจะสอบสำภาษณ์รุ่นพี่ก็พาน้องๆมาทำกิจกรรมทำไห้มีความสนุกสนานแล้วก็แนะนำน้องๆเกี่ยวกับการสอบสำภาษณ์ ฉันก็ได้รู้จักเพื่อนๆหลายคน
ชีวิตมีค่า เวลาที่มีอยู่ใช้ให้คุ้มกับคนที่เขาหวังดี รักเรา เถอะนะ...รักตัวเองให้มากขึ้น...มองโลกให้กว้างกว่านี้ แล้วก้จะเห็นอะไรดี ๆ มากมาย แล้วฉันชอบกลอนนี้มากเลยเอามาจากอินเตอร์เน็ตเพื่อไว้เตือนใจตัวเอง คนอกหัก เชิญทางนี้ ! คนอกหัก เชิญทางนี้ มียาแก้มีบาดแผล มาจากใคร ใช่ปัญหาเคยร้าวราญ จากไหน เชิญเข้ามาจะรักษา ใจให้ ไม่คิดตังค์ ก่อนกินยา ฟังทางนี้ ให้ดีก่อนไม่ใช่สอน แต่อยากให้ ได้สมหวังอยากหายขาด ต้องฉลาด และระวังจะลุกนั่ง ยามตื่นอยู่ ให้ดูใจ ถามตัวเอง หน่อยเถิด เกิดชาตินี้เกิดมาแล้ว ทั้งที จะไปไหนชีวิตตน จะแขวนไว้ กับสิ่งใดหรือจะให้ เขากระชาก ลากไปตาย ฉลาดคิด จงถอนจิต อย่างี่เง่าชีวิตเรา เริ่มใหม่ได้ ไม่มีสายตัวของเรา ตัวของเขา ตัวของใครต้องก้าวไป ข้างหน้า หาสิ่งดี ขยายรัก ออกไป ให้กว้างกว้างทั่วทุกทิศ ทุกทาง อย่าหน่ายหนีจะถูกรัก รุมล้อม ตอมชีวีทำอย่างนี้ อกไม่หัก เพราะรักลวง.
ความอบอุ่น ความอบอุ่น ใดใด ในโลกหล้าหรือจะเท่า ศรัทธา ในตัวท่านทำถูกต้อง แล้วพอใจ ไปนานนานจะเบิกบาน อบอุ่นใจ ไร้กังวล อบอุ่นใจ เพราะมีใคร เป็นที่พึ่งณ วันหนึ่ง อาจปวดใจ ได้สักหนจงแกร่งกล้า ด้วยมั่นใจ ในจิตตนจงอยู่ด้วย เหตุผล และ ปัจจุบัน.
ประวัติส่วนตัว ชื่อ นางสาวนันธิยา มูลกวนบ้านรหัสประจำตัว 52010517106คณะศึกษาศาสตร์ สาขาวิชาจิตวิทยาชื่อเล่น นิ่ม อายุ 18 ปีเกิดวันอังคาร ที่ 19 กุมภาพันธ์ 2534 เวลา 03.45 น.ตรงกับวันอังคารขึ้น 6ค่ำ เดือน 4ปีมะแม น้ำหนัก 2,800 กรัมเชื้อชาติไทย สัญชาติไทย ศาสนาพุทธสถานภาพ โสดสถานที่เกิด โรงพยาบาลบรบือ อำเภอบรบือ จังหวัดมหาสารคามย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2534 ที่ปัจจุบัน บ้านเลขที่ 23/1 หมู่ 2 บ้านแดงน้อย ตำบลกำพี้ อำเภอบรบือ จังหวัดมหาสารคาม รหัสไปรษณีย์ 44130บิดาชื่อนายบุญจันทร์ มูลกวนบ้านมารดาชื่อนางบุญเล็ง บุดดีเกิดวันที่ 10 มีนาคม 2507บิดามารดา ประกอบอาชีพ รับจ้างมีพี่น้องร่วมบิดา-มารดาเดียวกัน 2คน รวมดิฉันด้วยดิฉันเป็นบุตรคนที่ 2คนที่1 ชื่อ นางสาวจารุวรรณ มูลกวนบ้าน อายุ 24ปีสีที่ชอบ สีชมพู สีฟ้า สีส้มอาหารที่ชอบ ข้าวผัดหมู คติประจำใจ การเดินทางต้องมีเข็มทิศ การดำเนินชีวิตต้องมีเป้าหมายประวัติการศึกษา อายุ 5 ขวบ เข้าโรงเรียนอนุบาลที่โรงเรียนบ้านแดงน้อย ตำบลกำพี้ อำเภอบรบือ จังหวัดมหาสารคาม ตอนที่เรียนอยู่อนุบาลดิฉันชอบมากเลยไปโรงเรียนก็มีเพื่อนเล่น พอถึงตอนเที่ยงกินข้าวเสร็จแล้วก็นอน ตื่นขึ้นคุณครูก็จะให้นมคนละถุง ส่วนมากก็จะเป็นนมรสจืดเพราะมีประโยชน์ต่อร่างกายมากแต่ตอนเด็กๆดิฉันจะไม่ชอบนมรสจืดเพราะรู้สึกว่ามันไม่อร่อย พอกลับบ้านก็ไปวิ่งเล่นกับเพื่อนอย่างสนุกสนานเป็นชีวิตที่มีความสุขมาก อายุ 7 ขวบ ก็เข้าเรียนขั้นประถมศึกษาปีที่ 1 – 6 ที่โรงเรียนบ้านแดงน้อยเหมือนเดิม ตอนที่ดิฉันเรียนอยู่นั้นมีนักเรียนไม่ถึง 200คน ครูและบุคลากรก็ไม่ถึง 10คน นักเรียนและครูในโรงเรียนต่างก็รู้จักกันหมดทุกคน ตอนเช้าดิฉันก็จะรีบไปโรงเรียนแต่เช้า ไปรดน้ำต้นไม้ รดน้ำผักที่ครูให้ปลูกไว้เพื่อเอาคะแนน หลังจากนั้นก็มาเข้าแถวเคารพธงชาติตามลำดับชั้น และคนที่สูงก็จะได้เข้าแถวอยู่หัวแถว เรียงลำดับไปเรื่อยๆ ดิฉันก็จะได้เข้าแถวอยู่ใกล้ๆ ลำดับสุดท้ายเพราะว่าดิฉันเป็นคนตัวเล็ก พอถึงตอนเที่ยงก็รับประทานอาหารกลางวันพอทานข้าวเสร็จก็ขี่จักรยานกลับบ้านเอาจาน – ชาม ไปเก็บไว้ แล้วก็มาใหม่ มาเรียนตอนบ่ายดิฉันก็จะทำอย่างนี้เป็นประจำทุกวันจนดิฉันจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 หลังจากนั้นก็เข้าไปเรียนต่อชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 – 6ที่โรงเรียนเหล่ายาววิทยาคาร ตำบลกำพี้ อำเภอบรบือ จังหวัดมหาสารคาม เขตพื้นที่การศึกษามหาสารคามเขต 1เป็นโรงเรียนประจำตำบล ทีมีขนาดเล็กมีนักเรียนไม่ถึง 1,000คน ครูและบุคลากรมีไม่ถึง 20 คน มี 3 อาคารเรียน โรงฝึกงาน 1 แห่ง โรงอาหาร 1 แห่ง ตอนที่ดิฉันเข้าไปเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ใหม่ๆ ตอนนั้นเพื่อนก็มีไม่ค่อยมากส่วนมากก็จะรู้จักแต่เพื่อนที่มาจากโรงเรียนเดียวกัน พอถึงตอนที่เรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6ตอนนั้นดิฉันได้เป็นคณะกรรมการนักเรียน ช่วงที่เรียนชั้น ม. 6 นั้น เป็นช่วงที่กำลังวุ่นกับการหาที่ศึกษาต่อ ครูแนะแนวที่โรงเรียนก็พาไปรับฟังการแนะแนวจากหลายๆสถาบันนอกโรงเรียน ตอนรอบโควตานั้นส่วนมากจะสมัครแต่ของคณะสาธารณสุข เกือบหมดทุกมหาวิทยาลัยเพราะตอนนั้นอยากเรียนมาก บางที่ก็ติด เช่น ที่มหาวิทยาลัยปทุนธานี แต่ดิฉันก็ไม่เอา หลังจากที่รอบโควตาไม่ได้แล้วก็เลยมาสอบรอบ Admission จนมาถึงวันที่ประกาศผลไปดูรายชื่อดิฉันติดอันดับที่ 2 คณะศึกษาศาสตร์ สาขาวิชา จิตวิทยา ตอนนั้นดิฉันรู้สึกภาคภูมิและดีใจมากที่สอบติดและมีที่เรียนเพื่อนๆสอบด้วยกันก็ติดหมดทุกคนและหลังจากนั้นดิฉันและเพื่อนๆต่างก็พากันไปฉลองทั้งดีใจที่สอบติดและเสียใจที่ไม่ได้เรียนต่อที่เดียวกันเพราะทุกคนต่างสอบติดคนละที่ หลังจากนั้นประมาณเดือนมิถุนายน 2552 ดิฉันก็ได้เข้ามาเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยมหาสารคามแห่งนี้มีเพื่อนอีกคนหนึ่งที่สอบติดรอบ Admissionด้วยกันและพักอยู่ห้องเดียวกันแต่เรียนอยู่คนละคณะซึ่งก็ถือว่าสนิทกันมากเลยทีเดียวมีอะไรเราก็จะปรึกษากันเข้าปี 1 เขาจะเรียกว่า Freshyเพราะเป็นน้องใหม่และหลังจากนั้นทางมหาวิทยาลัยก็มีกิจกรรมเยอะแยะให้นิสิตปี 1 เข้าร่วม อาทิ เช่น เข้าคลาสเชียร์เพื่อสร้างความสามัคคีในหมู่คณะและให้เราพิสูจน์ให้รุ่นพี่เห็นว่าเรามีประสิทธิภาพและที่สำคัญทำให้เรารู้จักเพื่อนใหม่ทั้งเรียนอยู่คณะเดียวกันและต่างคณะซึ่งเป็นกิจกรรมที่ดีอีกอย่างหนึ่ง
★*.."บนถนนไม่ใช่ว่าจะพบแต่กลีบดอกไม้ อาจพบทั้งร้อนและหนาวเรื่องราวร้อยพัน แต่จะดีหรือว่าร้ายอย่างไรก็มีฉัน และไม่มีวันที่ฉันจะทิ้งเธอไป" *★.• •*.:。✿✲-•(¯`°.•°•.★* *★ .•°• "โลกมันหมุนให้เธอได้พบได้มาเจอฉันและอาจหมุนให้เธอและฉันนั้นแยกไปแต่ใจฉันนั้นไม่ได้หมุนไปกลับวันที่เปลี่ยนไปจะนานแค่ไหนฉันก็คือ ฉันคนเดิม"...♥♥♥..........♥♥♥......ขอบคุณที่ทำให้เราได้รู้จักกันPSYCHOLOGY...(PSY)
ประวัติส่วนตัว ข้าพเจ้าชื่อนางสาวชนากานต์ เข็มเพชร เกิดเมื่อวันที่ 12 เดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2533 ชื่อเล่นปิ๊กกี้ อายุ 19 ปี อาศัยอยู่บ้านเลขที่ 6 หมู่ที่ 15 บ้านหวาย ตำบลสามัคคี อำเภอเลิงนกทา จังหวัดยโสธร 35120 เบอร์โทรศัพท์ 0831014712 E-mail : picky_nanak3312@hotmail.com Hi5 : pukpik_bang00@hi5.com กรุ๊ปเลือด B ศาสนาพุทธ สัญชาติไทย ข้าพเจ้าชอบสีชมพู สีเหลือง สีม่วง ในยามว่างชอบดูโทรทัศน์ ฟังเพลง เล่นเกมส์ HI5 MSN ส่วนใหญ่จะชอบอยู่กับโทรทัศน์มากกว่าอ่านหนังสือ สัตว์เลี้ยงที่แสนจะโปรดคือ ปลาทอง การ์ตูนที่ชอบ หมีพูห์ POOH ชอบเป็นชีวิตจิตใจ นิสัยเป็นคนรักสนุกแต่ไม่ผูกพัน ร่าเริง สดใส แอ๊บแบ๊ว น่ารัก 555 รักคนที่คิดดีต่อเรา เกลียดคนที่ประสงค์ร้ายต่อเรา ตั้งแต่ที่ข้าพเจ้าได้เข้ามาศึกษาเล่าเรียนข้าพเจ้าจะมีคติประจำตัวอยู่เสมอว่า “ ทำวันนี้ให้ดีที่สุด แล้ววันข้างหน้าก็จะดีเอง ” นี่เป็นสิ่งเตือนใจข้าพเจ้าเสมอมาและในยามที่ข้าพเจ้าท้อแท้ หรือสิ้นหวังขาดกำลังใจ ข้าพเจ้าก็จะมีพ่อแม่ และเพื่อน ที่คอยให้กำลังใจข้าพเจ้าอยู่เสมอมา และมีบทเพลงหนึ่งของคาราบาวที่ข้าพเจ้าใช้เป็นเครื่องเตือนใจ ให้มีกำลังใจลุกขึ้นสู้ คือบทเพลง ทะเลใจ ซึ่งมีเนื้อหาดังนี้เหมือนชีวิตได้ผ่านเลยวัยแห่งความฝัน วันที่ผ่านมาไร้จุดหมาย ฉันเรียนรู้เพื่ออยู่เพียงตัวและจิตใจเป็นมิตรแท้ที่ดีต่อกัน เหมือนชีวิตผันผ่านคืนวันอันเปลี่ยวเหงา ตัวเป็นของเราใจของใครมีชีวิตเพื่อสู้คืนวันอันโหดร้าย คืนที่ตัวกับใจไม่ตรงกัน คืนนั้นคืนไหน ใจแพ้ตัว คืนและวันอันน่ากลัวตัวแพ้ใจ ท่ามกลางแสงสีศิวิไลซ์ อาจหลงทางไปไม่ยากเย็น คืนนั้นคืนไหน ใจเพ้อฝันคืนและวันฝันไปไกลลิบโลก ดั่งนกน้อยลิ่วล่องลอยแรงลมโบก พออับโชคตกลงกลางทะเลใจทุกชีวิตดิ้นรนค้นหาแต่จุดหมาย ใจในร่างกายกลับไม่เจอ ทุกข์ที่เกิดซ้ำ เพราะใจนำพร่ำเพ้อหาหัวใจให้เจอก็เป็นสุข คืนนั้นคืนไหน ใจแพ้ตัว คืนและวันอันน่ากลัวตัวแพ้ใจ ท่ามกลางแสงสีศิวิไลซ์ อาจหลงทางไปไม่ยากเย็น คืนนั้นคืนไหน ใจเพ้อฝัน คืนและวันฝันไปไกลลิบโลกดั่งนกน้อยลิ่วล่องลอยแรงลมโบก พออับโชคตกลงกลางทะเลใจ ทุกชีวิตดิ้นรนค้นหาแต่จุดหมายใจในร่างกายกลับไม่เจอ ทุกข์ที่เกิดซ้ำ เพราะใจนำพร่ำเพ้อ หาหัวใจให้เจอก็เป็นสุขทุกข์ที่เกิดซ้ำ เพราะใจนำพร่ำเพ้อ หาหัวใจให้เจอก็เป็นสุข เมื่อยามที่สิ้นหวังได้ฟังเพลงนี้แล้วรู้สึกดี มีกำลังใจที่จะลุกขึ้นสู้ ต่อไปโดยเฉพาะ ช่วงนี้จะสอบเข้าศึกษาต่อในระดับปริญญาตรี เป็นช่วงที่กดดันมาก คิดหนัก ถึงขั้นกินไม่ได้นอนไม่หลับเลยทีเดียว ซึ่งข้าพเจ้าก็เป็นความหวังของพ่อแม่ ในช่วงที่กำลังศึกษาอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ข้าพเจ้าก็ทำตัวไม่น่ารัก กลับบ้านก็ค่ำ ไปเปรียวกับเพื่อนสาวที่สนิทกันมาก ทำให้พ่อแม่ต้องคิดหนัก เนื่องจากช่วงม.6 ต้องคิดหนักกับชีวิต เลยไปหาอะไรที่สบายใจทำ แต่สิ่งที่ทำไปกลับทำให้พ่อแม่ต้องเป็นห่วง เมื่อนึกถึงบทเพลงทะเลใจ ก็ทำให้ข้าพเจ้าต้องปรับปรุงตัวเองใหม่ เป็นคนใหม่ เริ่มกลับมาสู้ชีวิตอีกครั้ง ช่วงจะสอบ O-NET ก็พอมีเวลาอ่านหนังสือบ้าง แต่สอบ A-NET ซิหนังสืออ่านไม่เต็มที่เลย เพราะมีอะไรให้กังวลหลายอย่าง ไปสอบที่ไหนก็ไม่ติด ก็เลยรอรอบแอดมิชั่น
เป็นความหวังสุดท้ายที่ตื่นเต้นมากเลย กลัวจะสอบไม่ติด ตอนนั้นลง คณะสาธารณสุขศาสตร์ อันดับที่ 1 คณะวิทยาศาสตร์ อันดับ 2 ปฐมวัย อันดับ 3 จิตวิทยา อันดับ 4 แต่สุดท้ายผลออกมาติดอันดับ 4 สาขาจิตวิทยา มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ดีใจมากๆๆค่ะ ประวัติการศึกษา- เข้าศึกษา พ.ศ. 2539 – 2546 ชั้นอนุบาลจนถึงชั้นประถมศึกษาปีที่6 ที่โรงเรียนบ้านหวาย ตำบลสามัคคี อำเภอเลิงนกทา จังหวัดยโสธร - เข้าศึกษา พ.ศ. 2546 – 2549 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1-3 ที่โรงเรียนเลิงนกทา อำเภอเลิงนกทา จังหวัดยโสธร ในวันที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2546 – 27 มีนาคม 2549 เป็นนักเรียนที่มีผลการเรียนดีเด่น ตลอดหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน ช่วงชั้นที่3 ลำดับที่34 ( 3.52 )- พ.ศ. 2549 – 2552 ศึกษาต่อชั้นมัธยมศึกษาปี่ที่ 4-6 โรงเรียนเลิงนกทา อำเภอเลิงนกทา จังหวัดยโสธร ผลการเรียนตลอดหลักสูตร 3.28 สำเร็จการศึกษาตามหลักสูตรขั้นพื้นฐาน เมื่อวันที่ 26 เดือนมีนาคม พ.ศ. 2552 - ปัจจุบัณกำลังศึกษาในระดับปริญญาตรี ที่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม คณะศึกษาศาสตร์ สาขาจิตวิทยาในระหว่างที่ข้าพเจ้าได้ศึกษาในมหาวิทยาลัยมหาสารคาม ข้าพเจ้าก็ได้เริ่มการเปลี่ยนแปลงชีวิตใหม่ จากที่เคยอยู่กลับครอบครัว ต้องมาอาศัยอยู่กับเพื่อนๆ เป็นชีวิตที่อิสระอย่างทำอะไรก็ทำ แต่บางครั้งสิ่งที่อิสระสำหรับเรามันก็ทำให้เหงาต่างจากที่อยู่กับครอบครัวสนุกสนาน อยู่มหาวิทยาลัยก็ใช้ชีวิตอีกแบบอยู่บ้านก็อีกแบบ ข้าพเจ้าศึกษาในสาขาจิตวิทยาได้รู้จักกับเพื่อนๆมากหน้าหลายตา ที่มาจากหลายๆๆจังหวัด ต่างคนที่มาศึกษาก็ต้องจากบ้านมาอยู่ในโลกอีกแบบหนึ่ง แต่พวกเขาก็ตั้งใจที่จะศึกษา เล่าเรียนให้สำเร็จตามเป้าหมายที่ทุกคนวาดไว้ เหมือนกับข้าพเจ้าที่ตั้งใจจะศึกษาให้จบตามเป้าหมายของตัวเองและพ่อแม่ สิ่งแรกที่ได้เข้ามาศึกษาในสาขาจิตวิทยาคือการเข้าใจ เข้าใจตนเองและคนอื่น ข้าพเจ้าก็เริ่มเรียนรู้อะไรต่างๆมากมาย เพื่อนๆที่เรียนจิตวิทยาด้วยกัน ต่างก็เป็นคนน่ารัก ตั้งใจศึกษาเล่าเรียนกันทุกคนเลย เพื่อนที่รู้จักในสมัยเรียนม.ปลาย ก็ไม่ต่างจากเพื่อนที่เรียนจิตวิทยาด้วยกัน ทุกคนสนุกสนาน ร่าเริง สดใส เขียนโดยชนากานต์ เข็มเพชร 52010517101
นาย กฤษณะ เริงสูงเนิน คณะศึกษาศาสตร์ สาขาจิตวิทยา รหัสนิสิต 52010521010 !!!!!!!!!!!! ประวัติปืนจิตวิทยา!!!!!!!!!!!!! ประวัติปืนใครอ่านสนุกแน่!!!!!!!!!!!!!!!รับรองเจนี้**************Confirm*********ประวัติผมชื่อ นาย กฤษณะ เริงสูงเนิน คับ ครอบครัวของผมมีทั้งหมดสี่คนคับ พ่อของผมชื่อ จ.ส.อ ประสาน เริงสูงเนินคับ คุณพ่อของผมทำงานเป็นทหารที่ค่ายศรีพัชรินทร์ จังหวัดขอนแก่นคับ ส่วนคุณแม่ของผมทำงานที่โรงพยาบาลค่ายศรีพัชรินทร์คับ จังหวัดขอนแก่นคับ ส่วนน้องของกระผมชื่อ นาย นรากร เริงสูงเนิน คับ น้องผมเรียนอยู่ที่โรงเรียนขามแก่นนครคับ จังหวัดขอนแก่นคับ ตอนนี้น้องผมกำลังศึกษาอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปี่ที่5/2คับ ผมเกิดที่จังหวัดนครราชสีมาคับ เกิดที่โรงพยาบาลเซ็นเมรี่คับ จังหวัดนครราชสีมา เกิด วันที่10 กันยายน 2533 เวลาประมาณ 01.46 นาทีคับวันแรกที่ผมเกิดมานั้น จากที่พ่อและแม่ของผมเล่ามานั้น พ่อแม่ของผมบอกว่า ผมมีน้ำหนนักโครตหลายเลยตอนออกมานั้น และก็ผิวขาว พ่อของผมบอกว่าผมออกมาแล้วหน้าตาผมคล้ายแม่มากเลยคับ พ่อหลังจากคลอดเสร็จ พ่อของผมบอกว่าแม่ของผม พักฟื้นประมาณ สองวันได้คับและหลังจากออกโรงพยาบาลแม่ของผมก็ได้ลาหยุดพักงาน จากการเป็นพยาบาลประมาณ สองเดือนกว่าได้ จากที่แม่ผมเล่ามานะ แม่ของผมได้ดูแลผมเป็นอย่างดีเลยคับ หลังจากนั้นแม่ของผมก้อเล่าว่าแม่ของผมได้พาไปหาพระที่วัด วัดชื่อ วัดป่ารัตนมงคล จังหวัดขอนแก่น แม่ของผมได้พาไปวัดนั้นเพื่อที่จะตั้งชื่อของผม พระท่านเลยตั้งชื่อว่า กฤษณะ หลังจากดูดวงดูชะตาแล้ว เลยได้ชื่อนี้คับ มันแปลว่า กฤษณะนั้นเป็นชื่อเทพองค์หนึ่งในศาสนาพราหมณ์เทพองค์นั้นชื่อ พระกฤษณะคับ นี้ละคือที่มาของชื่อของผมที่คุณแม่เล่ามาคับ พอผมอายุได้สักปีกว่าๆนั้น แม่ของผมก้อตั้งท้องมาอีกครั้งคับ คราวนี้ก็เป็นผู้ชายอีก คนนี้ที่คลอดออกมาก้อคือน้องของผมคับ แม่ของคลอดที่โรงพยาบาลเซ็นเมรี่ จังหวัดนครราชสีมาอีกแล้วคับ แม่ของผมบอกว่าน้องของผมคลอดออกมานั้นตัวดำกว่าผมอีก นี้คือคำที่แม่เล่าออกมาจากปากของคุณแม่ของผมเอง และแม่ของผมก็ไปที่วัดเดิมอีกเพื่อให้พระท่านตั้งชื่อให้น้องของผมอีกครั้งคับ พระท่านเลยตั้งชื่อของน้องชื่อ นาย นรากร หมายความว่า นักรบที่กล้าแกร่ง นี้คือความหมายของชื่อน้องผม จากปากของคุณแม่ที่เล่ามาให้ฟัง ตอนนั้นผมอายุประมาณ1-2ขวบ แม่ของผมเล่าว่าผมเกือบถูกรถชนตายแล้ว เพราะว่าแม่ของผมกำลังทำกับข้าวอยู่ พ่อของผมก็ไปทำงาน เลยมีแค่แม่ของผมคนเดียวที่ดูแลผมและของเพียงลำพัง พอแม่กำลังทำกับข้าวอยู่นั้น ผมก็คานไปที่จะหาคุณแม่ แต่ทางที่คานไปนั้นผมกลับคานไปที่หน้าบ้าน แล้วคานไปที่ถนนพอดีมีคนแถวละแวกนั้นเห็นเลยวิ่งเข้ามาเอาผมทั้งพอดี ไม่งันผมตายแล้ว พอผมอายุได้ประมาณ 1 ขวบกว่าๆ ผมได้เข้าเรียนที่โรงเรียนอนุบาลปิ่นทิพย์ จังหวัดขอนแก่นตอนช่วงนั้นผมก็มีวีรกรรมนะคับ ผมได้เข้าไปเล่นสนามเด็กเล่น ผมก็เล่นเหมือนเด็กธรรมดาทั่วไปนั้นละคับ พอดีเพื่อนของผมตีกัน เป็นเด็กชายกับหญิงเพื่อนของผมนั้นแย่งกันกินขนมกันเลยตีกัน แล้วจากนั้นผมเป็นเพื่อนที่ดีผมก็เลยไปแยกเพื่อนออกจากกัน ผมเลยกลับถูกเพื่อนทั้งสองตีผมแทน ผมก็ไปสู้ผมวิ่งไปฟ้องคุณครู หลังจากนั้นเพื่อนทั้งสองคนนั้นเขาก็ไม่เล่นกับผมอีกเลย แต่ผมก็ไม่แคร์สื่อ พอประมาณปอสอง ผมเริ่มฉายแววความเป็นกระเทย พ่อและแม่ของผมเริ่มรับผมได้ตอนปอสอง และหลังจากนั้นแม่ของผมก็เริ่ม ซื้อพวกเครื่องแต่งตัว และ ให้ใส่เสื้อผ้าของผู้หญิง และแม่ของผมก็ให้ของผม ก็ให้ผมปักกิ๊ฟของผู้หญิงในตอนนั้นแม่ของผมสับสนุนในการเป็นสาวประเภทสองอย่างยิ่ง และในตอนสมัยประถมนั้น ผมมีชื่อเล่นที่แบบว่าไม่ซ้ำกันเลยคับ ตอนประถมหนึ่ง ชื่อน้องกวาง ประถมสองชื่อ ปุยฟ้าย ละอองดาว คว้าฝัน ประถมสามชื่อ มรกต จีน่า คำหล้า เป้ย ประถมสี่ชื่อ นุน องุ่น ทาทา นก แดงน้อย ประถมห้า ชื่อ ฟ้า ดาว ปลาปลายัง ประถมหกชื่อ อั้ม เป้ยอีกครั้ง ตามคำเรียกร้อง
ประถมหก ชื่อ เป้ยอีกแล้ว แล้วต่อมาก็เรียกว่า เพียว จนมาถึงมัธยมศึกษาปีที่หก และสุดท้ายก็มาใช่ชื่อที่แม่เรียกมาตลอดว่า อีปืน จนถึงณ ปัจจุบันคับ ในตอนสมัยประถมนั้น การแต่งตัวไปเรียนแต่ละครั้งต้องเสิคเสมอ ในสมัยสาวๆๆนั้น ปืนมั่นใจในตัวเองสูงมาก ขนาดฤดูหนาว เสื้อกันหนาวของ เจ๊ปืน จะมีแต่สีเสิค เช่น สีเขียวลายดอกเหมย สีชมพูลายดอก สีแสดขาวแทบน้ำเงิน และกิ๊ฟปักผมนั้นสีจะไม่ซ้ำกันเลยในแต่ละชั่วโมง พอพักแต่ละวิชานั้นจะรีบไปห้องน้ำเลยไปเพื่อ ที่จะแต่งหน้าให้สวยกว่าครูๆทุกคนภายในโลกเรียน และเพื่อนๆในห้องด้วย ตอนสมัยมัธยมศึกษาตอนนั้น จะมีการเข้าค่ายลูกเสื้อนั้นสนุกมากเลย เพราะในช่วงเวลานั้นกลุ่มกระเทยของพวกเรานั้น จะเป็นจุดเด่นมากในการฝึกแต่ละฐาน ในเวลาตอนกลางคืนนั้น ก็จะเป็นเหล่า กระเทยน้อยทั้งหลายแสดงรอบกองไฟนั้น ในการแสดงแต่ละชุดนั้นมีแต่เสิคแล้วก็แต่หญิงกันทั้งนั้น พอหลังจากประชุมกลองไฟเสร็จแล้ว พวกเราก็จะพากันไปห้องน้ำเพื่อที่จะเก็บข้าวของให้เข้าที่และพับชุดต่างๆๆ แต่แล้ว เพื่อนสาวของเรานั้นก็ไปวิ่งไม่กันในห้องน้ำแข่งกัน เสิคๆๆๆๆอย่างแรง และพอวิ่งไม่ที่ห้องน้ำเสร็จ พวกเราก็พากันไปที่พักของเรา เพื่อนๆๆๆของเรานั้นวิ่งไม่ที่ห้องยังไม่พออีก ยังพากันวิ่งไม้ที่เต้นที่พักอีก เหล่าบรรดาผู้ชายทั้งหลาย ที่ตาอดตายากมาจากไหนก็ไม่รู้ ก็มารุมเพื่อนสาวของปืน เหมือนกับว่ามารุมข่มขื่นผู้หญิงที่สวยคนหนึ่งของในวันนั้น ปืนถามเพื่อสาวว่าเป็นไงบ้างมึง รู้ไหมเพื่อนตอบว่าไร เพื่อนมันบอกว่า “ทีละคนสิจะรีบไปไหน ได้กันทุกคน” พอเพื่อนปืน พูดกับผู้ชายแบบนี้แล้ว ปืนก็ไม่ห่วงมันแล้วพวกเราก็เลยพากันกับไปที่เต้นของเรา พอพวกปืนถึงเต้นแล้ว ก็ยังมีผู้ชายตามมาหาปืนเพราะเราสวยมัง อิอิอิ เราก็จัดไปสักดอกหนึ่ง อิอิอิ พูดเล่น และหลังจากนั้นพอตื่นเช้ามาพวกครูฝึกจะให้ทุกคนวิ่งออกกำลังกายตอนเช้า พอถึงเวลาวิ่งนั้น เพื่อนสาวของปืนแต่ละคนนั้น ต่างคน ต่างไม่ได้นอนขุมตาเขียวกันทั้งนั้น เพราะต่างคนต่างไปวิ่งไม้จน ไม่มีแรงกันเลย ในสมัยมัธยมนั้นปืนเป็นเด็กกิจกรรมนะคับ โดยเข้าร่วมแข่งขันแกะสลักผมไม้ ในตอนนั้นอาจารย์ส่งผมประกวดคนเดี่ยว รู้ไหมได้รางวัลที่ไหนมา ได้รางวัลที่สาม ถึงจะได้ที่สามแต่ก็ภาคภูมิใจเพราะมันเป็นผีมือของเราเอง และเราได้ใช่ความสามารถของเราเอง และปืนก็ได้เข้าร่วมแข่งขันการทำขนมบัวลอย ไปแข่งขันที่โรวเรียนกัลยาณวัตร ตอนนั้นพวกปืนได้รางวัลที่สองมาครอง และนอกจากที่เราจะทำกิจกรรมทางโรงเรียนแล้ว ปืนยังเป็นนักกีฬาบอลเลย์บอลของโรงเรียนอีกด้วย ในตอนนั้นผมเป็นตำแหน่งมือเซต ในเวลาการแข่งขันวอลเลย์บอลนั้น หัวใจหักไม่ใช่มือตบ หัวใจหลักคือ มือเซต เพราะถ้ามือเซต เซตไม่ดีก็จะทำให้เกมส์ในการเล่นของทีมนั้นเน่าไปด้วยทั้งหมดเลย ตอนที่ปืนเป็นนักกีฬาบอลเลย์บอลนั้น ปืนซ้อมหนักมากเลยคับตอนนั้นสมัยตอนประถมไม่มีกล้ามเนื้อเลย แต่พอมาเล่นวอลเลย์บอลนั้นทำให้ทุกอย่างของปืนนั้น สันขึ้นมาในพริบตาเดียวเลย พอซ้อมกีฬาเสร็จพวกเราก็จะพากันไปกินข้าวที่ร้านประจำเพราะในการซ้อมแต่ละครั้งพวกเรานั้นซ้อมเสร็จดึกมากเลย และถ้าสมุติว่าในวันที่พวกเราซ้อมเสร็จแล้วแล้วในวันนั้นมีหมอลำ พวกเราก็จะนัดกันไปดูหมอลำกัน
ในการไปแต่ละครั้งนะ คนไหนที่ไม่เต้นหน้าห้านคนนั้นไม่ใช่เพื่อนกู ดูๆๆๆเพื่อนมันพูด พวกเราก็เลยเต้นหน้าห้านกัน ในการไปแต่ละครั้งพวกเราหมดตังเกือบคนละสองร้อยบาท กว่าๆๆเพราะพวกเราต้องเลี้ยงเหล่าผู้ชาย และเพื่อนบางคนที่ไม่สวยก็ต้องมอมเหล้าผู้ชาย ฮ่าๆๆๆตลกมากเลย และในการดูหมอลำแต่ละครั้งพวกเราจะดูจนสว่างเลย จนทุกคนง่วงนอนกัน และบางครั้งตอนขาไปเพื่อนทุกคนอยู่ครบ แต่ตอนขากลับอ้าว กลับไม่ครบ เพราะเพื่อนบางคนนั้นเขาไปขึ้นสวรรค์ไม่รู้ว่าเพื่อนคนนั้นไปขึ้นสวรรค์ที่ไหนก้อไม่รู้ ส่วนหนูก็เต้นอยู่หน้าฮ้านแล้วจากนั้นถึงไปหาผู้ชายที่มอมเหล้าไว้ แล้วก็ไปในที่ประจำของพวกเรา(ในป่าหลังวัด) วันรุ่งขึ้นต่อมาเราก็จะตอนปางตายที่บ้านเพราะเหนื่อยจากการที่ได้ออกกำลังกายหนักตลอดทั้งคืน เอาละค่ะมันไร้สาระมานานแล้วเราก็จะเข้าเนื้อหาใจความหลังของเราซะที สรุป หนูก็เป็นคนดีนะค่ะ ถึงแม้บางครั้งหนูจะเกเรไปบ้างแต่โดยรวมแล้วหนูสวยค่ะ แต่งานอดิเรกของหนูและชมรมกระเทยไทย ก็คือการเดินเที่ยวห้างหลังเลิกเรียน ขอย้ำนะคะว่าเดินเที่ยวห้าง ไม่ได้ไปซื้อของแต่ปัจจุบันนี้พอหนูได้เข้ามหาลัยก็ไม่ค้อยได้เจอกะชมรมกระเทยไทยที่อยู่แถวบ้าน ถ้าจะเจอกันก็เสาร์ อาทิตย์ ส่วนจันทร์ถึงศุกร์หนูก็จะชอบไปเดินตลาดนัด อันนี้ก็ไม่ต้องสงสัยนะค่ะ เพราะตลาดนัดอันนี้หนูก็ไปเดินอย่างเดียวค่ะและเหล่ผู้ชาย เวลาอยู่หอหนูก้จะต้องหากำลังใจในการเรียนและกำลังใจที่สำคัญที่สุดของหนูก็คือการที่ได้นั่งดูรูปพี่บี้เดอะสตาร์ (ผัวหนูเองค่ะ) ส่วนกิจวัตรประจำวันของหนูที่อยู่หอคือ หนูจะตื่นก่อนไปเรียน2ชั่วโมงสงสัยมั้ยค่ะว่าทำมัยหนูถึงตื่นแต่เช้า ไม่ต้องสงสัยหรอกค่ะเพราะไหนกว่าหนูจะอาบน้ำเสร็จ แล้วที่สำคัญหนูต้องใช่เวลาในการแต่งหน้าอย่างน้อย1ชั่วโมงแล้วฉะนั้นหนูจึงมีความจำเป็นที่จะต้องตื่นแต่เช้า สายมาหนูก็ต้องมาเติมหน้าตลอด เพราะถ้าวันไหนที่หนูไม่ได้แต่งหน้ามาเรียนวันนั้นหนูจะเรียนไม่รุ้เรื่อง เย็นมาก็ต้องรีบกลับมาอาบน้ำที่หอเพื่อที่จะรีบแต่งตัวสวยๆออกไปเที่ยวตอนกลางคืนกับเพื่อนถ้าใครแต่งตัวไม่สวยวันนั้นก็จะดับ! จะไม่มีผู้ชายมาสนใจ เวลามีงานหมอเลาที่ไหนงานนั้นจะต้องมีหนูกะกลุ่มเพื่อนๆกระเทยไปงานนั้นตลอด สามีของหนูมีเกือบทุกจังหวัดของประเทศไทยและทุกอาชีพ มะว่าจะขึ้นเหนือหรือว่าล้องใต้หนูก็จะดั้นด้นไปหาสามีของหนูจนได้ บทเพลงประจำกายหนูคือเพลง “ ถ้าพี่ไปดูให้หนูไปด้วย ถ้าพี่ไปดูให้หนูไปด้วย ไม่ได้กลัวด้วยละจะมีติดไว้ให้คอเคลีย์ ถ้าใครทำหล่นละเสร็จเราแน่ละ อยากมีติดไว้ซักคน เสร็จเจ๊แน่ๆ ”จากบทเพลงข้างต้นนี้เป็นบทเพลงที่ค้อนข้างตรงกับชีวิตจริงของหนูเป็นอย่างมาก ฉะนั้นรู้กันแล้วนะค่ะ ใครก็ตามที่ทำหล่นไว้เสร็จหนูแน่ค่ะ ลูก2ลูก3 หนูก้ไม่ปล่อยนะค่ะเรื่องแบบนี้มันเป็นความสามารถเฉพาะตัวของหนูค่ะ นิสัยส่วนตัวของหนุนะค่ะ เป็นคน
สนุกสนาน ร่าเริง ยิ้มแย้มแจ่มใส บ้าผู้ชายเป็นชีวิตจิตใจ และอีกอย่างหนึ่งที่ผมชอบมากเลยคือการทำความดี เพราะการทำความดีนั้นมันทำให้ผมรู้สึกดีมากเลย ยังมีเหตุการหนึ่งที่ผมจำได้แม่นยำมากเลย วันนั้นผมจะไปต่างหวัด การเดินทางของผมนั้นเป็นการเดินทางโดยรถบัส ก่อนที่ผมจะไปถึงที่ บขส ผมก็เดินเอาพอไปถึง บขส ผมก้อเห็นผู้หญิงคนหนึ่งถือของมามากมาย อยู่ๆๆๆผู้หญิงคนนั้นก็ทำของหลุดมือ สิ่งที่หลุดมือนั้นก็คือส้มหนึ่งกิโลกรัม พอผู้หญิงคนนั้นทำส้มหลุดมือ ผลของส้มนั้นก็กลิ้งไปทั่วพื้น บขส เต็มมากมาย พอผมเห็นผมก็เลยรีบเข้าไปช่วยเก็บ นี้ละเป็นเหตุการณ์ที่ผมประทับใจอย่างมาก ถึงมันจะเป็นเหตุการณ์เล็กๆ แต่ผมประทับใจอย่างมาก ถึงมันจะเป็นสิ่งเล็กน้อย นั้นละเป็นเหตุการณ์ที่ผมอยากจะทำความดี เพราะบางคนอายที่จะทำความดีในการทำความดีนั้นเราไม่ควรอายที่จะทำความดี วัยรุ่นสมัยนี้มักจะไม่ค่อยชอบกับการเข้าวัดเพราะในการเข้าวัดนั้น พวกวัยรุ่นสมัยนี้บอกว่าการเข้าวัดนั้นมันล้าสมัยและภายในวัดนั้นไม่เห็นมีไรที่น่าสนุกเหมือนกับ การเดินห้างสรรพสินค้าเลย เมื่อผมได้ฟังแบบนั้นแล้วผมก็ยิ่งตกใจเลยที่วัยรุ่นไทยออกมาพูดแบบนี้ ภายในปัจจุบันนี้วัยรุ่นไทยยิ่งกลับมาเข้าวัดแล้ว เพราะวัยรุ่นไทยหาที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ ตัวอย่างเช่นเวลาจะสอบเอ็นทรานแต่ละครั้ง พ่อและแม่ของแต่ละคนก็พาลูกไปบนต่อศาลต่างๆ ที่เมืองชื่อเสียงโด่งดัง ผมก้ไม่ทราบว่าการทำแบบนี้ไม่รู้จะว่าน่าเชื่อถือ และได้ผลมากน้อยเพียงใด แต่ผมว่านะคับอย่างน้อยก็ทำให้บุคคลคนนั้นได้กำลังใจในการที่จะสอบขึ้นมาในระดับหนึ่งคับ นี้ละคับเป็นเหตุการณ์บางอย่างที่แสดงให้เห็นว่าวัดในสังคมไทยจะอยู่กับพวกเราไปอีกนานแสนนาน เอาละคับนอกประเด็นมานานแล้ว ผมว่าตอนที่ผมมาเรียนที่สารคามมีความสุขมากมายเลย เพราะผมได้เจอเพื่อนใหม่ๆและเพื่อนเที่ยว เลยทำให้ผมได้เจอประการณ์ต่างๆที่ผมไม่เคยเจอ นี้คือรสชาติของชีวิตผมอีกหนึ่งรสชาติคับ ตอนแรกผมว่าจะไม่เรียนที่สารคามแล้ว ผมว่าจะไปเรียนที่กรุงเทพ แต่ผมกลับมาคิดใหม่ว่าถ้าผมไปกรุงเทพผมคงใจแตกแน่ๆ แม่ของผมเลยไม่อยากให้ผมไปเรียนที่กรุงเทพ ตอนนี้ผมเปลี่ยนความคิดแล้วคับ เพราะผมเรียนที่สารคามนี้ก็ทำให้ผมมีความสุข และได้เจอเพื่อนแบบที่เราไม่เคยเจอ และได้ใช้ชีวิตแบบอยู่คนเดียวภายในหอโดยไม่มีพ่อแม่มาคอยดูแลด้วย ยิ่งต้องทำให้ผมต้องดูแลตัวเองให้มากกว่านี้อีกหลายเท่าเลยคับ สุดท้ายนี้ผมจะตั้งใจเรียนมหาวิทยาลัยมหาสารคามนี้ให้จบให้ได้และผมจะเอาปริญญาไปฝากพ่อแม่ของผมให้ได้ ตอนนี้มันทำให้ผมเป็นผู้ใหม่มากขึ้นและมีความรับผิดชอบมากกว่าเดิมเพราะตอนนี้เราอายุจะใกล้พ้นนิติภาวะแล้วนะคับ แล้วจะขอตั้งใจเรียนที่มหาวิทยาลัยมหาสารคามนี้ให้จบให้ได้คับผมสัญญานะคับคุณพ่อคุณแม่ จบ…..เขียนโดย นาย กฤษณะ เริงสูงเนิน 52010521010
ชีวิตกว่าจะมาถึงจุดๆนี้ก็แทบแย่ แต่ก็พึ่งมาได้ครึ่งทางเอง หรืออาจมายังไม่ถึงครึ่งทางของชีวิตเลยก็ได้ และชั้นต้องไปให้ถึงปลายทางที่ชั้นรอคอยให้ได้ ชีวิตของชั้นเจอะเจออะไรมากมายมีทั้งเรื่องที่ดีและไม่ดีปะปนกันไป แต่ส่วนใหญ่จะมีแต่เรื่องที่ดีๆซะมากกว่า และโชคก้อนโตของชั้น... นั่นก็คือ ฉันได้มีพ่อ แม่ ที่ทั้งรักและเอาใจใส่ชั้นมาตลอด...ชั้นมาพี่ชายคนนึ่งชั้นเป็นลูกสาวหล้า พี่ชั้นก็บ้าๆบ้องๆ พี่เรียนที่อุบลราชธานี ชีวิตตอนเด็กๆ เหรอ? ก่อนอื่นชั้นต้องบอกชื่อของชั้นก่อนสิ ชื่อที่พ่อแม่สมทบทุนสร้าง ฟังนะ...ชื่อ “นู๋อิ๋ม” ^_^ !! แต่ชื่อนี้มันเป็นคำแสลง หรือว่าคำพ้องเสียง คำเชื่อมรึป่างน่าส์...? ไอ้พวกเพื่อนๆถึงชอบเรียกกันไม่ถูก บ้างก็เรียกอีอิ๋ม อีดำ แรสบ้าง เคียวบ้าง สารพัตร *_* ทำให้ชื่อที่พ่อแม่ให้มากลับอาบัต ซะงั้น!! มะ มารู้ชื่อจิงๆของชั้นละกัลน้อ (ไม่อยากรู้ก็จะบอก!) ฟังนะ.. ชั้นชื่อ ,,, นางสาวชนากานต์ นุริตานนท์ ไพเราะเพาะพริ้งใช่มั้นล้า เออ..พอหอมปากหอมคอแล้ว มาดูชีวิตตอนเด็กๆ ต่อๆ ชั้นก็เป็นเด็กที่ซนเอามากๆ ชอบไปเล่นกับเพื่อนผู้ชายข้างบ้าง บ้างก็ชวนกันไปขโมยของชาวบ้านเค้าบ้าง ปีนต้นไม้บ้าง วิ่งเล่นบ้าง ชกต่อยกันบ้างตามประสาเด็กๆ และชอบไปโรงเรียนที่พ่อแม่สอนอยู่ จะมีเพื่อนเยอะมากๆ คอยเอาใจสารพัต เพราะว่าชั้นเป็นลูกครูมั้ง ลูกศิษย์พ่อแม่จึงคอยเอาใจ และตอนนั้นชั้นก็เล่นขายของ เล่นพ่อแม่ลูก ส่วนชั้นเหรอก็ต้องแน่นอนอยู่แล้ว ชั้นต้องได้เป็นลูก เป็นเจ้าหญิง ละก็ที่บริวารมากมาย สถานที่เล่นก็หน้าเสาธง มีดอกไม้เยอะแยะที่คนใช้จัดมาถวายทุกๆวัน และแม่ก็จะฝากพี่นักเรียนคนโตมาบอกชั้นว่า “น้องอิ๋มคุณแม่เรียก” มาหาแม่ แม่พูดประโยคแรก “จะกลับบ้านไหม มัวแต่เล่นอยู่นี่แหละ ดอกไม้จะหมดโรงเรียนแล้วววว” แต่ชั้นไม่แคร์ และชั้นมีเหตุการณ์ที่จำฝังใจชั้นนั่นคื่อ ชั้นแอบไปขโมยเงินน้าชั้น โดยแก็งนี้มีทั้งหมด 2 คน อีกตนเป็นเพื่อนของชั้นเอง มันชื่อ” ลี “เงินนั้นเป็นเงินที่อาชั้นเก็บไว้แต่งสาว แต่เรากลับเอามาเล่น ไม่น่าเล้ยเอามาซื้อกิ๊บติดผมแค่ 50 บาทอา
ชั้นคงไม่ว่าไรนะ..ก็แค่อยากสวย ชั้นเป็นคนที่พนมไพร ชั้นเกิดที่ร้อยเอ็ด พ่อเป็นคนสารคาม แม่ชั้นก็ร้อยเอ็ด แต่ไง๋ได้ชะตาพลิกผันกล้บได้มาอยู่กันทรลักษ์ จังหวัดเหรอพูดไปทุกคนต่างก็อ๋อ.. พูดประวัติคร่าวๆ เป็นจัดหวัดที่ดังที่สุดในพ.ศ.นี้ ดังเรื่องอะไรงั้นเหรอ..? ก็เรื่องการแย่งชิงเขาพระวิหารงัยล่ะ พอรู้หรือยัง นะ เฉลย..จังหวัดศรีสะเกษ เพราะพ่อกะแม่ชั้นสิ ได้ไปทำงานที่นั้นเฉยเลย ชั้นเรียนอยู่นั่นตั้งแต่เด็กๆเลย อนุบาล-ประถมเหรอเรืยนโรงเรียนประจำอำเภอ ชั้นมีเพื่อนเยอะเยยะนับไม่ถ้วน เพราะชั้นแรง แต่พอขึ้นมัธยมพวกเพื่อนๆมั้นก็ไม่หายไปไหน มันก็ยังตามมาเรียนโรงเรียนนี้ด้วย ชั้นก็สอบเข้าโรงเรียนนี้ได้ แบบว่าก็คนมันเก่งทำไงได้.. ได้อยู่ห้อง 5 มีทั้งหมด 10 ห้อง ก็ อยู่กลางๆ ไปเรียนครั้งแรกตื่นเต้นมากๆ แต่ก็ดีหน่อยที่มีเพื่อนโรงเรียนเดิมด้วย ก็มี ปลา หนิง ที่พอสนิทกัลป์บ้าง ชั้นเป็นคนที่อัธยาศัยดี หรือภาษาระดับกันเอง ก็แบบว่า..เสือก ปากหมา ชอบเสนอหน้า ชั้นเป็นคนที่ชอบพูดเสียงดัง ชอบเม้าท์กันกับเพื่อนตอนเรียน ชอบแอบนอนหลับ และสิ่งที่ชั้นรับไม่ได้ในตัวชั้น ที่สุดถึงที่สุดนั่นก็คือพอนอนแล้วน้ำลายจะไหล ไอ้พวกเพื่อนก็ชอบเอามาล้อกัน และก็ถ่ายรูปไว้เป็นหลักฐานสำคัญ ละก็บอกอีกว่า “ชั้นถือไผ่ใบเหนือกกว่าเธอนะ” วันๆชั้นไม่ทำอะไร นั่งๆนอนๆ เล่นเน็ต เล่นๆ คุยโทรศัพท์ ความใฝ่ฝันของชั้น...ชั้นอยากรับราชการ ชั้นอยากเป็นครูเหมือนพ่อแม่ชั้น และตอนนี้ก็กำลังเดิมตามความฝัน...ชีวิตตอนมัธยมเป็นชีวิตที่ชั้นมีความสุขมากๆ เพราะชั้นมีเพื่อนที่เป็นกลุ่มอิทธิพลในห้องไปไหนก็มีคนรู้จัก แต่พอขึ้นมัธยมปลายต่างคนก็ต่างแยกย้ายกันไปตามห้องต่างๆ ชั้นได้อยู่ห้อง1 ก็มีเพื่อนห้องเก่าบ้าง ชั้นไม่แคร์ชั้นยังแรงเหมือนเดิม ชั้นไปมีเรื่องกับใครต่อใครเยอะจน…แต่ที่บ้านไม่เคยรู้ การเรียนเหรอเอาใจใส่ดี อาจารย์ชมตลอด กีฬาชั้นซ้อมทุกวัน พอขึ้นม.ปลายเริ่มเรียนหนักขึ้นเพระต้องเตรียมตัวอ่านหนังสือเอ็นทรานซ์ จากที่ไม่ขยัน ก็ต้องขยันอ่านหนังสือแล้วล่ะงานนี้ ชั้นอยากทำคะแนนให้ได้เยอะๆเพื่อที่จะสอบม.ขอนแก่นให้ได้ ชั้นอยากเรียนที่ม.ขอนแก่นมากๆ ใจหายเหมือนกันนะ___ เมื่อรู้ว่าผลโควต้าม.ขอนแก่น ออกแร้ว รู้ไม๊ ตอนแรกที่รู้ว่า ผลประกาศออกแร้ว { แร้วยิ่งเพื่อนคนที่บอก เค้าก็ว่าเค้าติด } T-T เราเงี้ย ... ใจคอไม่ดีมากเรย
รู้สึกได้เลย ว่าหัวใจมันเต้นแรงมากกกก พอคลิก ใส่ลิ้งค์ตรง address แร้วรอมันโหลดด เราโคตรเครียดมากเรย กลัวเหลือเกินว่าผลออกมาจะเป็นยังไง ____ จิง ๆ ก็ทำใจไว้แร้ว!! แต่สุดท้ายทำไงได้ล่ะ ก็สอบไม่ติด เสียใจมากๆ แต่พลาดขอนแก่นรองลงมาก็เป็น ม. อุบล แต่ก็อีกตามเคย สอบไม่ติด แต่สุดท้ายโชคชะตาก็ได้พาชั้นเข้ามาเรียนที่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ชั้นลงโควตานักกีฬา ชั้นสอบได้คณะศึกษาศาสตร์เอกจิตวิทยา เป็นคณะที่ใฝ่ฝัน.. ผลโควต้ากีฬาประกาศตั้งแต่เทอมแรก ชั้นก็เล่นมาตลอด ชั้นไม่ชอบคณิตศาสตร์ วิชาคณิต ชั้นก็จะไปทานข้าวพร้อมสหายในห้อง เพื่อนคนอื่นก็ไปด้วย ชั้นชวนใครไป มันบอกว่าถ้ามึงไปกูก็ไป งั้นเราไปกันทั้งห้องเลย พออาจารย์มาสอนก็ไม่เจอนักเรียน อาจารย์ก็โกรธและจากนั้นมาทั้งเทอมอาจารย์ไม่มาสอนอีก คาบนั้นเลยเป็นคาบว่าไปโดยปริยาย ชั้นทะเลาะก็ครูสอนภาษาไทย แหมๆๆๆๆอาจารย์บังอาจมาหยิกเพื่อนชั้น ชั้นไม่ยอมนะ ชั้นและคณะแรงๆ มุ่งหน้าไปที่ห้องผู้อำนวยการ แจ้งเรื่องกับผู้อำนวยการ ผู้อำนวยการทำไรไม่ได้เลย ไม่เป็นไรชั้นยังพยายาม ไม่รอช้าชั้นโทรไป 1133 ขอทราบเบอร์โทรศัพท์กระทรวงศึกษาธิการค่ะ….พอได้แล้วชั้นก็โทร ชั้นก็ถามไป จะเอาผิดกับอาจารย์ได้ไหม ทางกระทรวงก็บอกว่าคุยกับที่โรงเรียนก็นะ แล้วถ้าเรื่องมาถึงกระทรวงจะเป็นเรื่องใหญ่ค่ะ นู๋ก็ค่ะๆจะปรึกษาอาจารย์ท่านอื่นดูก่อน อาจารย์รู้ว่าชั้นไปบอกผอ.พอถึงคาบภาษาไทย อาจารย์พูดขึ้น”ชั้นขอขอบใจกับนักเรียนกลุ่มนึ่งที่เตือนชั้นด้วยวิธีนี้ ชั้นจะไม่ยุ่งกับนักเรียนกลุ่มนั้นอีก” ต่อมาเรื่องตัดผมโรงเรียนมีนโยบายให้นักเรียนตัดผมสั้นทุกคนทั้งม.ต้น และม.ปลาย ยกเว้นนักเรียนที่เป็นนางรำ แต่ชั้นก็ไม่ตัดเพราะชั้นแรง อาจารย์คนเดิมนั่นแหละก็พูดใส่ชั้นว่า”ครูก็ขอขอบใจนักเรียนทุกคนที่ตัดผมตามระเบียบนะ แต่ที่ไม่ตัดก็ไม่เป็นไร้…..” ชนากานต์ไม่แคร์
ชั้นพาพี่ชายไปแอบชกมวยโดยคนที่บ้านไม่รู้ ชั้นไปเก็บตัวนักกีฬาที่จังหวัด พี่ชั้นก็ไปเก็บตัว แต่บอกคนที่บ้านว่า ไปเป็นเพื่อนไอ้อิ๋มมันที่จริง มันก็ไปชกมวยนั่นแหละ แล้วชั้นแข่งเสร็จก็กลับบ้านพี่ชั้นจำดป็นต้องกลับด้วยเพราะไม่มีข้ออ้างใดๆ พอถึงวันที่พี่ชายต้องแข่ง ก็พากันออกจากบ้านตั้งแต่เช้า บอกกับแม่ว่าไปดูเพื่อนแข่งกีฬา ก็ไปกับพี่พอแข่งเสร็จก็เย็นมากแล้ว สรุปพี่ก็ได้เหรียญเงิน ชั้นก็ได้เหรียญเงิน แต่ชั้นไม่ได้เป็นนักกีฬาเถื่อนเหมือนพี่นะ พอวันนึงขับรถกลับมาที่ร้อยเอ็ดด้วยกันทุกคนทั้งครอบครัว พี่ก็เลยเอาเหรียญมาให้ชั้นดู ละก็ถามว่า เราจะบอกแม่ดีไหม อิ๋มเลยบอกว่า อยากบอกก็บอกดิไหนๆก็แข่งเสร็จแล้ว แถมยังได้ถ้วยอะไรไม่รู้เกี่ยวกับการไหว้ครูนี่แหละ สงสัยไหว้ครูสวยมั้ง แล้วก็เลยบอกพ่อกับแม่ พ่อเลยบอกว่าถ้าจะไปแข่งก็ไม่ซ้อมดีๆละ ไอ้เรานึกว่าพ่อจะด่า เพราะพ่อกับแม่ไม่อยากให้พี่ชกมวย เพราะมันจะกระทบกระเทือนถึงสมอง เค้าก็ว่าไปงั้นแหละวันแห่งการจากลา.....ก็มาถึงชั้นไม่อยากให้มีวันนี้เลย วันที่ชั้นต้องจากลาจากเพื่อนๆที่รักของชั้น ต่างคนก็ต้องเดินตามความฝันของตัวเอง ในห้องเหรอมีชั้นกับเพื่อนไม่กี่คนที่มีที่เรียน ที่เหลือก็เร่ร่อนตามระเบียบ ไปทำงานบ้าง เรียนบ้าง มีครอบครัวบ้าง
ชีวิตมหาวิทยาลัยของชั้นชั้นมาโควตากีฬา ชั้นเล่นกีฬายูโดนะ มาตั้งแต่ก่อนชาวบ้าน ชั้นไม่รู้จะไปที่ไหนหลังจากที่แม่มาส่งชั้นอยากไปนอนที่บ้านแต่ก็อยู่ในเมือง ชั้นเลยโทรหาพี่ที่เคยอยู่โรงเรียนเดียวกัน พี่เค้าพาฉันไปทานข้าว แล้วก็เล่าประวัติหอชื่นชมให้ฟัง พี่ที่อยู่ด้วยก็ไม่รู้หายหัวไปไหน น้ำก็ยังไม่อาบ กลัวจะตาย ข้าวก็หิว ไมม่รู้จะทานที่ไหน ไม่รู้แม้กระทั่งม.เรามีตลาดน้อยพอไปเรียนวันแรกก็ดี มีเพื่อนมาจากต่างที่ พูดต่างภาษา ตลก ขำๆ เรียนก็สบายเกรดก็ 3 นิดๆแต่ก่อนสอบแทบจะไม่ได้นอนค่ะ กลับเสียตังค์ลงทะเบียบใหม่ งกๆๆๆๆๆ ชั้นก็เที่ยวไปวันๆ ชั้นไม่เคยดื่มเหล้า สูบบุหรี่ ชั้นไม่ดื่มน้ำอัดลมมาก็หลายปีแล้ว ชั้นว่า ชั้นเป็นคนดีระดับนึงนะ ว่าป่าว ตอนเรียนชั้นหลับอยู่บ่อยๆ แต่ไม่มีน้ำลายไหลแล้ว อาย…. ตังค์เหรอชั้นก็ประหยัดนะสัปดาห์ละพัน ชั้นจะพยายามกลับบ้านทุกสัปดาห์ แต่กลับร้อยเอ็ดนะ เป็นบ้านยาย ชั้นก็จะนัดเจอแม่ที่นั่น แล้วทุดคนก็มาเจอกันครึ่งทาง
อัตชีวประวัตินายนฤดม พิมพ์ศรี 52010521021 คณะศึกษาศาสตร์ สาขาวิชาจิตวิทยา มหาวิทยาลัยมหาสารคามประวัติโดยสังเขปเกิดเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2532 ที่ โรงพยาบาลเลิดสิน กรุงเทพมหานคร ต่อมาเข้ารับการศึกษาที่โรงเรียนวัดไทร ในระดับชั้นอนุบาลถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 เข้ารับการศึกษาต่อในระดับชั้นมัธยมศึกษาที่ โรงเรียนแก่นนครวิทยาลัยในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1-2 และระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3- 6 ที่โรงเรียนมัธยมวานรนิวาส อำเภอวานรนิวาส จังหวัดสกลนคร มีพี่น้องทังหมด 3 คน รวมตัวเอง เป็นพี่คนโตมีน้องสาว 2 คน ปัจจุบันกำลังศึกษาอยู่ที่ คณะศึกษาศาสตร์ ภาควิชาจิตวิทยา มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ในช่วงที่เรียนในระดับมัธยมศึกษานั้นได้เข้าร่วมกิจกรรมของโรงเรียนหลายอย่าง เช่น เล่นกีฬา เคยเข้าร่วมคัดตัวเป็นนักกีฬาฟุตบอลของโรงเรียนในช่วงที่เรียนอยู่โรงเรียนแก่นนครวิทยาลัย แต่ได้ย้ายมาเรียนที่โรงเรียนมัธยมวานรนิวาสเสียก่อน เริ่มเล่นดนตรีในวงโยธวาธิตของโรงเรียนมัธยมวานรนิวาสและได้ก้าวเข้าไปเล่นในวงดนตรีลูกทุ่งของโรงเรียนโดยมีชื่อวงว่า “ประดับเกียรติ คอมโบ” ซึ่งได้เป็นมือกีตาร์ของวงประดับเกียรติ คอมโบ และได้ทิ้งกิจกรรมวงโยธวาธิตของโรงเรียนไปเพื่อทุ่มเทฝึกซ้อมให้กับวงดนตรีลูกทุ่ง เคยได้ไปประกวดวงดนตรีลูกทุ่งหลายรายการ เช่น รายการ”แชมป์เยาวชน” ช่องโมเดิร์นไนน์ทีวี ,เข้าประกวดวงดนตรีลูกทุ่ง ยามาฮ่าลูกทุ่งคอนเทสก์ สองครั้งที่ MCC Hall เดอะมอลล์นครราชสีมา นอกจากเป็นนักดนตรีของวงดนตรีลูกทุ่งแล้วได้เข้าวงขับร้องเพลงประสานเสียงของโรงเรียน แต่เป็นในช่วงที่เรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ซึ่งกำลังจะจบการศึกษาแล้วและพึ่งได้เริ่มก่อตั้งวงประสานเสียงขึ้นครั้งแรก และได้เข้าประกวดการขับร้องเพลงประสานเสียงในงาน ESAN EXCELLENCE FAIR ที่มหาวิทยาลัยขอนแก่น ปัจจุบันได้ศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ได้ขับร้องเพลงประสานเสียงในวง MSU Chorus และเล่นดนตรีในวงศึกษาศาสตร์ลำซิ่ง ของคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคามประวัติการศึกษาเริ่มเข้าศึกษาระดับชั้นอนุบาลที่ โรงเรียนวัดไทร เขตบางคอแหลม กรุงเทพฯจนถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 เนื่องจากบิดาได้ย้ายเข้าไปทำงานที่อำเภอภูเวียง จังหวัดขอนแก่น ข้าพเจ้าก็เลยได้ย้ายตามบิดามารดาไปเรียนที่จังหวัดขอนแก่น และได้เข้าศึกษาต่อในระดับชั้นมัธยมปีที่ 1-2 และได้ย้ายตามบิดามารดาไปที่อำเภอวานรนิวาส จังหวัดสกลนครได้เข้าศึกษาต่อในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 เมื่อ
ข้าพเจ้าเรียนจบในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 และ ได้เข้ารับการศึกษาต่อในคณะวิทยาการสารสนเทศ ภาควิชาวิทยาการคอมพิวเตอร์ แต่เนื่องจากข้าพเจ้าปรับตัวไม่ได้หรือสาขาวิชาที่ข้าพเจ้าเรียนอยู่อาจจะหนักเกินไปสำหรับข้าพเจ้าเพราะวิชาที่ข้าพเจ้าเรียนได้ทำโปรเจ็ค อาจจะเรียกว่าหนักสำหรับข้าพเจ้าเลยทีเดียว ซึ่งได้ทำถึง 2 วัน ไม่ได้หลับได้นอน และสอบเดโมโปรเจ็ค ถึงเที่ยงคืน และในช่วงนั้นเกรดของข้าพเจ้าไม่ค่อยดีนักอาจเป็นเพราะข้าพเจ้าปรับตัวยังไม่ได้ จึงได้โทรไปปรึกษากับแม่ที่บ้านว่า ข้าพเจ้าเรียนไม่ไหวแล้ว เกรดก็ไม่ค่อยดี ตอนนั้นกำลังคิดหนักคิดไปเรื่อยเปื่อย ทั้งเป็นช่วงสอบปลายภาคในเทอมที่สอง มีปัญหาทั้งหลายมารุมเร้า แม่ของข้าพเจ้าก็เลยบอกว่าอยากเรียนต่อหรือไม่ หรือว่าจะย้ายไปเรียนคณะอื่น ให้ข้าพเจ้าตัดสินใจเอง ข้าพเจ้าก็เลยตัดสินใจไปเรียนในคณะอื่น และได้เข้าศึกษาต่อที่คณะศึกษาศาสตร์ สาขาวิชาจิตวิทยา ซึ่งเป็นสาขาวิชาที่ข้าพเจ้าอยากเรียนแต่ไม่รู้ว่าจบจากสาขาวิชานี้แล้วจะไปทำงานอะไร พอดีมีเพื่อนข้าพเจ้าได้เรียนในภาควิชานี้ก็เลยโทรศัพท์ไปปรึกษาเพื่อนของข้าพเจ้าที่เรียนในสาขาจิตวิทยา จึงได้ย้ายเข้ามาเรียนที่ภาควิชาจิตวิทยาในชั้นปีที่ 1 ใหม่ ตอนนี้ข้าพเจ้าพึงพอใจและมีความสุขกับภาควิชาที่ข้าพเจ้าเรียน ทั้งมีเพื่อนและรุ่นพี่ที่ข้าพเจ้ารู้สึกเหมือนกับพี่น้องของข้าพเจ้าจริง และมีอาจารย์ในภาควิชาที่เข้าใจนิสิตและดูแลนิสิตเป็นอย่างดี และข้าพเจ้าขอขอบคุณเพื่อนๆทุกคนที่ช่วยอุปการะให้คำปรึกษาข้าพเจ้าเป็นอย่างมากประวัติการเล่นดนตรีในช่วงที่ข้าพเจ้าเข้าไปเรียนในโรงเรียนมัธยมวานรนิวาสครั้งแรกนั้น ที่โรงเรียนมีกิจกรรมการเรียนการสอนวิชาชุมนุม ในตอนนั้นข้าพเจ้าคิดไม่ออกว่าจะเลือกชุมนุมอะไร และตอนที่ข้าพเจ้าเข้าเรียนในโรงเรียนครั้งแรกนั้นข้าพเจ้ารู้จักเพื่อนคนหนึ่งที่อยู่ในวงโยธวาธิต เพื่อนก็เลยแนะนำให้ข้าพเจ้าเข้าวงด้วยและเลือกเรียนในวิชาชุมนุมดนตรีสากล โดยเริ่มเล่นในวงโยธวาธิตก่อนเล่นได้ไม่กี่เดือนก็เลิก และได้เข้าวงดนตรีลูกทุ่งของโรงเรียน ได้ไปประกวดวงดนตรีลูกทุ่งแล้วได้รับรางวัลหลายรายการ เช่น รางวัลระดับ พิณเงิน ของการประกวดวงดนตรีลูกทุ่ง ยามาฮ่า ลูกทุ่งคอนเทสก์ ที่MCC Hall เดอะ มอลล์นครราชสีมา ได้ลำดับที่สองของการประกวดวงดนตรีลูกทุ่งในรายการ แชมป์เยาวชน ของโมเดิร์นไนน์ทีวี โดยสมาคมนักเพลงลูกทุ่งแห่งประเทศไทย นอกจากวงดนตรีลูกทุ่งแล้ว ข้าพเจ้ายังได้เล่นวงสตริงและได้รับรางวัลหลายรายการ เช่นกัน ได้เข้าร่วมในวงขับร้องประสานเสียงของโรงเรียนเคยไปประกวดในงาน ESAN EXCELLENCE FAIR ที่มหาวิทยาลัยขอนแก่นและได้รางวัลระดับเหรียญทอง ปัจจุบันได้เล่นดนตรีในวง ศึกษาศาสตร์ลำซิ่ง ของคณะศึกษาศาสตร์มหาวิทยาลัยมหาสารคาม และวงขับร้องประสานเสียง MSU Chorus ของมหาวิทยาลัยมหาสารคาม
นางสาวอรวรรณ สุทธลักษณ์ รหัสนิสิต 52010517098 สาขาวิชาจิตวิทยา ชั้นปีที่ 1 ตั้งแต่ที่ฉันเกิดมาจนฉันจำความได้ ฉันก็ได้รู้แล้วว่าตัวเองชื่อ นางสาวอรวรรณ นามสกุล( สุดแสนจะไพเราะของพ่อฉัน ) สุทธลักษณ์ ส่วนชื่อเล่นนั้น ชื่อว่า หญิง ชื่อนี้มันมีที่มา ช่วงที่ฉันได้เกิดมานั้นญาติๆๆของฉันกำลังติดการดูละครเรื่องหนึ่งอยู่ ซึ่งนางเอกในเรื่องน่าสงสารมากโดนนางร้ายกลั่นแกล้งตลอด จนอาของฉันเนี่ยถึงขนาดเกลียดนางร้ายเข้าไส้เลยทีเดียว เคยเอาเท้าเหยียบน่าจอทีวีเกือบแตก เพราะอยากช่วยนางเอก นั่นล่ะค่ะนางเอกในละครชื่อหญิง ฉันจึงได้ชื่อนี้มา ฉันเกิดมาเมื่อวันอังคาร ที่10เดือน เมษายน พ.ศ 2533 แม่เล่าให้ฟังว่า ตอนที่แม่จะคลอดฉันแม่เจ็บท้องมากๆ แล้วก็นานมากๆๆด้วย แต่ฉันก็ไม่ยอมออกมาซักที แล้วแม่ยังบ่นอีกว่าปีนั้นแม่อดเล่นน้ำในเทศกาลงานสงกรานต์เลย อิอิ แต่ฉันก็เคยบอกแม่ไปนะว่าคนมีบุญมาเกิดก็แบบนี้ล่ะมันต้องลำบากหน่อย ครอบครัวของฉัน ฉันมีพี่น้องทั้งหมด 3 คน ฉันเป็นลูกสาว คนที่ 2 มีพี่ชาย 1 คน ชื่อ นายอนันต์ สุทธลักษณ์ อายุ 21 ปี ปัจจุบัน ทำงานอยู่ที่ จังหวัดพระนครศรีอยุธยาและมีน้องชายอีก 1 คน ชื่อ นายชนะภัย สุทธลักษณ์ ปัจจุบันกำลังศึกษาในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนผดุงนารี จังหวัดมหาสารคาม ส่วนแม่ของฉันชื่อ นางมลิวัลย์ สิมมา สำหรับพ่อของฉัน ชื่อ นายวันเชาว์ สุทธลักษณ์ พ่อของฉันเสียชีวิตแล้วล่ะ ฉันจำได้ว่าตอนนั้นฉันเพิ่งเปิดเทอมขึ้นชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ได้แค่วันเดียวเองท่านเสียตั้งแต่ฉันอายุได้เพียง 10 ขวบเท่านั้นเอง แม่ของฉันเป็นคนจังหวัดมหาสารคามส่วนพ่อของฉันเป็นคนจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ฉันเกิดและเติบโตที่จังหวัดมหาสารคาม ฉันเริ่มเรียนอนุบาลที่โรงเรียนเทศบาลโพธิ์ศรี ตอนนั้นฉันไม่อยากไปเรียนเลย จำได้ว่าแม่ไปส่ง แล้วฉันก้อร้องไห้ตลอดจะหนีกลับบ้านอย่างเดียว แต่ว่าครูโหดมากเลย จับฉันไปขังไว้ในห้องมืดๆ จากนั้นมาฉันก็เข็ดขยาดไม่กล้าหนีกลับบ้านเลยเวลามาเรียนก็ไม่ร้องไห้ ตอนที่ฉันเรียนอนุบาลฉันได้ย้ายกลับไปกลับมาตั้งหลายครั้งบางทีก็เรียนที่มหาสารคาม บางทีก็ได้ไปเรียนที่อยุธยา แต่พอขึ้นชั้นประถมก็ไม่ได้ย้ายไปไหนอีกเลย ฉันจบการศึกษาระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 จากโรงเรียนเทศบาลโพธิ์ศรี จังหวัดมหาสารคาม
จบการศึกษาระดับชั้นมัธยมศึกษาปี่ที่ 3 จากโรงเรียนผดุงนารี จังหวัดมหาสารคาม จบการศึกษาระดับชั้นมัธยมศึกษาปี่ที่ 6 จากโรงเรียนผดุงนารี จังหวัดมหาสารคามปัจจุบันกำลังศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม คณะศึกษาศาสตร์ สาขาวิชา จิตวิทยา ชั้นปีที่ 1 กว่าจะได้มาเรียนจิตวิทยา : ก็ต้องทนฟังคนแถวบ้านที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยมาหาว่าเราบ้าแล้วก็ชอบพูดว่า กว่าจะจบเป็นบ้าก่อนเรียนจบกันพอดี ( อาจจะด้วยว่าที่ฉันเป็นคนฮาๆบ้าๆบอชอบทำตัวไม่เหมือนชาวบ้านเค้าด้วยล่ะมั้ง ) ก็ช่างฉันไม่แคร์สื่อใดๆ แล้วอีกอย่างกว่าแม่จะเข้าใจในสิ่งที่ฉันอยากเรียนก็เหนื่อยเหมือนกัน จำได้ว่าตอนที่สมัครนะแม่อยากให้ลงคณะสาธารณสุขอันดับ 1 แล้วค่อยลงจิตวิทยาอันดันดับ 2 แต่ฉันก็ได้แอบลงจิตวิทยาอันดับ 1 แทน แล้วพอวันประกาศผล ฉันจึงบอกแม่ว่าลงสาธารณสุขไปแล้วแต่มันไม่ติดอ่า มันมาติดจิตวิทยา จากการวางแผนครั้งนั้น จึงทำให้ฉันได้มาเรียนจิตวิทยาสมใจ โดยนิสัยส่วนตัวแล้วนั้น อยากได้อะไรก็ต้องพยายามทำเพื่อเอามันมาให้ได้ ฉันเป็นคนที่สนุกสนาน ร่าเริง ฮาๆ บ้าๆ บอๆ พูดมาก แถมยังเสียงดังอีกด้วย เข้ากับคนอื่นได้ง่าย เป็นคนพูดตรงๆ บางครั้งตรงเกินไปจนบางคนที่ฟังเหม็นน่าไปมากแล้วก็มี ในตอนเรียนมัธยมฉันดูออกจะห้าวๆ แมนๆ กระโดกกระเดก ไม่เรียบร้อย ความเป็นกุลสตรีมีน้อยมาก มันจึงทำให้คนอื่นชอบคิดว่า ฉันเป็นทอม อยู่เรื่อยเลย แต่ตอนนี้ฉันมาเรียนมหาวิทยาลัยก็เริ่มมีความเป็นกุลสตรีที่เรียบร้อยเพิ่มมากขึ้นแล้วล่ะ ตัวการ์ตูนสุดโปรดของฉันต้องนี้เลยมิ๊กกิ้เมาส์ สีที่ชอบสีสวยๆๆ แต่ขอเน้น สีฟ้า นักร้องที่ชอบ น้าแอ๊ด คาราบาว แนวเพลงที่ชอบ เพื่อชีวิต ลูกทุ่ง อาหารที่ชอบกินเป็นประจำ ส้มตำ งานอดิเรกของฉัน อ่านนิยาย เขียนไดอารี่ ฟังเพลง ความใฝ่ฝันในอนาคตอยากจะเป็นนักจิตวิทยาแล้วก็นักเขียนควบคู่กันไปด้วย
ข้าพเจ้าชื่อนางสาวนภาเพ็ญ อุทปัตย์ ชื่อเล่น แอ๊ปเปิ้ล วันเกิดวันจันทร์ที่ 6 เดือนสิงหาคม พ.ศ. 2533 เนื่องจากวันที่ดิฉันเกิดเป็นวันเพ็ญจึงเป็นที่มาของชื่อนภาเพ็ญ หมายความว่าพระจันทร์วันเพ็ญที่ส่องแสงประกายอยู่บนท้องฟ้า นิสัยส่วนตัว สนุกสนาน แต่ก็เป็นคนชอบคิดมากกับทุกเรื่อง เป็นกันเอง เข้ากับคนอื่นได้ง่ายสิ่งที่เกลียดที่สุดคือ การโกหก และการรอคอยเพราะ การรอคอยมันเป็นสิ่งที่นานยิ่งรอยิ่งทำให้เรารู้สึกว่ายิ่งนาน คติประจำใจ ดีชั่วอยู่ที่ตัวทำ สูงต่ำอยู่ที่ทำตัวเวลาว่าง อ่านหนังสือ เล่นInternet อาหารที่ชอบ ข้าวผัดกุ้ง และที่ขาดไม่ได้เลยคือ ส้มตำ สีที่ชอบ สีชมพู เรื่องเล่าน่ารักๆของคนน่ารัก อิ อิ อิ ตั้งแต่ตอนเด็กๆดิฉันเป็นคนขี้แยมากอะไรนิดอะไรหน่อยก็ร้องไห้ เพราะมีพี่มากและมีพ่อแม่คอยเอาใจอยู่ในครอบครัวที่อบอุ่น การที่มีพี่มากมันทำให้ฉันเป็นคนเอาแต่ใจ พี่ๆก็จะดูแลฉันช่วยพ่อแม่ ตอนนั้นครอบครัวดิฉันสนุกสนานเฮฮามากเพราะอยู่กันหลายคน อีกทั้งตอนนั้นก็ยังมีคุณยายอยู่ พี่ๆทุกคนก็จะแบ่งงานกันทำอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขถึงจะอยู่ด้วยกันหลายคนแต่พี่ๆและฉันก็ไม่เคยผิดใจกัน มีแต่เสียงหัวเราะหยอกล้อกัน พอดิฉันอายุ 5-6 ขวบ คุณพ่อคุณแม่ส่งให้เรียนชั้นอนุบาลที่ 1 และอนุบาล 2 ที่โรงเรียนบ้านโนนหนองแฝกซึ่งพี่ๆก็เรียนที่นั่นแต่จบกันหมดแล้ว ทุกๆเช้าคุณพ่อก็จะไปส่งทุกวัน ขณะที่เพื่อนส่วนมากขี่จักรยานไปเรียนเอง ตอนเข้าเรียนชั้นอนุบาลใหม่ๆ ฉันก็ชอบนั่งร้องไห้คิดถึงพ่อกับแม่ จนคุณแม่ได้มานั่งเฝ้าที่หน้าห้องเรียน ได้สักประมาณอาทิตย์หนึ่งฉันก็เริ่มไม่ให้คุณแม่มานั่งเฝ้า เพราะที่โรงเรียนกำลังฝึกฟ้อนรำ เพื่อที่จะไปรำในงานบุญบั้งไฟ ซึ่งตอนเด็กๆดิฉันชอบการฟ้อนรำ การเต้น จึงสนุกสนานอยู่กับสิ่งนี้ ดิฉันเป็นเด็กที่เรียบร้อย ไม่ดื้อไม่ซน และกลัวครูดุด่ามาก แต่พูดเก่งช่างพูด หลังเลิกเรียนเกือบทุกวันจะมีเพื่อนมาทำการบ้านที่บ้านด้วย ดิฉันก็จะรีบทำการบ้านให้เสร็จด้วยความตั้งใจไม่มีวันไหนที่จะไม่มีการบ้านส่งครูเพราะมีพี่ๆคอยบอกสอนการบ้าน และไม่ชอบไปเที่ยวเล่นกับเพื่อนมีแต่เพื่อนมาเล่นด้วยที่บ้านพออายุประมาณ 7 ขวบดิฉันก็เรียนชั้นประถมศึกษาคุณพ่อคุณแม่ก็ให้เรียนที่โรงเรียนเดิม ตอนนั้นมีเพื่อนที่สนิทกัน 8 คน ก็จะเล่นสนุกด้วยกันตามประสาเด็กๆและตั้งใจเรียน เพราะตอนเด็กๆคุณพ่อบอกว่าต้องอ่านหนังสือ
ถ้าสองวันอ่านจบหนึ่งเล่มพ่อจะมีรางวัลให้ ดิฉันก็ทำได้ ดิฉันอยากได้อะไรคุณพ่อก็ซื้อให้ทุกอย่าง แต่ต่อมาดิฉันได้เข้าโรงพยาบาล ตั้ง 1 อาทิตย์เต็มๆ หมอบอกว่าดิฉันเป็นไข้เลือดออก คุณพ่อคุณแม่ก็คอยดูแลเป็นอย่างดี หลังจากออกจากโรงพยาบาลก็มาพักผ่อนต่อที่บ้านอีก 1 อาทิตย์ ตอนนั้นกลัวเรียนไม่ทันเพื่อนมาก พอไปเรียนดิฉันก็ขยันขึ้นเพราะต้องตามเพื่อนให้ทัน ช่วงเรียนชั้นประถมศึกษาจะกังวลเรื่องเกรดมากตั้งทำให้ได้เกรด 4 ทุกวิชา มีอยู่ 2 เทอมที่ไม่ได้เกรด 4 ทุกวิชาตอนนั้นได้ เกรด 3 แค่วิชาเดี่ยว นอกนั้นก็เกรด 4 หมด แต่ก็ยังไม่กล้าให้แม้ดูเพราะกลัวแม่ด่า เพื่อนๆทุกคนต่างแข่งขันกันมากเรื่องการเรียน แม้กระทั่งกิจกรรมเพราะที่โรงเรียนมีกิจกรรมการแข่งขันทักษะมากมายดิฉันก็จะเข้าร่วมเป็นประจำและได้รางวัลทุกครั้งพอดิฉันอายุได้ประมาณ 8 ขวบพี่คนโตของฉันก็ไปเรียนต่อที่มหาลัยมหิดล พี่อีก 2 คนก็ต่างแยกย้ายกันไปทำงานที่ต่างจังหวัด ส่วนพี่อีกคนก็แต่งงานมีครอบครัวแต่ก็อยู่ในหมู่บ้านเดียวกันแต่คนละหลัง ส่วนดิฉันก็เรียนอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ที่เดิมถึงพี่ๆจะไม่ได้อยู่กับดิฉันแล้วแต่ดิฉันก็ตั้งใจเรียนและทำการบ้านเสร็จเหมือนเดิมมีการบ้านส่งทุกวันเหมือนเดิม อีกทั้งยังต้องช่วยงานพ่อแม่ เพราะพี่ๆไม่อยู่แล้ว ถึงดิฉันจะยังเด็กอยู่แต่ก็ช่วยงานในสิ่งที่ดิฉันทำได้ เช่น การล้างจาน กวาดบ้านถูบ้าน พอแบ่งเบาภาระของพ่อกับแม่ลงได้บ้าง เพราะคุณพ่อต้องไปทำงานแต่เช้า กลับมาก็ต้องมาทำงานที่บ้านอีก ดิฉันสงสารพ่อกับแม่ดิฉันจึงช่วยงานในสิ่งที่ไม่เกินความสามารถ และค่อยๆฝึกหัดงานอย่างอื่นจากแม่เพิ่มขึ้น ถึงดิฉันจะทำงานบ้านช่วยพ่อแม่ แต่การเรียนดิฉันยังเหมือนเดิม ดิฉันก็ทำอย่างนี่ไปเรื่อยๆจนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 เกรดเทมอสุดท้ายก็ได้เกรด 4 ทุกวิชาเหมือนเดิมดิฉันดีใจมาก วันรับใบวุฒิที่โรงเรียนก็จัดงานให้วันนั้นภูมิใจและดีใจมาก แต่ก็เสียใจที่จะไม่ได้เจอ ได้เล่นซน กับเพื่อนๆเหมือนเคย เพราะทุกคนต้องไปเรียนต่อที่โรงเรียนมัธยม ตอนนั้นฉันตื่นเต้นมากที่จะได้ไปเรียนชั้นมัธยม พ่อแม่ให้ฉันไปเรียนที่โรงเรียนในอำเภอซึ่งเป็นโรงเรียนใกล้บ้านและมีชื่อเสียง วันนั้นเป็นวันที่ดิฉันต้องไปสอบเพื่อคัดเลือกห้องพ่อกับแม่มุ่งหวังอยากให้ดิฉันได้อยู่ห้องคิงมากเพราะเป็นห้องของเด็กที่เรียนเก่ง ดิฉันก็ตั้งใจทำข้อสอบทำเต็มความสามารถ วันประกาศผลฉันก็ได้อยู่ห้องนั้นจริงๆฉันดีใจมากที่ฉันไม่ทำให้พ่อแม่ฉันต้องผิดหวัง วันเปิดเทอมวันแรกตื่นเต้นมากโรงเรียนใหม่ เพื่อนใหม่ ชุดใหม่ อะไรๆก็ใหม่
แต่ก็ยังดีมีเพื่อนที่อยู่โรงเรียนเดิมอยู่ห้องเดียวกันต้อง 2 คน ดิฉันก็ได้รู้จักกับเพื่อนใหม่หลายคนพออยู่ห้องเดี่ยวกันไปนานๆก็เกิดความสนิทกันกับเพื่อนมากขึ้นพูดคุยกัน ห้องที่ดิฉันอยู่เป็นห้องที่ทั้งเรียนดีและซน แซบ ซ่า ดีก็ห้องนี้ ไม่ดีก็อยู่ที่ห้องนี้อีก การเรียนในเทมอแรกก็ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดี แต่ก็มีบางอย่างที่ต้องปรับปรุงด้วยการไปเรียนพิเศษหลังเลิกเรียน ฉะนั้นดิฉันจึงเริ่มเรียนพิเศษมาตั้งแต่ ม.1 แต่ไม่คิดเลยว่าในสิ่งที่ดิฉันกำลังยินดีกับการเรียนในโรงเรียนใหม่ มันก็มีเรื่องที่ไม่น่าจะเกิดเกิดขึ้นคือ ในวันนั้นวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2546เป็นวันที่ฉันจำได้ขึ้นใจไม่เคยลืม ในตอนเช้าฉันอยู่บ้านกับคุณยายแค่สองคน คุณแม่ก็ไปทำบุญที่วัดส่วนคุณพ่อก็ไม่รู้ว่าไปไหน ช่วงนั้นก็เป็นฤดูหนาวคุณยายก็นั่งผิงแดดอยูที่ข้างประตูบ้านเหมือนทุกๆวัน ส่วนดิฉันก็ทำงานบ้าน กวาดบ้าน จัดบ้านตามที่ฉันทำเป็นประจำ โดยที่ไม่ได้สนใจอะไร พอแม่กลับมาจากวัดดิฉันก็ได้ยินเสียงแม่ร้องดังขึ้น ดิฉันจึงรีบออกไปหาแม่ พอออกไปเห็นคุณยายนอนอยู่แบบไม่มีเรี่ยวแรง แม่กับฉันจึงรีบอุ้มยายเข้าไปนอนในบ้าน แล้วใครจะรู้ละว่าในเย็นวันนั้นคุณยายก็ได้จากดิฉันไปอย่างเงียบๆ ครอบครัวของดิฉันเสียใจมาก เพราะคุณยายของดิฉันไม่ได้ป่วย แต่ก็อาจเป็นเพราะหมดอายุไขของคุณยาย คุณยายอายุได้ 82 ปี แต่ดิฉันรู้สึกว่ามันเป็นเพราะดิฉันไม่ออกมาดูคุณยายมัวแต่ทำงาน พอคิดขึ้นมาทีไรก็รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนผิดมาจนถึงวันนี้ เรื่องไม่ดีผ่านไปแต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีเรื่องที่ดี พอขึ้นมัธยมศึกษาปีที่สองไม่น่าเชื่อว่าดิฉันจะได้เกรดเฉลี่ย 3.82 ฉันดีใจมากเพราะไม่เคยได้ถึงเท่านี้เลย แต่ก็เป็นเพราะดิฉันเรียนรู้เรื่องนั่นแหละ ช่วงนี้เป็นช่วงของวัยที่กำลังสนุกสนานกับเพื่อนๆ ไปไหนก็ไปกับเพื่อนและรักการไปโรงเรียนมากไปเคยขี้เกลียดสักวัน การไปโรงเรียนของดิฉันก็จะมีรถนักเรียนมารับในหมู่บ้าน ถึงจะอยู่ใกล้โรงเรียนแต่รถรับส่งก็มารับตั้งแต่ 7 โมงเช้า แต่ฉันก็ทันรถทุกวัน เพราะการไปเรียนตอนนั้นเป็นสิ่งที่สนุกพอเลิกเรียนก็ไปเรียนพิเศษต่อถึง 17.30 น. แล้วคุณพ่อก็มารับ มัธยมศึกษาปีที่ 3 ดิฉันก็รู้สึกว่าการเรียนเริ่มยากขึ้น โดยเฉพาะวิชาคณิตเป็นวิชาที่มีการบ้านทุกวันที่มีเรียนและต้องส่งในวันถัดไป วิชานี้เป็นวิชาที่แข่งกันลอกการบ้านดิฉันและเพื่อนๆเกือบทั้งห้องลอกการบ้านกันโดยให้คนที่เก่งที่สุดในห้องเป็นคนไปทำมาพอตอนเช้าก็พากันรีบลอก รีบทำจนเสร็จทันส่งทำอย่างนี้เกือบทุกครั้งเป็นเรื่องที่รู้ว่าไม่ดีแต่สนุกมาก เป็นการฝึกการเขียนเร็วไปในตัว แต่มัธยมศึกษาปีที่ 3 ก็เป็นอีกปีหนึ่ง
ที่จะจบการศึกษาขั้นพื้นฐานซึ่งดิฉันก็ไปได้คิดมากอะไร เพราะยังไงก็ยังไงก็ต้องเรียนต่อมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่โรงเรียนเดิม แต่ก็ต้องสอบชิงห้องเหมือนเดิม ตอนเรียนมัธยมศึกษาตอนตนดิฉันได้มีแม่ครูซึ่งเป็นครูที่ปรึกษาประจำชั้น ม.ต้น ท่านดีมากเหมือนเป็นแม่คนที่สองจริงๆอยู่ใกล้ท่านแล้วอบอุ่น พอช่วงปลายเทอมท่านก็ได้พาไปเที่ยว ไปทัศนศึกษาก่อนจบ ม.3 ที่นครราชศรีมา ไปเที่ยวที่สวนสัตว์ และอีกหลายๆที่สนุกมาก พอวันจบการศึกษาก็ใจหายเหมือนกันเพราะเพื่อนบางคนก็ไปเรียนต่อที่อื่น แต่เพื่อนอีกหลายคนก็เรียนที่เดิมกับดิฉัน พอขึ้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ดิฉันก็สอบได้ห้องคิงเหมือนเดิม เพื่อนบางคนก็ได้อยู่ห้องเดียวกันกับดิฉัน แต่บางคนก็แยกกันไปอยู่ห้องอื่น และก็ได้เจอเพื่อนใหม่อีกหลายคน การเรียนก็ยากขึ้นกว่าเดิมเพราะมีวิชาที่ตอนม.ต้นไม่เคยมี ดิฉันจึงต้องตั้งใจเรียนขึ้นมาบ้าง และต้องพยายามทำคะแนนให้ดีเพราะจะต้องเอาไปใช้ในการสอบเรียนต่อมัธยมศึกษาตอนปลายเป้ฯช่วงที่สนุกมากเพราะเพื่อนๆทุกคนก็โตกันแล้วดิฉันเลิกเรียนแล้วก็เรียนพิเศษเหมือนเดิม พอกลับถึงบ้านทุกวันก็ต้องทำกับข้าวรับประทานกันกับคุณพ่อคุณแม่แม่ไม่ทำไว้รอ เพราะอยากให้ฉันได้หัดทำจะได้ทำกินเองเวลาพ่อกับแม่ไม่อยู่ นอกจากการทำกับข้าวแล้วฉันยังมีงานอื่นๆที่ต้องแบ่งเบาภาระจากพ่อแม่ก็คืองานบ้านทั่วๆเพราะดิฉันโตพอที่จะช่วยท่านได้แล้ว มัธยมศึกษาปีที่ 5 ใกล้จะได้เป็นพี่ใหญ่แล้วก็มีกิจกรรมเข้ามาให้ทำมากมาย เช่น การจัดค่ายต่างๆ รวมทั้งกิจกรรมทัศนศึกษา และการจัดเชียรในการแข่งขันกีฬาภายในซึ่งเป็นเรื่องที่ห้องดิฉันให้ความสำคัญมากทุมเทสุดๆ ดิฉันก็ได้เป็นหนึ่งในเชียร์ลีดเดอร์เช่นกันเพราะทุกๆปีสีของดิฉันจะเป็นแชมป์มาโดยตลอด พอมาถึงปีฉันก็ต้องทำให้ได้เหมือนรุ่นพี่ แต่การเรียนก็เป็นเรื่องที่สำคัญไม่แพ้เรื่องไหนต้องขยันขึ้นมาอีกเพราะมีกิจกรรมมากมาย ทุกวันดิฉันก็จะกลับบ้านค่ำเหมือนเดิมแต่ไม่ได้กลับบ้านค่ำเพราะเรียนพิเศษ แต่เพราะการฝึกซ้อม และการทำกิจกรรมต่างๆ มัธยมศึกษาปีที่ 6 ตอนนี้เป็นพี่ใหญ่แล้วเย้ใกล้จะจบแล้ว แต่หารู้ไหมว่ายิ่งใกล้จบยิ่งมีอะไรมากมายให้เราทำ รวมทั้งปัญหาต่างๆก็มีมาก เพราะเป็นช่วงการสอบโควตา ตอนนั้นรู้สึกกดดันมากเครียดมากเพราะเพื่อนส่วนมากก็สอบติดโควตากัน ตอนนั้นคิดมากนั่งร้องไห้เกือบทุกครั้งที่คิดเรื่องนี้ขึ้นมา แต่พอถึงช่วงแอดมิสชั่นดิฉันก็สอบติดดังใจหวัง ได้เรียนสาขาจิตวิทยาตามที่คิดไว้ พอมาถึงตอนนี้แล้วทำให้ดิฉัน
สบายใจขึ้นมาได้ว่ามีที่เรียนแล้ว รอคอยคือวันเปิดเรียน พอได้มาสัมผัสที่มหาวิทยาลัยมหาสารคามตื่นเต้นมากได้พบอะไรใหม่ๆหลายอย่างได้แนวคิด และประสบการณ์มากมายในกิจกรรมที่ทางมหาลัยมอบให้ ได้อยู่หอพักกับเพื่อนโดยที่ไม่มีพ่อแม่คอยดูแล ได้ตัดสินใจทำอะไรหลายอย่างด้วยตัวเอง ได้เรียนรู้เกี่ยวกับตัวเองและการอยู่ร่วมกับผู้อื่น ทำให้มีความเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น แต่คิดถึงบ้านคิดถึงพ่อกับแม่มาก แต่ดิฉันก็คิดอยู่เสมอว่าเรามาที่นี่เพื่อทำหน้าที่ของเราคือ การศึกษาหาความรู้ซึ่งในขณะที่พ่อแม่ของเราต้องทำงานเพื่อส่งเรามาเรียน ดังนั้นเราควรทำหน้าที่ๆเรามีอยู่ให้เต็มที่และสำเร็จให้จนได้ไม่ว่าสิ่งนั้นจะยากสักเพียงใดแต่ก็ไม่มีอะไรที่เกินความสามารถของมนุษย์อย่างเราทุกคนนางสาวนภาเพ็ญ อุทปัตย์ 52010517104
ประวัติของข้าพเจ้าข้าพเจ้าชื่อนางสาวสุภัตรา สีหาบุญลี ชื่อเล่น เต้ เกิดวันที่ 30 ตุลาคม 2533 อายุ 19 ปีบิดาชื่อนายสุรัตน์ สีหาบุญลี อายุ 49 ปี อาชีพทำนามารดาชื่อนางสมจิตร์ สีหาบุญลี อายุ 44 ปี อาชีพทำนาพี่ชายชื่อนายธีระวัฒน์ สีหาบุญลี อายุ 23 ปี กำลังศึกษาที่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม คณะศึกษาศาสตร์ สาขาวิชาสังคมศึกษา ชั้นปีที่ 4ปัจจุบันอาศัยอยู่บ้านเลขที่ 117 หมู่ 2 บ้านหนองไฮ ตำบลหนองไฮ อำเภอวาปีปทุมจังหวัดมหาสารคาม 44120เบอร์โทรศัพท์ 083-1517406E-mail pante.te@hotmail.comสีที่ชอบ สีม่วงอาหารจานโปรด กระเพราไก่ , ส้มตำคติประจำใจ ทำวันนี้ให้ดีที่สุดประวัติด้านการศึกษาจบชั้นประถมศึกษาจากโรงเรียนบ้านหนองไฮจบชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นจากโรงเรียนบ้านหนองไฮจบชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายจากโรงเรียนวาปีปทุมปัจจุบันศึกษาที่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม คณะศึกษาศาสตร์ สาขาวิชาจิตวิทยา ชั้นปีที่ 1 ทุกวันนี้ครอบครัวของดิฉันอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข ซึ่งแต่ละคนต่างก็ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด ซึ่งฉันมีหน้าที่เรียนหนังสือฉันก็ตั้งใจเรียนทำน้าที่ของตัวเองอย่างเต็มความสามารถ ถึงครอบครัวของดิฉันจะมีฐานะความเป็นอยู่ที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ซึ่งพ่อกับแม่มีอาชีพทำนา และพอเว้นจากหน้าทำนาพ่อกับแม่ก็ไปทำงานอยู่ต่างจังหวัดเพื่อที่จะหาเงินมาส่งให้ลูกทั้งสองคนได้เรียนหนังสือและพอที่จะใช้จ่ายในครอบครัว และถึงตอนปิดภาคเรียนฉันกับพี่ก็จะไปหางานทำเพื่อที่จะได้แบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายจากพ่อกับแม่ได้บ้างในตอนที่เปิดเทอม
เหตุการณ์ที่น่าจดจำ มันเป็นเหตุการณ์ที่ตอนนั้นดิฉันกำลังไม่สบายต้องเข้ารักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลซึ่งตอนนั้นฉันนอนป่วยอยู่แล้วก็มีคนคนนึงที่คอยเป็นห่วงคอยป้อนข้าวป้อนน้ำคอดูแลคอยเอาใจใส่เราคอยเป็นกำกังใจให้เรา ดูแลเราตอนที่เราไม่สบาย คนคนนั้นไม่ใช่ใครแต่เป็นแม่ของฉันเอง เมื่อดิฉันเห็นแม่คอยดูแลคอยเอาใจใส่ฉัน ฉันก็คิดได้เลยว่าหมดทั้งชีวิตของฉันฉันจะไม่ทำให้แม่กับพ่อแม่ของฉันเสียใจและผิดหวังในตัวขอฉันเป็นอันขาด ฉันจะทำหน้าที่ของฉันให้เต็มความสามารถ ฉันจะตั้งใจเรียนหนังสือขยันอ่านหนังสือให้มากๆเพื่อที่จะทำให้ฉันประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน แลเมื่อฉันเรียนจบฉันก็จะหางานที่ดีดีทำเพื่อที่จะทำให้พ่อกับแม่มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และไม่ต้องลำบากอย่างเช่นทุกวันนี้ และฉันหวังเป็นอย่างยิ่งว่าสักวันหนึ่งมันต้องเป็นวันของฉันซึ่งวันนั้นจะต้องเป็นวันที่พ่อกับแม่ภาคภูมิใจในตัวของลูกคนนี้ และในอีกไม่นานวันนั้นมันต้องเป็นวันของฉันแน่เหตุการณ์ที่ไม่ควรแก่การจดจำ เหตุการณ์นี้เป็นเหตุการณ์ที่ดิฉันไปประสบมากับตนเองก็คือ วันหนึ่งฉันกำลังขับรถมอเตอร์ไซด์ของดิฉันกำลังจะกลับมาที่มหาวิทยาลัย แต่พอไปถึงกลางทางฉันก็ไปเห็นรถชนกันซึ่งคนที่อยู่ในเหตุการณ์นั้นต่างก็ชุนละมุนกันไปหมด ซึ่งในเหตุการณ์ในครั้งนี้ก็มีทั้งคนที่ได้รับบาดเจ็บ และก็มีคนตายด้วย ซึ่งสภาพของคนที่ตายนั้นก็ไม่น่ามองเอาซะเลยหนำซ้ำยังน่าเวทนาอีกด้วย ในวันเดียวกันในตอนเย็นวันนั้นดิฉันกับเพื่อนที่กำลังขับรถมอเตอร์ไซด์ เข้าไปในเมือง แล้วดิฉันก็เลยเลี้ยวรถเข้าไปในซอยซอยหนึ่งที่เป็นทางลัด ซึ่งมีรถกระบะคันหนึ่งเลี้ยวเข้าไปก่อนฉันก็เลยขับตามเข้าไป แต่อยู่ดีดีรถคันนั้นก็ถอยหลังกลับคืนมาแบบไม่มองข้าวหลังเลยดิฉันบีบแตรรถเท่าไหร่ก็ไม่ได้ยิน จนในที่สุดรถกระบะคันนั้นก็ชนรถมอเตอร์ไซด์ของฉัน ซึ่งในตอนนั้นดิฉันสั่นและกลัวมากๆเลย ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาดิฉันก็ไม่กล้าขับรถไปไหนมาไหนคนเดียวเลย จากเหตุการณ์ต่างๆที่ได้เล่ามานั้นมันเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับตัวของดิฉันเองมีทั้งเหตุการณ์ที่ไม่น่าจำและเหตุการณ์ที่สุดแสนจะประทับใจนี่แหละนะที่เขาบอกว่าชีวิตมีทุกรสชาติ
รักอาจารย์ที่สูดๆๆ
ต่อจากหน้าแรกอาติญา ไชยยศ 52010521007เรื่องเล่า ... ของความรักในอดีตกาลนามมาแล้ว เขาว่ากันว่า มนุษย์ทุกคนมีหัวใจด้วยกันจริงทั้งหมดสองดวง แต่ยังมีเทวดาน้อยอยู่องค์นึง ซึ่งไม่รู้จักสิ่งที่เขาเรียกว่าหัวใจ ด้วยความที่สงสัยว่าหัวใจนั้นมันเป็นอย่างไร เทวดาน้อยจึงได้ไปถามนางฟ้าผู้ที่ดูแลทางเข้าออกของประตูสวรรค์ "ท่านนางฟ้า โปรดบอกข้า หัวใจคืออะไร" "หัวใจ ก็คือสิ่งบริสุทธิ์ สวยงามที่สุดของมนุษย์ยังไงเล่า" "แล้วสิ่งที่เรียกมนุษย์อยู่แห่งใดล่ะ" "อยู่เบื้องล่างอีกฟากของประตูสวรรค์" "เปิดประตูให้ข้าไปชมหัวใจของมนุษย์ได้มั้ย ท่านนางฟ้า" "มิได้หรอก มันผิดกฎของสวรรค์ เจ้ากลับไปซะเถอะ แค่เจ้ามาสนทนากับข้าก็ผิดมากเท่าใดแล้ว เจ้ารู้ตัวมั้ย เจ้าเทวดาน้อย" เทวดาน้อยทำทีว่าหันหลังกลับไป แต่ด้วยความที่อยากได้หัวใจมาครอบครองไว้เป็นของตน จึงได้นำคันศรธนูมา แล้วยิงไปที่นางฟ้าผู้รักษาประตูสวรรค์ หวังจะให้นางฟ้านั้นสลบไปในชั่วข้ามคืนนั้นเอง หลังจากนั้น เทวดาน้อยแอบเปิดประตูสวรรค์แล้วบินไปยังโลกมนุษย์ กลางดึกของคืนนี้เป็นคืนที่เงียบสงบ มนุษย์ทุกคนต่างหลับกันหมดแล้ว เทวดาน้อยจึงแอบบินเข้าไปในบ้านของมนุษย์ทุกคน แล้วไปเอาสิ่งที่เรียกว่าหัวใจของทุกคนบนโลกมนุษย์ มาคนละหนึ่งดวง แล้วนำลอยขึ้นไปบนสวรรค์ หวังจะขโมยกลับไปเป็นของตน แต่ระหว่างที่เทวดาน้อยกำลังกลับเข้าไปปากทางของประตูสวรรค์ได้มีนางฟ้าและเทวดาแห่งความรักยืนกั้นอยู่ เทวดาน้อยเห็นดังนั้นจึงบินหนี แต่นางฟ้าองค์นึงได้บินตามเพื่อมาแย่งหัวใจของมนุษย์ทั้งหมดไว้ แต่เหตุการณ์ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นเมื่อหัวใจทั้งหมดได้เกิดกระจายออกแล้วร่วงโปรยปรายไปยังบนโลกมนุษย์ ทำให้เกิดการสลับสับเปลี่ยนเจ้าของหัวใจกันในค่ำคืนนั้นเอง เทวดาน้อยถูกลงโทษ ด้วยการให้เป็นเด็กตลอดกาล และเปลี่ยนชื่อเป็นกามเทพให้อยู่บนโลกมนุษย์ เพื่อตามหาหัวใจอีกดวงของมนุษย์ทั้งหมดที่ไปอยู่กับใครอีกดวงหนึ่งให้มาพบกัน ตอนนี้หัวใจของคุณอีกดวงหนึ่งก็คงอาจจะอยู่กับใครบนโลกใบนี้ก็เป็นได้ อย่ารอให้กามเทพ เป็นคนหาหัวใจให้คุณ ถึงเวลาแล้วที่คุณจะต้องตามหาหัวใจของคุณคืนมา และเมื่อคุณได้มันคืนมาแล้ว จงดูแลหัวใจคุณให้ดี อย่าได้ปล่อยให้หัวใจจากคุณไปอีก เพราะคุณอาจจะไม่มีวันเจอหัวใจอีกดวงที่แท้จริงของคุณตลอดชีวิต หรือชั่วชีวิตก็เป็นได้
ประวัติส่วนตัวชื่อ นางสาวภาสุรีย์ อ่อนฉวี ชื่อเล่น เดียร์ รหัสประจำตัวนิสิต 52010517085เกิด วันพฤหัสบดี ที่ 18 ตุลาคม พุทธศักราช 2533 สถานที่เกิด โรงพยาบาลร้อยเอ็ด เวลา 09.13 น.ตอนนี้ อายุ 19 ปี 3 เดือน กรุ๊ปเลือด โอที่อยู่ บ้านเลขที่ 6/1-6/5 ถนนเพลินจิต ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดร้อยเอ็ด 45000ที่อยู่ปัจจุบัน ศูนย์หอพักตักสิลา ตึก A ห้อง 316 จังหวัดมหาสารคามE – mail DK_181033@hotmail.com Hi5 http://dkseven.hi5.comความสามารถพิเศษ BASKETBALL , FOOTBALL คติประจำใจ ไม่มีคำว่าทำไม่ได้สีที่ชอบ สีเทา สีดำ สีขาว อาหารที่ชอบ คะน้าหมูกรอบ ผลไม้ที่ชอบ สละ,ส้ม,แตงโม,มะม่วงนักแสดงที่ชื่นชอบ อั้ม พัชราภา , แพนเค้ก เขมนิจ , เมย์ พิชญ์นาฏ , เอมี่ มรกต , แอน ทองประสมนักร้องที่ชื่นชอบ Da Endorphine , ฝ้าย Am Fine , แกรนด์ The Star 5 , ขนมจีน นิสัยส่วนตัว เป็นคนตลก ขบขัน ชอบสร้างรอยยิ้มให้กับทุกคน ชอบร้องเพลง เป็นคนจริงจังกับงานทุกอย่างแต่จะทำเหมือนเป็นคนทำอะไรเล่น ๆ ก็เลยไม่ค่อยมีคนให้ทำงานสักเท่าไหร่ แต่ก็เป็นคนอารมณ์ร้อนเหมือนกัน ( แก้ไขนิสัยนี้ไม่ได้สักที )ครอบครัวของฉัน มีทั้งหมด 4 คน1.นายไพบูลย์ อ่อนฉวี ( ท่านคุณพ่อ ) อาชีพ รับราชการครู เป็นครูอยู่ โรงเรียนร้อยเอ็ดวิทยาลัย2.นางวราวรรณ อ่อนฉวี ( ท่านคุณแม่ ) อาชีพ รับราชการครู เป็นครูอยู่ โรงเรียนสตรีศึกษา3.นายชาญเชาวน์ อ่อนฉวี ( คุณพี่ชาย ) กำลังศึกษาอยู่ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ชั้นปีที่ 3 คณะการบัญชีและการจัดการ สาขา การตลาด 4.นางสาวภาสุรีย์ อ่อนฉวี ( ตัวฉันเองเป็นน้องเล็ก )ประวัติการศึกษาจบชั้นอนุบาล 1 – 3 จาก โรงเรียนอนุบาลไพโรจน์ ( โรงเรียนเอกชนในจังหวัดร้อยเอ็ด ) จบชั้นประถมศึกษา 1 – 6 จาก โรงเรียนอนุบาลไพโรจน์ ( โรงเรียนเอกชนในจังหวัดร้อยเอ็ด ) จบชั้นมัธยมตอนต้น 1 – 3 จาก โรงเรียนสตรีศึกษา ( โรงเรียนประจำจังหวัดร้อยเอ็ดเขต 1 )
จบชั้นมัธยมตอนปลาย 4 – 6 จาก โรงเรียนสตรีศึกษา (โรงเรียนประจำจังหวัดร้อยเอ็ดเขต 1) ปัจจุบันกำลังศึกษาอยู่ที่ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม คณะศึกษาศาสตร์ สาขา จิตวิทยา ชั้นปีที่ 1ตอนที่อยู่ชั้นประถมได้ไปสมัครเป็นวงโยธวาทิต ของโรงเรียน และมีการซ้อมทุก ๆ วัน ตอนเที่ยงและตอนเย็น ตอนที่เป็นวงโยธวาทิต ในตอนนั้น อยู่ในโรงเรียนเป็นอะไรที่เท่มาก เป็นโรงเรียนเดียวที่ใส่สูทออกงาน เพราะว่าในตอนนั้นโรงเรียนประถมที่อยู่ในเมืองต่างโรงเรียนก็แข่งขันกันในด้านวิชาการและก็แข่งกันในเรื่องวงโยธวาทิตว่าใครจะเด่นกว่ากัน แต่เวลาที่ออกงานในแต่ละครั้งโรงเรียนอนุบาลไพโรจน์ก็จะได้รับคำชมตอบกลับมาทุกครั้ง มีงานหนึ่งที่จำได้ดีแล้วก็ปลื้มสุด ๆ คือมีโรงเรียนประถมที่มาร่วมงานเดียวกัน 4 โรงเรียน และก็โรงเรียนมัธยม 2 โรงเรียน ซึ่งโรงเรียนมัธยม 2 โรงเรียนนี้ คือ โรงเรียนร้อยเอ็ดวิทยาลัย และโรงเรียนสตรีศึกษา เป็นอะไรที่ปลื้มมากที่ได้ออกงานร่วมกันและก็ยิ่งปลื้มไปกว่านั้นก็คือ ตอนที่จะบรรเลงเพลงเพื่อเปิดงานนั้นโรงเรียนอนุบาไพโรจน์ก็ได้ไปบรรเลงเพลงร่วมกับโรงเรียนมัธยมทั้ง 2 โรงเรียน อ่อ ลืมบอกไปว่าโรงเรียนอนุบาลไพโรจน์ตอนนั้นมีคู่แข่งที่สำคัญมาก ก็คือ โรงเรียนพระกุมารร้อยเอ็ด เป็นโรงเรียนเอกชนที่แข่งกันทุกด้านและงานนี้โรงเรียนพระกุมารก็มาร่วมด้วยแต่ก็ไม่ได้เข้ามารวมวงแบบโรงเรียนของฉัน ( เป็นอะไรที่สะใจมากในตอนนั้น ) ต่อมาเป็นงานกีฬาสีของโรงเรียน ซึ่งก็มีแค่ 4 สี แต่เวลาจัดแถวในแต่ละสี ยาวมากไม่รู้อะไรบ้างแล้ววงโยก็มีแค่วงเดียวในโรงเรียนแต่คนในวงก็เยอะเหมือนกันอาจารย์ที่คุมวงโยก็เลยตัดสินใจแบ่งออกเป็น 2 วง แล้วตัวฉันก็ได้ไปอยู่วงที่ 2 ตอนแรกก็เศร้าเพราะเพื่อนฉันอยู่วงที่ 1 หมดเลย แต่พออาจารย์บอกว่าให้ฉันไปเป็นหัวหน้าคุมวงที่ 2 เป็นอะไรที่ปลื้มมากเพราะตั้งแต่ที่เป็นมาก็เพิ่งจะได้เป็นหัวหน้ากับเขาเนี่ยแหละ ในตอนนั้นพี่ชายฉันก็ได้เข้าไปศึกษาต่อในชั้นมัธยมตอนต้นที่โรงเรียนร้อยเอ็ดวิทยาลัยและพี่ชายฉันก็ได้ไปสมัครเป็นนักกีฬาบาสของโรงเรียนแล้วก็ไปซ้อมทุกวัน ตอนนั้นฉันอยู่ป. 5 ทุกวันหยุดสุดสัปดาห์พี่ชายของฉันก็จะพาฉันไปฝึกเล่นบาส แต่ก่อนที่จะเล่นบาสตอนเด็กคุณพ่อทำทีมฟุตบอลเด็กจะไปส่งแข่งที่โรงพยาบาลกรุงเทพจุรีเวชและในตอนนั้นคุณพ่อก็ได้รวมเด็กในระแวกแถวบ้านมาจนครบเป็นทีมและก็ได้พาเด็กไปซ้อมและฉันก็ไปซ้อมฟุตบอลด้วยก็เลยเล่นฟุตบอลเป็นตั้งแต่ตอนนั้น ลืมบอกไปว่าคุณพ่อเคยเป็นนักฟุตบอลมาก่อน และตอนที่มีกีฬาสีภายในโรงเรียนอนุบาลไพโรจน์ นักกีฬาวอลเล่ย์เกิดไม่ครบซะงั้น ก็เลยต้องได้ไปเล่นวอลเล่ย์ และก็ชนะซะด้วยมันอยู่ในสายเลือด เพราะคุณแม่เคยเป็นนักกีฬาวอลเล่ย์และนักกรีฑามาก่อน มันก็เลยซึมซับเข้าสู่กระแสเลือด 555 + ต่อมาได้เข้ามาศึกษาต่อในชั้นมัธยมตอนต้นที่โรงเรียนสตรีศึกษาพี่สาวที่เป็นญาติฉันอยู่วงโยของโรงเรียนสตรีศึกษาตอนนั้นฉันได้บอกกับพี่สาวว่าอยากจะเข้าไปเป็นวงโยบ้างแต่พี่ก็ห้ามไว้เพราะพี่มันบอกว่าซ้อมหนักมากไม่อยากให้เข้ากลัวฉันไม่ไหว และพี่สาวก็ได้บอกอีกว่าในโรงเรียนนอกจากวงโยที่ทุกคนให้ความสนใจแล้วก็จะมีเป็นนักกีฬาของโรงเรียนนี่แหละ และฉันก็ได้ไปสมัครเป็นนักกีฬาบาสของโรงเรียนเหมือนพี่ชาย และเวลาแข่งสนามแข่งก็จะมาจัดที่โรงเรียนสตรีศึกษาทุกครั้งและทุกปี เวลาแข่งเป็นอะไรที่ตื่นเต้นมาก เพราะมีคนมาชมการแข่งขันเยอะมากชนิดแบบว่าโรงยิมไม่มีที่ยืนเลยล่ะ เวลายิงบอลลงทีไร เสียงกรี๊ดก็จะตามมาเยอะแยะมากมายโรงยิมแทบจะแตก และก็มีการแข่งขันกีฬาอย่างนี้ทุกปีจนกระทั่งฉันอยู่มัธยมศึกษาปีที่ 3 ก็ถึงเวลาที่จะเลือกว่าจะไปศึกษาต่อที่โรงเรียนอื่นหรือจะศึกษาต่อที่โรงเรียนเดิมเป็นอะไรที่ลังเลและสับสนมาก เพราะใจหนึ่งก็อยากไปเรียนต่อที่อื่นและอีกใจหนึ่งก็อยากจะเล่นบาสต่อที่โรงเรียนเดิม ตอนแรกก็ตัดสินใจที่จะไปเรียนต่อที่โรงเรียนอื่นแต่พอมาคิดดี ๆ แล้ว ยังรักในการเล่นบาสและยังอยากจะเล่นต่อไป ก็เลยตัดสินใจที่จะต่อโรงเรียนเดิม ในแต่ละครั้งที่แข่งบาสก็จะมีรายการแข่งบาสที่ใหญ่รายการหนึ่งซึ่งผู้ที่ชนะจากการแข่งที่อยู่ภายในจังหวัดแล้วก็จะได้ไปแข่งต่อในต่างจังหวัด ซึ่งบาสหญิงของโรงเรียนสตรีศึกษาก็ครองแชมป์การแข่งบาสภายในจังหวัดร้อยเอ็ดได้ทุกปีส่วนบาสชายก็จะเป็นของโรงเรียนร้อยเอ็ดวิทยาลัยซึ่งพี่ชายของฉันก็เล่นให้กับทีมโรงเรียนร้อยเอ็ดวิทยาลัยตอนที่ได้ไปแข่งอยู่ต่างจังหวัดได้ไปจังหวัด ชัยภูมิ ,สุรินทร์,อุบลราชธานี ได้ไปอยู่แค่ 3 จังหวัด ส่วนอีกหลายจังหวัดที่รุ่นพี่และเพื่อนไปแข่งนั้น ฉันไม่ได้ไปเนื่องจากช่วงนั้นมีปัญหาไม่เข้าใจกับคุณแม่เล็กน้อยแต่การเป็นนักกีฬาของโรงเรียนนั้นก็ไม่ได้ดีไปซะทุกอย่าง ต่อให้เราได้แชมป์และสร้างชื่อให้กับโรงเรียนแค่ไหน บ้างก็ชื่นชม แต่
ส่วนใหญ่แล้วก็มีคนที่ชอบดูถูก เพราะฉันก็โดนมาอย่างนั้น ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าอาจารย์แต่ละคนเป็นอะไรกับนักกีฬาโรงเรียนนักหนา แต่การเป็นนักกีฬาก็ได้ตอบแทนในสิ่งที่ดี ๆ ให้กับฉันเหมือนกัน ก็คือตอนที่อยู่ ม.4 อาจารย์เขาให้หาคนที่เป็นนักกีฬาของโรงเรียนแล้วส่งมาเป็นตัวแทนของแต่ละสีเพื่อไปวิ่งคบเพลิงและฉันก็ได้เป็นตัวแทนของสีเพื่อไปวิ่งคบเพลิง และตอนที่อยู่ ม.6 อาจารย์หมวดสุขศึกษาและพลศึกษา คัดเลือกไม่ได้ว่าใครจะเป็นตัวแทนวิ่งคบเพลิงส่วนใหญ่แล้วตามโรงเรียนทั่วไปก็จะมีคนวิ่งคบเพลิงแค่ 2 คน แต่โรงเรียนของฉันและในปีที่ฉันจบนั้นคัดเลือกไม่ได้ว่าใครจะวิ่งเพราะนักกีฬาของโรงเรียนที่เป็นรุ่นเดียวกันกับฉันนั้นมีประมาณ 12 คน อาจารย์ก็เลยตัดสินใจว่าให้วิ่งกันทุกคน เพื่อเป็นการตอบแทนที่เป็นนักกีฬาให้กับโรงเรียนมานาน และก็คว้าแชมป์ได้มากมายในแต่ละปีที่ผ่านมา อาจารย์ให้เขียนประวัติการแข่งส่งกันทุกคน เพราะวันจริงนั้นอาจารย์เขาจะอ่านให้ทุกคน และในตอนนั้นฉันก็สอบตรงติดที่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม คณะศึกษาศาสตร์ สาขาจิตวิทยา และก็ได้มาเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้
นางสาวนาตยา เสาแก้วคณะศึกษาศาสตร์ สาขาจิตวิทยา รหัสนิสิต 52010517107....ภูมิใจนำเสนอ..... ข้าพเจ้าชื่อ นางสาวนตยา เสาแก้ว ชื่อเล่น มิ่มเกิดที่โรงพยาบาลราชวิถี กรุงเทพมหานคร น้ำหนัก 2800 กรัมเกิด วันพฤหัสบดีที่ 13 ธันวาคม 2533 ปีมะเมีย ปัจจุบัน ข้าพเจ้าก็ชื่อนาตยา เสาแก้ว ส่วนชื่อเล่นก็ชื่อเดิมความภูมิใจอีกอย่างหนึ่งคือได้ศึกษาต่อที่ ....มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ….....คณะศึกษาศาสตร์ สาขาจิตวิทยา ....เอารหัสนิสิตด้วยกัน 52010517107บางคนฟังงานสำเนียงการพูดของข้าพเจ้าก็พอจะเดาออกว่าข้าพเจ้ามาจากไหนเฉลย จังหวัดศรีสะเกษ ที่มีชื่อเสียงเรื่องเขาพระวิหารไงแต่ข้าพเจ้าเป็นคนในเมืองนะ ...12 หมู่ 5 ตำบลตะดอบ อำเภอเมือง จังหวัดศรีสะเกษ 33000 เห็นไหมว่าอยู่ในเมืองจริงๆๆเพื่อนคนไหนที่อยากให้ของขวัญข้าพเจ้าสามารถให้ได้ใน วันพฤหัสบดีที่ 13 ธันวาคม ข้าพเจ้าเกิด ปีมะเมีย --> อายุ 19ปีแล้ว แต่หน้าอาจจะน้อยกว่าอายุนะ--> กรุ๊ปเลือด B--> น้ำหนัก 46 กก. ส่วนสูง 158 ซม.--> ผลไม้ที่ชอบ..ชอบทุกอย่างแหละ.โดยเฉพาะของฟรี--> อาหารที่ชอบ....ก็เหมือนเดิมแหละ..กินได้ทุกอย่างโดยเฉพาะของฟรี--> เวลาว่าง......ถ้าไม่นอนก็เล่นเน็ต (เน็ตฟรี)--> สีที่ชอบ ชอบทุกสีที่สวยปัจจุบันข้าพเจ้าพักอาศัยอยู่ หอใน (ม.เก่า) ห้อง 218 หอการเกดE-mail mim_nattaya@windowslive.comOoo----ooo Ooo----ooo นามของข้าพเจ้าหาแล้วไม่เห็นมีความหมาย ข้าพเจ้าก็เลยเอามาแต่งเองว่า “ นาฏศิลป์ที่รักษาโรค” ส่วนชื่อเล่น มิ่ม (ตา ยาย ตั้งให้ ) ข้าพเจ้าไม่มีพี่น้องรวมพ่อแม่เดียวกัน แต่มีน้องรวมพ่อเดียวกัน 3 คน..ตอนอนุบาล ข้าพเจ้าเรียนที่ กรุงเทพ แต่พอขึ้นประถมศึกษาข้าพเจ้าคิดว่ากรุงเทพไม่เหมาะกับข้าพเจ้าข้าพเจ้าจึงพาแม่ อุย...ไม่ใช่ แม่จึงพาข้าพเจ้ากลับมาอยู่ที่ จังหวัดศรีสะเกษ (บ้านเกิดแม่)มาอยู่กับครอบครัวทางแม่ ซึ่งเป็นครอบครัวใหญ่ที่บ้านแม่ ทำนา เลี้ยงหมู เลี้ยงวัว เลี้ยงควาย (ไว้ส่ง......เรียน) เลี้ยงเป็ด เลี้ยงไก่ ปลูกผัก เลี้ยงปลา อยู่แบบเศรฐกิจพอเพียง (แต่ไม่เพียงพอ) แม่ของข้าพเจ้าบอกข้าพเจ้าว่า ตอนเด็กข้าพเจ้าชอบแต่ตัวมาก โตขึ้นเลยไม่ค่อยแต่ตัว@@@.....@@@ประถมศึกษาปีที่ 1-6 ....โรงเรียนมารีวิทยา**ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น**มัธยมศึกษาปี่ 1-3.....โรงเรียนไกรภักดีวิทยาคมมีคนถามข้าพเจ้าว่าทำไมไม่เรียนโรงเรียนประจำจังหวัด....ไม่ใช่ไม่อยากเรียนแต่สอบไม่ได้—ไม่ได้โง่นะ—แต่โคตรโง่มัธยมศึกษาปีที่ 4-6...โรงเรียนไกรภักดีวิทยาคม(ก็ ร.ร.เดิมนั้นแหละ)** มัธยมตอนปลายมีเรื่องน่าตื่นเต้นมากมาย **โดยเฉพาะ หาที่เรียนต่อ เป็นอะไรที่ต่างคนต่างวิ่งวุ่น เพื่อนคนไหนมีที่เรียนแล้วเค้าก็ไม่วุ่นเท่าไรแต่พวกที่ไม่มีที่เรียนนะซิ วุ่นจนทำงานไม่เป็นชิ้นเป็นอันหนึ่งในนั้นก็มีข้าพเจ้ารวมอยู่ด้วย
----ผลงานที่ภูมิใจ-----* เป็นพนักงานธนาคารโรงเรียน ธนาคารออมสิน สาขาศรีสะเกษ * เป็นตัวแทนโรงเรียนเข้าร่วมทำกิจกรรมและป็นเครือข่ายเยาวชนสิ่งแวดล้อมของจังหวัดศรีสะเกษ* เป็นแกนนำโรงเรียนร่วมจัดกิจกรรมในโครงการ “ เดินสายฉายหนังม่านรูด ”* เป็นตัวแทนเข้าอบรม “ ค่ายเยาวชนคนรักษ์ทะเลไทย ”* เป็นตัวแทนเข้าร่วมแข่งขันโครงงานด้านวิชาการ* เป็นตัวแทนหมู่บ้านเข้าประกวดนางนพมาศในงานรอบกระทง ประจำตำบล .........................ข้าพเจ้าได้ลงรอบ Admission รอบรับตรงไม่ใช่ว่าไม่ได้แต่ไม่เอา (ฟังแล้วดูดีไหม)เลือกลงที่มหาวิทยาลัยมหาสารคามไว้ในอันดับที่ 1 กับ 2และมหาวิทยาลัยอุบลราชธานีอันดับที่ 3 กับ 4...ในที่สุดข้าพเจ้าก็ได้เป็นนิสิตตาของ **มหาวิทยาลัยมหาสารคาม **...... คณะศึกษาสตร์ สาขาจิตวิทยา ....โดยมีรหัสนิสิต 52010517107ปัจจุบันข้าพเจ้ามีความสุขกับการเรียน และ มีความสุขที่มีเพื่อนที่ดีเพื่อนในกลุ่ม ดักแด้ ตุ้ม นิ่ม หลิน ปิกกี้ ก้อย เปิ้ล แอบเปิ้ล เดียร์ *****บทความดีๆ*****...ไม่มีใครเกิดมาไร้ค่า แม้แต่คนโง่ที่สุดยังฉลาดในบางเรื่อง และคนฉลาดที่สุด ก็ยังโง่ในหลายเรื่อง .. ไม่มีอะไรเสียเวลาไปมากกว่า…การคิดที่จะย้อนกลับไปแก้ไขอดีต .. ไม่เคยมีอะไรช้าเกินไป ที่จะทำให้สิ่งที่ตนฝัน .. .. คนที่ไม่เคยหิว ย่อมไม่ซาบซึ้งรสของความอิ่ม.. .. ความสำเร็จที่ผ่านความล้มเหลว ย่อมหอมหวานกว่าเดิม .. .. อันตรายที่สุดของชีวิตคนเราคือ การคาดหวัง.. *********************.. อย่ายอมแพ้ ถ้ายังไม่ได้พยายามอย่างเต็มที่.. เหตุผลของคนๆ หนึ่ง อาจไม่ใช่เหตุผลของคนอีกคนนึง ถ้าคุณไม่ลองก้าว คุณจะไม่มีทางรู้เลยว่า ทางข้างหน้าเป็นอย่างไร ปัญหาทุกอย่างล้วนอยู่ที่ตัวเราทั้งสิ้น ยินดีกับสิ่งที่ได้มา และยอมรับกับสิ่งที่เสียไป หลังพายุผ่านไป ฟ้าย่อมสดใสเสมอ มีแต่วันนี้ที่มีค่า ไม่มีวันหน้า วันหลัง .. .. คนเรา ไม่ต้องเก่งไปทุกอย่าง แต่จงสนุกกับงานทุกชิ้น ที่ได้ทำ .. หัวใจของการเดินทางไม่ได้อยู่ที่จุดหมาย หากอยู่ที่ประสบการณ์สองข้างทาง .. มากกว่า.....ขอบคุณทุกท่านที่อดทนอ่านจนจบ...... ขอให้ทุกท่านได้ เอทุกวิชา รวมถึงข้าพเจ้าด้วย @********************************@
ฉันชื่อวรรณลีลา จังหาร (ความหมายชื่อแปลว่า ผู้ที่มีผิวพรรณและท่วงท่าอันงดงาม)ชื่อเล่นชื่อ หยิ่ง แต่ฉันไม่ได้หยิ่งเหมือนชื่อเลยนะ(หลายคนก็บอกอย่างนี้) ฉันกำเนิดเกิดวันอังคารที่ 4 เดือนเมษายน พุทธศักราช 2532 ซึ่งตอนนั้นตรงกับวันเชงเม้งพอดี ฉันเกิดที่โรงพยาบาลมหาสารคามด้วยน้ำหนัก 4,000 กรัม หรือ 4 กิโลกรัมนั่นเอง ตัวใหญ่มากเลยทีเดียว ตอนที่แม่คลอดฉัน พ่อไม่ได้มาเฝ้า (แม่แอบน้อยใจเล็กน้อย) เหมือนครั้งที่แม่คลอดพี่ชาย เพราะพ่อติดงานที่โรงเรียน (ตอนนั้นพ่อติดสัมมนาที่โรงเรียนที่พ่อสอน) แม่ก็เลยมียายมาเฝ้าที่โรงพยาบาล ฉันมีพี่ชายหนึ่งคน ชื่อมาร์ก ชื่อจริงชื่อมิ่งมนัสชน จังหาร เขาเกิดก่อนฉัน 4 ปี เขาขาวมากกกกกก คนแถวบ้านเรียกว่า บักด่อน เพราะพี่ชายมันขาวมากจริงๆ ฉันอยากได้ผิวมันที่สุด ฉันมีเพื่อนบ้านที่เกิดรุ่นเดียวกันประมาณ 3 คน คือ อุ๊ นุกนิก และต้าร์ ตอนฉันเดินได้ใหม่ๆ เดินยังไม่เก่งเท่าไหร่ ฉันได้เล่นกับต้าร์ และเล่นอยู่ในบริเวณที่มีการทำอาหาร ต้าร์ได้ผลักฉันลงไปในกระทะ ทำให้ฉันมีแผลเป็นอยู่ที่ขาข้างขวาจนถึงทุกวันนี้ และเหตุการณ์ที่น่าหวาดเสียวอีกอย่าง แม่เล่าให้ฟังว่า ตอนประมาณ 2-3 ขวบ ฉันนั่งเล่นอยู่บนโต๊ะ แล้วพัดลมเพดานก็ตกลงมาข้างๆฉัน แต่ฉันไม่ร้องไห้กลับนั่งหมุนใบพัดของพัดลมอย่างสบายอกสบายใจ แต่แม่กลับใจหายวาบ ถ้าพัดลมตัดคอฉันวันนั้น ฉันคงไม่มีวันนี้แน่ นึกแล้วก็เสียวคอตัวเองจริงๆ อนุบาล ฉันเข้าโรงเรียนตั้งแต่อายุสามขวบ เพราะว่าพ่ออยากที่จะปูพื้นฐานความรู้ให้กับฉันอย่างแน่นหนา โรงเรียนแรกของฉันคือโรงเรียนงามจิตร อยู่ที่อำเภอเชียงยืน จังหวัดมหาสารคาม เหตุที่ได้เรียนที่นี่เพราะว่า ต้องย้ายบ้านไปอยู่ในสถานที่ที่ใกล้โรงเรียนที่พ่อสอน ตอนนั้นเช่าบ้านอยู่ซอยหน้าตลาดเชียงยืน แต่แล้วอยู่ได้ประมาณครึ่งปีเห็นจะได้ ก็เลยกลับมาอยู่ที่บ้านเหมือนเดิม เลยได้มาเข้าโรงเรียนกระโปรงแดง ชื่อเต็มโรงเรียนนี้ก็จำไม่ได้ แต่น่าจะเป็นอภิสิทธิ์ปัญญาที่อยู่ตรงเส้นกลาง ทางไปโรงเรียนอนุบาล แต่ก็เรียนได้แค่หนึ่งวัน เพราะไม่มีเพื่อน จำได้ว่าตอนนั้นตอนเที่ยงนั่งเล่นคนเดียวอยู่ที่สนามเด็กเล่น ยังจำได้เลยว่านั่งเล่นกับซานตาครอส พอไม่มีเพื่อน แม่ก็เลยจับย้ายโรงเรียนเอาเสียเลย บวกกับเหตุผลที่ค่าเทอมโรงเรียนนี้แพงด้วย เลยได้มาเข้าโรงเรียนใกล้บ้าน คือโรงเรียนเทศบาลศรีสวัสดิ์ มีคุณครูแหม่มปากแดงเป็นครูประจำชั้น ปัจจุบันนี้ครูแหม่มแกก็ยังสอนอยู่ที่เดิม เรียนได้หนึ่งปีการศึกษา พ่อกับแม่เลยให้ย้ายออกมาเข้าโรงเรียนอนุบาลมหาสารคามเพราะจะได้อยู่โรงเรียนเดียวกันกับพี่ชาย แต่ว่า...ก็ไม่ได้เข้า เนื่องจากตอนนั้นทางโรงเรียนมีหลักเกณฑ์การเข้าเรียนที่น่าตลก นั่นคือเขารับเด็กที่เกิดวันที่ 1 พฤษภาคม ถึงวันที่ 31 มีนาคม ซึ่งตัวฉันเกิดวันที่ 4 เดือนเมษายน ซึ่งไม่อยู่ในวันที่เขากำหนด ตัวฉันเองเลยไม่มีสิทธิ์ที่จะได้เรียนโรงเรียนนั้น หากพึงจะเรียนก็ต้องจ่ายค่าฝากเข้าหลายพันบาทเหมือนกัน พ่อก็เลยไม่ยอมจ่าย(เพราะไม่มีตังค์ด้วย ฮ่าๆๆ) ตัวฉันเลยได้ย้ายไปเรียนที่โรงเรียนหลักเมืองมหาสารคามจนถึงชั้น ป.6 ตอนอนุบาล 1 เคยได้เป็นหัวหน้าห้อง ตอนนั้นสอบได้ที่ 1 ด้วย และก็ที่ 1 ทั้งห้องนั่นแหละ ฉันมีเพื่อนสนิทชื่อผักกาด เหตุที่เราสนิทกันนั้น เพราะว่าเราตัวใหญ่เหมือนๆกัน แต่ผักกาดมันตัวใหญ่กว่าฉันนิดนึง ตอนนี้ผักกาดมันเรียนจบ ปวส.จากเทคนิคแต่ไม่เรียนต่อ หันมาเปิดร้านขายโทรศัพท์อยู่ชั้นใต้ดินของเสริมไทย พอขึ้นอนุบาล 2 จากที่เคยไว้ผมยาว โรงเรียนก็มีกฎให้นักเรียนทุกชั้นไว้ผมสั้น ทำให้ต้องตัดผม หลังจากตัดผมแล้ว หัวฟูอย่างมากคะ อนุบาล 2 นี้สอบได้ที่สอง เพราะว่าดันไปเขียนคำว่า “ควาย” เป็น “ดวาย” ชั้น ป.1 ได้อยู่ห้องกับผักกาดอีกแล้ว ทำให้เราสนิทกันมากขึ้น ตอนสอบเราก็ลอกกัน แต่ฉันสอบได้ที่ 8 ผักกาดสอบได้ที่เยอะกว่า น่าจะที่9 หรือ 10 นี่แหละ ก็น่าสงสารผักกาดอยู่เหมือนกันที่ให้ฉันลอกแต่กลับได้คะแนนน้อยกว่าฉัน ตอนปลายเทอม คุณครูเห็นท่าทางลายมือฉันคงเข้าท่า เลยหัดให้คัดตัวหนังสือทุกวัน อ้อออ!! ตอนนั้นฉันได้รับการติดป้ายหน้าห้องว่า เป็นบุคคลที่กวาดห้องได้เก่งที่สุด เยี่ยมไปเลยใช่มั้ยหล่ะ 555 ตอนป.2 ได้รับรางวัลคัดลายมือได้ที่ 2 ในวันสุนทรภู่ และได้ที่ 3 ในวันแม่หรือวันพ่อก็จำไม่ได้แล้ว พ่อกับแม่ก็ดีใจพอสมควร รางวัลที่ได้ตอนนั้น คือ สมุด ดินสอ และผ้าขนหนูสีฟ้าผืนเล็กๆผืนนึง จำได้ว่าตอนหลังมีเหา จึงนำผ้าที่ได้นั้นมาใช้งานในการเป็นผ้าหมักผมในการฆ่าเหา พอใช้เสร็จผ้าเหม็นมากกกกก จึงได้นำผ้านั้นทิ้งไป นึกแล้วก็เสียดาย น่าจะเก็บไว้เป็นอนุสรณ์แห่งความภาคภูมิใจ
จากนั้น ชั้น ป.3 ได้เข้าแข่งการคัดลายมือ แต่ก็ตกรอบ ตอนนั้นเสียใจอย่างมากมายมหาศาล ตอน ป.4 ได้อยู่ห้องคิงของโรงเรียน สอบได้ที่ 19 ของห้อง และติด 1 ใน 50 คนที่ได้คะแนนดีของสายชั้น(แต่ก็ดันติดอันดับหลังๆ ที่เกือบไม่ได้ 555) นักเรียนประมาณ 300 คนได้ ตอน ป.5 พ่อก็ป่วยเป็นโรคมะเร็งตับ เนื่องจากกินเหล้า เบียร์ และของสุกๆดิบๆ และพ่อก็ได้จากไปเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2543 เวลา 01.20 น.ที่บ้านย่าของฉัน ซึ่งตอนนั้นเป็นเวลาที่ฉันนอนหลับเนื่องจากเพลีย หลังจากที่ไปเฝ้าพ่อที่โรงพยาบาล ฉันไม่น่านอนหลับเลย ฉันน่าจะอยู่กับพ่อจนวินาทีสุดท้าย มันเป็นความผิดที่ฉันเองไม่สามารถลืมได้เลยจริงๆ ขณะนั้นฉันไม่เสียใจเท่าไหร่และไม่ได้ร้องไห้เลย ยังตลกตัวเองด้วยซ้ำที่ป้ามาปลุก บอกว่า “พ่อไปแล้ว” แล้วฉันยังถามต่อไปว่า “พ่อไปไหน” แต่พอเปิดประตูออกมาก็รับทราบถึงความเป็นไปของพ่อ ป.6 หลังจากที่พ่อได้จากไป ผลการเรียนของฉันก็ตกต่ำอย่างสุดๆ ฉันสอบได้ที่ 21 ของห้องและห้องที่ฉันอยู่ก็ไม่ใช่ห้องคิงหรือควีน แต่เป็นห้องเด็กธรรมดามากๆ ฉันรู้สึกว่าตัวเองโง่เหลือเกิน มัธยม หลังจากจบชั้น ป.6 แล้วฉันได้จับฉลากเข้าโรงเรียนสารคามพิท และได้เรียนที่นี่จนถึงชั้น ม.6ม.1 มีการสอบคัดเลือกห้อง ฉันได้อยู่ ม.1/7 ซึ่งเป็นห้องควีนของโรงเรียน แต่ก็เกือบไม่ได้ เขาเอา 100 คน ไว้ห้องคิง 50 ห้องควีน 50 ฉันสอบได้ที่ 97 (โรงเรียนของฉันเขาถือเอาห้องที่ทับสูงๆเป็นห้องที่เก่ง) และผลการเรียนของฉันก็ติด 1ใน5 อันดับท้ายสุดในห้อง ฉันได้เกรด 2.75 และมีเกรด D โผล่มา 1 ตัว นั่นคือวิชาคณิตศาสตร์เสริม แต่เพื่อนในกลุ่มฉันนั้น เขาได้เกรดรวม 3 UP กันทุกคน (ตอนที่อยู่มัธยมต้นนั้น ฉันได้เรียนหลักสูตรใหม่ ที่เขาตัดเกรดเป็นปีการศึกษา)ม.2 หลังจากที่เกรดฉันไม่สวยงาม ฉันจึงตกอันดับได้มาอยู่ 2/6 และได้เจอกับเพื่อนกลุ่มใหม่ แต่ฉันก็ยังเล่นกับเพื่อนกลุ่มเดิมตอน ม.1อยู่ เพื่อนกลุ่มตอน ม.2 เป็นกลุ่มที่ค่อนข้างทันสมัย หัวสูงและมีแต่คนหน้าตาถือว่าใช้ได้ ฉันไม่อยากคบเท่าไหร่แต่ก็จำใจ เพราะว่าเพื่อนที่เราสนิทนั้นเขาอยู่ห้อง 2/7 ทั้งหมด มีแต่ฉันคนเดียวที่ได้อยู่ห้องนี้ และอีกเหตุผลที่ต้องเล่นกับพวกนี้คือ ตอนนั้นฉันมีพี่ผู้ชายเข้ามาจีบ และเราได้ตกลงคบกัน(แต่ไม่มีอะไรกันนะ แค่จับมือยังไม่เคยเลย) ผู้ชายคนนี้เขาเป็นเพื่อนกับพี่ชายของเพื่อนฉัน เขานักกีฬาบาสของโรงเรียน เขานิสัยดีเลยหละ แต่หน้าตาเขาธรรมดา เราไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยมาก เกือบทุกเย็นเราจะไปนั่งกินนมที่โต้รุ่งกันหลังจากที่พี่เขาซ้อมบาสเสร็จ (นึกแล้วมีความสุขดีจัง) เราคบกันได้เกือบปี แต่เวลาเกือบปีก็คบๆเลิกๆ แต่ไม่ใช่ฉันไม่ได้ชอบเขานะ แต่ฉันเป็นคนที่เบื่อง่าย ถ้าไม่มีอะไรที่น่าค้นหา ฉันก็จะไม่ใส่ใจ เลยได้บอกเลิกพี่เขาไป (ตอนนี้ก็รู้สึกเสียดายอยู่เหมือนกัน ฮ่าๆๆ) ถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้คบกันในขั้นที่มากกว่าพี่ชายน้องสาวแล้ว แต่ว่าเรายังยิ้มให้กัน ทักทายกัน ตามประสาคนรู้จัก ม.3 มีการคัดเลือกห้องใหม่ ฉันได้อยู่ชั้น 3/4 เป็นห้องที่ฉันไม่คาดคิดว่าจะได้อยู่ห้องอย่างนี้ เพราะว่าเกรดฉันมันก็น่าจะห้อง 6 ได้อยู่ มารู้ทีหลังว่า “คละมั่ว” ฉันเสียใจ ร้องไห้เป็นวัน และก็โทรหาพี่คนที่เราได้เลิกกันแล้ว แกก็แสนดี ปลอบประโลมใจได้ดีทีเดียว ฉันโดนคนอื่นต่อว่า ว่าโง่ที่เลิกกับพี่เขา และฉันก็ยอมรับว่า “ฉันโง่จริงๆ”ผลการเรียน ม.3 นี้เป็นผลการเรียนที่น้อยที่สุดที่ฉันเคยได้มา นั่นคือ 2.59 เป็นอะไรที่น่าเสียใจกับการกระทำของตัวเองมาก เพราะว่าไม่ตั้งใจเรียนเลยจริงๆ เนื่องจากคบเพื่อนที่ไม่ค่อยจะเข้าเรียน (กลุ่มเพื่อนที่ว่านี้เป็นเพื่อนกับเพื่อนที่ฉันคบตอน ม.2 อีกที)ไม่สิ เราจะไปโทษคนอื่นไม่ได้ ทุกอย่างเราตัดสินใจเองทั้งหมด วันวันนั่งเล่นโดมิโนอยู่ศาลาหน้าตึก ศาลานั้นกลายเป็นศาลาประจำกลุ่มเราไปเลย ม.3 นี้ ฉันเริ่มเที่ยวและออกบ้านบ่อยขึ้น ไปไหนมาไหนไม่ค่อยได้บอกแม่เท่าไหร่ เนื่องจากมีรถมอเตอร์ไซค์เป็นของตนเองด้วย พี่ชายก็ไปเรียนมหาวิทยาลัย ปี 1 เขาเลยให้เขาหอใน เลยยังไม่ได้เอารถไปใช้ รถนั้นเลยตกเป็นของฉันโดยปริยาย
ม.4 ฉันเลือกที่จะเรียนต่อสายวิทย์ – คณิต ซึ่งฉันไม่ได้เก่งทั้งสองวิชานี้เลย ความจริงแล้วฉันไม่เก่งซักวิชาเลยแหละ ในช่วงนี้คงเป็นช่วงที่ฮอร์โมนของฉันมันเปลี่ยนแปลง สิวขึ้นที่หน้าฉันเยอะมากกกกกกกก มากอย่างที่ไม่เคยเป็น ขึ้นมากมายจนเพื่อนงง ว่าฉันทำอะไรมา ม.4 นี้เป็นอะไรที่เคร่งเรื่องทรงผมมาก ทรงผมต้องตามระเบียบ สั้นเท่าติ่งหู ไม่ตัดไม่ได้ เพราะว่าได้เรียนกับอาจารย์ที่แกคุมเรื่องนี้ ตอนนั้นหน้าเอ๋อมากเลยทีเดียว เพื่อนที่สนิทตอน ม.4 ก็มีโบว์ จ๊ะโอ๋ แพท เอ็ม ซึ่งก็คบกันมาจนถึงปัจจุบัน ส่วนเพื่อนสมัย ม. 1นั้น เราไม่ได้เล่นด้วยกันแล้ว เนื่องจากหัวสมองเรามันต่างกัน เขาแยกเรียนในห้องเด็กเก่ง และเพื่อนเมื่อครั้ง ม.3ฉันได้ปลีกตัวออกมา เพราะฉันคิดว่า ฉันกับพวกเขามันคนละแนวกัน ม.5 ฉันได้อยู่ห้อง 5/5 จาก 12 ห้อง แต่ตอนนี้ฉันไม่สนใจแล้วว่าจะได้อยู่ห้องไหน ขอแค่มีเพื่อนที่เราสนิทก็พอ นั่นคือฉันได้อยู่ห้องกับจ๊ะโอ๋และเอ็ม ตอนนั้นฉันสอบได้ที่ 1 ของห้อง แต่เทอม 2 เจอเสี่ยแบงค์มันเอาไปกิน ฮ่าๆๆๆ ม.6 ฉันได้อยู่ห้องกับจ๊ะโอ๋ แอนนี่ อีฟ(รู้จักตอน ม.1)ปุ๊กกี้(ตอนนี้อยู่อเมริกา)และแบงค์ แบงค์มันเป็นเพื่อนผู้ชายที่ฉันสนิทที่สุดแล้ว ชีวิตตอน ม.6 เป็นอะไรที่สนุกมากกกกก แต่ก็เคลือบแฝงไปด้วยความทุกข์ที่จะเลือกเรียนอะไรในระดับมหาวิทยาลัย ที่บอกว่าสนุกนั้น ก็เพราะว่า วันๆ เราไปนั่งแซวเด็กน้อย แอบชอบเด็กน้อย โดยมีแอนนี่ที่เป็นกระเทยเป็นคนพาแซว นึกแล้วก็ขำตัวเองดี ฮ่าๆๆๆ พอคาบว่างหรือคาบที่ไม่ได้เรียนเราก็จะนั่งถ่ายรูปบันทึกความทรงจำ นั่งเล่นโดมิโน นั่งนินทาคนอื่น สถานที่ที่เราไปนั่งบ่อยที่สุดก็คือที่โรงอาหาร เพราะว่าที่นี่เป็นที่สงบ แต่จะพลุกพล่านเมื่อเวลาใกล้เที่ยง พวกเราชอบถ่ายรูปกัน ถ่ายได้ทุกที่ตั้งแต่ห้องน้ำยันสนามฟุตบอลของโรงเรียน ถ่ายได้ไม่แคร์ใครเลยจริงๆ มีเรื่องราวมากมายที่เกิดขึ้นแต่หากจะเล่าก็คงเล่าไม่หมดแล้วก็ถึงเวลาเลือกอนาคตของคนเอง รอบโควตามาถึงแล้ว ฉันเลือกสอบที่ มมส. ที่เดียว เพราะว่าแม่ไม่ให้ไปเรียนที่อื่น รวมทั้งแกจะไม่มีเงินส่งด้วย และหากฉันไปเรียนไกลบ้าน แม่ก็ต้องอยู่บ้านคนเดียว ฉันลงจิตวิทยา อันดับ 1 และลงมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ สาขา ภาษาไทย เป็นอันดับที่ 2 และฉันก็ติด อันดับที่ 2 ฉันเสียใจเล็กน้อย แต่ฉันก็เข้าใจเพราะว่าเกรดฉันแค่ 2.97 เอง จึงได้ยอมรับชะตากรรม ฉันเข้าสอบสัมภาษณ์ในสาขาที่ฉันติด และฉันก็ผ่านสัมภาษณ์ ได้เรียนสิ่งนั้น แต่ฉันคิดอยู่เสมอว่าฉันจะย้ายคณะ ไม่รู้ว่าผีห่าซาตานตนไหนดลใจให้ฉันเลือกที่จะเรียนสาขาภาษาไทย ฉันน่าจะรอรอบ admission ฉันไม่น่าขี้เกียจที่จะอ่านหนังสือเพื่อสอบรอบ admission เลย นึกแล้วเสียใจ แต่มันก็ผ่านมาแล้ว ในความผิดพลาดของฉัน มันทำให้ฉันรู้ในสิ่งที่ฉันไม่รู้ ได้ทำในสิ่งที่ฉันไม่เคยทำ ได้ประสบการณ์ชีวิตอย่างดีทีเดียว ตอนปิดเทอมของ ม.6 เพื่อรอที่จะเข้ามหาวิทยาลัย ปิดเทอมนานกว่า 3 เดือน ทำให้ฉันว่างมากและมีความคิดที่อยากทำงาน ด้วยอยากช่วยที่บ้านหาเงิน เพราะว่าแม่ก็หาเงินคนเดียว หากมีฉันช่วยคงจะแบ่งเบาภาระได้บ้าง ฉันได้ลงไปทำงานกับพี่สาวลูกของป้าที่พัทยา แกได้ให้หัวหน้าหางานให้ฉัน นั่นคืองาน “รีเซบชั่น” ซึ่งไม่ได้เหมาะกับฉันเอง และฉันเองก็ทำไม่เป็นเสียด้วย แม้จะพยายามอย่างเท่าใดก็ตาม ฉันไปทำงานวันเดียว ฉันไม่ไปทำเลย และพี่สาวฉันก็พาไปสมัครงานที่ห้างต่างๆ อย่างพวกบิ๊กซี โลตัส พิซซ่า และเป็นพวกพนักงานหน้าร้านต่างๆภายในห้าง ฉันสมัครไปประมาณ 7 ที่แต่ก็ไม่ได้สักที่ มีแต่บอกว่าจะติดต่อกลับอีกที ฉันรอไปได้ 12 วัน ฉันเลยไปสมัครงานที่ S&P อีกครั้งหนึ่งแต่ฉันไม่ได้สมัครแบบParttime เหมือนอย่างที่เคยสมัครทุกๆที่ เพราะฉันคิดว่าเขาคงต้องการพนักงานประจำ และฉันก็สมัครเป็นพนักงานประจำ เมื่อส่งใบสมัครแล้วเขาบอกว่าเริ่มงานพรุ่งนี้เลย ฉันดีใจมาก แล้ววันต่อมาฉันก็ไปทำงาน ได้เป็นพนักงานหน้าร้านแต่อยู่แผนกเค้ก แต่ก็ได้ทำทุกอย่าง วันแรกที่ทำนั้น ฉันยืนสวัสดีอยู่หน้าร้าน ปวดขามาก ข้าวปลาฉันก็ไม่ได้กินเพราะว่ายังไม่สนิทกับพี่ที่ทำงานเลยไม่กล้าร่วมวงกับเขา แต่วันต่อๆมาก็โอเคดี เพราะว่าเราสนิทกันแล้ว ฉันก็เป็นตัวของฉันเต็มที่ ปิดเทอมนี้ฉันหาเงินได้ราวๆ 12,000 บาท ฉันภาคภูมิใจอย่างที่สุดเลย ณ ขณะนั้น ฉันสามารถหาเงินใช้เองได้ แต่ทว่ามันเหนื่อยแต่มันก็คุ้ม คุ้มกว่าการหายใจทิ้งไปวันๆ
มหาวิทยาลัยเปิดเทอม ชีวิต Freshy ก็เริ่มต้นขึ้น ฉันเป็นคนที่ไม่ชอบทำกิจกรรม ฉันอยากมีหน้าที่เรียนอย่างเดียว แต่ฉันเชื่อว่าการทำกิจกรรมจะทำให้คนทำงานเป็น ฉันจึงเข้าร่วมกิจกรรมของทางมหาวิทยาลัย คณะ และสาขา กิจกรรมที่นิสิตชั้นปี 1 ของสาขาวิชาภาษาไทย นั่นคือ การร้องสรภัญญะในงานวันไหว้ครู และนั่นก็ส่งผลให้ต้องซ้อมทุกวัน วันละไม่ต่ำกว่า 3 ชั่วโมง และนั่งพับเพียบด้วย เป็นอะไรที่น่าเศร้ามากหากได้มาประสบ แต่แล้ววันไหว้ครูที่มาถึง ฉันกลับไม่ได้ร้องสรภัญญะ เพื่อนให้ไปถือพาน เพราะว่าพานมันอันใหญ่ คนตัวเล็กๆสวยๆมันถือไม่ไหว หน้าที่นี้จึงตกเป็นของฉันโดยไม่ได้เต็มใจ ฮ่าๆๆ (พานอันใหญ่มากคะ เป็นเสลี่ยง ต้องถือพานละ 4 คน ตอนที่เอาไปไหว้จริงๆนั้น ได้ไหว้เพียงพวงมาลัยจ้า...) เทอมที่ 2 ฉันไม่ลงทะเบียนวิชาเอกเลย เพราะฉันจะย้ายคณะ ถ้าย้ายไม่ได้ฉันก็คงจะเป็นเด็กซิ่ว ฉันไม่อยากซิ่ว ฉันเลยตั้งใจเรียน และผลมันก็ออกมาดีทั้งสองเทอม ทำให้ฉันย้ายคณะได้มาเรียนที่ศึกษาศาสตร์ จิตวิทยาแห่งนี้เมื่อฉันย้ายคณะได้แล้ว ฉันกังวลต่อไปว่าฉันจะจบ 4 ปีมั้ย เป็นเรื่องที่ฉันคิดหนักมาจนถึงตอนนี้ ฉันมีปัญหากับตารางเรียนทุกเทอมตั้งแต่ย้ายมา เนื่องจากตารางเรียนซ้อนทับกันไปหมด ทำให้ฉันลงทะเบียนไม่ได้ แต่นั่น ฉันก็ไม่ได้โทษใคร โทษที่ฉันเอง เทอม 2 ดีหน่อยที่ลงได้ทั้งวิชาของปี1 และปี 2 แต่ว่าก็ยังเหลือวิชาโทที่ยังตามเก็บอยู่ปัจจุบันนี้ฉันก็มีความสุขดี ถึงแม้จะมีความทุกข์บ่อยๆ แต่ฉันก็ไม่ทุกข์ เพราะฉันเป็นคนที่ไม่ซีเรียสกับปัญหาที่เกิด ฉันชิวๆ สบายๆ กับมันมากกว่า ฉันคิดบวก มองโลกว่ายังมีคนที่ลำบากกว่าฉันอีกเยอะ ฉันจึงมีกำลังใจที่จะเดินต่อต่อไปนี้ ฉันจะตั้งใจเรียนให้มากกว่าเดิม เพราะว่าที่ผ่านมา ฉันขี้เกียจมากไปหน่อย ตั้งใจ สู้ๆๆ
อัตชีวประวัติของข้าพเจ้าประวัติส่วนตัวของข้าพเจ้า นางสาวช่อเอื้อง โสหนองบัวข้อมูลของข้าพเจ้า เกิดวันอาทิตย์ที่ 25 เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2533 ปัจจุบันอายุ 19 ปี ชื่อเล่น ช่อ ภูมิลำเนาอยู่บ้านเลขที่ 17 บ้านโนนทัน ตำบลโนนสง่า อำเภอปทุมรัตต์ จังหวัดร้อยเอ็ด อาศัยอยู่กับบิดา – มารดา ตั้งแต่เล็กจนโตครอบครัวของข้าพเจ้า ครอบครัวของข้าพเจ้ามีด้วยกันทั้งหมด 6 คน มี คุณปู่ คุณพ่อ คุณแม่ และน้องๆอีกสองคน คุณตา ชื่อ นายลี โสหนองบัว อายุ 75 ปีบิดา ชื่อ นายสังวรณ์ โสหนองบัว อายุ 45 ปี มารดา ชื่อ นางคำปุน สหนองบัว อายุ 41 ปีน้องคนที่ 1. ชื่อ นางสาวอริสา โสหนองบัว อายุ 16 ปีน้องคนที่ 2. ชื่อเด็กหญิงอัจฉราพร โสหนองบัว อายุ 9 ปีคนในครอบครัวรักใคร่ปองดองกันดี ครอบครัวประกอบอาชีพค้าขายและทำนาการศึกษาของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าได้รับการศึกษาตั้งแต่เด็ก ได้เข้าเรียนโรงเรียนบ้านขนวนคุรุประชาสรรค์ ตั้งแต่อนุบาล 1 ถึง ประถมศึกษาปีที่ 6 และเข้าศึกษาต่อชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ถึง มัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนปทุมรัตต์พิทยาคม โปรแกรมวิทยาศาสตร์- คณิตศาสตร์ ปัจจุบันเรียนคณะศึกษาศาสตร์ สาขาจิตวิทยา ปัจจุบันเป็นนิสิตชั้นปีที่ 2 มหาวิทยาลัยมหาสารคามเพื่อนของข้าพเจ้า เพื่อนของข้าพเจ้ามีหลายประเภท มีทั้ง ชาย หญิง กระเทยและเกย์ มีเพื่อนสนิท 2 คนดังจะกล่าวต่อไปนี้ มีเพื่อนไม่กี่คนหรอกคะส่วนมากจะเป็นคนที่คุยถูกคอกันมากกว่าเพราะข้าพเจ้าเป็นคนที่ชอบคนที่มีความจริงใจต่อกันเป็นที่สุด
งานอดิเรกของข้าพเจ้า สิ่งที่ทำในยามว่างก็จะเป็นการปลูกต้นไม้ เล่นกีฬา ออกกำลังกาย สัตว์ที่ชอบเลี้ยงคือ สุนัข ถ้าอยู่บ้านก็จะเป็นการเลี้ยงน้องช่วยน้า ชอบทำอาหาร เห็นคนกินอร่อย แล้วมีความสุขที่ได้ทำความใฝ่ฝันในอนาคตของข้าพเจ้า ความใฝ่ฝันหลักๆเลยก็คือ อยากทำงานรับราชการ เช่น ครู พยาบาล อยากมีอนาคตที่มั่นคง เป็นหลักเป็นฐานให้กับอนาคต เป็นที่พึ่งของ บิดา – มารดา และญาติพี่น้องได้ อยากจะสอนเด็กให้เป็นคนดีของประเทศชาติ อยากจะช่วยผู้ป่วยให้คลายจากความเจ็บป่วย เพื่อจะได้พัฒนาประเทศชาติของเราช่วยกัน ประเทศชาติของเราจะได้เจริญถ้าสามารถขอได้ 3 ข้อข้อที่ 1. ขอให้ครอบครัวของข้าพเจ้ามีสุขภาพที่ดี ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บข้อที่ 2. ขอให้คนในครอบครัวและคนรอบข้างมีความสุข ข้อที่ 3. ขอให้คนรอบข้างมีความรักความปรารถนาที่ดีต่อกัน ข้าเจ้าชื่อ นางสาวช่อเอื้อง โสหนองบัว เขียนเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2552 ขณะที่มีอายุ 19 ปี ช่อเอื้อง หรือ ช่อ เกิดเมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2533 ที่โรงพยาบาลปทุมรัตต์ จังหวัดร้อยเอ็ด ช่อเติบโตขึ้นในชนบท ในละแวกบ้านส่วนมากจะปลูกบ้านสองชั้น ปล่อยข้าล่างโล่ง ไม่ค่อยจะทำกำแพงกันเท่าไหร่ เหมือนกับทุกวันนี้ ซึ่งเอื้ออำนวยที่จะให้เด็กๆในระนั้นออกมาวิ่งเล่นกัน ส่วนใหญ่แล้วจะแบ่งเด็กออกเป็นทั้งหมด 2 พวก คือพวกผู้หญิงจะเล่นขายของ ตุ๊กตา แต่ส่วนใหญ่แล้วช่อจะเล่นแบบผู้ชายเพราะมีพี่ชายที่เป็นลูกของป้าเป็นเพื่อนเล่นซะส่วนใหญ่ ส่วนพวกเด็กผู้ชายเล่นกันตั้งแต่ดีดลูกแก้ว เตะฟุตบอล ซ่อนแอบ รวมไปถึงกีฬาบาสเกตบอล เล่นปิงปอง แบดมินตัน และอื่นๆ อีก รวมไปถึงการเล่นแผลงๆ ทั้งปากระเทียม เล่นประทัด และการเล่นอื่นๆที่ผู้ชายเค้าเล่นกัน จากชีวิตวัยเด็กที่ส่วนมากจะเป็นการคลุกคลีกับเด็กผู้ชาย บุคลิกท่าทางจึงคล้ายเด็กผู้ชายมากกว่าเด็กผู้หญิง เป็นคนที่ไม่ชอบแต่งตัว รักสะอาด ไม่ชอบสำอาง แต่ในความเป็นจริงแล้วจิตใจและร่างกายเป็นผู้หญิงร้อยเปอร์เซ็นต์เลยค่ะ ตอนนี้ช่ออายุประมาณ 4 ขวบคุณแม่ก็ตั้งครรภ์และคลอดน้องออกมาเป็นผู้หญิง ตอนนั้นยอมรับว่าดีใจมากๆเลยแหละ ได้น้องผู้หญิงจะมีเพื่อนเล่นแล้ว ช่อเข้าเรียนอนุบาลของโรงเรียน
ประจำตำบล โรงเรียนบ้านขนวนคุรุประชาสรรค์ ไปเรียนแรกๆยอมรับว่างอแงมาก ร้องไห้อยากกลับบ้านทุกวัน แต่ก็อย่าหวังเลยว่าจะได้กลับ เพราะครูประจำชั้นเป็นป้าของช่อนั่นเอง ป้าเค้าเป็นคนเสียงดัง ฉะฉาน เจ้าระเบียบเป็นที่สุด ดูเหมือนจะดุนะแต่ไม่ดุ กลัวป้ามากเลยทำให้หยุดร้องไห้ไปเอง ตกบ้านมาหลังจากตื่นนอนล้างหน้าแปลงฟัง เข้าแถวรับนมกล่องแล้วเป็นอะไรที่ดีใจที่สุดเลย จะได้กลับบ้านไปเล่นกับไอ้ตัวเล็ก ไปเล่นกับน้อง ไม่รู้จะดีใจทำไมนะ กลับไปก็ได้แต่มองไอ้ตัวเล็กอยู่ไกลๆ แม่ไม่ให้เข้าใกล้น้องคะกลัวว่าจะทำเรื่อง บางทีแม่ก็สงสารอุ้มน้องมาให้หอมแก้ม แก้มแดงๆ หอมเบาๆ ตัวหอมด้วย เพื่อนในห้องเรียนทั้งหมด 17 คน เป็นผู้หญิง 6 คน ผู้ชาย 11 คน ที่จริงแล้วเพื่อนรุ่นเดียวกันเยอะกว่านี้นะ แต่เข้าไปเรียนโรงเรียนในอำเภอกันหมด นักเรียนน้อยๆอย่างนี้อย่าว่าจะสอนง่ายนะคะหัวกระทิกันทั้งนั้นเลย ลิงชัดๆ นักเรียนน้อยๆอย่างนี้ทำให้ช่อได้เรียนรู้อะไรหลายๆอย่างทั้งด้ายวิชาการและกีฬา ที่นี่ช่อทำทุกอย่างตั้งแต่เป็นตัวแทนเข้าร่วมการแข่งขันทางวิชาการ ตอบปัญหาวิทยาศาสตร์ ภาษาอังกฤษ สอบแข่งขันคณิตศาสตร์ เป็นนักกีฬาวอลเลย์บอล และมักจะมีเรืองชกต่อยกับเพื่อนผู้ชายอยู่บ่อยๆ เพราะชอบเล่นอะไรที่แผลงจึงทำให้มีเรื่องขัดใจกับบ้าง ตอนนี้ช่อมีน้องเพิ่มอีกหนึ่งคนคะ เป็นผู้หญิงเหมือนเดิม ต่อมาได้เข้าเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนปทุมรัตต์พิทยาคม ไม่ได้สอบเข้าเรียนหรอกเพราะโรงเรียนบ้านขนวนคุรุประชาสรรค์ เป็นโรงเรียนในเครือข่ายของโรงเรียนปทุมรัตต์พิทยาคม สอบเลือกห้องคะแนนที่ออกมาก็ถือว่าเป็นที่น่าพอใจนะคะ ทั้งระดับมีทั้งหมด 9 ห้อง อยู่ห้อง 3 ห้องละประมาณห้าสิบกว่าคนคะ ถือว่าเป็นโรงเรียนขนาดใหญ่พอสมควร มีนักเรียนทั้งหมดประมาณองพันกว่าคน ครูประมาณ 120-130 คนเป็นโรงเรียนรางวัลพระราชทาน นักเรียนก็เลยเยอะ แล้วยังเป็นโรงเรียนพี่เลี้ยงให้กับโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการโรงเรียนในฝัน ที่จะก้าวเข้าเป็นโรงเรียนพระราชทาน เข้ามาเรียนโรงเรียนนี้ก็ได้อะไรที่ท้าทายมากมายที่ไม่เคยทำมาก่อนเลย เป็นดุริยางค์ของโรงเรียน (โยธวาทิต) เล่นตำแหน่งทรอมโบน (Thrombone) เครื่องเป่าลมประเภททองเหลือง ที่จริงแล้วอยากเล่นฟลุ๊ทแต่เสียดายเป่าไม่ออก แล้วก็ยังรวมไปถึงเป็นตัวแทนของโรงเรียนไปแข่งขันความถนัดและความเป็นเลิศด้านวิชาการของนักเรียนได้แข่งงานศิลปะประเภทประฏิมากรรมประเภทนูนสูงเทียนไขลายไทย ได้ยินแล้วจะบอกว่ายากใช่ไหมละคะเป็นทั้งพรสวรรค์และพรแสวงเลยแหละ นอกจากงานศิลปะแล้วยัง
ได้แข่งวงลูกทุ่ง-คอมโบ้ เข้าค่ายซ้อมดนตรีนอนโรงเรียนเป็นเดือนๆเลยแหละ ผลงานชิ้นโบว์แดงที่ภูมใจที่สุดเลยคือได้เป็นตัวแทนของโรงเรียนไปศึกษาดูงานที่โรงเรียนมหิดล จุดเปลี่ยนของชีวิตเลยก็คือตอนเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 6 ก็ได้สมัครเข้าเรียนมหาวิทยาลัยมหาสารคามรอบโควตา ผลสืบเนื่องมาจากเป็นเด็กกิจกรรม แฟ้มสะสมผลงานหนาอายนิสงค์เดิมเยอะหน่อย เรียนโปรแกรมวิทย์- คณิตศาสตร์ ด้วยก็เลยดีหน่อย ก็เลยสบายหน่อยไม่ต้องวิ่งหาสอบเหมือนเพื่อนคนอื่นๆ ที่ยังไม่มีที่เรียน ต้องขอขอบคุณไปยังคณะครูอาจารย์โรงเรียนปทุมรัตต์พิทยาคมเป้นอย่างสูงที่อาจารย์มีความสามารถพิเศษในการโน้มน้าวเด็กๆ ท่านทำให้เราขยันจนสามารถสอบเข้าเรียนยังมหาลัยและคณะที่คาดหวังได้ เมื่อชีวิตต้องถึงจุดเปลี่ยนย้ายเข้ามาเรียนที่จังหวัดมหาสารคามซึ่งเป็นเมืองตักสิลานคร ซึ่งหมายถึงเมืองแห่งการศึกษาจริงๆ ปีที่ 1 อยู่หอพักในจากการผลักดันของคุณแม่ ด้วยความอยากให้ลูกปลอดภัย มีที่หลับนอนเป็นที่เป็นทางเข้าหอเป็นเวลา รู้จักการใช้ชีวิตทำให้เป็นผู้ใหญ่ยิ่งขึ้น เป็นหอพักที่พักห้องละ 4 คน ถามว่าแออัดรึเปล่าแรกๆยอมรับว่าแออัดมากคะ เพราะเคยอยู่บ้านหลังใหญ่ๆเคยนอนคนเดียวต้องมาอยู่กับใครก็ไม่รู้ ซ้ำยังเป็นห้องน้ำรวม เรียนคณะการบัญชีและการจัดการคณะการบัญชีและการจัดการ สาขาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ มีเพื่อนที่จบโรงเรียนเดียวกันเรียนสาขาเดียวกันด้วย 2 คน ด้วยความที่ไม่รู้จักใครเลยก็มีเพื่อนสองคนนี่แหละที่ไปไหนมาไหนด้วยกัน อยู่หอพักเดียวกัน อยู่คนละห้อง มาเรียนที่สารคามนี่แหละคะทำให้เข้าใจคำว่าครอบครัวมากยิ่งขึ้นคิดถึงบ้านเป็นที่สุด เดือนแรกคิดถึงพ่อ-แม่ น้องๆ เป็นอย่างมาก เพื่อนๆเสาร์-อาทิตย์ก็กลับกันหลายคน แต่ช่อไม่กลับเพราะไม่ชอบนั่งเบียดเสียดกันบนรถเมล์ บางวันดวงดีได้นั่งนะแต่นับครั้งได้เลยแหล่ะว่าเคยได้นั่งกี่ครั้ง รถขอนแก่น-สุรินทร์เป็นอะไรที่แน่นมากเต็มทุกวันแต่ด้วยความที่ช่อเป็นคนที่สามารถปรับตัวได้เร็ว ทำให้ไม่ค่อยจะมีปัญหามากนักในการใช้ชีวิตอยู่มหาสามรคาม สักพักก็เริ่มรู้จักกับเพื่อนคนอื่นๆที่เรียนในคณะบ้าง ที่หอพักบ้าง ตอนรับน้องนะคะเป็นอะไรที่น่าเบื่อเอามากๆเลย เวลาโดนพี่ๆด่า แต่สนุกตอนร่วมกิจกรรมสันทนาการ เรียนคอมพิวเตอร์ธุรกิจเป็นอะไรที่ยอมรับว่ายากมาก ค่าหน่วยกิจหนักอีกต่างหาก ก่อนสอบอ่านหนังสือทั้งวันทั้งคืน ซึ่งแตกต่างจากตอนเรียนมัธยมราวฟ้ากับดินเลย ทั้งเขียนโปรแกรม การตลาด เทอมที่ 2 ไม่ลงเรียนวิชาเอกเลยคะเพราะเตรียมตัวจะย้ายคณะตามที่ได้ตั้งใจไว้ ขึ้นปีที่ 2 ย้ายไปเรียน
คณะศึกษาศาสตร์ สาขาจิตวิทยา ตอนแรกที่ลงโควตา เลือกลงคณะศึกษาศาสตร์ลำดับที่ 1 ก็เลยติดคณะบัญชีและการจัดการซึ่งเลือกเป็นลำดับที่ 2 คราวนี่คงได้เรียนตามความใฝ่ฝันจริงๆ ที่ย้ายมาไม่ไดย้ายมาคนเดียวนะคะยังมีเพื่อนที่สนิทกันย้ายมาด้วยอีกคน เรียนสาขาเดียวกันคะ ดันมาพักห้องเดียวกันอีก คราวนี้ไม่ได้อยู่หอพักในแล้วแล้ว จากชีวิตที่ผ่านมาช่อได้มีประสบการณ์หลายอย่างมาก ทั้งทางวิชาการ ดนตรี กีฬา รวมไปถึงเรื่องสังคม ช่อมีความสนใจในเรื่องที่แปลกใหม่ อยากจะใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ เช่นการหารายได้ระหว่างเรียนอย่างคนอื่นเขาบ้าง แต่ยังไม่มีโอกาสเลย เพราะตอนนี้ยังเรียนหนักอยู่เลย แต่อย่างไรก็ตามชีวิตต้องดำเนินต่อไป ให้คนเราค้นหาและสามารถเข้าใจชีวิต หวังว่าสักวันจะเป็นไปตามฝันที่วาดไว้ที่จะได้ในสิ่งที่ต้องการจริงๆนางสาวช่อเอื้อง โสหนองบัว 51010515040สาขาจิตวิทยา คณะศึกษาศาสตร์วิชา ปฎิบัติการทางจิตวิทยาเสนออ.ดร. รังสรรค์ โฉมยา
อัตชีวประวัติ ข้าพเจ้าชื่อนายณัฐวุฒิ น้อยอินทร์ ชื่อเล่น บี เกิดเมื่อวันที่ 27 เดือน ธันวาคม 2532 ที่ รพ.จุฬา แม่บอกว่าตอนออกข้าพเจ้าออกยากมากตอนออกมาใหม่ ๆ หมอบอกว่าข้าพเจ้าเป็นเด็กหัวโต แล้วก็มีถุงเท้าดำ ติดตัวออกมาด้วย ก็คือปานดำ ที่เท้าช้างซ้าย แต่พอโตมาก็หายไปเอง ผมมีน้องชายคนนึงชื่อ นายณัฐพล น้อยอินทร์ ชื่อเล่น แบงค์ เกิดที่ รพ. ชลบุรี อายุห่างกัน 3 ปี น้องผมเป็นคนน่ารักครับใครเห็นใคร ๆ ก็รัก สาเหตุที่ต้องเกิดต่างที่กันก็เพราะตามพื้นเพของผมและครอบครับ พ่อแม่ทำงานอยู่ กรุงเทพ และหลายๆๆที่จากการสังเกตตอนนั้นพ่อทำงาน ปตท. ที่เกี่ยวกับน้ำมันตอนที่ยังไม่เข้าโรงเรียนก็ตามพ่อไปทำงานหลาย จังหวัด คือ ลำปาง,กรุงเทพ,สมุทรปราการ,สระบุรี แล้วแม่ก็พาลูก ๆ ทั้ง 2 ตามพ่อไปทำงาน ไปทำงานแต่ล่ะที่ก็อยู่นาน มาก ครอบครัวตอนนั้นถือว่าดีมากเลย มาพูดถึงเรื่องการศึกษาบ้าง ตามอายุเด็กที่จะเข้าอนุบาลต้อง 3ปี ตอนนั้นช่วงอยู่ตัว พ่อแม่หาบ้านอยู่ที่ สมุทรปราการ แถว เคหะเมืองใหม่ จำได้ว่าตอนนั้นอยู่ซอย 6 พอถึงช่วงเข้า โรงเรียน แม่พาไปสมัครที่ รร.อนุบาล ชื่อ รร.ว่า อนุลาบเคหะบางพลี ต่อมาน้องก็ได้เข้ามาด้วย ช่วงเรียนอนุบาลจำได้ว่าแม่มารับมาส่งทุกวันเลยเป็นเด็กอยากทำไรก็ได้สนุกไปหมดทุกเรื่อง พอจบรร.อนุบาล ก็มาต่อประถม ที่ รร.รัตนโกสิน๙ เรียนถึง ป.4 ก็มาถึงจุดเปลี่ยนของชีวิตพอผมอยู่ ป.4 มันจะอยู่ในช่วงเงินบาทลอยตัวถ้าจำไม่ผิด แล้วก็ฟองสบู่แตก พ่อก็ต้องออกจากงานต่อมาพ่อก็เลนยช่วนแม่กลับมาอยู่บ้านที่ จ.ขอนแก่น จำได้ดีเลยว่าพ่อแม่ต้องมาตั้งหลักใหม่ทั้งหมด มาสร้างบ้านใหม่ เออลืมบอกไปบ้านที่ขอนแก่นอยู่ อ.บ้านฝาง พอทุกอย่างเคลียหมดก็เหลือ การศึกษาของลูกทั้ง 2 คนพ่อพาผมกับน้องไปสมัครเรียนที่ รร.สนามบิน ผมเข้า ป.4 น้องผมยังเล็ก ๆๆอยู่เข้า ป. 1 พอทุกอย่างกำลังเข้าที่ครอบครัวกำลังตั้งหลักได้ดีก็มีคนมาบอกให้พ่อ ลงสมัคร สมาชิคเทศบาล ตำบล หลังเลือกตั้งเสร็จสรุปว่าพ่อผมได้ แล้วก็เข้าไปทำง่รอยู่ 2 ปี เทศบาลก็ได้มี “ ศูนย์พัฒนาเด้กเล็กก่อนประถมวัย” ประจำตำบลขึ้น ด้วยที่แม่เป็นครูประถมวัยอยู่แล้วพ่อจึงพาแม่ไปสมัครแล้วก็ได้ พ่อเป็นสมาชิค สท. อยู่ 2 สมัย สมันล่ะ 4 ปี พ่อเป้น สท. อยู 8 ปี พอสมัยที่ 3 พ่อได้ปรึกษาแม่ว่าอยากลง สมัคร นายกเทศมนตรีเทศบาล แล้วแม่ก็เลยตกลงจะช่วยกันหาเสียง แม่ก็เลยพาญาติพี่น้องช่วยกันหาเสียง สรุปว่าพ่อได้เป็นนายก พอแม่ได้รู้ข่าวว่าผลออกมาแล้วเราชนะการเลือกตั้งแม่ก้ร้องไห้ด้วยความดีใจ หลังจากที่ พ่อได้ ครอบครัวของผมซึ้งประกอบไปด้วย พ่อ แม่ ตัวผม น้อง
ก็ดีขึ้นเรื่อยๆ ต่อจากนั้นน้องผมก็จบ ป.6 แล้วไปเรียน ต่อ ม.1 ที่ รร.กัลยาณวัตร ผมก็จบ ปวช 3ที่ วิทยาลัยเทคนิคขอนแก่น เวลาผ่านไปสักพักน้องขึ้น ม. 5 พ่ออยากให้น้องไปสอบเรียน เป็นนักเรียน นาย100 ผมเลยพาน้องไปสอบปรากฏว่าน้องผมสอบติดเหล่าทหารอากาศ เป็นที่กล่าวขานของคนในหมู่บ้านมากเลยว่า ลูกนายก สอบติดนาย100 และเป้นความภาคภูมิใจแก่ครอบครัววงตระกูลมาก หลังจากเข้าไปเรียนได้ 3 เดือนก็ถึเวลาที่เค้าจะปล่อยนักเรียนกลับบ้าน พอน้องกลับมาถึงบ้านก็มีญาติพี่น้องมารอดูความเปลี่ยนแปลงของน้องซึ่งเป็นเด้กเกเรมาก คนนึง พอน้องลงจากรถพร้องด้วยใส่ชุดนาย100ถือ กระเป๋าสีดำๆๆ ลงมาแล้วไปกราบเท้าญาติทุกคนที่มารอรับทุกคนดีใจแล้วผมมองไปเห็นพ่อผม พ่อผมร้องให้ด้วยความดีใจว่าลูกคนเล็กประสบผลสำเร็จไปแล้วคนนึก กด็เหลือแต่พี่ก็คือตัวผมเองที่ยังต้องหาอนาคตให้กับตนเอง ต่อไปน้องผมก็จะหมดห่วงแล้วดเพราะ จบมาก็มีลานทำ บันจุเป็นข้าราชการแน่ๆประวัติข้าพเจ้าข้อมูลของข้าพเจ้า ชื่อ นายณัฐวุฒิ น้อยอินทร์ เกิดเมื่อวันที่ 274 ธันวาคม 2532 ปัจจับันอายุ 2 ปี ชื่อเล่น บี ภูมิลำเนา 241 ม.4 ต.ป่าหวายนั้ง อ. บ้านฝาง จ. ขอนแก่น อาศัยอยู่กับ บิดา-มารดา บิดาชื่อนายสุระพร น้อยอินทร์ มารดาชื่อ นางสีสุดา น้อยอินทร์ น้องชายชื่อ นายณัฐพล น้อยอินทร์ ครอบครัวข้าพเจ้าครอบครัวข้าพเจ้ามี 4 คน คือ พ่อ , แม่ , ตัวผมเอง , น้องด้านการศึกษา อนุบาล 1-3 อยู่ที่ รร.อนุบาลเคหะบางพลี ( สมุทรปราการ )ประถม 1-4 อยู่ที่ รร. รัตนโกสินทร์ ๙ ( สมุทรปราการ )ประถม 4-6 อยู่ที่ รร.สนามบิน ( ขอนแก่น )มัทยม 1-3 อยู่ที่ รร.กัลยาณวัตร ( ขอนแก่น )ป.ตรี ปี 1 อยู่ที่ มมส. คณะศึกษาศาสตร์ เอก เทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษาป.ตรี ปี2 อยู่ที่ มมส. คณะศึกษาศาสตร์ เอก จิตวิทยา ( ปัจจุบัน )นิสัยส่วนตัว
นิสัยส่วนตัว เป้นคนมีโลกส่วนตัวสูง ชอบคิดการไกล ชอบวางอนาคตเป็นคนง่าย ๆ เพื่อนพาไปไหนก็ไปสนุกได้เต็มที่ ชอบไปเที้ยวต่าง จ. ความใฝ่ฝันในอนาคต ครอบครัวมีกันอยู่ 4 คน คือ พ่อ,แม่,ตัวผม,น้องพ่อเป็นนายกเทศมนตรีเทศบาลแม่เป็นครูปฐมวัยน้องเรียนนักเรียน นาย100 จบมาก็รับราชการแน่นอน ความใฝ่ฝันของผมก้คือ อยากรับราชการ ตำรวจ , ทหาร อยากมีคำนำหน้าไม่ใช้แต่ “นาย” แล้วก๋อยากเรียนต่อ ป.โท มีคนรู้ใจสักคนที่รักเราจริงก็พอแล้วล่ะคติประจำจัยที่ใช้มาโดยตลอด “ คิดให้ใหญ่ แล้วต้องไปให้ถึง ”
ชื่อเสียงเรียงนามของนางตุ้ม…....(!) เรามีชื่อว่า... อะแน่อยากรู้จักละสิ เขานะมีชื่อว่า.............! นางสาวสุภาพร ศรีอาราม เกิดที่........! 555555555555555 เกิดอยากบอก เกิดวันจันทร์ที่ 3 เดือนธันวาคม พ.ศ. 2533 ชื่อเล่น ตุ้ม เพื่อนๆ ชอบเรียก เพื่อนตุ้ม ผลไม้ที่ชอบ ลำไย ลิ้นจี่ ทุเรียน ส่วนอาหารก็ชอบ คะน้าหมูกรอบ ปลาเผา ต้มยำกุ้ง ปัจจุบันพักอยู่ที่บ้านเลขที่ 99 หมู่ที่ 4 ตำบลหัวช้าง อำเภออุทุมพรพิสัย จังหวัดศรีสะเกษ 33120 มีพี่น้องสองคน เป็นลูกคนที่ 2 งานอดิเรกถามว่าเราชอบอะไร ชอบแข่งรถ ชอบดูรถแต่งเท่ๆๆๆๆ คติ : ความฝันมันก็คือ ความฝัน แต่ถ้าไม่ลงมือทำมันก็คือความฝัน แต่ถ้าไม่ลงมือทำมันก็คือความฝัน สิ่งที่สะสม ก็จะมีสร้อย (ทุกชนิด) แหวน นาฬิกา อุลตร้าแมน (ชอบสุดๆ นะจะบอกให้) มาเข้าเรื่องตำนานนางตุ้มกันดีกว่า ตอนที่เรียนอยู่ประถมศึกษาปีที่ 1-6 ก็เรียนโรงเรียนแถวหมู่บ้าน แต่ตอนที่โตขึ้นมาอีกนิดนึงเข้ามัธยมศึกษาปีที่ 1-6 เรียนโรงเรียนประจำอำเภอ โตขึ้นอีกนิดหนึ่งก็ตอนนี้แหละ ปัจจุบันก็ศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม คณะศึกษาศาสตร์ สาขาจิตวิทยา ก็มีความสุขมาก ติ๊งต๋องไปวันๆ ก็คิดถึงบ้านมากเลยเน๊อะ เข้าเรื่องเลยก็แล้วกัน ก็ตั้งแต่เป็นเด็กเท่าที่จำความได้แม่เคยเล่าให้ฟังว่าหนูเป็นเด็กที่ไม่กินข้าว ไม่กินผัก กินแต่นมอย่างเดียว แต่พอโตขึ้นมาอีกก็กินข้าวเองโดยไม่มีใครป้อน ตอนที่ไปเรียนอนุบาล 1-3 ตอนเช้าคุณครูก็จะสอนพาหัดอ่านออกเสียง ตอนบ่ายก็จะให้นอน จนถึงบ่ายสามตื่นขึ้นมาก็ให้ดื่มนม เก็บของแล้วเตรียมรับการบ้านจากคุณครูคือ คัดตัว ก-ฮ ตามรอยเส้นประ พอรับการบ้านเสร็จแล้วก็รอผู้ปกครองมารับกลับบ้าน ในระหว่างรอผู้ปกครองมารับกลับบ้านก็จะไปเล่นที่สนามเด็กเล่น แต่ที่จำได้ตอนที่แม่ไปส่งก็จะร้องไห้ทุกวันว่าไม่อยากเรียน อยากกลับบ้าน คุณครูเขาก็จะมีวิธีที่ทำให้หนูอยู่โรงเรียนให้ได้ คือ เขาก็จะพูดว่าวันนี้นะถ้าหนูอยู่คุณครูจะเปิดเทปเล่านิทานให้ฟังก่อนนอน คุณครูก็จะบอกชื่อเรื่อง แล้วหนูก็เป็นคนชอบฟังนิทาน หนูก็จะเลิกร้องไห้ก็จะไปเล่นกับเพื่อนตามปกติ ตอนเข้าเรียนประถมศึกษาปีที่ 1 ก็จะเป็นคนไม่ค่อยทันคน โดนแต่เพื่อนขโมยดินสอสีไม้ สมุดภาพวาดภาพระบายสี เครื่องเรียน อุปกรณ์การเรียนต่างๆ เพื่อนขโมยทุกวัน ทุกวันก็จะเกิดอาการทุกครั้งคือ ร้องไห้ กลับบ้านทุกวัน และวันต่อมาทนไม่ได้ไม่รู้ว่าใครขโมยไป หนูก็ไปขโมยดินสอสีของเพื่อนทุกคนกลับมาบ้าน แต่พอแม่เปิดดูกระเป๋าพบว่าดินสอสีในกระเป๋าเยอะมาก แม่ถามว่าไปเอามาจากไหน หนูก็ตอบว่าขโมยของเพื่อนมา แม่จึงบอกว่าให้เอาไปคืนเพื่อนให้หมด ไม่ต้องอยากได้ของใคร หนูจึงร้องไห้เพราะดินสอสีและดินสอที่หายได้ก็ยังไม่ได้คืนจึงได้แต่ร้องไห้ แม่เขาบอกว่าจะพาไปซื้อใหม่ แต่ต้องสัญญาว่าจะไม่ขโมยของของใครอีก หนูจึงสัญญากับแม่จะไม่ขโมยของของใครอีก ด้วยอาการสะอึกสะอื้น ตอนที่อยู่ประถมศึกษาปีที่ 2 คุณครูให้การบ้านโดยการไปถามผู้ปกครองว่าใบโหระพาใช้สรรพคุณทางยาหมอพื้นบ้านอย่างไร หนูก็ตอบว่าใช้ทาแผล แต่ที่จริงไม่ใช่หรอกค่ะ เขาใช้เป็นยาระบายแก้ขับลมในกระเพาะอาหาร เป็นยาระบายอ่อน ๆ ซึ่งเพื่อน ๆ ในห้องต่างพากันหัวเราะ ๆ กันยกใหญ่ จึงได้ฉายาว่า นางโหระพายาทาแผล ไปโรงเรียนวันไหนเพื่อนก็เรียก นางโหระพายาทาแผล ซึ่งก็เลยกลายเป็นว่า นางโหระพายาทาแผล เราจะไม่ให้ลอกการบ้านเพื่อนจึงยอมตกลงก็เลยเป็นคนที่เพื่อนจากหัวเราะกลายเป็นไม่หัวเราะ ตอนอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 เต็มๆ เลย โอ้แม่เจ้ามาเจอะลุงคนที่อยู่บ้านด้วยกันกินข้าวด้วยกันไม่น่าเชื่อ ตอนที่อยู่บ้านเป็นคนใจดี แต่ตอนที่อยู่โรงเรียนโอ้แม่เจ้าไม่อยากจะ Speak เลยตรงกันข้ามทุกอย่างเลยจ้า ตอนที่เขาเดินมาหาหนูเขาพูดกับหนูว่า ถ้าอยู่โรงเรียนให้เรียกลุงครู แต่ถ้าอยู่บ้านให้เรียกลุงตามธรรมดาที่เคยเรียก เคยมีครั้งหนึ่งที่เคยโดนตีด้วยไม้ขนไก่เพราะว่าแอบขโมยออกข้างนอกโรงเรียนไปซื้อขนมทั้งๆ ที่ยังไม่หมดเวลาเรียน ยังไม่พักเที่ยงก็เลยโดนโป๊ะ เซ๊ะ (ตี) นั้นแหละ ทำเอาวันนั้นตูดบวมและแดงจนได้ทายาหม่องกันเลยทีเดียว ขึ้นชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ก็เริ่มหัดเขียนหนังสือด้วยปากกาแล้วเพราะ 1 – 3 เขาจะให้เขียนด้วยดินสอก็เลยต้องปรับตัวพอมาเขียนด้วยปากกาก็ต้องมีน้ำยาลบคำผิด ไอ้เพื่อนที่อยู่ในห้องดันชอบยืมแต่ลิคควิดเรายืมบ่อยครั้งเราเริ่มมีอาการพูดแล้ว ทำไมยืมบ่อยจังเลย ไม่มีตังค์ซื้อเหรอ เพื่อนบอกว่าไม่ เราเสนอตัวเข้าทันที ยืมเงินเราไหมมีดอกเบี้ยร้อยละ 10 บาท ต่อเดือน อัยย้า อยู่แค่ป . 4 แต่รู้จักคำว่าดอกเบี้ย ตอนนั้นมีเพื่อนยืมเงินไปทั้งหมด 600 บาท บางคนก็ยืม 2 เดือน บางคนก็ 3
เดือน ก็เก็บเงินดอกไปเรื่อย ๆ 555 อยากหัวเราะให้ฟันหลุดพอแม่ถามหาเงินที่ในกระปุกหายไปไหนหมดเลย บอกแม่ว่าให้เพื่อนยืมไปหมดแล้ว แม่จึงดุว่าเราสารพัดนานาคำพูด แต่ก็ไม่เป็นไรหรอกแค่ดุไม่ได้ตีซะหน่อย ถามว่าได้เงินคืนไหม ได้แต่นานมาก ๆ ๆ พอขึ้นชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ก็เริ่มชอบกีฬาฟุตบอล วอลเลย์บอล วิ่ง ทำให้หนูตั้งใจฝึกซ้อมทุกวันหลังเลิกโรงเรียน จนได้เป็นนักกีฬาสมใจของโรงเรียนก็จะแข่งในสายโรงเรียนก่อน พอชนะก็แข่งระดับอำเภอ ก็แข่งชนะแต่ไปตกรอบที่อำเภอนั้นแหละก็ยังดีที่ได้สู้ พอขึ้นชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ก็ลงสมัครเป็นประธานนักเรียน ซึ่งมีผู้ลงสมัคร 2 คน ก่อนวันลงคะแนนรับเลือกตั้งเป็นประธานนักเรียน ก็ต้องหาเสียงก่อน มีการแจกขนมทุกวันแบบลับ ๆ มีการแสดงนโยบายที่จะทำประโยชน์แก่โรงเรียน แก่เพื่อน ๆ ปรากฏว่าวันเลือกตั้งเป็นประธานปรากฏว่าได้รับคัดเลือกเข้าเป็นประธานดีใจมากเลย ที่ได้รับความไว้วางใจต่อเพื่อน ๆ ก็ได้ขึ้นไปพูดหน้าเสาธงไปขอบคุณเพื่อน ๆ ที่ให้ความไว้วางใจเรา เราจะทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายให้ดีที่สุดเต็มความสามารถและกำลังของเรา หลังจากนั้นชีวิตของเราก็เปลี่ยนจากเคยเป็นผู้ตามกลับกลายเป็นผู้นำต้องมาโรงเรียนแต่เช้า ต้องมานำเพื่อนเป็นต้นเสียงร้องเพลงชาติ ไหว้พระ กล่าวคำปฏิญาณตน อ่านภาษาไทย อ่านภาษาอังกฤษ วันละคำ ว่าสะกดยังไง มีความหมายว่าอย่างไร และมีงานอีกมากมายที่ต้องรับมอบหมายจากคุณครู พอถึงตอนเข้าค่ายลูกเสือก็ได้เดินทางไกลเข้าค่ายพักแรม 2 คืน3 วัน ไม่อยากจะพูด ม้วนอีหลีเด้อ ตอนไปเข้าฐานเล่นกิจกรรมก็จะมีสารพัด ชอบอยู่อย่างเดียว นันทนาการ เต้น สนุกมาก พอถึงตอนนอนกลางคืนก็จะมีเพื่อนเล่าเรื่องผีให้ฟังก็จะกลัวกันเอาผ้าห่มปิดหน้า ทำให้เราพลอยนอนกลัวและนอนหลับ ตื่นมาตอนเช้าก็ต้องเข้าฐานทำกิจกรรมต่อ เหนื่อยมาก สนุกมาก ๆ ๆ แต่ขอบอกถ้าไม่ไปก็ไม่รู้ว่าเป็นยังไง ในระยะเวลาต่อมาอีกไม่นานก็ต้องสอบหาที่เรียนใหม่ ก็สอบได้ที่โรงเรียนที่ใฝ่ฝันและตั้งใจอยากจะเรียน เพราะมีพี่ชายเรียนอยู่ที่นั้นสอบในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มีห้องเรียนอยู่ 10 ห้องสอบเข้าได้ห้องที่ 5 มีเพื่อนอยู่ประมาณ 56 คน แต่เวลาเรียนไปเพื่อนเริ่มหายไปเรื่อย ๆ จนเหลืออยู่ 52 คน เหตุผลของแต่ละคนก็แตกต่างกันออกไป บางคนพ่อแม่หย่าร้างแยกทางไปมีครอบครัวใหม่ บางคนหนีไปกับแฟน บางคนทะเลาะตบตีกัน แต่ในขณะนั้นที่เรียนอยู่ชั้น ม. 1 ยังไม่รู้จักกับเพื่อนเลย คุณครูก็ให้แนะนำตัวเอง เพื่อนแนะนำเสร็จ พอมาถึงหนู หนูก็แนะนำตัวเองละมีท่าทางเป็นเอกลักษณ์คือ
เคยเห็นคนน่าไม่มัน แต่ทำท่าแล้วมันตลกตรงไหม อย่างนั่นแหละ เพื่อนทุกคนก็หัวเราะจากอาการที่เคยสั่นกลับกลายเป็นไม่สั่นตลกอีกต่างหาก ทำให้เพื่อนทุกคนต่างรู้จักเรากันทั้งห้องทั้ง ๆ ที่เรายังจำชื่อเพื่อนบางคนยังไม่ได้เลย พอมาอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ก็มาผิดใจกันกับอาจารย์ที่ปรึกษาที่มาฝึกสอน เพราะว่าเขาเคร่งครัดมากเกินไป เรื่องทรงผม เขาเรียกหนูไปตรวจทรงผม แต่วันนั้นหนูไปโรงเรียนสาย หนูเลยไม่รู้ว่าเขาเรียกพบ อาจารย์เขาก็หาว่าหนูหลบหน้าเขา พอหนูเจอเขา เขาก็ดันจับหนูไปตัดผมตรงแบบชนิดครึ่งใบหูประเภทชนิด เอาทรงไหนกลับคืนมาไม่ได้หนูโกรธมาก พอกลับถึงบ้านแม่เห็น แม่รับไม่ได้แม่จึงพาไปหาผู้อำนวยการโรงเรียน ผู้อำนวยการโรงเรียนจึงได้แต่ว่ากล่าวอาจารย์ผู้มาฝึกสอน และทำทันบนไว้ แต่หนูได้ยินมาว่าเขาไม่ผ่านการฝึกสอน แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะหนูหรือเปล่า ถ้าหนูย้อนเวลาได้หนูอยากกลับไปขอโทษอาจารย์คนนั้น พอตอนขึ้นชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ด้วยวัยที่อยากรู้อยากเห็นอยากลองของหนูในขณะเวลาเรียนหนูอยากออกไปเที่ยวไม่อยากเรียน หนูขาดเรียน หนูหลบเรียน ไม่ถึง 3 วัน เท่านั้นแหละจดหมายถึงผู้ปกครองเชิญผู้ปกครองไปที่โรงเรียนรับฟังปัญหาที่เกิดกับลูกของตัวเอง พอแม่รู้เข้าเท่านั้นแหละบ้านแตกตีเรา จนขาลาย แขนลาย เหมือนตุ๊กแกเลย หลังจากนั้นจึงจดจำและไม่ได้ทำอีกจึงคิดได้ว่าเรามาเรียนนะไม่ได้มาเที่ยว เรามาเรียนเพื่ออนาคตของตัวเอง หลังจบ ม. 3 น้าจึงพาไปเสริฟอาหารที่ร้านของเขาเอง ซึ่งขายที่หน้ามหาวิทยาลัยมหิดล เขาเริ่มขายตั้งแต่เวลา 17.00 – 23.00 น. ก็ได้เห็นมหาวอทยาลัยมหิดลใหญ่มาก น่าเรียนอินเตอร์สุด ๆ เหมือนเป็นแรงจูงใจ ทำให้หนูอยากเรียนสุด ๆ ขายของช่วยน้า อยู่ได้ประมาณ 2 สัปดาห์มีดารามานั่งกินข้าวอยากรู้ไหมว่าใครก็ขวัญ อุษามณี ไง มากับเพื่อนเขาละมั่ง เพราะว่าเขานะเรียนที่นานาชาติ มหาวิทยาลัยมหิดล สวยมาก ๆ ๆ สวยกว่าใน TV อีก นี่ก็คือแรงบันดาลใจที่ทำให้หนูอยากเรียนมหาวิทยาลัย พอตอนสอบเข้าเรียนก็ได้เรียนที่เดิมนั่นแหละห้องเดิมแต่เพื่อนใหม่ฮา สุด ๆ พอขึ้นมาชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 – 6 ก็เริ่มคิดได้ว่าเราต้องขยันเรียนเพื่ออนาคตของเราเอง ปัจจุบันก็สอบเข้าเรียนได้ที่มหาวิยาลัยมหาสารคาม คณะศึกษาศาสตร์ สาขาจิตวิทยา ก็เป็นเรื่องที่ประทับใจที่สุด และภูมิใจมากที่สุดกับความสามารถของตนเอง หวังว่าเพื่อน ๆ อ่านคงเข้าใจกับชีวิตอันชื่นมื่นของเรา ขอบคุณสำหรับการอ่านประวัติของเรา ขอบคุณค่ะ
ดิฉันชื่อ นางสาวศศิวรรณ เลยหยุด ชื่อเล่น ตังเม ปัจจุบันศึกษาที่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม คณะศึกษาศาสตร์ สาขา จิตวิทยา พี่ฉันตอนนี้เรียนอยู่มหาวิทยาลัยราชภัฎอุบลราชธานี คณะมนุษยศาสตร์ สาขา อุตสาหกรรมท่องเที่ยวครอบครัวของฉันมี 4 คนมี พี่ พ่อ แม่ แล้วฉันเป็นน้องสุดท้อง ฉันกับพี่สาวเราเป็นฝาแฝดกัน ห่างกัน 2 นาที ฉันเกิดที่ขอนแก่น โรงพยาบาลบ้านไผ่ โดยพี่สาวฉันออกก่อน ส่วนฉันออกทีหลัง โดยโบราณแล้วเขาถือว่าคนออกก่อนเป็นน้อง คนออกหลังเป็นพี่ แต่พ่อกับแม่ฉันไม่ถือเรื่องนี้ พ่อกับแม่บอกว่า ถือเรื่องเวลามากกว่า ตั้งแต่เกิดพี่สาวฉันแข็งแรงกว่าฉันมากและอ้วนกว่าด้วย และยายก็ได้ตั้งชื่อให้พี่สาวฉันว่า โม ส่วนฉันชื่อเม แต่แม่บอกว่าชื่อมันสั้นไปเลยตั้งชื่อว่า แตงโม ตังเม และฉันตอนเด็กๆๆฉันกับพี่ดื้อมากๆๆ ตอนกินนมเนี้ยสิ แม่ต้องอุ้มเราทั้งสองไว้ตรงแขนคนละข้าง และเวลานอนแม่ต้องตื่นมาให้นมเราทั้งสองคน ส่วนพ่อของฉันทำงานรับราชการตำรวจ โดยทำหน้าที่ด้านการเงิน แล้วตอนประถมก็ย้ายไปอยู่ที่ศรีสะเกษ ฉันเรียนอยู่ที่โรงเรียนมารีวิทยา โรงเรียนนี้เป็นโรงเรียนของคริตส์ ฉันเข้าเรียนชั้น ป. 1 กับพี่สาวและอยู่ห้องด้วยกันจนถึงป.3 แม่เห็นว่าอยู่ด้วยกันแล้วมันไม่ตั้งใจเรียน เลยให้พี่ฉันไปอยู่ห้อง5 จนถึงป.6 เลย เพราะเด็กทุกคนมีแต่กินกับนอนและตอนเด็กนั้นมียายและก็ตาที่คอยดูแลอยู่มาห่างเลย เวลาที่ฉันและพี่ต้องออกไปเล่นข้างนอก แม่ต้องตามไปตลอดเลย เพราะดื้อมาก พอฉันโตขึ้นมาหน่อย พ่อก็ยังทำงานอยู่ อ.ชนบท และเวลาที่พ่อเข้าเวรอยู่นั้น เราทั้งคู่ได้ไปเล่นข้างหลังตรงที่พ่อทำงานอยู่ แถวนั้นก็จะมีต้นไม้อยู่เยอะ แต่เรื่องมันเกิดขึ้นเพราะมีต้นไม้ต้นหนึ่งที่มีรังแตนอยู่ แล้วความที่เป็นเด็กที่ซนมาก เราทั้งคู่ได้เอาไม้ไปตีรังแตน แล้วจะเกิดอะไรซะอีกล่ะ ก็โดนแตนต่อยเอาน่ะสิ แล้วเพื่อนพ่อที่อยู่แถวนั้นก็เรียกพ่อมาเพื่อมาเอาเราทั้งสองกลับบ้านแล้วก็ทายา แต่โชคดีที่เราทั้งคู่ไม่เป็นอะไรมาก พอเราทั้งคู่ขึ้นประถมก็ได้เข้าโรงเรียนมารีวิทยาแต่เราแยกห้องเรียนกันเพราะจะได้มีเพื่อนเยอะๆๆไม่ต้องมานั่งเล่นกัน2คน ประวัติฉันกับพี่น่ะหรอ..ก็ดื้นตามประสาเด็กชอบแกล้งคนโน้นคนนี้ที..ค่อนข้างร่าเริงแจ่มใส..แต่จะเป็นคนพูดน้อยชอบฟังเพื่อนพูดเรื่องต่างๆฉันน่ะเป็นคนเส้นตื้นมากๆส่วนพี่ฉันน่ะได้เข้าร่วมงานคริตส์มาสด้วยเพราะที่ทางโรงเรียนบังคับเวลาพี่ฉันแต่งหน้าเสร็จพี่ฉันเหมือนกระเทยมากๆ
ตอนนั้นก็อยุ่ประมาณป.5 ส่วนฉันก็ได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกในวงดุริยางค์ฉันเป่าเมโลเดียน ตั้งแต่ ป.4 ถึง ป.6 เลย พอเรียนจบ ป.6 ก็แยกย้ายกันไปเรียนต่อ ฉันได้เรียนต่อที่โรงเรียนสตรีสิริเกศ จังหวัดศรีสะเกษ ฉันได้เรียนต่อที่โรงเรียนสตรีสิริเกศ จังหวัดศรีสะเกษ ฉันกับพี่ฉันใช้สิทธิโรงเรียนใกล้บ้าน ฉันเรียนที่โรงเรียนสตรีตั้งแต่ ม.1-6 เวลาเลิกเรียนพ่อก็จะมารับประจำเลย ฉันต้องปรับตัวเข้ากับเพื่อนๆ เพราะฉันเป็นคนไม่ค่อยพูด พูดไม่เก่ง ไม่กล้าแสดงออก ขี้อาย พอหลังๆ มาก็เริ่มปรับตัวได้แล้ว มีเพื่อนที่สนิทมาก ไปไหนไปด้วยกัน และไปเป็นกลุ่ม มีอะไรจะช่วยเหลือกันตลอด ช่วงแรกๆเกรดออดมาไม่ค่อยดีเลย ฉันต้องพยายามเรียนให้ได้เกรดดีกว่านี้ ฉันไม่ต้องการแข่งกับใครฉันต้องแข่งตัวเองสิ เอาให้มันได้ดีกว่านี้ พอเรียนจบ ม. 3 ก็ต่อที่เดิมนี้แหล่ะ ใกล้บ้านดี ฉันได้เลือก สายศิลป์ เพราะฉันไม่ชอบคำนวณเลย ก็เรียนไปทางภาษามากกว่า มีภาษาจีน เวียดนาม ที่ฉันได้เรียนนะ ฉันว่าภาษาจีนฉันเรียนเข้าใจกว่าเวียดนามซะอีกช่วงนี้ล่ะที่ฉันสนุกสุดๆ ช่วงม.5 อ่ะ สนุกมาก และคิดว่าไม่อยากจากเพื่อนเลย พอใกล้จะจบก็มีการจัดวันอำลาอาลัยให้พี่ ม.6 เป็นวันที่มีความสุขมาก พอเรียนจบก็แยกย้ายกันไปเรียนคนละที่ในกลุ่มฉันมีฉันคนเดียวที่เรียนอยู่สารคาม เพื่อนที่สนิทก้อเรียนที่อุบลหมดเลย รวมถึงพี่ฉันด้วย ฉันอยากเรียนเอกจิตวิทายามาก เพระมันเป็นความตั้งใจจริง พ่อ แม่ ก็อยากให้เรียน ว่างๆ พ่อ กับ แม่ และพี่สาวก็มาหาบ้าง
ข้าพเจ้าชื่อนางสาวกฤษดาภรณ์ สวัสดิ์ผล ชื่อเล่น กิด คนส่วนใหญ่มักจะถามข้าพเจ้าว่าทำไมชื่อเหมือนผู้ชายจังเลยข้าพเจ้าก็ไม่รู้จะตอบว่ายังไง แต่ข้าพเจ้าก็ไม่เคยคิดที่จะเปลี่ยนชื่อเลยเพราะเป็นชื่อที่พ่อของข้าพเจ้าตั้งให้และข้าพเจ้าก็สงสัยอยู่ว่าทำไมจึงตั้งชื่อข้าพเจ้าว่ากฤษดาภรณ์ และชื่อเล่นว่า กิด และก็ได้คำตอบว่าที่ตั้งอย่างนี้เพราะตั้งตามชื่อลูกชายของพี่สาวของพ่อข้าพเจ้าเองที่ชื่อกฤษฎาแล้วพ่อของข้าพเจ้าก็เอาคำว่า (ภรณ์) เติมลงไปและชื่อเล่นก็เรียกตามชื่อจริงมาจนถึงทุกวันนี้ ข้าพเจ้าเกิดวันที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2533 (วันจันทร์) ข้าพเจ้าเกิดที่โรงพยาบาลมหาสารคามเพราะข้าพเจ้าเป็นคนมหาสารคาม แต่อยู่อำเภอแกดำ ครอบครัวของข้าพเจ้ามี 4 คนคือมีพ่อและแม่ข้าพเจ้าและมีน้องสาวหนึ่งคน ชื่อวิภาวรรณ สวัสดิ์ผลน้องของข้าพเจ้าอายุห่างจากข้าพเจ้า 5 ปีซึ่งตอนนี้ข้าพเจ้าอายุ 19 ปี นั่นก็แสดงว่าน้องของข้าพเจ้าอายุ 14 ปีส่วนแม่ของข้าพเจ้าชื่อนางบุญเฮียง สวัสดิ์ผล อายุ 44 ปี มีอาชีพทำนา และพ่อของข้าพเจ้าชื่อนายอุทัย สวัสดิ์ผล อายุ 43 ปี มีอาชีพทำนา ถ้าจะพูดถึงประวัติของข้าพเจ้าตั้งแต่เล็กจนโตนั้นมันคงจะไม่จบเพราะฉะนั้นข้าพเจ้าก็จะขอเล่าพอคร่าวๆคือช่วงเวลามัธยมปลายที่เป็นช่วงเตรียมความพร้อมเข้ามหาวิทยาลัย ช่วงเวลานี้ในความคิดของข้าพเจ้าคือช่วงที่กดดันมากเพราะเราไม่รู้ว่าจะติดที่ใหนบ้างหรือเปล่าและในช่วงเวลานี้เองที่ทำให้ข้าพเจ้าได้เรียนรู้อะไรหลายๆอย่างไม่ว่าจะเป็นความสมหวังและความผิดหวัง การรอคอย และประสบการณ์ชีวิตต่างๆและอะไรอีกมากมาย และเรื่องที่ว่าความสมหวังหรือผิดหวังนั้นก็ได้สอนให้เราได้รู้จักชีวิตของคนเรามากขึ้นว่าถึงแม้ว่าเราจะไม่สมหวังในสิ่งที่เรามุ่งหวังไว้แต่ถ้าเราไม่คิดมากทำใจได้และเรามีความพยายามเราก็จะได้ในสิ่งที่หวังไว้ และการรอคอยก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้เรานั้นต้องลุ้น ตื่นเต้น และที่สำคัญคือฝึกให้เรามีความอดทนและที่สิ่งที่สำคัญมากๆที่ได้จากช่วงสอบเข้ามหาวิทยาลัยคือทำให้เรามีความรับผิดชอบมากๆก็ว่าได้เพราะถ้าหากใครไม่มีความรับผิดชอบก็เท่ากับทิ้งอนาคตตัวเองชัดๆ ที่ว่าทำให้เรารู้จักรับผิดชอบตัวเองมากขึ้นนั้นก็คือไม่ว่าจะเป็นเรื่องอ่านหนังสือ เวลาเข้าสอบ วันเวลารายงานตัว วันเวลาจ่ายตังค์ค่าสมัครหรืออะไรต่างๆเราต้องทราบและไปให้ทันตามที่กำหนด ถ้าหากเราไม่มีความรับผิดชอบไปไม่ทันเราก็จะต้องถูกตัดสิทธิ์เพราะฉะนั้น
เรื่องนี้จึงสำคัญมาก ถึงแม้ว่าช่วงนี้จะกดดันแต่ก็แฝงไปด้วยสิ่งดีๆมากมายและเมื่อผ่านช่วงนี้ไปก็ทำข้าพเจ้ารู้สึกว่าโตขึ้นมีความรับผิดชอบมากขึ้น และอีกเรื่องหนึ่งที่ทำให้เราได้ประสบการณ์ในชีวิตมากก็คือรับน้องเพราะว่าเป็นอะไรที่สนุกและทำให้เรามีความผูกพันธ์กัน รู้จักกันมากขึ้นถ้าหากไม่มีการรับน้องพวกเราปี1ทุกๆคนคงจะไม่รู้จักเพื่อนๆคณะอื่น เอกอื่น และมีอะไรอีกมากมายที่ข้าพเจ้าประทับใจมากจากรั้วเหลืองเทาแห่งนี้แต่มิอาจจะบรรยายเป็นคำพูดได้และสุดท้ายนี้ข้าพเจ้าก็ขอมอบบทกลอนนี้แทนสิ่งที่ทำให้ข้าพเจ้ามีวันนี้วันที่มีที่เรียนได้เรียนตามที่ตนเองชอบ“ชีวิตของคนเรานั้น…ไม่ยาวเลย สู้ก้อนกรวดก้อนหินยังไม่ได้ เกิดมาทั้งที ตั้งเข็มทิศให้กับชีวิต กำหนดทิศทางของตัวเองให้ชัดเจน จะเดินไปสู่จุดไหน ค้นหาตังเองให้ชัดเจน จะเดินไปสู่จุดไหน ค้นหาตัวเองให้เจอ และพยายามดำเนินมุ่งไปสู่จุดนั้นให้ได้ และที่สำคัญอย่าประมาท… อย่าหลงตัวเองและอย่าหยุดยั้งการศึกษาหาความรู้อยู่ตลอดเวลา”และอีกบทกลอนหนึ่งที่ข้าพเจ้าอยากจะมอบให้แก่คุณครูทุกๆท่านที่เคยสอนข้าพเจ้ามา* ผู้สร้างคน * เป็นแสงธรรมนำทางสร้างชีวิต เป็นผู้คิดสื่อสารงานศึกษา เป็นผู้รู้ประสิทธิ์วิทยา เป็นศาสตราคอยคุ้มครองผองเด็กไทย เป็นแม่พิมพ์กำหนดบทบาทศิษย์ เป็นผู้ชี้แนวชีวิตที่ฝันใฝ่ เป็นผู้นำพาชาติปราศพิษภัย ค่ายิ่งใหญ่เกินกล่าวขานคืองานครู
ประวัติของฉัน ฉันชื่อ นางสาวชลธิดา นามสกุล มะลาคุ้ม ชื่อเล่นๆ ชื่อแต้วค่ะ ฉันเกิดเมื่อ วันพุธ ที่21 เดือนมีนาคม พุทธศักราช 2533 ปีมะเมีย ฉันเป็นคนราศีมีน กรุ๊ปเลือดของฉันกรุ๊ป A ฉันเกิดที่โรงพยาบาลข่อนแก่น แต่ฉันอาศัยอยู่บ้านหนองโก หมู่ที่ 10 ตำบลแพงอำเภอโกสสุมพิสัย จังหวัดมหาสารคาม รหัสไปรษณีย์ 44140 บ้านของฉันอยู่ใกล้กับโรงเรียนบ้านหนองโก หมู่ 10 จึงได้ชื่อว่า คุ้มโรงเรียน บ้านของฉันมีฐานะพอใช้ ไม่รวย ไม่จนถึงขั้นอดอยาก บ้านของฉันเป็นบ้านไม้ หน้าบ้านมีต้นมะข้าม 3 ต้น ตรงข้ามกับบ้านหลังสีชมพู ครอบครัวของฉันมี 5 คน มีพ่อ แม่ ตา และน้องสาว พ่อฉันชื่อ นายวิชัยมะลาคุ้ม แม่ฉันชื่อ นางพิมล มะลาคุ้ม ทั้งสองมีอาชีพทำนา ถ้าว่างจากการทำนาก็รับจ้างทั่วไป ตอนนี้กำลังรับจ้างตัดอ้อย พ่อกับแม่ต้องลำบากเพื่อให้ฉันได้เรียนหนังสือ มีอนาคตที่ดี ส่วนน้องสาวชื่อนางสาวสุพัตรา มะลาคุ้ม ชื่อเล่น น้องตุ้ม ตอนนี้ไม่เรียนแล้ว ตาของฉันชื่อนายบุญลอด ทวยดี มีอาชีพเป็นช่างตัดผมชาย ฉันเข้าเรียนที่โรงเรียนบ้านหนองโกตั้งแต่อนุบาล 1 จนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 และเข้าศึกษาต่อที่โรงเรียนมัธยมวัดกลางโกสุม ตอนฉันเรียนอยู่ที่โรงเรียนบ้านหนองโกฉันได้เงินไปโรงเรียนวันละ 10-15 บาท พอเค้าไปเรียนที่โกสุมได้วันละ 30-40 บาท บ้างวันฉันก็ห่อข้าวไปกินกับเพื่อนที่โรงเรียนด้วย ที่โรงเรียนมัธยมวัดกลางโกสุมอยู่ติดกับวนอุทยานโกสัมพี เวลากินต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ เด่วยลิงมันจะแย่งเอาไปกิน ที่โกสุมมีที่เที่ยวหลายที่เลย ก็ดังคำขวัญที่ว่า โกสุมพิสัยเมืองคนดี วนอุทยานโกสัมพีลือเลื่อง องค์พระมิ่งเมืองศักดิ์สิทธิ์งามจับจิตบึงกุย พอจบมัธยมศึษาปีที่ 6 แล้ว ฉันก็สอบเข้าเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม สาขาวิชาจิตวิทยา คณะศึกษาศาสตร์ แนดีใจและภูมิใจมากที่ได้เข้ามาในรั้มหาวิทยาลัยแห่งนี้ เพราะเป็นที่ที่ให้ความรู้ ความอบอุ่น เปรียนเหมือนบ้านหลังที่สองก็เป็นได้ กล่าวถึงเรื่องของความรัก ฉันมีแฟนตั้งแต่อยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ตอนนั้นไม่รู้เลยว่าความรักเป็นอย่างไร ตอนนั้นพี่เขาอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ถ้าจะพูดว่าแฟนก็คงไม่ใช่ พี่เขาก็เปรียบเหมือนพี่ชายที่แสนดีคนหนึ่ง จนพี่เขาเรียนจบแล้วไปเรียนต่อที่อื่นก็ไม่ได้ติดต่อกัน จนฉันก็มีคนใหม่เขามาตอนนั้นฉันอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 พี่เขาก็อยู่ชั้นมัธยมศึษาปีที่ 3 ตอนนั้นยังไม่มีโทรศัพท์ ก็จีบกันโดยการเขียนจดหมาย พี่
เขาเขียนหาฉันทุกวัน และทุกครั้งที่มีจดหมายมาก็จะมีลูกอมรูปหัวใจติดมาด้วย ถ้าวันไหนไม่มีจดหมาย อย่างน้อยก็ตรงมีลูกอม ไม่อย่างได้ก็อย่างหนึ่ง ถ้าไม่มีก็ถือว่าแปลกนะ จนกระทั่วันหนึ่งความหางเหินก็เริ่มเข้ามาแทรกระหว่างเรา เพราะพี่เขามีคนใหม่ที่สวยกว่าฉัน (มั้ง) แล้วเราก็เลิกกันจริงๆแต่ก็ไม่เคยมีคำว่าเลิกกันเลย พอฉันอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ก็มีอีกคนเข้ามาเขาทำให้ฉันรู้ว่า รัก มีค่าแค่ไหน เราเริ่มจากเพื่อนกันตั้งแต่อนุบาล เขาโทรหาฉันทุกวันขนานเรียนห้องเดียวกัน ก็ยังโทร คนมันรักทำไงได้ จนเรียนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เราก็แยกกันต่างคนก็ต่างไปเรียนต่อคนละที่ เขาเข้ามาเรียนที่เทคนิคมหาสารคาม ส่วนฉันก็เรียนที่โกสุมพิสัย แต่ระยะทางก็ไม่ใช่อุปสรรคเขาก็โทรหาทุกวัน วันเสาร์ อาทิตย์ ก็มาหาฉันที่บ้าน เราคบกันมา 5 ปีแล้ว แต่ใน 5 ปีนี้เขาก็มีคนอื่นอยู่ตลอด แต่ฉันก็ไม่คิดจะมีใหม่เลย ฉันรอรอจนในที่สุดเขาก็กลับมาหาฉัน จนใครๆก็หาว่าฉันนั้นเป็นคนงมงาย ชีวิตรักของฉันเข้ากับเพลง งมงาย ของบอดี้แสลม ที่ร้องว่า เนิ่นนานเท่าไรไม่รู้ที่รอเธอ ฉันจำไม่ได้ ที่จำได้ดีคือฉันมีเพียงเธอ แม้นานสักแค่ไหน เธออยู่ที่ใดยังรักกันไหม ฉันไม่รู้ แต่ที่รู้คือฉันนั้นยังไม่เปลี่ยนใจ ยังอยู่ตรงนี้ถึงแม้จะเหงาและเดียวดาย ไม่ผิดใช่ไหมที่ฉันจะยังรักเธอ ไม่ว่าเธอกับฉันวันนี้จะอยู่แสนไกล ก็ยังจะรออย่างมีความหวัง ยังคงไม่เปลี่ยนไป ไม่ว่าใครจะมองว่าฉันงมงาย ฉันก็ยังเหมือนเดิม เมื่อเธอมีทางชีวิตไม่เหมือนฉัน ฉันห้ามไม่ได้ แต่ฉันจะมีชีวิตเพื่อรอเธอ แม้วันสุดท้าย เกิดมาได้เจอคนที่ตามหามานานแสนนาน ทำให้รู้ว่าเธอมีค่ามากแค่ไหน จะอยู่ตรงนี้ถึงแม้ว่าฉันจะไม่เหลือใคร ไม่ผิดใช่ไหมที่ฉันจะยังรักเธอ ไม่ว่าเธอกับฉันวันนี้จะอยู่แสนไกล ก็ยังจะรออย่างมีความหวัง ยังคงไม่เปลี่ยนไป ไม่ว่าใครจะมองว่าฉันงมงาย ฉันก็ยังเหมือนเดิม จะรอแค่เธอถึงแม้ใครหาว่างมงาย ไม่ผิดใช่ไหมที่ฉันจะยังรักเธอ ไม่ว่าเธอกับฉันวันนี้จะอยู่แสนไกล
ก็ยังจะรออย่างมีความหวัง ยังคงไม่เปลี่ยนไป ไม่ว่านานเท่าไรยังมีเพียงเธอ (ไม่ผิดใช่ไหมที่ฉันมีเธอคนเดียวในหัวใจ) ไม่ว่ายังไง ฉันก็จะรักเธอ
ประวัติสวัสดีค่ะ ชื่อนางสาวธนภรณ์ นามสกุล พุทธรักษ์ ชื่อเล่น เร๊กๆ Mini< เกิดวัน อาทิตย์ ที่ 25 เดือน พฤศจิกายน พ.ศ. 2533 อายุ 19 ปีบ้านเลขที่ 41/6 ม.11 ต.หญ้าปล้อง อ. เมือง จ.ศรีสะเกษ 3300มีพี่น้อง 3 คน เป็นบุตรคนที่ 3บิดา ชื่อ นายอุดม นามสกุล พุทธรักษ์ ประกอบอาชีพ ทำนามารดา ชื่อ นางมาลัย นามสกุล วงศ์อนุ ประกอบอาชีพ รับราชการครูประวัติการศึกษา เรียนอนุบาล1- ชั้นประถมศึกษาที่1 ที่ โรงเรียนบ้านแข้ อ.อุทุมพรพิสัย จ.ศรีสะเกษเรียนชันประถมศึกษา 2- 6 ที่ โรงเรียน อนุบาลวัดพระโต อ.เมือง จ.ศรีสะเกษจบมัธยมศึกษาที่ 1- 6 ที่ โรงเรียนสตรีสิริเกศ อ.เมือง จ.ศรีสะเกษเรียนสาย ภาษา,สังคมปัจจุบันศึกษาที่ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม M.S.U.คณะ ศึกษาศาสตร์ สาขา จิตวิทยา PSY.” รหัสนิสิต 52010517067 ####พักหอเบญจมาศ ห้อง117 นะคะ }ชอบ – ก้านคะน้าทุกรูปแบบ,แจ่วกับผักลวก,ส้มตำเผ็ดๆ แซ่บหลายยย ]]- *ควาย ย(กระบือ), ลิงน้อย ,กระต่าย ย<< รักสุด มั๊ก ค๊า 55+- CHE GUEVARA, BOB MARLEY - หมอลำ < หน้า ฮ้าน น เอิ๊ก ๆ ; ) - พงษ์สิทธิ์ คัมภีร์,มาลีฮวนน่า (ขาเพื่อมาโล้ด๑)- PARADOX, PLAMME, SLOTMACHINE- เพลง ที่ว่าง ของ โจ้ วง พอส T_T- โดม ปกรณ์ ลัม, ยิปซี คีรติ, zee มัฑณาวี- Free Dom อิสระ // ตามจัยคุณ ..*
เกลียด- ข้าวหมูแดง –$- สีฟ้า :[- DORAEMON .s.- POLICT ยิ่งหนี ยิ่งเจอ wo.” - แดด” ร้อน ‘เหงื่อ (ไม่ไหวค๊า)คติ ~ เล็กน้อย ที่ ยิ่ง ใหญ่ ))))) เย้ ..E-mail >>lekyza@hotmail.com โทร 0 8 8 3 0 0 1 5 8 8 เรื่องราวเล็กๆน้อยๆ ขอ แทน ตัวเอง เป็นชื่อเล่น นะค่ะเร๊ก เป็น คน จังหวัดศรีสะเกษ แต่ กำเนิด เท่า ที่ จำความได้ ตอนนั้น อาศัย อยู่ที่ บ้านโนน บ้านเลขที่74 ม.2 ต.แข้ อ.เมือง จังหวัดศรีสะเกษ 33120 ช่วง เวลานั้นมี ความสุขมากค่ะ มีพ่อ แม่ และพี่สาวอีกสองคนพี่สาวทั้งสองอายุห่างกัลป์ ประมานสองปี ส่วนน้องเร๊ก ห่าง จากพี่คนโต หกปี ห่างจาก พี่คนกลางสามปี เราแต่ละคน นิสัยแตกต่าง กัน และหน้า ตาก็ แตกต่างกันด้วย อิอิตอนเด็กๆ ชอบเล่น ตุ๊กตา มากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ชอบ อยู่ในห้วง แห่งการแสดงละครชอบ เล่น พูดคนเดียว เป็นๆได้ หลาย ตัวละคร ^^ เสาร์อาทิตย์ วันหยุด ว่างๆ ชีวิต เร๊ก ก็ไม่มีอารัย นอกจาก การที่ได้อยู่ กับตุ๊กตามากมาย แสนรัก ตุ๊กตาทุกๆ ตัว มีชื่อและเร๊กจำได้หมดทุ๊กๆๆ ตัว หากตัวใด หายไปละก็...อิอิ รู้เลยทันที!วันๆ ไม่ค่อย มี สาระ และแม่ ชอบ บ่น ว่า เราไม่ชอบกินข้า ว เอาแต่ เล่นตุ๊กตาแต่ เรื่อง ขนม เนี่ย มาก่อน เลย นะ ฮ่าๆ ชอบๆค่ะ ชอบ ๆชอบกินขนมเป็นชีวิตจิตใจหรือเรียกง่ายๆว่า โต มากับ ขนมเลยละคะ เอิ๊กๆ <<ช่วงเวลาที่อยู่ บ้าน โนน ก็ได้เรียนที่ โรงเรียนบ้านแข้ ขอบอกว่าสนุกมากๆค่ะ จริงๆเป็นความทรงจำ ที่ เยี่ยม ที่สุด เรื่องหนึ่ง เลยทีเดียว อิๆ ตอนที่เรียนที่นั่น เป็นเด็กน้อยๆที่มีแวว การ แสดง ค่ะ ชอบๆ ได้เป็น ตัวเด่นๆ เลย เอิ๊กๆ เพื่อนๆ ทุกคนก็ นิสัยดีมีความสุขมากมาย ค่ะ เวลามาโรงเรียน ก็จะมากับคุณแม่ แล้วเราก็ ไปเข้าแถวร้องเพลงชาติ สวดมนต์ไหว้พระ แบบ ว่า ตื่น แต่เช้า แบบสดใส อิอิแระ ก็เข้า เรียน คุณครู ก็มี กิจกรรมให้ ตลอด แระพักเที่ยงก็ พากัน กิน ข้าว ที่ ห่อ มาจากบ้าน แต่ ละคน ก็จะ มีกับข้าว แต่ละอย่าง มาแบ่งๆ กินด้วยกัน
เป็นความประทับใจอย่างนึง อิอิ และ ก็เล่นกันสักพัก พอจะบ่ายโมง ครุ ก็จะมา เคาะระฆัง<<สมัยนั้นยังเป็นระฆังอยู่เลย แฮ่ๆ เกิดทันคร๊าๆ ^^แล้ว ก็ รีบ วิ่งมา เข้าแถว เรียง กัน เป็นชั้น เพื่อ มาแปลงฟัน ตรวจ เล็บ ตรวจ ความเรียบร้อย ความสะอาด ครูเวร จะตรวจ แล้ว ก็ กลับมา นอน ที่ห้องนอน ของเด็ก อนุบาล อิอิตื่นมา บ่ายสาม ล้างหน้า ทาแป้ง รับ นม รอ ผู้ปกครองมารับ.” กลับบ้าน^^
ส่งยังไงหรอ..แล้วเปิดอ่านยังไง
เคยคิดอยู่เหมือนกัน...ว่าทุกวันนี้ฉันต่อสู้เพื่อใครเพื่อตัวฉันเองใช่ไหม?หรือเพื่อลมหายใจที่เฝ้ารอ..สรุปแล้วก็คงเป็นทุกๆ อย่างก็มีบ้างที่ฉันท้อกับอุปสรรค์มากมาย...ที่เฝ้ารอเพราะอะไรคงไม่สำคัญเท่า...กับการที่เราต้องต่อสู้เพื่อความฝันเพื่อทำให้มันเป็นจริงให้ได้...เพื่อเรา..เพื่อใคร...บางคนข้างหลังที่คอยชื่นชม
ข้าพเจ้าชื่อนางสาวจุฬาลักษณ์ ศรีเฉลิม อายุ 18 ปี เกิดเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2534 เป็นคนจังหวัดร้อยเอ็ด อยู่บ้านเลขที่ 1 หมู่ 2 บ้านคำพระ ต.นานวล อ.พนมไพร จ.ร้อยเอ็ด ครอบครัวของข้าพเจ้ามีด้วยกันทั้งหมด 4 คน มีพ่อ แม่ พี่ชายและตัวข้าพเจ้า ตั้งแต่ที่ข้าพเจ้าจำความได้ครอบครัวของข้าพเจ้าไม่เคยอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันเลย แม่เล่าให้ฟังว่าตอนที่ข้าพเจ้ายังเป็นเด็กตั้งแต่คลานจนถึงอนุบาลแม่จะฝากข้าพเจ้ากับพี่ชายไว้ให้ยายเลี้ยงทุกครั้งที่พ่อกับแม่ไปทำงานแต่ตอนนี้ยายข้าพเจ้าได้เสียชีวิตไปแล้วเมื่อเดือนกันยายนในปีที่ผ่านมานี้เอง ตั้งแต่เด็กชีวิตของข้าพเจ้ามีความสุขมากที่ได้อยู่กับครอบครัวแต่ก็น่าเสียดายที่ข้าพเจ้าจำหน้าของพี่ชายแทบไม่ได้ ได้แต่มองดูรูปใบเก่าๆใบหนึ่งที่ข้าพเจ้ากับพี่ชายถ่ายคู่กันภาพในรูปนั้นข้าพเจ้าน่าจะอายุประมาณ 2 ขวบ ส่วนพี่ข้าพเจ้าน่าจะอายุประมาณ 7 ขวบ ข้าพเจ้าจำอะไรไม่ได้เลยเกี่ยวกับพี่รู้แต่ว่ามีพี่ชายแต่ไม่เคยเห็นหน้า แม่เล่าให้ฟังว่าเมื่อพี่อายุได้ 9 ปีก็ต้องย้ายไปเรียนอยู่กับป้าที่จังหวัดอุดร ตั้งแต่นั้นมาข้าพเจ้าก็โตมาโดยไม่มีพี่ชายมาตลอดนับตั้งแต่นั้นครอบครัวของเราก็ใช้ชีวิตอยู่แค่สามคนมาโดยตลอดนานๆครั้งที่พี่จะกลับมา ข้าพเจ้ากับพี่จะเขียนจดหมายติดต่อกันตลอดเวลาเพราะในช่วงนั้นครอบครัวของเราไม่มีโทรศัพท์ใช้และทุกครั้งที่ได้รับจดหมายข้าพเจ้าจะดีใจเหมือนได้รับรางวัลตอบแทนจากการเฝ้ารอ ขณะที่ข้าพเจ้าอยู่กับพ่อแม่นั้นตั้งแต่เด็กข้าพเจ้าก็จะทำงานบ้านช่วยแบ่งเบาภาระท่าน พ่อกับแม่ของข้าพเจ้ามีอาชีพเป็นชาวนา ว่างๆจากการทำนาแม่ก็จะทำขนมขายข้าพเจ้าก็จะช่วยแม่ทำและเดินไปขายตามบ้านแต่ละหลังส่วนพ่อก็จะทำงานเกี่ยวกับพวกก่อสร้างบ้างวันมีงานหนักพ่อก็ทำทั้งวันกว่าจะกลับบ้านมาก็มืด มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ข้าพเจ้าจำได้ขึ้นใจ ตอนนั้นข้าพเจ้าน่าจะอายุประมาณ 7-8 ขวบ ช่วงนั้นเด็กๆกำลังชอบเล่นถุงลมที่คล้ายๆลูกโป่งแต่มันจะเรียวยาวถ้าเป่าด้วยปากคงไม่ไหวแน่ วันนั้นข้าพเจ้าซื้อมาเล่นข้าพเจ้าจึงคิดเอาพัดลมมาเป่าให้ลมมันเข้าและตอนนั้นข้าพเจ้าอยู่คนเดียวแม่ทำขนมอยู่ข้างนอกบ้านข้าพเจ้าเลยเฉียบปลั๊กไฟแต่ปลั๊กมันหลวมข้าพเจ้าจึงใช้นิ้วกดเข้าไปลึกๆทำให้ไฟดูด ข้าพเจ้าถึงกับร้องไห้ขึ้นอย่างเสียงดังแม่รีบวิ่งมาหาข้าพเจ้าด้วยความรีบร้อนและตกใจทำให้แม่หกล้มต่อหน้าข้าพเจ้าอย่างแรงแต่แม่ก็ยังรีบลุกขึ้นมาด้วยความรีบเพื่อมาถอดปลั๊กไฟอีกตัวออกโดยไม่ห่วงว่าตัวเองเจ็บแค่ไหน ภาพในครั้งนั้นยังคงติดตาข้าพเจ้าอยู่เสมอคิดทีไรข้าพเจ้าถึงกับน้ำตาไหลคิดถึงแม่ทุกที นี้แหละที่เขาว่าความรักของแม่ยิ่งใหญ่เหนือสิ่งใดในโลก… พอข้าพเจ้าอายุได้ 11-12 ปี แม่ข้าพเจ้าก็ได้ขายของอยู่ที่ร้านค้ากองทุนของหมู่บ้านส่วนพ่อก็ได้เป็นผู้ใหญ่บ้านทำให้ข้าพเจ้าดีใจมากที่พ่อกับแม่ไม่ต้องทำงานหนักๆตากแดดอีกแล้ว ทุกครั้งที่ข้าพเจ้าเห็นพ่อกับแม่ทำงานหนักอยู่กลางแดดข้าพเจ้ายิ่งปวดใจและน้ำตาก็มักจะไหล
ออกมาทุกทีแต่ความดีใจก็อยู่ได้ไม่นานก็มีเรื่องทุกข์มาให้เพราะช่วงที่พ่อได้เป็นผู้ใหญ่บ้านพ่อจะติดเหล้ามากและทุกคืนพ่อก็จะเมากลับมาบ้านทุกวันบางครั้งข้าพเจ้ากับแม่ต้องไปตามกลับมาและทุกคืนพ่อกับแม่ก็จะทะเลาะกันหนักมากถึงขั้นจะตีกันข้าพเจ้าก็เหมือนกับกรรมการที่ต้องคอยวิ่งไปห้ามด้วยน้ำตาทุกครั้งจนกลายเป็นเรื่องปกติของชาวบ้านในระแวงนั้นแต่สำหรับข้าพเจ้าแล้วมันช่างโหดร้ายเหลือเกินและตั้งแต่นั้นมาข้าพเจ้าไม่ชอบเหล้าและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มาโดยตลอด บางครั้งข้าพเจ้าก็เห็นแม่แอบร้องไห้ข้าพเจ้าก็เข้าไปหาและได้แต่บอกแม่ว่าหยุดร้องเถอะแม่ตามประสาเด็กประถมศึกษาและทุกคืนข้าพเจ้าต้องนอนร้องไห้ทุกคืน ทุกๆเวลาตี 3 ข้าพเจ้าจะได้ยินเสียงอาบน้ำนั้นคือเสียงอาบน้ำของแม่ข้าพเจ้าเองเพราะแม่ต้องตื่นไปตลาดเพื่อซื้อของทั้งของสดและของชำเพื่อมาขายในตอนเช้าและเป็นอย่างนี้ทุกๆวันและในทุกเช้าของเด็กธรรมดาคนหนึ่งต้องคอยตื่นมาพร้อมพ่อตั้งแต่ตี 5 มานั่งนึ่งข้าวและทำกับข้าวจัดใส่ปิ่นโตเพื่อเตรียมไปโรงเรียนพอถึงตี 5 ครึ่งข้าพเจ้ากับพ่อจะข้ามถนนไปเปิดร้านจัดของรอแม่มา ร้านค้าจะอยู่ห่างจากบ้านประมาณ 4-5 เมตรและอยู่ฝั่งตรงข้ามบ้าน เมื่อแม่มาถึงข้าพเจ้าก็ช่วยแม่กับพ่อจัดของเพื่อเตรียมขาย พอถึงเวลา 6 โมงเช้าแม่ก็จะให้เงินไปโรงเรียนวันละ 2-5 บาทและที่เหลือข้าพเจ้าก็จะหยอดกระปุกจากนั้นข้าพเจ้าก็ไหว้พ่อแม่และรีบวิ่งข้ามถนนมาอาบน้ำแต่งตัวและกินข้าวเมื่อกินเสร็จก็เก็บถาดข้าวไว้ในตู้แล้วหยิบปิ่นโตคู่ใจไปเรียนพอเลิกเรียนมาก็ต้องมาทำงานบ้านให้เสร็จทุกครั้งก่อนที่จะไปเล่นเป็นอย่างนี้ทุกๆวัน ในช่วงชีวิตเด็กประถมศึกษาเป็นช่วงที่ข้าพเจ้าภูมิใจที่สุดเพราะว่าได้เป็นหัวหน้าห้องตั้งแต่ ป.3-ป.6และนอกจากนี้ยังได้เป็นตัวแทนในการเข้าประกวดแข่งขันต่างๆเช่น วาดภาพ เรียงความ ตอบปัญหา แต่ก็ไม่เคยได้รับรางวัลสักอย่างข้าพเจ้าก็อดยิ้มไม่ได้เมื่อนึกถึงสมัยนั้นแต่มีอยู่อย่างหนึ่งที่ข้าพเจ้าได้รางวัลและเป็นตัวแทนระดับตำบลเข้าไปแข่งในระดับอำเภอก็คือกีฬาวิ่งผลัดนั้นเอง ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ข้าพเจ้าภูมิใจและมีความสุขมากเพราะข้าพเจ้าสนุกกับมันสนุกกับการที่ได้ไปแข่งขันในที่ต่างๆ และมีอยู่ครั้งหนึ่งตอนนั้นข้าพเจ้าจำได้ว่าเป็นวันแม่พอเลิกเรียนเสร็จข้าพเจ้ารีบทำงานบ้านทันทีจากนั้นข้าพเจ้าจับจักรยานได้ก็รีบปั่นไปที่โรงเรียนเพื่อเก็บดอกเข็มมาร้อยเป็นพวงมาลัยให้แม่กับพ่อจากนั้นข้าพเจ้าก็กลับบ้านมานั่งร้อยพวงมาลัยอยู่บ้านจนดึกกว่าจะร้อยได้วันนั้นข้าพเจ้าจึงไม่ได้ไปเก็บของปิดร้านช่วยพ่อกับแม่พอพ่อกับแม่มาข้าพเจ้าก็บอกให้พ่อกับแม่นั่งลงจากนั้นข้าพเจ้าก็ก้มกราบที่ตักของแม่และพ่อพร้อมยื่นพวงมาลัยให้ความรู้สึกในช่วงนั้นข้าพเจ้ารู้สึกมีความสุขมาก
เวลาช่างผ่านไปเร็วเสียจริง เมื่อข้าพเจ้าจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 แม่ก็ให้ย้ายไปอยู่กับตายายที่จังหวัดศรีสะเกษเพื่อดูแลท่าน จากนั้นข้าพเจ้าก็ได้ย้ายไปอยู่กับตายายและเรียนต่อมัธยมศึกษาปีที่ 1 อยู่ที่นั้น วันแรกที่จากบ้านมาข้าพเจ้ารู้สึกใจหายและรู้สึกกลัวมากแต่พอได้อยู่สักพักข้าพเจ้าก็เริ่มหายกลัวเพราะตากับยายและญาติที่นั้นใจดีมากทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกอบอุ่นเหมือนกับบ้านตัวเองแต่ถึงอย่างไรข้าพเจ้าก็อดคิดถึงบ้านไม่ได้ทุกคืนข้าพเจ้าจะนอนร้องไห้ทุกครั้ง จนเวลาผ่านไปข้าพเจ้าก็เริ่มที่จะชินกับที่นั้นและปรับตัวได้เป็นอย่างดีทำให้ข้าพเจ้าไม่ค่อยร้องไห้บ่อยเหมือนแต่ก่อนและบ่อยครั้งที่พ่อกับแม่จะมาหาข้าพเจ้าทำไห้ข้าพเจ้ารู้สึกว่าท่านอยู่ใกล้ๆตลอดเวลาและทุกวันพ่อกับวันแม่ พ่อกับแม่จะลงมากราบตายายทุกปีจึงทำให้ข้าพเจ้ามีโอกาสได้กราบท่านด้วยวันนั้นข้าพเจ้าจำได้ขึ้นใจตอนนั้นข้าพเจ้าอยู่ ม.2 ข้าพเจ้าได้กราบที่เท้าแม่เป็นครั้งแรกข้าพเจ้ารู้สึกมีความสุขจนบอกไม่ถูกส่วนพ่อข้าพเจ้าก็ได้แต่ไหว้ไม่กล้าที่จะกราบเท้า ข้าพเจ้าคิดว่าในชีวิตนี้ข้าพเจ้าต้องกราบเท้าพ่อให้ได้ถึงจะกราบเท้าไม่ได้ก็ไม่สำคัญเพราะที่สำคัญคือการกระทำเราต่างหากที่จะไม่ทำให้ท่านต้องเสียใจและเป็นลูกที่ดีของท่านข้าพเจ้าคิดไว้เสมอ คิดแล้วข้าพเจ้าก็เกือบลืมช่วงที่ข้าพเจ้าเรียนอยู่ที่นั้นก็มีสิ่งที่ทำให้ข้าพเจ้าภูมิใจคือ ข้าพเจ้าได้รับรางวัลและเกียรติบัตรลูกกตัญญูดีเด่นโดยมีพระอาจารย์มามอบให้และไม่น่าภูมิใจที่สุดข้าพเจ้าก็เกือบตายอีกเช่นเคยชีวิตหนอชีวิตรอดมาเป็นคนได้จนถึงปัจจุบันนับเป็นบุญวาสนา…วันนั้นข้าพเจ้ามีเรียนวิชาพละอาจารย์สอนเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของร่างกาย จึงเป็นเหตุทำให้ข้าพเจ้าแขนหักเพราะลงผิดจังหวะ ข้าพเจ้าเห็นแขนตัวเองครั้งแรกนึกว่าไม่ใช่แขนยังกับไม้เสียบลูกชิ้นที่โดนหักไม่เป็นรูปเป็นร่างเอาเสียเลยข้าพเจ้าแทบจะเป็นลมได้แต่ยืนตกใจกับแขนตัวเองจากนั้นอาจารย์ก็พาไปโรงพยาบาลช่วงแรกมันไม่รู้สึกอะไรเลยแต่พอสักพักก็เริ่มรู้สึกปวดทันทีปวดจนหายใจไม่ออกทรมานสุดๆกว่าจะถึงโรงพยาบาล ข้าพเจ้าแทบกลั้นน้ำตาไม่อยู่แขนหักในครั้งนั้นทำให้ข้าพเจ้าเข้าเฝือกเกือบ 2 เดือนและมีอยู่ช่วงหนึ่งที่ทำให้ข้าพเจ้าเก็บไว้ในความทรงจำตลอดเพราะมันเป็นช่วงที่ข้าพเจ้าชอบก็คือการไปเข้าค่ายลูกเสือและทุกครั้งที่ข้าพเจ้ารู้ว่าจะได้เข้าค่ายข้าพเจ้าจะดีใจทุกครั้งเพราะข้าพเจ้าชอบการฝึกและการผจญภัยตอนนั้นได้ไปเข้าที่ค่ายทหารจังหวัดยโสธรยิ่งทำให้สนุกมากยิ่งขึ้นเพราะเป็นการฝึกของทหารข้าพเจ้านึกถึงตอนนั้นก็ทำให้อดคิดถึงไม่ได้… ในแต่ละครั้งเวลาก็มักจะล่วงเลยผ่านไป บางครั้งเราก็รู้สึกว่าเวลาทำไมช้าจัง บางก็ว่าเร็วจริงแล้วเวลามันก็เท่าเดิม วันหนึ่งมี 24 ชั่วโมงเท่าๆกันแต่ถึงอย่างไรข้าพเจ้าก็รู้สึกว่ามันเร็วต่อให้มันเป็นแค่ความรู้สึกก็ตาม…ขณะที่ข้าพเจ้าอยู่กับตายายก็มีความสุขแล้วและที่โรงเรียนข้าพเจ้าก็มีเพื่อนสนิทอยู่มากมายข้าพเจ้าสนุกกับที่
นั้นแต่แล้วความสุขก็อยู่ได้ไม่นานเมื่อข้าพเจ้าต้องย้ายไปอยู่ที่จังหวัดอุดรกับป้าและมาต่อมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่นั้นนับตั้งแต่นั้นมาข้าพเจ้าก็เรียนอยู่ที่จังหวัดอุดรจนจบมัธยมศึกษาปีที่ 6 ครั้งแรกที่ข้าพเจ้าย้ายไปอยู่ข้าพเจ้ารู้สึกตื่นเต้นมากไม่กลัวเหมือนแต่ก่อนนานๆครั้งที่ข้าพเจ้าจะร้องไห้คิดถึงพ่อแม่เพราะอยู่ที่นั้นมีที่เที่ยวเยอะมากทำให้ข้าพเจ้ารู้อะไรอีกมากมายส่วนพี่ชายของข้าพเจ้าก็จบจากอุดรแล้วก็ไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยมหิดลทำให้ป้าไม่มีเพื่อน วันแรกที่ข้าพเจ้าย้ายเข้าไปเรียนข้าพเจ้ารู้สึกตื่นเต้นมากเพราะเป็นเด็กใหม่ของห้องกลัวจะไม่มีเพื่อนที่ไหนได้เด็กในเมืองมีแต่คนใจดีและน่ารักทั้งนั้นทำให้วันแรกของการเข้าเรียนเป็นไปอย่างราบรื่น พอข้าพเจ้าเรียนได้สักพักข้าพเจ้าก็เริ่มปรับตัวเข้ากับเพื่อนๆได้เกือบทั้งห้องส่วนอยู่ที่บ้านข้าพเจ้าก็ยังกลัวๆอยู่เพราะป้าเป็นครูสอนภาษาไทย ป้าของข้าพเจ้าโหดมากๆเวลาข้าพเจ้าจะทำอะไรต้องระวังตลอดเวลาและทุกเลิกเรียนข้าพเจ้าก็ต้องมาทำงานบ้านให้เรียบร้อยก่อนออกไปไหนเพราะป้าข้าพเจ้าเป็นคนเจ้าระเบียบมากจนทำให้ข้าพเจ้าโดนดุว่าหลายชุดในช่วงแรกๆทำให้ช่วงนั้นข้าพเจ้ารู้สึกเก็บกดมากทุกครั้งที่ข้าพเจ้าโดนป้าดุข้าพเจ้าจะแอบไปร้องไห้ทุกทีและจะโทรหาพ่อกับแม่เสมอและเวลาก็ล่วงเลยผ่านไปทำให้ข้าพเจ้าปรับตัวเข้ากับที่บ้านได้และที่โรงเรียนส่วนทางบ้านนั้นนานๆครั้งที่ข้าพเจ้าจะได้กลับต้องรอกลับพร้อมป้าในช่วงเทศกาลหรือวันสำคัญและทุกๆวันพ่อวันแม่ข้าพเจ้าก็จะโทรไปบอกรักพวกท่าน มีหลายอย่างที่ทำให้ข้าพเจ้ามีความสุขเมื่อนึกถึงไม่ว่าจะการได้ไปเที่ยวในที่ต่างๆที่ป้าพาไปไม่ว่าจะเป็นภูฝอยลม หอนางอุษา วัดหลายๆที่ ฯลฯ ข้าพเจ้าชอบธรรมชาติชอบภูเขา น้ำตก ป่าไม้ ดอกไม้ แม่น้ำทุกอย่างที่เป็นธรรมชาติในที่เงียบๆมีแต่เสียงของนกถ้าจะให้เลือกไปไหนสักแห่งข้าพเจ้าขอเลือกไปที่ที่มีสิ่งเหล่านี้และสิ่งเหล่านี้ก็จะอยู่ในความทรงจำของข้าพเจ้าตลอดไปเมื่อข้าพเจ้าได้พบเห็นทุกครั้ง ในขณะที่โรงเรียนนั้นข้าพเจ้าก็มีเพื่อนมากมายไม่ว่าจะเป็นทั้งรุ่นพี่รุ่นน้อง ข้าพเจ้ามีเพื่อนที่สนิทจริงๆมีอยู่สามคนที่ไปไหนไปกันคิดแล้วก็คิดถึงสมัยตอนอยู่มัธยมศึกษาตอนปลายที่วันๆมีแต่เล่นๆเรียนๆยิ่งนับวันข้าพเจ้ายิ่งนับถอยหลังเมื่ออยู่ในช่วง ม.6 เป็นช่วงที่ข้าพเจ้าจะเก็บทุกเรื่องราวเก็บไว้เป็นความทรงจำไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวของเพื่อนๆเรื่องของอาจารย์ ห้องเรียน โรงอาหาร ทุกที่ที่เป็นโรงเรียนข้าพเจ้าจะจดจำไว้ตลอด ในที่สุดวันที่ข้าพเจ้าๆไม่อยากให้เกิดมันก็เกิดขึ้นเมื่อทุกคนจบจากโรงเรียนแล้วต่างคนก็ต่างจากไปทำหน้าที่ของตัวเองวันแห่งการอำลาเป็นวันที่ข้าพเจ้าจดจำไว้ตลอดเวลาภาพที่ทุกคนยิ้มด้วยความดีใจที่จบแล้วและภาพที่ทุกคนกอดคอกันร้องไห้…ส่วนตัวข้าพเจ้าปัจจุบันก็ได้ศึกษาต่อชั้นปีที่ 1 สาขาจิตวิทยา มหาวิทยาลัยมหาสารคามและนับจากนั้นข้าพเจ้าต้องปรับตัวให้ได้กับการใช้ชีวิตในรั้ว
มหาวิทยาลัยครั้งแรกที่ข้าพเจ้าอยู่ก็รู้สึกตื่นเต้นกับการได้ใช้ชีวิตและไม่ชินกับการได้อาศัยอยู่กับเพื่อนหลายๆคนจนในบางครั้งข้าพเจ้าอยากกลับบ้านแต่พอนานไปอะไรๆก็ดีขึ้นข้าพเจ้าเริ่มชินกับการอยู่กับเพื่อนส่วนที่มหาวิทยาลัยข้าพเจ้าก็ปรับตัวได้เช่นเดียวกันไม่ว่าจะเป็นเรื่องเพื่อน การเดินทางไปเรียน เวลาเรียนที่ไม่สม่ำเสมอเหมือนตอนเรียนมัธยมฯยิ่งเวลาผ่านไปก็ทำให้ข้าพเจ้าได้รู้อะไรหลายๆอย่างเกี่ยวกับชีวิต ในบางครั้งข้าพเจ้าก็เคยคิดว่ายิ่งเราไปอยู่ที่แห่งหนใดเราย่อมมีเพื่อนก็เหมือนกับทุกคนในโลกนี้เป็นเพื่อนกันอยู่แล้วแต่จะมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับโอกาสและปัจจัยในด้านต่างๆนั้นเองและบางครั้งข้าพเจ้าก็เคยคิดว่าเมื่อไหร่ที่ข้าพเจ้าจะได้อยู่ดูแลพ่อแม่เต็มที่เสียทีมีแต่ย้ายไปไหนต่อไหนแต่คิดในทางกลับกันการที่ข้าพเจ้าได้ย้ายไปไหนที่ต่างๆก็ทำให้ข้าพเจ้าได้รู้อะไรหลายๆอย่างเช่นเดียวกันแต่ถึงข้าพเจ้าจะไม่ได้ดูแลท่านได้เต็มที่แต่มีสิ่งหนึ่งที่ข้าพเจ้าจะทำให้ท่านได้คือตั้งใจเรียนและไม่ทำให้ท่านต้องเสียใจนี้คือสิ่งที่ข้าพเจ้าคิดตลอดเวลาที่ข้าพเจ้าจากพวกท่านมาและช่วงไหนว่างๆข้าพเจ้าก็จะกลับบ้านข้าพเจ้าเคยคิดว่าชีวิตคนเราก็เหมือนกับการผจญภัยที่ต้องผ่านเรื่องราวต่างๆทั้งร้ายและดีแต่ถึงอย่างไรเราก็ต้องมีชีวิตอยู่เพื่อคนที่เรารัก…และทุกเรื่องราวที่ผ่านมาต่อให้มันจะเหลือเพียงแค่ความทรงจำแต่ข้าพเจ้าก็จะเก็บไว้ในความทรงจำไว้ตลอดเวลาไม่เคยลืม…
สวัสดีค่ะ ฉันชื่อนางสาวอนุชิดา คำสวัสดิ์ เพื่อนๆเรียกฉันว่า อาย(อยู่หรอ) ซึ่งเป็นชื่อที่พ่อแม่ของฉันตั้งให้ ฉันเกิดวันที่ 28 เมษายน 2534 ตอนนี้อายุ18ปีกับอีก9เดือน ฉันเป็นลูกคนเดียว ที่พ่อกับแม่รักและเลี้ยงดีมาก...........ฉันไม่ค่อยเอาแต่ใจเหมือนลูกคนเดียวทั่วไปนะ แต่กับพ่อก็มีบ้างกับแม่ไม่กล้า บางทีการที่เป็นลูกคนเดียวมันก็ดีนะเราได้รับความรักเพียงคนเดียว แต่บางครั้ง็เหงาไม่มีเพื่อนไม่มีใครมาเล่นด้วยแต่มันก็ไม่ใช่ปัญหาของฉันหรอกเพราะถ้าเหงาฉันก้อจะไปอยู่บ้านป้าซึ่งมีเพื่อนเยอะแยะเลย(พี่สาว2คนน้องชายอีก1) การที่ฉันเป็นลูกคนเดียวมันมีนิสัยนึงที่ติดตัวฉันมาตลอดคือฉันจะไม่ชอบให้ของที่เป็นของฉันกับคนอื่น ไม่ว่าจะเป็นของเพียงชิ้นเล็กๆ เช่นพวก ปากกา ดินสอ ฉันก้อไม่อยากให้คนอื่นไป พูดง่ายๆคือฉันเป็นคนที่หวงของ(แต่ก็ไม่เสมอไปนะ) และไม่ชอบให้ใครมายุ่งกับของที่ฉันสะสมไว้ ถึงแม้ฉันจะไม่ได้ใช้มันแล้วก็ตาม แต่ฉันก็ไม่อยากให้ใครใช้ เห็นคนอื่นใช้แล้วมันเคืองๆ(นิสัยไม่ดีเน๊อะ) คงเป็นเพราะว่าตั้งแต่ตอนเป็นเด็กๆแล้วฉันไม่เคยที่จะต้องแบ่งของให้ใคร เพราะเป็นลูกคนเดียว ฉันชอบมีเพื่อนเยอะๆนะเพราะมันสนุกดี การเรียนของฉันเหรอ...............ฉันเข้าเรียนอนุบาล1-ป.2 ที่โรงเรียนอนุบาลวันทา ที่กรุงเทพฯ ซึ่งต้องไปอยู่กับพ่อกับแม่ที่นั่นเลยได้เรียนที่นั่นชีวิตตอนนั้นจำได้ว่ามีความสุขมากๆเพราะยังเด็กอยู่ไม่มีอะไรให้คิด ได้ไปโรงเรียนเล่นกับเพื่อนๆตอนเช้า รถตู้ของโรงเรียนก็มารับ ตอนเย็นก้อมาส่ง และก็ไปเดินล่นกับแม่ซื้อของ มีครั้งนึงตอนอยู่อนุบาล3ฉันเคยโดนเพื่อนผู้ชายคนนึงแกล้ง วันนั้นเป็นวันที่ฝนตก รถก้อมาจอดถึงหน้าโรงเรียนคุณครูก็ให้นักเรียนเรียงแถวลงกันทีละคน พอตอนที่ฉันกำลังจะลงจากรถไอ้เด็กคนนั้นมันก็ผลักฉันจนตกรถลงไปกองกับพื้นที่มีน้ำขังอยู่เปื้อนไปหมดทั้งตัว ปากก็แตก เข่าก็ถลอก เจ็บมากๆเลยแต่ฉันไม่ร้องไห้ แต่แอบเจ็บใจนิดๆคุณครูก็พาไปเปลี่ยนชุดแล้วเอาชุดนักรียนไปซักให้ พอตอนเย็นกลลับไปเห็นหน้าแม่พอแม่ถามว่าทำไมถึงได้ใส่ชุดแบบนี้ฉันก็ร้องให้ใหญ่เพราะกลัวแม่จะด่าว่าโง่ที่ไปทำยังไงให้เขาผลัก เหตุการณ์นั้นฉันยังจำได้จนถึงทุกวันนี้เลย พอตอนจะขึ้นป.3ฉันก้อต้องย้ายกลับมาเรียนโรงเรียนที่บ้าน ตอนนั้นฉันถือว่าเป็นคนที่เรียนใช้ได้เลยที่เดียวล่ะแต่ขี้เกียจที่จะทำการบ้าน พอเริ่มชินกับสถานที่โตขึ้นมาหน่อย ก็ไปรงเรียนสาย ขี้เกียจเข้าเรียน บางครั้งก็หาข้ออ้างไม่เข้า
เรียน คือจะไปช่วยครูทำนู่นทำนี่อยู่ตลอดเลย แต่ฉันก้อสอบได้อันดับติดหนึ่งในสามตลอดเลยนะ พอมาถึงป.6ฉันก้อลงสมัครเป็นประธานนักเรียน มีขู่แข่งเป็นผู้ชายคนนึงซึ่งไม่ค่อยถูกกันอยู่แล้ว แต่เค้าก็ชนะฉันไปในที่สุด ด้วยการที่เขาขี้เกียจทำงานที่ครูสั่งหน้าที่ส่วนใหญ่จึงมาตกอยู่ที่ฉัน พอเรียนจบชั้นประถมศึกษา ฉันก็ต้องเตรียมตัวสอบเข้าม.1 ตื่นเต้นมาก เพราะต้องแข่งกับคนอีกตั้งมากมายและในที่สุดฉันก็สอบเข้าเรียนโรงเรียนประจำจังหวัดได้ นั่นคือ โรงเรียนกาฬสินธุ์พิทยาสรรพ์ ฉันสอบได้ที่113เขารับ120คนจากเด็กที่ตกจากการจับสลาก700คน พอมาสอบจัดห้องฉันไดอยู่ห้อง11มีทั้งหมด12ห้อง อิอิ............ ชีวิตตอนม.1ก็เรียบๆง่ายๆ ตื่นเช้ามาก็ไปเรียนพอเลิกเรียนก็กลับบ้านไม่ค่อยรู้จักใคร พอขึ้นม.2-ม.3 ก็ปีกกล้าขาแข็ง รู้จักคนนู้นคนนี้ รู้จั เพื่อนชวนไปไหนกไปเที่ยวกับเพื่อน ตอนอยู่ม.3 มารู้สึกว่าตัวเองติดเพื่อนมากๆกลับบ้านก็ไมตรงเวลาเพื่อนชวนไปไหนก็ไป โกหกแม่บ้างเป็นบางเวลา เพื่อนของฉันตอนมอต้น มีแต่คนที่แบบว่า แรง กันทั้งนั้นเลย แต่พอขึ้นมอปลายมา ฉันเลือกเรียนในสายวิทย์-คณิต สอบจัดห้องได้อยู่ห้อง5 ซึ่งมีแต่คนที่เรียนเก่งกันทั้งนั้นต่างจากตอนมอต้นมากเลย ฉันได้เจอเพื่อนใหม่ที่ดีมากๆไม่ใช่เด็กที่เรียนมากเกินไป เรียนก็ดีและชอบทำกิจกรรมด้วย เพื่อนจะคอยช่วยดึงฉันในด้านการเรียนตลอดผลการเรียนของฉันจึงค่อนข้างใช้ได้ ตอนแรกๆฉันมีเพื่อนสนิทอยู่ไม่กี่คน แต่พออยู่ไปนานๆเริ่มได้คุยกันและไปใหนมาใหนด้วยกันบ่อยขึ้น จึงทำให้ฉันมีเพื่อนที่สนิทกันมากๆ สนิทจริงๆถึง11คนด้วยกัน มีเรื่องอะไรคุยกันได้ทุกเรื่องจนถึงตอนนี้เราก้อยังนัดเจอกันอยู่บ่อยๆ ตอนฉันอยาม.5 ฉันเข้ามาอยู่หอพักมันเป็นบ้านของอาจารย์ ที่เป็นทั้งหอและโรงเรียงกวดวิชา อยู่ด้วยกันห้องนึงประมาณ 20 คน พอถึงเวาลา2ทุ่ม ทุกคนก็ต้องออกมาอ่านหนังสือรวมกัน โดยมีอาจารย์มานั่งคุมจนถึงเที่ยงคืน และห้ามนอนเกินตี2 มันเหมือนโรงเรียนประจำ แต่ก็สนุกดี ได้รู้จักกับเพ่อนต่างโรงเรียนเยอะแยะเลย ช่วงม.6 เป็นอะไรที่เครียดมากเลย เพราะต้องเตรียมตัวสอบเข้ามหาลัย ซึ่งต้องอ่านหนังสือเยอะมากๆช่วงนั้นฉันไม่ได้ลงสอบโควตาของมหาลันใหนเลย นอกจากม.ขอนแก่น ฉันลงคณะสัตวแพทย์ แต่ก็ไม่ได้ ร้องไห้หนักมากเลยตอนนั้น เพราะอยากเรียนมาก ชอบมากเป็นคววามใฝ่ฝันตั้งต่เด็กๆ พอถึงช่วงคะแนนแอดมิทชั่นออก ฉันก็ต้องตัดใจจากคณะนี้เพราะคะแนนไม่ถึง จึงเลือกลงในสาขาอื่น ฉันติดอันดับที่4 สาขาจิตวิยา ฉันก็ชอบเหมือนกันนะน่าสนใจดีชีวิตในรั้วมหาลัยของฉันน่ะหรอ สนุกสุดๆไปเลย ฉันได้ทำกิจกรรมเยอะแยะมากมายได้เรียนในวิชาที่แปลกใหม่ ตอนนี้ฉันมีความสุขมากๆเล๊ย..............
นางสาวชนากานต์ ยานุวงษ์ รหัส 521521003 คณะศึกษาศาสตร์ สาขา จิตวิทยาประวัติส่วนตัว ดิฉันชื่อ นางสาวชนากานต์ ยานุวงษ์ ชื่อเล่น ก้อย ประวัติการศึกษา อนุบาลหนึ่ง-สามศึกษาที่อนุบาลหลานย่าโม จังหวัดนครราชสีมา ชั้นประถมปีที่หนึ่ง -หก โรงเรียนเมืองนคราชสีมา จังหวัด นคราชสีมา ชั้นมัธยมศึกษาปีหนึ่ง -หก โรงเรียนเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระศรีนครินทร์ ร้อยเอ็ด ปัจจุบันอายุ สิบเก้าปี กำลังศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม คณะศึกษาศาสตร์ สาขา จิตวิทยา ที่อยู่ บ้านเลขที่ 110/20 ตำบล โพธิ์สัย อำเภอ ศรีสมเด็จ จังหวัด ร้อยเอ็ด บิดาชื่อ สิบเอกสิทธิพงษ์ ยานุวงษ์ อาชีพ รับราชการที่ค่ายสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช จังหวัดร้อยเอ็ด มารดาชื่อ นางรัชนีวรรณ ยานุวงษ์ อาชีพ แม่บ้าน ดิฉันเป็นคนร่าเริง สนุกสนาน สบายๆ ชอบ สีชมพูมากที่สุด ดิฉันเป็นลูกคนเดียว ด้วยความที่เป็นลูกคนเดียว ก็จะเอาแต่ใจบ้าง นิดหน่อย ในประวัติส่วนตัวนี้ ก็มีความรู้สึกเก่าๆที่เคยได้เจอ ได้ประสบมา ดิฉันชอบการไปเข้าค่ายในที่ต่างๆ เช่น การเข้าค่ายพักแรมของค่ายทหาร ที่มีทหารมาฝึกฝนให้เรามีความอดทน สามัคคีกัน มีกระโดดหอสูง แต่อันนี้ ตั้งแต่เข้ามาค่ายไม่เคยกระโดด มีเหตุผลเดียวก็ คือ กลัว แต่เห็นคนอื่นกระโดดก็สนุกแล้ว การเข้าค่ายธรรมะ ตามวัดๆต่าง การเข้าค่ายแบบนี้ ก็มีความสุขอีกอย่างหนึ่ง เงียบ สงบ ได้ฝึกให้เราทำจิตใจให้สงบ ฝึกธรรมะ ได้ความรู้เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา หลักธรรมคำสั่งสอนต่างๆ การนั่งสมาธิ การเดินจงกรม หรืออื่นๆ ช่วยให้เรามีจิตใจที่นิ่งขึ้น ก็สนุกไปอีกแบบหนึ่ง แต่การไปเข้าค่ายในที่ต่างๆ ก็จะมีประทับใจบ้าง หรือน่าเบื่อไป ที่ประทับที่สุด ก็คือ ตอนอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่หก โรงเรียนนครราชสีมา พาไปเข้าค่ายที่ค่ายยุวกาชาดและลูกเสือ ใกล้ๆ เขื่อนลำตะคอง เดินทางไปก็นั่งรถไฟที่ สถานีรถไฟจิระ สถานีรถไฟของนคราชสีมา เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เคยได้ขึ้นรถไฟ บรรยากาศของเขื่อนลำตะคองสุดๆๆสวยๆๆมากมาย โอบล้อมไปด้วยภูเขา เขียวๆๆ น้ำใสๆ พอถึงที่พัก มองไปรอบๆมีแต่ภูเขา ดิฉันก็จัดแจงหาที่นอน วางกระเป๋า แล้วครูฝึกก็เรียกรวม เพื่อนัดหมายกำหนดการในการเข้าค่าย บอกกฎระเบียบ ข้อบังคับต่างๆในการเข้าค่ายครั้งนี้ อาหารที่ค่ายนี้ ก็น่ากินสะเหลือเกิน นั่งรถมาเหนื่อย ก็เลยกินหมดจานเลยทีเดียว หลังจานกินข้าวเสร็จ ครูฝึกก็เรียกรวมกันอีกครั้ง เพื่อทำกิจกรรมในช่วงเช้า นั่นก็คือ การทดลองตาม ฐานฝึกต่างๆ เช่น กระโดดหอสูง การหาเข็มทิศ การตามหาสิ่งของต่างๆที่ครูได้ซ่อนไว้ ทำให้เราได้ฝึกความสามัคคีกับเพื่อน ตกเย็นมา ก็เป็นกิจกรรม วิ่งรอบกองไฟ กิจกรรมนี้ ดิฉันก็ได้มีส่วนตัวในการ เป็นตัวแสดง ในการแสดงละคร เราซ้อมกันมาแค่วันเดียว ก็มีผิดพลาดบ้าง แต่ผ่านพ้นไปด้วยดี และก็มีอีกหลายกิจกรรมการเข้าค่ายที่ประทับใจ ดิฉันก็จะเขียนบรรยายในที่ต่างๆที่เคยได้ไปมา
ย้อนอดีตเล่าวันวาน เรื่องราวของฉันเองเข้าค่ายโครงการอบรมปลูกต้นตะกูเฉลิมพระเกียรติ การได้ไปเข้าค่ายโครงการอบรมปลูกต้นตะกูเฉลิมพระเกียรติ ที่นิคมสร้างตนเองห้วยหลวง ตำบลกุดจับ จังหวัดอุดรธานี เป็นความประทับใจอย่างมาก พอไปถึงที่นิคมสร้างตนเองห้วยหลวง ฝนก็กำลังตกพร่ำ ๆ เราก็ไปอบรมการเพาะปลูกกับหน่วยงาน ผู้ดูแล เกษตรกรและประชาชนทั่วไป ให้มีความรู้ความชำนาญในการเพาะปลูก ดูแลและขยายพันธ์ ซึ่งในการอบรมนั้นทางมูลนิธิได้เชิญผู้เชี่ยวชาญด้านพืชสวนป่าจาก มหาวิทยาลัยขอนแก่น มาบรรยายให้ความรู้และคำแนะนำในการปลูก รวมทั้งจัดให้มีผู้เชี่ยวชาญให้คำปรึกษา แนะนำด้านการเพาะปลูกด้วยและร่วมทำกิจกรรมต่างๆ ที่ทางค่ายได้จัดไว้ให้เราร่วนสนุกกัน และหลังจากนั้น วิทยากรก็ได้พาเราไปดูพันธุ์ไม้ต่างๆ ที่อยู่ในบริเวณนั้น วันรุ่งขึ้นเราก็ได้เข้าไปปลูกต้นมหาเศรษฐี (ต้นตะกู) ซึ่งเป็นไม้ยืนต้นโตเร็ว ที่กรมป่าไม้ได้จัดพื้นที่ให้เราไว้ปลูก เราต้องขนต้นตะกูเข้าไปในพื้นที่ ที่เราปลูกเอง พวกเราปลูกป่ากันสนุกมาก และโรงเรียนของเรายังเป็นโรงเรียนที่ปลูกต้นตะกูได้เยอะที่สุดอีกด้วย การที่เราเข้าโครงการในครั้งนี้เพื่อเป็นการลดความรุนแรงของปัญหาภาวะโลกร้อน โดยได้ส่งเสริมให้มีการปลูกป่าทุกชนิดให้มีการพัฒนา และขยายพันธ์ไม้ให้มีความเหมาะสมในการปลูกในแต่ละพื้นที่ ส่งเสริมให้มีการอนุรักษ์ดิน น้ำ และสิ่งแวดล้อม และยังเป็นการเชื่อมโยงให้องค์กรทั้งภาครัฐ-เอกชนและประชาชน ให้ร่วมกันลดภาวะโลกร้อนด้วยการปลูกต้นไม้อยากจะบอกให้เพื่อนได้รู้ว่า "ต้นไม้" นั้นมีความสำคัญต่อประเทศเรามากเพราะต้นไม้ผลิตดอกออกผลเป็นอาหารแก่สัตว์และมนุษย์ การปลูกต้นไม้เป็นการทดแทน แผ่นดินที่เราได้เกิด และได้อยู่อาศัย ถึงแม้มันจะไม่มากมายนัก แต่ก็ยังดีกว่าเราไม่ได้ทำอะไรเลย โครงการอบรมธรรมที่ศูนย์ปฏิบัติธรรมสวนเวฬุวัน จังหวัดขอนแก่นทางโรงเรียนได้จัดโครงการอบรมธรรมที่ศูนย์ปฏิบัติธรรมสวนเวฬุวัน จังหวัดขอนแก่น (สาขาของวัดอัมพวัน จังหวัดสิงห์บุรี ) ขณะนั้นข้าพเจ้ากำลังศึกษาในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โดยมีพระอาจารย์ไก่เป็นวิทยากรหลัก อบรมสั่งสอน ให้คำแนะนำ และดูแลการปฏิบัติธรรมของนักเรียน การไปเข้าค่ายโครงการบรมธรรมที่ศูนย์ปฏิบัติธรรมสวนเวฬุวัน จังหวัดขอนแก่น เป็นความประทับใจอย่างหนึ่งที่มิอาจลืมเลือน เพราะ บรรยากาศรอบๆ วัดในยามเช้าจะสดชื่น เงียบสงบ ปราศจากสิ่งรบกวน
กิจกรรมที่ทางโรงเรียนจัดไว้คือต้องนุ่งขาวห่มขาว รักษา ศีล 8 ทำวัตรเช้า-เย็นและปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานตามหลักสติปัฏฐาน 4 เช่น นั่งสมาธิ เดินจงกรม นอนสมาธิ ทำความสะอาดบริเวณต่างๆในศูนย์ฯตามเวรที่ได้รับมอบหมายด้วยความสำรวมและมีสติกำหนดจิตเป็นกรรมฐานไปด้วยตักบาตรและฟังธรรมะจากท่านพระอาจารย์ พุฒินาท อมรธมโม (หลวงพี่ไก่)เราก็ได้อะไรหลายอย่างจากหลวงพี่ไก่ ท่านบอกว่า การทำบุญ ประกอบด้วย 3 อย่าง คือ ให้ทานโดยการใส่บาตรถือเป็นการทำบุญขั้นต้น หากจะได้อานิสงส์มากกว่า ควรจะ รักษาศีล เพราะการรักษาศีล คือเราทำความดีจากการไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลัก ขโมย ไม่ประพฤติผิดในกาม ไม่พูดปด ไม่พูดส่อเสียด ยกย่องคนทำดี และไม่ดื่มสุรา ยาเสพติด และติดการพนัน แต่หากจะได้อานิสงส์สูงสุด คือ การปฏิบัติ ภาวนา หรือปฏิบัติกรรมฐาน การรักษาจิใจของตนเอง ด้วยการเฝ้ามองดูตนเอง จึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เพราะในแต่ละวัน เรามักจะต้องพบกับอะไรต่างๆมากระทบใจเราเสมอและอีกทั้งยังฟังธรรมะจากพระวิทยากร ซึ่งทันสมัยมาก มีคลิปวีดีโอที่น่าสนใจ และสะเทือนขวัญ เช่น คลิปล้อเลียนโฆษณาชวนคิด คลิปเรื่องกฎแห่งกรรม คลิปเรื่องอุบัติเหตุ คลิปเรื่องความไม่เที่ยงของสังขาร คลิปเรื่องการเกิดของมนุษย์ มีการให้นั่งสมาธิหลับตาฟังเรื่องพระคุณพ่อแม่ ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกซาบซึ้งมากๆ และนึกไปถึงสิ่งที่เคยทำผิดพลาดไป อยากปรับปรุงตัวเอง ไม่อยากทำให้ท่านต้องลำบากต้องเสียใจอีก ที่สำคัญคือเราได้เจอเพื่อนใหม่ๆและการมีน้ำใจให้กัน การที่เราอยู่ในสังคมได้จะต้องรู้จักเอื้อเฟื้อเพื่อแผ่ มีน้ำใจต่อสังคมหลังกลับจากการปฏิบัติธรรม รู้สึกได้ว่าตนเองมีวินัยในตนเองมากขึ้น มีความอดทนสูงขึ้น ดูสงบ สุขุม ใจเย็นขึ้น รู้สึกละอายชั่วกลัวบาปมากขึ้น จะพูดจะทำอะไรก็จะคิดให้ดีขึ้น โดยเฉพาะการพูดหรือทำอะไรให้คุณพ่อคุณแม่ จะระมัดระวังตัวเองมาก เถียงน้อยลง ดูแลท่านมากขึ้น ท่านใช้อะไรก็ทำทันที และสวดมนต์ไหว้พระบ่อยขึ้นบำเพ็ญประโยชน์ช่วยเหลือเด็กโรงเรียนบ้านไชยฟองที่ขาดแคลนในวันเด็กแห่งชาติ คุณครูสอนวิชาพระพุทธศาสนาได้จัดให้นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 บำเพ็ญประโยชน์ช่วยเหลือเด็กที่ขาดแคลนในด้านการเรียนการศึกษาและอุปกรณ์เครื่องใช้ในการประกอบการเรียนการสอน ที่โรงเรียนบ้านไชยฟอง อำเภอสร้างคอม จังหวัดอุดรธานี สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาจังหวัดอุดรธานี เขต 1โรงเรียนบ้านไชยฟอง เป็นโรงเรียนขนาดเล็ก ห่างไกลและกันดาร ชุมชนและครอบครัวของนักเรียนมีฐานะยากจน มีนักเรียน 63 คน ครู 4 คน ไม่มีผู้บริหารสถานศึกษา ซึ่งทางโรงเรียนไม่มี
งบประมาณในการจัดหาสื่อการเรียน เพื่อให้เด็กและเยาวชนเหล่านั้นมีโอกาสทางการศึกษา มีความเป็นอยู่และมีมาตรฐานชีวิตที่ดีขึ้น รวมไปถึงกิจกรรมด้านกีฬาคุณครูจึงให้นักเรียนที่มีจิตศรัทธาขอความอนุเคราะห์ บริจาคอุปกรณ์การเรียนหรือของเครื่องใช้ เช่น สุมด หนังสือ คอมพิวเตอร์ จักรยาน รองเท้า ฯลฯ ล้วนเป็นของที่นักเรียนไม่ใช้แล้วหรือไม่ต้องการ ให้แก่เด็กนักเรียนโรงเรียนบ้านไชยฟองคุณครูก็จัดกิจกรรมให้กับเด็กนักเรียนโรงเรียนบ้านไชยฟอง โดยการเล่นเกมส์ต่างๆ และมีการส่งเสริมด้านกีฬา ให้เด็กกลุ่มนี้เติบโตขึ้นมามีน้ำใจเป็นนักกีฬา มีระเบียบวินัย มีความรับผิดชอบในการเรียน การทำงาน และเป็นคนที่มีคุณภาพในทุกๆ ด้าน เพราะการเล่นกีฬา สิ่งที่จะได้รับนอกเหนือจากด้านสุขภาพแล้ว ยังรวมไปถึงการเรียนรู้เรื่องกฎ กติกา มารยาท ความมีน้ำใจนักกีฬา ทั้งยังสอนให้เด็กรู้จักการทำงานเป็นทีม การแบ่งปันทั้งในและนอกสนาม เมื่อเด็กได้สัมผัสกับกติกากีฬาแล้วยังเกิดความสามัคคีในหมู่คณะ สามารถนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้ในอนาคตให้เติบโตเป็นพลังสำคัญในการพัฒนาโลกให้มีความเจริญรุ่งเรืองต่อไปในภายภาคหน้า เพราะกีฬาเป็นเหมือนโรงเรียนแรกในชีวิตของเด็กๆ ที่จะได้รับการเรียนรู้ด้านต่างๆ ทั้งการเสริมสร้างพัฒนาการ การเจริญเติบโต และวิถีชีวิต หากได้รับการส่งเสริมให้เล่นกีฬาตั้งแต่เด็ก พวกเขาจะเติบโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพได้อย่างแน่นอน สำหรับเราแล้วการได้เห็นคนอื่นมีความสุข เราก็มีความสุขตามไปด้วยค่ายวัฒนธรรมไทยสายใยชีวิตได้เข้าร่วมกิจกรรมค่ายวัฒนธรรมไทยสายใยชีวิตที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยมีพี่ยอดมาเล่าเรื่องเกี่ยวกับเรือนไทย และให้ความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์อยุธยา ซึ่งเป็นผู้รอบรู้ประวัติศาสตร์อยุธยาดีที่สุดคนหนึ่ง มาบรรยายถึงสภาพทั่วไปในอดีตของพระนครศรีอยุธยา เรื่องราวเกี่ยวกับพระราชวัง วัดต่างๆ โดยเฉพาะเรื่องราวความเป็นมาของคุ้มขุนแผนและลักษณะของเรือนไทยให้พวกเราได้รู้ว่าส่วนต่างๆ ของเรือนไทยมีความสำคัญอย่างไร ใช้เป็นที่สำหรับทำอะไร ยังมีเรื่องราวของการเสียกรุงศรีอยุธยาที่พี่ยอดได้เล่าให้ฟังอย่างน่าสนใจ ทุกคนได้ลองสานปลาตะเพียนใบลาน ซึ่งปลาตะเพียนใบลานนี้ถือเป็นอีกสัญลักษณ์หนึ่งของจังหวัดพระนครศรีอยุธยา หลังจากอาหารกลางแล้วก็เป็นเวลาของกิจกรรมฐาน “เดินเล่นบนเส้นทางสายวัฒนธรรม” ทั้ง 5 ฐาน ที่สนุกสนานกันมาก เริ่มจากฐานกิจกรรมบนเรือนไทย ก็คือการสานปลาตะเพียน โดยมีพี่เลี้ยงคอยช่วยเหลือทุกขั้นตอน ข้างๆกันเป็นฐานกิจกรรมวาดรูป โดยพี่เลี้ยงจะให้วาดรูปในหัวข้อ พระนครศรีอยุธยาในฝัน โดยต้องใช้สามัคคีกันของคนในกลุ่ม เพื่อร่วมกันวาดภาพออกมา 1 ภาพ ซึ่งแต่ภาพก็มีจินตนาการที่หลากหลาย และสร้างสรรค์มากๆ
ออกจากเรือนข้ามสะพานไปที่ศาลากลางน้ำจะพบกับกิจกรรมการทำลูกชุบ งานนี้หลายคนจะได้ลองทำลูกชุบรับประทานกัน เริ่มจากต่างคนต่างปั้นถั่วเหลืองให้เป็นรูปร่างต่างๆ และจุ่มถั่วเหลืองที่ปั้นกันไว้ลงในสีผสมอาหาร และนำไปจุ่มในน้ำวุ่นเจลาตินที่ต้มในหม้อ เมื่อวุ้นเคลือบที่ถั่วเหลืองแล้วก็จะออกสีสันสวยงามตามสีที่จุ่มไว้ รอสักพักก็รับประทานได้เลย พวกเราพากันสนุกกันใหญ่ บางคนปั้นถั่วและจุ่มวุ้นทิ้งไว้ แต่พอถามว่าอันนี้ของใครกลับไม่มีใครยอมรับ ข้ามสะพานกลับมา และตรงไปที่ใต้ต้นไม้ใหญ่จะพบกับฐานกิจกรรมลิ้นชิมรส ทุกคนถูกปิดตาด้วยผ้าสีดำ โดยจะให้แต่ละคนชิมน้ำสมุนไพรที่แตกต่างกันไป ย้ายมานิดหนึ่งก็มาถึงฐานกิจกรรมปั้นดินเหนียว กิจกรรมนี้มันมากๆเลอะเทอะที่สุด ทุกคนต่างก็ปั้นดินเหนียวที่พี่ๆเตรียมไว้กันคนละหนึ่งชิ้นในหัวข้อที่เกี่ยวกับอยุธยา ต่างคนต่างก็ปั้นแต่งไปตามความคิดตามจินตนาการ เมื่อจบสิ้นกิจกรรมทั้ง 5 ฐานแล้ว ก็มาล้างไม้ล้างมือ รับประทานอาหารว่าง ก่อนที่จะไปนั่งฟัง “คุณครูติ่ง” อุมาภรณ์ กล้าหาญ อธิบาย เกี่ยวกับเครื่องดนตรีของไทย ซึ่งสามารถเรียนรู้ได้อย่างใกล้ชิด ครูติ่งใจดี ได้อธิบายถึงเครื่องดนตรีระนาด เป็นอย่างแรก ระนาดที่นำมาให้ได้ชมนั้น มี 2 แบบ ระนาดเอกและระนาดทุ้ม ครูติ่งได้สาธิตให้เข้าใจลึกซึ้งอีกว่าระนาดเอกแตกต่างกับระนาดทุ้มอย่างไร โดยเล่นระนาดทั้ง 2 ชนิดพร้อมกัน สลับไป สลับมา ดูสนุกสนาน นอกจากนั้น ครูติ่งยังให้เปรียบเทียบการตีระนาดโดยการใช้ไม้แข็งและไม้นวมครูติ่งอธิบายเกี่ยวกับซออู้ ซอด้วง โดยเฉพาะซอสามสาย ที่นำมาสาธิตให้ชม เสียงของซอสามสายจะอ่อนหวาน เบาสบาย ในท้ายที่สุด ครูติ่งได้ให้นักดนตรีบรรเลงเพลงไพเราะเพลงหนึ่งและแล้วก็มาถึงช่วงเวลาที่น่าประทับใจอีกช่วงหนึ่ง เมื่อมาพบกับพี่ยอดอีกครั้งในยามเย็นเพื่อจะพาพวกเราขึ้นรถ ตระเวนชมโบราณสถานในเขตอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา คราวนี้มีพี่พัฑร์อีกคน มาร่วมอธิบายความเป็นมาในอดีตของสถานที่ต่างๆ รวมทั้งประวัติศาสตร์น่ารู้ในระหว่างทางที่รถเคลื่อนไป ขบวนรถแล่นผ่านวัดพระรามวิหารพระมงคลบพิตร พระราชานุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าอู่ทอง วัดพระศรีสรรเพชญและพระบรมมหาราชวัง เมื่อมาถึงวัดมหาธาตุและวัดราชบูรณะ พี่ยอดและพี่พัฑร์ ก็อธิบายเรื่องราวเกี่ยวกับทองคำแห่งกรุงศรีอยุธยา และพระบรมสารีริกธาตุ ที่เคยเก็บบรรจุเอาไว้ภายในกรุมหาสมบัติของวัดทั้งสอง รถวนมาจอดที่ด้านหน้าวิหารพระมงคลพิตร พี่ยอดพาพวกเรามาชมโบราณสถาน วัดพระศรีสรรเพชญ พระอารามหลวงในพระบรมมหาราชวังแห่งกรุงศรีอยุธยา พี่ยอดได้อธิบาย และพาพวกเราทั้งหลายเดินชมรอบๆวัด ก่อนที่พากลับมายังคุ้มขุนแผนเพื่อเตรียมรับประทานอาหารเย็น การเข้าค่ายในครั้งนี้ปลูกฝังให้มีความรักและภูมิใจใน วัฒนธรรมไทยของเรา ที่นับวันจะเลือนหายไปพร้อมๆกับวัฒนธรรมสากลที่แพร่เข้ามามีอิทธิพลอย่างมากในสังคมไทย และถึงแม้ทัศนคติและแนวความคิดของเด็กไทยต่างไปจากเดิมตามกาลเวลาแล้วก็ตาม แต่สิ่งหนึ่งที่ควรจะได้รับรู้ และเข้าใจก็คือวัฒนธรรมอันดีงามของไทย และเพื่อสร้างเสริมจิตสำนึกที่ดีแก่เยาวชนไทย
อัตชีวประวัติชื่อ นางสาวภัคภิญญา สีระบุตร Miss Pukpinya Seerabut แปลว่า ความโชคดีและความเจริญยิ่งๆๆ ขึ้นไป ชื่อเล่น จ๋า ปัจจุบันอายุ 19 ปีเกิดตรงกับวันศุกร์ที่ 22 มิถุนายน 2533 แรม 15 ค่ำ เดือนเจ็ด ปีมะเมีย เวลา 8.36 นาที หมู่โลหิต บี น้ำหนักแรกเกิด 2,200 กรัม สถานที่เกิด โรงพยาบาลเชียงยืน จังหวัดมหาสารคามครอบครัวบิดาชื่อ นายไพบูลย์ สีระบุตรอายุ 47 ปี อาชีพ รับราชการครูมารดาชื่อ นางสมร สีระบุตรอายุ 41 ปี อาชีพ แม่บ้านมีพี่น้องร่วมบิดามารดาจำนวน 2 คน ดังนี้1. นางสาวภัคภิญญา สีระบุตร ( ตัวดิฉันเอง ) กำลังศึกษาอยู่ระดับชั้นปริญญาตรี ชั้นปีที่ 1วิชาเอกจิตวิทยา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม 2. นายธีระยุทธ สีระบุตร กำลังศึกษาอยู่ระดับชั้น ปวช. 2 สาขาวิชาอิเล็กทรอนิกส์ วิทยาลัยเทคนิคมหาสารคาม ที่อยู่ปัจจุบันบ้านเลขที่ 166 หมู่ 15 ตำบลเชียงยืน อำเภอเชียงยืน จังหวัดมหาสารคามรหัสไปรษณีย์ 44160 โทร. 084-6007693ประวัติการศึกษา- ปี พ.ศ. 2539 สำเร็จการศึกษาระดับอนุบาลจาก โรงเรียนบ้านนาเลียง อำเภอนาแก จังหวัดนครพนม- ปี พ.ศ. 2545 สำเร็จการศึกษาระดับประถมศึกษาจาก โรงเรียนบ้านวังหินโนนสว่าง อำนาเชือก จังหวัดมหาสารคาม - ปี พ.ศ. 2548 สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนต้นจาก โรงเรียนเชียงยืนพิทยาคม อำเภอเชียงยืน จังหวัดมหาสารคาม
- ปี พ.ศ. 2551 สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลายจาก โรงเรียนเชียงยืนพิทยาคม อำเภอเชียงยืน จังหวัดมหาสารคาม- ปัจจุบัน ปี พ.ศ. 2552 กำลังศึกษาอยู่ระดับชั้นปริญญาตรี ชั้นปีที่ 1 วิชาเอกจิตวิทยา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ข้อมูลในด้านอื่นๆ- บุคคลที่ถือเป็นแบบอย่าง คุณพ่อไพบูลย์ และคุณแม่สมร สีระบุตร- คติประจำใจ มองข้างหน้าด้วยความหวัง อย่ามองข้างหลังด้วยความเสียดาย- ความใฝ่ฝัน อยากเป็นคุณครู- กีฬาที่ชอบ เปตอง, วอลเลย์บอล, - ความสามารถพิเศษ ร้อยมาลัย ทำพานบายศรีสู่ขวัญ- อาหารที่ชอบ ข้าวผัดสุกี้ - ดาราที่ชื่นชอบ แพนเค้ก เขมนิจ, เป้ อารักษ์ - สีที่ชอบ สีชมพู เพราะเป็นสีแห่งความรักและความสุขมองแล้วสบายตา- งานอดิเรก อ่านหนังสือ, วาดรูปการ์ตูน, เล่นคอมพิวเตอร์ และฟังเพลง - สถานที่ท่องเที่ยวที่อยากจะไป ทะเล ภูเขา น้ำตกชีวิตในวัยเด็ก - ปัจจุบัน ชีวิตในวัยเด็กมีเรื่องราวต่างๆ ตั้งมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสนุกสนานหรือเรื่องเศร้าเสียใจ ต่างก็เป็นเรื่องที่น่าจดจำ โดยเฉพาะเรื่องย้ายโรงเรียนของดิฉันทำให้มีเพื่อนตั้งมากมาย เท่าที่ดิฉันจำความได้ ตอนนั้นมีอายุประมาณ 4 ขวบ คุณพ่อสอบบรรจุข้าราชการครูได้ที่โรงเรียนบ้านนาเลียง อำเภอนาแก จังหวัดนครพนม ดังนั้นดิฉันคุณแม่และน้องชายอายุเพียง 1 ขวบเศษ ต้องย้ายตามคุณพ่อไปอยู่ที่นั่น ช่วงนั้นเป็นช่วงที่เปิดภาคเรียนใหม่คุณพ่อท่านจึงมีความคิดเห็นว่าดิฉันสมควรที่จะได้รับการศึกษาในระดับชั้นอนุบาลได้แล้ว เช้าวันต่อมาคุณแม่ก็ได้พาดิฉันไปส่งที่ห้องเรียน แต่ด้วยความที่ไม่คุ้นกับสถานที่และภาษาของคนที่นั่น จึงทำให้เกิดอาการเพราะด้วยนิสัยแล้วจะเป็นคนขี้อายขี้กลัวไม่ค่อยชอบแสดงออกและได้แอบหนีกลับบ้านที่ครั้งที่ไปส่งที่ห้องเรียน พออายุครบ 5 ขวบ คุณแม่ก็ได้พาไปเข้าเรียนใหม่อีกครั้งพร้อมกับเพื่อนๆ ในวัยเดียวกัน คราวนี้ไม่กลัวแล้วเพราะมีเพื่อนสนิทตั้งมากมายและอยู่ในวัยที่กำลังซุกซน
ปี พ.ศ 2541 กำลังศึกษาอยู่ในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ภาคเรียนที่ 2 ช่วงนั้นเป็นช่วงที่กำลังจะใกล้สอบปลายภาค ดิฉันต้องได้ย้ายโรงเรียนเป็นครั้งแรกตามคุณพ่อกลับภูมิลำเนา โดยคุณพ่อได้ย้ายไปสอนอยู่ที่โรงเรียนบ้านวังหินโนนสว่าง อำเภอนาเชือก จังหวัดมหาสารคาม ส่วนดิฉันและน้องชายต้องอยู่กับคุณแม่ที่อำเภอเชียงยืน โดยได้เข้าศึกษาต่อในระดับประถมศึกษาที่โรงเรียนบ้านเชียงยืน พอดิฉันจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ดิฉันและน้องชายต้องได้ย้ายโรงเรียนอีกเป็นครั้งที่ 2 โดยย้ายไปเรียนกับคุณพ่อที่โรงเรียนบ้านวังหินโนนสว่าง อำเภอนาเชือก จังหวัดมหาสารคาม ปี พ.ศ. 2545 สำเร็จการศึกษาระดับประถมศึกษาจาก โรงเรียนบ้านวังหินโนนสว่าง ดิฉันได้เข้าศึกษาต่อในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่โรงเรียนโนนแดงวิทยาคม อำเภอบรบือ จังหวัดมหาสารคาม ดิฉันเรียนอยู่ที่นั่นได้ 2 ปี พอจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ก็ได้ย้ายโรงเรียนอีกเป็นครั้งที่ 3 ตามคุณพ่อกลับมาอยู่ที่บ้าน ซึ่งคราวนี้คุณพ่อได้ย้ายไปสอนที่โรงเรียนชุมชนบ้านกุดปลาดุก อำเภอชื่นชม จังหวัดมหาสารคาม และดิฉันก็ได้เข้าศึกษาต่อในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่โรงเรียนเชียงยืนพิทยาคม อำเภอเชียงยืน จังหวัดมหาสารคาม จนจบมัธยมศึกษาตอนปลาย ปัจจุบัน ปี พ.ศ. 2552 กำลังศึกษาอยู่ระดับชั้นปริญญาตรี ชั้นปีที่ 1 วิชาเอกจิตวิทยา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
“ 20 ปีที่แล้วพ่อแม่ให้เกิดมา”เด็กชายคนหนึ่งรู้สึกตื่นเต้นมากเมื่อรู้ว่าวันที่จะได้ลืมตาดูโลกมาถึงแล้ว วันศุกร์ที่ 9 มิถุนายน พุทธศักราช 2532 ปีมะเส็ง เวลา 20.30 น. เสียงร้อง “อุ๊แว้ๆๆๆๆๆๆๆ”ดังขึ้นที่บ้านเลขที่ 43 หมู่ที่ 4 บ้านท่าเยี่ยม ตำบลธาตุ อำเภอวานรนิวาส จังหวัดสกลนคร เสียงทารกแรกเกิดนั้นคือเสียงของข้าพเจ้าเอง และคงเป็นสิ่งที่ใครหลายคนรอคอยวันนี้ด้วยพ่อได้ตั้งชื่อให้ ชื่อว่า “อติวัฒน์”แต่ตอนไปแจ้ง ณ ที่ว่าการอำเภอ เจ้าหน้าที่บอกว่า ชื่อนี้ไม่มีความหมายเลยเปลี่ยนเป็น “อธิวัฒน์”เมื่อหาดูความหมายก็ไม่มีความหมายตรงๆเหมือนกัน พ่อเลยบอกว่าเอาชื่อนี้ก็แล้วกันเมื่อรวมกับนามสกุลของพ่อก็เลยกลายเป็น “เด็กชายอธิวัฒน์ สุนารักษ์” และมีชื่อเล่นที่ได้จากการที่แม่ชอบดูภาพยนตร์จีนได้เอาชื่อของตัวละครตัวเด่นเรื่องหนึ่งมาตั้งชื่อเล่นให้ลูกชื่อว่า “หยวนเปียว”พอนานเข้าชาวบ้านคงเรียกชื่อยากหลายพยางค์ก็เลยเรียกสั้นๆว่า “เปียว” วัยเด็กอาศัยอยู่กับยายเพราะพ่อกับแม่ต้องไปทำงานอยู่ต่างจังหวัด พออายุ 5 ขวบครอบครัวได้ให้เข้าเรียนที่โรงเรียนประจำหมู่บ้าน เรียนชั้นอนุบาล1 และอนุบาล2แล้วขึ้นชั้นป.1อายุ7ปี ในช่วงของการเรียนพ่อแม่จะเป็นผู้ที่คอยดูแลและช่วยให้คำปรึกษาในเรื่องการเรียน การทำการบ้าน และส่งเสริมการทำกิจกรรมอื่นๆที่สร้างชื่อเสียงให้กับโรงเรียน เช่น เป็นนักกีฬาฟุตบอลของโรงเรียนตั้งแต่อยู่ชั้นป.4 เป็นตัวแทนของโรงเรียนไปแข่งขันทักษะวิชาการโดยเป็นตัวแทนของวิชาคณิตศาสตร์ทั้งของระดับชั้นป.2 ป.4 และป.6และได้เป็นตัวแทนในระดับเขตการศึกษาด้วยในช่วงการเรียนระดับประถมศึกษาข้าพเจ้าสอบได้ที่ 1 ทุกชั้น และตอนอยู่ชั้นป.6ได้รับเลือกให้เป็นประธานโรงเรียนเพื่อประสานงานกับอาจารย์ในโรงเรียนเมื่อเรียนจบระดับประถมศึกษาผู้ปกครองได้ให้เข้าเรียนต่อระดับมัธยมศึกษาที่โรงเรียนประจำอำเภอชื่อว่า “โรงเรียนมัธยมวานรนิวาส”ข้าพเจ้าเข้าเรียนที่นี่ 6 ปีตั้งแต่ชั้นม.1- ม.6 ซึ่งตอนเข้าเรียนที่นี่ข้าพเจ้าได้ทำกิจกรรมหลายอย่าง เช่น ระดับมัธยมศึกษาตอนต้นได้เป็นตัวแทนเข้าร่วมแข่งขันประกวดโครงงานวิทยาศาสตร์และได้รับรางวัลมาให้โรงเรียนและเป็นนักกีฬาฟุตบอลแข่งขันในระดับเขตการศึกษา ในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย-ม.4 เป็นคณะกรรมการธนาคารโรงเรียน/คณะกรรมการนักเรียน/คณะกรรมการกิจกรรม5ส.ในโรงเรียน-ม.5 เป็นประธานคณะกรรมการธนาคารโรงเรียน/รองประธานคณะกรรมการนักเรียน/คณะกรรมการกิจกรรม5ส.ในโรงเรียน/ประธานคณะสีทองกวาว/ตัวแทนโรงเรียนเข้าประกวดโครงงานระดับภาค-ม.6 เป็นประธานคณะกรรมการธนาคารโรงเรียน/คณะกรรมการนักเรียน/คณะกรรมการกิจกรรม5ส.ในโรงเรียน/ประธานคณะสีราชาวดี/ตัวแทนโรงเรียนเข้าประกวดโครงงานระดับเขตและได้เข้าร่วมกิจกรรมหลายๆกิจกรรมที่ทางโรงเรียนได้จัดขึ้น ในช่วงม.6 ได้ติดตามข่าวสารและการสมัครสอบเพื่อเข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษา ได้สมัครสอบโควต้าของหลายสถาบันหลายคณะและมหาวิทยาลัยมหาสารคามก็คืออีกที่หนึ่งที่ข้าพเจ้าเลือกสอบและได้ตัดสินใจเลือกเรียนที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้ ตลอดที่ได้ศึกษาในระดับอุดมศึกษาในสถาบันแห่งนี้ได้ทำให้ข้าพเจ้ารักในเกียรติของที่นี่ ได้พบเพื่อนที่ไม่เคยรู้จักกันได้พบเพื่อนใหม่ที่มาจากคนละจังหวัด ซึ่งแต่ละคนก็มาทำหน้าที่ของตนเองตามที่ได้เลือกเรียนตามคณะที่ตนเองต้องการจะเรียน
อัตชีวประวัติ นางสางสุทธิลักษณ์ บัวสิงห์ คณะศึกษาศาสตร์ สาขาจิตวิทยา ปี1 รหัสนิสิต 52010521029 ระบบพิเศษ สวัสดีค่ะ . . . ดิฉันชื่อ นางสางสุทธิลักษณ์ บัวสิงห์ ชื่อเล่น แอม เกิดวันจันทร์ ที่27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2532 (แต่ในบัตรประชาชนเกิดวันที่26มีนาคม พ.ศ.2532)... และสาเหตุที่ดิฉันมีวันเกิด2 วันเพราะ คุณตา แจ้งเกิดผิดวัน ค๊า !!! สรุป แล้ว ดิฉันก็เกิดวันที่27 กุมภาพันธ์ คร๊ะ อายุ 20 ปี ( จะย่างเข้า21 ปี แล้ว โครตแก่เลยแหละ กีสส !! ) กรุ๊ปเลือด O เกิดปี มะเส็ง จ๊ะ บ้านเลขที่ 12/1 ตำบล เกิ้ง อำเภอ เมือง จังหวัด มหาสารคาม 44000 จ๊ะ ผู้ให้กำเนิด ดิฉันคือ คุณพ่อ ชื่อ ทักษิณ บัวสิงห์ และ คุณแม่ชื่อ สุวิมล อันปัญญา ดิฉัน เป็นลูกคนเดียว ค่ะ เหง๊า เหงา แต่ก็ดี ฮ่า ฮ่า แม่กะพ่อ รักเราคนเดียว อิอิ (ดูเหมือนจะเห็นแก่ตัวเลยนาะ : P ) ปัจจุบันศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ สาขาจิตวิทยา ปี1 รหัสนิสิต 52010521029 พักหอ บ้านอยู่สบาย F2 ซอย อาลีบาร์บาร์ นิสัย และการใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ * ดิฉัน ก็เป็นคน ร่าเริง แจ๋มใส สนุกสนาน ยิ้มเก่ง โกรธง่าย หายยาก( แล้วแต่อารมณ์) อิอิ : P ดิฉัน ชอบฟังเพลง ชอบเสียงดนตรี ( สนุกดี เวลาไปท่องเที่ยว ฮ่า ฮ่า ) ดิฉันเป็นคนเอาแต่ใจ ไม่แค่ความรู้สึกของคนอื่น((ในบ้างครั้ง)) ดิฉันทำก่อนคิดไม่อยากคิดก่อนทำ ดิฉันมันปากแข็ง((ขี้เกียจพูด)) ดิฉันชอบแก้แค้น((ใครทำดิฉันเจ็บต้องเจ็บกว่าดิฉัน)) ดิฉันเป็นเด็กศัลยกรรม((มีเงินคะ อิอิ)) ดิฉันชอบยิ้มทุกสถานการณ์ ดิฉันชอบเที่ยวเสียงเพลง((แล้วแต่อารมและทรัพย์สิน)) ดิฉันชอบนินทาต่อหน้า((เพราะบังเอิญ 55)) ดิฉันขี้น้อยใจ((แคร์ดิฉันบ้างหน่อยคะ)) ดิฉันชอบให้ง้อแม้ว่าดิฉันจะผิด อิอิ ((ง้อดิฉันบ้างหน่อยคะ)) ดิฉันในทุกๆครั้งที่อยากมีความรัก ดิฉันไม่ชอบพวกที่ดูถูกคนอื่น ((หยาบคายสุดสุด)) ดิฉันในบ้างครั้งไม่หน้าคบหา ดิฉัน ชอบ โลกอินเตอร์เน็ต ขาดไม่ได้ จริง จริง (ถ้าไม่ได้เล่น เหมือนโลกมันมืดมิด ) เว่อร์จัง ติดต่อ ดิฉัน ได้ ทางโลกอินเตอร์เน็ต MSN : amm-angel@hotmail.com HI5 : http://geishaamii.hi5.comFacebook :http://www.facebook.com/home.php?#/profile.php?ref=profile&id=1226163916 ดิฉัน เป็นคนที่ไม่มั่นใจในตัวเอง มาก ๆ โดยเฉพาะ การแต่งตัว กลัวจะไม่สวย ฮ่าฮ่า และจะเป็นคนที่แต่งตัวนานมากๆ เพราะจะวุ่นวายเรื่องเสื้อ ผ้า หน้าผม รองเท้า กระเป๋า ว่าจะแต่งเข้ากันรึเปล่า (การที่ไม่มั่นใจในตัวเองมันลำบากจริงจริง เนาะ ) เฮ้อ แต่งยังไงก็ยังไม่สวย ฮ่าฮ่า ดิฉัน ชอบ ซื้อ รองเท้า ( มากๆ ) เพราะทั้งตัว มั่นใจอยู่เรื่องเดียว เรื่องการใส่รองเท้า คิดว่าตัวเองใส่รองเท้าสวยๆแล้วดูดี ฮ่า ฮ่า ผลไม้ ที่ดิฉันชอบ ละมุด มังคุด สละ อร่อยดี อาหารที่ดิฉันชอบ กระเพาไข่เยี่ยวม้า ผัดผงกระหรี่ สีที่ดิฉันชอบ สีม่วง (ชอบมากๆทุกอย่างที่เป็นสีม่วง สวยดี )
มาถึงเรื่องการศึกษา . . .อนุบาล1 ดิฉัน ศึกษา อยู่ โรงเรียนเทศบาลศรีสวัสดิ์ แต่ก็ยังไม่นานก็ได้ย้ายมาเรียนที่ โรงเรียน หลักเมืองมหาสารคาม จนถึงชั้น ประถมศึกษาปีที่ 6 สำเร็จการศึกษา แล้ว ก็ได้ศึกษาต่อที่ โรงเรียนสารคามพิทยาคม ขณะที่เรียน อยู่ชั้น ม.1 ดิฉัน ได้อยู่ ห้อง 3 เรียนๆ ไป ม.2 ก็ได้อยู่ ห้อง 4 ต่อมา ม.3 อยู่ ห้อง 5 และ ม.3 เนี่ย ดิฉันได้เลือกเรียนสายวิทย์-คณิต และดิฉันคิดว่า เป็นการเรียนที่สนุกมาก ๆ เพราะ ดิฉันเริ่มมีเพื่อนๆเยอะแยะมากมาย และได้เจอเพื่อนที่สนิทๆหลายๆคน ไม่ว่าจะ เป็น ขิม (ปัจจุบันขิมอยู่ กทม. ) กิ๊ฟ (ปัจจุบันเรียนอยู่ มมส. ) แอ๋ม (ปัจจุบันเรียน มมส.) โบว์(ปัจจุบันไม่ได้เรียนแล้ว) ส่วนมากจะ ไปไหนมาไหนกับเพื่อนๆ4คนตลอด จนมาถึงม.4 อยู่ ห้อง 4 ก็เริ่มมีเพื่อน สนิทขึ้นอีก คือ ติ้ง เบียร์ เฟิส เปรียว (ปัจจุบันเรียน อยู่ กทม. ) แพร (ปัจจุบันเรียน ขอนแก่น) ฟ้า ปุริน บุ๋ม นุ้ย ต้อง อาร์ ซี (ปัจจุบันเรียน มมส ) ม.5 ก็ยังคบเพื่อน กลุ่มเดิม ม.6 ก็ยังเรียนอยู่ที่เดิม และก็คบเพื่อนกลุ่มเดิม และ พอจบการศึกษา ก็ได้เรียนต่อ ที่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม คณะแรกที่ดิฉันเรียน คือ คณะ วิทยาศาสตร์ เอกเคมี สาเหตุที่เลือกเรียน สาขานี้เพราะว่า ชอบ วิชาเคมี มากๆและพ่อกับแม่ และญาติๆสั่งให้เรียนด้วยแหละก็เลยต้องเรียน ฮ่าๆ ( ผู้สนับสนุนเยอะ) แต่ . . . มันเริ่มรู้ซึ้งถึงการเรียนเคมี มัน ยาก มากๆ เพราะมันไม่ได้เรียน แค่ เคมี แต่ได้เรียน ทุกวิชาเลย ไม่ว่าจะเป็นวิชา คณิตศาสตร์ ชีววิทยา ฟิสิกส์ สูตรเริ่มมาเยอะแยะมากมาย จนดิฉันเริ่มเรียนไม่ไหว เลยตัดสินใจ ย้ายคณะ มาเรียน คณะ ศึกษาศาสตร์ เอก จิตวิทยา ทำมัย ? ดิฉันถึงได้เลือกเรียน คณะศึกษาศาสตร์ เอกจิตวิทยา เพราะเพื่อนดิฉันแนะนำ และในช่วงที่จะย้ายคณะนั้น ดิฉันคิดมาก ไม่รู้จะ (และก็เริ่มเรียนปี1 ใหม่ด้วย เหอะๆ ) แต่เรียนไปเรียนมา ก็เริ่มชอบ และก็รู้สึกว่า เรียนไม่ง่ายและก็ไม่ยาก จนเกินไป แต่ยังไงแล้ว ก็จะพยายามเรียนให้จบปริญญาตีให้ได้ เพื่อ อนาคต ที่สดใส : )
แสดงความคิดเห็น
282 ความคิดเห็น:
1 – 200 จาก 282 ใหม่กว่า› ใหม่ที่สุด»ส่งยังไงหรอครับอาจารย์ ทำไม่เป็น
ส่งตรงคำว่า(แสดงความคิดเห็น)คลิ๊กเข้ามาแล้วก็เอาใส่ตรง(ฝากความคิดเห็นของคุณ)..ฮิฮิเราโทรถามอาจารย์แบบนี้จ้าเพื่อนๆ(น่าจะถูกต้อง)
อ๋อๆ เห็นเเล้ว
เพิ่งเข้าใจว่าส่งยังใง
ทดสอบคะ
นางสาวเกศสุดา วัชรบรรจง คณะศึกษาศาสตร์ สาขาจิตวิทยา รหัสนิสิต 52010517100
ประวัติส่วนตัว
ข้าพเจ้าชื่อนางสาวเกศสุดา วัชรบรรจง คำว่าเกศสุดา แปลว่า ผมสวย เกิดเมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2532 ตอนนี้ก็อายุ 20 ปีแล้ว ตั้งแต่เล็กจนโต พ่อแม่ของฉันก็เลี้ยงฉันเป็นอย่างดี พ่อแม่ตั้งชื่อเล่นฉันว่า แอน ซึ่งจะให้คล้องจองกับชื่อพี่ชาย ตอนเด็กๆๆฉันจะอ้วน ซึ่งไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมคนแถวบ้านถึงเรียกฉันว่าอ๋อม แทนที่จะเรียกว่าแอน ฉันมีพี่น้องทั้งหมด 3 คน มีพี่ชายชื่อนายกฤษณะ วัชรบรรจง ชื่อเล่นชื่อเอ๊กซ์ ตอนนี้พี่ชายอายุ 22 ปี เรียนปีที่ 3 แล้วส่วนน้องสาวชื่อเด็กหญิงกฤษณา วัชรบรรจง ชื่อเล่น ใบเฟิร์น อายุ 14 ปี เรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ครอบครัวของฉันมีทั้งหมด 5 คน บ้านของฉันชื่อว่า กฤษสุดา ซึ่งชื่อนี้พ่อซึ่งเป็นหัวหน้าครอบครัว ตั้งขึ้นตามชื่อของลูกทั้งสาม ฉันก็เข้าเรียนโรงเรียนแถวหมูบ้านฉัน ซึ่งโรงเรียนนี้ชื่อโรงเรียนบ้านหนองฮะ เป็นโรงเรียนที่เรียนตั้งแต่อนุบาลจนถึง ป.6 ช่วง ระยะเวลาช่วงประถมนั้นฉันมักจะไม่ประสบความสำเร็จสักอย่าง จนมาถึง ป.6 เป็นช่วงที่พ่อแม่อยากให้ฉันไปเรียนมัธยมในเมืองมากกว่าที่นี้ ฉันจึงต้องอ่านหนังสือสอบปลายภาคให้ได้เกรดเยอะๆจากที่เรียนมานั้นฉันไม่เคยอ่านหนังสือสอบเลย ฉันรู้สึกไม่พร้อมที่ห่างพ่อแม่ และยังรู้สึกไม่โตพอสำหรับการอยู่หอพัก แต่พ่อแม่บังคับให้มาเรียนที่เมือง ฉันจึงจำเป็นต้องมาเรียนตามที่พ่อแม่จัดหาให้ ซึ่งโรงเรียนนั้นชื่อว่าโรงเรียนสิรินธร เป็นโรงเรียนที่เรียนตั้งแต่มัธยมศึกษาปีที่ 1 – 6 ช่วงแรกเข้าเรียน ม. 1 นั้นฉันอยู่ไม่ค่อยได้ พออยู่ไปสักพักก็เริ่มชิน แล้วก็อยู่ได้มีเพื่อนเยอะแยะ เข้ากับคนได้ง่าย เพราะฉันเป็นคนพูดตรงๆบางคนก็ชอบ บางคนก็ไม่ชอบก็แล้วแต่ เป็นคนง่ายๆ ช่วง ม.2 ก็เริ่มชินกับสถานที่เพื่อนที่คบก็เริ่มจะเกเร แต่ฉันรู้สึกว่าฉันยังไม่เปลี่ยนไปมากสักเท่าไร ก็มีแก๊งเดินกันเป็นกลุ่ม ช่วงมัธยมตอนต้นฉันทำเกรดได้ดีที่เดียว จนพ่อแม่ดีใจและไว้ใจในตัวฉันมากขึ้น จนจบมัธยมต้นก็มีเกรดเฉลี่ยที่พอใช้ได้ที่จะเอาเกรดเอาเรียนมัธยมตอนปลาย ในสายวิทย์ – คณิตฯ แต่ฉันไม่ชอบที่จะเรียนวิทย์ ฉันคิดว่ามันยากและฉันก็คงเรียนมันไม่ได้แน่นอน ฉันจึงแอบเลือกเรียนสายศิลป์ – คำนวณ แทน ซึ่งพ่อแม่ก็ไม่ได้เห็นด้วยสักเท่าไร แต่ฉันเลือกไปแล้ว ไม่สามารถแก้ไขได้อีก ก็เลยได้เรียนในสิ่งที่ง่าย
ในเวลาเรียนสายนี้ ในช่วงมัธยมตอนปลาย ม.4 เทอมต้น แม่เห็นฉันอยู่หอคนเดียว ก็เลยเอาน้องเข้ามาเรียนอนุบาลในเมืองให้อยู่หอเป็นเพื่อนกับฉัน ในช่วงมัธยมตอนปลายเข้าก็ให้เลือกชมรมเรียน ฉันไปเลือกเรียน รักษาดินแดน (ร.ด) ซึ่งในตอนนั้นไม่รู้คิดบ้าอะไรที่คนเขาไม่เลือกเรียนกัน เพราะตอนนั้นฉันชอบท้าทายชีวิต ทำกิจกรรมที่แปลก จน ม.5 เทอมปลายก็เริ่มต้องเตรียมตัวอ่านหนังสือสอบแอดมินชั่น ช่วงนี้เป็นช่วงที่พากันเริ่มเที่ยวตอนกลางคืนกับเพื่อนๆก็เริ่มสนิทกันมากขึ้น พากันเที่ยวทุกอาทิตย์จนเป็นความเคยชิน หนังสือก็ไม่ค่อยจะได้อ่าน ช่วงนี้เป็นช่วงที่ติดเพื่อนมาก เพื่อนว่าไงก็ว่าตามกัน พอมาถึงช่วง ม.6 ฉันกลัวสอบแอดมินชั่นไม่ติด ฉันจึงหามหาวิทยาลัยที่รับโควต้า เอาเกรดเข้าในคณะบริหารธุรกิจ สาขาเทคโนโลยีสารสนเทศทางธุรกิจ เพราะฉันไม่อยากอ่านหนังสือสอบ ยังไงก็รู้ว่าตัวเองสอบไม่ติดแน่นอน จึงเลือกที่อยากจะเรียนที่ไกลจากบ้าน ในขณะที่รอผลโควต้าที่มหาวิทยาลัยแม่โจ้ ก็สอบมหาวิทยาลัยขอนแก่นเผื่อด้วย สอบในคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ สาขาภาษาไทย ผลประกาศสอบออกพร้อมกันมหาวิทยาลัยแม่โจ้ฉันก็ติด รอจ่ายเงินอย่างเดียว ส่วนมหาวิทยาลัยขอนแก่นฉันสอบติดแบบไม่รู้ตัว ที่ติดเพราะคนในจังหวัดไม่มีคนเลือกคณะนี้จึงสอบติด ในความรู้สึกตอนนั้นใจฉันอยากไปเรียนที่เชียงใหม่มากที่สุด แต่คณะและสาขาที่มหาวิทยาลัยขอนแก่นนั้นเป็นสิ่งที่ฉันชอบและอยากเรียน ส่วนที่เชียงใหม่ไม่รู้ว่าเป็นสาขาที่เรียนเกี่ยวกับอะไรแต่คิดว่าตัวเองชอบที่เชียงใหม่ ฉันอยู่ไปเรื่อยๆเขาบอกว่ามีการรับน้องใหม่ทั้งปี ตอนแรกคิดว่าไม่มีอะไรมากนัก ฉันจะสู้กับเพื่อนๆในด้านการับน้องนั้นก็สนิทกับเพื่อนทุกคนในสาขาฉันและในสาขาอื่นๆ พอไปเรียนในสาขานี้แรกๆก็เรียนได้ พอเรียนไปเรื่อยๆยิ่งเรียนยิ่งยากจนเวลาเรียนจะต้องให้เพื่อนช่วยทำงานให้ และในด้านการรับน้องก็หนักขึ้นเรื่อยๆทั้งกับการเรียนก็เริ่มเรียนไม่ได้แล้ว จึงตัดสินใจลาออก แล้วมานับหนึ่งใหม่คือการรอสอบแอดมิ่นชั่น แต่พอลงคะแนนของมหาวิทยาลัยมหาสารคามทั้ง 3อันดับ ฉันได้อันดับที่ 3 คือ คณะศึกษาศาสตร์ สาขาจิตวิทยา ซึ่งเป็นสาขาหนึ่งที่อยากเรียน และในอนาคตฉันคงจะมีงานทำที่ดี แต่ที่ฉันฝันไว้คือการได้เป็นครูแนะแนวที่โรงเรียนสมัยมัธยมมันคงดีสำหรับฉันมากๆ แล้วก็อยากให้พ่อแม่ญาติพี่น้องเห็นความสำเร็จของฉัน เป็นคุณครูตามใจแม่ฉันที่ท่านหวังไว้อยากให้เป็น
.....
"เสี้ยวหนึ่งของชีวิต"
เมื่อรู้ว่าตัวแม่นั้นตั้งท้อง......เฝ้าประคองด้วยใจที่มุ่งหวัง
สิ่งที่ชอบเผ็ดร้อนแม่ระวัง......เพื่อป้องกันลูกน้อยจะกระเทือน
...แม้ไม่รู้ว่าจะชายหรือหญิง.....แม่ประวิงเฝ้านับครบวันเคลื่อน
แม้จะเจ็บจะกลัวสิ่งทั้งปวง.....แม่ปลื้มทรวง.....เสียงแว้..แรกเริ่มดัง
อังคารที่ 7 สิงหาคม 2533 ในวันนี้ฝนตก แม่ตื่นเต้นและดีใจ พ่อรีบมาจากบริษัทเมื่อรู้ว่าคนที่พ่อ..รอมานานเป็นแรมปีได้ลืมตาดูโลกที่กว้างใหญ่..แม่ก็ดีใจไม่น้อยไปกว่าพ่อเลย..ลูกคนแรกของแม่และพ่อมีชื่อว่าหนูหนึ่ง (เพราะว่าเป็นลูกคนแรกนี่นา) พ่อตั้งชื่อให้ฉันว่า อาศุ ซึ่งแปลว่า รวดเร็ว ว่องไว ซึ่งเปรียบเหมือนม้า เพราะว่าฉันเกิดปีม้านั่นเอง เด็กผิวสีขาว ตาชั้นเดียวและก็มีปานอยู่ที่แก้มข้างซ้าย น่ารักน่าชังเลยทีเดียว พ่อฉันเป็นคนที่มีฐานะดีปู่ของฉันเป็นตำรวจ พันตำรวจโท ย่าของฉันก็เป็นลูกเศรษฐี ปู่และย่าเป็นคนจีนที่มาอยู่ในประเทศไทย ครอบครัวฉันจึงสุขสบายเพราะว่ามีทั้งบ้านที่ใหญ่โต มีพี่เลี้ยงที่คอยดูแล มีคนที่ทำความสะอาดบ้านให้ และอื่นๆอีกมากมาย เหมือสังคมชาวกรุงทั่วๆไป
เริ่มตั้งไข่...ใจพองประคองลูก....ความพันผูกแนบแน่นสุดขานไข
เริ่มหัดเดินหัดพูดแม่สุขใจ...ก้าวแรกได้ให้ลูก..ด้วยผูกพัน
...แม่และพ่อเป็นครูแรกของชีวิต....ชี้ถูกผิดให้ลูกรู้ด้วยความฝัน
เติบโตใหญ่รวยจนไม่สำคัญ....ขอลูกฉันเป็นคนดีของสังคม
ความรักเป็นบทบาทหนึ่งที่สวมอยู่ในจิตใจมนุษย์มันเป็นความรู้สึก มีใครบอกได้ไหมว่าความรักมีหน้าตาแบบไหน มีใครบอกได้ไหมทำยังไงเราจึงหมดความรัก ฉันเป็นเด็กคนหนึ่งที่ได้รับความรักเหมือนเด็กคนอื่นๆ แต่แล้วเจ้าความรักที่พูดกันว่า รักรักรัก ไม่มีหน้าตาก็ดูเหมือนว่าหน้ากลัวฉันต้องอยู่กับพ่อของฉัน พ่อกับแม่หย่ากันตอนที่ฉันมีความรู้ความคิด รู้จักความรักที่งดงามฉันเริ่มเรียนอนุบาลแล้ว และฉันก็มีน้องหนึ่งคน (ลูกน้ำ) เราอายุห่างกัน2ปี ฉันยังจดจำวันนั้นได้ดีกว่าวันที่ฉันมีความสุขมากเป็นไหนๆ พ่อไปสถานที่หนึ่ง มีผู้คนเดินเข้าออกมากมาย บางคนก็ยิ้มแย้มออกมา แต่บางคนก็มีใบหน้าที่บ่งบอกเลยว่าเสียใจ ซักพักพ่อก็ไปนั่งที่เก้าอี้ตัวหนึ่งข้างๆแม่ และก็พูดกันซักพักกับผู้ชายหน้าตาดี ฉันได้ยินเขาถามพ่อกับแม่ของฉันว่า “ทั้งสองคนแน่ใจนะ” เท่านั้นเองแม่ก็มีน้ำใสๆร่วงลงมา ฉันได้แต่โอบกอดที่ตัวของแม่ที่สะอื้นจนตัวของฉันก็สั่นเทาไปด้วย ผู้ชายหน้าตาดีคนนี้ทำอะไรแม่ของฉันนะ.. แม่บรรจงเขียนชื่อของตนเองลงกระดาษที่มีพ่อเขียนลงไปก่อนแล้ว แม่เขียนช้ามากเหมือนแม่กำลังคิดอะไรอยู่ แต่แล้วแม่ก็เขียนเสร็จแม่บอกว่ากลับบ้านเรากันเถอะลูกพร้อมกับอุ้มน้องและจับที่แขนของฉัน พ่อก็บอกว่า “ไม่ได้นะลูกต้องอยู่กับฉันคนหนึ่ง” พ่อมองมาที่ฉันใบหน้าของฉันก็มีน้ำใสๆไหลออกมาเหมือนกัน ฉันเริ่มรู้แล้วว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไป มันคือสิ่งที่ฉันต้องเลือก แม่ดึงแขนของฉันแรงมากแต่ฉันไม่ได้ขยับเลยฉันกอดที่ขาข้างหนึ่งของพ่อแน่นมากเสียจนดึงไปไหนไม่ได้เลยช่วงเวลาหนึ่งฉันคิดได้ว่า ฉันได้ความรักและการเอาใจใส่จากพ่อมากกว่าแม่เสียอีก ตอนเช้าพ่อไปส่ง ตอนเย็นพ่อไปรับ พ่อไม่เคยที่จะทำให้ฉันเสียใจเลย อยู่กับพ่อแล้วอบอุ่นดี และอีกอย่างพ่อก็รักฉันมาก ฉันสัมผัสได้ แม่จึงได้น้องไปดูแลจากนั้นฉันก็ไม่ได้เจอแม่อีกเลยจนเรียน ป.1 ก่อนหน้านี้ หลังจากที่พ่อหย่ากับแม่ได้ไม่นานพ่อก็มีความรักครั้งใหม่และได้แต่งงานกัน นี่แม่คนที่สองของฉัน และไม่นานฉันก็ได้ไปอยู่ที่ชัยภูมิซึ่งเป็นบ้านของแม่เลี้ยง ตอนที่เขาแต่งงานใหม่ๆเขารักฉันมาก เขาดูแลฉัน ไม่เคยดุ ไม่เคยตี ตอนนั้นฉันก็ไปเรียนอนุบาลต่อที่นั่น พ่อฉันที่ไปทำงานอยู่ที่กรุงเทพก็นานๆกลับมาครั้ง และไม่นานความจริงในชีวิตฉันก็มาถึง เมื่อเขามีลูกเขาก็ต้องรักลูกเขามากกว่าลูกเราสิ จริงไหม แม่เลี้ยงใช้ฉันทำงานที่มีอยู่ในบ้าน เวลาที่พ่อไม่อยู่ และดุฉันตลอด ฉันมีความรู้สึกว่าฉันเป็นคนไม่มีพ่อไม่มีแม่ เขาว่าแม่ของฉันว่า “ร่านผู้ชาย” ว่าพ่อของฉันขาดผู้หญิงไม่ได้ เขาไม่ค่อยสอนให้ลูกของเขาช่วยเหลือตัวเอง ยาสีฟันก็ให้ฉันไปบีบให้ ว่าลูกเขาก็ไม่ได้เวลาที่เขาไปเที่ยวก็ซื้อของมาให้ลูกเขาตลอด เขาใช้คำพูดเรียกฉันกับเขาว่า ‘แก’ กับ ‘ฉัน’ และก็เคยตีฉัน ไม่ให้ฉันออกจากบ้านไปไหน ฉันเป็นเด็กที่ชอบทำกิจกรรม เป็นนักดนตรีไทยของโรงเรียนเล่นระนาดเอก ฉันต้องซ้อมกลับดึกก็ว่าฉันไปอยู่กับผู้ชาย ทั้งที่ตอนนั้นฉันยังไม่รู้จักกับความรักที่เป็นเรื่องชู้สาวแต่เขาพูดจนฉันแตกฉานเลยล่ะ เวลาที่พ่อกลับมาบ้านแม่จะพูดกับฉันดีมากเลย “ลูกไปเอาของมาให้แม่หน่อยนะจ๊ะ” โอบกอดฉันทั้งที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เขาเคยว่าฉันเป็นกายังไงฉันก็ไม่มีทางที่จะเป็นหงส์ไปได้หรอก
ความรู้สึกนั้นฉันยังจำมันได้เสมอ ฉันถูกใช้งานที่มีอยู่ในบ้านทุกอย่าง กวาดบ้าน ถูบ้าน ล้างจาน เกี่ยวหญ้าให้วัวกิน ฉันทำได้ทุกอย่าง มาวันนี้แม้ว่าฉันจะไม่ได้อยู่กับแม่เลี้ยงของฉันแล้วก็ตาม แต่ก็ยังหวนคิดถึงเรื่องเก่าๆที่ผ่านมา ฉันคิดว่าสิ่งที่แม่เลี้ยงทำกับเรามันให้ประโยชน์กับเราหลายอย่าง ใครจะรู้ว่าเรายืนด้วยตัวของเราเองเราเคยผ่านเรื่องอะไรมาบ้างมันทำให้เราสู้ชีวิต อย่างน้อยก็ผ่านการอบรมสั่งสอนให้เป็นคนที่ดี รู้จักลงมือทำอะไรหลายๆอย่าง พึ่งพาตัวเองได้ ฉันไม่เคยคิดอกตัญญูแม่คนไหนซักคนฉันรักเขาเหมือนที่รักทุกๆคน ฉันไม่โกรธแค้น คำบางคำมันทำให้ฉันฮึดที่จะสู้ แม่เลี้ยงเคยพูดกับฉันว่า “ฉันไม่มีวันเรียนจบ ฉันจะต้องไปขายตัว ฉันต้องเหมือนแม่ของฉันที่มีสามีถึงสองคน ฉันไม่มีทางเป็นคนที่ดีได้” และตอนนี้ฉันเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้แล้ว มันเป็นก้าวแรกของฉัน ก้าวเพียงหนึ่งเท่านั้น ชีวิตของฉันยังต้องเจออะไรข้างหน้าอีกมากมาย ฉันก็ขอขอบคุณแม่เลี้ยงของฉันด้วยที่ได้ดูแลฉันในช่วงหนึ่งของชีวิตให้เป็นคนที่ดีฉันไม่มีวันลืมบุญคุณท่านแน่นอน ส่วนแม่แท้ๆของฉัน อยู่ที่จังหวัดอุบลราชธานี เลี้ยงน้องของฉันแม้ว่าน้องจะเรียนไม่เก่งอยู่ชั้นประถม6ยังอ่านหนังสือไม่ออกเขียนชื่อตัวเองยังเกือบจะไม่ถูก เพราะว่าตอนที่น้องเรียนอยู่ ป.2 น้องของฉันเป็นโรคประจำตัวคือ ภูมิแพ้ ต้องนอนอยู่ที่บ้านขาดเรียนนานจึงเรียนไม่ทันเพื่อน แม่ของฉันก็ไม่ได้จบสูงนัก แต่ฉันนั้นก็พอเรียนดีแต่ไม่ค่อยเก่ง (ไม่ได้ชมตัวเองเลยนะ) ฉันมีพื้นฐานจากที่ยายแม่ของแม่เลี้ยงสอนฉันให้อ่านหนังสือเป็นตั้งแต่ยังไม่เข้าอนุบาล อนุบาลฉันก็สามารถอ่านหนังสือพิมพ์คำยากๆได้แล้ว ยายปลูกฝังให้รักในการอ่าน กลับจากโรงเรียนก็ให้อ่านเลยทันที ตอนที่ฉันเรียนอยู่ ป.4 ก็มาเรียนที่อุบลฉันเลยมีความกล้าและสามารถที่อ่านหนังสือ ตอนกลางวันก็จะไปอ่านนิทานให้เด็กๆที่อยู่อนุบาลฟังที่ห้องสมุด และอาสาเป็น บรรณารักษ์น้อย ที่โรงเรียนวิภาคและก็ยังเป็นพิธีกรเก่าคอยให้ความรู้ในตอนพักกลางวัน ฉันภูมิใจในตัวเองมาก ตอนที่ฉันเรียนอยู่ป.5ฉันก็ย้ายไปเรียนอยู่ที่กรุงเทพ โรงเรียนทานสัมฤทธิ์ ที่จังหวัดนนทบุรี(บ้านเกิดฉันเอง)ฉันชอบที่จะทำกิจกรรมของโรงเรียน ตอนนี้เองที่ฉันรู้จักดนตรีไทย มีอยู่วันหนึ่งที่ฉันได้ยินเสียงที่อ่อนหวานมาจากข้างหลังของโรงเรียนฉันจึงเดินเข้าไปดูเห็นคุณครูคนหนึ่งนั่งเล่นเครื่องดนตรีลักษณะเป็นรางไม้ใช้ไม้ตีฉันจึงขอเข้าไปนั่งฟัง ทำให้เกิดความรู้สึกอย่างหนึ่งขึ้นมาฉันอยากที่จะจับมันเหลือเกิน ฉันค่อยๆเอามือลูบเพื่อสัมผัสและได้ใช้ไม้เคาะ ครั้งแรกในชีวิตที่ฉันได้จับจากนั้นฉันก็ขอให้คุณครูสอนเพลงแรกที่ฉันเล่นเป็นคือ ลาวดวงเดือน ต่อด้วยลาวจ้อย ลางเสี่ยงเทียน และก็เพลงอื่นๆที่ตามมา (ฉันหลงรักดนตรีไทยเข้าแล้ว) ฉันพัฒนาตัวเองตลอดเวลา จนฉันได้ย้ายไปเรียนประถม6ที่โรงเรียนสุนทรวัฒนา ที่ชัยภูมิไปอยู่กับแม่เลี้ยง จากนั้นดนตรีที่ฉันเล่นก็ห่างหายเพราะว่าที่นั่นไม่สนับสนุนดนตรีไทย แต่ฉันก็เล่นเพลงเก่าเพราะพ่อได้ซื้อระนาดให้หนึ่งตัว ประมาณ20000 บาทฉันดีใจ และรักระนาดของฉันมาก เมื่อฉันกลับมาจากโรงเรียนฉันจะมานั่งเล่นซ้อมมืออยู่ไม่ห่าง ชาวบ้านที่ได้ยินจะชอบมาก พวกเขาต่างก็บอกว่าไพเราะฟังแล้วขนลุก(ทุกคนต่างก็ชอบ)
“ ชนใดไม่มีดนตรีการ ในสันดานเป็นคนชอบกลนัก
อีกใครฟังดนตรีไม่เห็นเพราะ เขานั้นเหมาะคิดกบฏอัปลักษณ์
ฤาอุบายมุ่งร้ายฉมังนัก มโนหนักมืดมัวเหมือนราตรี
จิตใจย่อมดำสกปรก ราวนรกเช่นกล่าวมานี่
ไม่ควรใครไว้ใจในโลกนี้ เจ้าจงฟังดนตรีเถิดชื่นใจ “
และพ่อของฉันก็ได้ซื้อซอด้วงให้อีกหนึ่งตัวเป็นซอที่ไพเราะมากเสียงหวานจับใจ ฉันเข้าเรียนต่อในม.1ได้เพราะว่าดนตรีไทยฉันใช้โควตาความสามารถพิเศษ ตอนนั้นมีคนไปสอบประมาณ 20 คนได้ เอาแค่5คน ฉันเป็นคนที่3 ฉันตื่นเต้นมากตอนที่ไปสอบเพราะว่าฉันไม่ได้พัฒนาด้านเพลงเลย ฉันเล่นเป็นแต่เพลงเดิมๆ แต่ฉันก็ใช้เพลงเดิมๆที่ฉันมีนั่นแหละไปสอบฉันบรรเลงเพลง ลาวดวงเดือน และเขมรไทรโยก 2เพลง ฉันมั่นใจฉันเล่นสุดความสามารถแล้วแม้ว่ามันจะผิดอยู่หลายรอบด้วยความตื่นเต้นแต่ฉันก็ยิ้มสู้กับกรรมการเล่นผิดฉันก็ยังเล่นต่อไม่กลัว ไม่หยุดจนจบเพลง วันที่ประกาศผลฉันตื่นเต้นและก็รู้ว่าฉันเข้าเรียนได้ด้วยความสามารถของตนเองจริงๆจึงเป็นเรื่องที่ฉันภาคภูมิใจอีกเรื่องหนึ่ง ฉันเรียนที่โรงเรียนชัยภูมิภักดีชุมพลจนถึงมัธยม4 ฉันทำกิจกรรมให้โรงเรียนตลอดฉันจึงจัดได้ว่าเป็นเด็กกิจกรรม เราเพราะผลการเรียนของฉันออกมาไม่ได้ดูดีเลย แต่ฉันก็พอใจในสิ่งที่ฉันทำได้เกรดของฉัน ไม่เคยต่ำกว่า2.60 และไม่เคยจะเกิน2.9เลย คือพูดง่ายๆเลยว่าไม่เคยเห็น3.00ขึ้นมาบนแฟ้มผลการเรียนเลย แม่เลี้ยงของฉันอยากให้ฉันทำผลการเรียนที่ดีกว่านี้แม่เขาก็คงจะหวังกับเราบ้างล่ะ ลูกของเขาก็เรียนใช้ได้เลยทีเดียว คนเล็กก็เป็นเด็กที่ฉลาดพูดเก่ง แต่ถ้าถามถึงพ่อว่าพ่อคิดยังไงกับผลการเรียนของฉัน ฉันว่าพ่อคงเฉยๆ เมื่อเวลามาถึงพ่อมารับฉันและให้ไปเรียนอยู่กับแม่จริงๆของฉันที่จังหวัดอุบล ฉันเข้าเรียนที่โรงเรียนพิบูลมังสาหาร มาอยู่ที่นี่เจอเพื่อนใหม่ๆ การใช้ชีวิตก็แปลกกว่าที่เคยอยู่กับแม่เลี้ยง แม้ว่าจะมีบางครั้งที่ยังไม่คุ้นเคยกับคนที่บ้านนี้ก็ตามยิ่งแม่ฉัน มีบางครั้งที่ฉันเขินอายไม่กล้าพูดด้วย ไม่กล้าที่จะปรึกษาฉันก็กลัวพ่อเลี้ยงของฉันด้วยแหล่ะ มันมีความรู้สึกที่แปลกๆอาจจะเป็นเพราะว่าฉันยังไม่คุ้นเคยมั้ง ฉันเดินทางไปโรงเรียนไปกลับวันละ20กิโล ก็บ้านของฉันมันอยู่ห่างตัวเมืองนี่นา ถ้าไม่ทันรถฉันก็จะให้น้องขับมอเตอร์ไซค์มารับครึ่งทางเพราะมีรถในหมู่บ้านแค่คันเดียว และก็จะได้ของแถมด้วยคือการถูกดุนั่นเอง น้องฉันเรียนอยู่ในโรงเรียนประจำตำบล โรงเรียนหนองบัวฮี ตั้งแต่ฉันมาเรียนที่พิบูลฉันก็รู้จักอาจารย์หลายท่านเพราะฉันก็ยังเล่นดนตรีไทยและทำกิจกรรมอื่นๆไม่ว่าจะ ชอบประกวดอ่านทำนองเสนาะ (แต่ขอบอกก่อนนะว่าเสียงฉันจะไพเราะ ความจริงฉันกล้าที่จะเสนอหน้ามากกว่า..ฮิฮิ)ก็แน่สิถ้าฉันไม่ทำในห้องเรียนเขาให้ส่งตัวแทนหนึ่งคนก็ไม่มีใครไปเพื่อนก็จะบอกแต่ว่าเธอนั่นแหล่ะตลอดเลย มันก็ดีนะทำให้เรารู้ว่าเพื่อนไว้วางใจฉัน แต่ว่า.................พอถึงเวลาประกวดจริงๆกลับไม่มีใครโผล่หน้ามาดูเลย...เฮ้ย เอ๊ะแต่มีอยู่หนึ่งคนนะ คนนี้เขาเป็นคนที่มาชอบฉัน (แน่ๆๆ.....คิดอยู่ละสิว่าหน้าตาแบบนี้ก็มีคนมาชอบหรอ) แน่นอนคนเรามันก็มีบ้างฮิฮิ ก็ตอนที่ฉันย้ายมาที่นี่ตอนแรกนะสิฉันต้องออกมาแนะนำตัวเขาบอกกับฉันว่าฉันน่ารักมากเลยล่ะ พูดไปก็เขินเหมือนกัน เขาชอบฉันตั้งแต่แรกเห็นเลย เอาเถอะตอนนี้เราก็คบกันอยู่เขาเป็นคนที่ดีเหมือนเดิมแม้เราจะเรียนมหาวิทยาลัยแล้วเขายังเสมอต้นเสมอปลายกับฉันเหมือนเดิม ผ่านก่อนนะเรื่องนี้ ฉันเรียนจนจะจบม.6แล้ว ตอนนี้ก็เป็นตอนที่เราต้องเลือกที่จะเรียนและเส้นทางชีวิตแล้ว ความจริงแล้วฉันอยากเป็นครูสอนดนตรีไทยตั้งแต่ ม. 1 มาจนถึง ม. 4 ต้องมาถอดใจและสับสนก็ตอน ม. 5 เพราะที่พิบูลไม่สนับสนุนดนตรีไทยเลย เครื่องดนตรีก็ไม่พร้อมและยังไม่มีครูที่จะมาสอนฉันก็เลยห่างดนตรีไทยไปเรื่อยๆทั้งที่ฉันก็มีระนาดที่ตั้งอยู่ที่บ้าน มีครูดนตรีมาสอนก็ ม. 6 แล้ว ฉันก็ไม่รู้จะเรียนอะไรซักเท่าไหร่แต่ก็อยากเป็นครูแนะแนว ฉันชอบพูดชอบเป็นผู้นำ
แต่ฉันไม่ได้เป็นคนที่เก่งหรอกฉันยังต้องเรียนรู้อะไรอีกเยอะเลย เขาบอกว่า”เหนือฟ้ายังมีฟ้า” วันหนึ่งก็มีโควต้าของมหาวิทยาลัยมหาสารคามมาฉันซื้อใบสมัครมาและมานั่งดูว่าฉันจะลงเรียนอะไรดีฉันอยากเรียนสิ่งที่ฉันอยากจะเป็นมากที่สุด มีคนเคยบอกว่า “เรียนในสิ่งที่งานต้องการงานเขารองรับอะไร ก็เรียนอันนั้นแหล่ะ” ฉันก็ถามเขาว่า “เราไม่ชอบก็ต้องเรียนหรอ” เขาตอบว่า “เรียนที่ชอบจบมาตกงาน จะเอาหรอ?” ฉันคิดว่าฉันเรียนในสิ่งที่ฉันชอบและอยากจะเรียนจริงๆดีกว่าฉันว่ามันง่ายกว่ากันเยอะเลย ฉันอยากที่จะเป็นคนที่พูดกับคนนั้นคนนี้ ช่วยเหลือคนอื่นๆ พยาบาลหรอ ไม่เอาหรอกถึงเรียนก็คงไม่จบ ฉันเห็นสาขาหนึ่งที่น่าเรียนมากคือ ศึกษาศาสตร์ จิตวิทยา ฉันใช้ปากกาขีดเส้นใต้ไว้ฉันไปหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ตว่าจิตวิทยาคืออะไร เมื่อฉันแน่ใจ ฉันก็ลงสาขาแรก จิตวิทยา สาขาที่สอง ปฐมวัย เพราะฉันชอบเด็กๆ พอถึงวันที่มาสอบสัมภาษณ์ฉันเดินทางมาที่สารคามด้วยความตื่นเต้น วันนั้นฉันมากับเพื่อนๆและคุณครู ท่านเป็นคุณครูแนะแนวที่โรงเรียนเรามาด้วยกันหนึ่งคันรถบัสใหญ่ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมมันจะโอเว่อร์ขนาดนั้นใครๆเขาก็มองว่าพวกนี้จะขนกันไปไหนฉันออกจากอุบลตอนตี 1 มาถึงมหาสารคามก็ 05.00 โดยประมาณ อืมฉันลืมบอกไปว่าฉันจองมหาวิทยาลัยนี้ไว้แล้ว ฉันไม่ลงโควต้าที่ไหนเลยฉันมั่นใจว่าถ้าดืที่นี่ฉันจะเรียนอยู่ที่นี่แต่ถ้าฉันไม่ได้ฉันจะลงแอดมินชั่นและถ้าไม่ได้ฉันก็จะไม่เรียนและรอแอดมิดชั่นเข้าสาขานี้อีกในปีต่อไป ถ้าพูดไปคงจะไม่น่าเชื่อแต่รับรองว่าจริงๆฉันตั้งใจไว้ว่าอย่างนั้น ....เมื่อฉันมายืนแหงนหน้ามองตึกศึกษาศาสตร์ ฉันตื่นเต้นยิ่งขึ้น และไม่นานก็มีพี่สาวแสนสวยมาดึงไปและถามฉันว่ามาสอบสาขาไหนฉันก็ตอบไปว่า สาขาจิตวิทยา ฉันได้ยินพี่พูดเบาๆว่า คิดยังไงมาเรียนเอกนี้นะ ฉันได้เดินต่อไปเพื่อไปหาเพื่อนและก็มีพี่พาขึ้นไปบนตึกศึกษาศาสตร์ นั่งรออยู่ที่ ไอที2ตั้งแต่เช้าจนบ่าย ก็เพราะว่ามีคนมาสอบประมาณ 100 กว่าคนได้เยอะจริงๆแล้วฉันก็ได้เข้าสอบ 4 คนสุดท้ายกับอาจารย์อารยาฉันมีความรู้สึกกลัวเล็กน้อย แต่ทุกอย่างก็ผ่านไปด้วยดีถึงวันประกาศผลฉันเห็นว่าทุกคนติดฉันรีบไปจ่ายเงินและยืนยันทันที และก้าวแรกของฉันก็เริ่มขึ้นด้วยความภาคภูมิใจที่ได้มายืนอยู่ที่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม วันที่ฉันมาเรียนฉันก็ได้เจอเพื่อนคนแรกของฉันเขาชื่อว่า บุ๋ม เขาผมสั้นมากดูท่าทางแล้วก็เหมือนทอมมากกว่าตั้งแต่เราเจอกันเราก็เป็นเพื่อนกันมาโดยตลอดและเราก็มีเพื่อนมาเพิ่มอีก 4คน ทั้งหมดก็มี หนูหนึ่ง บุ๋ม แป้ง ตั๊ก อุ๋มอิ๋ม จ๋า ทั้งหมด 6 คน เราเป็นเพื่อนที่ไปไหนไป
ด้วยกัน ถือได้ว่าเป็นเพื่อนสนิทเลยล่ะ อาจจะมีบางครั้งที่ความคิดเราสวนทางกันแต่ก็ลงเอยด้วยการเข้าใจกัน จำเป็นไหมที่เราเรียนจิตวิทยาเราต้องเข้าใจทุกๆคนบนโลก ฉันขอบอกเลยว่าไม่จริง ในบางครั้งฉันก็ไม่เข้าใจคนบางคนเพราะเข้าใจยากมากแต่ฉันก็ยิ่งอยากที่จะเรียนรู้ฉันว่าฉันมาเรียนสาขานี้เป็นสาขาที่ท้าทายในทุกๆด้านวันที่มาที่นี่วันแรกๆพ่อได้เอาของใช้มาให้ที่หอพัก มีคำพูหนึ่งที่ทำให้ฉันสู้และอดทนต่อสิ่งต่างๆรอบตัวได้ฉันถามพ่อว่า ถ้าหนูเรียนได้เกรดไม่ดีพ่อจะว่าหนูไหม พ่อได้ตอบหนูว่า ลูกมาเรียนที่นี่ลูกต้องพึ่งตนเองไม่มีพ่อแม่ที่ไหนจะอยู่กับลูกไปนานแสนนานหรอกซักวันลูกต้องยืนอยู่บนขาทั้งสองข้างของตนเอง และถ้าลูกทำเกรดออกมาไม่ดีหรือว่าเครียดจากการเรียนก็อย่าไปทำในสิ่งที่ไม่ดีทำร้ายตนเอง ลูกของพ่อไม่ต้องเรียนเก่งเพื่อแข่งขันกับใครแต่ลูกต้องแข่งกับตัวของลูกเอง หรือถ้าวันไหนอกหักหรือเกิดเรื่องที่ไม่ดีขึ้นจนทำให้ให้ลูกรู้สึกผิดและคิดที่จะฆ่าตัวตาย ลูกจำไว้เลยว่าพ่อพร้อมที่จะให้อภัยลูกเสมอและจะอยู่ข้างลูกตลอดไป ฉันรู้สึกรักพ่อยิ่งๆขึ้นและทำให้ฉันสู้เพื่อตัวของฉันเอง ฉันคิดในใจว่าฉันก็ผ่านอะไรมาเยอะทั้งความสุขหรือแม้กระทั่งความทุกข์ ฉันว่าฉันพร้อมกว่าคนอื่นๆและมีบางสิ่งที่มากกว่าคนอื่นแม้จะไม่ใช่ความร่ำรวย ความเพียบพร้อม มีโทรศัพท์ให้เปลี่ยนทุกๆปี มีสร้อยทอง มีแหวน มีกระเป๋าแบรนด์เนม มีชุดสวยๆใส่ หรืแม้กระทั่งการท่องราตรียามค่ำคืน อย่างหนึ่งล่ะที่มีมากกว่าคนอื่นคือ ประสบการณ์ชีวิตแม้จะใช้เวลาเพียงค่อนชีวิตที่มีความสุขทั้งกายและใจและเมื่อความสุขนั้นหายไปฉันก็ไม่เคยลืมเลยว่านี่เป็นแค่เพียง “เสี้ยวหนึ่งของชีวิต” และฉันต้องเดินก้าวไปอีกยาวไกล ล้มบ้างก็ลุกได้อีก ด้วยขาของฉันเองนี่แหล่ะ.................รักพ่อและผู้มีพระคุณ
นางสาวอาศุ อุทารจิตต์ (หนูหนึ่ง) 52010517053
คณะศึกษาศาสตร์ สาขาจิตวิทยา
(เยอะหน่อยนะคะเพราะตอนแรกบอกว่า5หน้าไม่รู้ว่าจะตัดตรงไหนออก)สวัสดีค่ะ
""""""""""""
นางสาวสุกษมา เพียรหา รหัสนิสิต 52010517120
ตั้งแต่ฉันเกิดมาลืมตาดูโลก ฉันได้เรียนรู้อะไรหลายๆอย่าง ฉันเกิดมาในครอบครัวที่อบอุ่น ทุกคนให้ความรักความเอาใจใส่ฉันเป็นอย่างดี พ่อแม่สอนให้ฉันเป็นคนดี และรู้จักการเอาตัวรอดในสังคมที่จะเผชิญในอนาคต ในบางครั้งฉันเองก็คิดว่าฉันจะเกิดมาทำไม เกิดมาเพื่ออะไร ตอนเป็นเด็กทุกคนเอาใจ และเลี้ยงดูเป็นอย่างดี ฉันจึงเป็นเด็กที่ไม่ค่อยมีปัญหา แต่เมื่อฉันเริ่มเข้าเรียนในระดับอนุบาลฉันได้เจอเพื่อนใหม่ ได้เรียนรู้สังคมกว้างมากขึ้น ฉันเรียนหนังสือได้คะแนนดีมาโดยตลอด แต่ฉันเองก็ยังคิดว่าฉันมีเพียงแต่ความรู้ในหนังสือเท่านั้น แต่ความรู้จากการเรียนรู้ในชีวิตจริงฉันไม่มี ฉันปิดกั้นตัวเองในเรื่องต่างๆ ฉันไม่เคยสนใจโลกภายนอกเลย นอกจากจะมีคนมาเล่าให้ฟัง ฉันพยายามจะเข้าใจและเรียนรู้ด้วยตนเองมากขึ้น เมื่อฉันขึ้นชั้นประถม ฉันเข้าแข่งขันต่างๆมากมาย ไม่ว่าจะเป็น วาดภาพ คัดลายมือ เขียนเรื่องสั้น การประดิษฐ์ดอกไม้แห้ง ซึ่งสิ่งเหล่านี้ฉันก็เรียนรู้จากในห้องเรียนอีกนั่นแหละ ถ้าถามว่าฉันทำไมไม่เป็นเหมือนเพื่อนๆที่เวลาว่างก็ไปเล่นด้วยกัน แต่เวลาว่างสำหรับฉัน ฉันกลับมาทำการฝึกซ้อมเหล่านี้ ฉันเองก็ไม่ได้เป็นคนมีเพื่อนเยอะมากมายสักเท่าไหร่ ส่วนใหญ่เพื่อนๆเขาจะไม่ค่อยสนใจอะไรเหล่านี้ มีบางครั้งที่ทะเลาะกันบ้างเพราะฉันเป็นคนบ้างาน คือ การทำงานของฉันถ้าคิดจะทำแล้วต้องทำให้เสร็จ ฉันจะไม่ปล่อยไว้เป็นดินพอกหางหมูแน่นอน แต่ในบางครั้งก็มีบ้างถ้ามันด่วนจริงๆ
ตอนเรียนชั้นประถมฉันเป็นที่รักของครูอาจารย์ที่โรงเรียนพอสมควร ถึงแม้จะเป็นโรงเรียนตามชนบทก็ตาม แต่ฉันก็ภูมิใจ สิ่งที่ฉันภูมิใจมากอีกอย่างหนึ่งคือฉันเข้าประกวดเขียนเรื่องสั้น เล่าเรื่องจากภาพ ฉันได้รางวัลชนะเลิศมา และประกวดการประดิษฐ์ดอกไม้แห้ง ฉันก็ได้รางวัลชนะเลิศมา อาจารย์เอาเรื่องราวของฉันไปลงในหนังสือ “ เพื่อนครู อุบล ” หลังจากแข่งเสร็จเป็นเวลาประมาณ สองสัปดาห์ อาจารย์ที่โรงเรียนก็เอามาให้ฉันดูและเอาไปให้พ่อกับแม่ดู ฉันภูมิใจมาก ฉันเป็นที่รู้จักของคนทั่วไปมากขึ้น ฉันภูมิใจในสิ่งที่ฉันทำ ฉันทำให้พ่อกับแม่มีความสุข ตั้งแต่นั้นมาทางโรงเรียนก็ส่งฉันเป็นตัวแทนโรงเรียนเข้าประกวดต่างๆ และเล่นกีฬาด้วย ฉันภูมิใจมากในการเล่นกีฬา ฉันหากดูภายนอกแล้วอาจจะดูเป็นคนเรียบร้อย อ่อนไหว แต่ในความเป็นจริงแล้ว ฉันเหมือนผู้ชายซะด้วยซ้ำ เล่นเหมือนผู้ชาย แข็งกระด้างในบางครั้ง ฉันเป็นนักกีฬาตระกร้อของโรงเรียน
คว้ารางวัลมาสร้างชื่อเสียงให้กับโรงเรียน แต่สุดท้ายฉันก็เลิกเล่นตระกร้อไปตอนฉันเข้ามัธยมต้ม ตอนฉันอยู่ชั้นประถม 6 ฉันเครียดมากเพราะตอนนั้นเริ่มมีโครงการบังคับให้เรียนถึงชั้นม. 3 แล้วพอดีทางโรงเรียนได้เปิดเป็นโรงเรียนนำร่องโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา อาจารย์บังคับให้ฉันเรียนต่อที่นี่ แต่ใจจริงฉันอยากเข้าไปเรียนในตัวเมือง เพราะพี่สาวก็เรียนอยู่ที่นั่น ฉันเครียดมากจนทำให้ผลการเรียนจากที่เคยเป็นที่หนึ่งของห้อง ฉันตกไปเป็นที่ห้าของห้อง ตอนนั้นฉันไม่รู้ว่าฉันต้องทำยังไงบ้าง ฉันพยายามสืบค้นข้อมูล วันรับสมัคร ของโรงเรียนที่ฉันอยากจะไปเรียน ฉันบอกแม่ว่าฉันไม่อยากอยู่ที่นี่เพราะเหตุผลหลายอย่างที่ฉันยกมาอ้าง ไม่ว่าจะเป็น อาจารย์สอนไม่เพียงพอ ความรู้อาจจะไม่แน่นพอเพราะเป็นโรงเรียนขยายโอกาส และที่สำคัญฉันอยากพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าฉันทำได้ ตอนเป็นเด็กฉันนั่งรถทีไรเป็นต้องอวก ฉันจึงพยายามพิสูจน์ตัวเอง ฉันสอบเข้าโรงเรียนที่ฉันอยากเข้าจนได้ ฉันมาปรึกษาแม่ว่าฉันต้องปรับตัวอย่างไรบ้าง ฉันต้องทำยังไงในการใช้ชีวิต และอีกหลายๆเรื่อง แม่คือผู้ที่ให้คำปรึกษาที่ดีสำหรับฉัน ฉันพยายามปรับตัวให้เข้ากับเด็กในเมืองให้ได้ ให้เขายอมรับในตัวฉัน ซึ่งก็ใช้เวลาพอสมควร ฉันเข้าเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น ซึ่งฉันพยายามปรับตัวเองเสียใหม่ในหลายๆเรื่องไม่ว่าจะเป็นการตื่นนอน การทานข้าว การแต่งตัว การคบเพื่อน เนื่องจากสังคมในเมืองมันล่อแหลมมาก ฉันพยายามระมัดระวังในทุกๆเรื่อง ฉันตื่นแต่เช้าอาบน้ำแต่งตัว รับประทานอาหารเช้า แล้วก็มานั่งรอรถอยู่ที่หน้าบ้าน ฉันเดินทางไปโรงเรียนใช้เวลาประมาณ หนึ่งชั่วโมงได้ ระยะทางก็ประมาณห้าสิบกิโลเมตร จากบ้านถึงโรงเรียน ฉันจึงต้องขยันเป็นพิเศษเพราะฉันต้องการพิสูจน์ว่าฉันทำได้
ฉันใช้ชีวิตในรูปแบบนี้เป็นเวลาสามปีได้ ฉันพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าฉันทำได้ต่อจากนั้นพ่อกับแม่ก็เริ่มไว้ใจฉันมากขึ้น ฉันจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่สามด้วยเกรดเฉลี่ย 3.67 ฉันทำให้คำดูหมิ่นเหยียดหยามของหลายคนต้องจบลง แต่หลายคนก็ยังคงคิดต่อว่าเดี๋ยวก็จะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ เพราะอยู่ในสังคมแบบนี้ถ้าไม่เก่งจริงก็เอาตัวไม่รอด ฉันจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่สามแล้ว เพื่อนก็ชวนไปสมัครเรียนที่โรงเรียนประจำจังหวัด ฉันกลัวว่าฉันจะปรับตัวเข้ากับสังคมของลูกคนรวยไม่ได้ ฉันคิดหลายรอบมาก แต่ฉันเองก็อยากจะลอง จึงตัดสินใจปรึกษาพ่อกับแม่ พ่อกับแม่ท่านก็ไม่ว่าอะไร กลับสนับสนุนอีก ฉันก็ยิ่งมีกำลังใจมากขึ้น ฉันไปสมัครเรียนโรงเรียนที่ฉันไม่คิดว่าจะไม่เข้าเรียนเลยด้วยซ้ำ เพราะฉันคิดว่ามันไม่เหมาะกับคนอย่างฉัน ฉันต้องปรับตัวอีกและต้องอยู่ให้ได้ มีหลายคนถาม
ว่าจะไปสอบเข้าโรงเรียนนี้ทำไมไม่ไปกวดวิชา ทำไมไม่อ่านหนังสือ ขนาดลูกของฉันทั้งกวดวิชา ทั้งเรียนพิเศษยังเข้าไม่ได้เลย ฉันเองก็ยังเฉยเพราะฉันไม่คิดที่จะเข้าอยู่แล้ว ในช่วงเวลาก่อนสอบนั้นมันเป็นช่วงปิดเทอม ฉันไม่อ่านหนังสือไม่เตรียมตัวอะไรทั้งนั้น แต่ฉันกลับมุ่งมั่นที่จะช่วยพ่อแม่ทำงานมากกว่า ที่บ้านของฉันทำผ้าห่ม ทำผ้าเช็ดเท้าขายเป็นกลุ่มแม่บ้าน ซึ่งตอนนี้อยู่ในระดับ 4 ดาวแล้ว ป้าของฉันเป็นประธานกลุ่ม และญาติๆก็ช่วยกัน รวมทั้งชาวบ้านในหมู่บ้านก็ให้ความสนใจเข้ามาร่วมกลุ่ม ช่วยกันผลิตผ้าออกจำหน่ายหารายได้เข้าชุมชนและครอบครัว ฉันเองก็มีส่วนช่วยในการทำหนังสือทางราชการส่งให้หน่วยงานต่างๆในกรสนับสนุน เมื่อถึงวันสอบจริง ฉันไปสอบแบบสบายๆไม่คิดอะไรเลย ทำข้อสอบก็แทบจะไม่อ่านเลยด้วยซ้ำ ผิดกับเพื่อนอีกคนหนึ่งที่เขาตั้งใจจะเข้าโรงเรียนนี้ให้ได้ เขาตั้งใจอ่านหนังสือตลอด ในห้องสอบฉันทำข้อสอบเสร็จก่อนเพื่อน และออกจากห้องสอบก่อนเพื่อน สอบเสร็จฉันรีบกลับบ้าน เมื่อวันที่รายงานตัวโรงเรียนเดิมฉันก็ไปรายงานตัวแบบตั้งใจ และเป็นวันเดียวกันกับที่อีกโรงเรียนประกาศผลสอบ ฉันไม่ไปดูรายชื่อผู้ผ่านการสอบเสียด้วยซ้ำเพราะฉันคิดว่าฉันไม่ได้แน่ๆ ฉันรายงานตัวเสร็จกำลังจะกลับบ้าน เพื่อนคนที่ไปสอบด้วยกัน เขาไปดูผลสอบมา ปรากฏว่าเขาสอบไม่ติดแต่ฉันสอบติด เขาเครียดมากและเขาก็ต้องเรียนที่โรงเรียนเดิม เขาถามฉันว่าสอบติดแล้วไม่ดีใจหรอ ฉันตอบเขาว่าฉันรู้สึกเฉยๆเพราะฉันไม่หวังที่จะไปเข้าอยู่แล้ว เมื่อฉันกลับมาถึงบ้านมาเล่าให้แม่กับพ่อฟังว่าสอบติด พ่อกับแม่ก็ไม่รู้ว่าฉันดีใจหรือเสียใจกันแน่ ฉันเองก็รู้สึกเฉยๆ ก่อนที่ฉันจะตัดสินใจ ฉันปรึกษากับญาติๆทุกคน ลุงถามว่าทำไมถึงไม่อยากไปเข้าเรียนที่นั่น ฉันบอกว่าฉันกลัวว่าฉันจะไม่มีเพื่อน เพราะเพื่อนเก่าไม่มีไปเลย และอีกอย่างค่าใช้จ่ายก็ต้องเพิ่มมากขึ้นด้วย กลัวว่าพ่อกับแม่จะส่งเรียนไม่ไหว ฉันจึงได้คำตอบจากลุงว่า เพื่อนน่ะไปหาเอาข้างหน้าก็ได้ เพื่อนเขามีไว้ให้ศึกษา จะมัวอยู่แต่กับคนเดิมๆโดยที่ตัวเองไม่ยอมเปิดโอกาสให้กับตัวเองเลยที่จะพบคนในรูปแบบต่างๆกัน และเรื่องค่าใช้จ่ายไม่ต้องห่วงเดี๋ยวลุงจะช่วยอีกแรง เมื่อฉันได้ฟังอย่างนี้ฉันเองก็เริ่มมีกำลังใจมากขึ้นจึงบอกกับตัวเองว่า ฉันน่าจะลองดูไม่น่าจะมีอะไรเสียหาย ในเมื่อโอกาสมันมาถึงแล้วต้องรีบคว้าเอาไว้ แล้วอีกอย่างคือโรงเรียนนี้เป็นโรงเรียนที่มีชื่อเสียงพอสมควร ใครๆก็อยากจะเข้าไปเรียนทั้งนั้น ถ้าไม่ลองก็ไม่รู้ ชีวิตนี้เกิดมาเพื่อเรียนรู้
ฉันเริ่มก้าวเข้ามาเรียนในโรงเรียนประจำจังหวัด ฉันรู้สึกภูมิใจเป็นอย่างมาก ถึงฉันจะไม่ได้เก่งอะไรแต่ฉันคิดว่าฉันมาถึงจุดนี้ได้ก็ถือว่าฉันทำได้ดีที่สุดแล้ว ฉันมาถึงจุดนี้
แล้วฉันเองก็ยังไม่พ้นจากคำพูดที่เสียหายต่างๆ เขาพูดจาไม่ให้เกียรติ พูดจาดูถูกเหยียดหยามเราสารพัด ฉันเองก็ได้แต่บอกกับแม่ว่าสักวันฉันจะทำให้พวกเขาพูดไม่ออกแม่คอยดูนะ และแม่กับพ่อก็ไม่ต้องเป็นห่วงให้เราทุกคนทำตามหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุดเท่านี้ก็พอแล้ว ฉันรู้ว่าแม่เองก็ยังคิดมาก เพราะสังคมในเมืองกับสังคมชนบทมันต่างกันมาก ทั้งผู้คน ทั้งการอยู่การกินการดำเนินชีวิต จะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ฉันเรียนชั้นมัธยมปลายในโรงเรียนประจำจังหวัด และระยะทางมันไกลกว่าเดิม รถเที่ยวเช้าก็ไม่มี ฉันกับพี่สาวอีกสองคนจึงจำเป็นที่จะต้องย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองเช่าหอพักอยู่ด้วยกันสามคนพี่น้อง แต่หอพักที่ว่าก็เหมือนบ้านเพราะเป็นหอพักของอาจารย์ที่สอนตอนประถมซึ่งปัจจุบันท่านก็ยังสอนอยู่ที่บ้านของฉัน เวลามีอะไรท่านก็ช่วยเหลือเราได้ เพราะบ้านท่านก็อยู่ติดกับหอพักนั่นแหละ แม่ให้ความไว้วางใจให้ฉันมาอยู่กับท่าน และฉันก็สัญญาว่าจะไม่สร้างความเดือดร้อนให้ท่านเป็นอันขาด ฉันอยู่หอพักนี้อบอุ่นดี ท่านดูแลดีทุกอย่าง เป็นแม่คนที่สองของฉันเลยก็ว่าได้
ชีวิตในชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายของฉันวุ่นวายมาก ไหนจะเป็นการปรับตัวเข้ากับเพื่อนใหม่ การเรียนที่เข้มข้นขึ้น และอีกหลายๆอย่างที่ฉันต้องเรียนรู้ด้วยตนเอง ยิ่งพี่สาวของฉันเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับฉัน ฉันเห็นความขยันของพี่ฉันจึงทำตาม ตอนนี้พี่สาวของฉันเรียนอยู่ที่วิทยาพยาบาลบรมราชชนนี นนทบุรี เรียนพยาบาลอยู่ปีที่สามแล้ว ยังเป็นคนที่ขยันเช่นเคย ตั้งใจเรียน และไม่ทำให้พ่อแม่ผิดหวัง พี่สาวของฉันสอบชิงทุนได้จึงทำให้พ่อกับแม่ลดภาระค่าใช้จ่ายลงบ้าง ฉันเห็นพี่ของฉันตอนเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย ทำทุกอย่างทั้งเรียน ทั้งกิจกรรม บางครั้งพี่ก็บอกว่าเหนื่อยแต่พอนึกถึงพ่อกับแม่ทีไรมันก็หายเหนื่อยทุกที เพราะคิดว่าพ่อกับแม่เหนื่อยยิ่งกว่าเราอีกหลายเท่าท่านยังผ่านมันไปได้ ฉันอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ฉันเริ่มปรับตัวเข้ากับทุกคนได้แล้วเริ่มรู้จักคนมากขึ้น เริ่มเข้าใจตัวเองมากขึ้นว่าตัวเองต้องการอะไรบ้าง ฉันเริ่มเข้าไปช่วยทำงานในห้องแนะแนวของโรงเรียน ฉันได้เรียนรู้งานต่างๆมากมาย ได้เรียนรู้บุคลากรในโรงเรียนมากขึ้น ได้พูดคุยได้รู้จักคนมากขึ้น เมื่อฉันอยู่ชั้น ม. 6 ฉันเริ่มเรียนหนักขึ้นเรื่อยๆ แล้วยังต้องสอบอีก งานห้องแนะแนวก็เยอะและมีแต่งานด่วนๆทั้งนั้น ฉันพยายามทำหน้าที่ตามที่ฉันได้รับมอบหมายอย่างเต็มที่ และเต็มความสามารถ มีช่วงหนึ่งที่งานด่วนมากๆฉันต้องเรียนและทำงานด้วยพร้อมกันเพราะถ้าฉันไม่ทำ งานก็ไม่เสร็จ ฉันเคยทำงานอยู่ที่โรงเรียนดึกจนถึงเกือบเที่ยงคืน ทุกคนเป็นห่วงมาก แต่ฉันก็ไม่ได้ทำตัวเหลวแหลกอะไร ฉันโทรบอกอาจารย์ที่หอพัก
และโทรบอกทุกคนเพื่อไม่ให้ท่านเป็นห่วง วันนั้นทำงานเสร็จฉันรู้สึกโล่งมากๆ เหมือนยกภูเขาออกจากอก มันเป็นความภาคภูมิใจที่บอกไม่ถูกเหมือนฉันประสบความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ประมาณนั้นได้ ฉันรู้ว่าฉันเริ่มก้าวเข้ามาทำงานในส่วนนี้ มันเหนื่อย แต่ถึงจะเหนื่อยเพียงใดแต่ถ้าใจมันรักมันก็สู้ ช่วงโควตาของมหาวิทยาลัยต่างๆมา ฉันบอกแต่เพื่อนๆ ฉันไม่สมัครเองฉันอยากให้เพื่อนๆได้ที่เรียนที่ดี ส่วนฉันตอนนั้นยอมรับว่าไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไรกันแน่ อยากเรียนนั่น แต่กลับชอบนี่ ฉันตัดสินใจไม่ได้ เมื่อผ่านรอบโควต้าเรียบร้อยฉันจะรอโควต้าของวิทยาลัยพยาบาลอย่างเดียว ฉันคิดว่าฉันอยากเป็นพยาบาลเหมือนพี่สาว ซึ่งพ่อกับแม่เองก็อยากให้ฉันเรียนพยาบาลเช่นกัน ฉันลองสมัครไปในรอบแรก ใช้โควตาบุตร อสม. เหมือนโชคชะตาจะไม่เข้าข้าง วันประกาศผล ฉันมีชื่อติด แต่ฉันหาชื่อฉันเท่าไหร่ก็ไม่เจอ ฉันเลยไม่ได้สอบสัมภาษณ์ พอผลสอบสัมภาษณ์ออกมีคนบอกว่าฉันมีชื่อสอบสัมภาษณ์ทำไมฉันไม่ไปสอบ ฉันรู้สึกผิดหวังมาก แต่ฉันก็ไม่ละความพยายาม ฉันรอรอบสองอีก แล้วฉันก็สมัครอีก แต่ฉันก็ไม่ติดอีก ก็เลยบอกกับแม่ว่าฉันคงไม่เหมาะกับการเรียนพยาบาลหรอก มาถึงเวลานี้แล้วแม่ก็ไม่ว่าอะไร แม่บอกว่าให้ฉันเรียนในสิ่งที่ตัวเองชอบดีกว่า แม่ไม่อยากบังคับ และฉันก็เลือกเรียนในส่วนตรงนี้คือ จิตวิทยา ฉันเลือกเรียนในตรงนี้เพราะฉันคิดว่าฉันน่าจะทำได้ดี เพราะฉันคลุกคลีกับงานตรงนี้มาพอสมควรพอจะรู้แนวทางในการทำงานมาบ้าง แม่ก็ตามใจ และที่ฉันดีใจคือ ในตอนนี้แม่ของฉันถูกส่งเข้าประกวด อสม. ดีเด่น ในด้านจิตวิทยา ซึ่งแม่บอกว่าฉันมีส่วนช่วยคือเขาดูว่าลูกเรียนอะไรบ้าง ซึ่งตรงกับที่ฉันเรียนพอดี ตอนนี้ก็รอประกวดระดับจังหวัดและระดับภาค ฉันจึงบอกกับแม่ว่าฉันจะทำในส่วนของตรงนี้ให้ดีที่สุด และจะตั้งใจเรียน ฉันจะไม่ทำให้ใครมาว่าครอบครัวของฉันเสียๆหายๆอีกต่อไป มาถึงตอนนี้ฉันเรียนมหาลัยแล้วฉันโตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นและฉันก็รู้ว่าอะไรเป็นอะไรมากขึ้น และฉันบอกว่าฉันจะทำทุกอย่างเพื่อให้พ่อกับแม่สบายทั้งกายและใจ ฉันจะเป็นลูกที่ดี และทำให้พ่อแม่ภูมิใจในตัวฉัน ฉันเดินมาถึงจุดๆนี้ได้ฉันก็ภูมิใจ และฉันก็กลับกลายเป็นคนแปลกหน้าสำหรับทุกคนในหมู่บ้านเพราะทุกคนไม่เคยเห็นหน้าฉัน แทบจะไม่รู้ว่าฉันเป็นลูกของใครซะด้วยซ้ำ ชีวิตที่ผ่านมาของฉัน ฉันเจออะไรต่างๆมากมาย บางทีฉันก็รู้สึกท้อ รู้สึกเหนื่อย แต่ฉันก็ยังผ่านมันมาได้ แล้วอนาคตของฉันฉันเป็นคนที่จะกำหนดมันเอง ฉันต้องทำให้ได้ และที่สำคัญฉันจะไม่ทำให้พ่อกับแม่เดือดร้อนเป็นอันขาด ที่ผ่านมาฉันเอาคำต่อว่า คำดูถูกของคนมาคิด ฉันคิดว่ามันเป็นสิ่งที่ดี มันเป็นกำลังใจของฉันอีกอย่างหนึ่ง เหมือนที่เขา
ด่าฉันก็คิดว่ามันเป็นคำชม มาคิดๆดูแล้วฉันเองมันก็แปลกคนเหมือนกันเนอะ บางครั้งฉันยังตลกตัวเองเลยว่าฉันจะทำไปเพื่ออะไร ทำไปทำไม ในเมื่อมันไม่ได้ช่วยให้ทุกอย่างดีขึ้นมาหรือแย่ลงไปเลย ตัวฉันในปัจจุบันนี้ไม่ขออะไรมากไปกว่านี้ แค่มีชีวิตที่ดี มีความสุขกับการได้เกิดมาก็เพียงพอแล้ว และก็ทำทุกวันให้เป็นวันที่มีค่ามากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ความสุขของฉันมันอยู่ที่ใจ ถ้าใจคิดดีทุกอย่างมันก็จะดีเอง
ขอโทษทีนะค่ะอาจารย์ เกินมานิดนึง ไมม่รู้จะตัดออกตรงไหน เลยเอามาหมดเลยค่ะ
นางสาวอาติญา ไชยยศ ส่งงาน ดร.รังสรรค์ โฉมยา
ชื่อ-นามสกุล นางสาวอาติญา ไชยยศ 52010521007
ชื่อเล่น ครอบครัวเรียก ดักแด้ เพื่อนเรียน นังแด้
วัน/เดือน/ปีเกิด วันอาทิตย์ที่ 10 มีนาคม 2534
สถานที่เกิด โรงพยาบาลร้อยเอ็ด
ที่อยู่ ร้อยเอ็ดคือถิ่นฐานบ้านเกิด
556 ถ.รญชัชชาญยุทธ ต.เหนือเมือง อ.เมือง จ.ร้อยเอ็ด
การศึกษา จบเตรียมอนุบาลโรงเรียนสรีสินร้อยเอ็ด
จบอนุบาล- ป.6 โรงเรียนอนุบาลร้อยเอ็ด
จบมัธยม 1-6 ที่โรงเรียนสตรีศึกษาร้อยเอ็ด
สถานะปัจจุบัน MAHASARAKHAM UNIVERSITY
คณะศึกษาศาสตร์ สาชาจิตวิทยา ปี1
ฉายาขำๆ อีหมาเพลินวา เพราะเพื่อนอยู่ด้วยแล้วขำทั้งวัน
นิสัย บ้าๆ ไม่ชอบอารมณ์เสีย ชอบเสียงหัวเราะ ปากไว
อนาคต การวางแผนเป็นิ่งดี แต่ตอนนี้ยังไม่แน่นอน
สไตล์การแต่งตัว ตามอารมณ์ ง่ายๆ เริ้ด
หนังแนวที่ชอบ comedy แนวเพลงที่ชอบ indy
สีที่ชอบ น้ำตาล ทอง อาหารจานโปรด สปาเก็ตตี้ คาโบนาร่า
เครื่องประดับติดตัว กิ๊บดอกไม้ แวนตา สร้อย เงิน นาฬิกา
กิจกรรมที่ชอบทำ ยิงปืน bb แอดเวนเจอร์ ทุกชนิด
ตอนนี้อยากเจอใครมากที่สุด ฟรอยด์ คำถามมากมายที่ไม่เค้าใจ
เพื่อนซี้ๆปึ้ก มิ่ม ตุ้ม เ ดียร์ ก้อย เปิ้ลเป๋อ หลิน นิ่ม ปิ๊ก เปิ้ล
ผู้ชายในสเป็ค ท้วมๆ ดูอบอุ่น อารมณ์ดี รักครอบครัว
ถ้าเลือกเกิดได้อยากเป็นใคร บียองเซ่ (สวยมาก)
อาหารที่ทำได้อร่อยที่สุด สปาเก็ตี้ ยำ น้ำพริกกะปิ
ผลไม้ที่ชอบ ทุเรียน ข้าวโพด ละมุด
ของที่เห็นแล้วต้องซื้อ รองเท้า ตุ้มหู ของชิ้นเล็กๆน่ารักๆ
สัตว์ตัวโปรด สุนัข ลิง จิงโจ้ เมียแคส
สัตว์ที่เห็นแล้วยี้ ทุกอย่าที่เป็นก้อนๆ
ถ้าเป็นแฟนกับใครก็ได้ในโลก พระเอกเกาหลีทุกคน
ถ้ามีเงินพันล้านอยากทำอะไร ใช้หนี กยศ.พาพ่อแท่ เที่ยวเวนีส
สิ่งที่ทำบ่อยๆจนติดเป็นนิสัย ดีใจ หัวเราะ แบบเวิ้อๆ
เรื่องที่อยากลืมที่สุด ไม่มีๆ ทุกความทรงจำมีค่า
เหตุการณ์ที่โรแมนติกที่สุดในชีวิต เพื่อนบอกรัก.งงไปหลายวัน
Never fear shadow. They simply mean there's a light shining some where near by.
อย่ากลัวเงา เพราะเงา หมายความว่ามีแสงสว่าง ส่องอยู่ใกล้ ๆ ♥ สักแห่ง ♥
ดักแด้เป็น มิตร กับทูก..อย่างบนโลกนี้
ภูเขา สายลม ทะเล และ แสงแดด !!
หนักแน่ อ่อนโยน สบายๆ ร้อนแรง
♥คือทุกสิ่งที่ดักแด้เป็น ♥
ประวัติส่วนตัวของฉัน
น.ส.รุ่งทิวา ชะบา รหัสนิสิต 52010517116
ฉันเกิดมาในครอบครัวที่อบอุ่น มีพ่อแม่และญาติพี่น้อง แม่เล่าว่าตอนที่แม่จะคลอดฉันแม่ต้องให้คนข้างบ้านพาไปโรงพยาบาล เพราะพ่อฉันเมาเหล้า ในตอนเด็กแม่ตั้งชื่อฉันว่า “รุ่งระวี” แต่พอคุณย่าของฉันมาหาฉันที่บ้านท่านว่าไม่เหมาะ จะด้วยเหตุผลอะไรก็ไม่รู้ ย่าเลยเปลี่ยนเป็น “รุ่งทิวา” ดังนั้นฉันจึงชื่อ รุ่งทิวา มาจนถึงทุกวันนี้ผ่านมา 2 ปี บ้านฉันก็ได้ตอนรับสมาชิกใหม่เป็นผู้ชาย นั้นคือน้องฉันเอง ตอนเด็กฉันและน้องอาศัยอยู่กับคุณตา เพราะพ่อแม่ทำงานอยู่ที่กาฬสินธุ์ ฉันเริ่มที่โรงเรียนอนุบาลแถวๆบ้าน มันเป็นโรงเรียนวัดชื่อโรงเรียน วัดตาล แต่ทุกวันนี้เปลี่ยนชื่อเป็น โรงเรียนวัดศรีทองนพคุณ พออยู่ประมาณอนุบาล 2 พ่อกับแม่ก็มารับฉันไปอยู่ด้วย ฉันจึงได้ย้ายไปเรียนที่ โรงเรียนบ้านบุ่งเลิศ ต.บุ่งเลิศ อ.เมยวดี จ.ร้อยเอ็ด ฉันเรียนอยู่ที่นั้นจนถึง ป. 3 พอ ป. 4 ฉันก็ย้ายกลับมาที่เสลภูมิ เรียนที่โรงเรียน เสลภูมิสามัคคี วันแรกที่ฉันย้ายมาฉันรู้สึกเกร็งมาก เพราะฉันยังไม่รู้จักใครเลย และฉันก็ย้ายมาตอนกลางเทอมด้วย วันแรกฉันไม่ค่อยมีเพื่อนเลย เพราะฉันเป็นคนขี้อาย และฉันก็ไม่กล้าคุยกับใครเลย วันต่อมามีเพื่อนผู้ชายเข้ามาทักฉัน และถามชื่อฉัน ฉันจึงรู้ว่าเขาคนนั้นชื่อ บอส หลังจากวันนั้นฉันก็มีเพื่อนเยอะแยะไปหมด และเราทุกคนก็สนิทกันมาก พอพอขึ้น ป.6 เราก็มีเรื่อง
ทะเลาะกัน ก็ไม่รู้ว่าเกิดจากสาเหตุอะไร และเราก็ไม่พูดกันเลย แต่สุดท้ายเราก็กลับมาดีกันเหมือนเดิม จนถึงวันจะจบ ป.6 ฉันรู้สึกว่าเป็นเวลาที่เศร้ามากเพราะฉันไม่อยากจากเพื่อนๆไปไหนเลย อยากให้โรงเรียนของฉันเป็นโรงเรียนขยายโอกาสจะได้มีต่อจนถึง ม.3 แต่คงจะเป็นไปไม่ได้ เพราะโรงเรียนของฉันอยู่ในตัวอำเภอ และมีโรงเรียนมัธยมประจำอำเภออยู่แล้ว สุดท้ายเราก็ต้องจากกัน วันแรกของการเรียนที่โรงเรียนมัธยม ฉันได้อยู่ห้อง9 และไม่มีเพื่อนมาจากโรงเรียนเก่าเลย ถามเพื่อนคนอื่นก็อยู่ห้อง 8,7.......
และเพื่อนบ้างคนได้อยู่ห้องเดียวกัน แต่ทำไมฉันได้อยู่คนเดียว แรกๆก็มีเหงาบ้าง แต่ผ่านมาไม่นานฉันก็สนิทกับเพื่อนใหม่ ชีวิตฉันตอน ม.ต้นก็ไม่มีอะไรหวือหวามากนักก็ตามปกติธรรมดาของคนที่มีเพื่อนเยอะทั้งเก่า ทั้งใหม่ สนุกสนานบ้าๆไปตามประสาแต่
ก็ไม่เคยออกนอกหลู่นอกทางนะ จะบอกแม่ตลอด ต่อพอขึ้น ม.ปลาย รู้สึกเลยว่าชีวิตฉันเปลี่ยนไป เพราะเพื่อนฉันเยอะมาก เพื่อนชวนไปไหนฉันไปหมด นอนบ้านเพื่อน หรือ เพื่อนมานอนบ้านฉัน เพราะฉันมีบ้าน 2 หลัง และบ้านฉันอยู่ในตัวอำเภอ จึงเป็นศูนย์รวมของเพื่อนๆ อาจจะดูไม่เหมาะบ้าง แต่ทุกอย่างที่ฉันทำลงไป พ่อกับแม่จะรู้ทุกเรื่อง เพราะฉันเล่าให้พ่อกับแม่ฟังตลอดเกือบจะทุกเรื่องเลยก็ว่าได้ เวลาฉันมีปัญหาอะไร ฉันก็จะเล่าให้พ่อกับแม่ฟัง ดังนั้นฉันจึงสนิทกับพ่อและแม่มาก
ฉันเคยฝันว่าอยากเป็นพยาบาล จะว่าเป็นความฝันของฉันก็ไม่เชิง เพราะพ่อกับแม่ชอบและอยากให้ฉันเรียน แต่พอเอาเข้าจริงๆฉันกลับรู้สึกว่า ฉันไม่ชอบ กลัว และไม่อยากเข้าใกล้คนไข้ที่ป่วย เนื่องจากสาเหตุอะไรก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าไม่ ยังไงฉันก็ทำไมได้ ฉันเลยเล่าให้พ่อกับแม่ฟัง แต่พ่อกับแม่ก็ยังอยากให้ลองดู แต่ฉันรู้ดีว่าฉันคงทำไม่ได้ฉันเลยยืนยันว่าจะไม่เรียน สุดท้ายพ่อกับแม่ก็เลิกบังคับฉัน และให้ฉันเรียนคณะที่ฉันอยากเรียน
พอถึงตอนสอบ O-Net , A-Net ก็ยังเลือกไม่ได้อยู่ดีว่าจะเรียนคณะอะไร ฉันก็ปรึกษาแม่ แม่ก็บอกว่าจะเรียนอะไรก็เรียน แล้วแต่ดูว่าฉันชอบอะไร แล้วค่อยเลือก ถึงแม่จะพูดแบบนั้นแต่ฉันก็เลือกไม่ได้อยู่ดี สุดท้ายเลยเลือกลง คณะศึกษาศาสตร์ที่สารคาม เพราะฉันก็ชอบ มากกว่าคณะอื่นๆที่มีอยู่ ตอนแรกคิดว่าจะเรียนสาขา ปฐมวัย เพราะที่บ้านเราก็มีน้องที่อยู่ประมาณอนุบาล ฉันก็คิดว่าอยู่กับเด็กได้ แต่เอาเข้าจริงๆฉันอยู่กับเด็กได้ก็จริง แต่เป็นเด็กแค่คนเดียว ถ้าจะให้สอนเด็กเยอะๆฉันคงทำไม่ได้ สุดท้ายอะไรก้อไม่รู้ทำให้ฉันได้มาเรียนสาขาจิตวิทยา ยอมรับเลยว่าแรกๆไม่รู้ว่าจิตวิทยาเรียนเกี่ยวกันอะไร ฉันก็ไปปรึกษาแม่ๆที่ฝ่ายแนะแนวของโรงเรียน แม่ก็ถามว่า “ยังไม่รู้อีกหรอว่าจิตวิทยาเรียนเกี่ยวกับอะไร จบแล้วทำงานอะไร” ฉันก็บอกแม่ว่ารู้แต่ว่าเกี่ยวกับการให้คำปรึกษาอะไรประมาณนี้ แม่ที่ฝ่ายแนะแนวเลยแนะนำฉันเยอะแยะมากมายจนฉันได้ข้อมูลพอถูๆไถๆไปได้ ตอนแรกฉันไม่คิดว่าฉันจะเรียนได้เพราะฉันเป็นคนไม่ค่อยพูด แล้วอีกอย่างฉันก็ไม่ค่อยมีพื้นฐานอะไรมากมาย แต่สุดท้ายฉันว่ามันก็โอเคนะที่ฉันมาเรียนสาขานี้ เพราะฉันมีคนคอยให้คำแนะนำและช่วยเหลือฉันเยอะแยะเต็มไปหมดเลย และกำลังใจของฉันคือ พ่อและแม่ของฉันเองที่คอยเป็นกำลังใจให้ฉันมาตลอดและฉันอยากบอกว่าฉันดีใจมากที่ได้เกิดมาเป็นลูก พ่อกับแม่
ป ร ะ วั ติ ข อ ง ฉั น
ฉันเกิดในครอบครัวที่ไม่ใหญ่มากนัก พ่อ-แม่-น้อง และตัวฉันเอง ส่วนชื่อ “อัญภิชา” แม่บอกว่าตั้งให้เพราะต้องการให้ไม่เหมือนใคร ไม่เหมือนจริง ๆ เพราะจนถึงวันนี้ยังหาคนชื่อเหมือนฉันไม่เจอเลย ตอนเด็ก ๆใครก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า เลี้ยงยาก เพราะจะไม่ยอมกินนม พอโตขึ้นมาหน่อยก็ซนมาก ๆเล่นเหมือนเด็กผู้ชาย แม่บอกว่าอาจเพราะตอนก่อนจะท้องแม่มีลูกยาก จนต้องไปบนบานขอลูกที่วัด(ไม่รู้เกี่ยวอะไร) แม่เล่าให้ฉันฟังว่า ตอนเด็ก ๆ แม่เลี้ยงฉันคนเดียวเพราะพ่อเป็นทหาร ต้องไปทำงานต่างจังหวัด แม้กระทั่งตอนเกิดต้องให้คนข้างบ้านพาไปคลอด ตอนเด็ก ๆ ไม่เข้าใจ คิดว่า “อ้าวทำไมพ่อไม่มาหาเลย” หลัง ๆเริ่มรู้เรื่อง ไร้สาระค่ะ เพราะปัจจุบันเรารักกันมาก มากที่สุดเลย J
ตอนเด็ก ๆ ที่บ้านจะเรียกเราว่า “อ้วน” เพราะตอนเกิดหนัก 3,200 กรัม ต่างจากน้องสาวที่ตัวเล็กหนัก 2 พันกว่า ๆ กับน้องเมื่อก่อนเราทะเลาะกันบ่อยมาก ๆ ตีกันบ้าง แล้วน้องก็จะฟ้องแม่ เราก็จะโดนทุกครั้ง เพราะเป็นพี่ จะผิดจะถูกเราก็ผิดเสมอ เพราะเป็นพี่แล้วไปทะเลาะกับน้อง ฟังแล้วดูไม่สมเหตุสมผลเลย (ตอนนี้ก็ยังคิด) จะว่าแบบนั้นก็ได้เพราะฉันกับแม่ไม่ค่อยสนิทกันเท่าไหร่ แต่ฉันจะไปสนิทกับพ่อมากกว่า ทั้ง ๆที่ตลอดชีวิตนี้เจอกับพ่อน้อยมาก ป.1 พ่อก็ย้ายไปต่างจังหวัดแล้ว จนถึงปัจจุบันก็ยังย้ายไปโน่น นี่ อยู่ แต่เราอาศัยคุยโทรศัพท์ คนส่วนมากจะคิดว่าลูกสาวจะสนิทกับแม่ มีอะไรจะคุยกับแม่มากกว่า แต่ฉันกับตรงข้าม ทุกเรื่อง 90 % ฉันจะเล่าให้พ่อฟังหมด
จนถึงปัจจุบันเรามาเรียนมหาลัยก็ยังโทรหาพ่อเกือบทุกวัน ส่วนแม่..นับครั้งได้
พอขึ้นม.6 ฉันก็มาอยู่กับปู่-ย่า เพราะปู่ กับ ย่าอยู่กันสองคน แล้วก็ป่วยบ่อยเราก็เลยขอ “พ่อหนูขอไปอยู่กับย่านะ” พอพ่ออนุญาต เราก็หอบผ้าย้ายบ้านเลย เปิดเทอมวันแรกปู่ก็ออกรถให้หลานสาวเลย เพราะตอนนั้นฉันต้องไปเรียนพิเศษ เพราะเป็นช่วงที่จะสอบเข้ามหาลัย แต่ละวันจะเข้าบ้าน2 ไม่ก็ 3 ทุ่ม เลิกจากโรงเรียนเราก็เรียนพิเศษต่อ เป็นแบบนี้ไปจนจบม.6
ตลอดเวลาที่ฉันอยู่กับปู่-ย่า บอกได้คำเดียวว่ามีความสุขมาก ฉันได้ดูแลย่า ตอนที่ไม่สบาย มีอะไรก็จะมาคุยให้กันฟัง ตอนเช้าตี 5 ย่าก็จะปลุกแล้ว ไปวิ่งออกกำลังกายด้วยกัน หนาวแค่ไหนก็ต้องลุก เสร็จจากออกกำลังกายก็จะเลยไปตลาด กลับถึงบ้านมากินกาแฟ ทำงานบ้าน ทำกับข้าวกินกัน มีความสุขแปลก ๆค่ะ เพราะโดยส่วนตัวแล้วฉันชอบชีวิตแบบนี้มาก ชีวิตที่ติดดิน ไม่ต้องมีรถคันโต มีเงินทองอะไรมากมาย แค่เราได้อยู่กับคนที่เรารัก แล้วเราก็เห็นเขามีความสุข เท่านี้มันก็เกินพอแล้ว แต่คนอื่นมักจะมองไปเป็นอย่างอื่น อาจจะเพราะบุคลิกภาพด้วย เพราะฉันชอบแต่งตัว ชอบเที่ยว บางครั้งภายนอกอาจจะมองบิดเบือนจากที่เป็นจริงไปบ้าง แต่ก็ไม่เป็นไรเพราะที่ทำทุกอย่าง ฉันจะคิดเสมอว่าสิ่งที่ทำไปต้องไม่ทำให้ใครเดือดร้อน แต่ก็มีบางครั้ง ที่ตามใจตัวเองเกินไป อาจเพราะอารมณ์ วัยวุฒิที่บางครั้งบางที อาจจะดูไม่เหมาะสม ที่ทำลงไป เช่นล่าสุดก็ตอนม.6 ตอนนั้นเราติดเพื่อนมาก ๆ เพื่อนชวนไปไหนไม่มีปฏิเสธเลย แล้วกลุ่มเพื่อนที่เราคบก็เป็นพวกชอบเที่ยวด้วยสิ เอาแล้ว ..ฉันรึจะปฏิเสธ ว่าแต่โทรมา ฉันก็ไปหาเลย ตอนแรกคิดว่า “แล้วจะเป็นอะไร ก็โตแล้ว ไปเที่ยวบ้างจะเป็นไรไป” แต่ตอนนั้นมันถี่เหลือเกิน ยอมรับเลย แต่ก็ทำเพราะห้ามใจตัวเองไม่ได้
แต่ทุกครั้งฉันจะโทรบอกพ่อตลอด (บอกแล้วว่าคุยกันทุกเรื่อง) เพราะฉะนั้นฉันทำอะไร อยู่ที่ไหน พ่อก็จะรู้ตลอด
เราก็เลยสบายใจอย่างน้อยผู้ใหญ่ก็รับรู้ แต่ตอนนี้โตแล้ว รู้ว่าอะไรควรทำ รู้ว่าหน้าที่ของเราคืออะไร และรู้ว่าต้องทำให้ดีที่สุด
เมื่อครั้งสมัยเด็ก ๆเราจะมีความฝันอยากเป็นโน่น อยากทำนี่ จินตนาการเรื่อยเปื่อย นึกย้อนไปก็เสียดายที่เวลานั้นมันผ่านไปไวเหลือเกิน แต่ตอนนี้ กลับสู่โลกของความเป็นจริง เพราะยิ่งโตความฝันก็ยิ่งน้อยลงแต่ความเป็นจริงต่างหากที่มากขึ้นทุกที ความฝันแรกของฉัน ถ้ามีใครถามว่าโตขึ้นอยากเป็นอะไร ฉันจะตอบอย่างเดียวเลย “อยากเป็นคุณครูค่ะ” แต่พอโตมาหน่อยประมาณม.1 ก็เริ่มเปลี่ยน “อยากเป็นตำรวจค่ะ” ม.3 “อยากเป็นหมอค่ะ” แต่ก่อนจะสอบเข้ามหาลัยความคิดสุดท้ายที่อยากเป็นคือ อยากจะเป็นแอร์โฮสเตรส ! พอเอาเข้าจริง ๆตอนเลือกคณะ ก็ต้องดูหลาย ๆอย่าง เช่น ความชอบ ความถนัดของเรา ความเห็นของพ่อ แม่ ด้วย และที่สำคัญคะแนนสอบ คะแนน GPAX ไป ๆมา ๆสุดท้ายก็มาอยู่คณะศึกษาศาสตร์แล้ว (อะไรเนี่ ย ?) ความรู้สึกตอนแรกที่รู้ว่าติดคณะนี้ มันก้ำกึ่งค่ะ ประมาณว่า ตกลงฉันจะดีใจดีไหม
พอพ่อถามว่าตกลงชอบไหม เราก็เงียบ แถมถามกลับว่า “แล้วพ่อว่าไง” คือต้องบอกก่อนว่าทางบ้านฉันจะสนับสนุนให้ลูกหลานเป็นข้าราชการมากกว่า จะอาชีพไหนก็ตามแต่จะชอบ ขออย่างเดียว “ลูกต้องสอบโจโฉให้ได้นะ” คือ เป็นข้าราชการเถอะ ปั้นปลายจะได้สบาย เพราะส่วนใหญ่ที่บ้านก็รับราชการกันทั้งนั้น ตอนนี้ก็ขอสนองความต้องการของพ่อ แม่ พี่ น้อง ก่อนแล้วกันค่ะ.. เอาก็เอา !
ตอนนี้ถ้าให้ย้อนเวลาไปได้อยากจะกลับไปเรียนใหม่เลย ทุกครั้งตอนเปิดเรียนฉันก็จะพูดกับตัวเองทุกครั้ง “จะตั้งใจเรียน” แต่ก็ทำได้นะ ได้2-3 อาทิตย์แรกแค่นั้นแหละ
ต่อมามันก็แบบว่า ..ขี้เกียจ แล้วก็จะมาเร่งเอาตอนใกล้สอบ แบบว่าไฟไม่จี้ตูด ฉันก็จะไม่อ่านหนังสือ สมัยเรียนก็จะแบบว่าขี้ลอกเหลือเกิน เป็นกันทั้งห้องเลย ไม่ว่าจะการบ้านเล็ก ๆน้อย ๆ ไปจนสอบไฟนอล ฉันก็เอาหมดค่ะ เพื่อความอยู่รอด ฝาผนังเอย โต๊ะเอย ยางลบ แขน เขียนไว้หมดค่ะ ทำมาทุกอย่าง แต่ก็ไม่เคยโดนจับได้สักครั้งนะ กลัวมากว่าจะสอบเรียนต่อไม่ได้เพราะที่ผ่านมาเราเลื่อนชั้นได้เพราะมีเพื่อนช่วย แต่สอบเข้ามหาลัยนี่ ใครจะช่วยเราหนอ มันรู้สึกกลัวแปลกๆ ก็เลยเรียนพิเศษแบบเอาเป็นเอาตายเลย ดีที่ยังมีที่เรียนกับเพื่อน พอมาเรียนมหาวิทยาลัย ฉันได้มีโอกาสคุยกับพี่คนหนึ่งเรียนคณะแพทย์ จะบอกว่าพี่คนนี้ฉันชอบมาก ๆ เราก็แบบคุย ๆถามทุกอย่าง มีแอบแซวว่าพี่เรียนเก่งจัง โชคดีจัง อะไรแบบนี้ พี่เค้าเงียบแล้วตอบกลับมาว่า “ไม่ใช่โชคหรอกครับ พี่ตั้งใจมากกว่า พี่ไม่ได้เล่นเลยนะ เตรียมตัวมาตั้งแต่เรียนม.ปลายแล้ว พี่บอกกลับตัวเองว่าถ้าพี่ไม่ได้เรียนหมอ ก็จะไม่เรียนเลย”.. สุดยอดค่ะ ฉันแบบว่าอึ้งเลย แล้วยังมิวายแซวต่อ “โห เก่งแบบนี้ กรรมพันธุ์รึเปล่า” พูดไปได้ไง แล้วเราก็ปรึกษาพี่เค้าแบบว่าความจริงแล้วเราก็อยากเรียนหมอเหมือนกัน ชอบมาก ๆ ให้ทำฟรีก็เอา เพราะอยากช่วยคนจริง ๆ แต่คงจะเรียนไม่ได้เพราะโง่ ..แค่นั้นแหละค่ะพี่แกตอบกลับมา “ถ้าคิดแบบนี้ก็คงจะเรียนไม่ได้หรอกครับ คิดแค่นี้คุณก็แพ้แล้ว” เราก็อะไรวะ นี่จะไม่ให้กำลังใจเลยหรอ ซ้ำเติมเข้าไป แต่ความจริงพี่เขาตั้งใจจะบอกว่า “ที่เราเรียนไม่ได้เพราะเราไม่พร้อมมากกว่า ทุกอย่างมันอยู่ที่ใจ ถ้าเราตั้งใจเตรียมตัวตั้งแต่เนิ่น ๆเราก็มีสิทธิเหมือนคนอื่น ทุกอย่างมันอยู่ที่เราทั้งนั้น อย่าให้ใครมากำหนดชีวิตเราแม้แต่โชคชะตา จินตนาการถึงวันที่เราทำได้แล้ว ทำสำเร็จแล้ว มันจะมีความสุขมากแค่ไหน”..ประโยคพวกนี้ฉันไม่เคยลืมหรอกค่ะ ไม่เคยเลย ฉันเรียนรู้อะไรจากคน ๆนี้มากมาย เขาสอนฉันทุกเรื่องสอนให้รู้ว่าคนเราไม่ได้ดีไปหมดทุกอย่าง อยากรู้จักใครก็
ต้องเรียนรู้ คนเรามีสองด้าน ก็เหมือนกับฉันค่ะ ฉันก็เป็นคน มีลมหายใจ ไม่ใช่ภาพวาด ที่จะสวยงามตลอดเวลา
ก่อนที่ฉันจะนอน จะคิดอยู่ทุกวันว่าพรุ่งนี้จะทำอะไรบ้าง แล้วก็ต้องทำให้ได้ พยายามที่จะบังคับตัวเอง เช่น พรุ่งนี้จะต้องอ่านหนังสือให้ได้ 3 ชั่วโมง , พรุ่งนี้จะทำความสะอาดห้อง แล้วก็ต้องบังคับตัวเองว่า ต้องทำ ! แต่ก็มีบ้างที่ทำไม่ได้ เพราะตอนนี้ติดเน็ตงอมแงม แชทกับเพื่อนบ้าง เล่นเกมส์บ้าง มีช่วงหนึ่งที่ติดมากชนิดที่ไม่หลับไม่นอน เล่นโต้รุ่งจนเช้า บางครั้งเผลอหลับไป แต่พอตื่นก็กดเปิดเล่นต่อเลย พยายามจะตัดใจเหมือนกัน เอาคอมฯไปเก็บในตู้ไม่ให้เห็น จนปัจจุบันก็ยังทำไม่ได้ แต่ก็เล่นน้อยลงกว่าเมื่อก่อนแล้ว จริงอย่างที่เขาว่ากัน ชนะใจตัวเองมันยากจริง ๆ ทนต่อการทำอะไรที่ไม่ชอบ ฝืนความรู้สึกตัวเอง ฉันเป็นคนที่ถ้าชอบอะไรแล้ว ก็จะทำซ้ำ ๆ ทำอยู่อย่างเดียว เช่น ถ้าเจออะไรที่อร่อย ก็จะกินอยู่อย่างเดียว กินได้เป็นเดือน ๆ เหมือนสมัยเรียนม.5 หลังเลิกเรียนต้องกินยำ ร้านนี้ร้านเดียวเท่านั้น กินติดต่อกันประมาณ 3 เดือน จนวันหนึ่งไม่เหลือเงินจากโรงเรียน ก็เลยไปขอแม่ แต่แม่ไม่ให้เพราะรู้ว่าต้องเอาไปซื้อยำอีก
เสื้อผ้าเหมือนกันใส่ชุดเดียวได้จนกว่ามันจะขาด ตัวอื่นจะใหม่แค่ไหนก็ช่าง เอามาแลกก็ไม่เอา เพราะอย่างนี้อย่าให้ได้ติดใจอะไรอีกเลย ไกลแค่ในฉันก็ตามไปได้ ถ้าต้องการจริง ๆ (สงสัยจะบ้า) แต่นี่เป็นกรรมพันธุ์หรือเปล่าก็ไม่รู้เพราะพ่อก็มีนิสัยแบบนี้คล้าย ๆกัน แต่ไม่บ้าขนาดลูก เสื้อผ้าก็เช่นเดียวกัน ฉันจะชอบอะไรที่ใส่แล้วรู้สึกมั่นใจ แล้วก็ติดแบรนด์ อย่างกางเกงยีนส์ก็ต้องยี่ห้อนี่เท่านั้น แต่เรื่องเสื้อผ้านี้เป็นกันทั้งบ้าน จะติดยี่ห้อกัน ใครใส่เสื้อยี่ห้อในจะรู้กันหมด ว่าต้องของยี่ห้อนั้น นี้เท่านั้น ประมาณว่าพอ ๆกันทั้งครอบครัว แต่ของที่สามารถดูดเงินในกระเป๋าฉันได้มากที่สุดคงจะเป็นหนังสือ จะประเภทไหนก็ช่าง แค่ได้ซื้อก็มีความสุขแล้ว อันนี้ต้องบอกก่อนว่าไม่ได้เป็น
หนอนหนังสืออะไรหรอก บางเล่มซื้อมา เปิดดูแค่รูปภาพเฉย ๆก็มี แล้วทุกวันนี้เหมือนกัน จะไปไหนต้องมีหนังสือติดกระเป๋าไปด้วย กล้าให้ค้นได้เลย แม้ว่าถือไปรู้ทั้งรู้ว่าไม่ได้อ่านก็จะเอาไป มีช่วงหนึ่งต้องเอามานอนด้วยทุกครั้ง คือที่บ้านห้องฉันจะอยู่ชั้นสอง พอทานข้าว ดูทีวี อะไรเรียบร้อยแล้ว ก็จะหยิบหนังสือเข้าห้องแล้วก็หลับโดยต้องมีหนังสืออยู่ข้าง ๆตลอดเวลา เป็นเอามากเหมือนกัน ตอนนี้ห้องนอนฉันก็เลยอุดมไปด้วยหนังสือ จนต้องซื้อชั้นไว้วางหนังสือเป็นของตัวเอง เพราะถ้าไม่ซื้อก็คงจะไม่มีที่นอนแน่ ๆ
ตอนนี้บอกตามตรงว่ายังมองไม่เห็นอนาคตตัวเองเลย คือที่เป็นอยู่ทุกวันนี้พยายามที่จะใช้ชีวิตทุกวันให้ดีที่สุด อย่างที่พูดไปว่าก่อนนอนจะคิดไว้ว่าวันพรุ่งนี้จะทำอะไร เหมือนกับเราได้ตั้งใจไว้แล้วว่าถ้าทำได้อย่างที่คิดไว้จะดีมาก ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย หายใจทิ้งไปวัน ๆ แล้วก็ไม่ได้อะไรเลย จริง ๆก็เคยเป็นแบบนี้ ตอนแรกรู้สึกสบายมาก ตื่นมาก็กิน ดูหนัง เบื่อก็ฟังเพลง เหงาก็โทรศัพท์ หมดวันก็นอน เคยอยู่แบบนี้ตอนช่วงปิดเทอม แต่พอทำแบบนี้ไปสักอาทิตย์หนึ่ง รู้สึกเหมือนใจจะขาด เกลียดตัวเอง แบบว่าหงุดหงิดมาก อารมณ์เสียจริง ๆ เพราะวัน ๆมัวแต่นั่งกิน นอนกิน แต่พอได้มาทำนู่นทำนี่ มันเหนื่อย บางครั้งเพลียสุด ๆ แต่จิตใจมันแจ่มใสกว่ากัน เหมือนกับได้ออกกำลังกายเป็นการดูแลสุขภาพตัวเอง ได้ออกไปข้างนอกเจอคนมากมายก็ได้สังคม มีความรู้สึกดีกว่ากันเยอะเลย รู้สึกว่าชีวิตมีคุณค่าที่ได้ทำอะไรเพื่อตัวเอง และคนอื่น
อดีตก็เป็นเรื่องของอดีต ที่มันแก้ไขอะไรไม่ได้ ส่วนอนาคตมันก็ยังมาไม่ถึง อนาคตจะเป็นยังไงก็อยู่ที่ปัจจุบันเราทำอะไรไว้ ทำดีก็ดี ทำชั่วก็ชั่ว ตอนนี้พยายามทำหน้าที่
ของตัวเองให้ดีที่สุด เพราะตอนนี้ความฝันสูงสุดของฉันไม่ใช่ได้เป็นหมอ ไม่ใช่ได้เป็นครู ไม่ใช่ได้เป็นแอร์โฮส-เตรด แต่ตอนนี้ฝันอย่างเดียวคือ อยากเรียนจบมีงานทำ แล้วเลี้ยงพ่อ แม่ได้ ฉันอยากเห็นพ่อแม่สบาย เพราท่านเหนื่อยกับเรามามากแล้ว อยากที่จะทำให้พ่อ แม่ภูมิใจในตัวเราบ้างสักครั้ง เมื่อก่อนตอนเด็ก ๆเราร้องอยากได้นู่น นี่กับพ่อ แม่ มาทั้งชีวิตแล้ว ตอนนี้ฉันคิดว่าฉันไม่ต้องการอะไรแล้ว เพราะสิ่งที่ท่านให้มาตา หู จมูก แขน ขา ..ชีวิตที่ท่านให้มาแค่นี้มันก็มากพอแล้ว ฉันไม่ต้องการอะไรนอกจากตื่นมาแล้วรู้ว่าพ่อ แม่ยังอยู่กับเราบนโลกใบนี้ หนูสัญญาว่าจะเป็นลูกที่ดีของพ่อ แม่ จะเป็นหลานที่ดีของปู่ กับย่า ขอบคุณทุกสิ่งทุกอย่างที่ให้มา ขอบคุณที่ให้หนูมีโอกาสมานั่งเขียนเรื่องราวเหล่านี้ด้วยความภาคภูมิใจว่าได้เกิดมาเป็นลูกของท่านทั้งสอง
ประวัติส่วนตัว
นางสาวปรียานุช ศรีหาโคตร นิสิตชั้นปีที่ 1 ปีการศึกษา 2552 รหัสนิสิต 52010517025 คณะศึกษาศาสตร์ หลักสูตร จิตวิทยา ปีการศึกษา 2552
ข้อมูลเบื้องต้น
- ชื่อ นางสาว ปรียานุช ศรีหาโคตร ชื่อเล่นๆ อุ๋มอิ๋ม
- กรุ๊ปเลือด บี เกิดวันที่ 4 เดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2533 อายุ 19 ปี
- สีที่ชอบ สีม่วง,สีชมพู อาหารที่ชอบ แป๊ะซะปลาทับทิม,ปลาหมึกยัดไส้,สุกี้แห้ง
- นิสัย มีความจริงใจ ใส่ใจคนอื่น เรียบง่าย มีเหตุผล คบคนดี มีมิตรภาพให้กับทุกคน
ไม่มองอะไรด้านเดียว สงบ ร่มเย็น ชิวๆ ววว .....
- คติ 1. ธรรมชาติสร้างคนมองไปข้างหน้า เพราะไม่ได้มีตาไว้มองข้างหลัง
2. สิ่งที่บ่งบอกว่ามนุษย์แตกต่างจากสัตว์เดรัจฉาน คือ มนุษย์รู้จักผิดชอบชั่วดี
ฉะนั้นจงทำดี
3. ถ้าเจอเรื่องร้ายๆ ขอให้ใจเราเติบโต
4. การเผชิญหน้า คือ ความกล้าของผู้ทระนง
5. เมื่อเราส่งใสในการกระทำของใคร ให้ดูที่ความเป็นมาเป็นไปของเขาด้วย
- นักร้องที่ชื่นชอบ ต่าย อรทัย ในบทเพลง ทุกๆ เพลง.... เช่น อย่าให้แคร์ข้างเดียว
- ความสามารถพิเศษ. ร้องเพลง วิ่ง ทำขนมไทย ทำอาหาร นวดผ่อนคลาย (สปาร์)
แต่งกลอน ยิ้ม...ๆ
- หากว่าคิดถึง 087-85529604
ที่อยู่ภูมิลำเนา
บ้านเลขที่ 89 หมู่ที่ 2 บ้านนาง้อง ตำบลนางิ้ว อำเภอเขาสวนกวาง จังหวัดขอนแก่น รหัสไปรษณีย์ 40280
ที่อยู่ปัจจุบัน
หอพักสวนอักษร (หอพักเครือข่าย ม.เก่า) เลขที่ 13 ซอย 5 ถนนธรรมวงศ์สวัสดิ์ ตำบลตลาด อำเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม รหัสไปรษณีย์ 44000
ครอบครัวของฉัน
- มีสมาชิกในครอบครัวทั้งหมด 5 คน
1. (คุณพ่อ) นายคำนวณ ศรีหาโคตร อาชีพธุรกิจส่วนตัว
2. (คุณแม่) นางจีรานุช ศรีหาโคตร อาชีพรับราชการทางการเมือง
3. (พี่ชายคนโต) นายเกียรติศักดิ์ ศรีหาโคตร อาชีพรับเหมาก่อสร้าง(วิศวะโยธา)
4. (พี่ชายคนกลาง) นายเฉลิมเกียรติย์ ศรีหาโคตร อาชีพธุรกิจส่วนตัว
5. (น้องสาวคนเล็ก).. ฉันเอง นางสาวปรียานุช ศรีหาโคตร อาชีพศึกษาหาความรู้
สรุป มีพี่ชาย 2 คนค่ะ อุ๋มเป็นคนเล็ก (น้องสาว)
แรกเกิด - ในตอนวัยเด็ก (อายุ 4-6 ขวบ)
กว่าจะรอด กว่าจะคลอด กว่าจะคลาน คำว่า “แม่” จึงสำคัญมากๆ สำหรับตัวลูกแม่ตั้งท้อง อุ๋ม ตามระยะเวลาคือ 9 เดือนเต็มและคลอดตามกำหนดที่หมอนัดไว้ ในวันพุธ แรม 12 ค่ำ เดือน 8 ตรงกับวันที่ 4 เดือนกรกฎาคม พ.ศ.2533 ปีมะเมีย ด้วยน้ำหนักแรกเกิด 3,400 กรัม ที่โรงพยาบาลน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น
อุ๋มเป็นบุตรคนที่3 เป็นลูกผู้หญิงคนเดียวและเป็นคนสุดท้องของบ้านตอนคลอดคุณพ่อดีใจมากจนน้ำตาไหล เพราะด้วยเหตุผลที่ว่า... ตอนแรกแม่เกือบกินยาทำแท้งอุ๋มออกแล้วเชียว เพราะกลัวจะเป็นผู้ชาย แต่สุดท้ายก็รอดมาได้ คนทางบ้านจึงชอบเรียกชื่ออีกชื่อหนึ่งว่า “บุญรอด”
ตอนเด็กๆ ร่างกายและพัฒนาการสมบูรณ์แข็งแรงตามวัย แม่บอกว่าอุ๋มไม่ชอบหยุดนิ่งตั้งแต่เด็ก ทำนั่นทำนี่ ชอบไถ่ถามแม่ในสั่งที่สงสัย แม่บอกว่าตอนเด็กอุ๋มชอบเล่นกับหมาน้อย และเพื่อนต่างวัย (อายุมากกว่า)
อุ๋มได้มีโอกาสเข้าเรียนก่อนเพื่อนรุ่นเดียวกัน 1 ปี ในชั้นอนุบาล (ก่อนเข้าเกณฑ์) ตอนอายุ 4 ขวบ เพราะเห็นพี่ชายทั้ง 2 คนไปโรงเรียน ก็อยากไปกับเขา แม่จึงไปขอครูให้ ครูก็อนุญาตเพราะไม่มีปัญหาอะไร จึงเข้าเรียนในชั้นอนุบาลเป็นเวลา 3 ปี ตั้งแต่อายุ 4-6 ขวบ ที่โรงเรียนในหมู่บ้าน ชื่อโรงเรียน บ้านนาง้อง
ในตอนนั้นเวลาที่ไปโรงเรียน จะเดินเข้าแถวกันไปเป็นคุ้มๆ อุ๋มอยู่คุ้ม 6 ก็เดินเข้าแถวไปโรงเรียนกับเพื่อนคุ้ม 6 ตัวเล็กได้อยู่หน้าตัวโตได้อยู่หลังเพื่อน ไปถึงโรงเรียนก็เหมือนเด็กอนุบาลคนอื่น อยู่กับเพื่อนๆ ได้ เข้ากับเพื่อนๆ ได้ แต่มีปัญหาเวลานอน ไม่ค่อยชอบนอน คุณครูก็จะให้มานั่งเล่นใกล้ๆ กับครู จนบางครั้งครูก็เผลอหลับไป
อนุบาลที่อุ๋มเข้าอยู่ 3 ปี ทำให้อุ๋มได้อะไรหลายๆ อย่างโดยเฉพาะชอบมากๆ คือ การขี่ชิงช้าและม้าหมุน กับการเล่นขายของ ชอบเป็นแม่ค้ามากกว่าผู้ซื้อ ได้พูดคุยสนุกดี
เวลาที่ครูให้นม ชอบกินนมรสช็อคโกแลต รสสตรอเบอรี่มากกว่ารสหวาน กับรสจืด เพราะในความรู้สึก รู้สึกว่ามันอร่อยกว่ามั้ง อีกอย่างชอบกินลูกกวาด ชอบพกใส่กระเป๋าไปโรงเรียนจนกลายเป็นเจ้าแม่ลูกอม และตอนนั้นฟันดำ ฟันหลอด้วย (ดูจากรูปค่ะ)
สุดท้าย วัยอนุบาลก็สนุกสนานดี รู้สึกว่าจะตัวโตกว่าเพื่อนๆในห้อง อาบน้ำเอง กินข้าวเอง รับผิดชอบตัวเองพอได้ ไม่งอแง... สุขภาพกายและสุขภาพจิตสมบูรณ์แข็งแรงจ้า!
ประถมศึกษา...พาเพลิน (อายุ 7-12 ขวบ)
ในช่วงวัยประถมศึกษาตอนต้นไม่ค่อยสนุกเท่าใดนักเลย เพราะคุณครูผู้สอนดุมาก ยิ่งเวลาเรียนเลขซึ่งเป็นวิชาที่อุ๋มไม่ค่อยถนัด แต่ทำไมๆ เรียนทีไรครูชอบถามคำตอบจากอุ๋มประจำ
ตอน ป.1 ได้มีโอกาสเป็นหัวหน้าห้องค่ะ เพราะอะไรก็ไม่รู้ คงเพราะตัวโตกว่าเพื่อนคนอื่นๆ รึเปล่า และก็ทำหน้าที่ได้ดีค่ะ ครูเคยชม
ป.2 ก็เริ่มที่จะทำอะไรที่เหนือจากการเรียน เช่น ช่วยคุณยายทำขนมไทย ล้างจาน กวาดสนามเด็กเล่นที่โรงเรียน เอาข้าวให้สุนัข เลี้ยงปลา คือ รู้สึกว่าการเรียนก็ O.K. ดีค่ะ
พอมาถึง ป.3 ก็มีโอกาสเป็นนักกรีฑาของโรงเรียน ต้องตื่นมาซ้อมวิ่งตีห้า ในตอนเช้า และบ่าย 4 โมงของทุกๆวันในตอนเย็น คือการเป็นนักวิ่งมาราธอนค่ะ คือตั้งแต่ระยะทาง 10 กม. ขึ้นไปอุ๋มจะวิ่งได้ดีกว่าวิ่งระยะทางสั้นๆ คือมีความอึดมากกว่าความเร็ว
และตอนนั้นยังจำได้ดี...ในคาบเรียนวิชาภาษาไทย คุณครูที่สอนบอกว่าจะพาไปเที่ยวทะเลในวันพรุ่งนี้ เราก็ได้คุยกับเพื่อนๆ กันใหญ่เลยว่า จะเอาชุดอะไรไป เอาตังค์ไปกี่บาท เอาห่วงยางไปด้วยไหม คือด้วยความตื่นเต้นค่ะ
พอวันพรุ่งนี้มาถึง เราก็เตรียมของเตรียมตัวมาเต็มที่ พอมาถึงที่โรงเรียน พอมาเรียนในชั้นเรียนอาจารย์ที่สอนภาษาไทยได้ถามพวกอุ๋มว่า นี่พวกเธอจะไปไหนกัน ก็คุณครูบอกว่าคุณครูจะพา พวกหนูไปเที่ยวทะเลไม่ใช่หรือค่ะ
คุณครูเอาหนังสือเรียนเรื่องที่จะสอน ชื่อ “โอ้ทะเลแสนงาม” มากางออก พวกเราก็อึ้ง ด้วยความตลกตัวเอง คิดเป็นจริงเป็นจังอยู่ฝ่ายเดียว
มาถึงวัยประถมตอนปลาย เรื่องที่เกี่ยวกับอุ๋มก็คงจะเป็น การช่วยงานครูทั้งงานวิชาการและงานวิชาชีพ คือ ช่วยในเรื่องของการเตรียมงานสอนช่วยครู และงานด้านวิชาชีพ คือ ทำอาหาร หาข้าวให้คุณครูตอนพักเที่ยง และเป็นนักกีฬาโรงเรียน ไม่ว่าจะเป็น วอลเล่ย์บอล ตะกร้อ วิ่ง และอีกอย่างเวลางานแข่งกีฬาก็จะได้ถือป้ายบ้าง เป็นคฑากรบ้าง เพราะโรงเรียนเราคนน้อย เลยต้องทำคนเดียวหลายอย่าง ไม่เหนื่อยค่ะสนุกดี
ในช่วงวัยประถมศึกษา รู้แต่ว่าตัวเองมีความรับผิดชอบ ใฝ่ดี กระตือรือร้นอยู่ตลอด เพราะปัจจัยแวดล้อม ทั้งภายนอกและภายในของตัวเอง ที่หล่อหลอมให้ตื่นตัวอยู่เสมอ เช่น การเอาสุนัขมาเลี้ยง ก็ช่วยเพิ่มให้เราเป็นคนที่มีความรับผิดชอบ เพราะถ้าเราไม่เอาข้าวให้มันกิน ก็ไม่มีใครเลี้ยงดู มันจะผอม ด้วยความรัก มันถึงไม่ว่าง หนักหนาขนาดไหนเราจะคิดถึงมันอยู่เสมอ และไม่สบายใจถ้าไม่ได้ทำหน้าที่ หาข้าวให้มันกิน ทำให้เรามีความรับผิดชอบที่ดี และมีความสุขกับการให้ค่ะ
มัธยมต้น...บนเส้นทางการเรียนรู้
คิดอยู่อย่างเดียวว่าจะจบประถมศึกษาแล้วจะเข้าเมือง ก็มีโอกาสพอดี อุ๋มเรียน ม.ต้นที่โรงเรียนกัลยาณวัตร จังหวัดขอนแก่น ซึ่งมีชื่อเสียงในจังหวัดขอนแก่นในหลายๆ ด้านค่ะ อุ๋มเข้ามาเพราะการเรียนดีและมีโควตานักกรีฑา ก็มาเป็นทั้งนักเรียนและการเป็นนักวิ่งของทางโรงเรียนไปพร้อมๆกัน การเรียนและการปรับตัวอยู่ในสังคมที่เปลี่ยนไป ที่ไม่ได้อยู่กับคุณพ่อคุณแม่ก็ไม่อยากมากนัก เพราะเวลาอยู่ที่บ้านรู้สึกว่าต้องช่วยเหลือตัวเองตลอดค่ะ คือ เข้ากับสิ่งแวดล้อมได้ดี
การเรียนใน ม.ต้น ก็ถือว่าได้เกรดดีพอสมควรค่ะ คือเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 3.50-3.70 ค่ะ ก็ถือว่าใช้ได้นะค่ะ มีวิชาที่ไม่ค่อยจะลงตัว คือ ภาษาอังกฤษค่ะ คือพื้นฐานเราไม่แน่น และคณิตศาสตร์ค่ะ เพราะยิ่งเรียนยิ่งยากและไม่เข้าใจเลย... แต่ก็ผ่านมาได้ด้วยดีค่ะในเรื่องการเรียน
การกรีฑาก็เหมือนกันค่ะ ก็ไปได้สวย ด้วยความที่หุ่นให้ เหมาะกับการเป็นนักวิ่งระยะไกล ก็ซ้อมทุกวันค่ะ เช้าและเย็นในเวลาประมาณ 05.00-06.00 น. ในตอนเช้าและตอนเย็นเลิกเรียนเวลา 16.00-18.00 น. โดยประมาณค่ะ อุ๋มซ้อมที่สนามของมหาวิทยาลัยขอนแก่น โดยนั่งรถประจำทางบ้าง และรถของโค้ชผู้ฝึกสอนบ้างค่ะ ก็เรียกได้ว่า ทั้งสนุกและเหนื่อยค่ะ
การแข่งขัน ก็จะเป็นการวิ่งในระยะทาง 10 กม. - 21 กม. เรียกว่ามินิฮาฟล์-ฮาฟล์มาราธอนค่ะ จะแข่งเสาร์-อาทิตย์ ในการวิ่งถนนและการวิ่งแข่งของระดับภาค ระดับประเทศชาติ เช่น ชิงแชมป์ภาคตะวันออก กีฬาเยาวชนแห่งชาติ กีฬาชิงแชมป์ประเทศไทยค่ะ ซึ่งแข่งในสนามค่ะ
รางวัลที่ได้จากการเรียนก็จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการรักการอ่าน การแต่งกลอน เรียงความและการแข่งขันด้านวิชาการ เช่น โครงงานพลังงานทดแทนค่ะ
รางวัลด้านกรีฑา คือ การได้เป็นตัวแทนภาค และเป็นเยาวชนทีมชาติในการวิ่งระยะทาง 3,000 เมตร - 5,000 เมตร ค่ะ และที่ภูมิใจ คือ ในการวิ่งในวันเสาร์-อาทิตย์ มินิฮาฟล์มาราธอน –ฮาฟล์มาราธอนนั้น หากเราได้อันดับก็จะมีถ้วยเกียรติยศ เงินรางวัล และของสมนาคุณค่ะ คือ เราสามารถเลี้ยงตัวเองและซื้อของเองได้ ด้วยการวิ่ง การอดทนซ้อมค่ะ ที่สำคัญได้ไปท่องเที่ยวทั่วประเทศ รู้จักว่าวัฒนธรรม ของกิน ของใช้แต่ละภาคเป็นไงค่ะ
สุดท้ายวัย ม.ต้น ก็เป็นวัยที่เราได้บ่มเพาะตัวเองในหลายๆ ด้านค่ะ ทั้งการเรียนการอยู่ในสังคม การแบ่งเวลาในการเรียนและการซ้อมก็สนุกสนานบวกกับได้สาระดีๆสำหรับชีวิตของอุ๋มค่ะ
มัธยมปลาย...กลายเป็นผู้ใหญ่แล้วสิ!
มัธยมปลาย อุ๋มต้องเดินทางห้างออกจากวงการนักวิ่งค่ะด้วยว่าใช้ร่างกายหนักเกินไปรึเปล่า ทำให้ปวดเข่า
ได้ย้ายมาเรียนที่ จ.มหาสารคามค่ะ ที่โรงเรียนบรบือวิทยาคาร ซึ่งเป็นโรงเรียนประจำอำเภอ อยู่กับญาติพี่น้องทางพ่อค่ะ เพราะพ่ออุ๋มเป็นคน จ.มหาสารคาม โดยกำเนิดค่ะ แต่ไปอยู่ จ.ขอนแก่นตั้งแต่เด็ก เพราะคุณปู่เป็นคุณครู ต้องย้ายไปรับราชการเลยพาครอบครัวไปอยู่นั่น
ก็ตอน ม.ปลาย ใช้ชีวิตด้วยการทุ่มเทให้กับการเรียนอย่างเดียวเลย และการอยู่กับเพื่อนๆ ที่น่ารัก ในห้อง ม.6/1 ค่ะ ซึ่งเป็นห้องเด็กเก่ง (แต่ไม่เหมือนเลย) ลิงๆ....
ด้านกิจกรรม ก็เป็นสารวัตรนักเรียน เป็นรองประธานโรงเรียน ได้เป็นหัวหน้าห้อง สนุกสนานค่ะ แต่เรียนวิชาคณิตศาสตร์ไม่เข้าใจเลยค่ะ
ก็มาเรียนโดยการขับรถมอเตอร์ไซค์มาเอง และกลับเองเหมือนที่มา แต่ตอนเลิกจะแวะตลาดสด ที่อำเภอทุกๆ วันค่ะ เพราะชอบค่ะ มีของขายจำพวกผักและอาหารพื้นบ้านที่ชาวบ้านนำมาขายกัน ก็ไปถามไถ่ ไปช่วยซื้อ ก็มีความสุขดีค่ะกับการเลือกซื้อของ
ก็อุ๋มเป็นคนชอบทำอาหาร เป็นแม่ครัวให้คนที่บ้าน เพราะบ้านที่อุ๋มอยู่เขาเลี้ยงเด็กด้วย ตั้ง 2 คน ซึ่งดื้อซนปนกันไปค่ะ ไม่ค่อยมีเวลา ต้องทำให้เขาค่ะ
การเรียนก็ไม่ทิ้งกิจกรรมก็ไม่ถอยค่ะ ได้เกรดเฉลี่ยก็อยู่ที่ประมาณ 3.30 -3.50 ค่ะ ก็ไม่ถือว่าแย่ใช่ไหมค่ะ
มีเรื่องเด่นอีกเรื่องหนึ่งค่ะ คือ การแต่งกลอนให้คนอ่านหน้าเสาธงก่อนการเคารพธงชาติ ค่ะ เช่น
1. การศึกษา นำพาใจ ให้อยู่สูง
ให้เรามุ่ง ฝันและใฝ่ ใจมุ่งมั่น
ก้าวหน้าไกล ด้วยใจแกร่ง ผ่านคืนวัน
ถึงฝั่งฝัน จะสุขสุนต์ นิรันดร์กาล 2. กาลเวลาพาพานพบความอุ่น
กาลเวลาก็ทารุณด้วยความห่าง
กาลเวลานำพาให้ใจอ้างว่าง
เมื่อต้องห่าง เพราะต่างเดินต่างเลือกเป็น
ก็ประมาณนี้ค่ะ สำหรับ ม.ปลาย ผ่านมาได้ด้วยดีไม่มีปัญหา มีก็แต่ก่อนจะแยกจากเพื่อนๆ เพื่อไปศึกษาต่อในระดับวิทยาลัย มหาวิทยาลัย น่าเศร้าค่ะ หดหู่ยังไงไม่รู้บอกไม่ถูก
ชีวิตมหาลัย...ใจชื่นบาน
ชีวิตมหาลัยยังงงๆ ค่ะ ว่าตัวเองเหมาะไหมที่จะเรียน ว.ท.บ.จิตวิทยา แต่ก็ชอบค่ะ แต่ยังมองตัวเองไม่ค่อยออกเท่าไหร่
ได้มาเรียนจริงๆก็ได้ค่ะดีค่ะ อาจารย์น่ารักค่ะ โดยเฉพาะอาจารย์รังสรรค์และอาจารย์อารยา ให้ความสนิทสนม รักใคร่และเอาใจใส่ ให้ความรู้ประสบการณ์มากมายค่ะ (ตรงต่อเวลาเป็นสำคัญค่ะ)
ก็มีเพื่อทั้งสนิทและไม่สนิท จะให้มีเพื่อเยอะๆ ได้ไหม ได้ค่ะ แต่ชอบคำๆ นี้ค่ะ “จะกี่หมื่นพันคนที่รู้จัก ก็ไม่เท่าหนึ่งเดียวที่เรารักและรู้ใจ” ก็มีเพื่อนสนิทประมาณ 6-7 คนค่ะ ให้ห้องก็สนิทค่ะ พอประมาณ
ชีวิตตอนแรกก็ต้องปรับตัวหลายอย่างค่ะ ทั้งการต้องทำกิจกรรมรับน้อง การเรียนรู้สังคมใหม่ ทั้งเพื่อน และรุ่นพี่ ก็ยากพอสมควร แต่ก็ผ่านมาได้ด้วยดีค่ะ
ตอนนี้อะไรอะไรก็ดีค่ะ ทั้งการเรียน สังคม และอาจารย์ผู้สอน กับวิชาที่เลือกก็เหมาะสมกับคุณสมบัติตัวเองพอดี ก็มีความสุขทั้งกายและใจค่ะ
อนาคตที่ฝันไว้
อุ๋มคิดว่าจะเรียนจิตสังคมค่ะ เพราะอยากทำงานเกี่ยวกับนักจิตวิทยา คงเป็นสิ่งที่เหมาะกับคนอย่างอุ๋ม แต่ก็จะเรียนวิชาชีพครูควบคู่ไปด้วยค่ะ
แล้วเมื่อเรียนจบ ปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม จะไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัย ขอนแก่นต่อในระดับปริญญาโทค่ะ คงพักที่บ้านตัวเอง
เรียนจบปริญญาโทแล้ว ก็คงทำงานเกี่ยวกับสิ่งที่เรียนมา และเปิดกิจการควบคู่กับการรับราชการค่ะ อยากเปิดร้านอาหารที่เน้นเมนูอาหารทะเล และเกี่ยวกับปลา รวมทั้งทำขนมไทย เป็นสินค้าแนะนำค่ะ
หากมีโอกาสก็จะศึกษาต่อในระดับดุษฎีบัณฑิต แล้วเป็นอาจารย์สอนในระดับมหาวิทยาลัยค่ะ เหมือนอาจารย์ไงค่ะ
ชีวิตคือชีวิตเมื่อมีเข้ามา ก็มีเลิกไป มีสุขสม มีผิดหวัง หัวเราะหรือหวั่นไหว เกิดขึ้นได้ทุกวัน อยู่ที่เรียนรู้ อยู่ที่ยอมรับมัน อยู่กับสิ่งที่มี ไม่ใช่สิ่งที่ฝันและทำสิ่งนั้ให้ดีที่สุด
ข้อความบอกใจ...อุ๋มเสมอๆ มา
ชีวิตเป็นเรื่องหิน...ลื่นบ้างก็ไม่แปลกเมื่อไรที่เดินสะดุดเส้นทางชีวิตลอง “มองเรื่องหิน
เป็นเรื่องขี้หมา มองเรื่องง่ายให้เป็นเรื่องยากบ้าง เรื่องที่ไม่ค่อยคิดก็คิดให้มากขึ้น คิด
ให้มากกับชีวิต..แต่อย่าคิดมาก”
โลกนี้อาจไม่ได้มีทุกคนที่พร้อมจะรักและเข้าใจเรา “แต่เป็นหน้าที่ของเราที่จะพูดให้คน
อื่นเข้าใจ ไม่ใช่หน้าที่ของคนอื่นที่จะทำความเข้าใจ...ในสิ่งที่เราพูด”
อย่ามัวเสียเวลากับถนนสายนั้นที่เธอแค่เดินมาจนสุดสาย...ทางที่จะเดินต่อไปต่างหาก...
ที่สำคัญ
คนสู้ไม่เคยมีคำว่างแพ้ แต่คนที่แพ้ คือคนที่ไม่คิดจะสู้
อย่าเอาทุกๆ อย่างมาวางไว้ในชีวิต เพราะชีวิตไม่ใช่ห้องเก็บของที่พอจะหาอะไรก็หา
ไม่เจอ
วันที่มีเรื่องใหญ่ๆ เกิดขึ้นกับชีวิตต้อง “คิด” ก่อนที่จะ “รู้สึก”
ความสุขของทุกคนมีเท่าๆ กัน เกิดขึ้นได้จากสิ่งที่เราอาจมองข้ามไป
เมื่อมั่นใจว่างมีความเชื่อ-เชื่อว่าจะทำได้ เมื่อมั่นใจว่ามีความมุ่งมั่น-มุ่งที่จะทำ มักมี
ปลายทางเสมอ
อยากได้ในสิ่งไหน จงทำในสิ่งนั้น
มีความสุขอยู่กับปัจจุบัน ทำวันนี้ได้ดีก็เกินพอ
จากใจศิษย์ถึงอาจารย์รังสรรค์...ที่รักยิ่ง
ในวาระดีๆ ปีใหม่นี้ ขอให้อาจารย์รังสรรค์มีแต่ความสุขสมหวังสุขภาพพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรง ร่ำรวยเงินทอง และเป็นที่รักยิ่งของศิษย์ตลอดไปค่ะ
ประวัติส่วนตั๊ว........ส่วนตัว
ข้าพเจ้าชื่อ นางสาวสุธาพร พูนสวัสดิ์ เกิดวันพุธที่ 21 เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2533 บ้านเกิดเมืองนอนเลขที่ 31 หมู่ 3 ตำบลสะเดา อำเภอนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์ ข้าพเจ้าเป็นลูกของ นายสมชาย พูนสวัสดิ์ และนางถาวร พูนสวัสดิ์ ข้าพเจ้ามีพี่น้องร่วมท้องเดียวกัน 2 คน คนแรกเป็นพี่ชายหนู ชื่อนายรพีพร พูนสวัสดิ์และคนที่ 2 ก็คือตัวหนูเอง
ตั้งแต่ตอนหนูอยู่ในท้องแม่และหลังคลอด แม่เล่าว่า ตอนที่แม่ตั้งท้องหนู แม่หิวแต่ของกิน กินไม่หยุดเลย แม่ใช้เวลาอุ้มท้องหนูเป็นเวลา 8 เดือนเศษๆ ก่อนที่แม่จะท้องหนู แม่ก็ตั้งท้องพี่หนู และก่อนที่แม่จะตั้งท้องพี่ แม่ก็ได้พบกับผู้ชายคนหนึ่ง ซึ่งมีหน้าตาหล่อเหนือจะพรรณนาออกมาได้ มีลักษณะท่าทางรวมทั้งบุคลิกภาพ สูง หุ่นดี สมาร์ทเท่ห์ มีเสน่ห์ จนสาวๆ พากันหลงรัก แต่ก็น่าเหลือเชื่อที่แม่เป็นผู้หญิงที่มีหน้าตาไม่สวย แต่รวยน้ำใจจึงทำให้ผู้ชายคนนั้นตกหลุมรัก แล้วก็ได้แต่งงานกัน ดิฉันจึงขอเฉลยว่าผู้ชายคนนั้น ก็คือ.....พ่อของดิฉันเอง
ตอนเป็นเด็กแม่บอกว่าดิฉันเป็นคนที่ขี้แง(ร้องบ่อย)มาก ใครที่คอยดูก็ต้องปวดหัว มีตา ยาย แม่ พ่อ และป้าที่คอยดูแลดิฉัน เวลาดิฉันร้องไห้ดิฉันชอบหลับตา ร้องนานมากจนทำให้คนรำคาญ ใช้เวลาร้องประมาณครึ่ง-1ชั่วโมงก็ว่าได้ ถ้าหากมีใครมาปลอบให้ดิฉันหยุดร้อง ดิฉันจะไม่หยุดแต่กลับร้องมากและนานกว่าเดิม ฉะนั้นแล้วเวลาดิฉันร้องไห้ตอนเป็นเด็กห้ามมีใครมาปลอบ แล้วดิฉันจะหยุดร้องเอง...
ตอนเรียนอนุบาล แม่ก็ส่งให้หนูเรียนหนังสือที่โรงเรียนบ้านสองพี่น้อง จ. บุรีรัมย์ ซึ่งมีระยะห่างจากบ้านหนูประมาณ 4-5 กิโลเมตร หนูจำได้ดีว่า วันแรกที่หนูแต่งชุดอนุบาล ๑ พร้อมที่จะเป็นนักเรียน แม่ก็ได้ไปส่งหนูที่โรงเรียน พอถึงห้องเรียนแม่ก็จะกลับบ้านแต่หนูก็ร้องไห้ไม่ให้แม่กลับบ้าน มีคุณครูลดาวัลย์ เสาวโร คุณครูเบญมาศ มาวรรณ คุณครูอารียา อาจปรุ ที่มาคอยปลอบหนูให้หยุดร้องไห้แล้วให้ไปเล่นกับเพื่อน แล้วบอกอีกด้วยว่า..แม่ต้องกลับบ้านไปทำงานเพื่อหาเงินมาให้หนูเรียนหนังสือและเป็นค่าขนมให้หนู หนูจึงหยุดร้องแล้วก็เข้าห้องไปเล่นกับเพื่อนๆ ตอนอยู่ชั้น ป. 4 หนูได้เป็นนักวิ่งของโรงเรียนเคยวิ่งได้ที่ 2 และที่ 3 เมื่อเรียนจบชั้นประถมศึกษาหนูก็ต้องเรียนต่อระดับมัธยมศึกษา
ตอนอยู่ชั้น ม.1- ม. 3 หนูได้เรียนต่อที่โรงเรียนทุ่งแสงทองพิทยาคมเริ่มเข้าสู่วัยแรกรุ่น ชีวิตตอนนี้เป็นชีวิตที่สนุกสนานแบบเด็กๆ เวลาที่ได้อยู่กับเพื่อน ส่วนทางครอบครัวตอนที่หนูอยู่ชั้น ม. 3 พ่อหนูได้เป็นผู้ใหญ่บ้าน พี่ก็ได้เรียนต่อระดับอุดมศึกษา ที่มหาวิทยาลัยราชภัฎบุรีรัมย์ ช่วงเวลาที่หนูกำลังอยู่ชั้น ม.3 หนู
คิดในใจเสมอว่า...หนูจะทำให้พ่อแม่ภาคภูมิใจในตัวหนูให้ได้ แต่เมื่อมีเหตุการณ์ที่หนูไม่คิดเลยว่าจะเกิดขึ้นกับชีวิตหนู หนูต้องสูญเสียคนที่หนูรักไปคนๆนั้นก็คือพ่อของหนูเอง พ่อของหนูป่วยเนื่องจาก เลือดครั่งในสมอง ในตอนที่หนูเรียนอยู่ชั้น ม. 3 ช่วงปลายเทอมและในวันที่พ่อหนูเสียตรงกับวันที่ 1 มกราคม 2549 เป็นช่วงเวลาที่โรงเรียนของหนูจัดวันขึ้นปีใหม่ ทุกคนที่อยู่ในโรงเรียนเขาเต็มไปด้วยความสุขและความสนุก แต่ตรงกันข้ามกับตัวของหนูที่เต็มไปด้วยความโศกเศร้า เพราะขาดคนที่สำคัญคนหนึ่งในชีวิตไป ขาดหัวหน้าครอบครัวไป หนูเสียใจมากกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตของหนู ทำไมต้องมาเกิดกับชีวิตหนูด้วย?
หนูมีความรู้สึกหมดหวัง ท้อแท้ในชีวิตไม่อยากจะทำอะไรเลย แต่เมื่อเหตุการณ์ที่ต้องเศร้าและเสียน้ำตาผ่านไป ชีวิตของหนูต้องเปลี่ยนบทบาทจากเด็กที่มีแต่ความอ่อนแอ ต้องเปลี่ยนเป็นคนที่มีความอดทนสูง และเมื่อหนูเรียนจบชั้น ม. 3 หนูก็คุยกับแม่ และพี่ว่า “แม่..หนูอยากเรียนต่อ ม.4 แต่แม่บอกว่า..ถ้าอยากเรียนต่อต้องช่วยตัวเองในเรื่องค่าใช้จ่ายหนังสือเรียนนะ เพราะแม่คนเดียวคงหาเงินไม่พอใช้ ไหนยังต้องส่งให้พี่เรียน ไหนยังต้องใช้จ่ายเรื่องอื่นๆอีกมากมาย หนูจึงรับปากแม่ว่าจะหาเงินซื้อสมุด-หนังสือเรียนเอง ตั้งแต่จบ ม.3 ช่วงปิดเทอมหนูก็ไปทำงานที่ห้างทวีกิจที่อยู่ห่างจากบ้านหนูประมาณ 13 กิโลเมตร หนูได้ทำงานเกี่ยวกับคอยช่วยแคชเชียร์เอาของที่ลูกค้าซื้อใส่ถุงให้ลูกค้า จนได้เรียนต่อ ม. 4 ที่โรงเรียนทีโอเอวิทยา(เทศบาล ๑) และหนูก็ได้เข้าชุมนุมวงโยธวาธิตของโรงเรียน ได้ไปแข่งที่ จ. อุบลราชธานีบ้าง ไปแข่งต่างอำเภอบ้าง ได้รับรางวัลชนะเลิศบ้าง รองชนะเลิศบ้าง และก็ได้รับกับความพ่ายแพ้บ้าง แต่ชีวิตมีไว้ต่อสู้ ไม่ใช่มีไว้วิ่งหนี ใช่ไหมค่ะ? และในช่วงปิดเทอมหนูก็ได้ทำงานเพื่อเก็บเงินไว้ซื้อหนังสือเรียนเองอย่างที่เคยทำจนได้เรียนจบชั้น ม.6 และในเวลาเย็นของวันหนึ่ง หนูบอกแม่ว่า หนูอยากเรียนต่อปริญญา หนูพูดไปยิ้มไปด้วยมันเป็นภาพที่หนูกำลังเพ้อฝันอย่างมาก แม่ก็ฟังที่หนูได้พูดกับแม่ “แม่จะให้หนูเรียนต่อไหม?”เป็นคำถามแรกที่หนูถามแม่ในการเรียนต่อระดับอุดมศึกษา แม่ตอบว่า “แม่อยากให้ลูกได้เรียนต่อทุกคน แต่แม่ไม่มีเงินส่งให้หนูเรียนต่อระดับปริญญาหรอก คำนี้ออกมาจากปากของแม่ มันเป็นคำพูดที่หนูเก็บมาจดจำมาตลอด หนูคิดว่าหนูคงไม่มีโอกาสที่จะได้เรียนถึงระดับปริญญาหรอก ตั้งแต่ที่หนูถามคำถามนั้นกับแม่ แม่ก็ตอบคำถามหนู หนูแอบมานั่งคิดคนเดียวมันเหมือนตัวหนูไม่มีอนาคตเลยถึงแม้จะมีความฝันอยู่ในใจแต่คงไม่มีโอกาสได้ทำมันให้เป็นจริงได้และแอบร้องไห้อยู่คนเดียวและหนูก็ไม่กล้าที่จะถามคำถามนั้นกับแม่อีกเลย..................หนูขอย้อนเวลากลับไปตอนที่หนูอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 หนูได้อยู่กลุ่ม T-nad ที่มีพี่จักรกฤษณ์ การะเกต ซึ่งเป็นประธานชมรมนี้ พี่เขาจบปริญญาตรีที่จุฬากรณ์มหาวิทยาลัยและจบปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรตประสานมิตร คณะศิลปกรรมศาสตร์ กลุ่ม T-nad เป็นกลุ่มที่มีศิลปะและอนุรักษ์ธรรมชาติและยังเป็นชมรมที่ช่วยส่งเสริมศิลปะการวาดภาพแก่น้องๆที่สนใจวาดภาพและชอบอนุรักษ์ธรรมชาติ เวลาออกค่ายชมรมของเราจะไปที่เขาใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา และที่ที่เป็นธรรมชาติหนูก็ได้ไปออกค่ายกับชมรมนี้ด้วยคอยเป็นพี่เลี้ยงน้องๆคอยช่วยพี่ๆทำงานด้วยและก็ยังมีอาจารย์จากมหาวิทยาลัย มีพี่ๆจากมหาวิทยาลัยต่างๆมาเข้าค่ายด้วยคนที่อยู่ในค่ายเหมือนพี่น้องกันมีอะไรก็ช่วยกันทำหนูดีใจที่ได้อยู่กับชมรมนี้ค่ะ เมื่อมีอะไรที่ไม่สบายใจหนูก็สามารถขอคำปรึกษาจากพี่ได้ ก็จะได้สิ่งดีๆเสมอและเมื่อหนูจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 พี่ในชมรมก็ถามหนูว่าจะไปเรียนต่อที่ไหน? หนูจึงตอบว่ายังไม่รู้เลย แต่ในใจของหนูคิดอยู่เสมอว่าคงไม่ได้เรียนต่อแน่นอน สำหรับตัวหนูแล้ว หนูอยากเรียนต่อมากค่ะ อยากประกอบอาชีพรับราชการ พวกพี่ๆก็คอยให้กำลังใจแก่หนูจนมาวันหนึ่งพี่ที่อยู่ในกลุ่ม
T-nad ก็รู้ว่าแม่หนูไม่มีเงินส่งให้หนูเรียนต่อระดับอุดมศึกษา พี่ๆจึงให้ความช่วยเหลือหนูและก็ยังมีผู้อำนวยการที่โรงเรียนที่ช่วยพูดกับแม่ให้เข้าใจอีกด้วย จนมาถึงวันนี้หนูจึงได้มีโอกาสได้เรียนต่อระดับปริญญาตรี หนูดีใจที่มีวันนี้และได้มีโอกาสเรียนในระดับที่สูงขึ้น หนูไม่เคยลืมพวกพี่ที่ให้คำปรึกษาหนูมาโดยตลอดและความรู้สึกดีๆที่พี่ๆมีให้
ปัจจุบันหนูได้เรียนอยู่ระดับปริญญาตรีชั้นปีที่ 1 เอกจิตวิทยา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคามซึ่งเป็นคณะที่หนูอยากเรียนและอยากประกอบอาชีพครูแนะแนวอย่างที่ตัวเองหวัง เพราะชีวิตของคนเราคือการต่อสู้เพื่อไปถึงจุดมุ่งหมายที่ตนเองตั้งไว้และต้องมีสักวันที่เป็นจริง ถ้าเราอดทนและใช้ความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จอยู่ที่นั้น...และหนูขอเล่าเรื่องชีวิตเมื่อย่างก้าวเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัยมหาสารคามให้ฟังว่า...วันแรกที่ดิฉันเข้ามาในมหาวิทยาลัยมหาสารคามก็คือวันสอบสัมภาษณ์ ดิฉันมีความรู้สึกตื่นเต้นมากและนึกภาพของวันสอบสัมภาษณ์ว่า อาจารย์จะหน้าตาเป็นอย่างไรบ้างหนอ ดุหรือเปล่า จะถามเกี่ยวกับอะไรซึ่งดิฉันได้เตรียมคำตอบมา ก็คือคำขวัญจังหวัดมีว่าอย่างไร นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันชื่อว่าอะไร อาหารหลักของจังหวัดบุรีรัมย์มีอะไรบ้าง แต่เมื่อเข้าไปในห้องสัมภาษณ์แล้วคำถามที่ต้องตอบเป็นคำถามที่เกี่ยวข้องกับจิตวิทยา อย่างเช่น ถ้าคุณมีเพื่อนที่เรียนอยู่ด้วยกัน แล้ววันหนึ่งเพื่อนไปมีแฟนใช้เงินสิ้นเปลือง ไม่ยอมเข้าห้องเรียน คุณจะมีวิธีบอกเพื่อนของคุณว่าอย่างไร เมื่ออาจารย์คนที่สัมภาษณ์คำถามนั้นกับหนูหนูจึงถอนหายใจอย่างคาดไม่ถึงว่า...จะเจอคำถามแบบนี้ด้วยหรอ ซึ่งเป็นคำถามที่หนูไม่ได้เตรียมตัวมาเลยแต่ก็สามารถตอบคำถามของอาจารย์ได้ อาจารย์ที่สอบสัมภาษณ์หนูชื่อว่า อาจารย์พัฒนานุสรณ์ สถาพรวงศ์ หลังจากที่สอบสัมภาษณ์เสร็จ หนูก็ได้รู้จักกับพี่น้องซึ่งพี่เขาเรียนอยู่มหาวิทยาลัยมหาสารคามแต่เรียนคณะสาธารณสุขศาสตร์ อยู่ชั้นปีที่ 4 พี่เขาเป็นคนที่น่ารักช่วยแนะนำเกี่ยวกับมหาลัยนี้ พี่น้องเป็นคนจังหวัดมหาสารคามและหนูก็ได้ไปเล่นที่บ้านของพี่น้องด้วยได้ไปเที่ยวผาน้ำย้อยกับพี่น้อง มีพ่อแม่ของเพื่อนไปด้วย และก็มีเพื่อนๆไปทั้งหมด 3 คน ชื่อวิ เหลียง และเบียร์ เพราะพวกเราพากันไปสอบสัมภาษณ์วันเดียวกัน ต่อจากนั้นพวกเราก็ได้เดินไปไหว้พระพุทธรูปที่อยู่ที่นั้น เมื่อเดินชมผาน้ำย้อยเหนื่อยแล้ว ก็พากันมาทานข้าวมีส้มตำ ไก่ย่าง ข้าวเหนียว ขนมจีน แกงไก่ ปลาดุกย่าง กับข้าววันนั้น”แซบอีหลี”อร่อยมากค่ะ เมื่อทานเสร็จก็พากันซื้อของฝากมาฝากญาติๆที่บ้านอีกด้วย แล้วก็พากันเดินทางกลับบ้านอย่างปลอดภัย
เมื่อไปสอบสัมภาษณ์เสร็จอีกประมาณ 2 สัปดาห์ก็จะประกาศผลทางเว็บไซต์ของมหาวิทยาลัย ดิฉันและเพื่อนๆ ก็พากันรอลุ้นอยู่ และแล้วผลก็ออกมาทางเว็บไซต์ ปรากฏว่าเพื่อน 2 คนและดิฉันสอบติดแต่เพื่อนอีก 1 คนสอบไม่ติด แต่เพื่อนที่สอบติดไม่มาเรียน ส่วนดิฉันทางมหาวิทยาลัยให้มารายงานตัวเพื่อเป็นนิสิตชั้นปีที่ 1 ของมหาวิทยาลัยมหาสารคามในวันที่ 12 ธ.ค.2551 แต่ดิฉันสละสิทธิ์เนื่องจากไม่มีเงินมาเสียค่ารายงานตัวแล้วดิฉันก็ไม่ค่อยสนใจในการที่จะหาที่เรียนต่อ เพราะถึงแม้จะมีโอกาสที่จะได้ศึกษาต่อในมหาวิทยาลัย แต่ก็ยังไม่มีเงินมาจ่ายค่ารายงานตัวอยู่ดี ครูที่ปรึกษาจึงอยากรู้ว่า ทำไมดิฉันถึงไม่มารายงานตัว ดิฉันจึงบอกเหตุผลกับครูว่าไม่มีเงินค่ารายงานตัว เวลาผ่านไปประมาณหนึ่งเดือนกว่าๆ จึงมีเอกสารมาถึงโรงเรียน เป็นหนังสือราชการของมหาวิทยาลัยส่งมาถึงดิฉันว่า อยากทราบข้อมูลว่าทำไมดิฉันถึงไม่มารายงานตัว ดิฉันจึงใส่เครื่องหมายถูกหน้าข้อความที่ว่า อยากเรียนแต่ขาดแคลนทุนทรัพย์ และมหาวิทยาลัยจึงให้โอกาสมารายงานตัวภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2552 วันไหนก็ได้ ครูที่ปรึกษาก็พาดิฉันไปขอทุนที่เทศบาลเพราะโรงเรียนของดิฉันเป็นโรงเรียนที่อยู่ในเขตเทศบาล เมื่อนักเรียนมีเรื่องอะไรที่ทางเทศบาลพอจะช่วยได้ เทศบาลก็จะช่วย ก็ได้เงินมารายงานตัว ดิฉันจึงให้อา แม่ ป้าส่งมารายงานตัวดิฉันจึงมีโอกาสที่จะได้ศึกษาต่อ แต่ก็ยังไม่มีเงินค่าสมุด-หนังสือและค่าใช้จ่ายต่างๆอยู่ดี เมื่อปิดเทอมตอน ม.6 เทอม 2 ดิฉันก็ได้ไปช่วยพี่นุชซึ่งเป็นพี่ที่เคยเข้าค่ายกลุ่ม T-nad พีเขาเปิดสอนเด็กๆอายุประมาณ 8-12 ปี ดิฉันก็ไปช่วยสอน 11วัน พี่เขาก็ให้เงินมาใช้ 2000 บาท หนูบอกว่าไม่เป็นไร แต่พี่เขาบอกว่าอยากให้ ดิฉันจึงรับไว้ หลังจากที่ดิฉันกลับมาจากช่วยพี่นุชสอนน้องแล้วก็พักอยู่บ้าน 3 วัน จากนั้นพี่ที่ดิฉันเคยไปช่วยขายเครื่องเขียนที่ทวีกิจโทรมาบอกว่าให้ดิฉันไปช่วยขายเครื่องเขียนที่ทวีกิจ ดิฉันจึงไปทำงานได้ 1 เดือนกว่าๆได้เงินค่าทำงาน 6000 บาท และได้รับจ้างขายปลาหมึกได้เงิน 1000บาท รวมแล้วดิฉันทำงานช่วงปิดเทอมได้เงินเกือบ 10000 บาท ซึ่งก็ถือว่าเยอะพอสมควร จึงคุยกับแม่ว่าจะเอาเงินส่วนนี้มาเป็นค่าใช้จ่ายในการเข้ามาเรียนต่อในมหาวิทยาลัย แม่บอกว่า เงินแค่น่ะ ไม่พอใช้ในมหาวิทยาลัยหรอก ดิฉันจึงบอกแม่ว่า เดี๋ยวถ้าได้เข้าไปเรียนก็ยืมทุน กยศ.ที่มีในมหาวิทยาลัยก็ได้ แม่บอกต่ออีกว่า ถ้าต้องใช้เงินเยอะๆแม่ไม่สามารถหาเงินมาให้ทันใช้หรอกนะ เมื่อเวลาผ่านมาดิฉันก็ได้เข้ามาเรียนต่อในมหาวิทยาลัยมหาสารคาม แล้วก็พยายามดู
เว็บไซต์ของมหาวิทยาลัยเรื่องทุนการศึกษาว่า มีทุนอะไรบ้าง ? ตอนนั้นมีทุนคิวคัลเลอร์แล็บทุนละ 10000 บาท หนูก็สมัครแล้วก็ไปสอบสัมภาษณ์ ก็มีนิสิตมาขอรับทุนเยอะมากเกือบ 100 คน แต่เอาแค่ 9 คน ดิฉันจึงไม่ได้รับทุนและก็รอไปเรื่อยๆจนมีทุนบุญรอดพัฒนานิสิตมา ดิฉันก็ไปสมัคร ทุนนี้เป็นทุนต่อเนื่องปีละ 12000 บาท ดิฉันจึงรอฟังผล แต่เมื่อผลออกมา ดิฉันก็ไม่ได้รับทุน ตอนนั้นมีความรู้สึกเสียใจมาก ขอกี่ครั้งก็ไม่ได้ รู้สึกท้อแท้ที่ไม่ได้รับทุนนี้ แต่เมื่อมีทุนอะไรให้สมัครในมหาวิทยาลัยมหาสารคาม ถ้าดิฉันมีคุณสมบัติครบดิฉันก็จะสมัครไว้ จนเวลาผ่านไปประมาณ 2-3 เดือน ทางกองกิจการนิสิตโทรมาบอกว่า หนูได้รับทุนฉลากกินแบ่งรัฐบาลเพื่อสร้างบัณฑิต ทุนนี้ได้เทอมละ 10000 บาท โดยจะแบ่งการให้ทุนเป็นช่วงๆแต่ต้องส่งเกรดไปให้กองฉลากกินแบ่งรัฐบาลทุกเทอมและต้องช่วยกองกิจทำงานเมื่อทางกองกิจได้ขอความช่วยเหลือ หนูได้ไปรับทุนนี้เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2552 ที่ผ่านมาและก็ได้ใช้หนี้ค่าหอพักและก็ยังต้องจ่ายค่าที่ยืมทุนฉุกเฉินของมหาวิทยาลัยอีกด้วย ตอนนี้ดิฉันยังกู้ทุนกยศ. ไม่ได้เลย แต่เมื่อได้รับทุนฉลากกินแบ่งรัฐบาล ก็สามารถช่วยเหลือดิฉันได้มากเลยค่ะ เรื่องเงินก็ยังไม่พอใช้อยู่ดีค่ะ แต่ก็ดีใจมากที่ได้รับทุนฉลากกินแบ่งรัฐบาลเพื่อสร้างบัณฑิตทุนนี้ หนูขอขอบพระคุณกองทุนฉลากกินแบ่งรัฐบาลมากค่ะที่มีโครงการมอบทุนแก่นิสิตที่อยากเรียนแต่ขาดทุนทรัพย์ หนูจะเป็นคนดีของสังคม จะพัฒนาประเทศไทยให้เจริญยิ่งขึ้นค่ะ เพราะหากเราเยาวชนรุ่นใหม่ไม่ให้ความสำคัญของประเทศชาติ แล้วจะให้ใครมาให้ความสำคัญกับประเทศของเรา
ช่วงวันที่ 19- 23 ธันวาคม 2552 เป็นช่วงของการรับพระราชทานปริญญาบัตรของมหาวิทยาลัยมหาสารคาม งานแนะแนวของกองกิจการนิสิตมหาวิทยาลัยมหาสารคาม ก็โทรมาให้ดิฉันไปช่วยขายช่อดอกไม้ ในวันที่ 21 และ 23 ธันวาคม 2552 วันที่ 21 เป็นวันซ้อมใหญ่ของพี่บัณฑิตวันนี้ขายช่อดอกไม้ได้เรื่อยๆ ส่วนวันที่ 23 ขายช่อดอกไม้ได้ดีมาก มีคนมาแสดงความยินดีกับพวกพี่ๆบัณฑิตเยอะมาก จึงทำให้ขายดอกไม้ได้เยอะ ช่อดอกไม้ช่อละ 200 บาท ช่อตุ๊กตาช่อละ 200-300 บาท แต่ก็ขายดีมาก ขายแทบไม่ทัน ดิฉันปวดขามากเพราะต้องเดินกลับไปกลับมา แถมยังเจ็บคออีกด้วยที่ต้องคอยเรียกลูกค้า แต่ก็สามารถขายช่อดอกไม้ได้เกือบหมดร้าน เจ้าของร้านจึงให้ทริบมาอีกคนละ 100 บาท รวมกับค่าแรงที่ได้เป็นเงิน 600 บาท และดิฉันยังได้ตุ๊กตาหมี ตัวใหญ่มากเจ้าของร้านใจดีให้ตุ๊กตามาคนละ 1 ตัว ดิฉันดีใจที่ได้ตุ๊กตาหมีตัวใหญ่ และที่ได้ทำงานนี้ ถึงแม้มันจะเหนื่อย แต่มันก็คุ้ม หลังจากนั้นวันที่ 24 ธันวาคม 2552 ตอนสายๆดิฉันก็ไปทำขนมครองแครงกรอบที่บ้านพี่น้องที่เรียนอยู่คณะสาธารณสุขศาสตร์ พากันทำขนมตั้งแต่เที่ยงจนถึง 2 ทุ่ม ขนมที่ทำอร่อยมากค่ะแล้วก็กินข้าว จึงอาบน้ำ แล้วพากันนอน ดิฉันทำขนมไปฝากแม่เพราะช่วงปีใหม่ดิฉันจะกลับบ้านไปเยี่ยมแม่และไปเยี่ยมญาติพี่น้องแล้วก็จะไปทำบุญให้แก่คุณพ่อด้วยค่ะ
สุดท้ายนี้หนูขออวยพรให้อาจารย์จงมีแต่ความสุขตลอดปี 2553 ที่ใกล้จะมาถึงนี้ ขอให้มีสุขภาพที่สมบรูณ์แข็งแรง และเป็นอาจารย์ที่น่ารักของลูกศิษย์อย่างนี้ตลอดไป..........สวัสดีค่ะ
นางสาว ยุพาภรณ์ สิงห์สั่งถ้ำ รหัสนิสิต 52010521023 สาขา จิตวิทยา
คณะศึกษาศาสตร์
ประวัติโดยส่วนตัวของดิฉัน ครอบครัวของดิฉันมีสมาชิก5คน มีคุณยาย คุณพ่อ คุณแม่ พี่ชาย และตัวดิฉันเองเป็นคนสุดท้อง คุณพ่อ คุณแม่ มีอาชีพทำเกษตรกรรม ที่บ้าน ส่วนพี่ชายทำงานที่ปะเทศลาว ที่โรงงานน้ำตาลมิตรผล และตัวดิฉันเองก็กำลังศึกษา
ที่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ปีที่1 คณะศึกษาศาสตร์ สาขาจิตวิทยา ในสมัยเด็กๆดิฉันก็ได้เรียนที่โรงเรียนใกล้บ้านของตัวเอง เรียนตั้งแต่อนุบาล1-ม.3 ในช่วงเวลาที่เรียนอยู่โรงเรียนใกล้บ้านนั้นก็มีหลากหลายหมู่บ้านในสมัยก่อนมาเข้าเรียนที่โรงเรียนนี้
ช่วงนั้นยังไม่ค่อยพัฒนาไม่ค่อยมีใครเข้ามาเรียนในตัวเมือง อีกอย่างพ่อกับแม่ก็อยากให้เรียนใกล้บ้านเพื่อความสะดวกสบายและความปลอดภัย ตัวเราเอง ที่โรงเรียนก็มีเพื่อนๆจากต่างถิ่นมาเรียนที่โรงเรียนเดียวกันรู้จักคนมากหน้าหลายตา หลังจากที่เรียนจบชั้น
ม.3 ดิฉันก็ได้ศึกษาต่อม.4 - ม.6 ที่โรงเรียนเสลภูมิพิทยาคม พอเข้าไปโรงเรียนครั้งแรกดิฉันก็รู้สึกตื่นเต้นที่ได้เจอเพื่อนๆใหม่ รุ่นพี่ที่โรงเรียนเสลภูมิพิทยาคม พอวันที่เปิดเทอมใหม่วันแรกก็ได้เจอเพื่อนๆตั้งเยอะแยะ ดิฉันได้อยู่ห้องเรียน ห้องม.4/9 ซึ่งเป็นห้องเรียนสายวิทย์ คณิต ฉันเป็นคนที่เรียนไม่เก่งเหมือนเพื่อนคนอื่นเขา ดิฉันจึงพยายามตั้งใจเรียนให้ทันเพื่อน ช่วงแรกๆก็ไม่ค่อยเข้ากับเพื่อนสักเท่าไหร่ ก็มีอายกันบ้างไม่กล้าคุย
พอได้เรียนรู้กันแต่ละคนทำความรู้จักกันเรื่อยๆ ไปกินข้าวด้วยกัน เพื่อนในกลุ่มก็จะมี 8คน ที่ไปไหนมาไหนด้วยกันมาตลอด พอถึงกลางเดือนก็มีกิจกรรมต่างๆให้นักเรียนที่โรงเรียนได้ทำร่วมกัน เช่น การทำโครงงานวิชาการ การแข่งทักษะ ที่โรงเรียนก็จะมีโรงเรียนต่างๆเข้ามาร่วมแข่งขัน มาร่วมทำกิจกรรมด้วยกัน พอถึงเดือนกันยายนเป็นช่วงการสอบปลายภาค พอสอบปลายภาคเสร็จก็ปิดเทอมประมาณ 1 เดือน ในช่วงเวลาที่ปิดเทอม ก็ไม่ทำอะไรนอกจากอยู่บ้าน ไม่ได้ไปทำงานที่ไหน ไม่ได้ไปเรียนพิเศษที่ไหน เพราะฐานะทางบ้านก็ไม่ค่อยดีเหมือนคนอื่นเขา อะไรที่พอประหยัดได้ก็ช่วยกันประหยัด
หลังจากที่ปิดเทอมมาแล้ว พอเปิดเทอมก็ทำให้เราสนิทกันมากขึ้นเรื่อยๆ ช่วงเดือนธันวาคมก็มีการแข่งขันกีฬาสีภายในโรงเรียน ดิฉันก็ได้เข้าร่วมแข่งกีฬาบาสเกตบอล
ด้วยความที่ชอบกีฬาประเภทนี้ และ ประเภทที่เป็นคนตัวสูงก็เลยไดเข้าร่วมแข่งก็ได้ชนะเลิศมา มีทั้งความสนุก และเหนื่อยแต่ก็มีความสุขดี พองานกีฬาเสร็จเราก็ไปเลี้ยงฉลองกันอย่างสนุกสนาน ทั้งยังใกล้ถึงเทศกาลปีใหม่ ก็เลยอยู่เคาวน์ดาวด้วยกันกับเพื่อนๆตั้งหลายคน ในช่วงเรียนม.ปลายมาด้วยกันก็ได้รู้จักว่าเพื่อนๆแต่ละคนมีนิสัยยังไงเป็นคนแบบไหนแต่ละคนชอบทำอะไรบ้างก็ได้ศึกษาใจกันมาจนถึงม.6 แต่ละคนก็ได้หาที่เรียนหาสิ่งที่ตัวเองรักสิ่งที่ตัวเองชอบ พอใกล้จะจบม.6ทางโรงเรียนก็มีการจัดการอบรมติวโอเน็ต เอเน็ต ชั้นม.6 มันก็เป็นโอกาสสุดท้ายที่เราจะได้อยู่ร่วมกัน เพราะต่างคนก็ต่างไปศึกษาต่อ บางคนก็ไม่ได้เรียนต่อแต่ไปทำงาน ในช่วงเวลาที่อยู่ด้วยกันก็มีทั้งสุขและทุกข์ มีทั้งหัวเราะและร้องไห้ ตั้งแต่ได้รู้จักกับเพื่อนๆที่อยู่กลุ่มเดียวกัน และ ไม่ได้อยู่กลุ่มเดียวกัน เราก็เป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม สำหรับเพื่อนที่อยู่กลุ่มเดียวกันก็มักจะทำอะไรที่ตลก ฮา และชอบกวน แต่มันก็มีความสุขมาก อะไรที่เราไม่เคยทำเคยไม่เคยเห็นก็ได้เห็นได้ทำ อย่างกลุ่มของดิฉันก็ชอบเล่นการพนัน ในโรงเรียน โดดเรียนเป็นบางครั้งถ้ากลุ่มเราทำอะไรก็มักจะทำด้วยกัน ไปด้วยกัน มันเป็นอะไรที่สนุกมาก มันเหมือนว่าเราท้าทายดี ชอบทำอะไรที่แหกกฎอยู่ตลอดไม่ได้อยู่ในกรอบซักเท่าไหร่
เพื่อนๆในกลุ่มแต่ละคนก็มีแต่คนที่ตัวใหญ่ๆ ทั้งนั้น เวลาที่เรามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับกลุ่มเราพวกเราก็จะอยู่ด้วยกันตลอดไม่ทิ้งกัน ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม
หลังจากที่ดิฉันเรียนจบ ตอนแรกดิฉันก็ตั้งใจว่าจะไปเรียนต่อที่กรุงเทพฯ แต่เพราะว่า พ่อกับแม่ดิฉัน ท่านไม่อยากให้ดิฉันไปเรียนที่ไกลบ้าน ท่านเป็นห่วงและฐานะทางบ้านก็ไม่ค่อยดีเหมือนคนอื่น ท่านก็บอกว่าเรียนที่ไหนก็เรียนไดเหมือนกันขอให้เราเป็นคนดีและตั้งใจเรียนก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว ไม่สำคัญที่มหาลัยหรอกแต่สำคัญตรงที่การกระทำของตัวเรามากกว่า ถ้าหาไปเรียนที่มหาลัยดีแต่กับทำตัวไม่ดีมันก็ไม่ต่างกันหรอก
ดิฉันก็เลยทำตามที่ท่านบอกเพราะที่บ้านของดิฉัน ดิฉันเป็นความหวังของทุกคนในครอบครัวเพราะพี่ชายของดิฉันก็จบ แค่ ปวส. ไม่ได้เรียนต่อปริญญาเหมือนดิฉัน และพี่ชายดิฉันก็ทำงานส่งดิฉันเรียน เพราะไม่อยากให้ดิฉันเป็นเหมือนอย่างคนอื่นเขา ที่ไม่ทำงานทำการอะไร อยู่บ้านก็ไม่ทำงานบ้านสร้างปัญหาให้พ่อกับแม่ พี่ชายของดิฉันไม่อยากให้เป็นเหมือนคนอื่นเขา อนาคตยังอีกยาวไกลดิฉันได้ให้คำปฎิญาณตนไว้กับพ่อ แม่ และ พี่ชายว่า ดิฉันจะทำให้สำเร็จอย่างที่ทุกคนคาดหวังไว้ และดิฉันก็จะตั้งใจทำให้ดีที่สุดจะไม่ทำให้ทุกคนในครอบครัวต้องผิดหวัง พอหลังจากที่จบม.6มา ดิฉันก็ศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม คณะศึกษาศาสตร์ สาขาจิตวิทยา พอดิฉันได้ย้ายเข้ามาหอพักเพื่อเข้าเรียนที่มมส. ดิฉันก็ได้รู้จักกับเพื่อนร่วมห้องนอนเดียวกัน เพราะต่างคนก็ต่างเข้ามาเรียนเหมือนกัน ดิฉันได้พักที่หอใน เพราะดิฉันยังไม่คุ้นกับสถานที่ต่างถิ่น ต้องเจอผู้คนมากหน้าหลายตา แต่ดิฉันก็มีเพื่อนที่เรียนม.ปลายห้องเดียวกันเราก็เลยพักอยู่ด้วยกัน พ่อกับแม่ก็สบายใจหน่อยที่ดิฉันมีเพื่อน กลัวว่าเราจะอยู่ไม่ได้ แต่เราก็ต้องอยู่เพื่ออนาคตของเราเอง พอถึงวันเปิดเทอมใหม่ ดิฉันก็ได้เป็นนิสิตเต็มตัวแล้วดิฉันรู้สึกภูมิใจมาก ที่มหาวิทยาลัยก็มีการปฐมนิเทศนิสิตใหม่มีทั้งเพื่อนๆพี่ที่มาในงาน และพี่ๆคณะครู อาจารย์ให้การต้อนรับนิสิตใหม่เป็นอย่างดี เพื่อนๆแต่ละคนก็มาจากที่ไกลๆบ้างใกล้บ้างแล้วแต่คนที่สอบได้ หลังจากที่มีการปฐมนิเทศเสร็จ ก็มีพิธีอีกอย่างหนึ่งเรียกว่า การรับน้องใหม่ ก็มีกิจกรรมให้ทำระหว่างรุ่นพี่กับรุ่นน้อง มีทั้งเสียงหัวเราะและเสียงร้องไห้ ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่แปลกใหม่ที่ไม่เคยได้เกดขึ้นกับตัวดิฉันเลยนับว่าเป็นสิ่งที่ดีมาก ได้ทำความรู้จักกับพื่อนต่างคณะ ต่างสาขา รุ่นพี่ก็มีทั้งโหด ทั้งใจดี และมีทั้ง
ตลกมาสร้างสีสันและรอยยิ้มให้กับรุ่นน้องอย่างดิฉัน
ในช่วงเวลาที่เข้าร่วมกิจกรรมนั้นถือว่ามีความศักดิ์สิทธิ์ เหมือนกันเพราะมันไม่ใช่เรื่องเล่นกับการที่เราได้เรียนรู้ถือเป็นสิ่งสำคัญสิ่งหนึ่งที่ทุกคนย่อมได้รับเหมือนกัน
ไม่ว่าจะเป็นมหาลัยไหนๆเขาก็จะมีกิจกรรมรับน้องเหมือนกัน แต่ละมหาลัยก็จะมีวิธีการรับที่แตกต่างกันไป อยู่ที่การกระทำของรุ่นพี่และรุ่นน้อง ถ้าการรับน้องเป็นเหมือนที่ในทีวีก็คงจะไม่มีการรับน้องเกิดขึ้น แต่ที่มมส.ไม่มีการรับน้องโหดๆแบบนั้น จะเป็นการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างพี่กับน้องมากกว่า หลังจากเสร็จมีกิจกรรมรับน้อง ก็เริ่มมีการเข้าเรียนได้เห็นหน้าเพื่อนๆที่มาจากต่างถิ่น ได้มาเรียนห้องเดียวกัน ช่วงอาทิตย์แรกก็ไม่ค่อยจะได้เรียนเพราะเวลาเช้าเรียนแต่ละวิชา อาจารย์ก็จะให้แนะนำชื่อของตัวเอง มาจากโรงเรียนอะไร เป็นคนจังหวัดอะไร ในห้องเรียนก็จะมีนิสิตทั้งเก่าและใหม่รวมกันได้ประมาณ83คน เท่าที่จำได้ แต่จำชื่อของเพื่อนในห้องยังไม่ได้หมดหรอก เพราะคนมันเยอะ แต่จะจำได้เป็นบางกลุ่มเท่านั้น ตอนแรกแทบจะร้องไห้อยากกลับบ้านเพราะไม่มีใครรู้จักซักคนพอ ระยะเวลานานไปก็เริ่มไม่เหงาเริ่มมีเพื่อนเป็นกลุ่ม เพราะเพื่อนที่อยู่กลุ่มเดียวกันก็พักหอใกล้ๆกันจึงสนิทกันมากขึ้น เริ่มคุ้นเคยกัน เรียนรู้ด้วยกัน
สุดท้ายนี้ก็ขอให้อาจารย์มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง อยู่กับลูกศิษย์ไปนานๆ เป็นที่รักของทุกคนตลอดไป...นะคะ
ประวัติส่วนตัว
ชื่อ นางสาวสาวิตรี หล้าสรวย
รหัสนักศึกษา 52010521026 คณะศึกษาศาสตร์
สาขาวิชาจิตวิทยา มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
ชื่อเล่น เป้วันเกิด วันศุกร์ ที่ 6 เดือนเมษายน พ.ศ. 2533 ปีมะเมีย
อายุ 19 ปี กรุ๊ปเลือด โอ E – Mail : lasaruy27@hotmail.com
เบอร์โทร 085-7550109 น้ำหนัก : 46 กิโลกรัม ส่วนสูง : 150 เซนติเมตร
อาหารที่ชอบ สุกี้ กะเพราหมูกรอบ ผลไม้ที่ชอบ ส้ม น้ำผลไม้ที่ชอบ : น้ำแอปเปิ้ล
ของโปรด กาแฟปั่น เค้กช็อกโกแล็ต ดอกไม้ที่ชอบ ดอกกุหลาบ ( สีขาว) ดอกทิวลิป
สีที่ชอบ ขาว ชมพู เขียว ดาราที่ชอบ ออย ธนา อั้ม พัชราภา ไชยเชื้อ ,แพนเค้ก
ตลกที่ชอบ ตุ๊กกี้ หม่ำ จ๊กม๊ก เท่ง ภาพยนตร์ที่ชอบ ปายอินเลฟ 32ธันวา แนวเพลงที่ชอบ POP เพลงโปรด คนธรรมดา วันที่ฉันกลัว ศิลปินที่ชื่นชอบ
ดา เอ็นโดรฟิน แดนบีม นักร้องในดวงใจ Dr. Fuu วิชาที่ชอบ คณิตศาสตร์
วิชาที่ไม่ถนัด ชีววิทยา สัตว์เลี้ยงที่ชอบ สุนัข งานอดิเรก ฟังเพลง นอน
ในสมัยเด็กๆเรียนที่โรงเรียนสมสะอาดดงมุขวิทยา ม.1-3 พอม.ปลายเรียนที่โรงเรียนอุดรพิชัยรักษ์พิทยา คติที่ใช้ในชีวิตประจำวัน ขอบคุณข้าวทุกเม็ด น้ำทุกหยด อาหารทุกจานอย่างจริงใจ อย่าสวดมนต์เพื่อขอสิ่งใด นอกจาก “ปัญญา” และ “ความอุตสาหะ” “เพื่อนใหม่” คือของขวัญที่ให้กับตัวเอง ส่วน “เพื่อนเก่า” “มิตร” คืออัญมณีที่นับวันจะเพิ่มคุณค่า อ่านหนังสือธรรมปีละเล่ม ปฏิบัติต่อคนอื่นเช่นเดียวกับที่ต้องการให้ผู้อื่นปฏิบัติต่อเรา พูดคำว่า “ขอบคุณให้มาก” รักษา “ความลับให้เป็น” ประเมินคุณค่าของการให้ “อภัย” ให้สูง ฟังให้มากแล้วจะได้คู่สนทนาที่ดี ยอมรับความผิดพลาดของตัวเอง หากมีใครตำหนิ และรู้อยู่แก่ใจว่าเป็นจริง หากล้มลง จงอย่ากลัวกับการลุกขึ้นใหม่ เมื่อเผชิญหน้ากับงานหนักคิดเสมอว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะล้มเหลว อย่าถกเถียงธุรกิจภายในลิฟต์ ใช้บัตรเครดิตเพื่อความสะดวก อย่าใช้เพื่อก่อหนี้สิน อย่าหยิ่ง หากจะกล่าวว่า “ขอโทษ” อย่าอายหากจะบอกใครว่า “ไม่รู้”ระยะทางนับพันกิโลเมตร แน่นอนมันไม่ราบรื่นตลอดทาง เมื่อไม่มีใครเกิดมาแล้ววิ่งได้ จึงควรทำสิ่งต่าง ๆ อย่างค่อยเป็นค่อยไป การประหยัดเป็นบ่อเกิดแห่งความร่ำรวย เป็นต้นทางแห่งความไม่ประมาท คนไม่รักเงิน คือไม่รักชีวิต ไม่รักอนาคต ยามทะเลาะกัน ผู้ที่เงียบ
คือผู้ที่มีการอบรมสั่งสอนที่ดี ชีวิตนี้ฉันไม่เคยทำงานเลยสักวัน ทุกวันเป็นวันสนุกหมด จงใช้จุดแข็ง อย่าเอาชนะจุดอ่อน เป็นหน้าที่ของเราที่จะพูดให้คนอื่นเข้าใจ ไม่ใช้หน้าที่ของคนอื่นที่จะทำความเข้าใจในสิ่งที่เราพูด เหรียญเดียวมี 2 หน้า ความสำเร็จกับความล้มเหลว อย่าตามใจตนเอง เรื่องยุ่ง ๆ เกิดขึ้นล้วนตามใจตัวเองทั้งสิ้น ฟันร่วงเพราะมันแข็ง ส่วนลิ้นยังอยู่เพราะมันอ่อน อย่าดึงต้นกล้าให้มันโตไว ๆ (อย่าใจร้อน) ระลึกถึงความตายวันละครั้ง ชีวิตจะมีความสุข มีอภัย มีให้ ทุกชิ้นงานจะต้องกำหนดวันเวลาแล้วเสร็จ จงเป็นน้ำครึ่งแก้วตลอดชีวิต เพื่อเรียนรู้เพิ่มเติมได้ตลอด ดาวและเดือนที่อยู่สูงอยากได้ก็ต้องปีน “บันไดสูง” ที่สำคัญในการดำเนินชีวิต มนุษย์ทุกคนมีชิ้นงานมากมายในชีวิต จงทำชิ้นงานที่สำคัญที่สุดก่อนเสมอ หนังสือเป็นศูนย์รวมปัญญาของโลก จงอ่านหนังสือเดือนละเล่ม ระเบียบวินัย คือ คุณสมบัติที่สำคัญในการดำเนินชีวิต
บิดาชื่อ นายมิตตา หล้าสรวย อาชีพ : รับจ้างทั่วไป
มารดาชื่อ นางนวลจันทร์ หล้าสรวย อาชีพ : ค้าขายข้าพเจ้ามีพี่น้องร่วมท้อง 3 คน
มีพี่ชาย 1 คน ชื่อนาย ณัฐวุฒิ หล้าสรวย ชื่อเล่น เติ้ล สำเร็จการศึกษาแล้ว ปัจจุปันทำงานอยู่ต่างประเทศ น้องสาว 1คน ชื่อ เด็กหญิงภาวิณี หล้าสรวย
กำลังศึกษาอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่1 ที่โรงเรียนสตรีราชินูทิศ
ภูมิลำเนา : อยู่ที่ อุดรธานี ( 193 หมู่ที่16 บ้าน ดงสว่าง ตำบล นาพู่ อำเภอเพ็ญ จังหวัดอุดรธานี 41150 ข้าพเจ้าได้พักอยู่ที่หออินทนิล ห้อง 206
สิ่งที่ครอบครัวใช้สอนบ่อยคือ
ชีวิตคนเราอาจเปรียบได้กับไม้ขีดไฟ ก้านไม้ขีด..ก็เหมือนกันเวลาชีวิตของเรา
เวลาชีวิตของเรา..หากมองจริงๆ ก็แสนจะสั้นเหลือเกิน เมื่อเรามีบางสิ่งบางอย่างทำ
บางคน..อาจมองว่าชีวิตของเรา ทำไมมันช่างแสนจะยาวนานนัก
เพราะนั่น..คือการที่เรายังไม่ได้จุดไม้ขีดไฟ เมื่อเกิดการเสียดสีกับกล่องไม้ขีด ไฟก็จะลุกโชน ในช่วงเวลาที่เราเริ่มจุดไม้ขีดนั้น ไม้ขีดบางอัน ก็อาจจะลุกติดในทันที แต่บางอัน ก็ต้องใช้เวลานานกว่าจะติด ไฟ..ก็เปรียบเสมือนงาน หรือจุดมุ่งหมายของเรา
บางคน...กว่าจะค้นหาเป้าหมายของตัวเองเจอ ก็ช่างนานแสนนาน และเมื่อจะเริ่มทำเป้าหมายที่วางไว้ให้สำเร็จ..หัวไม้ขีดก็เก่าเสียแล้ว จะจุดไม้ขีดก็ต้องยากเป็นธรรมดา
เมื่อไฟลุกติด..เมื่อเราเริ่มทำความฝันให้เป็นความจริง ไฟก็จะมอดก้านไม้ขีด..เวลาแห่ง
ชีวิต เวลาแห่งอิสระก็เริ่มจะสั้นลงๆ ขณะที่ไฟลามไปยังก้านไม้ขีด
บางอันอาจจะช้า บางอันอาจจะเร็ว ก็ขึ้นอยู่กับสิ่งต่างๆ ตอนที่ไฟลุกอยู่...อาจจะมีลมแรงพัดผ่านเข้ามา อาจจะมีฝนตก ไฟก็อาจจะดับได้ เมื่อลุกมาถึงกลางก้านไม้ขีดแล้ว ก็เป็นไปไม่ได้ที่ไฟจะกลับมาลุกโชนอีกครั้งได้ง่ายๆ ก็จำเป็นต้องพึ่งไม้ขีดอีกอัน พึ่งเพื่อนรักของเรา มาประคองไฟให้ลุกใหม่ได้อีกครั้ง เมื่อจุดหมายของเราใกล้จะประสบความสำเร็จ ก้านไม้ขีดที่เหลือก็มีอยู่น้อยเต็มทีแล้ว แต่เมื่อใดที่ไฟสุดท้ายของไม้ขีดดับมอดลง เมื่อวาระสุดท้ายของคนเรามาถึง ก็จำเป็นที่จะต้องจากไปแต่ประโยชน์ที่เราสร้างไว้ จุดหมายที่ประสบความสำเร็จ ไฟที่สร้างความสว่างไสวเอาไว้ แม้จะเป็นแค่เพียงไฟดวงเล็กๆ แต่ก็ได้สร้างประโยชน์เอาไว้ให้แก่คนรอบข้างและบางทีก้านไม้ขีดไฟอันนี้…ก็อาจนำไปเพื่อจุดกองไฟกองโต เพื่อความสว่างไสวและอบอุ่นของคนมากมาย..ตลอดคืนในทางกลับกัน..บางคนอาจกล่าวว่า ถ้าเราไม่จุดไฟ..เราก็มีก้านไม้ขีดที่เหลืออีกมากมายเหลือเฟือ แต่ถ้าหากเราปล่อยก้านไม้ขีดเอาไว้อย่างนั้น นานวันเข้า..นานวันเข้า
ก้านไม้ขีดก็จะจุดติดยาก หรืออาจจะจุดไม่ติด พอถึงวันนั้น.. คนที่จะใช้ไม้ขีดก็คงจะทำอะไรไปไม่ได้...นอกจากจะต้องทิ้งไม้ขีดไฟก้านนั้นทิ้งไป
ความรู้สึกส่วนตัวเกี่ยวกับครอบครัว ครอบครัวของเราเป็นครอบครัวเล็กๆแต่เต็มไปด้วยความสุขและเสียงหัวเราะถึงจะไม่ได้ร่ำรวยอะไรแต่ก็สามารถเลี้ยงลูกทุกคนได้อย่างดีไม่ขาดตกบกพร่องอย่างใด ครอบครัวเราอยู่แบบให้ความสำคัญกับทุกคนเท่ากันหมด
รักใดเล่าจะเท่ากับรักจากพ่อแม่ คือรักแท้บริสุทธิ์ดุจผ้าขาว
ถนอมลูกดุจดั่งเพชรอันแพรวพราว รักยืนยาวมั่นคงตลอดไป
พ่อแม่นั้นรักลูกเท่าชีวิต ผูกพันธ์จิตด้วยสายเลือดอันยิ่งใหญ่
ทั้งดูแลปกป้องสุดดวงใจ หวังเพื่อให้ลูกน้อยเป็นคนดี
ถึงเวลาที่ลูกจะแทนคุณ ด้วยการมอบความรักแห่งศักดิ์ศรี
เป็นดั่งท่านหวังให้เราเป็นคนดี เพื่อชีวีก้าวหน้าพาเจริญ
หันมาให้เวลาแก่ครอบครัว ละส่วนตัวเพื่อแม่ได้เพลิดเพลิน
ร่วมกันสร้างความสุขน่าสรรเสริญ อย่าหมางเมินให้พ่อแม่ทุกข์ตรมเอย
เกี่ยวกับญาติ ตระกูลของเราเป็นตระกูลที่ใหญ่ซึ่งต่างคนต่างครอบครัวก็จะให้ความสำคัญกับญาติๆทุกครอบครัว ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
เกี่ยวกับเพื่อน ส่วนมากเพื่อนที่คบกันอยู่ปัจจุปันก็เป็นเพื่อนที่เรียนมาตั้งแต่อนุบาล
เพราะส่วนมากก็ถือได้ว่าเป็นเพื่อนตายได้เราเคยร่วมเป็นร่วมตายกันมาเคยร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาถึงแม้ว่าเราจะไม่ค่อยได้พบกันเท่าไร่เพราะต่างคนก็ต่างมีหน้าที่เขาตนเองที่จะเดินตามทางตามความฝันของตนเองไม่ว่างที่จะมีเวลาว่างเหมือนแต่ก่อนที่จะว่างมาทำกิจกรรมต่างๆร่วมกันเหมือนแต่ก่อน แต่ความรู้สึกดีๆที่มีให้กันและกันที่ผ่านมายังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง หนึ่งวันพานพบคนรู้จัก พบกันทักทายเสมอเสมือน
ห่างกันห่วงใยมิลืมเลือน เป็นเพื่อนในกาลต่อมา หลายปีอยู่ด้วยกันโรงเรียน พากเพียรตั้งใจการศึกษา ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมา ต้องล่ำลาจากกันด้วยอาลัย ต่างคนต่างไปตามหาฝัน แยกกันจากไปตามฝันใฝ่ อนาคตของตนทนฝ่าไป พบกันใหม่เวลาหน้าโอกาสมี
แม้ห่างตัวอยู่ไกลใจคิดถึง ห้วงคะนึงเคยซึ้งหทัยนี้ จากวันนั้นจนวันนี้คงไมตรี
หัวใจมีเพื่อนกันตลอดไป.....
ประวัติส่วนตัว
ชื่อ นางสาวเกศสุดา
นามสกุล บุตรใส
ชื่อเล่น เอเอ้
วันที่เกิด วันอาทิตย์ ที่ 12 เดือนเมษายน พ.ศ. 2534 ปีมะแม
อายุ 18 ปี กรุ๊ปเลือด โอ
น้ำหนัก 51 กิโลกรัม ส่วนสูง : 169 เซนติเมตร
ครอบครัว บิดาชื่อ นายคำผุย บุตรใส อาชีพ : ธุรกิจส่วนตัว
มารดาชื่อ นางพิกุล บุตรใส อาชีพ : ธุรกิจส่วนตัว
ข้าพเจ้ามีพี่น้องร่วมท้อง 2 คน มีพี่สาวชื่อนางสาวนริศรา บุตรใส
ชื่อเล่น แอมแปร์ กำลังศึกษาอยู่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม คณะแพทย์ศาสตร์
สาขาแพทย์แผนไทยประยุกต์ ชั้นปีที่ 4
ที่อยู่ปัจจุบัน 149 หมู่.6 บ้านน้ำใส ตำบลน้ำใส อำเภอจตุรพักตรพิมาน จังหวัดร้อยเอ็ด 45180
เบอร์โทรศัพท์ 087-8025116
E – Mail : a_niranam@hotmail.com
ข้าพเจ้าได้พักอยู่ที่หอการเวก ห้อง 217
อาหารที่ชอบ ข้าวผัด สุกี้
ของหวานที่ชอบ ทองหยอด หม้อข้าวหม้อแกง
ผลไม้ที่ชอบ ส้ม มังคุด ทุเรียน
น้ำผลไม้ที่ชอบ น้ำมะนาว
ของโปรด กาแฟปั่น เค้กช็อกโกแล็ต
ดอกไม้ที่ชอบ ดอกกุหลาบ ( สีขาว)
สีที่ชอบ ขาว ขาว ขาว แล้วก็ขาว 5555
ดาราชายที่ชอบ สเตฟาน สันติ
ดาราหญิงที่ชอบ อั้ม พัชราภา ไชยเชื้อ
ตลกที่ชอบ หม่ำ จ๊กม๊ก
ภาพยนตร์ที่ชอบ รถไฟฟ้ามาหานะเธอ
แนวเพลงที่ชอบ สตริง
เพลงโปรด คนธรรมดา
ศิลปินที่ชื่นชอบ ดา เอ็นโดรฟิน
นักร้องในดวงใจ Dr. Fuu
วิชาที่ชอบ ภาษาไทย
วิชาที่ไม่ถนัด คณิตศาสตร์
งานอดิเรก ฟังเพลง อ่านหนังสือ
คติ ไม่มีอะไรสายเกินแก้ ถ้าเรายังไม่เริ่มทำ
ผลงานด้านการศึกษา
ปัจจุบัน เรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
เป็นนิสิตชั้นปีที่ 1 รหัสนักศึกษา 52010521012 คณะศึกษาศาสตร์
สาขาวิชาจิตวิทยา มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
ความรู้สึกส่วนตัว
บ้านของฉันเป็นครอบครัวที่เล็กๆ แต่ฉันก็อยู่กันอย่างมีความสุข มีความอบอุ่น
พ่อฉันเป็นคนจังหวัดร้อยเอ็ดอายุก็มากแล้ว นิสัยเป็นคนมีความรับผิดชอบมากชอบอ่านหนังสือเป็นที่สุด
แม่ฉันเป็นคนจังหวัดร้อยเอ็ด ไปทำงานอยู่ที่กรุงเทพฯหลายปี แล้วก็กลับมาบ้าน แม่ของฉันเป็นคนหน้าตาค่อนข้างดี มีคนเข้ามาจีบบ่อยๆรวมทั้งพ่อของฉันด้วย
พี่สาวของฉันชื่อแอมแปร์ เป็นคนสวย น่ารัก ขาวมาก แต่ฉันกลับตัวดำ
มีนิสัยที่ชอบเล่น ชอบอ่านหนังสือ พี่สาวของฉันเป็นคนที่เรียนเก่งมาก ฉันอยากจะยืมสมองของพี่สาวฉันมาใช้เวลาสอบ ไม่รู้ว่ากินข้าวกับอะไร เพราะไม่ค่อยได้เจอกันต่างคนก็ต่างเรียน แล้วเทอมนี้พี่สาวของฉันก็ต้องฝึกงาน
ครอบครัวฉันเป็นครอบครัวที่ค่อนข้างเล็กอยู่กันพ่อแม่ลูก 4 คน แต่เมื่อถึงเทศกาลต่างๆพวกเราก็จะมารวมญาติกันที่บ้านของคุณยาย ส่วนพี่น้องก็ได้พบปะคุยกันส่วนฉันและลูกพี่ลูกน้องก็จะได้เจอหน้ากันพูดคุยกันตามประสาวัยรุ่น
ฉันพึ่งย้ายบ้านมาจากบ้านพ่อ แต่คนแถวบ้านจะเป็นญาติๆทางแม่จึงทำให้สนิทและรักกันดีสถานที่ท่องเที่ยวที่ใกล้บ้านของฉันคือ ผาน้ำย้อย
วัดที่ใกล้บ้าน คือ วัดพัฒนาราม
บริเวณหน้าบ้านของฉันเป็นปั๊มน้ำมัน บ้านของฉันมีสุนัข ชื่ออุลต้าแมน พันธุ์โกเดนท์ น่ารัก ตัวใหญ่มากเลยใครๆก็ชอบ มีคนมาขอถามซื้อ แต่ฉันไม่ขายเพราะฉันรักมันมาก และหลังบ้านแม่ฉันได้ปลูกพืชผักสวนครัวไว้กินเอง
อยากให้ทุกคนได้อ่านดู - เอาไว้เป็นข้อคิดดีๆ
เธอชอบตุ๊กตาหมี --- เขาชอบรถถัง
เธอชอบนั่งดูตะวันขึ้นที่ชายทะเลในตอนเช้า
เขาชอบบรรยากาศของแสงไฟในเมืองตอนกลางคืน
จักรยานเธอชอบ
เพราะความช้าของมันทำให้เธอมีเวลาดูอะไรหลายๆอย่างที่ผ่านไป
มอเตอร์ไซค์เขาชอบความเร็วของ
เพราะมันทำให้เขาไปถึงที่หมายทันเวลา
เธอนอนสี่ทุ่มตื่นตีสี่เพื่อใส่บาตร --- เขานอนตีสี่
ตื่นสี่โมงเย็นเพราะกลับดึก
เธอได้ท๊อบเกือบทุกวิชา --- เขาได้ 0 เกือบทุกวิชา
เธอถูกชมและรับรางวัลเด็กนักเรียนดีเด่นเป็นประจำ - --
เขาถูกด่าและมีชื่ออยู่ในบัญชีดำของโรงเรียน
เธอยิ้มง่ายรักเด็กๆและกล้าแสดงออก - --
เขาหงุดหงิดเกลียดเด็กๆและขี้อาย
เธอไม่ชอบกลางแจ้งกีฬา --- เขาชอบเล่นบาสกับฟุตบอล
เธอขี้แย --- เขาเข้มแข็ง
เธอกลัวฟ้าร้อง --- เขาชอบฝนตก
เธอเกลียดความเหงาและไม่ชอบอยู่คนเดียว
เขาเบื่อสังคมและชอบเก็บตัวในห้อง
เธอร้องไห้ในเรื่องที่เราไม่คิดว่ามันน่าเศร้า
เขากลั้นน้ำตาในเรื่องที่อยากฆ่าตัวตาย
เธอมองหน้าเขาแล้วเห็นผู้ชายที่แสนดีคนหนึ่ง ---
เขามองหน้าเธอแล้วเห็นนางฟ้าที่ดีที่สุดในชีวิตเขา
เธอจับมือเขาไว้ในวันที่เขาท้อแท้
เขานั่งลงข้างๆเธอในวันที่เธอว้าเหว่
เธอเบื่อคำชื่นชมจอมปลอมและต้องการได้ยินเสียงเขา
แม้จะก็ตามเป็นการด่า ---
เขาอยากได้ยินคำชื่นชมจอมปลอมขอแค่มันมาจากปากเธอ
เธอจมปลักอยู่ในความทุกข์ในวันที่เขาหายไป
เขาจมดิ่งลงในความสุขในวันที่เธออยู่ข้างๆ
วันใดก็ตามที่เขาท้อแท้หรือยอมแพ้เธอจะโทรไปหาเขาพูดแต่คำว่า รักเธอนะ ---
วันใดก็ตามที่เธอผิดหวังหรือเหงาเขาจะโทรไปหาเธอและจะเงียบ
อยู่อย่างนั้นจนกว่าเธอจะหยุดร้องไห้
วันใดก็ตามที่เขาได้รับชัยชนะเธอจะตรงเข้าไปหาแล้วกอดเขา
วันใดก็ตามที่เธอได้รางวัลเขาจะตรงเข้าไปหายิ้มให้ชูนิ้วโป้ง
แล้วพูดคำว่ายินดีด้วย
วันเกิดเขาเธอหอมแก้มเขาฟอดหนึ่งแล้วพูดคำว่าฉันรักเธอ
วันเกิดเธอเขาโทรมาตอนเที่ยงคืน
แล้วพูดคำว่าฉันก็รักเธอ
เธอจับมือเขาเพื่อจะเตือนให้เขารู้ว่าเขาสำคัญสำหรับเธอมากแค่ไหน
เธอเขานั่งข้างๆ
เพื่อให้เธอรู้ว่าเธอไม่ได้อยู่คนเดียว
เธอจะร้องไห้และขอร้องให้คนที่ทำร้ายเขาหยุดการกระทำ
เขาจะต่อยหน้าใครก็ตามที่ทำร้ายเธอ
เมื่อเขาโกรธเธอจะรอให้เขาหายโกรธแล้วโทรไปบอกว่าขอโทษนะ
เมื่อเธอโกรธเขาจะดึงมือเธอไว้แล้วพูดคำว่าฉันขอโทษ
เธอโทรไปหาเขาทุกวันเพื่อพูดคำว่าฉันรักเธอ - --
เขารอคอยโทรศัพท์เธอทั้งวัน
... เพื่อรอฟังคำว่าฉันรักเธอ …
ประวัติส่วนตั๊วส่วนตัว
ชื่อจริงๆ :: นางสาวรจนา โพธิ์เศษ
เพื่อนๆเรียก :: ตัวเล้กเล็ก
วันเกิดจ้า :: วันอังคาร ที่ 25 กันยายน 2533 ปีมะเมีย
อายุ :: 19 ปี กรุ๊ปเลือด :: บี
น้ำหนัก :: 41 กิโลกรัม ส่วนสูง :: 145 เซนติเมตร
ครอบครัว :: บิดาชื่อ นายมีชัย โพธิ์เศษ มีอาชีพรับราชการ( เจ้าหน้าที่ครุภัณฑ์ 3 )
ที่โรงเรียนรุจีจินตกานนท์ อำเภอรัตนวาปี จังหวัดหนองคาย
มารดาชื่อ นางคำพอง โพธิ์เศษ มีอาชีพรับราชการ(ครู) ที่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก
บ้านนาคำมูล ข้าพเจ้ามีพี่น้อง 1 คน เป็นน้องชายชื่อ นายประสิทธิ์พงษ์ โพธิ์เศษ
ชื่อเล่น ต๋อง กำลังศึกษาอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/1 โรงเรียนกีฬาจังหวัดหนองคาย
ประเภทกีฬา เซปักตะกร้อ ตำแหน่งผู้เล่นกลาง
ที่อยู่ :: 110 หมู่ 6 บ้านนาคำมูล ตำบลนาทับไฮ อำเภอรัตนวาปี
จังหวัดหนองคาย 43120
เบอร์โทรศัพท์ :: 0800092926
E – Mail :: Tannoy_25@hotmail.com
ส่วนตอนนข้าพเจ้าได้พักอยู่ที่หอพักตักสิลานคร ตึก A 106
อาหารที่ชอบ :: ข้าวเหนียว ส้มตำ ไก่ย่าง
ของหวานที่ชอบ :: ทับทิมกรอบ ลอดช่อง
ผลไม้ที่ชอบ :: แตงโม ส้ม
น้ำผลไม้ที่ชอบ :: น้ำส้มคั้น
ของโปรดปราน :: เค้กช็อกโกแล็ต
ดอกไม้ที่ชอบ :: ดอกมะลิ กุหลาบ
เครื่องประดับที่ชอบใส่ :: แหวน
สีช๊อบชอบ :: สีฟ้า ขาว ดำ
ดาราชายที่ชอบ :: วีรภาพ สุภาพไพบูลย์
ดาราหญิงที่ชอบ :: แพนเค้ก
ตลกที่ชอบ :: ตุ๊กกี้ หม่ำ จ๊กม๊ก
หนังที่ชอบ :: แหยมยโสธร 2
แนวเพลงที่ชอบ :: ลูกทุ่ง หมอลำ
เพลงโปรด :: ดาวมีไว้เบิ่ง
ศิลปินที่ชื่นชอบ :: ปอยฝ้าย ไหมไทย
นักร้องในดวงใจ :: โปเตโต้ (พี่วิน)
วิชาที่ชอบ :: พลศึกษา
วิชาที่ไม่ถนัด :: ภาษาอังกฤษ สังคมศึกษาศาสนาและวัฒนธรรม
ชอบนวนิยายแนว :: แฟนตาซี ได้แก่ แฮรี่ พอตเตอร์ เซวีน่า ไฟด์ติ้ง แลนด์
งานอดิเรก :: เล่นอินเทอร์เน็ต อ่านหนังสือ ฟังเพลง ( ดูพี่ ) เล่นกีต้าร์
คติ :: Tomorrow never die (พรุ่งนี้ไม่มีวันตาย)
ผลงานด้านการศึกษา
เรียนที่โรงเรียนบ้านนาคำมูลชมพูพร ตั้งแต่ชั้นอนุบาล 1 – ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6
- ชั้นอนุบาล 2/1 ได้ไปแข่งวิ่งเปี้ยว
- ชั้นอนุบาล 2/1 ได้ไปแข่งการประกวดการเล่านิทานประกอบการแสดงของโรงเรียน
- ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ได้ไปแข่งขันคิดเลขเร็ว
- ได้ผลการเรียนอันดับ 1 (เฉพาะในห้อง ตั้งแต่ อ.1-ป.6)
- ได้ไปแข่งขันวาดภาพระบายสีระดับ ป. 1- 2
- ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ไปดูงาน งานวิทยาศาสตร์ ที่อำเภอเมืองหนองคายกับพ่อ ไปเข้าร่วมกิจกรรมเข้าค่ายตณิตศาสตร์ มีโอกาสเข้าร่วมแข่งขัยโครงงานวิทยาศาสตร์ที่โรงเรียนและเป็นตัวแทนของเขตพื้นที่การศึกษาหนองคายเขต 2
- ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ได้เข้าอบรม โครงการประหยัดไฟ (กฟภ.)
- ไปเข้าร่วมกิจกรรมเข้าค่ายตณิตศาสตร์ 2
- ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ได้ผลการเรียนดี 4.00 ได้รับว่าเป็นผู้มีความประพฤติดี ตั้งใจเรียนและได้รับรางวัลลูกกตัญญู
- ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ได้เข้าร่วมการแข่งขันตอบปัญหาภาษาอังกฤษ ได้รับรางวัลชนะเลิศของเขตพื้นที่การศึกษาหนองคายเขต 2
- ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ได้เข้าร่วมการแข่งขันตอบปัญหาคณิตศาสตร์ ได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 ของเขตพื้นที่การศึกษาหนองคายเขต 2
เรียนที่โรงเรียนชุมพลโพนพิสัย ตั้งแต่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 - 6
- ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 – 2 ได้เข้าร่วมการแข่งขันตอบปัญหาวิทยาศาสตร์
ได้รับรางวัลชนะเลิศของเขตพื้นที่การศึกษาหนองคายเขต 2
- ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ได้เข้าร่วมการแข่งขันตอบปัญหาวิทยาศาสตร์
ได้รับรางวัลชนะเลิศของเขตพื้นที่การศึกษาหนองคายเขต 2
- ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 – 6 ได้ผลการเรียนเฉลี่ย 2.54
- ได้รับรางวัลลูกกตัญญูของโรงเรียน
ปัจจุบัน เรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
เป็นนิสิตชั้นปีที่ 1 รหัสนักศึกษา 52010517115 คณะศึกษาศาสตร์
สาขาวิชาจิตวิทยา มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
ความรู้สึกส่วนตั๊วส่วนตัว
ถึงบ้านของฉันจะหลังไม่ใหญ่โตนัก แต่ครอบครัวฉันก็อยู่กันอย่างมีความสุข
พ่อฉันเป็นคนจังหวัดหนองคายโดยกำเนิดนิสัยถึงตอนนี้อายุจะมากแต่ความเป็นวัยรุ่นนั้นยังมีอยู่เต็มตัวและชอบพูดฮาๆแบบคาดไม่ถึง
แม่ฉันเป็นคนจังหวัดมหาสารคามโดยกำเนิด แต่มาอยู่กับญาติที่จังหวัดหนองคายก็เลยได้พบรักกันกับพ่อนิสัยเป็นคนจู้จี้ แต่ชอบเล่นมุขขำๆให้เรื่อยๆ
น้องฉันชื่อต๋อง ตัวสูงมาก เรียนที่โรงเรียนกีฬาจังหวัดหนองคาย
นิสัยขี้เล่น ชอบโม้ ผีเข้าผีออกไม่แน่นอน(อารมณ์สุนทรีสุดๆ)
ส่วนข้างๆบ้านเป็นบ้านปู่ย่า ลุงป้าอา ครอบครัวฉันเป็นครอบครัวที่
ค่อนข้างใหญ่เมื่อถึงเทศกาลต่างๆพวกเราก็จะมารวมญาติกันที่บ้านปู่กับย่า ส่วนพี่น้องก็ได้พบปะคุยกันส่วนฉันและลูกพี่ลูกน้องก็จะได้เจอหน้ากันพูดคุยกันตามประสาวัยรุ่น
คนในชุมชนส่วนใหญ่จะเป็นญาติๆกันทั้งนั้น จึงทำให้สนิทและรักกันโรงเรียนที่ใกล้บ้านของฉันมากที่สุดคือโรงเรียนรุจีจินตกานนท์( เป็นโรงเรียนที่พ่อฉันทำงานอยู่ )
สถานที่ท่องเที่ยวที่ใกล้บ้านของฉันคือ วัดโพธ์ชัย
วัดที่ใกล้บ้าน คือ วัดใหม่อัมพวัน ( ก็วัดที่บ้านไง )
สินค้า o-topในชุมชนของฉันคือ ผ้าไหมที่แม่ฉันทอเอง
บริเวณหน้าบ้านเป็นลานกว้างส่วนข้างบ้านมีดอกไม้
ที่พ่อกับแม่ปลูกไว้หลายชนิด เช่น ดอกกุหลาบสีขาว ดอกมะลิ และอีกหลายๆชนิด
และหลังบ้านได้ปลูกพืชผักสวนครัวไว้รับประทานอีกด้วย
สิ่งที่ฉันฝันไว้ในสมัยยังเด็ก คือ หมอ และฉันคิดว่าสมัยเด็กๆคนส่วนใหญ่ก็ฝันอยากเป็นหมอทั้งนั้นแต่พอเริ่มโตฉันก็รู้ว่ามันยากมากและฉันก็ไม่ถนัดวิชา วิทยาศาสตร์ อีกด้วย พอ ม.3 จนจะต่อม.4 ฉันก็ได้ตัดสินใจเลือกเรียนสายวิท- คณิต อยู่ดีเพราะแม่บังคับ ฉันจึงพยายามคิดว่าตัวเองชอบอะไร แต่พอนานๆไปเริ่มรู้ว่าตัวเองไม่มีความถนัดด้านนี้เลยเพราะฉันไม่ชอบพวกคำนวณ แต่จะชอบทำความเข้าใจและการบรรยาย
ซะมากกว่าเพราะว่าฉันพูดมากฉันจึงได้รู้ว่า ถ้าเราชอบอะไรสักอย่างแต่ถ้าไม่ถนัดเรื่องนั้นเอาซะเลยแต่เราก็จะเป็นได้แต่อาจไม่มีความสุขกับสิ่งที่ทำเพราะเหมือนเราทำในสิ่งที่ฝืนกับตัวเองนั้นก็คือ"ความฝันคืออะไรก็ได้ที่เราทำแล้วมีความสุข"ตอนนี้ฉันคิดว่าฉันถนัดในเรื่อง การระบายสี การบรรยายและหลักการมีเหตุผลและอาชีพที่ฉันอยากจะเป็นในตอนนี้ คือ ตำรวจ และนักจิตวิทยา แต่น่าเสียดายเนอะฉันเตี้ยเกินไปก็เลยเป็นตำรวจไม่ได้
***ความฝันถ้าเราไม่เริ่มทำ มันก็จะเป็นความฝันตลอดไป***
และในที่สุดฉันก็เลือกเรียนจิตวิทยาจนได้แล้วก็สอบได้ตามที่พ่อกับแม่ตั้งใจไว้ด้วย
***จิตวิทยาคืออะไร??
จิตวิทยาเป็นวิชาที่ศึกษาพฤติกรรมโดยรวมของมนุษย์ เพื่อให้เข้าใจสาเหตุของพฤติกรรมต่างๆในอันที่จะช่วยพยากรณ์และควบคุมพฤติกรรมนั้นๆหน้าที่ของนักจิตวิทยา คือ การค้นหาสาเหตุของพฤติกรรมที่ตนกำลังศึกษาอยู่นั้นว่า
มีสาเหตุมาจากปัจจัยใดบ้าง เพื่อให้เกิดความเข้าใจพฤติกรรมนั้นๆ เมื่อมีความเข้าใจในสาเหตุของพฤติกรรม ก็จะสามารถนำไปสู่การคาดการณ์ การควบคุมและการพัฒนาไม่ให้เกิดพฤติกรรมนั้นๆ ตามความเหมาะสม รวมทั้งแนวทางที่จะพัฒนาตนเองได้ดีที่สุดเพื่อให้เกิดความเข้าใจถึงความสัมพันธ์ระหว่างผู้คนแวดล้อมในครอบครัวสถาบันการศึกษาที่ทำงานสังคม รู้เท่าทันความเปลี่ยนแปลงทุกรูปแบบและสามารถบริหารจัดการกับความเปลี่ยนแปลงได้
นางสาวประภัสสร สุพร
รหัส 52010517023
ระบบ ปกติ
ประวัติ
ชื่อนางสาวประภัสสร สุพร ประภัสสร พ่อเป็นคนตั้งให้ซึ่งหมายถึง แสงจากดวงอาทิตย์ แล้วตอนแรกพ่อตั้งชื่อเล่นให้ที่มาจากความหมายของชื่อจริงว่า ชื่อแสง พอพ่อตั้งให้ชื่อนี้แม่บอกว่าไม่ชอบแม่ก็เลยตั้งชื่อเล่นให้ใหม่ว่าชื่อจ๋า เกิดวันที่ 29 ธันวาคม 2533 อยู่ บ้านเลขที่ 80 หมู่ 8 บ้านหนองไผ่ ตำบลผึ่งแดด อำเภอเมือง จังหวัดมุกดาหาร 49000 มีพี่น้อง 2 คน เป็นคนที่ 2 ตั้งแต่เล็กจนโตพ่อแม่เอาใจตั้งแต่เด็กๆเพราะเป็นลูกคนเล็กอยากได้อะไรก็ต้องได้ ถ้าไม่ดังใจก็จะโกรธให้คนในบ้าน โตมาเลยทำให้เป็นคนที่เอาแต่ใจตัวเองไม่ฟังเหตุผลของใครต้องได้ดังใจทุกอย่าง เป็นคนที่โกรธง่ายหายเร็ว ขี้งอน ไม่ชอบง้อใคร ใครจะเป็นยังไงไม่สนไม่ใส่จะถึงจะผิดจะถูกก็ไม่ง้อ
ตอนเด็กอายุประมาณ 2-3 ขวบ ถ้าอายุประมาณนี้ก็เข้าเรียนที่ศูนย์เด็ก เพื่อนก็พากันเข้าเรียนและหนูก็เป็นหนึ่งในนั้นกับเพื่อนอีกคนหนึ่งเข้าไปวันแรกไม่ค่อยรู้จักคนรู้จักใครรู้จักแต่เพื่อนอีกคนที่เล่นด้วยกันอยู่บ้านใกล้กันครูในโรงเรียนก็ไม่รู้จักตอนนั้นเรียนที่ศูนย์เด็กบ้านหนองไผ่ก็ไม่ใกล้จากบ้านไปวันแรกนั่งร้องไห้กับเพื่อนเพราะอยากกลับบ้านจนครูรำคาญแล้วเอาไปขังไว้ให้ห้องน้ำ พอวันต่อมาก็ยังเหมือนเดิมอีก พ่อกับแม่ก็มาไปส่งเข้าเรียนเหมือนเดิม วันนั้นก็ยังนั่งร้องไห้อีกเหมือนเดิมกับเพื่อนแล้วก็ด่าครูที่สอนอีกด่ามั่วไปหมดครูก็เลยตียิ่งร้องเข้าไปใหญ่เพื่อนๆที่เรียนด้วยกันพากันมุงดูสรุปวันนี้ร้องไห้แทบจะทั้งวันวันและครูก็เอาไปขังไว้ในห้องน้ำอีกเหมือนเดิม พอวันที่4ที่เข้ามาเรียนที่ศูนย์เด็กบ้านหนองไผ่ ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของการเข้าเรียนที่ศูนย์เด็กเล็กก็ว่าได้ เพราะมานี้ก็ร้องไห้เหมือนเดิมครูเอาไปขังไว้ให้ห้องน้ำ ด่าครูตามภาษาเด็กๆ แล้วยังแอบหนีกลับบ้านอีก ครูก็เลยบอกว่าไม่ไหวแล้วพอกับแม่ก็เลยไม่ให้เข้าเรียนที่ศูนย์เด็กอีกเลย รอเข้าเรียนอนุบาลหนึ่งเลย สรุปตอนนี้เพื่อนรุ่นเดียวกันเขาพากันเข้าเรียนกันแต่หนูกับเพื่อนคนหนึ่งไม่ได้เรียนนั่งเล่นอยู่บ้านเล่นด้วยกันสองคนแทบจะทุกวันเพราะเพื่อนที่อยู่แถวบ้านไปเรียนกันหมด พอตอนอายุ 4 ปี ก็เข้าเรียนอนุบาลหนึ่งที่โรงเรียนบ้านหนองไผ่ เข้าเรียนวันแรกก็ตามเคยเหมือนกับที่อยู่ศูนย์เด็กไม่มีผิด คืนนั่งร้องไห้
บางวันก็หนีกลับบ้านบ้างแต่ไม่ให้พ่อแม่เห็นไปแอบตรงโน้นบ้างตรงนี้บ้างพอถึงเวลาเพื่อนที่โรงเรียนเลิกเรียนกันเคยพากันออกมากับเพื่อนอีกคนหนึ่งและพอกับแม่ก็ยังไม่รู้ถึงปัจจุบันนี้ พอหลายวันผ่านไปก็เริ่มสนิทกับเพื่อนเริ่มเข้ากับเพื่อนได้และก็รู้จักเพื่อนเยอะแทบจะทุกคนก็เลยเลิกร้องไห้เลิกหนีกลับบ้าน พอขึ้นอนุบาลสอง ก็เรียนอยู่ที่เดิมที่โรงเรียนบ้านหนองไผ่อยู่อนุบาลรู้สึกว่าเป็นอะไรที่น่าเบื่อมากเพราะแต่ล่ะวันไม่ได้ทำอะไรมากเรียนก็ไม่ค่อยได้เรียนอะไรมากมายมีแต่เล่นกันตามภาษาเด็กๆเล่นของเล่นแล้วเล่นได้ไม่เท่าไหร่ก็พักทานข้าวตอนเที่ยวพอพักตอนเที่ยงทานข้าวเสร็จก็ได้เล่นสักพักหนึ่งก็ถึงเวลาเข้านอนเพราะตอนเด็กก็ต้องเข้านอนตอนกลางวันในตอนนี้ที่ยังเด็กๆการเข้านอนตอนกลางวันเป็นอะไรที่น่าเบื่อมากๆๆๆๆๆแต่ก็ต้องนอนเพราะครูที่สอนบังคับถ้าใครไม่นอนแกก็จะด่าๆและก็ด่าแต่พอโตขึ้นมาพอเขาไม่ให้นอนแล้วเรียนไปง่วงไปแทบจะทุกวัน พออายุ 6ปี ก็ขึ้นประถม1ก็ยังเรียนที่เดิมไม่เคยย้ายไปไหนจะถึงประถม6 อยู่ ป1ขึ้นมาจากปกติที่ไม่ค่อยได้เรียนพอขึ้นมา ป1ได้เริ่มเรียนมาขึ้น ปกติเป็นคนที่เรียนไม่เก่งอยู่แล้วทำการบ้านก็ไม่ค่อยได้พอครูสั่งแบบฝึกหัดให้ทำก็ทำไม่ได้จะดูกับเพื่อนก็ไม่ได้เพราะแต่ล่ะคนก็ต้องออกไปทำวิธีทำที่กระดานช่วงนั้นโดนครูประจำชั้นด่าแทบทุกวันเรียนอยู่ประถมก็เป็นอะไรที่น่าเบื่อเช่นกันเพราะบ้างวันเรียนคณิตศาสตร์ทั้งวันพอบ้างวันก็ให้เรียนภาษาไทยทั้งวันทั้งเช่นทั้งบ่ายเป็นโรงเรียนที่ไม่เคยมาตารางเรียนจนถึงปัจจุบันไม่รู้ว่ามีหรือยัง ทุกๆวันก็ต้องได้ถือสมุดหนังสือไปทุกวิชาเพราะไม่รู้ว่าแต่ล่ะวันครูจะสอนวิชาไหนบ้างวันให้ทำแบบฝึกหัดคณิตศาสตร์ทั้งวันทั้งเช้าทั้งบ่ายโจทย์ปัญหาการคำนวณแต่บ้างวันให้เขียนตามคำบอกให้ท่องบทร้อยแก้วร้อยกรองทั้งวันตอนเด็กเลยเป็นอะไรที่น่าเบื่อที่สุด ส่วนความใฝ่ฝันตั้งแต่เด็กๆตอนอยู่ ป.1พ่อกับแม่มักจะถามว่าโตขึ้นอยากเป็นอะไร ก็จะชอบตอบว่าหนูอยากเป็นพยาบาลโตขึ้นหนูจะเรียนพยาบาลเพราะมีน้าเป็นพยาบาลเป็นเภสัชเป็นชุดที่น้าเป็นชุดสีขาวมันสวยดีก็เลยอยากใส่บ้าง พอขึ้น ป.2 ตอนอายุ 7ปีก็เหมือนเดิมหนังสือไม่เคยอ่านพ่อกับแม่ก็ไม่เคยว่าไม่เคยสนใจว่าจะอ่านหรือไม่อ่านจนได้ใจ แต่พอมาวันหนึ่งครูให้การบ้านมาแล้วพ่อก็นั่งสอนพ่อก็ถามว่าตัวนี้คูณตัวนี้เท่ากับเท่าไหร่ในตอนนี้ท่องสูตรคูณก็ไม่ได้พ่อถามอะไรก็ตอบไม่ได้วันนั้นก็เป็นวันแรกตั้งแต่เกิดมาที่โดยพ่อตีแล้วก็นั่งร้องไห้ว่าพ่อไม่รักนับตั้งแต่วันนั้นมาหลังจากมองพ่อว่าใจดี รักเรา ตามใจทุกอย่าง กลับมองพ่ออีกแง่หนึ่งว่าพ่อน่ากลัวตามภาษาเด็กแต่พอโตขึ้นมาก็เข้าใจว่าที่แกสอนแกว่าให้ก็อยากให้ลูกเก่ง
อยากให้ได้ดีแต่ก็ยังแอบกว่านิดๆเพราะแกเป็นคนใจร้อนเวลาพ่อโกรธจะน่ากลัวมากพอเวลาดีก็ดีใจหาย พอขึ้นมา ป.3ยิ่งน่าเบื่อมากๆปกติเป็นคนที่ไม่ชอบภาษาอังกฤษที่นี้ขึ้น ป.3ครูประจำชั้นแกจบด้านภาษามาครูก็สอนแต่ภาษาอังกฤษเป็นส่วนใหญ่ พอขึ้น ป.4ค่อยสบายหน่อยเป็นอะไรที่ไม่เบื่อเลยเพราะครูประจำชั้นจบศิลปะมาเรียนส่วนมากก็วาดรูปเรียนไปก็สนุกไปไม่เครียดและตอนนั้นก็สนใจกีฬาเปตองมากๆเลยเข้าไปซ้อมกับพวกพี่ๆที่อยู่ในโรงเรียนทุกวันจนได้เป็นนักกีฬาของโรงเรียนไปแข่งที่โน้นที่นี้มากมายช่วงนั้นเลยไม่ค่อยมีเวลาให้กับการเรียนมาเท่าไหร่เพราะมัวแต่ซ้อมกีฬาบางวันก็มีโรงเรียนอื่นมาเป็นคู่ซ้อมกลับก็ห้าโมงหกโมง แล้วพอช่วงสอบเกรดออกมาเกรดตกทีนี่หลังจากนั้นพ่อเลยไม่อยากให้เล่นเปตองพอเลยให้หยุดซ้อมตอนเย็นแต่ก็ยังแอบซ้อมอยู่ทุกวันพอพ่อถามก็หาเหตุผลมาอ้างโน้นอ้างนี้เกือบทุกวัน พอขึ้น ป.5 พ่อยิ่งเริ่มเข้มงวดเรื่องการเรียนมากขึ้นพ่อจะบังคับตลอดว่ากลับมาถึงบ้านก็ต้องอ่านหนังสือก่อนไม่ให้ออกไปไหน พ่อจะบอกเสมอว่าไม่อยากให้ลำบากเหมือนพ่ออยากให้ตั้งใจเรียนเพราะตอนนั้นพ่อแม่ทำงานก่อสร้างต้องไปทำงานทุกวันเหนื่อยทุกวัน บางวันเห็นแกเหนื่อยแทบอยากจะร้องไห้สงสารพ่อแม่ต้องมาเหนื่อยเพราะต้องส่งเรียนตั้งสองคนก็เลยรู้สึกว่าเห็นใจแกตอนนั้นคิดอยู่เสมอว่าต้องเรียนให้จบแล้วโตขึ้นจะไม่ให้แกลำบากเลยช่วงนั้นตอนอยู่ ป.5ก็เลยลงเรื่องซ้อมกีฬาไว้ก่อนต้องรีบกลับบ้านต้องรู้จักแบ่งเวลามากขึ้นกลับบ้านต้องช่วยพ่อแม่ทำงานบ้านและก็มีพี่ชายช่วยทำงานบ้านแบ่งๆกันไปไม่เคยให้พ่อแม่ต้องบ่นเรื่องกวาดบ้านถูบ้าน ซักเสื้อผ้าก็ไม่ให้แกซัก เพราะแกต้องทำงานเหนื่อยมามาก ขึ้น ป.6 พ่อแม่ก็เปลี่ยนงานใหม่มาขายเสื้อผ้าแทนแต่ก็ยังเหนื่อยแก่ลำบากเหมือนเดิมแต่ก็ดีกว่าตอนที่ทำงานก่อสร้างตอนอยู่ ม.6 เป็นช่วงหนึ่งที่คิดมากที่สุดเพราะปีต่อไปจะต้องสอบเข้าเรียนต่อมัธยมต้น เลยทำให้คิดมากเครียดๆกลัวจะสอบเข้าไม่ได้ ช่วงที่สอบเข้าช่วงนั้นห้องหนึ่งเป็นห้องที่เรียนเก่งที่สุดแต่สอบเข้าได้อยู่ห้องสองก็ยังดีที่พ่อไม่ว่าอะไรแค่บอกว่าอยู่ห้องไหนไม่สำคัญมันอยู่ที่ผู้เรียนว่าจะตั้งใจเรียนมาแค่ไหน ขึ้น ม.1 เรียนที่โรงเรียนผึ่งแดดวิทยาคารอยู่ห้อง1/2วันแรกที่เข้าไปเรียนมีแต่คนแปลกหน้าไม่สนิทกับใครเลยต้องได้แยกกับเพื่อนเก่าที่เรียนอยู่ประถม สองสามวันแรกที่เข้าเรียนห้องเรียนเงียบมากๆไม่มีเสียงคุยกันเลยต่างคนต่างอยู่พอหนึ่งอาทิตย์ผ่านไปเริ่มสนิทกันมาขึ้นห้องเรียนเริ่มมีเสียงพอหลายอาทิตย์ผ่านไปไม่ต้องผู้ถึงเลยห้องเรียนยังกะตลาดสดตอนอยู่ ม.1เกรดออกมาได้น้อยมากๆ ไม่ถึง2.5เห็นเกรด
แล้วโคตรตกใจเลย พอขึ้น ม.2ก็ยังเหมือนเดิมไม่ค่อยตั้งใจเรียนเท่าไหร่ กลับบ้านไม่เคยอ่านหนังสือเล่นดูแต่ทีวี แล้วก็ซ้อมกีฬาเปตองเหมือนเดิมไม่ใช้ใจเรื่องเรียนเลยเกรดออกมาก็ออกมาแบบแย่ๆเหมือนเดิม พอขึ้น ม.3 ก็เริ่มปรับตัวเองเริ่มตั้งใจเรียนมากขึ้น(ช่วงแรกๆ)รู้จักแบ่งเวลา ซ้อมกีฬาเพราะเป็นนักกีฬาของโรงเรียนพอกลับบ้านไปก็อ่านหนังสือ แล้วก็ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ตอนอยู่ ม.3เป็นอะไรที่สนุกที่สุดและมีความตรงจำดีๆมากมาย ตอนอยู่ ม.3 มีเพื่อนสนิทมากๆไปไหนไปด้วยกันไปกินข้าวก็ไปด้วยกันนั่งเรียนก็นั่งเรียนด้วยกันเวลาติวหนังสือก็จะติวให้กันทั้งสี่คนไปด้วยกันตลอดเวลาเป็นทั้งเพื่อนทั้งที่ปรึกษาทุกอย่างไม่เคยปิดบังกัน พอช่วงจะสอบก็นัดกันอยู่บ้านคนใดคนหนึ่งติวหนังสือให้กัน พอเกรดออกมาก็เป็นที่น่าพอใจ เกรดเฉลี่ยสามจุดขึ้นหมดทุกคนแถมได้ที 1 2 3 ของห้องอีกทั้งสี่คนเลยที่ไปด้วยกันได้ที่สามสองคนภูมิใจมากๆเลยทำให้ ม.3เป็นอะไรที่มีความตรงจำดีๆมากที่สุด มาถึงเรื่องความรัก ม.3เป็นครั้งแรกที่มีความรักเข้ามา เป็นเพื่อนพี่ชายเข้ามาจีบแต่คบกันไม่ถึงเดือนก็เลิกกันแต่ก็ยังพูดคุยกันเหมือนพี่เหมือนน้องแล้วต่อมาก็คบกับเพื่อนให้ห้องที่เรียนด้วยกันคืน3/2 เป็นอะไรที่น่าขำมากๆห้องม.3/2เป็นห้องมาจีบกันภายในห้องมากที่สุด คืน7คู่ด้วยกันมันก็คืนช่วงเวลาหนึ่งที่ทำให้คิดถึงแล้วเป็นความทรงจำแต่ในที่สุดมันก็ได้เลิกกันเหมือนเดิม และมีอยู่วันหนึ่งหนูตอนเย็นก็ต้องซ้อมกีฬาเหมือนเดิมและเพื่อนอีกสามคนก็ซ้อมกีฬาและอีกก็ซ้อมร้องเพลงแล้วก็รอกลับพร้อมกันแล้ววันนั้นมีเพื่อนที่อยู่ในห้องเดียวกันมายืมรถไปบอกว่าเดี๋ยวจะเอาส่งแต่ก็ไม่เอาส่งพอ5โมงจะถึง6โมงเย็นก็โมงบอกพ่อว่าไม่รู้จะได้กลับตอนไหนเพราะเพื่อนยืมรถไปแล้วก็ยืนรอกับเพื่อนกอีกคนหนึ่งจนถึง6โมงกว่าก็เลยโทรหาเพื่อนที่เป็นผู้ชายให้ไปส่งบ้านคนที่ยืมรถไปก็ไปยืนรอที่นั้นกับเพื่อนอีกคนหนึ่งแล้วเพื่อนผู้ชายอีกสองคนยืนรอที่บ้านคนที่ยืมรถไป แล้วทีนี้พ่อออกว่าตามพ่อเห็นยืนอยู่กับผู้ชายแกไม่พอใจมากอธิบายยังไงก็ไม่ฟังนับตั้งแต่วันนั้นมาไปเรียนก็ให้กลับตรงเวลากีฬาก็ไม่ให้ซ้อมและแทบจะไม่ให้เล่นกีฬาเลยเพราะแกบอกว่ามันเสียว่าเรียนน่าจะเอาเวลาที่ซ้อมกีฬาไปอ่านหนังสือตั้งใจเรียนดีกว่า แต่ก็ยังไงด้วยความที่ชอบเล่นกีฬาเปตองมากก็เลยไปเลื่อนนัดกับอาจารย์ว่าเปลี่ยนมาซ้อมตอนพักกลางวันแล้ววันไหนจะไปแข่งกีฬาก็ไม่ได้บอกแกเลย พอขึ้น ม.4 ก็สอบเข้าที่เดิมที่โรงเรียนผึ่งแดดวิทยาคารตอนนั้นเปลี่ยนจากห้องหนึ่งมาเป็นห้องสามที่เรียนดีก็สอบเข้าได้ห้องสามและเพื่อนในห้องเรียนเก่งมากๆบบางคน4.00 3.90 ตามลำดับมีแต่คนเกรดเยอะเข้าไป
เรียนแรกกดดันมากๆเลย เพราะเป็นห้องเรียนที่ไม่มีความสามัคคีกันเลยแย่งชิงกันตลอดและแตกแยกกันตลอด ส่วนในเรื่องการเรียนก็เริ่มดีขึ้นเพราะอยู่ในห้องที่เรียนเก่งมันก็เลยต้องปรับตัวต้องกระตือรือร้นมากขึ้นเพราะตอนนี้ทางโรงก็ตั้งโครงการขึ้นมาโครงการหนึ่งคือสานฝันปั้นดาว ถ้าเกรดเฉลี่ยไม่ถึงก็จะโดนย้ายห้องเกรดเฉลี่ยที่ออกมาก็อยู่ที่สามจุดกว่าๆ และพอขึ้นมา ม.5ก็เรียนที่เดิมห้องเดิมก็ยังตั้งใจเรียนและก็ซ้อมกีฬาและก็แข่งกีฬาไปเรื่อยทั้งแข่งให้โรงเรียนและไปแข่งให้พัฒนาชุมชนประเภททีมและก็เป็นตัวแทนของจังหวัดไปแข่งที่จังหวัดอุบลอีกช่วงนั้นก็เป็นช่วงที่สนุกมากๆกีฬาก็ได้เล่นและเกรดตอนอยู่ ม.5ก็ออกมาดี 3.50ขึ้น พอขึ้น ม .6 กีฬาก็ไม่ได้เล่นเลยเพราะต้องเตรียบสอบเยอะมากๆเป็นช่วงที่เครียดมากเพราะไม่รู้จะมีที่เรียนไหม ทั้งการเรียนก็ต้องใส่ใจมากขึ้นกว่าเกรดออกมาไม่ดี พอถึงช่วงสมัครสอบก็สมัคร3ที่ คืนที่ กาฬสินธ์
และก็ที่ ม.อุบล แล้วก็ที่ มมส ก็สอบติดสองที่ ติดที่กาฬสินธ์ แล้วก็ที่สารคามแต่ก็เลือกมาเรียนที่สารคาม วันมาสอบสัมภาษณ์เป็นวันที่ตื่นเต้นมากๆแล้วก็มาอยู่ปี1แรกวันที่มารายงานตัวก็ไม่รู้เรื่องอะไรเลยเพื่อนก็ไม่มี หอก็ไม่รู้จะอยู่หอไหนแต่ก็ยังดีที่มีเพื่อนคนหนึ่งที่สอบติด มมสเหมือนกันมารายงานตัวรอบเดียวกับแต่อยู่คนละคณะกันเป็นเพื่อนที่โรงเรียนเก่าแล้วก็เลยหาหออยู่ด้วยกัน มาอยู่ที่สารคามวันแรกเป็นอะไรที่ลำบากมากๆเพราะปรับตัวหลายอย่างทั้งเรื่องการอยู่ทั้งเรื่องการกินทั้งการเดินทางไปเรียนอีกมาอยู่อาทิตย์แรกนั่งร้องไห้แทบทุกวันเลยเพราะคิดถึงบ้านคิดถึงพ่อแม่เพราะอยู่ที่บ้านไม่ค่อยได้ลำบากเท่ากับมาอยู่ที่นี้อยู่ที่บ้านไปเรียนก็รถรับส่งบางวันไม่ทันรถก็พี่ไปส่ง หิวข้าวก็พี่ไปซื้อมาให้กินไม่สบายก็มีพี่และก็พ่อแม่ค่อยดูแลพาไปหาหมอแต่มาอยู่ที่นี้ไปเรียนก็ต้องไปเองหิวข้าวก็ออกไปหาซื้อกินเองไม่สบายก็ต้องดูแลตัวเองแต่นี้ก็เป็นความรู้สึกที่แย่ๆที่ได้มาอยู่ห่างไกลบ้านห่างไหลพ่อแม่ แล้ววันที่เข้าไปเรียนแรกก็ไม่ค่อยเข้าใจเพื่อนก็ยังไม่มีและก็ยังไม่สนิทกับเพื่อนด้วยต้องปรับตัวอะไรมากมาย และที่ลำบากที่สุดคืนการรับน้องเพราะปกติก็ไม่ชอบให้คนมาออกคำสั่งให้ทำโน้นทำนี่แต่ตอนนี้ก็ชินแล้วไปไหนมาไหนคนเดียวได้โดยที่ไม่ลำบาก เพื่อนก็พอรู้สักบ้าง และมาอยู่ที่นี่ก็สนุกไปอีกแบบมีที่เที่ยวที่กินเยอะแทบจะไม่อยากกลับบ้านเลยส่วนเรื่องการเรียนก็เรื่อยๆก็เรียนยากกว่าที่เรียนอยู่ ม.6 เรื่องการเรียนก็ต้องช่วยตัวเองทุกอย่างเวลาสอบก็ยิ่งยากมากถามใครไม่ได้เลยนั่งสอบก็ถามใครไม่ได้ต้องเอาตัวรอดด้วยต้นเองพึ่งใครไม่ได้ด้วยแต่เกรดเทอมแรกออกมาก็พอใช้ได้ก็ยังถือว่าดี
ประวัติ
นางสาวเจนจิรา แก้วเพชร รหัสนิสิต 52010517009 เมืองหญิงกล้า ผ้าไหมดี หมี่โคราช ปราสาทหิน ดินด่านเกวียน
วันที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2533 ได้มีงานแต่งงานเกิดขึ้น ที่บ้านหนองยาง ตำบลหนองยาง อำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งเป็นงานแต่งงานของ นาย แจน แก้วเพชร กับ นางทุเรียนแก้วเพชร อีก 9 เดือนต่อมาในวันอาทิตย์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2533 เวลา 17.17 น. ก็ได้มีพยานรักของทั้งสองเกิดขึ้นมา คือ นางสาวเจนจิรา แก้วเพชร ซึ่งปัจจุบันก็คือดิฉันเอง......(ตอนที่เกิดมาแม่บอกว่าดิฉันตัวใหญ่สมบูรณ์ น้ำหนักตัวตั้ง.... 3700 กรัม ถือว่าเป็นเด็กที่ตัวโตมากๆเลย) เมื่อดิฉันอายุได้ 2 ขวบ แม่ก็กำลังตั้งท้องน้องอยู่ ตอนนั้นเท่าที่จำได้ดิฉันก็ตื่นเต้นมากๆ เพราะแม่บอกว่ามีน้องอยู่ในท้องแม่ แม่เลยก็ให้ดิฉันเอาหูไปแนบที่ท้องเพื่อที่จะฟังเสียงของน้อง และคุยกับน้องที่อยู่ในท้องด้วยตอนนั้นดิฉันตื่นเต้นและสนุกมีความสุขมากๆเลย........ตามประสาเด็ก
ต่อมาเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2535 เป็นวันที่เลยแม่คลอดน้อง น้องของดิฉันชื่อนางสาวพัชรินทร์ แก้วเพชร ชื่อเล่นชื่อปาล์ม ปัจจุบันกำลังเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่โรงเรียน ท่าช้างราษฎร์บำรุง เมื่อดิฉันอายุ 4 ขวบ ดิฉันได้เข้าเรียนอนุบาลที่โรงเรียนบ้านหนองยาง ซึ่งเป็นโรงเรียนชั้นนำประจำชนบท ในวันแรกที่เข้ามาเรียนดิฉันร้องไห้ไม่ยอมมาเรียน ครูและแม่ก็ต่างพากันมา”โอ๋”กัน จนดิฉันยอมเข้าไปเรียนในห้องกับเพื่อนๆแต่เรื่องก็ยังไม่จบ พอครูเข้าไปไปปลอบเพื่อนคนอื่นๆ ดิฉันก็เลยแอบวิ่งหนีครูกลับบ้านไปหาแม่เพราะบ้านของดิฉันอยู่ใกล้โรงเรียนมากๆ ประมาณ 50 เมตร แต่แล้วแม่ก็นำดิฉันส่งกลับโรงเรียน แล้วแม่ก็ถามว่า “ ทำไมไม่อยากไปโรงเรียน เห็นเพื่อนคนอื่นไหมเขายังไม่กลัวเลย “ ฉันก็เลยบอกเหตุผลว่า “ ไม่อยากอยู่ห้องกับครูบุญเกื้อ แต่อยากอยู่กับครูอีกคนหนึ่ง คืออนุบาลจะมีห้อง ก. กับห้อง ข. ดิฉันอยากอยู่ห้อง ก. กับคุณครูสมเจตแม่ก็เลยเข้าใจ จึงไปบอกไปเล่าให้ครูฟัง ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะว่า เนื่องจากบ้านของดิฉันอยู่ใกล้กับโรงเรียน ก่อนที่จะมาเข้าโรงเรียนแม่มักจะพาดิฉันเข้ามาเล่นที่โรงเรียนจึงรู้จักพูดคุยกับครูสมเจต พอถึงเวลามาเข้าโรงเรียนจริงๆก็เลยคุ้นเคยกับครูสมเจต ครูบุญเกื้อท่านก็ไม่ได้ไม่ดีอะไรหรอกเพียงแต่ตอนนั้นยังเป็นเด็กรู้สึกยังไงก็ทำไปอย่างนั้น ตอนที่เรียนอยู่อนุบาลก็ไม่มีอะไรมาก ก็มีแต่....เล่น....กิน...แล้วก็นอน เวลานอนเป็นอะไรที่น่าเบื่อมากสำหรับตอนเป็นเด็ก ก็จะหยอกกัน เล่นกัน ตีกัน ตามประสาเด็ก แต่ครูสมเจตก็มีวิธีการทำให้เรานอนโดยครูจะต้องไล่ผีก่อนนอนคนละหนึ่งครั้ง คือการตีก่อนนอนนั่นเองถ้าใครยังหยอกกัน เล่นกัน ครูก็จะมาไล่ผีซ้ำอีกบางคนก็ร้อง บางคนก็ไม่กล้าร้องสะอึกสะอื้นกันไปจนหลับ....... กิจกรรมที่ร่วมในวัยเด็กเท่าที่จำได้ก็จะเป็นเต้น....ร้องเพลงดิฉันเป็นค่อนข้างกล้าแสดงออกแต่ก็ไม่ถือว่าเด่นอะไรมาก แม่บอกว่าฉันเป็นค่อนข้างมีความคิดมาแต่เด็กเพราะตอนนั้นอยู่กับแม่แล้วก็น้องแม่เล่าว่าเวลาตอนค่ำหรือตอนฝนตกดิฉันก็จะคอยดูตรวจตราว่าปิดหน้าตาหมดหรือยัง คอยบอกแม่ให้ลองน้ำตอนฝนตกโดยแม่ไม่ต้องบอก พอขึ้นชั้นม. 1 ดิฉันเรียนอยู่ที่โรงเรียนท่าช้างราษฎร์บำรุงเป็นโรงเรียนอยู่ในตัวอำเภอห่างจากบ้านดิฉันประมาณ 14 กิโลดิฉันต้องขี่มอเตอร์ไซด์ไปจอดที่อำเภอคนเดียวแล้วขึ้นรถสองแถวต่อไปโรงเรียนคนเดียวเพื่อนคนอื่นๆรุ่นเดียวกันไม่มีใครมาเรียนกับดิฉันเลยเพราะเพื่อนส่วนมากไปเรียนอยู่ที่โรงเรียนใกล้บ้านดิฉันจึงต้องมาเรียนที่โรงเรียนท่าช้างฯคนเดียวดิฉันก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงอยากมาเรียนที่นี่.....แต่รับรองเลยว่าไม่ใช่เรื่องชู้สาวแน่นอนก่อนจะตกลงมาเรียนดิฉันก็บอกและขอเล่าเหตุผลให้ท่านฟังแล้วพ่อแม่ก็ไม่ได้ห้ามอะไรท่านก็จะถามเหตุผล ดิฉันถูกสอนให้เป็นเด็กที่จะกล้าไปไหนมาไหนคนเดียว กล้าที่จะทำหรือตัดสินใจเรื่องต่างๆเองอาจเป็นเพราะดิฉันเป็นลูกคนโต ด้วยแหละ...พ่อกับแม่ค่อนข้างที่จะไว้ใจและอีกอย่างหนึ่งต้องดูแลน้อง ทำกับข้าวกินกันเองประจำกับน้องเวลาพ่อกับแม่ไปทำงาน
ตอนอยู่ม.ต้นครูที่ปรึกษาจะมี 2 ท่านชื่อครูสุธน นัยจิต (สอนภาษาไทย) และครูอัมพร นาควิจิตร(สอนคณิตศาสตร์)ในห้องมีทั้งหมด 40 คนจบม.3 นั้น 38 คน ดิฉันเป็นนักเรียนที่ค่อนข้างที่จะถูกระเบียบทั้งหัวจรดเท้าและเคยถูกยกเป็นตัวอย่างเรื่องทรงผมถูกระเบียบในสายชั้นตั้งแต่ ม.ต้นจนถึง ม.ปลายถึงแม้ว่าจะไม่มีเกียรติบัตรอะไรดิฉันก็ภูมิใจมากเพราะดิฉันก็ไม่ใช่เด็กเรียนเก่งอะไรแค่นี้ก็ภูมิใจแล้ว กิจกรรมตอนช่วง ม.ต้นก็มีบ้างอย่างเช่น ค่ายภาษาอังกฤษกับทางโรงเรียนโดยมีชาวต่างชาติพาทำกิจกรรม, ค่ายผู้บำเพ็ญประโยชน์, ค่ายจริยธรรม 2 คืน 3 วัน , ค่ายฝึกการเป็นผู้นำ ส่วนกิจกรรมในโรงเรียนก็อย่างเช่นร่วมกิจกรรมงานขลุ่ยสัมพันธ์ซึ่งทางโรงเรียนจัดเป็นประจำทุกปีโดยเป็นตัวแทนห้องกับเพื่อนอีก 4 คนไปเป่าขลุ่ยเพลงลาวเสี่ยงเทียน เป็นตัวแทนไปตอบปัญหาทางวิชาการในวันสำคัญที่แต่ละกลุ่มสาระต่างจัดรางวัลน้อยครั้งจะได้...แล้วก็เป็นตัวแทนในการแข่งขันกีฬาสี เช่นฟุตบอล ฟุตซอส ตอน ม.3 ก็มีเหตุการณ์เกิดขึ้นกับดิฉันคือมีเด็กมือบอนไม่รู้ว่ามันเป็นใครมาแกล้งปล่อยยางรถมอเตอร์ไซต์ดิฉันแบลนทั้ง 2 ล้อ คงเป็นความคึกคะนองของเด็ก ม. 2 เพราะก่อนหน้านี้ก็เคยมีรถคันอื่นโดนปล่อยยางเหมือนกัน ตอนแรกเห็นก็ตกใจแล้วก็งงมากไม่คิดว่าจะซวย...เพราะตอนนั้นก็เย็นมากไม่มีใครจะมีก็แต่ครูบ้างท่านลุงนักการบ้างคนก็เลยไปหาลุงนักการช่วยให้เติมยางรถให้...แต่ถ้าคิดไปในทางที่ดีเรื่องนี้ก็ถือว่าทำให้ดิฉันรู้จักฝึกการแก้ปัญหาตนเองก็ได้เหมือนกัน..
ต่อมาช่วง ม.ปลายตอน ม.4 ม.5 ได้ร่วมเป็นคณะกรรมการนักเรียนตอนนั้นดีใจไม่คิดว่าจะได้เป็นเพราะเคยคิดเห็นแต่พวกคนที่เก่งๆที่เขาได้เป็นและสิ่งที่ทำให้ดิฉันภูมิใจไปกว่านั้นคือมีคุณครูที่ท่านเป็นครูที่ปรึกษาของคณะกรรมการนักเรียนท่านเป็นผู้ชวนดิฉันเข้ามาร่วมทำงานกับเพื่อนคณะกรรมการคนอื่นๆคือครูท่านนี้เป็นครูที่สอนวิชาสังคมฯ ตอนดิฉันอยู่ ม.ต้นซึ่งดิฉันชอบเรียนกับท่านมากและก็ชื่นชอบท่านอยู่แล้ว แต่เพื่อนหลายๆคนไม่ชอบเรียนกับท่านเพราะท่านจะชอบชี้ให้ตอบรายบุคคลและถ้าใครคนไหนตอบไม่ได้ท่านก็จะด่าแบบเจ็บแสบแบบแอบตลกแล้วทำให้เราได้คิด....ยิ่งดิฉันโดนด่าประจำเวลาท่านถามก็จะไม่ค่อยมีใครกล้าตอบเพราะกลัวโดนด่า แต่ดิฉันก็ชอบตอบตอบแล้วแถมตอบผิดอีกและการสอนของท่านแบบนี้ก็มีเสน่ห์ที่ทำให้ดิฉันชอบเรียนและก็แอบปลื้มท่านก็ไม่รู้ว่าทำไมทั้งที่ก็ถูกด่าประจำเพื่อนก็ชอบหัวเราะเยาะประจำแต่รู้สึกว่ามีกำลังใจยังไงไม่รู้เวลาถูกด่าแล้วก็จะมีคำชมตามมาเสมอถึงแม้ว่าจะตอบผิดแต่ก็กล้าที่จะตอบและกล้าที่จะผิดในเรื่องที่ควร ตอนที่เรียนห้องดิฉันมีกันทั้งหมด 40 คนแต่จบ ม.6 จริงๆ มี 29 คนดิฉันมีกลุ่มเพื่อนกัน ห้า คน กับเพื่อนห้องทับ 1 อีกหนึ่งคนคือเพื่อนทั้งหมดเป็นเพื่อนที่เรียนด้วยกันมาตอน ม.ต้น
แต่ว่าดิฉันค่อนข้างจะสนิทเข้ากับเพื่อนทุกคนในห้องได้ดี...แต่เพื่อนในกลุ่มของดิฉันบางคนมันจะชอบแบ่งกลุ่มแบ่งพวกกันแล้วในกลุ่มก็เป็นไปกันหมดและมันก็เคยโกรธดิฉันที่ดิฉันไปนั่งเล่นกับเพื่อนกลุ่มอื่นมันไม่พูดกับดิฉันเลยทำตัวเหมือนกับเด็กเลยพวกนี้ดิฉันก็เคยพูดเรื่องนี้กับพวกมันแล้วว่า....จะมาโกรธมาเครียดทำไมเรื่องแค่นี้จะมาแบ่งพักแบ่งพวกกันทำไมและที่พูดหรือบอกพวกมันก็ไม่ใช่ว่าตัวเองดีหรือว่ามีความคิดกว่าพวกเพื่อนหรอกแต่มันเป็นอย่างนี้บ่อยจนดิฉันเคยร้องไห้เพราะน้อยใจพวกเพื่อนแต่ก็ไม่เคยบอกพวกมัน ดิฉันจะมาเล่ามาปรึกษาแม่มากกว่าและแม่ก็จะมีวิธีการบอกการสอนการยกตัวอย่างให้ดิฉันได้เข้าใจทั้งเพื่อน...เข้าใจทั้งตัวเอง บางครั้งแม่จะทำตัวเป็นทั้งเพื่อนและเป็นทั้งแม่สงสัยแม่คงไม่อยากทำให้เราเกิดช่องว่างระหว่างวัยให้น้อยเพื่อที่จะทำให้เรารู้สึกว่าแม่เข้าใจเราจริงๆเวลามีเรื่องอะไรแม่จะได้รู้และช่วยแก้ไขได้ก่อนคนอื่น แต่ดิฉันกับพวกเพื่อนๆเราก็ไม่ได้เลิกคบกับและลึกๆก็ห่วงก็ช่วยเหลือกันนั้นแหละมันก็ไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้นคงเป็นเพราะดิฉันคิดมากเอง...เพื่อนมันก็แค่งอนถ้าเราปรับความเข้าใจมันก็ไม่มีปัญหาอะไรสรุปว่าก็เป็นเรื่องธรรมดาที่คนเราคบไม่ว่าจะเป็นกลุ่มเพื่อนหรือกลุ่มไหนๆก็ต้องมีแบบนี้กันทั้งนั้นเพียงแค่เราจะมีวิธีทำยังไงให้เราได้เข้าใจกันและการทำให้เกิดทุกข์น้อยที่สุด (จะว่าไปก็คิดถึงพวกมันเหมือนกันนะเนี๊ย.....) ตอนอยู่ชั้น ม.ปลายครูที่ปรึกษาจะมี 2 ท่าน คือครูวินัย ทองภูบาล และครูพจนีย์ สวยปาน กิจกรรมในตอนนั้นเช่นกิจกรรมชุมนุมรักษาดินแดน (รด.)เรียนตั้งแต่ ม.4 – ม.6 จนจบ รด.ปี 3และต้องไปเข้าค่ายฝึกอีก 12 วัน พอขึ้นปี 2 และปี 3 ต้องเข้าฝึกภาคสนามอีก 5 วัน ตอนปี 1- 2 เข้าค่ายฝึก 12 วันเข้าที่โรงเรียนโชคชัยสามัคคี ส่วนตอนปี 3 ฝึกที่โรงเรียนปักธงชัยประชานิรมิต สำหรับชุดครูฝึกที่มาฝึกเป็นชุดครูฝึกจาก มทบ.ที่ 21 ยิ่งตอนฝึกภาคสนาม 5 วัน ไปฝึกที่อำเภอวังน้ำเขียวที่เขากุดรัง 5 วันน้ำไม่อาบ 5 วันไม่เคยขี้ คือสถานการณ์มันบังคับเน๊าะไม่ว่ากัน... ประโยชน์ของการเรียน รด. ที่เห็นได้ชัดเลยก็อย่างเช่น ฝึกความอดทน ฝึกการเสียสละ ฝึกการเป็นผู้นำ ฝึกความรับผิดชอบ ฯลฯ ดิฉันเองก็สามารถนำประสบการณ์ที่ได้จากการเรียนหรือฝึก รด.นี้มาประยุกต์ใช้ได้ดีมากๆในปัจจุบันแล้วก็คิดว่าเพื่อนที่เรียนก็คงจะเหมือนกับดิฉัน กิจกรรมงานขลุ่ยสัมพันธ์ตอนได้ร่วมแข่งขันกับเพื่อนอีก 4 วันสุนทรภู่ เป็นต้น รางวัลน้อยครั้งที่จะได้กับเขาแต่ก็ไม่ได้เสียใจอะไรเพราะอย่างน้อยๆเราก็ได้เข้าร่วม...เน๊าะ ตอนเรียนถ้าจะถามว่าเคยโด่เรียนมั๊ย..ก็มีเหมือนกันบ่อยมากช่วง ม.6 เทอม 2 แต่ก็ไม่เคยโด่เรียนคนเดียวหรอกถ้าจะโด่ก็สามัคคีหาเรื่องโด่เรียนกันหมดห้องเพราตอนนั้นขอสารภาพตามตรงไม่ได้คนเป่าขลุ่ยตอนนั้นเป่าเพลงสาวตรึมพากันดีใจมากที่ห้องเราได้รางวัลแถมยังเป็นรางวัลชนะเลิศของ ม.ปลาย (นานๆห้องห้องจะมีชื่อเสียงกับเขาสักที) แล้วก็ได้ร่วมเป็นตัวแทนไปแข่งขันฟุตซอลในระดับเขตพื้นที่การศึกษารุ่นอายุ 16- 18 ปี เป็นตัวแทนห้องไปแข่งขันพูดทอล์คโชว์วันยาเสพติดโลกได้รองชนะเลิศอันดับ 1 อันนี้ภูมิใจมากเพราะต้องไปแข่งกับห้องเก่งๆทั้งโรงเรียนซึ่งเราประสบการณ์ก็ไม่มีเหมือนกับพวกเขาได้แค่นั้นก็ดีใจมากๆ และกิจกรรมที่เป็นที่ฮือฮาไปกว่านั้นในวันคริตสมาสดิฉันได้มีโอกาสร้องเพลงสากลคู่กับน้องสาว และเป็นครั้งแรกของดิฉันที่ได้ร้องเพลงโชว์ที่โรงเรียน แล้วก็จะเป็นกิจกรรการตอบปัญหาเนื่องในวันสำคัญต่างๆที่ทางโรงเรียนจัดขึ้นก็เช่นวันแม่ วันพ่อ ฯลฯตอนนั้นไม่ได้คิดเรื่องขึ้นเรียนเท่าไรพากันเขียนแต่...เฟรนชิฟ..ครูท่านก็คงเข้าใจแหละแต่ครูบางท่านก็ด่าก็บ่นบ้างก็มี เพราะท่านสอนไม่ทัน..ก็เลยอารมณ์เสีย...อิ..อิ แต่ก่อนหน้านี้ก็จะพากันปวดหัวกันเรื่องหาที่เรียนกันมากๆ เพื่อนบ้างคนก็สับสนว่าตัวเองใช่หรือว่าเหมาะกับสิ่งไหนรวมถึงตัวของดิฉันด้วย จนทำให้ดิฉันต้องเข้าไปคุยกับครูแนะแนวบ่อยๆเพื่อที่จะปรึกษาและได้ช่วยแนะนำให้
ตอนนั้นมหาวิทยาลัยมหาสารคามเป็นสถาบันแรกที่ดิฉันได้สมัครเรียนดิฉันสมัครเรียนทั้งหมด 3 สถาบันคือที่ ม.ราชภัฎนครราชสีมา ม. เทคโนโลยีราชมงคลอีสานและม.สารคามวันส่งใบสมัครของ ม.สารคามดิฉันเกือบไม่ได้ส่งเพราะวันนั้นดิฉันไปเข้าค่ายฝึก รด.ที่โชคชัยฯ 12 วัน เพื่อนก็เลยโทรมาถามว่าจะส่งไหม...แล้วจะส่งยังไง ก็เลยต้องโทรหาแม่ให้ช่วยหาใบสมัครให้พอดีแม่เพิ่งเลิกจากงานมาพอดี แม่ของดิฉันทำงานโรงงานคะ ท่านกลับมาท่านก็เหนื่อยกว่าท่านจะหาเจอก็เกือบเป็นชั่วโมงเพราะในตู้ดิฉันก็มีแต่เอกสารกระดาษในงานเยอะแยะไปหมดยากต่อการหาของแม่พอแม่หาเจอแม่ก็ต้องเอาไปส่งให้ดิฉันอีกถ้าแม่ไม่อยู่บ้านดิฉันคงไม่ได้ส่งใบสมัครและคงไม่ได้เรียนเพราะครูแนะแนวท่านต้องส่งใบสมัครก่อนเที่ยง
ในวันมาสอบสัมภาษณ์โรงเรียนเรามีคนมีรายชื่อมาสอบสัมภาษณ์กันทั้งหมด 13 คนต่างคนก็ต่างคณะต่างสาขากันไปพวกเราก็เลยรวมตัวกันคุยกันว่าจะมายังไงก็เลยลงมติว่าจะเหมารถตู้พวกเราเอาเดินทางตอน ตีสามก่อนจะขึ้นรถพวกเราก็พากันไปพึ่งสิ่งศักดิ์คือนัดรวมตัวกันที่หน้าอำเภอและหน้าอำเภอก็จะมีอนุสาวรีย์ของย่าโมเราก็เลยพากันไปอธิฐานขอพรจากท่าน จากนั้นก็ออกเดินทางใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมงกว่าๆพอใกล้จะถึงต่างพากันตื้นเต้นกันยกใหญ่ยิ่งดิฉันมีสอบที่ ม.เก่าคนเดียวยิ่งตื้นเต้นและรู้สึกยังไงแบบบอกไม่ถูกไหนจะไม่มีเพื่อนและไม่รู้จักใครเลยรุ่นพี่ที่โรงเรียนก็ไม่มีใครมาเรียนที่นี่ก้าวแรกที่ก้าวเข้าไปรู้สึกอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก พอไปเจอเพื่อนที่มาสอบสัมภาษณ์ดิฉันรู้สึกเหมือนตัวเองไม่มีใครเลยและแอบหมดหวังในใจเพราะเพื่อนที่มาต่างก็มีแต่คนมาความสามารถและพูดเก่งกันทั้งนั้นดิฉันนั่งเหมือนคนไม่ได้เอาปากมายังไงยังงัน...ปกติดิฉันเป็นคนพูดค่อยข้างเก่งเหมือนกันที่โรงเรียนพอมาเจออย่างนี้จ๋อย...ไปเลยพอดีมีเพื่อนคนหนึ่งเขามาจากกาฬสินทร์มาคุยกับดิฉันทำให้ดิฉันแสดงศักยภาพของตัวเองในการพูดเอามาเย้..ดีใจจังจากนั้นก็นั่งคุยกันและรู้จักกัน ก่อนเข้าสัมภาษณ์ดิฉันนั่งรวบรวมสติและสมาธิหลังจากนั้นพี่เขาก็เรียกเข้าไปสอบไปทีละชุด ชุดละ 4 คน ดิฉันลำดับที่ 18 ในการเข้าสอบอ้อ...ลืมบอกไปว่าตอนมาสอบนั้นดิฉันได้ถือขลุ่ยมาด้วยเผื่อท่านอาจารย์ผู้สัมภาษณ์ท่านถามหาความสามารถ อาจารย์ที่สอบสัมภาษณ์ดิฉันคือท่านอาจารย์พัฒนานุสรณ์ แต่ตอนนั้นไม่รู้ว่าท่านชื่ออะไรรู้แค่ว่าท่านเป็นหัวหน้าภาค ถามว่าตอนนั้นตื้นเต้นไหมก็นิดหน่อย เพราะไม่รู้จะตื้นเต้นทำไมแค่เห็นเพื่อนที่มาแต่ละคนก็คิดว่าตัวเองหมดสิทธิ์ก็เลยบอกตัวเองทำให้เต็มทีเต็มความสามารถอย่าเอาความกัดดันความตื้นเต้นมาทำให้ความสามารถและกำลังใจของเราต้องลดลงแต่ถ้าถามว่าในใจลึกๆหวังไหมก็ต้องหวังเหมือนกันแหละเพราะสาขานี้เป็นสาขาที่ตั้งใจและอยากเข้ามาเรียนมากๆ
ดิฉันก็คิดว่าเพื่อนที่มาสอบเองก็หวังเหมือนกันอีกอย่างหนึ่งสาขาจิตวิทยาเท่าที่ดิฉันได้ศึกษาหาข้อมูลและจากการถามครูอาจารย์ก็ทำให้ดิฉันรู้สึกว่าตัวเองอยากที่จักสาขาวิชานี้มากขึ้นเพราะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันจึงคิดว่าตัวเองน่าจะเหมาะ ดิฉันสอบสัมภาษณ์เสร็จตอนเช้า สี่โมงกว่าๆคิดว่าตัวเองไม่น่าได้แต่ก็เต็มทีแต่ท่านอาจารย์ท่านก็ชมทำให้ดิฉันต้องแอบหวังและเชียร์ตังเองในใจ แล้วก็ต้องนั่งรอเพื่อนที่มาสอบด้วยกันซึ่งพวกเขาไปสอบที่ ม.ใหม่รอประมาณ บ่ายหนึ่งถึงจะได้กลับแต่ก่อนหน้านั้นก็นั่งคุยกับเพื่อนที่อยู่กาฬาสินทร์ลืมบอกไป เธอชื่อจุ๋ม เราก็แลกเบอร์โทรกันปัจจุบันจุ๋มไม่ได้มาเรียนที่นี่เธอเรียนอยู่ที่เทคโนฯกาฬาสินทร์ไม่ใช่ว่าเธอสอบไม่ติดนะ เธอนะสอบติดแต่เนื่องด้วยมีปัญหาทางบ้านทำให้ต้องเธอจึงเรียนที่กาฬาสินทร์ ไม่เป็นไรหรอกเรียนที่ไหนก็ดีและประสบความสำเร็จได้เหมือนกันมันขึ้นอยู่กับเรามากกว่าแต่ปัจจุบันเราก็ยังติดต่อกันเหมือนเดิมโทรถามสารทุกข์สุขดิบกันเสมอ กลับถึงบ้านตอน 1 ทุ่ม เช้าวันรุ่งขึ้นหลังจากวันไปสอบสัมภาษณ์ที่โรงเรียนเพื่อนในห้องก็ต่างพากันมาถามว่าเป็นยังไงคือดิฉันเป็นคนเดียวในห้องที่มาสอบที่สารคามนอกนั้นจะมีแต่เพื่อนห้อง 1 พอในตอนเที่ยงครุที่เป็นเวรประจำก็ให้นักเรียนที่ไปสอบสัมภาษณ์ได้ออกไปเล่าให้เพื่อนๆในสายชั้นฟังก็เท่ากับว่าดิฉันเป็นตัวเพื่อนๆในห้องม.6/2 เพื่อนก็บอกว่าถ้าเป็นแบบที่มึงเล่ากูว่ามึงต้องติดมันก็พากันคอยลุ้นว่าดิฉันจะติดไหม พอถึงวันประกาศผลคอมฯที่โรงเรียนก็ไม่มีเครื่องว่างเพื่อนก็เลยเข้าไปดูทางโทรศัพท์ให้ปรากฏว่ามีรายชื่อดิฉัน ดิฉันดีใจมากๆไม่นึกว่าเราจะมีรายชื่อกับเขาโรงเรียนมีคนไปสอบกัน 13 คนมีสอบติดกัน 6 คนเพราะเพื่อนที่สอบไม่ติดนั้นเขาต้องสอบข้อเขียนกันด้วยมั่งแต่ทุกคนก็คงทำกันเต็มทีนั้นแหละ สอบติด 6 คนมีคนมาเรียนคนเดียวคือดิฉันหมดโรงเรียนมีดิฉันมาเรียนคนเดียวชวนเพื่อนมามันก็ไม่มีใครมาเรียนบางคนก็บอกว่าไกลบางคนก็บอกไม่มีเพื่อนเพื่อนก็เลยชวนให้ดิฉันเรียนที่โคราชแต่โคราชไม่มีจิตวิทยาเน๊อะ..ก็ไม่เป็นไรดิฉันก็เลยตัดสินใจมาเรียนที่สารคามคนเดียวดิฉันชินแล้วแหละเพราะตอนขึ้นเรียนมัธยมดิฉันก็มาเรียนคนเดียวก็ไม่ได้เป็นปัญหาอะไรมากนักอยู่ที่ไหนก็ต้องปรับตัวทั้งนั้นแหละ พอวันจบ ม.6ซึ่งเป็นวันอาลาอาลัยที่น้องๆม.5 และทางโรงเรียนจัดให้เอาซะจนพี่ ม.6 ต่างกลั่นน้ำตาไว้กันไม่อยู่ไม่ได้เป็นงานยิ่งใหญ่แต่มันรู้สึกว่าใจหายอย่างบอกไม่ถูกเลยจริงเรื่องราวต่างๆที่ได้เกิดขึ้นตลอดระยะเวลา 6 ปี ดิฉันได้เก็บบันทึกรวบรวมไว้ในความทรงจำทั้งหมดแล้วและมันยากเกินจะลืมมันเป็นช่วงเวลาที่น่าจดจำมากช่วงหนึ่ง แต่เราทุกคนก็มีโอกาศกันมีทำหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบต่างกันเช่นกันกับดิฉันมีโอกาสได้เรียนต่อดิฉันก็จะพยายามทำหน้าที่ของดิฉันให้ดีเหมือนกัน วันที่เข้ามาอยู่ที่สารคามก็จะมีพ่อ,แม่ ,ตา,ย่า ,น้า, น้องแล้วก็เพื่อนมาส่งตอนแรกก็เฉยๆพอตอนที่พวกเขาพากันกลับเริ่มใจหายเหมือนกันเพราะยังไม่รู้จักใครสักคนเลย
ปัจจุบันดิฉันนางสาวเจนจิรา แก้วเพชร เป็นนิสิตชั้นปีที่ 1 สาขาจิตวิทยา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ได้รับกำลังใจจากทางบ้านเป็นอย่างดีมาถึงขนาดนี้โอกาสก็มีและประสบการณ์ บทเรียนต่างๆทั้งที่ดี ไม่ดี ที่ได้พบได้ประสบมาตลอดระยะเวลา 19 ปีคงจะทำให้ดิฉันได้คิดได้จำและสามารถที่จะนำมาใช้นำตัวให้ประสบความสำเร็จได้ในอนาคต
ประวัติส่วนตัว
เกิดมา…กับธรรม อยู่…กับธรรม จนตายไป…กับธรรม
หลายคนบอกว่า การใช้ชีวิตอยู่ในแต่ละวันมันยาก กว่าจะผ่านไปได้ในแต่ละวัน แต่สำหรับดิฉันกลับไม่คิดอย่างนั้นเลย เพราะนั่นมันคือธรรมดาของโลกที่ยังไงทุกคนจะต้องได้เจอเหมือนกันอยู่แล้วแค่ใครจะเจอก่อนหรือหลังเท่านั้นเอง หากเป็นเช่นนี้ก็ให้ทุกคนคิดซะว่า ชีวิตก็เหมือนโจทย์คณิตศาสตร์ที่ยังไง๊ยังไงมันก็มีคำตอบ(มีทางออก) แต่ชีวิตคนเราต้องเจอหลายวิธีกว่าเลขคณิตศาสตร์เท่านั้นเอง………………… ดิฉัน นางสาวภัสสุดา พละศูนย์ ชื่อเล่น บุ๋ม อายุ 19 ปี เกิด วันพุธ ที่ 24 เมษายน 2533 เกิดที่จังหวัดอำนาจเจริญ คาราบาว คือกลุ่มศิลปินที่ชื่นชอบมาก คติประจำใจ คือ ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ที่ความมุ่งมั่น ตั้งใจ มีพี่น้องทั้งหมด 2 คน ชื่อที่ตั้งขึ้นเองและพยายามให้เพื่อนๆเรียก คือ บุ๋ม’บาว เพราะรู้สึกว่าได้เป็นส่วนหนึ่งของวงคาราบาว บทเพลงคาราบาวสอนอะไรหลายๆอย่างให้กับดิฉัน ดิฉันได้ฟังเพลงของศิลปินกลุ่มนี้มาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก เหมือนถูกเลี้ยงมากับบทเพลงเหล่านี้ มันเลยยิ่งซึมซับมากขึ้นในทุกวันนี้ เมื่อมองย้อนไปในอดีตดิฉันรู้สึกมีความสุขยังไงบอกไม่ถูก บางครั้งก็อยากกลับไปเป็นอย่างนั้นอีก ในตอนเด็กๆดิฉันค่อนข้างจะอ่อนแอ ทำอะไรไม่ได้ก็ร้องไห้ นิสัยนี้มันติดตัวดิฉันมาถึง ม.6 เทอม 1 พอเทอม 2 ดิฉันถึงได้รู้ว่า การสอบตกบ้าง ผิดหวังบ้าง บางทีมันก็ดีเหมือนกัน สอบตกแบบไม่ร้องไห้ รู้จักปล่อยวางมากขึ้น อาจเป็นเพราะว่าการเรียนของดิฉันเคยอยู่ในระดับดีมาตลอด(จริงๆนะคะ)ตั้งแต่ ป.1 ประกาศผลสอบทีไรดิฉันได้อันดับต้นๆของห้องตลอดเลย เลยทำให้เวลาเจออะไรที่แย่กว่าก็ร้องไห้ได้ง่ายๆ ดิฉันเรียนชั้นอนุบาลถึง ป.2 อยู่ที่โรงเรียนในหมู่บ้าน ชื่อโรงเรียนบ้านคำสร้างบ่อ จากนั้นย้ายไปเรียนในตัวจังหวัด ชื่อ โรงเรียนเมืองอำนาจเจริญ เข้าไปเรียนช่วงแรกๆ ดิฉันไม่ชอบเลย รู้สึกกดดันเวลาเรียนมาก คิดว่าเพื่อนๆทุกคนต้องเก่งกันแน่ๆเลย กลัวเรียนไม่ทัน และต้องตื่นแต่เช้า ตอนนั้นกลับถึงบ้านร้องไห้ไม่ชอบ ไม่อยากเรียนที่นั่น แต่ไม่กล้าบอกให้พ่อกับแม่รู้ กลัวโดนด่า พ่อจะชอบให้ไปเจอกับสิ่งที่ลำบากจะได้รู้จักหาวิธีช่วยเหลือ แก้ไขปัญหาได้เอง บางทีพ่อก็รู้ว่าเราไม่อยากทำ ไม่ชอบ หรือกลัว พ่อก็ยิ่งจะให้ทำ อยากให้เราเจอกับสิ่งที่ไม่สมหวังบ้างจะได้เป็นภูมิคุ้มกันในเวลาที่ท้อแท้ แต่ในตอนนั้นดิฉันไม่รับรู้กับจุดประสงค์ของพ่อเลยซักนิด ความจริงแล้วที่ดิฉันรู้สึกกดดันก็เป็นเพียงเพราะว่าดิฉันอยู่กลุ่มเดียวกันกับกลุ่มเพื่อนที่เรียนเก่งเท่า
นั้นเอง แต่พออยู่ไปนานๆความรู้สึกเหล่านั้นก็หายไปรู้จักกับเพื่อนมากขึ้น มีแต่ความรู้สึกที่อยากไปโรงเรียน ถึงวันประกาศผลสอบของ ป. 3 คุณครูที่ปรึกษานัดเจอกันที่ห้องเพื่อบอกผลสอบและให้รางวัลสำหรับคนที่ได้อันดับหนึ่งของห้อง วันนั้นตื่นเต้นมากไม่รู้ผลจะออกไม่เป็นยังไง และแล้วนาทีที่ตื่นเต้นนั้นก็มาถึง ดิฉันได้อันดับที่ 4 ของห้อง ดีใจมากๆเลย คุณครูบอกว่า “เด็กใหม่เขามาแรงนะ”แล้วให้เพื่อนๆปรบมือแสดงความยินดีให้ กว่าจะเจอกับเพื่อนที่สนิทก็เกือบจะจบ ป.3 เขาชื่อ ขัตติยา เขาเพิ่งย้ายมาเรียนที่นี่ใน ป. 3 เหมือนกัน เรานั่งเรียนในห้องกันคนละแถวก่อนจะย้ายมานั่งด้วยกัน เขาวาดรูปเก่งมาก ทั้งวาดเร็วและออกมาสวยด้วย มีเพื่อนๆหลายคนมาให้เขาวาดให้เพื่อเอาไประบายสี เวลาทำให้เราสนิทกันมากขึ้น ป.4 ป.5 ป.6 ดิฉันก็เรียนมาอย่างมีความสุข (ยิ่งเล่าก็ยิ่งทำให้คิดถึงวันเก่าๆมากขึ้น) ตอนเรียนในชั้น ป.6 เพื่อนสนิทของดิฉันก็ย้ายโรงเรียน เราได้คุยกันทางโทรศัพท์เท่านั้น นานๆเราจะได้เจอกันทีแต่ความสนิทของเรายังมีอยู่เหมือนเดิม ใน ป.6 ดิฉันเหมือนได้รับการเป็นหัวหน้าห้องเลยมันเป็นอะไรที่ไม่อยากเป็นกลัวทำหน้าที่ได้ไม่ดีพอ เพราะเวลาจะทำอะไรเพื่อนที่เป็นหัวหน้าห้องจะชอบมาปรึกษาดิฉันก่อนเสมอ เวลาไปไหนเพื่อนๆผู้หญิงจะไปด้วยกันเกือบทุกคนดิฉันเลยรู้สึกว่าสนิทกับทุกคนเลย คุณครูที่ปรึกษาบอกว่าดิฉันเป็นขวัญใจของเพื่อนๆ เวลาเพื่อนเป็นอะไรมาคุณครูก็จะให้ข้าพเจ้าไปปลอบ ไปพูดด้วย ดีใจมากเลยที่ได้มีส่วนร่วมอะไรขนาดนั้น นอกจากเพื่อนผู้หญิงแล้วดิฉันมีเพื่อนสนิทที่เป็นผู้ชายอยู่คนหนึ่งชื่อ พงษ์รวี สนิทกันเพราะมันชอบเพลงแนวเดียวกัน ชอบศิลปินกลุ่มเดียวกัน ชอบคุยอะไรเหมือนๆกัน บางทีมันก็ดูไม่ใช่ผู้ชายเพราะเวลามันมีเรื่องกับเพื่อนที่นักเลงๆหน่อย มันก็ร้องไห้ เล่าเรื่องไป ร้องไปพร้อมกับโชว์แผลไปด้วย(คิดไปแล้วก็ตลกดี) แล้วเวลามันชอบใครไม่สมหวังมันก็ร้องไห้ น่าสงสารมัน ดิฉันก็ได้แค่ปลอบใจและเป็นที่ปรึกษาอย่างนี้เรื่อยไป และเพื่อนที่นั่งคู่กับดิฉันชื่อ ซาเรมา เขาสวยมาก เป็นลูกครึ่งด้วย พ่อเขาเป็นคนบังกลาเทศ นับถือศาสนาอิสลาม เวลาจะกินอะไรมันต้องระวังเพราะพวกเราชอบแกล้งเอาเนื้อหมูมาให้กินซึ่งซาเรมาบอกว่า ถ้ากินเนื้อหมูเข้าไปจะปวดหัว ก็ได้รู้ถึงวัฒนธรรมของเขามากขึ้น มันเป็นธรรมดาอยู่แล้วที่เมื่อเรียนถึงชั้นสูงสุดของโรงเรียนจะรู้สึกรักและผูกพันกับเพื่อนกับโรงเรียนมากขึ้น ยังรู้สึกว่าอยากอยู่ต่อยังไม่อยากแยกย้ายกันไปไหน เมื่อถึงวันอำลาพวกเรานัดเจอกันที่ห้อง ก่อนจะรวมตัวกันที่หอประชุม เพื่อพูดคุย รำลึกถึงอดีตเล่ากันซะแอบมีน้ำตาเล็กน้อย เราทุกคนอินกับบรรยากาศนั้นมากเหมือนยังไม่พร้อมกับการอำลารู้สึกว่ามันยังไม่ใช่ที่วันพรุ่งนี้และวันต่อๆไปเราจะไม่ได้เจอกัน ไม่ได้มาทำอะไรๆทุกวันแบบนี้อีก ในช่วงปิดเทอมเราก็ยังนัดเจอกันบ้าง พวกเราได้ที่เรียน ม.1 กันคนละที่ บางคนก็เรียนต่อที่ต่างจังหวัด ระยะทางและเวลาทำให้พวกเราค่อยๆลืมกันไป ดิฉันเข้าเรียน ม.1 ที่โรงเรียนน้ำปลีกศึกษา รู้สึกตื่นเต้นที่ได้เจอเพื่อนใหม่ โรงเรียนใหม่ ตอนม.1 ไม่ค่อยตั้งใจเรียนเลยมัวแต่สนุกกับที่ได้เจอเพื่อนใหม่ แต่ยังดีที่แม่บังคับให้เรียนพิเศษในวิชาคณิตศาสตร์ ผลการเรียนของดิฉันจึงค่อนข้าออกมาดี เพื่อนที่สนิทในม.1 จนถึงปัจจุบัน ชื่อ ไพลิน และ มณฑกานต์ เรา 3 คนอยู่บ้าน
ใกล้กันยิ่งทำให้เราสนิทกันมาก ในม.2การเรียนในรายวิชาภาษาอังกฤษเป็นอะไรที่น่าจดจำที่สุด อาจารย์ผู้สอนโหดมากจะตลกบ้างแต่แบบโหดๆ เวลาเข้าเรียน ถ้าเข้าห้องช้ากว่าอาจารย์แค่แป๊บเดียวอาจารย์ก็จะไม่ให้เข้าเรียน เวลาเรียนอาจารย์ถามใครตอบไม่ได้ ก็จะโดนดุเสียงดัง น่ากลัวมาก แล้วถ้าใครเป็นเวรประจำห้องต้องเปลี่ยนวันที่ต้องตรวจให้เรียบร้อย ที่วางชอล์ก แปลงลบกระดาน ต้องสะอาด มีอยู่วันหนึ่งที่พวกเราซวยกันทั้งห้องเพราะผ้าปูโต๊ะของที่นั่งสำหรับอาจารย์มันอยู่อย่างไม่เรียบร้อย เป็นเพราะพวกเรารีบวิ่งเข้าห้องเลยทำให้ไปโดนกับผ้าปูโต๊ะหลังจากที่กลับมาจากเรียนที่ห้องวิทยาศาสตร์ โดนทำโทษกันยกห้อง วันนั้นไม่ได้เรียนเลยแต่พวกเรากลับรู้สึกดีกว่าการไปนั่งเรียนอย่างเคร่งเครียดซะอีก อาจารย์ท่านนี้เป็นผู้ชายแต่เจ้าระเบียบมาก อาจารย์ยังเป็นผู้กำกับลูกเสือ-เนตรนารีประจำม.2 อีกด้วย ใครที่เป็นหัวหน้าหมู่และรองหัวหน้าหมู่จะต้องได้เจออาจารย์เป็นประจำเพื่อไปซ้อมใช้คำสั่งให้คล่อง ให้ชิน ซึ่งข้าพเจ้าได้เป็นรองหัวหน้าหมู่จึงต้องเจอกับอาจารย์ท่านนี้ พอรุ่นพวกเราจบไปอาจารย์ได้ย้ายไปเป็นผู้กำกับลูกเสือสามัญรุ่นใหญ่ของม.4-6 ราวกับว่าอาจารย์มาเพื่อรุ่นของพวกเราจริงๆ นักเรียนหลายๆคนชอบอาจารย์ท่านนี้มาก แท้ที่จริงแล้วอาจารย์เป็นคนใจดี ศรัทธาในธรรม อยากให้เรามีระเบียบวินัยในตัวเองเท่านั้นเอง ถึงม.3 มัธยมตอนต้นปีสุดท้าย เพื่อนๆทุกคนสนิทกันมากขึ้น ไปไหนก็ไปกัน ทำผิดกฎของโรงเรียนก็เหมือนพร้อมใจกันทำ มีความสามัคคีกันมากขึ้น พอถึงวันอำลาก็เศร้ากันไป แต่ดีที่เพื่อนๆส่วนมากเรียนต่อที่เดิม ดิฉันเรียนต่อม.4-6ที่โรงเรียนน้ำปลีกศึกษาแห่งนี้เหมือนเดิม เรียนม.4ดิฉันคิดว่าจะต้องปรับเปลี่ยนตัวเองเยอะเลย หนังสือต้องอ่านเยอะขึ้นเพิ่มเวลามากขึ้น ตอนนั้นเรียนอย่างเดียวเลย ไม่มีเวลาไปคิดอะไรอย่างอื่นเลยเหมือนมันยุ่งมาก แต่ความจริงแล้วดิฉันคิดไปเองว่าจะต้องทำตัวใหม่ ต้องอ่านๆๆมากมายอย่างนั้น แต่ตอนม.4 ชอบตัวเองมากเลยที่เป็นอย่างนั้น อ่านหนังสือไม่ง่วงเลย บางวันอ่านถึงตี 2 ยังไม่ง่วงไม่รู้เลยว่าเวลาไหนแล้วอ่านอย่างเดียว วิชาคณิตที่ไม่เข้าใจในเวลาเรียนก็เอามาอ่าน ทบทวนดูใหม่ ทำมันหลายๆรอบอยู่นั่นแหละ จนทำได้มันจะรู้สึกดียังไงบอกไม่ถูกที่ทำได้เอง สิ่งที่เป็นประโยชน์กับดิฉันมากที่เลือกเรียนแล้วไม่ผิดหวังคือ กิจกรรมนักศึกษาวิชาทหาร การเรียน การเป็นนักศึกษาวิชาทหารทำให้ดิฉันเข้มแข็งขึ้น ทั้งด้านร่างกายและจิตใจ ดิฉันชอบและจดจำคำพูดของครูฝึกได้เสมอว่า “แดดจะร้อน เหงื่อจะไหลเข้าตา ร่างกายมันเหมือนจะล้มลงแค่ไหน หากใจเราสู้เอาใจเป็นตัวกำหนดว่ายังไงก็ไหว ติดคำว่าไหวไว้ที่ใจ ยังไงกายเราก็ไหวเพราะมันอยู่ที่ใจเรา”ตอนอยู่ปี3ต้องไปฝึกภาคสนามที่ค่ายทหารกลัวผีมากเลย ที่นั่นเคยเป็นป่าช้า พอเข้าไปจริงๆโอ๊ย! โหด มันส์ ฮา มีครบทุกอารมณ์ ตอนกลางคืนไม่มีเวลาไปกลัวผีเลยชีวิตเร่งรีบมากไม่รู้อะไรเป็นอะไรวิ่งอย่างเดียว ตอนนอนหลับเร็วมากนอนแบบเน่าๆไม่ได้อาบน้ำตั้ง 2 วันเรียกรวมกันแต่ละทีเหม็นมากๆแต่ก็เป็นประสบการณ์ที่น่าจดจำ มันทำให้ดิฉันรู้ว่าความกลัวเป็นสิ่งที่เราสร้างขึ้นมาเอง เพราะฉะนั้นอย่าเพิ่งกลัวกับสิ่งที่ยังไม่ทำนะคะ ม.5 ก็ยังคงปฏิบัติเหมือนเดิมแต่มีคิดและทำเรื่องไร้สาระบ้าง เช่น วันเสาร์- อาทิตย์ก็มีนัดกับเพื่อนๆ บางทีการบ้านก็ไม่ทำเอง ถ้าเป็นวิชาที่ไม่ชอบดิฉันจะมีคำใช้ผลักดันตัวเอง คือ “ไม่ชอบสิ่งไหนยิ่งต้องเข้าไปหามัน”-“สิ่งที่ทำไม่ได้ก็ใช่ว่าจะไม่ทำ”
บางครั้งดิฉันต้องเจอกับตัวเองก่อนถึงจะจำ(การสอบตก)อย่างม.5 เทอม 1 ความขี้เกียจไม่รู้มาจากไหนเอาชนะมันไม่ได้เลย เกรดก็ลดตามพฤติกรรมนั่นแหละพอรู้เกรดถึงมารู้ตัวว่าต้องปฏิบัติตัวใหม่ เริ่มใหม่(ช่วงหลังๆชอบให้อภัยตัวเองบ่อยเกินไป) พอเทอม2มุ่งมั่น ตั้งใจใหม่อีกครั้ง และแล้วเกรดก็ออกมาอย่างที่หวังไว้เกรดเพิ่มขึ้นเยอะกว่าของม.4 ซะอีก...ฮือ..ภูมิใจ ม.6 มาอีกแล้ว
พฤติกรรมที่ไม่ค่อยตั้งใจเรียน ยิ่งเป็นวิชาไหนที่พยายามทำแล้วยังทำไม่ได้ ไม่พยายามอีกเลย ปล่อยให้ไม่เข้าใจอยู่อย่างนั้นไม่ได้นำมาทบทวน ความพยายามไม่ค่อยมีเลยในตอนนั้น คิดแต่เพียงว่าอยู่กับเพื่อนๆสนุกสนานและมันก็เป็นปีสุดท้ายด้วยที่จะได้ทำแบบนี้ มีครั้งหนึ่งจดจำไม่เคยลืม วันที่สอบเก็บคะแนนวิชาเคมี สอบผ่านแต่ได้คะแนนน้อยมาก รับไม่ได้ (ก็ร้องไห้) ตอนอาจารย์บอกคะแนนมาก็แค่ซึมๆ นิ่งเพื่อวิเคราะห์พฤติกรรมตัวเอง กรรมตามทันจริงๆ พอเพื่อนเดินมาปลอบบอกว่าไม่เป็นไรนะ เอาใหม่ น้ำตาไม่รู้มันมาจากไหนไหลซะ กลั้นไว้ไม่เชียว บางครั้งการสอบตกหรือไม่ได้ตามที่หวังไว้ มันก็ดีเหมือนกันทำให้ดิฉันรู้จักเผื่ออะไรไว้บ้าง ให้รู้จักคิดว่ามันมีสองด้านสองมุมเสมอ รู้วิธีแก้ไขปัญหา และเข้าใจอะไรมากขึ้น พ่อจะบอกอยู่เสมอว่า “คนเราต้องเจอกับสิ่งที่ผิดหวังบ้าง ชีวิตจะได้มีภูมิคุ้มกันที่ดีเมื่อต้องเจอกับสิ่งที่แย่กว่า(หากสมหวังทุกอย่างอย่างที่คิด จะเอาชีวิตไปกองไว้ที่ไหน)” เวลาเพื่อนคนอื่นสอบตกก็ทำให้ดิฉันเข้าใจเขามากขึ้น ผลสอบของ ม.6 ตกลงมามากอย่างไม่น่าให้อภัยตัวเอง แต่ไม่ร้องไห้เพราะเริ่มมองโลกในมุมมองใหม่ๆคิดว่าเป็นผลของพฤติกรรมที่ไม่ตั้งใจเรียน เกรดบางตัวไม่เคยได้มาก็ได้ในม.6 นี่แหละ พอถึงเทอม2 ก็สบายหน่อย เรียนแบบสบายๆเพราะมีที่เรียนแล้วไม่เครียดมาก เกรดออกมาก็ดีเป็นไปได้อย่างไรก็ไม่รู คงเป็นเพราะเรียนแบบไม่เครียดละมั้ง ดิฉันสมัครเรียนต่อไว้ 5 ที่ มีที่นึงเป็นโควต้ารับโรงเรียนละ 5 คน ดิฉันติด1ใน5ดีใจมากเลยแต่พอไปสอบในวิชาภาษาอังกฤษ ทำไม่ค่อยได้เลย ยากมากก็เครียดนะ เพื่อนที่ไปด้วยกันก็เก่งๆกันทั้งนั้นเลยพวกเขายังไม่ติดกันซักคน(แล้วเราล่ะ จะเหลือเหรอ) ฟ้าคงดลบันดาล ‘มหาวิทยาลัยมหาสารคาม’มาให้ ดิฉันดีใจมากเลยที่ตัดสินใจเลือเรียนสาขาจิตวิทยา เพราะก่อนหน้านี้อยากเรียนอีกอย่างหนึ่งที่มันค่อนข้างจะคนละเรื่องเลย จนมาถึงม.6นี่แหละถึงได้พบสิ่งที่ใช่ที่สุด ดิฉันใฝ่ฝันอยากเป็นนักสังคมสงเคราะห์ ชอบสโลแกนของงานด้านช่วยเหลือสังคมมากที่บอกว่า “เราพร้อมสละเวลาส่วนตัวเพื่อส่วนรวมเสมอ” เมื่อเรียนจบสถานที่ที่แรกที่ดิฉันและครอบครัวอยากไป คือ ที่วัดพระบาทน้ำพุ คิดไว้ว่าถ้ามีงานทำแล้ว วันว่างจากการทำงานดิฉันและครอบครัวจะไปช่วยงาน ไปให้กำลังใจผู้ป่วยที่วัดแห่งนี้ ดิฉันภูมิใจมากที่เกิดเป็นลูกของพ่อกับแม่และเป็นน้องของพี่สาวที่แสนดี ทุกคนดูแลดิฉันเป็นอย่างดี ที่บ้านเราใช้เหตุใช้ผลเป็นส่วนใหญ่ ตามหลักศาสนาพุทธที่บอกไว้ว่า ‘เมื่อสิ่งนี้มี....สิ่งนี้จึงเกิด’ ทุกวันนี้ครอบครัวของดิฉันเรื่องสุขภาพมาเป็นที่หนึ่งเลย คำว่า ‘สารพิษ’คือคำฮิตติดปากของคนในบ้าน เพราะจะกิน จะใช้อะไรที่มีสารเคมีหน่อยก็จะมีการทักว่าสารพิษๆตลอด คำๆนี้ต้องได้ยินทุกวัน พ่อจะพูดคำนี้บ่อยที่สุด พ่อสอนให้รู้ถึงเรื่องบาปกรรม ที่บ้านเลยไม่มีใครกินเนื้อสัตว์เลย(ยกเว้นปลา) บวกกับที่แม่ชอบดูรายการที่เกี่ยวกับเวรกรรม เช่น กรรมลิขิต ละครชีวิตจริง(แสงพระธรรม) ฟ้ามีตา พ่อกับแม่จะไปวัดสวนธรรม(มูลนิธิธรรมะร่วมใจ) ที่นั่นเขาทานอาหารมังสวิรัติ อยู่อย่างพอเพียง
อาหารเป็นอาหารธรรมชาติทั้งหมดไม่มีสารอื่นเจือปน อาหารที่บ้านของดิฉันก็เป็นอาหารธรรมชาติเช่นกัน กินเข้าไปแล้วรู้สึกดีทั้งสุขภาพกายและใจ สบายทั้งกายและใจเลยทีเดียว พ่อกับแม่จะใช้หลักธรรมมาสอดแทรกเข้ากับคำสอน ซึ่งเป็นอะไรที่ดิฉันชอบอยู่แล้ว บางทีนำ
ธรรมะมาพูดกับเพื่อนๆแทรกเข้ากับบางประโยค พวกมันสาธุตอนพูดจบทุกที บางคนก็หัวเราะเห็นเป็นเรื่องตลกซะงั้น คิดว่าซักวันเขาคงรู้เองนะ ส่วนใหญ่แล้วพ่อกับแม่จะเข้าใจดิฉัน รู้สึกดีมากเมื่อได้กลับมาที่บ้าน บ้าน คือ ที่เติมพลังที่ดีที่สุดสำหรับดิฉัน เวลาที่ท้อแท้ เหนื่อยล้า สอบตก พ่อและแม่จะให้กำลังใจเสมอ พ่อจะชอบบอกว่า “อะไรที่มันจะดียิ่งๆขึ้นไปมันก็ต้องยากอย่างนี้แหละ แต่ถ้าเราทำได้ผลลัพธ์มันก็คุ้มนะ” และให้จำไว้ว่า “ไม่มีใครพ่ายแพ้ตลอดกาล ไม่มีใครชื่นบานทุกวี่วันหรอกนะลูก” อะไรที่ดิฉันกลัวหรือคิดว่าจะทำไม่ได้ พ่อจะยิ่งบังคับให้ทำ อย่างการเรียนนักศึกษาวิชาทหารพ่อก็บอกไว้ตั้งแต่ที่ดิฉันเรียนอยู่ ป.6 บางทีบางอย่างมันก็ไม่สามารถบอกออกมาได้อย่างคำว่า รัก เพราะทุกคนรับรู้ด้วยตัวเองได้อยู่แล้ว แค่เราเข้าใจกัน มีความเชื่อใจกัน ดิฉันดีใจมากที่พ่อกับแม่เชื่อในตัวดิฉัน เวลาพ่อพูดออกแนวว่าป็นห่วง ห่วงนั้นห่วงนี้ กลัวจะเป็นอะไร ทำอะไรๆแบบวัยรุ่นเขาทำกัน แม่ก็จะบอกว่ามองดูหนังสือที่กองอยู่นั่นสิ(หนังสือธรรมะที่ดิฉันชอบอ่าน) มันคงรู้ว่าอะไรควรทำไม่ควรทำตัวอย่างก็มีให้เห็น เพราะดิฉันรู้ว่าพ่อกับแม่คิดอย่างนี้ วางใจเราเรายิ่งต้องหนักกับเรื่องพวกนี้ ต้องทำให้ท่านเห็นว่าเราเป็นอย่างที่ท่านคิดนั่นแหละ ที่ผ่านมาดิฉันไม่รู้ว่าสิ่งที่พูดไปพ่อกับแม่จะต้องมาคิดมาก ลำบากใจหรือปล่าว เพราะมีอะไรดิฉันก็เล่าให้ท่านฟังหมดแม้จะเป็นเรื่องที่ทำผิด(แต่ต้องให้ผ่านไปซัก5วันก่อน) ต่างจากเพื่อนของดิฉันที่มีอะไรเขาก็ไม่บอกผู้ปกครองก็แก้ไขเองไปก่อน เพราะเพื่อนคนนี้จึงทำให้ดิฉันคิดใหม่ว่าบางเรื่องก็ไม่ต้องบอกพ่อแม่แก้ไขเองได้ก็ทำ ไม่รู้สิถ้าได้เล่าๆให้พ่อกับแม่ฟังแล้วรู้สึกดี ความกังวลก็ลดลง ความกังวลอาจไปอยู่ที่พ่อแม่ก็ได้เนอะ ต่อไปดิฉันจะพยายามหลีกเลี่ยงไม่ให้ความหนักใจ ความกังวล ไปให้พ่อแม่ต้องหนักใจ จะพยายามแก้ไขด้วยตัวเองจะทำตามที่ท่านสอนมาและสุดท้ายจะบำเพ็ญตนให้เป็นประโยชน์รวมทั้งการปฏิบัติธรรมตามที่ท่านหวังไว้ด้วย ดังที่ท่านปัญญานันทภิกขุ บอกไว้ว่า “ชีวิตเพื่องาน งานเพื่อธรรมะ”..............
อย่าอยู่เพื่อการแสวงหา ลองอยู่เพื่อการเสียสละดูบ้าง....คุณอาจจะรู้สึกดีกับชีวิตมากขึ้น
..….ไม่มีอะไรง่าย แต่ก็ไม่ยากเกินความพยายามของเรา……
ประวัติส่วนตัว
ชื่อ นางสาวพัชรินทร์ คัสเตศรี ชื่อเล่น เปิ้ล
ชื่อจริงกับชื่อเล่นนี้ทวดเป็นคนตั้งให้ค่ะ เพื่อนเรียกอี่ตาตีบ
วัน พุธ ที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2533 อายุ 20 ปี
เกิดปี........มะเมีย........ราศีธนู.........กรุ๊ปเลือด........ โอ
น้ำหนัก..... 52 ส่วนสูง..... 167
ที่อยู่ปัจจุบัน.......หอพักหญิงยิ่งเจริญ ม.ใหม่
ภูมิลำเนาที่อยู่ 215/6 ต.วัดธาตุ อ. เมือง จ.หนองคาย 43000
จบมาจากโรงเรียน..........ปทุมเทพวิทยาคาร อ. เมือง จ.หนองคาย
ปัจจุบันศึกษาอยู่ที่.......มหาวิทยาลัยมหาสารคาม.......คณะศึกษาศาสตร์......สาขาจิตวิทยา
รหัสประจำตัวนิสิต.......... 52010517081
ชื่อบิดา นาย บุญสวน คัสเตศรี อาชีพ ค้าขาย อายุ 41 ปี
ชื่อมารดา นาง รัตนา คัสเตศรี อาชีพ ค้าขาย อายุ 42 ปี
เป็นลูกสาวคนโต มีน้องชายหนึ่งคน ครอบครัวมีทั้งหมดสี่คน
นิสัยส่วนตัวของข้าพเจ้า........ โกรธง่ายหายยาก ไม่ชอบให้ใครมาดูถูก แล้วเกลียดพวกประเภทหน้าเนื้อใจเสือ เป็นคนจริงใจกับทุกคนที่จริงใจด้วย
เป็นคนพูดเก่ง........ใครทำให้เจ็บจะเอาคืนเป็นสองเท่า
แนวเพลงที่ชอบ......ลูกทุ่งชอบเพลงคืนใจให้กัน ลูกจ้างเขาสาวโรงงาน สาวท้ายซอยสาวเพชรบุรี อยากเป็นคนรัก....ไม่อยากเป็นชู้ รักนี้ไม่มีลืม
ความสามารถพิเศษ...........ร้องเพลงลูกทุ่ง เล่นเซปักตะกร้อได้
ความใฝ่ฝัน...........นักร้องลูกทุ่ง นักจิตวิทยา
อนาคต............อยากเป็นอาจารย์สอนมหาลัย
คติประจำใจ..........ทำวันนี้ให้ดีที่สุด
ความภูมิใจ............ ดีใจที่ได้เกิดมาเป็นคนไทย
งานอดิเรกชอบทำในยามว่าง............ ชอบฝึกร้องเพลง ฟังเพลง อ่านหนังสือ
กิจกรรมคลายเครียด............ ฟังเพลง เล่นกีฬา ขับรถเล่น วาดภาพ
กีฬาที่ชอบ............ ก็เล่นเป็นเกือบทุกประเภทนะ แต่ที่ชอบก็คือ วอลเล่ย์บอล
เซปักตะกร้อ ว่ายน้ำ บาสเกตบอล
เพื่อนสนิท ก็ยังหาไม่เจอเท่าไหร่นะ(หายากมาก)แต่ก็พอมีนะ
1 .นางสาวภาสุรีย์ อ่อนฉวี ชื่อเล่น เดียร์ เพื่อนชอบเรียก(คนนะไม่ใช่กบ)
2. นางสาวสุภาพร ศรีอาราม ชื่อเล่น ตุ้ม (ศีษะเกต)
3. นางสาวนาตยา เสาแก้ว ชื่อเล่น มิ่ม (ศีษะเกต)
4. นางสาวอาติยา ไชยยศ ชื่อเล่น ดักแด้ (ร้อยเอ็ด)
สถานท่องเที่ยวที่ชอบ......ทะเล.......น้ำตก.....ภูทอก
พี่ที่ฉันสนิท 1. นางสาวลลิตตา ยาทองไชย ชื่อเล่น พี่อ้อม (PSY) ปี3
2. นางสาวนันทิกา ศิริศักดิ์ ชื่อเล่น พี่บิ๋ม (PSY) ปี2
อาหารที่ช๊อป.....ชอบ.....ส้มตำ.....หมูกระทะ.......ไก่ย่าง...... ต้มไก่....... ข้าวผัดกุ้ง..... ต้มยำกุ้ง..... ปลาเผา........อาหารทะเล(กุ้งกับปลาหมึก)
ผลไม้ที่ชอบ........ทุเรียน..... แอปเปิล.....ส้ม.......แก้วมังกร
สีที่ชอบ.........สีเขียว...... สีฟ้า..... สีชมพู
สัตว์ที่ชอบ...........สุนัข.........หมีโคล่า........ กระต่าย
สัตว์ที่เกลียด...........งู...... แมว..... ตะขาบ..... แมงป่อง
ดอกไม้ที่ชอบ.......กุหลาบสีขาว......มะลิมันหอมดี
ฉันเป็นคนหนองคายมาแต่กำเนิด แม่ฉันไม่ได้คลอดฉันอยู่ที่
โรงพยาบาล....แต่คลอดฉันอยู่ที่บ้าน แม่บอกว่า.....ตอนเด็กๆ ฉันร้องไห้เก่งมาก ตอนเด็กไม่ค่อยซนหรือดื้อมาก แต่......ฉันเป็นคนพูดเก่ง ตอน....ที่เรียนประถมเพื่อนชอบให้ฉันเป็นหัวหน้าห้อง.......เป็นหัวหน้าแก๊ง ฉันชอบเล่นกีฬา คุณครูชอบให้เป็นหัวหน้าทีม ตอนเด็กฉันกลัวหมอกับเข็มฉีดยามากและปวดฟันบ่อยมากเข้าโรงพยาบาลกับคลินิกเป็นว่าเล่น ครอบครัวของฉันทำอาชีพค้าขาย พ่อของฉันเปิดร้านซ่อมรถ ฉันเป็นลูกสาวคนเดียวที่พ่อกับแม่ชอบตั้งความหวังกับฉันไว้มากมาย ฉันก็ไม่รู้ทำไมต้องคาดหวังกับฉันสูงขนาดนี้ด้วยไม่เข้าใจเลย พ่อกับแม่......ฉันเลี้ยงลูกแบบเป็นกันเอง พ่อ......ไม่ชอบให้ฉันออกบ้านกลางคืน และตั้งแต่ตอนเด็กแล้วพ่อไม่ชอบให้มีแฟน ถ้ารู้ซวยเลย ณ ปัจจุบันนี้เพื่อนผู้ชายยังไม่กล้าไปที่บ้านฉันเลย เพื่อนมันบอกว่า.........พ่อฉันดุ..........กลัวพ่อฉัน ......... ก็มีแต่เพื่อนผู้หญิงนั้นแหละที่เคยมาบ้านฉัน และฉันกับน้องชายของฉันตอนเด็กชอบทะเลาะกันบ่อยมากๆๆๆ แต่ก็แปลก
นะพอเวลามีคนมารังแกน้องฉัน ฉันก็ไปช่วยน้องทุกครั้ง น้องชายข้าใครอย่ามารังแก ไม่งั้นโดนดีแน่ๆๆ ตอนเด็กพ่อชอบเปิดเพลงให้ฟัง โดยเฉพาะ.......เพลงลูกทุ่ง จนฉันร้องได้เกือบทุกเพลงที่พ่อเปิดให้ฟัง จนถึงปัจจุบันนี้จึงทำให้ฉันชอบเพลงลูกทุ่งฟังเพลงลูกทุ่ง ฉันคิดว่ามันเพราะดีมันบ่งบอกถึงเอกลักษณ์ไทย ความเป็นไทย ฟังแล้วมีความสุขเข้าใจง่าย อย่างตอนนี้ฉันเรียนอยู่ไกลบ้าน ได้ฟังเพลงลูกทุ่งก็ทำให้คิดถึงบ้าน ถึงแม้ว่าใครจะมองว่าเพลงลูกฟังแล้วไม่เพราะฉันคิดว่าคนนั้นลืมกำพืดตนเองนะ จงจำไว้เราคือคนไทย ไม่ผิดหรอกที่จะชอบฟังเพลงแนวอื่น แต่ก็อย่ามาดูถูกเพลงไทยเพลงลูกทุ่งนะ ศิลปินที่ฉันชอบ......ตั๊กแตน ชลดา.........ฝน ธนสุนทร ชอบมากเลย ฉันชอบเกือบทุกเพลง ฉันอยากเป็นเหมือนพี่เขาทั้งสองคนบ้างจัง และทุกวันนี้ฉันก็ฝึกร้องเพลงอยู่บ้างเผื่อขึ้นไปประกวดกับเค้าได้บ้าง แต่ยังไงแล้วฉันก็ต้องเรียนให้จบปริญญาตรีจะได้มีงานทำและน่าจะต่อปริญญาโทด้วย พ่อกับแม่จะได้ภูมิใจ และอีกประการหนึ่งจะได้ใช้หนี้เขาสักที(กยศ.)เป็นหนี้แต่เด็กเลย
นางสาว หนูเอื้อง เวียงฆ้อง
50010520024 ระบบพิเศษ
ประวัติส่วนตัว
ข้าพเจ้าชื่อ หนุเอื้อง เวียงฆ้อง ชื่อเล่น เอื้อง เพศหญิง เกิดวันที่ 19 มิถุนายน 2531 อาศัยอยู่บ้านเลขที่67/5 ต.น้ำคำ อ.สุวรรณภูมิ จ.ร้อยเอ็ด 45130 สูง 160 เซนติเมตร น้ำหนัก 43 กิโลกรัม ลักษณะผิวสีน้ำผึ้ง บุคลิกภาพเป็นคนตลก อัธยาศัยดี เข้ากับคนง่าย ยิ้มเก่ง ขี้เกียจ ชอบผัดวันประกันพรุ่ง นิสัยที่อยากปรับปรุงคือควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ ใจร้อน เอาแต่ใจตัวเอง โกรธง่าย มีพี่น้องทั้งหมด 3 คน ตนเป็นคนสุดท้อง พี่ชายกับพี่สาวทำงานรับราชการทั้งสองคน พ่อแม่ทำงานค้าขาย พ่อแม่ตามใจข้าพเจ้ามากเลยอยากได้อะไรท่านก็หาให้ตามกำลังท่าน ตอนเด็กๆไม่ค่อยได้ออกไปเล่นกับเพื่อนเลยคุณพ่อไม่ให้ไปให้เฝ้าหน้าร้านขายของ พ่อดุมากจนเพื่อนไม่กล้ามาเล่นด้วยที่บ้าน จะออกไปไหนก็ไม่ได้ต้องไปกับคนในครอบครัวเท่านั้น ตอนข้าพอยู่ชั้นประถมสอบได้ที่หนึ่งเกือบทุกเทอมเลย แต่พอเข้ามัธยมติดเพื่อนมากตอนม.1ก็ได้เกรด3.3อยู่นะพอเริ่มขึ้นม.2ชอบโดดเรียนออกไปเล่นข้างนอกกับเพื่อนไม่ชอบเข้าเรียนเข้าเรียนประมาณสัปดาห์ละ3วันเกเรมาก ตอนนั้นมีแฟนเยอะมากส่วนมากจะเป็นรุ่นน้อง เพื่อนในกลุ่มจะมีทุกประเภทมีทั้ง ทอม กะเทย เป็นกลุ่มที่ใหญ่มาก เพื่อนในกลุ่มบางคนก็บ้าผู้ชาย บางคนก็ชอบหาเรื่องตี ต่อย บางคนก็บ้าพนัน ปะปนกันไปกลุ่มของข้าพเจ้าได้เข้าพบฝ่ายปกครองบ่อยมากจนอาจารย์ขี้เกียจเรียกเข้าไปพบ และตอนนั้นอยู่ม. 3 ได้เป็นเชียร์ลีดเดอร์ของคณะสีซึ่งตื่นเต้นมากอยากจะถอนตัวแต่เค้าก็ไม่ให้ถอนตัวถึงเวลาเต้นประกวดก็เต้นถูกๆผิดๆสรุปผลออกมาก็ด้ำดับที่2ภูมิใจมากเลยเพราะคณะสีของข้าพเจ้าไม่ได้แชมป์อะไรเลย จนข้าพเจ้าจะจบม.3 คุณพ่อก็เลยให้ข้าพเจ้าไปเรียนต่อที่โรงเรียนสตรีศึกษา เข้าไปเรียนไก้ประมาณ3-4วันก็ได้เพื่อนสนิทเลยโดยกลุ่มของข้าพเจ้ามี 7 คน แต่ข้าพเจ้าสนิทจริงๆก็มี 2 คน คือ แอม กับ เบียร์ ก็ยังไม่ชินอยู่ดีตอน ม.4 โดดเรียนไปเล่นกับเพื่อนเก่าเป็นประจำ พอถึงม.5 เริ่มติดเพื่อนที่โรงเรียนแล้วก็เลยเลิกกลับไปหาเพื่อนเก่าแล้วก็ห่างกับเพื่อนเก่าม.3ไปเลยจนตอนนี้ไม่ได้ติดต่อกับใครเลย ตอนเรียนอยู่ที่สตรีเรียนพิเศษตลอดเลยไม่ค่อยได้พัก มาเรียนที่นี่ไม่มีแฟนเลยเท่าที่จำได้มีแค่คนเดียวเองไม่ได้เรียนที่เดียวกันหรอกเค้าเรียนที่การอาชีพเค้ามีเพื่อนเยอะมากทั้งผู้ชายและผู้หญิง เวลาเค้าชวนไปไหนก็ไม่ค่อยไปกับเค้ากรอกเพราะชอบคนละแบบกับเค้าอย่างเช่น เรื่องการกิน เรื่องเที่ยวเค้าชอบฟังเพลงลูกทุ่ง เพื่อชีวิต ดูหมอลำ แต่เราชอบฟังเพลงอินดี้หรือชอบฟังเพลงที่ร้านอาหารแนวๆก็เลยเข้ากันไม่ค่อยได้กับคนนี้คบประมาณเกือบ3ปี พอใกล้จะจบม.6 ตั้งใจจะเรียนต่อจิตวิทยาอยู่แล้วตอนสอบ ASSMISSION สอบไม่ผ่านก็เลยได้มาลงเรียนจิตวิทยาที่ มหาวิทยาลัยสารคามโดยเรียนระบบพิเศษกับเพื่อนกลุ่มเดียวกันที่เรียนอยู่สตรีศึกษาด้วยกันชื่ออั๋น โดยเราก็ผ่านการคัดเลือกทั้งสองคน เหตุที่อยากเลือกเรียนสาขานี้เพราะไม่ค่อยมีใครอยากเรียนและเป็นสาขาที่ศึกษาเกี่ยวกับมนุษย์ก็เลยทำให้ชอบและอยากเรียน ถ้ามีโอกาสก็อยากเรียนต่อปริญญาโทสาขาจิตวิทยาคลินิก เข้ามาเรียนแรกๆก็ยังไม่มีเพื่อนที่สนิทเวลาทำอะไรหรือจะไปไหนส่วนมากไปกับเพื่อนที่มาจากสตรีด้วยกันจนจะหมดเทอมที่ 1 จึงได้เพื่อนสนิทซึ่งมี 5 คน มี แอม อั๋น ปุ๋ย แพต และก็ข้าพเจ้า พวกเราสนิทกันมากเลยมีอะไรก็ช่วยเหลือกัน ไปไหนมาไหนก็ไปด้วยกัน กลุ่มของข้าพเจ้ารักสนุกชอบเที่ยวมากไปเที่ยว 3-4 วันต่อสัปดาห์ ข้าพเจ้าได้เงินจากพ่อแม่ใช้เดือนละประมาณ15000 บาทแต่ก็ไม่พอใช้ ข้าพเจ้าใช้เงินเงินเปลืองมากส่วนใหญ่หมดไปกับเสื้อผ้า การกิน หรือไม่ก็เที่ยว จนพ่อแม่บ่นเป็นประจำ ข้าพเจ้าก็อยากแก้ไขปรับปรุงตัวเองอยู่เหมือนกันแต่ทำยังไงก็แก้ไขไม่ได้สักที ตอนนี้ข้าพเจ้ามีความสุขมากเลย มีความสุขที่มีเพื่อนดีๆ มีอาจารย์ที่ดีที่สอนแต่สิ่งดีๆให้เป็นสิ่งที่น่าจดจำมาก ข้าพเจ้าก็อยู่ปี3 จะขึ้นปี4 แล้วรู้สึกสลดใจยังไงไม่รู้ไม่อยากจบเลยเพราะคิดถึงเพื่อนๆ บรรยากาศของมหาวิทยาลัยที่แสนสนุกสนาน อาจารย์ที่น่ารัก ข้าพเจ้าคิดว่าในการใช้ชีวิตในมหาวิทยาลัยเป็นอะไรที่สนุกมากมันทำให้เรามีการกระตือรือร้น ได้พบเจอคนหลายรูปแบบ ทำให้เรามีความรับผิดชอบสูง อาจารย์ก็สอนสนุก ชอบให้แง่คิด เป็นต้น สิ่งที่ข้าพเจ้าได้พบเจอมาตั้งแต่เกิดทำให้ข้าพเจ้ารู้ว่าชีวิตข้าพเจ้าโชคดีที่ได้พบแต่สิ่งดีๆ เพื่อนที่ดี อาจารย์ที่น่ารัก พ่อแม่ที่ให้โอกาสดีๆให้อภัยกับสิ่งที่เราทำพลาดเสมอ พี่ชายและพี่สาวที่รักและหวังดีกับเราตลอด ข้าพเจ้ามีความสุขที่สุดและพร้อมที่จะออกไปเผชิญกับโลกภายนอกได้อย่างเต็มที่
ประวัติส่วนตัวโดยทั่วไปของผมครับ
ผมมีชื่ออยู่ว่า นาย ชยุติกร ศรีแสง ชื่อเล่น อ้น
หมู่เลือด B ส่วนสูง 165 เซนติเมตร น้ำหนัก 50 กิโลกรัม
เกิดวันที่ 6 มกราคม 2534 โทร. 08-9571-3713
ที่อยู่ บ้านเลขที่ 1072 ซอย 7 ถนนเจริญเมือง ตำบลธาตุเชิงชุม อำเภอเมือง
จังหวัดสกลนคร 47000
E-mail on_555@hotmail.com
Hi5 http://HS4RWL.hi5.com
ความสามารถพิเศษ ดนตรีสากล (เบส)
ความต้องการ ทุนการศึกษา(เงินที่เอาไว้ทั่วไปครับ)
สีที่ชอบ ขาว เขียว ดำ ฟ้า
อาหารที่ชอบ อาหารทุกชนิดที่มีคนจ่ายเงินให้
ผลไม้ที่ชอบ ทุเรียน ลำไย แตงโม มะม่วง ฯลฯ
กิจกรรมยามว่าง เล่นคอมพิวเตอร์ เล่นเบส คุยวิทยุ(สมัครเล่น)
กีฬาที่ชอบ(ดู) แข่งรถทุกชนิด
ความสนใจ รถแข่งทุกชนิด เกมส์(แข่งรถ สงคราม และเกมส์ที่เบาสมอง) ชอบ
คณิตศาสตร์
ลักษณะนิสัย เป็นคนชอบความสนุก พูดเก่ง(ถึงขั้นพูดมากเลยก้อได้) ชอบมีเพื่อน
เยอะๆ
จบชั้นอนุบาลจาก โรงเรียนเชิงชุมราษฎร์นุกูล ต.ธาตุเชิงชุม อ.เมือง จ.สกลนคร
จบชั้นประถมศึกษาจาก โรงเรียนเชิงชุมราษฎร์นุกูล ต.ธาตุเชิงชุม อ.เมือง
จ.สกลนคร
จบชั้นมัธยมศึกษาจาก โรงเรียนสกลราชวิทยานุกูล ต.ธาตุเชิงชุม อ.เมือง จ.สกลนคร
ขณะนี้ศึกษาอยู่ที่ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม คณะศึกษาศาสตร์ สาขาจิตวิทยา ชั้นปีที 1
รหัสประจำตัวนิสิต 52010517012
สวัสดีครับ อาจารย์รังสรรค์ โฉมยา ที่เคารพ ผมชื่อนาย ชยุติกร ศรีแสงครับ ซึ่งใครเป็นคนตั้งให้ผมก็จำไม่ได้แล้วครับ ชื่อของผมแบ่งได้ 2 คำ คือคำว่า “ชยุติ”ที่แปลว่า “แสง” และคำว่า “กร” ที่แปลว่า “มือ, ผู้สร้าง” เมื่อเอามารวมกันจึงแปลว่า
“ผู้สร้างแสง” ผมมีพี่1คน เป็นพี่สาว ตอนนี้เรียนที่ วิทยาลัยพยาบาลเกื้อการุณย์
ชั้นปีที่ 3 ผมเกิดที่โรงพยาบาลสกลนคร แม่บอกว่าคลอดแบบธรรมชาติทั้งสองคนเลย แม่บอกว่าตอนที่ยังเด็กน่ารักมาก แต่พอโตขึ้นก้อน่ารักเหมือนเดิม ผมเป็นคนตัวเล็กมาตั้งแต่เด็ก
เมื่อตอนที่ยังเด็กผมเป็นคนที่สุขภาพไม่ค่อยจะดีเท่าไร เพราะเมื่อประมาณขวบกว่าๆ แม่บอกว่าผมได้เข้าไปนอนโรงพยาบาลเพราะว่าเป็นหอบหืด พร้อมกับยายทวดแต่น่าเสียดายที่ยายทวดไม่ได้ออกมาจากโรงพยาบาลแบบคนปกติพร้อมกับผม หลังจากที่ออกจากโรงพยาบาลมา แม่บอกว่าผมดื้อมากเลย ตอนที่ลากศพของยายทวดไปทำ
การฌาปนกิจ ผมก็เดินจูงศพพร้อมกับญาติๆ แต่แม่บอกให้ไปขึ้นรถ ไม่อยากให้เดิน พอถึงเวลาที่จะเผา จะมีการล้างหน้าศพและให้ลูกหลานได้ดูหน้าศพเป็นครั้งสุดท้าย แม่บอกว่าผมก็ไปดูกับเขา แม่ก็เลยได้อุ้มผมออกมา
เมื่อสมัยที่เรียนชั้นอนุบาลและประถม ผมได้เรียนที่โรงเรียนเดียวกันและเป็นโรงเรียนที่แม่ผมสอนอยู่ แม่ผมสอนชั้น ป.1 แต่เมื่อตอนที่ผมเรียนชั้น ป.1 นั้นแม่ไม่ได้สอน ตอนแรกผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมแม่ไม่สอนลูกตัวเอง พอผมถามแม่ แม่ก็บอกว่า
“กลัวอดไม่ได้ตอนที่ไม่เป็นดั่งใจ เดี๋ยวจะตบ” แม่ผมบอกแบบนี้เลยครับ
เมื่อตอนที่เรียนชั้นอนุบาล ได้เดินร่วมขบวนกีฬาสีของโรงเรียน ได้แต่งตัวแล้วก็ถือไม้คทา ชุดที่ใส่แม่เป็นคนทำเอง ตอนนี้แม่ก็เก็บไว้ที่ตู้เสื้อผ้าที่บ้าน ผมลองเอามาดูแล้วก้อนึกตลกในใจว่าตอนนั้นตัวเล็กขนาดนั้นเลยหรอ แต่จะว่าไปก้อตัวเล็กจริงๆ
เพราะอาจารย์ที่โรงเรียนเรียกว่า “หลอด” เพราะตอนนั้นตัวผมผอมมากจนเหมือนหลอดเลยครับ
เมื่อตอนที่เรียนชั้น ป.1 แม่บอกว่าผมต้องเข้าโรงพยาบาลอยู่บ่อยๆเพราะ
ไม่สบาย แม่บอกว่าเข้าทุกอาทิตย์เลย เข้าจนหมอที่ดูแลผมจำผมได้และก้อกลายเป็นหมอประจำตัวผมไปเลยครับ เพราะหลังจากนั้นเวลาที่ไม่สบายก็จะไปหาแต่หมอคนนี้ตลอด หมอคนนั้นชื่อหมอพรชัย จันทร์งามครับ ซึ่งผมก็ยังจำได้เพราะหมอชอบฉีดยาแล้วผมก็ร้องให้ครับ
แล้วพอขึ้น ป.2 ผมได้เล่นกีฬาฟุตบอล ในการแข่งขันกีฬาสีของโรงเรียน ผมได้ลงไปวิ่งอยู่สักพักนึง แล้วเพื่อนกับครูก็เรียกผมออก ตอนนั้นแม่ผมหัวเราะมากเลย
เพราะผมยังไม่ได้แตะลูกบอลเลย แค่วิ่งไล่บอลแล้วก็เปลี่ยนตัวออก ตอนนั้นงงเลย เพราะว่ายังไม่ได้เตะเลยก็ออกจากสนามแล้ว นึกแล้วก็ตลกดีครับ
พอขึ้น ป.3 มีอยู่วันหนึ่งที่อาจารย์ให้จดงานเยอะมากครับ เต็มหน้ากระดานเลย ด้วยความที่เป็นเด็กจึงรู้สึกว่าเยอะจนคิดว่าจดไม่ได้แน่นอน เลยรีบจดให้เสร็จ แต่ด้วยความที่ผมเป็นคนที่ลายมือไม่ค่อยจะดีเท่าไร พอส่งอาจารย์ อาจารย์ก็อ่านไม่ออกเลยครับ อาจารย์ก็บอกว่าให้อ่านให้ฟัง ซึ่งตอนนั้นผมร้องให้ออกมาเลยครับ เพราะหิวข้าวมากแต่อาจารย์กลับมาบอกให้อ่านให้ฟัง อาจารย์เลยบอกว่าไปจดใหม่ คราวนี้ผมจดแบบบรรจงมาเลยครับ เพราะกลัวไม่ผ่านอีก หลังจากนั้นมาผมเลยพยายามทำให้ลายมือตัวเองดีขึ้น(ซึ่งตอนนี้กับตอนนั้นก็ไม่ค่อยต่างกันเท่ารัยเลยครับ)
พอมา ป.4 ผมได้ไปเรียนที่วัดแถวบ้าน เพราะเขามีเปิดสอนวันเสาร์-อาทิตย์ แต่เรียนไปก็เหมือนไม่ได้เยนเลยครับ เพราะเดี๋ยวก็มีงานที่วัดบ้าง หยุดบ้าง ผมก็เลยไม่ค่อยได้เรียน ตอนวันสุดท้ายพระก็บอกให้พากันเก็บโต๊ะกับเก้าอี้ แต่ฝนก็ตกลงมาแล้วก็มีฟ้าแลบด้วย พระเลยบอกว่าเทวดาถ่ายรูปคนทำความดี ตอนนั้นก็ยังไม่รู้เรื่องหรอกครับก็เลยดีใจที่เทวดามาดู แต่พอถึงเวลาก็ได้ใบประกาศณียบัตร พอตอนกลับบ้านผมก็เอาให้แม่ดูเพราะอยากอวดแม่ แต่แม่ก็หัวเราะเพราะแม่ว่า ได้เรียนด้วยหรอ เห็นมีแต่
หยุด ไม่ได้เรียน ซึ่งตอนนั้นผมคิดว่า ก็จริงอย่างที่แม่พูดแล้วก็หัวเราะออกมา ตอนนั้นมีเพื่อนใหม่ที่ย้ายโรงเรียนมา เขาชื่อ ฟลุ๊ค ซึ่งเขาไม่ค่อยมีเพื่อนเพราะย้ายมา ด้วยความที่ผมดื้อ ผมก็เข้าไปคุยกับเขาจนสนิทกันเลย เขาเก่งคณิตศาสตร์แล้วความสามารถเข้าก็เยอะ เขาไว้จุกด้วย ผมถามว่าทำไมถึงไว้ เขาก็ตอบว่า ถ้าตัดเมื่อไรจะไม่สบาย ต้องรออายุถึงก่อนถึงจะทำพิธีตัดได้ตอนนี้เขาก็เรียนที่มหาวิทยาลัยมหาสารคามที่นี่แหละครับแต่ไม่รู้คณะอะไร
พอขึ้น ป.5กับ ป.6 ก็เริ่มโตแล้วล่ะครับ เริ่มรู้เรื่องอะไรบ้างแล้ว ก็เริ่มชอบคณิตศาสตร์บ้างแล้ว พอถึงเวลาเรียนคณิตศาสตร์ก็จะทำแข็งกันกับ ฟลุ๊ค แข่งกันว่าใครจะเสร็จก่อนกัน ตอน ป.5 ก็ไม่ค่อยมีอะไรมากครับเพราะว่าเริ่มรู้เรื่องแล้วครับ
แต่พอถึง ป.6 มันเป็นเวลาที่ต้องหาที่เรียนต่อ ผมก็สมัครที่
โรงเรียนสกลราชวิทยานุกูลครับ เพราะมันใกล้บ้านดี แล้วมันก็อยู่ข้างกับโรงเรียนตอนประถมเลยครับ ผมก็ไปจับสลากครับ เพราะมันมีโควตาคนที่บ้านอยู่ในเขตในเมืองครับ ตอนนั้นลุ้นมากเลย เพราะผมได้นั่งแถวหลังๆ ก็กลัวว่าคนที่จับก่อนจะได้หมด เหลือแต่อันที่ไม่ได้ แต่แม่ผมจดไว้เลยครับว่าสลากอันที่ได้เหลือกี่อัน อันที่ไม่ได้เหลือกี่อัน ตอนที่ใกล้ถึงคิวผม ผมก็เดินไปถามแม่ว่า จะได้ใหม่ แม่บอกว่า ไปจับเลย ผมก็เลยไปจับ ตอนนั้นกลัวมากเลยครับ แต่ก็จับได้ ดีใจมากแต่ก็ทำอะไรมากไม่ได้ เพราะอายคนอื่น บรรยากาศตอนนั้นมีมากมายเลยครับ คนที่ได้ก็พากันดีใจ พ่อแม่ก็พากันดีใจกับลูก ส่วนคนที่ไม่ได้ก็ร้องให้จนพ่อแม่ต้องมาปลอบลูก บางคนถึงกับลงมาด้านล่างเวทีแล้วเป็นลมก็มีครับ ผมก็กลัวๆเหมือนกัน กลัวเป็นแบบเขา พอได้เข้าเรียนก็รู้สึกดีครับ เพราะเป็นโรงเรียนประจำจังหวัดด้วย แล้วแม่ พี่ก็เรียนที่โรงเรียนนี้ด้วย
พอขึ้นมาเป็นน้องใหม่ ม.1 ก็ยังไม่รู้เรื่องอะไรเลยครับ ทำอะไรไม่ถูกเลย แต่พอดีพี่ก้อกำลังเรียนชั้น ม.3 ที่นั่นพอดี เลยถามพี่อย่างเดียวเลย พอตอนเรียนก็สนุกดีครับ แต่บางวิชาก็ไม่รู้เรื่องเลย แต่ก็ชอบเรียนคณิตศาสตร์เหมือนเดิมเลยครับ เพราะอาจารย์สอนสนุกด้วยทำให้อยากเรียน แต่เพื่อนๆพากันบอกว่าไม่รู้เรื่อง ซึ่งผมก็ไม่
เข้าใจว่าผมไม่เหมือนเพื่อนหรือว่าเพื่อนไม่เหมือนผม พอถึงเวลาที่เขาจักงานกีฬาสี ก็จะมีการซ้อมร้องเพลงเพื่อเตรียมขึ้นแสตน ก็จะซ้อมกันทุกเที่ยงเลยครับตอนแรกๆก็ดีล่ะครับ พี่เขาก็เช็คชื่อตลอดเลย ทำให้ไปใหนได้เลย เลยต้องมาซ้อมทุกวัน
พอ ม.2 ก้อซ้อมเหมือนเดิมเลยครับ เพราะเขาให้ ม.1กับ ม.2 ขึ้น แต่ด้วยความที่เคยผ่านมาแล้ว เพื่อนๆกับผมก็พากันเข้าบ้างไม่เข้าบ้าง แล้วก็ไม่เป็นรัยครับ แล้วก็ได้สมัครเข้าเป็นวงโยทวาทิตของโรงเรียนด้วย ตอนนั้นก็เล่นมาตั้งแต่ประถมแล้ว ก็เล่นจนถึง ม.3 ก็ออกเพราะว่าอาจารย์ให้ออก จะได้ให้รุ่นน้องมาเล่นแทน ตอน ม.3 ก็ไม่มีอะไรมากเลยครับ ก็เรียนตามปกติ
ตอน ม.4 ขึ้นมาแรกๆก็งงเลยครับ เรียนอะไรก็ไม่รู้ ไม่รู้เรื่องเลย โดยเฉพาะฟิสิกส์ กับเคมี ไม่รู้เรื่องเลยครับ แต่ก็พยายามจนผ่าน ม.4 ได้ครับ ดีใจมากเลย แล้วก็เป็น ร.ด. ด้วย ตอนปี1นี้หนักมากเลยครับ ฝึกอย่างเดียวเลย เหนื่อยมาเลยครับ แต่ก็สนุก
ม.5 นี่สำคัญเลยครับ เพราะเปิดเรียนมาไม่ทันไร ก็เข้าโรงพยาบาลเลยครับ เพราะเป็นไข้เลือดออก แต่ดีที่เป็นตอนแรกครับเพราะหลังจากนั้นวิชาคณิตศาสตร์อาจารย์สอนแบบหนักเลยครับ ขยับตัวเป็นโดนตบเลย แล้วก็ตบจริงๆครับ ผมโดนครั้งนึง เพราะเขียนผม อาจารย์ให้การบ้านทุกวันครับ อาจารย์สอน 3 ห้อง ผมก็มีเพื่อนอยู่ห้องอื่นที่เรียนกับอาจารย์คนนี้แล้วเป็นห้องสายศิลป์ เขาทำไม่ค่อยได้ เขาเลยลอกผมเกือบหมดเลย การบ้านแต่ละวันกว่าจะเสร็จก็ประมาณเกือบเที่ยงคืนครับ เพราะอาจารย์ให้ทำแบบละเอียดเลย ทุกขั้นตอน ทุกบรรทัดเลย ผิด1บรรทัดก็แก้หมดเลย ผมได้แก้ประจำเลยครับ แล้วผมก็เริ่มใช้วิทยุตอนนี้ล่ะครับเพราะงานร.ด.ได้เป็นทีมสื่อสารของโรงเรียนแล้วเพื่อนเขาก็มีหมดเลย ผมก็เลยไปซื้อมาใช้แต่ตอนนั้นยังไม่ได้สอบครับ จะพกไปใหนก็ระแวงกลัวตำรวจถาม
ถึงม.6แล้วครับ จะจบแล้ว ผมก็ได้ไปสอบวิทยุสื่อสารนี่แหละครับ จะได้เป็นนักวิทยุสมัครเล่นให้ถูกซะที พอถึงเวลาที่ต้องหาที่เรียนต่ออีกรอบ คราวนี้ต้องไปหลายที่เลยครับเพื่อที่จะสอบเข้าเรียนต่อทำให้ไม่ค่อยได้เรียน ตอนนั้นยังไม่รู้เลยครับว่าจะ
เรียนอะไรดี ไปที่ไหนก็ไม่ติด จนมาที่ มมส. นี่แหละครับ ดีใจมากเลย มีที่เรียนแล้ว จนมาถึงทุกวันนี้แหละครับ
อุ๊แว้..อุแว้ๆๆๆ แม่ตื่นขึ้นมาเมื่อได้ยินเสียงเด็กน้อยขี้แยคนนึงร้องไห้ลั่นโรงพยาบาล ในช่วงเวลา 23:56 น. ของวันอาทิตย์ ที่ 23 ธันวาคม 2533 เหล่าญาติพี่น้องต่างเห่อหลานสาวคนใหม่ที่พึ่งคลอดออกมาเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมา แม่กับพ่อยิ้มรับขวัญลูกด้วยความยินดี เด็กน้อยคนนี้ก็คือ “ตัวฉันเอง” ฉันเกิดมาด้วยน้ำหนัก 280 กรัม ร่างกายของฉันไม่ค่อยจะแข็งแรงสมบูรณ์นัก ตัวเหลืองซีดจนต้องอยู่ในตู้อบ แต่เสียงร้องไห้ดังไม่แพ้ใครเลยแหล่ะ ในวันต่อมาน้าชายของฉันได้ตั้งชื่อให้ตั้งเช้ามืดว่า “รัตติกาล” เพราะเมื่อคืนทั้งคืนไม่ได้เป็นอันหลับอันนอน กับเสียงร้องไห้ของฉัน พ่อกับแม่ตกลงรับชื่อ รัตติกาล ตามที่น้าชายตั้ง พร้อมให้ความหมายว่า สิ่งที่ฟ้าประธานมาให้เมื่อยามราตรี
ฉันจึงมีชื่อว่า เด็กหญิงรัตติกาล ตุ้มทอง ตั้งแต่นั้นมา ต่อมมาไม่กี่วัน แม่ก็ได้ตั้งชื่อให้กับฉันว่า ใบเฟริน์…..ใบเฟริน์เป็นเด็กขี้โรค ขี้แย แต่ก็ร่าเริงพูดจาแจ้วๆได้ตลอดเวลา เวลาผ่านไปซักพักใบเฟริน์ก็ได้ชื่อใหม่ว่า น้องเบลล์ ชื่อนี้พ่อกับแม่ช่วยกันตั้ง เพราะเปรียบเสมือนเสียงกระดิ่งน้อยๆของพ่อแม่ (bell = กระดิ่ง,ระฆัง) และจะได้เป็นอักษรที่คล้องจองกับชื่อเล่นของพี่สาวคนโตอีกคนคือ พี่โบว์ ซึ่งเป็นพี่สาวคนละแม่ พี่โบว์ถูกเลี้ยงดูโดยย่าและพ่อแม่บ้างครั้งคราว ส่วนฉันถูกเลี้ยงดูโดยพ่อแม่ตลอดเวลา เราสองคนจึงไม่ค่อยสนิทสนมกันเท่าไร ทั้งยังมีนิสัยที่แตกต่างกันมากๆด้วยแต่พ่อกับแม่ก็บอกเสมอว่า เราต้องรักกัน ตั้งแต่ฉันเกิดมาครอบครัวของฉัน ก็ได้ย้ายบ้านบ่อยๆเสมอ เนื่องจากพ่อของฉันได้บรรจุงานเป็นเกษตรตำบลที่ยังมีต่ำแหน่งในขั้นต่ำอยู่
พร้อมทั้งมีวัยวุฒิและคุณวุฒิ อยู่ในสถานะที่เลือกสถานที่ทำงานไม่ค่อยได้นัก หลังจากฉันอายุได้ประมาณสองเดือน ฉันก็ได้ย้ายจากจังหวัดอุดรบ้านเกิดไปจังหวัดสกลนคร
อยู่จังหวัดสกลนครได้พักใหญ่ก็ได้ย้ายมาอยู่ที่ บ้านทรายมูล อำเภอน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น ฉันโตอยู่ที่นี้พร้อมกับธรรมชาติที่ห้อมล้อมไปด้วย คน สัตว์และธรรมชาติที่น่าอยู่ ที่บ้านพักของครอบครัวฉันมีคนเข้าออกแทบทุกวัน เพราะพ่อของฉันทำงานกับชาวบ้านโดยเฉพาะกลุ่มเยาวชน พ่อจึงเป็นคนที่พูดเก่ง และเข้ากับผู้คนได้ง่ายซึ่งฉันก็ได้ส่วนนี้มาจากพ่อ
ชาวบ้านแถบนั้นแทบจะไม่มีใครที่ไม่รู้จักฉันถ้ารู้จักพ่อของฉัน เพราะฉันเป็นคนพูดเก่งตั้งแต่เด็กถึงขั้นพูดมากเลยก็ว่าได้ แถมยังขี้อ้อนติดคนง่ายอีกด้วย จึงทำให้ฉันได้กินขนมทุกวันแต่สิ่งที่ฉันไม่กินเลยคือ นม นอกจากนมแม่ ชีวิตตอนนั้นแทบจะไม่มีวันไหนที่ฉันต้องเหงาเลย ฉันมีพี่ลิงคู่ใจอยู่ตัวหนึ่งถึงจะไม่ค่อยถูกกันเท่าไรก็เถอะ
พี่ลิงชอบหาเหาที่อยู่บนหัวฉันชอบขว้างจานและร้องด่าเวลาที่โกรธแถมยังชอบแกล้งฉันอีกต่างหาก แต่ฉันก็ไม่แคร์ เพราะฉันมีพี่หมาอีก 2 ตัว ชื่อ พี่แจ็คกี้ กับ พี่จอย และยังมีพี่หนู พี่งู พี่กระรอก พี่กระต่าย พี่นกแก้ว อีกต่างหาก พูดไปมองดูคล้ายสวนสัตว์ใช่ไหมล่ะ หลายคนก็พูดเช่นนั้น แต่นี่แหละมันคือบ้านของฉัน นอกจากนี้ยังมีต้นไม้เต็มไปหมด แต่ที่ฉันรู้จักชื่อนะก็มี ต้นมะม่วง ต้นฝรั่ง ต้นชมพู ต้นน้อยหน่า และดอกไม้อะไรไม่รู้อยู่หน้าบ้าน เป็นไงล่ะพ่อของฉันบ้าวิชา ตกแต่งบ้านซะเหมือนสวนสัตว์เลย
ด้วยบรรยากาศที่เป็นใจจึงทำให้ฉันมีน้องสาวอีก 1 คน ชื่อน้องบีท เมื่อน้องฉันเกิดมาพ่อกับแม่ก็ได้ออกรถกระบะคนใหม่รับน้องทันที (เห่อเอามาก) แต่เรื่องไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น...พ่อของฉันนอกใจแม่ ด้วยความที่พ่อเป็นคนที่พูดเก่ง อัธยาศัยดีและเจ้าชู้โดยนิสัยถาวร จึงทำให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น แม่พูดอยู่เสมอว่า พ่อเจ้าชู้มาแต่ไหนแต่ไร ตั้งแต่ฉันยังไม่เกิด แต่พ่อก็คือ พ่อของลูก แค่คนเดียว (จำไว้) แม่ตัดสินใจพาฉันหนีสิ่งต่างๆไปโดยวิธีฆ่าตัวตาย แม่กินยาฆ่าหญ้าที่ใต้บันไดบ้านพัก ในตอนที่พ่อออกไปทำงาน เพราะไม่อยากรับรู้อะไรอีกแล้ว แม่บอกให้ฉันดูแลน้องให้ดีที่สุด ก่อนที่แม่จะชัก ฉันตกใจมากทั้งร้องไห้ ด้วยความเป็นเด็กจึงทำอะไรไม่ถูก โชดดีที่ระหว่างนั้นพ่อกลับมาบ้านพร้อมกับกลุ่มยุวเกษตรกรอีกสองสามคน ฉันจึงวิ่งไปบอกพ่อทั้งน้ำตา พ่อตกใจมากเมื่อเจอสภาพแม่ในตอนนั้น พ่อจึงรีบอุ้มแม่ขึ้นรถไปโรงพยาบาล เป็นโชคดีที่หมอล้างท้องช่วยชีวิตแม่ของฉันไว้ทันเวลาพอดี ฉันจึงมีแม่จนถึงทุกวันนี้ เวลาผ่านไปประมาณ 2 สัปดาห์ พ่อของฉันตัดสินใจเลิกกับกิ๊กมาดูแลแม่ตามเดิม แต่ก็ใช่ว่าจะได้นาน ซักพักใหญ่พ่อก็มีกิ๊กคนใหม่ แม่ตัดสินอย่างเด็ดขาดอีกครั้ง แม่พาฉันหนีไปอยู่บ้านญาติๆ ชีวิตช่วงนั้นฉันซัดเซพเนจรไปโดยที่มองไม่เห็นจุดหมายปลายทาง ไม่รู้ซึ่งชะตากรรม แต่ข้อดีของพ่อก็คือ...แม้ว่าจะมีใครแต่คนแรกและคนสุดท้ายที่คิดถึงมีแค่ลูกกับเมีย พ่อจึงตัดสินใจตามหาแม่จนพบ และได้กลับมาอยู่ด้วยกันเช่นเดิม
หลังจากนั้นพ่อก็ทำเรื่องขอย้ายไปอยู่ บ้านบึงใคร่นุ่น อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น ซึ่งเป็นบ้านย่าของฉัน เพื่อจบสิ้นปัญหาและเริ่มต้นใหม่ ฉันไดไปเข้าโรงเรียนเป็นครั้งแรก ชื่อโรงเรียนบ้านบึงเนียมบึงใคร่นุ่น แต่เนื่องจากฉันอายุได้ 6 ขวบแล้ว จึงไดเข้าชั้นอนุบาล 2 เลย
ฉันเป็นเด็กดีมาตลอดตั้งใจเรียนว่านอนสอนง่าย กล้าแสดงออก ประหยัดอดออม แต่ปากจัด พวกเพื่อนๆ ของพี่สาวฉันจึงแรก น้องเบลล์ปากปลาแดก แต่ฉันก็เก่งไม่เบานะ
สอบได้ไม่เกินที่ 2 เลย แถมยังเป็นนักร้องประจำโรงเรียนอีกด้วย ฉันเป็นตัวแทนในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ไปแข่งกับพี่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 , ประถมศึกษาปีที่ 6 แล้วยังได้ที่ 1 กลับมาด้วย นอกจากนี้ฉันยังได้เป็นตัวแทนไปแข่ง แต่งกลอน แต่งคำขวัญ เขียนไทย คัดไทย คิดเลขเร็ว อีกต่างหาก ชีวิตด้านการเรียนกำลังสดใส ฉันกำลังติดเพื่อน ติดครู แต่ชีวิตครอบครัวของฉันก็ไม่สู้ดีนัก ย่ากับแม่ปัญหากันบ่อยๆ แม่กับพี่สาวก็มีปัญหากัน รวมทั้งตัวฉันกับพี่สาวด้วย คงเป็นเพราะว่าเราไม่ได้อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เด็กทัศนคติเลยแตกต่างกัน พอเกิดปัญหาได้พักใหญ่ พ่อของฉันจึงพาแม่ น้อง และฉันย้ายไปอยู่ที่ บ้านหนองโก อำเภอกระนวน จังหวัดขอนแก่น เพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้ง ฉันได้เจอกับประสบการณ์ใหม่ๆมากมาย ฉันย้ายไปเข้าที่โรงเรียนบ้านหนองโก ตอนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 หลายๆสิ่งทำให้ฉันได้รู้จักปรับตัวครั้งใหญ่ ฉันได้เจอกับเพื่อนใหม่ เธอชื่อ อัง เธอพูดเก่งเหมือนฉันจนทำให้ฉันได้รู้จักเพื่อนๆคนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น แนน กลอย กล้วย แพน ตุ๊กตา วิทย์ ฯลฯ ฉันเริ่มสนิทกับพวกเค้ามากขึ้นทุกวันทุกวัน และเริ่มแสดงความเป็นตัวเองออกมาจนอาจารย์เห็นแววให้ฉันไปแข่งร้องเพลง แต่ก็ได้แค่ที่ 2 กลับมา แล้วฉันก็ได้เป็นตัวแทนไปแข่งอ่านทำนองเสนาะ แต่ก็ได้แค่ที่ 4 เท่านั้น เวลาผ่านไปได้ 1 ปี ฉันขึ้นชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 พ่อก็ได้พาฉันและครอบครัวย้ายไปอยู่ที่บ้านนามูล เพื่อที่จะหารายได้เพิ่มเติมมาจุนเจือครอบครัว ที่นั่นพูดได้ว่าทุรกันดารมาก รอบด้านล้อมรอบด้วยภูเขาเต็มไปหมด ผู้คนเกือบ 100% ทำอาชีพเกษตรกรรม ทุกๆเช้ามืดก็จะเห็นผู้คนขับรถอีแต๊กขึ้นภูเขาเพื่อไปปลูกอ้อย ปลูกมัน ปลูกยางพารา และทำสวนผักผลไม้ แต่บ้านของฉันเป็นร้านขายของจำพวกน้ำมัน ยาฆ่าแมลง และสินค้าเบ็ดเตล็ด แล้วพ่อของฉันก็รับส่งนักศึกษาวิทยาลัยการอาชีพกระนวนด้วย ฉันและครอบครัวต้องตื่นตั้งแต่ตี 5 ทุกวัน เพื่อที่จะได้ทำภาระกิจในตอนเช้า แม่ทำกับข้าวรอทุกครั้งระหว่างที่ฉันและน้องแต่งตัว
หลังจากที่ทำภารกิจเสร็จ พ่อก็เริ่มเคลื่อนรถพาฉันกับน้องมารับพี่ๆนักศึกษา ที่ขึ้นรถรับส่งกับพ่อตั้งแต่ 6 โมงเช้า กว่าจะถึงโรงเรียนก็ปาเข้าไป 7 โมงครึ่ง ทุกวัน พอตอนค่ำพ่อก็ต้องมารับฉันกับน้องแล้วพาไปรับพี่ๆนักศึกษากลับบ้าน ถึงบ้านทุกวันก็ปาเข้าไป 6 โมงเย็น ทำอย่างนี้อยู่เทอมหนึ่ง พ่อกับแม่ก็ได้คุยกันเรื่องที่จะให้ฉันกับน้องย้ายโรงเรียน
เพราะสงสารที่ฉันกับน้องต้องตื่นแต่เช้านั่งรถไปกับพ่อวันละหลายชั่วโมงทุกวัน ฉันกับน้องจึงได้ย้ายมาเรียนที่โรงเรียนบ้านนามูล ตอนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 เทอมที่ 2 มาอยู่ที่นี่ไม่ค่อยได้เรียนเลย ร้อยมาลัยทั้งวัน อาจารย์ก็ไม่สอน แต่ก็สนุกดีได้ปลูกดอกไม้ ทำนา ทำสวนด้วย พ่อกับแม่ทนเห็นสภาพของฉันและน้องที่ไม่ได้เรียน ไม่มีการบ้านทุกวันไม่ได้ (ไม่ได้หนังสือ) ประจวบเหมาะกับพี่ๆนักศึกษาที่ขึ้นรถรับส่งกับพ่อฉันจบพอดี พ่อก็เลยเลิกทำงานรับส่งนักศึกษา และย้ายบ้านมาอยู่ที่บ้านหนองโก อำเภอกระนวน เช่นเดิม พร้อมทั้งย้ายโรงเรียนมาเข้าโรงเรียนบ้านหนองโก ฉันและน้องดีใจมาก ฉันได้เจอเพื่อนๆของฉันอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มีเรื่องพิเศษให้ปลื้มหลายเรื่องเลยแหละ..
ฉันได้เป็นตัวแทนไปแข่งพูดต่อหน้าสาธารณะชน (ภาษาอิสาน) ได้รางวัลชนะเลิศที่ 1 และไปแข่งต่อที่จังหวัดได้ที่ 2 ฉันดีใจมากที่ได้รางวัลนี้มา และต่อมาฉันก็ได้ไปแข่งยอดนักพูด ก็ได้รางวัลชนะเลิศที่ 1 เช่นกัน แต่ครั้งนี้แย่หน่อยเพราะตอนไปแข่งที่จังหวัดลืมบอกชื่อตัวเองเลยได้ที่ 4 กลับมา แต่ที่น่าปลื้มก็คือบทความที่ใช้แข่งขันในครั้งนี้ คนที่ร่างให้ก็คือพ่อของฉันเอง และยังมีครูที่ทุ่มเทแรงกาย แรงใจ เวลาให้กับการติวฉันด้วย ประสบการณ์ที่ได้มาในครั้งนี้ก็เลยดูพิเศษกว่าทุกครั้ง อีกเรื่องที่พิเศษไม่แพ้กันก็คือ ฉันได้เจอกับรักครั้งแรก ฉันแอบชอบคนหนึ่ง เค้าชื่อ เบส เค้าน่ารักมากๆในสายตาของฉัน และที่สำคัญเค้าเองก็ดูเหมือนจะรู้สึกไม่ต่างอะไรไปจากฉัน เรามีโอกาสได้อยู่ใกล้ชิดกันทุกเวรวันศุกร์ เพราะเราอยู่เวรวันเดียวกัน เรากวนกัน หยอกล้อกัน เล่นด้วยกันตามประสาแรกรักแบบเด็กๆ เพื่อนต่างล้อกันใหญ่ว่าเราชอบกัน จนวันหนึ่งมีจดหมายฉบับหนึ่งวางอยู่ใต้โต๊ะของฉัน และเมื่อฉันเปิดดูก็ได้รู้ ความรู้สึกของเค้า เค้าเขียนกลอนและคำสารภาพรักพร้อมลงชื่อในบรรทัดสุดท้ายว่า จากเบส ฉันดีใจมากที่เรามีความรู้สึกที่ตรงกัน และเราก็เขียนจดหมายรักตอบกลับกันทุกวัน มีวันหนึ่งซึ่งมันก็เป็นวันเกิดของฉัน ฉันรอของขวัญจากเค้าทั้งวัน
จนถึงตอนเลิกเรียนเค้าก็ได้เอาตุ๊กตาหมาสีขาวชมพูที่ฉันอยากได้มาให้ แล้วก็ชวนฉันไปขี่จักรยานเล่น เราคบกันจนถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 แล้วเราก็ห่างกันเรื่อย เพราะเราต้องย้ายไปอยู่คนละโรงเรียน จนในที่สุดก็เลิกติดต่อกัน
ฉันสอบเข้าได้ที่โรงเรียนประจำอำเภอกระนวน ชื่อโรงเรียน ศรีกระนวนวิทยาคม ได้อยู่ห้อง 7 ตอนแรกที่ฉันดูรายชื่อ ฉันแทบรับไม่ได้ เกิดคำถามหนึ่งที่ต้องการคำตอบอย่างมาก คือทำไมเราอ่านหนังสือมาสอบแล้วเรายังโง่อยู่...ในเวลานั้นเองมีอาจารย์คนหนึ่งเดินมาบอกว่าชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ห้องคิงคือห้อง 7 ฉันดีใจมาก
ชีวิตมัธยมเริ่มต่างจากเด็กประถมออกไปที่ละน้อย ประสบการณได้สอนให้ฉันโตขึ้น ฉันได้เจอเพื่อนใหม่อีกมากมาย ต่างคนต่างนิสัย ด้วยความที่ฉันพูดมากก็เลยมีเพื่อนเยอะหน่อย แต่มันก็มีข้อดี ข้อเสียหลายอย่าง...ข้อดีคือ ทำให้เรามีที่พึ่งและได้รู่ว่าใครที่จริงใจกับเรา จนฉันได้ค้นพบว่า เพื่อนห้องคิงมีดีที่การเรียน แต่ข้อนข้างเห็นแก่ตัว แต่เพื่อนห้องคละจะปรึกษาได้ทุกเรื่องและจริงใจมากกว่า ข้อเสียคือ แบ่งเวลาให้เพื่อนได้ไม่เท่ากัน ติดเพื่อนมากเกินไป ชีวิตมัธยมต้นก็มีความสุขตามภาษาเด็กเริ่มแตกสาว มีเรียนบ้าง มีโดดบ้าง เที่ยวบ้าง รักบ้าง ปะปนกันไป แต่พอขึ้นมัธยมศึกษาตอนปลายเป็นอะไรที่คุ้มค่ามาก ฉันได้ย้ายห้องใหม่มาอยู่ 4/8 ซึ่งเป็นห้องรองคิงฉันเสียใจมาก มันคงเป็นที่ตัวฉันเองที่สนุกมากเกินไป แต่บนความโชคร้ายก็มีความโชคดีแฝงอยู่ ฉันอยู่ห้องรองทำให้ฉันเรียนอยู่ในเกณฑ์แนวหน้า ซึ่งในขณะที่อยู่ห้องคิง ฉันเรียนอยู่ในเกณฑ์ท้ายๆ ฉันได้เจอเพื่อน ที่เป็นทั้งเพื่อนกิน เพื่อนเล่น เพื่อนเรียน พวกเค้าอยู่ห้องเดียวกับฉัน พวกเค้ามีน้ำใจ ไม่เห็นแก่ตัว แล้ววันหนึ่งฉันก็เจอกับรักครั้งใหม่
“ไอซ์” เด็กผู้ชายน่ารัก ติ๊งต๊อง และอบอุ่น เค้าเริ่มเข้ามามีความหมายในชีวิตฉัน เค้านั่งข้างหลังฉัน ตอนแรกฉันหมั่นไส้เค้าจะตายชัก คนอะไรไม่เห็นหล่อ มีสาวๆมาปริ๊งมากมาย อาจจะเป็นไปได้ว่าเค้าเป็นลูกผู้ดีมีกะตังค์ในแถบอำเภอนี้ และพึ่งย้ายมาจากโรงเรียนแก่นนครซึ่งเป็นโรงเรียนประจำจังหวัดก็เป็นได้ ความผูกพันธ์ที่เกิดในใจของฉันมันไม่รู้เลยว่าเกิดขึ้นตอนไหน รู้แค่ว่าเราสนิทสนมกันมากขึ้นทุกวัน มันมากเกินกว่าเพื่อนไปแล้ว หลายครั้งที่เค้าทำให้ฉันหวั่นไหว หลายครั้งที่ฉันก็แอบเสียใจทำไงได้ฉันห้ามใจตัวเองไม่ได้จริงๆ แต่ 1 ครั้งที่ฉันได้รักเค้ามันก็เกินพอ เพื่อนรู้เมื่อมองตาเรา 2 คนว่าคิดอะไรอยู่ แต่เรา 2 คนต่างกลัวว่าถ้า...เพื่อนรักเพื่อน แล้วจะไม่เหมือนเดิม เค้าโทรมาหาฉันหาข้ออ้างคุยกับฉันเกือบทุกวัน มานั่งกับฉัน ไปกินข้าว ไปเที่ยว
ไปไหนมาไหนด้วยกันจนคนหลายคนที่ปริ๊งเค้าเข้าใจผิดว่าเราเป็นแฟนกัน ทั้งๆที่เค้าก็มีคนของเค้าซึ่งเลิกกันคบแบบพี่ชายน้องสาวอยู่แล้ว แต่...ไม่รู้สิ
และแล้วก็มาถึงวันหนึ่งที่ฉันรอคอย เราได้ไปทัศนะด้วยกันที่วัดถ้ำกระบอกและวัดพระบาทน้ำพุ เธอให้เพื่อนจัดแจงที่นั่งให้เรา 2 คน ต้องบังเอิญได้มานั่งด้วยกัน แล้วเค้าก็ได้บอกความในใจกับฉัน ฉันอึ้งมาก!!! ทุกอย่างมันเกิดขึ้นโดยที่ฉันไม่ได้ตั้งตัว เค้าถามฉันถึงความรู้สึกที่ฉันมีให้กับเค้า...ฉันตัดสินใจสารภาพความรู้สึกนั้นออกไป ความรู้สึกตอนนั้นมีทุกความรู้สึก ทั้งตื่นเต้น กลัว เขิน โล่ง แต่ฉันก็มีความสุขมากราวกับขึ้นสวรรค์
ถึงแม้จะเป็นเวลาแค่ 1 วัน ก็เป็น 1 วันที่ฉันไม่เคยลืม แต่หลังจากนั้นไม่ถึง 2 เดือน เราก็ได้เลิกกันเพราะความไม่เข้าใจกัน ฉันพยามเข้าใจว่าบางทีเรา 2 คน อาจจะเหมาะที่จะเป็นเพื่อนสนิทกันมากที่จะเป็นแฟนก็เป็นได้ แต่ฉันก็ไม่เคยลืมเค้าได้เลย จนถึงวันนี้ฉันก็ยังคิดถึงเค้าเช่นที่ผ่านมา
พอฉันขึ้น มัธยมศึกษาปีที่ 5 ฉันก็ได้ย้ายไปอยู่ห้องคิงตามเดิม คือห้องมัธยมศึกษาปีที่ 5/1 แต่ก็มีปัญหาต่างๆให้ฉันต้องคิดมากเต็มไปหมด ทั้งเรื่องเรียน เรื่องรัก เรื่องครอบครัว แต่ที่หนักก็คงเป็นเรื่องครอบครัว ตอนนี้ครอบครัวของฉันอยู่ในภาวะวิกฤต ด้านความสัมพันธ์ในครอบครัว และด้านการเงิน แม่ของฉันได้ไปทำงานที่โคราชเพื่อจุนเจือครอบครัว แล้วพ่อของฉันก็มีกิ๊กไม่เคยเปลี่ยนมาเสมอ แต่คนนี้หนักหน่อย อาจเป็นเพราะว่าแม่ไม่อยู่รึว่าฉันโตแล้วก็เลยคิดมากไปหน่อย ฉันไม่พร้อม ไม่อยากจะต้องมารับรู้เรื่องราวเหล่านี้เลย ฉันถึงกับเศร้าเลยทีเดียว แต่ฉันก็มีเพื่อนๆที่ดี โดยเฉพาะ ไอ้บอล นุ่น ที่คอยปลอบและเป็นกำลังใจให้กับฉัน และเพื่อน เก่าที่ไม่เคยทิ้งฉันไปไหน ก็คือ อัง พิน แนน ชีวิตของฉันในช่วงนั้นใช้เวลาอยู่กับเพื่อน และพยามยามขวานขวายหาความอบอุ่น คนที่เข้าใจ แล้วเลิกกับทุกคนเมื่อเค้าเริ่มชอบฉัน มันเป็นวิธีที่ฉันใช้แก้แค้นผู้ชายทุกคน เพราะฉันเกลียดผู้ชาย แม้บางครั้งฉันจะรักพวกเค้าเหล่านั้นก็ตาม มันอาจจะเจ็บแต่ฉันก็ทำ จนฉันขึ้นชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ฉันเล่นกิจกรรมทุกอย่าง ทุ่มเทเวลาส่วนใหญ่ให้กับส่วนรวม เพื่อฉันจะไดไม่เหงา และลืมเรื่องราวเหล่านั้นได้ ฉันคิดเสมอว่าฉันต้องเป็นเสาร์หลักให้กับน้อง และต้องเก็บเรื่องราวของพ่อไว้เป็นความลับไม่ให้แม่รู้ แต่สุดท้ายแม่ก็รู้จนได้ เพราะฉันพาน้องหนีออกจากบ้าน เนื่องจากฉันทนกับสิ่งที่พ่อทำไม่ได้ แม่กลับมาอยู่กับฉันและน้อง ทำให้ฉันรู้สึกดีขึ้นเยอะ รู้สึกมีที่พึ่ง รู้สึกถึงความรักที่จริงใจ อีกครั้ง ในช่วงที่ฉันเคร่งเครียดอยู่กับเรื่องของพ่อ ก็มีสิ่งต่างๆเกิดขึ้นมากมาย ช่วงกีฬาสีฉันได้เจอกับรักครั้งใหม่อีกครั้ง เค้าคนนี้ ชื่อ อาร์ตี้ เค้าเป็นรุ่นน้องของฉัน 1 ปี เรารู้จักกันเพราะฉันไปเก็บตังค์กีฬาสี เค้าเดินเข้ามาขอเบอร์ฉัน ฉันให้เบอร์จริงเค้าไป แต่คนอื่นให้เบอร์มั่วๆ ไม่รู้ว่า
มันเรียกว่าพรมลิขิตรึว่าความตั้งใจของฉันกันแน่ เค้าพิสูจน์ตัวเองให้ฉันไดรับรู้หลายๆอย่าง จนฉันตัดสินใจคนกับเค้าเป็นแฟน เค้าเข้าใจฉันกว่าทุกคน เราอาจมองโลกในแง่มุมที่แตกต่างกัน แต่เราก็ใช้เหตุและผลในการคบกัน และเค้าก็เข้ากับทุกคนได้
หลังจากแม่กลับมาอยู่บ้านได้ไม่นาน ก็ได้มาทำงานอยู่ที่โรงเรียนของฉัน
แม่เป็นพนักงานขายน้ำสมุนไพร งานอาจดูเหมือนไม่หนัก แต่ก็เหนื่อยเอาการ เวลาที่ฉันว่างจากการเรียน ฉันก็มาขายช่วยแม่ เพื่อนๆก็มาช่วยขาย อาร์ตี้ ก็ด้วย แถมตอนเย็นฉันกับอาร์ตี้ก็มาช่วยแม่เก็บตู้ ล้างตู้อีกด้วย ทำให้เราผูกพันกันมากพอสมควร ทั้งเค้าก็ได้เข้ามามีบทบาทในครอบครัวของฉันมากขึ้น แต่ก็เกิดปัญหาขึ้น พ่อไม่อยากให้เราคบกัน และไม่อยากให้มาเจอกันอีก เพราะกลัวเสียการเรียน แต่สุดท้ายพ่อก็แพ้ความดีที่อาร์ตี้ทำ จนพ่อยอมให้เราคบกัน แล้วเวลาก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว เราสอบติด คณะศึกษาศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม แต่อาร์ตี้ยังไม่จบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 เราต้องจากกันแล้ว...ฉันกลัวมากจริงๆ กลัวเป็นเหมือนคนอื่นๆที่ผ่านมา กลัวว่าถ้าเราห่างกันแล้วเราอาจได้เลิกคบกันไปเลยก็ได้ แต่เราก็ใช้เวลา ความเชื่อใจ และระยะทางเป็นเครื่องพิสูจน์อุปสรรค จนถึงตอนนี้เราก็ยังคงคบกันอยู่ และไม่มีปํญหาอะไรมากมายให้เราต้องเลิกรากัน
ชีวิตมหา’ลัยมีอะไรหลายๆอย่างที่เราต้องปรับตัวและต่อสู้อีกมาก ฉันรู้จักช่วยเหลือตัวเองมากขึ้น รู้จักแบ่งเวลา รู้จักจัดแจงใช้เงิน และรู้จักกำหนดขอบเขตในการใช้ชีวิตอย่างอิสรเสรีมากขึ้น เพราะทุกสิ่งทุกอย่างตอนนี้ขึ้นอยู่กับตนเองทั้งหมด
ตอนแรกฉันยอมรับว่าไม่มีความสุขกับชีวิตมหา’ลัยเท่าไหร่ อาจเป็นเพราะไม่เคยห่างบ้าน และยังปรับตัวให้เข้ากับสิ่งต่างๆไม่ได้ แต่พอถึงตอนนี้ฉันรู้สึกดีกับที่นี่ กับชีวิตแบบนี้ มันทำให้ฉันเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น และพร้อมที่จะเผชิญกับโลกภายนอกได้ด้วยตัวเอง
นางสาวรัตติกาล ตุ้มทอง
52010517034 ส่งแล้วจ้่า
ส่งยากส่งเย็นนะคะ ยาวไปหน่อย
ไม่รู้จะตัดตรงไหน อายด้วย
อิอิแต่ก็ส่งเพื่อ...
ประวัติส่วนตัว
ณ โรงพยาบาลมหาราช จังหวัดนครราชสีมา เวลา 21.15 น.
ของวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2534 ฟ้าได้ประทานสักขีพยานแห่งความรัก
ของนายสุชิน รักแดน และนางผ่อนศรี รักแดน เป็นเด็กเพศหญิงผู้หนึ่ง
นาม ว่า สุนิศา รักแดน แต่ในอีก สามวันต่อมา เด็กหญิงผู้นี้จึงได้รับนามใหม่อันไพเราะด้วยการเลือกสรรของผู้เป็นบิดา นามว่า เด็กหญิงยลวิสุทธ์ รักแดน ซึ่งแปลด้วยถ้อยคำที่วิจิตรแล้วว่า มองแล้วสะอาดบริสุทธิ์ หากแต่เป็นความบริสุทธิ์ที่จิตใจ เด็กหญิงผู้นี่นามเล่นว่า แก้มยุ้ย เธออาศัยอยู่บ้านเลขที่ 262 หมู่ 2 ต. ด่านขุนทด อ.ด่านขุนทด
จ.นครราชสีมา 30210 เธอผู้นี้อยู่ในการเลี้ยงดูจากผู้เป็นยาย เนื่องจากมารดาและบิดาต้องเข้าไปทำงานที่ในตัวเมืองอยู่ที่สำนักงานชลประทาน จังหวัดนครราชสีมา เมื่อเธอย่างเข้าสู่วัยแห่งการเรียนรู้ คืออายุ 4 ปีตามเกณฑ์ เธอได้ศึกษาที่โรงเรียน ชลประทาน แต่เรียนได้เพียงหนึ่งอาทิตย์ ก็ได้ย้ายมาเรียนที่โรงเรียนด่านขุนทด ในชั้นอนุบาล 1 ในปีแรกเธอต้องให้ญาติไปเฝ้าเป็นเวลาหนึ่งปีเต็ม (อิอิ เธอคงกลัวในสิ่งที่มองไม่เห็น) แต่เหตุการณ์กลับตลปัทถ์ เมื่ออนุบาลสอง เธอได้เข้าเรียนโดยไม่ต้องมีผู้มาดูแล เหมือนแต่ก่อน และหากเธอมาโรงเรียนสายเกิน 7.30 น. เธอจะร้องไห้ทันที เมื่อเข้าสู่วัยกำลังซน ชั้นประถม1คุณครุประจำชั้นคือ นางปราณี ดอกสันเทียะ ยลวิสุทธ์ ได้รับเลือกเป็นหัวหน้าชั้น มีเหตุการณ์การเป็นหัวหน้าที่ ยลวิสุทธ์ จดจำได้จนถึงทุกวันนี้คือ
ที่หน้าเสาธง คุณครูประกาศให้หัวหน้าชั้นทุกชั้นออกมา เพื่อแบ่งหน้าที่ทำความสะอาด แต่หาเป็นเช่นนั้นไม่ ยลวิสุทธ์ หัวหน้าชั้น ป. 1/2 ได้ไปขัดห้องน้ำ จากวันนั้น ยลวิสุทธ์ บอกกับตนเองว่าจะไม่เป็นผู้นำอีกต่อไป ในเทอมแรก ยลวิสุทธ์ สอบได้ที่ 6 ส่วนในเทอมที่สองยลวิสุทธ์ สอบได้ที่ 7 จากการเรียนคงเป็นนิมิตหมายอันดีว่ายลวิสุทธ์
เรียนดีม๊ากมาก ในชั้น ป. 2 อาจารย์ประจำชั้นคือ นางลำปาง ฉายชูวงศ์ เทอมแรกผลการเรียนได้ลำดับที่ไม่แตกต่างจาก ประถมหนึ่ง ในประถม 3 คุณครูปะจำชั้นเป็นคนเดิม ผลการศึกษาได้ลำดับที่ 5 ทั้งสองเทอม ในระดับชั้นนี้ยลวิสุทธ์ ได้รับความเกียจชังจากเพื่อนชายคนหนึ่ง เพราะยลวิสุทธ์ ฟ้องคุณครูว่ามันแกล้งเพื่อน แต่เพื่อความถูกต้อง
ยลวิสุทธ์ หาได้กลัวไม่ เนื่องจากฟ้องเก่งมาก ในประถม 4 คุณครูประจำคือ
นาง สาวแจ่มจันทร์ รัตนพันธากุล ในระดับชั้นนี้ ยลวิสุทธ์ มีความกระตือรือร้นเป็นพิเศษเนื่องจากอิจเพื่อนที่ทำไม มันเก่งนักหนา ได้ที่ 1 ทุกปี ยลวิสุทธ์ปรึกษากับผู้เป็นมารดารว่าควรทำอย่างไรดี มารดาจึงบอกว่า อ่านข้อสอบท้ายบท ยลวิสุทธ์ทำตามที่มารดาบอก จึงทำให้ผลการเรียนจากการอ่านหนังสือครั้งนี้ได้ที่ 4 (เก่งสุดเท่านี้คะ) ได้รางวัลเป็น แหวนทอง หนึ่งสลึง ในชั้นประถมที่ 5/4 คุณครูประจำชั้นชื่อ
นาง สาว สุรางค์ มากขุนทด ได้ผลการเรียน ที่2 และที่ 8 ในเทอมที่สอง น่านแนเห็นยังการเรียนแนวโน้มเป็นอย่างไร ในชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6/4 นางปิยาณี ภู่มาก และนางสาวปิ่นเพชร ในชั้นประถมไม่มีใครไม่รู้จัก ยลวิสุทธ์ เนื่องจากเป็นคนที่อัธยาศัยดี พูดมากว่างั้น เมื่อวัยประถมลับเลือนไป วัยมัธยมก็เข้ามาแทนที่
ยลวิสุทธ์ สอบเข้าได้อยู่ห้องที่จัดว่าเป็นห้องเก่ง คือชั้นม. 1/6 ห้องหลังจัดว่าเก่งนะคะโรงเรียนนี้ อิอิ มีอาจารย์ สมทรง น้อยเจริญ เป็นอาจารย์ประจำชั้น วันที่ได้อยู่ที่ชั้นมัธยมทำให้ยลวิสุทธ์ มีแก๊ง ชื่อว่า เจ็ดสลึง คือ แก้มยุ้ย เหมี่ยว
ต่าย แจง แนน โซ่ เมย์ ในวัยนี้ทำให้เรารู้ว่า มีการเปลี่ยนแปลงของใครหลายคน ซึ่งเป็นช่วงหัวเรี้ยวหัวต่อ เพื่อนดีจะเตือนเรา เพื่อนที่ไม่ดีแต่ก็ไม่ใช่ซะทีเดียว ก็จะชวนเราออกไปเที่ยวบ้าง สอนในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับความต้องการของผู้ใหญ่ ในช่วงที่ดิฉันอยู่ชั้นม.3 เป็นการประเมินโรงเรียนในฝันครั้งแรก และในทางเดียวกัน เป็นโชคร้ายที่เกิดกับ ยลวิสุทธ์ เนื่องจากได้รับการตรวจที่โรงพยาบาล ค่ายสุรนารีว่าเป็น โรค SLE นอนโรงพยาบาล 28 วัน ในช่วงนั้นไม่ได้เรียน แต่ก็จบจาก ม.3 ด้วยเกรดเฉลี่ย 3.58
ด้วยความอนุเคราะห์ ขิงอาจารย์ และ เพื่อนๆที่ส่งงานให้ทำระหว่างอยู่โรงพยาบาล และเป็นเวลาเดียวกันกับที่ ยลวิสุทธ์ ต้องเข้าศึกษาในระดับที่สูงกว่าเดิม ยลวิสุทธ์ เข้าศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่ โรงเรียนมัธยมด่านขุนทด อาจารย์ รุ่งทิพย์ โด่งพิมาย เป็นอาจารย์ที่ปรึกษา ด้วยความที่ ยลวิสุทธ์ มีโรคประจำตัวซึ่งห้ามถูกแดด จึงมิได้ไปเข้าแถวที่หน้าเสาธง เหตุนี้จึงทำให้ต้องทำงานที่ฝ่ายปกครองช่วยอาจารย์ ทุกวันเห็นแต่ผู้ที่กระทำความผิดระเมิดกฎของโรงเรียน คงเป็นสาเหตุนี้ด้วยที่ทำให้ ยลวิสุทธ์ ต้องการจะทราบว่าเหตุใด เด็กเหล่านี้จึงต้องทำพฤติกรรมเช่นนี้ ดังนั้น จิตวิทยา เป็นคำตอบที่ดีที่สุด และบวกกับความต้องการทำให้อนาคตของชาติเติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพ อาชีพครูก็เป็นอีกทางเลือกที่ ยลวิสุทธ์ ต้องการทำในอนาคต ระหว่างที่ทำงานที่ห้องปกครองก็มีรุ่นพี่ที่ทำหน้าที่เป็นคณะกรรมการนัก เรียนมาประจำอยู่ที่ห้อง ทำให้ ยลวิสุทธ์ ได้รู้จักและมีเพื่อนรุ่นพี่เป็นครั้งแรก ในความแตกต่างที่มองเห็นคือ พี่ผู้ชายที่ทำหน้าที่ จะไม่เกี่ยงงอนกัน ผิดกับพี่ผู้หญิงที่ต้องทำหน้าที่ของทุกคนของใครของมันโดยไม่มีการที่จะรับ ผิดชอบแทนกัน จากการที่เห็นรุ่นพี่ทำงานปกครองอย่างนี้ทำให้ ยลวิสุทธ์ เกิดแรงบันดาลใจว่า เรา ต้องเป็นคณะกรรมการนักเรียนรุ่นให้ได้ จากนั้นเมื่อเวลาล่วงไปทำให้ ยลวิสุทธ์ ได้ก้าวมาอยู่ในระดับชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 5/2 ทำให้บทบาทหน้าที่เริ่มชัดเจนขึ้น การทำงานเริ่มมีหน้าที่มากขึ้น พวกเราชาว นักเรียน ม .5/2 ได้เริ่มวางแผนที่จะเตรียมตัวเป็นคณะกรรมการนักเรียน โดยมีการสนับสนุน
จากท่านอาจารย์ เมทินี รักบำเหน็จ ซึ่งเป็นอาจารย์ประจำชั้น ในตอนนั้น ในช่วงวัยนี้
ยลวิสุทธ์ ได้เริ่มคิดการศึกษาต่อในระดับอนาคต คือการเป็นครูแนะแนว เริ่มเด่นชัดขึ้น ในวัย มัธยมศึกษาปีที่ 6/2 โดยมีท่านอาจารย์ สายฝน สมพงศ์ เป็นอาจารย์ที่ปรึกษา พวกเราได้ ได้ส่งตัวแทนเพื่อนสมัคร เป็นประธานนักเรียน โดยมีนักเรียนที่ห้องเราบางส่วนเป็นคณะกรรมการ และผลก็ออกมา พวกเราได้เป็นห้องแกนนำการบริหารโรงเรียน และมียลวิสุทธ์ ทำงานที่ฝ่ายปกครอง และฝ่ายวิชาการ การทำหน้าที่ในครั้งนั้น ทำให้ ยลวิสุทธ์ รู้ว่า การทำอะไรเพื่อส่วนรวมก็เป็นสิ่งที่สำคัญ หากสถานที่ใดขาดผู้นำแล้วไซร้ สถานที่นั้นย่อมไร้ความเจริญ และในวันหนึ่งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ก็ได้เริ่มขึ้น เป็นช่วงที่ นักเรียน ชั้น ม. 6 ต้องสมัครโควตาตาม มหาวิทยาลัยที่รับสมัคร
ยลวิสุทธ์ ได้เลือก มหาวิทยาลัยมหาสารคาม เป็นที่แรก และที่เดียว ในสาขา จิตวิทยา ระหว่างที่รอก็ได้มีการคัดเลือกน้องที่จะมาเป็นประธานรุ่นต่อไป หากแต่ชีวิตในวัยนั้นกำลังเป็นชีวิตที่อยู่ในช่วงเด็กตอนปลาย ผู้ใหญ่ตอนต้นมักจะอยากทำอะไรที่ให้ผู้คนเห็นว่าเราเก่ง เราดี เมื่อผลการคัดเลือดรอบโควตา ออกมา ยลวิสุทธ์ ก็ได้เป็นหนึ่งในผู้ที่ได้ไปสัมภาษณ์ที่ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ในการมาเมืองแห่งการศึกษาครั้งแรกนั้นด้วยความตื่นเต้น และในใจคิดว่า นี่เรากำลังก้าวเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัยแล้วหรอ ช่วงเวลาของนักเรียนมัธยม ช่างผ่านไปเร็วเหลือเกิน เมื่อมาถึง พี่ๆต้อนรับอย่างอบอุ่น เรียกรวมที่หน้าตึก ไอที แล้วนั่งรอการสอบสัมภาษณ์ที่ห้อง ไอที 2 ในตอนนั้น
ยลวิสุทธ์ นั่งติดกับ เมทินี ที่มาจากจังหวัดอุดร และได้ขึ้นไปสอบสัมภาษณ์ที่ชั้น 6
การนั่งรอในครั้งนั้นช่างเป็นช่วงเวลาที่หัวใจเต้นไม่เป็นปกติ แต่ด้วยความต้องการที่จะมาศึกษาที่มหาวิทยาลัยมหาสารคามแห่งนี้ ทำให้ความตื่นเต้นหายไปเหลือเพียง
ความมั่นใจ ยลวิสุทธ์ ได้สอบสัมภาษณ์ โดยอาจารย์ พัฒนานุสรณ์ ในตอนนั้น ยลวิสุทธ์ เริ่มสังเกตเห็นว่าการเป็นนักจิตวิทยาต้อง สุขุม ดูคนให้รอบคอบ ดิฉันแอบมองอาจารย์ระหว่างที่อาจารย์ กำลังดูแฟ้ม อาจารย์ ให้ ยลวิสุทธ์ แนะนำตัว และถามว่า เล่าประวัติหลวงพ่อคูณให้ฟังหน่อย และมีคำถามที่ ยลวิสุทธ์ คิดว่า คำถามนี้ต้องเค้นความเป็นจิตวิทยาที่แอบแฟงอยู่ในตัวของแต่ละคนออกมา คำถามนั้นคือ หากเพื่อน ยลวิสุทธ์ ติดยาเสพติด ยลวิสุทธ์ จะบอกเพื่อนว่ายังไง ยลวิสุทธ์ก็บอกไปว่าก็จะแนะนำให้เห็นถึงผลเสียที่มันเกิดขึ้น และบอกเพื่อนว่ามันไม่ดีเลิกจะดีกว่า และคำสุดท้ายที่ทำให้
ยลวิสุทธ์ คิดถึงความหมายของมันคือ หากครูรับยลวิสุทธ์ ปรับปรุงวิชา ภาษาไทยนะ แล้วพวกเราทั้ง 4คนก็เดินออกจากห้องแห่งการตัดสินอนาคต หากแต่วันนั้น ยลวิสุทธ์ ไม่มีความมั่นใจเลยว่าตนเองจะได้เรียนในสาขาจิตวิทยาที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้ เนื่องจากการตอบคำถามที่คิดว่าตนเอง ตอบได้ไม่ดี แต่แล้วผลก็ออกมา ยลวิสุทธ์ เป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่ได้ก้าวเข้ามาเรียนที่มหาวิทยาลัยมหาสารคามแห่งนี้ วันนั้นทั้งบ้านดีใจมาก แต่มีสิ่งหนึ่งที่ ยลวิสุทธ์ ไม่พอใจคือ คนส่วนมากมักจะ กล่าวว่ามหาวิทยาลัยมหาสารคามเป็นมหาลัยที่ไม่ดีอย่างนั้นไม่ดีอย่างนี้ คงเป็นเพราะมหาวิทยาลัยของเราเทียบกับ มหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์ มหิดล และขอนแก่นไม่ได้ คำพูดนั้นทำให้ ยลวิสุทธ์ ต้องการที่จะพิสูจน์ให้เห็นว่า ไม่ว่าสถาบันไหน ไม่สำคัญอยู่ที่ เมื่อคุณจบออกมาคุณสามารถทำงานของคุณได้ดีแค่ไหน นั้นมันจึงจะหมายถึง สถาบันที่บ่มเพาะเมล็ดพันธุ์แล้ว ไปเติบโตในที่ใหม่ของมันได้ดีแค่ไหนมากกว่า ใช่ที่มหาวิทยาลัยมหาสารคามเป็นมหาลัยที่เทียบมหาวิทยาลัยอื่นไม่ได้ แต่ยลวิสุทธ์ ก็รักเชิดชูในสถาบันที่ตนก้าวเข้ามา และพอใจอย่างยิ่งที่ได้เป็นเลือดสีเดียวกับเพื่อนๆที่ร่วมอุดมการณ์เดียวกัน ที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้ และเป็นเลือดที่เข้มขึ้นทุกวันเนื่องจาก จิตวิทยา คือความเป็นเราเป็นพี่เป็นน้อง เป็นเพื่อน เป็นพ่อเป็นแม่ เป็นดั่งคนในครอบครัว เดียวกัน วันแรกที่ก้าวเข้ามาในหอพัก ชวนชมก็ได้รับความอบอุ่นจาการต้อนรับของพี่หอและได้เจอเพื่อนร่วมห้องที่ เป็น กัลยาณมิตรที่แท้จริง วันแรกที่ ยลวิสุทธ์ก้าวเข้าเรียน วันนั้นไม่ได้อะไรมากเพียงแต่สังเกตบุคลิกอาจารย์ที่สอนเท่านั้นหวังเพียง ปรับตัวให้เข้ากับอาจารย์ได้ และสิ่งยลวิสุทธ์ทำเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เพราะอาจารย์อารยา ให้สังเกตอาจารย์แต่ละท่านไว้เพราะ มันก็เป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญของนักจิตวิทยา คือ รู้จักสังเกต การเรียนก็สนุกสนาน เพราะยลวิสุทธ์ คิดว่า เหมือนกับเป็นสิ่งที่ เรียนรู้อย่างเข้าใจมากกว่าการท่องจำ มีสิ่งหนึ่งที่ ยลวิสุทธ์ รอคอยมาได้แก่ การได้ใส่เสื้อกราว Psychology นั่งให้คำปรึกษา
มันเป็นสิ่งที่ ยลวิสุทธ์
คิดว่า เพียงแค่เราพูดไม่กี่คำหากแต่ทำให้คนสบายใจได้ คนคนนั้นก็ย่อมมีกำลัง ที่จะทำประโยชน์เพื่อสังคมต่อไป เฉกเช่น กายป่วยหมอยังต้องให้ผู้ป่วยเกิดกำลังใจดีก่อนอย่างแรกจึงทำให้ร่างกายดีตาม ไปด้วย การก้าวเข้ามาอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัยที่ไร้ซึ่งการดุแลของครอบครัว ผู้เป็นแม่ย่อมห่วง ยลวิสุทธ์ เป็นธรรมดาและต้องห่วงเป็นสองเท่า คือ
ยล วิสุทธ์ มีโรคประจำตัวที่ยากต่อการใช้ชีวิตและการทำกิจกรรม หากแต่ ยลวิสุทธ์ ก็พยายามทำให้ผู้เป็นแม่เห็นว่า การมาอยู่ที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้เป็นไปอย่างราบรื่นเนื่องจากเพื่อที่ ยลวิสุทธ์ หวังให้เพียงว่าการมีความสำเร็จกลับไปฝากแม่ที่บ้าน เพราะในใจ ยลวิสุทธ์ คิดเสมอว่า เราเป็นลูกสาวคนเดียวเป็นหลานคนสุดท้องของครอบครัว ที่ผูกพันธ์อยู่กับครอบครัวมามากกว่าลูกพี่ลูกน้องคนอื่นๆ ป้าลุงพี่ๆ ก็จะได้ดูแลมากเป็นพิเศษ ในทุกๆเรื่อง เราต้องมาเรียนในระดับมหาวิทยาลัยเพื่อให้แม่ ปู่ ย่า ลุง ป้า อา พี่ๆ ได้มองเห็นอนาคตที่ดีของ ยลวิสุทธ์ ซึ่งเป็น ความสำเร็จที่บุพการีทุกคนต้องการมองเห็น และเพื่อให้แม่ของยลวิสุทธ์เห็นว่า ถึงแม้ว่าเป็นโรคประจำตัว ลูกสาวคนเดียวคนนี้ก็จะทำให้ได้ เพื่อแม่ ในใจ ยลวิสุทธ์ คิดตลอดว่าเราเป็นลูกคนเดียวต้องเป็นที่พึ่งของแม่ให้ได้ หากเราไม่ทำความสำเร็จนี้แล้วใครละที่จะมาทำให้แม่ของเรา แต่ความคิดของ
ยลวิสุทธ์ กลับตรงกับข้าม กับทางครอบครัวที่พูดไว้ว่า ไม่ต้องเรียนก็ได้ ขอให้แก้มยุ้ยมีสุขภาพดีก็พอ ไม่ต้องคิดมาก ให้อยู่กับครอบครัว เป็นคนดีอย่างที่เป็นอยู่แค่นี้ก็พอ ไม่ต้องไปกังวลถึงการที่จะต้องได้มาซึ่งการประสบความสำเร็จที่มี ใบปริญญาเป็นเครื่องการันต์ตรี คำพูดนี้ยิ่งทำให้ ยลวิสุทธ์ ต้องมาทำหน้าที่ ลูก และหลานที่ดี เพื่อนำความสำเร็จกลับบ้าน การมาอยู่ที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้ ยลวิสุทธ์คิดว่า หากเราไม่ได้เพื่อน อาจารย์ พี่ น้อง ดีแล้วนั้น การอยู่ที่มหาวิทยาลัยก็จะลำบาก ยิ่งเพื่อนเป็นสิ่งสำคัญ
ยลวิสุทธ์ มีเพื่อนๆ ที่ดี คือ รัตติกาล อรวรรณ ที่คอยช่วยเหลือมาตลอด ในเวลาที่
ยลวิสุทธ์ ต้องขาดเรียนเพื่อไปรับการรักษา โรคประจำตัวที่ กรุงเทพมหานคร โรงพยาบาลรามาธิบดี เพื่อนทั้งสองคนนี้ก็ จะดูแลบอกอาจารย์ให้ แต่มีสิ่งหนึ่งที่อดหัวเราะไม้ได้ คือ เราทั้งสามคน มีโรคประจำตัวทุกคน ไม่มีใครแข็งแรงเลย เพื่อนๆที่จิตวิทยาก็น่ารักทุกคน เป็นเพื่อนที่ดี ยลวิสุทธ์ มีความสนุกสนานเมื่อได้มาอยู่ร่วมกับเพื่อนจิตวิทยาทุกคน ส่วนพี่ๆน่ารักคอยช่วยเหลือเราตลอดมา คือ พี่รหัส พี่ลูกน้ำ พี่ยุ้ย พี่เทคแคร์ พี่เปรียวพี่สลาก พี่ลูกน้ำคอยดูแลอย่างดี วันแรกที่ยังถอนรหัสวิชาเรียนไม่ป็นพี่ลูกน้ำก็อาสาทำให้ทำให้เรามีความผูก พันธ์ กับพี่เป็นพิเศษ คือมีความรู้สึกที่ดีให้ ต่อมา
เป็นความรู้สึกที่ มีต่ออาจารย์ อาจารย์ พัฒนานุสรณ์ เป็นอาจารย์ ที่ ยลวิสุทธ์ เลือกที่จะเอาความรู้ลึกในทุกเรื่องของอาจารย์มาเป็นต้นแบบ คืออาจารย์สอนให้ดูว่า หากเราอยากจะรู้ว่าทำไมคนนี้ถึงมีลักษณะอย่างนี้เราต้องรู้ศึกษาให้ลึกใน เรื่องนั้นก่อนเราถึงจะทราบในสิ่งที่เค้าเป็นได้
อาจารย์ท่านต่อมา คือ อาจารย์ เสริมเกียรติ ยลวิสุทธ์เลือกในความโอบอ้อม มีจิตใจช่วยเหลือของท่านมาเป็นแบบอย่าง คือ ท่านเกษียณอายุราชการนานแล้ว แต่ก็ยังมาให้ความรู้แก่ศิษย์จิตวิทยาอีก นี่ทำให้ ยลวิสุทธ์ คิดว่า นี่เป็น คำว่า ครู โดยแท้จริง เป็นสิ่งที่ท่านทำให้เห็น ส่วนอาจารย์ ลักขณา ทำให้ ยลวิสุทธ์ รู้จักคิดกว้างไกล นำสิ่งรอบข้างมาประยุกต์ใช้ให้เข้ากับหลักการทฤษฏี เป็นอาจารย์ที่ใจเย็น อาจารย์ อารยา เป็นผู้ที่
ยลวิสุทธ์ เห็นครั้งแรกรู้สึกศรัทธา และอยากที่จะทำให้ได้เหมือนอาจารย์ คือ บุคลิกภาพที่นักจิตวิทยาควรมีรวมอยู่ในท่านอาจารย์แล้ว สายตาของท่านมองด้วยความสุขุม การย่างก้าวแต่ละครั้งสวยงาม การพูดสะกดใจผู้ฟัง แม้แต่การนั่งยังสะดุดตา ท่านสุดท้ายคือ ท่านอาจารย์ รังสรรค์ ที่รัก (โฉมยา) อิอิ ที่แนะนำเป็นคนสุดท้ายไม่ใช่ไม่สำคัญหากแต่เรียนแบบความขี้เล่นของอาจารย์ เท่านั้นเอง คืออยากให้อาจารย์อ่านคนสุดท้าย อาจารย์จะได้สงสัยในตอนแรกว่า ยัยยลวิสุทธ์มันจะเขียนถึงชั้นว่าไง อาจารย์เป็นคนขี้เล่น สนุกสนานมีคำพูดที่ด่า แต่นิ่มๆ ไม่รู้หลอกด่าหรือป่าว แต่คำที่ติดปากอาจารย์ คือ ที่รัก ฟังแล้ว แหม! ชื่นใจไม่รู้ตั้งใจเรียกไหม แต่หนูก็เคลิ้มไปแล้ว อาจารย์สอนโดยความสนุกสนานไม่
ซีเรียส เหมือนอาจารย์พัฒ แต่อาจารย์แทรกความรู้โดยเราไม่รู้ตัวและยังจำได้ดีอีกด้วย วงเล็บ ในเรื่องความเป็นอยู่ การใช้ชีวิตในมหาวิทยาลัยนะ แต่เรื่องการเรียนละ ยลวิสุทธ์ งงอย่างเดียวเลย อาจารย์ทุกท่านที่กล่าวมา หากแต่ทุกท่านมีความสมบูรณ์แบบในทุกๆด้าน แต่ยกมาเพียงบุคลิกส่วนที่เด่นชัดของแต่ละท่านเท่านั้น หากนำทุกท่านมาเป็นต้นแบบ ความพร้อม ความสมบูรณ์แบบก็จะเกิดขึ้นอย่างหาที่เปรียบเทียบไม่ได้ หากแต่เวลาล่วงเลยไป การเป็นจิตวิทยา ปีหนึ่งเริ่มพัฒนาไปเป็น จิตวิทยาปีสองอย่างรวดเร็ว พวกเราได้รับน้องโควตาจิตวิทยา นั้นก็หมายถึงว่าที่พี่จิตวิทยาปีสอง ยลวิสุทธ์ ได้รับน้องมาดูแล คือน้องหลัน ฐาปนีย์ มานอนที่ห้อง พาไปเลี้ยงข้าวเย็น พาน้องไปไหว้เจ้าที่ สิ่งที่ ยลวิสุทธ์ สังเกตเห็นได้คือ การไม่ค่อยอยากมาเรียนที่ มหาวิทยาลัยมหาสารคามเต็มร้อย น้องติด ที่มหาวิทยาลัยขอนแก่นเช่นกัน มีสิ่งหนึ่งที่ ยลวิสุทธ์ คิดได้ในตอนนั้น คือ ต้องทำให้น้องเห็นว่าจิตวิทยา ที่นี่น่าอยู่อบอุ่น วันรุ่งขึ้นก็ส่งน้องไปสัมภาษณ์ เมื่อน้องสัมภาษณ์เสร็จก็เลี้ยงข่าวเที่ยงและก็ส่งค่ารถกับไปที่ขอนแก่น ระหว่างทางได้ยินน้องพูดให้ฟังว่า ครั้งแรกไม่อยากมาเรียนที่นี่เท่าไรนัก แต่พอมาเห็นแบบนี้ อยากมาเรียนจริงๆแล้วซิ จะได้ไหมน้อ สัมภาษณ์ครั้งนี้ ทำให้
ยลวิสุทธ์ รู้สึกว่าการทำหน้าที่ดูแลน้องสำเร็จไปแล้วครึ่ง เมื่อส่งน้องชึ้นรถเสร็จ รอให้รถน้องออก เมื่อน้องหันหลังมาสวัสดี เป็นอะไรที่เกิดความภาคภูมิใจมากเมื่อมีคนมาเคารพเรา ในฐานะพี่ รถน้องออกเวลาเที่ยงตรง ยลวิสุทธ์ ก็มาเรียน กลังจากที่ส่งน้องเสร็จเมื่อเวลาบ่ายโมง มีข้อความมาว่า ขอบคุณๆๆๆสำหรับทุกอย่างนะคะ พี่ๆน่ารักกันทุกคนเลย รักจิตวิทยา รักสารคาม รักพี่สาว เมื่อได้เห็นข้อความนี้ทำให้เรารู้ว่าการดูแลน้องครั้งนี้ประสบความสำเร็จ อย่างสมบูรณ์แบบ ไม่มีความดีใจไหนที่จะเทียบเท่ากับการได้รับรู้ความรู้สึกที่ดีที่ผู้ที่เรา ให้การดูแลด้วยความรักแสดงออกมา
ยลวิสุทธ์ ถือว่ารางวัล คำชมคำนี้ เป็นรางวัลที่เป็นความภาคภูมิใจของ เราพี่น้องจิตวิทยาทุกคน
ขอบ คุณทุกสิ่งที่สรรค์สร้าง ยลวิสุทธ์ ขึ้นมาเพื่อพบประสบการณ์ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยมหาสารคามแห่งนี้ ท่านอาจารย์ทุกท่าน เพื่อน ๆพี่ และอนาคตน้องๆทุกคน เป็นสิ่งที่
ยลวิสุทธ์ จะจดจำทุกเหตุการณ์ แห่งความประทับใจนี้ไว้ให้ตราตรึงตราบเท่า ความจำในจิตใจจะลบเลือนไป
ขอบคุณท่านอาจารย์ รังสรรค์ ที่มอบหมายงานที่ดีอย่างนี้มาให้คะ
ประวัติส่วนตัวของข้าพเจ้า
ปัจจุบัน/อดีต/อนาคต
-ข้าพเจ้าชื่อ นางสาวอรวรรณ ละมอม นามสมมุติ เพียงออ อายุ 19 ปี
-ข้าพเจ้าเกิดวันที่ 30 วัน พุธ เดือน พฤษภาคม พุทธศักราช 2533
-ที่อยู่ที่สามารถติดต่อข้าพเจ้าได้ที่บ้าน บ้านเลขที่ 69/8 บ้านกุดโดน ตำบล กุดโดน อำเภอ ห้วยเม็ก จังหวัด กาฬสินธุ์ 46170 โทร 0846867590 DTAC
-ที่พักที่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม หอพักชวนชม ห้อง 103 เขตพื้นที่ในเมือง จังหวัด มหาสารคาม
-บิดาของข้าพเจ้า ชื่อ นายแสงจันทร์ ละมอม ประกอบอาชีพส่วนตัว
-มารดาของข้าพเจ้าชื่อ นางจูมทอง ละมอม ประกอบอาชีพส่วนตัว
-ข้าพเจ้ามีพี่น้องร่วมทุกข์ ร่วมสุข ด้วยกัน 2 คน
1. นายพิทักษ์ ละมอม อายุ 21 ปี กำลังศึกษาอยู่ มหาวิทยาลัยราชภัฎมหาสารคาม สาขาวิชา นิติศาสตร์ ชั้นปีที่ 3
คนที่ 2 คือตัวของข้าพเจ้าเอง คือ
นางสาวอรวรรณ ละมอม อายุ 19 ปี กำลังศึกษาอยู่ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม คณะศึกษาศาสตร์ สาขาวิชา จิตวิทยา ชั้นปีที่ 1
รหัสประจำตัวนิสิต คือ 52010517050
รหัสประจำตัวประชาชน 1460800059004
ครอบครัวของข้าพเจ้ามีด้วยกันทั้งหมด 5 คน ดังนี้
1. นายอ่อนสา ปริวันตา เป็นคุณตา
2. นายแสงจันทร์ ละมอม คุณพ่อ
3. นางจูมทอง ละมอม คุณแม่
4.นายพิทักษ์ ละมอม พี่ชาย
5.นางสาวอรวรรณ ละมอม เจ้าของประวัติเองค่ะ
ครอบครัวของพวกเราเป็นครอบครัวเล็กๆแต่เต็มไปด้วยความรัก ความอบอุ่น และความ ผูกพัน ตั้งแต่ข้าพเจ้าเกิดมาก็ได้เจอกับบุคคลเล่านี้ที่มอบความรักและความอบอุ่นให้กับราตลอดตั้งแต่แรกเกิดจนถึงปัจจุบันข้าพเจ้าก็ขอขอบคุณสวรรค์ที่ส่งข้าพเจ้ามาเจอกับครอบครัวที่ดีๆ อย่างนี้
นางสาวฟ้าใส ลีเลิศ
รหัสนิสิต ๕๒๐๑๐๕๑๗๐๓๐
คณะศึกษาศาสตร์ สาขาจิตวิทยา
“ My Beauitful life ”
ดิฉัน “ นางสาวฟ้าใส ลีเลิศ ” อ๊ะอ้า!..มีหลายคนสงสัยและแปลกใจว่าทำไมต้องชื่อ “ ฟ้าใส ” บางคนถามว่า ใครตั้งให้ ? มาเปลี่ยนทีหลัง ? หรือตั้งแต่ตั้งแต่เกิด ? บ้างก็ยิ้ม หัวเราะชื่อของดิฉัน จนในบางครั้งการแนะนำตัวในที่ที่ต่าง ๆ ของดินฉัน มันทำให้ขาดความมั่นใจในตนเองไปอย่างมากเลยทีเดียว แต่ในบางครั้งก็มีคนชมเหมือนกันคะว่า “ชื่อเพราะดี” “มันแปลว่าอะไรหรอ” ความจริงแล้วป้าเป็นคนตั้งชื่อให้ ป้าเล่าว่าตอนที่ดิฉันเกิดมานั้น ไม่รู้จะตั้งชื่อว่าอะไรดี พอดีป้าไปอบรมมาในเรื่องของดอกไม้ มีชื่อ “ดอกฟ้าใส” เลยตกลงว่าชื่อ ”ฟ้าใส” นี่คือที่มาของชื่อคะ อิอิ และมีหลายคนที่เข้ามาชมชื่อของดิฉันว่าเพราะดีนั่นเขาบอกว่า “ฟ้าใส” นั่น เป็นชื่อของเทพธิดาในสรวงสวรรค์ เหอะ ๆ ค่อยน่าฟังไปอีกแบบ สรุปว่า “ฟ้าใส” ก็คือ ชื่อของเทพธิดาในสรวงสวรรค์ และก็เป็นชื่อของดอกไม้คะ
เกิดวันที่ ๑๗ เดือน กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๕๓ ที่โรงพยาบาลบ้านผือคะ สำหรับข้อมูลที่สามารถติดต่อได้นะคะ ดิฉันอาศัยอยู่บ้านเลขที่ ๑๔๑ หมู่ที่ ๓ บ้านจำปาดง ตำบลจำปาโมง อำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี รหัสไปรษณีย์ ๔๑๑๖๐ แต่ปัจจุบันดิฉันพักที่หอพักหญิงสุมนรัตน์คะ และตามด้วยอิเล็กทรอนิคในการสื่ออันรวดเร็วที่ใครหลาย ๆ คนชอบกัน หมายเลขโทรศัพท์ ๐๘๓-๓๖๐-๓๐๘-๙ E-mail : love_fasai@hotmail.com คะ
“ เรื่อยเรื่อย .. หาฝัน ”
การหาความชอบหรือความฝันของตัวเองนั้นมันไม่ใช่เรื่องยากสำหรับดิฉัน เพราะการกระทำหลาย ๆ อย่างมันฟ้องอยู่แล้วว่าเราเหมาะกับอะไร ถึงหลายคนมองว่าสิ่งนั้นไม่ใช่ตัวเรา เราชอบซะอย่าง ก็อย่าไปแคร์ ขอแค่สิ่งที่ทำนั้นมันเป็นสิ่งที่ขาวบริสุทธิ์ หลายคนมองฝันของตัวเองซึ่งเป็นเรื่องง่าย ๆ ให้เป็นเรื่องยากใหญ่โต อย่าหยุดฝันตัวเองสิคะ คุณลองทำหรึยัง? ถึงรู้ว่าตัวเองจะทำไม่ได้? เราต้องทำได้คะ สู้ต่อไปเพื่อสิ่งที่สวยงาย (เลยทีเดียว)
-อดีต
ข้าพเจ้าอยู่ในท้องมารดามาเป็นเวลา 9 เดือนเต็ม พอครบ 9 เดือนแล้ว ข้าพเจ้าก็ได้โผล่ออกมาดูโลกอันสดใสด้วยความรักอันบริสุทธิ์จากมารดาอันเป็นที่รักของข้าพเจ้าข้าพเจ้าเกิดอยู่ที่บ้านโดยหมอตำแยเพราะมารดาของข้าพเจ้าขึ้นรถไปโรงพยาบาลไม่ทันโผล่หน้าออกมาดูโลกอันสดใส เมื่อเวลา 15. 32 นาที หลังจากคลอดออกมามารดาของข้าพเจ้าก็แล้วดูอย่างทะนุถนอม ยุงไม่ให้ไต่ลัย ไม่ให้ตอม จนถึงอายุ
4 ขวบ มารดาก็พาไปเข้า ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก บ้านกุดโดน ตำบลกุโดน อำเภอห้วยเม็ก จังหวัดกาฬสินธุ์ พออายุ ครบ
5 ขวบ มารดาของข้าพเจ้าก็พาเข้ามาเรียน ป. เตรียม หรืออนุบาล 1 ที่โรงเรียนชุมชนกุดโดนวิทยาคม เมื่ออายุครบ
6-12 ปี ก็ได้เข้าเรียนชั้นประถมศึกษาที่โรงเรียนเดิม คือ โรงเรียนชุมชนกุดโดนวิทยาคมจนกระทั่งถึงอายุ
13-15 ก็ได้เข้าศึกษาต่อชั้นมัธยมตอนต้นที่โรงเรียนชุมชนกุดโดนวิทยาคม เรียนที่เดิมมาตลอดเพราะเป็นโรงเรียนที่อยู่ใกล้บ้านมากที่สุดเดินไม่ถึง 2 นาที ก็ถึงโรงเรียนแล้ว เพราะบ้านก็อยู่หน้าโรงเรียน เมื่ออายุ
16-18 ปี ก็ได้ย้ายไปศึกษาต่อที่โรงเรียนห้วยเม็กวิทยาคมที่ตัวอำเภอแต่ไม่ห่างจากบ้านนัก คือไปศึกษาต่อที่มัธยมศึกษาตอนปลาย คือ ม.4 ม. 5 ม. 6 ที่โรงเรียนห้วยเม็กวิทยาคมเป็นโรงเรียนที่น่าอยู่ ร่มรื่น และเป็นโรงเรียนที่อยู่ใกล้กับบ้านอยากบอกว่าตอนที่เข้าศึกษาต่อตอนแรกๆไม่รู้จักใครเลยค่ะ ไปเรียนทีไรก็อยากจะกลับบ้านเพราะเราไม่รู้จักใครเลยเพื่อนๆที่เขาเคยเรียนอยู่ที่นั่นเขาก็ไปแต่กลับเพื่อนเก่าของเขา เขายังไม่มาคบกับเพื่อนคนใหม่เลย คนที่เขาอยู่โรงเรียนเดิมเขาก็แอบมีอำนาจกับเรา นิด นึง เพราะเขาเป็นศิษย์เก่าที่นั่น แต่พอผ่านไปประมาณ 2-3 สัปดาห์ก็มีเพื่อนที่เขาเป็นศิษย์เก่าที่นั่นเดินเข้ามาทัก และถามประวัติความเป็นมาว่า มาจากที่ไหน ชื่ออะไร จบมากจากโรงเรียนอะไร ตัวของข้าพเจ้าก็ตอบคำถามให้กับเขาอย่างละเอียด หลังจากนั้นเขาก็ชวนข้าพเจ้าเข้าไปอยู่กลุ่มกับเขาหลังจากที่เขาเคยอยู่ด้วยกัน 3 คน ข้าพเจ้าเข้าไปก็ 4 คน พอได้เข้าไปอยู่กับกลุ่มของเขาแล้วเขาก็ให้ความอบอุ่นดีมีอะไรก็ให้คำปรึกษาจะพูดอะไรก็เกรงใจเพื่อนๆในกลุ่ม แต่อยู่ไปสักพักก็รู้จักนิสัยซึ่งกันและกันก็กล้าจะพูดกล้าจะแสดงออก ที่เป็นนิสัยส่วนตัวของตัวเองและเพื่อนๆ ก็กล้าที่จะคุยกันแบบเป็นกันเอง
กล้าคิดกล้าพูดมากขึ้นเมื่อรู้จักกันไปมากๆ ก็ชวนกันไปเล่นที่บ้านเพื่อนบ้าง บ้านตัวเองบ้างแต่ส่วนมากเพื่อนๆก็จะชอบมาบ้านข้าพเจ้ามากที่สุดเพราะบ้านของข้าพเจ้าอยู่ใกล้กับโรงเรียนมากที่สุด เพื่อนทั้ง 4 คนของข้าพเจ้านะค่ะถ้ามีปัญหาอะไรจะมาเล่าให้กันฟังทันที ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเรียน เรื่องแฟน เรื่องส่วนตัว ก็จะมาเล่าให้เพื่อนๆและข้าพเจ้าฟัง แต่ถ้ามีเรื่องพอที่จะแก้ปัญหาให้ได้พวกเราก็จะรีบพากันช่วยแก้ปัญหาให้แต่ถ้าแก้ปัญหาช่วยไม่ได้จริงๆแล้วก็จะแนะนำให้เขากลับไปคิด ให้ดีๆดูก่อนว่าถ้าเราแก้ปัญหาช่วยไม่ได้แล้วเราจะทำอย่างไร ดี ตัวเพื่อนและข้าพเจ้าเองจะเก็บความลับซึ่งกันและกันจะไม่นำเอาเรื่องที่เพื่อนนำมาเล่าให้กับข้าพเจ้าและเพื่อนฟังแล้วจะไม่นำไปเล่าต่อเพราะเป็นข้อมูลส่วนตัวของเพื่อน และความลับเฉเพาะพวกเรา 3 คน นี่ล่ะค่ะคือความเป็นเพื่อนกันจริงๆ ถึงแม้ว่าตอนแรกพบเขาอาจจะมาเข้ามาทักเรา เขาอาจไม่ชอบตัวของข้าพเจ้าก็ได้ แต่ในความเป็นจริงแล้วเขายังมีความรัก และความอบอุ่นให้กับข้าพเจ้า เวลาเรียนถ้าตัวของข้าพเจ้าไม่เข้าใจ เพื่อนเขาเข้าใจก็สามารถอธิบายให้ตัวของข้าพเจ้าเข้าใจโดยถ่องแท้โดยที่เพื่อนไม่เคยบ่นให้กับตัวของข้าพเจ้าเลยว่ารำคาญ ตัวของข้าพเจ้า เขายังให้คำแนะนำและคำปรึกษาที่ดีๆ แก่เรา เวลาที่ตัวของข้าพเจ้าทุกข์ เพื่อนก็ทุกข์ ด้วยกัน เวลาที่ข้าพเจ้ามีความสุขเพื่อนๆก็มีความสุขด้วยกันมีความสนุกสนาน เฮฮา ปาตี้ เหมือนกัน โดยเฉพะเวลาที่มีงานกลุ่มหรือกิจกรรมใดๆ ก็ตามเพื่อนของข้าพเจ้ากลุ่มนี้และเพื่อนๆในกลุ่ม ก็ให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกันอย่างเต็มที่ ไม่เห็นแก่ตัว
โดยเฉเพาะตอนกิจกรรมกีฬาสี ที่โรงเรียนห้วยเม็กวิทยาคม พวกเราต้องฝ่าฟัน กับอุปสรรคที่ยากมาก ตอนที่ไปขอยืมเสื่อที่วัด มีพระรูปหนึ่งพระรูปนี้เป็นเจ้าโอวาทด้วยนะค่ะ วันนั้นตัวของข้าพเจ้าและเพื่อนๆใส่เสื้อสีเหลืองไปเพราะเสื้อสีเหลือง มันเป็นเสื้อห้องพระรูปนั้นก็บอกกับตัวของข้าพเจ้าและเพื่อนๆว่าใส่เสื้อสีเหลืองเข้ามาวัดทำไมไม่ใส่เสื้อสีแดงเข้ามา เออตัวของข้าพเจ้าและเพื่อนก็งงว่าเออพระรูปนี้ ทำไมพูดอย่า นี้วะ หลังจากคุยกับพระรูปนี้เสร็จพวกเราก็รีบไปยืมเสื้อสีแดงห้องข้างกันมาใส่ พวกเราก็ทำทุกวิถีทางกว่าจะได้เสื่อจาก วัดนั้นมายากมากนะค่ะ พอยืมเสื่อได้มาแล้วบอกตรงๆเลยค่ะว่า ต้องไปหาเช่าชุด ให้กับพวกหรีด ถือป้าย ดำมินเยอร์ บอกตรงๆเลยค่ะว่าวันซ้อมใหญ่และวันกีฬาสีตัวของข้าพเจ้า และเพื่อนๆไม่ได้นอนเลยค่ะเพราะว่าเป็นกิจกรรมสุดท้ายที่ตัวของข้าพเจ้าจะทำให้กับสถาบันและทำกิจกรรมร่วมกับรุ่นน้องๆ
ดิฉันเคยทำงานร่วมกับหลายหน่วยงาน ทั้งแบบเป็นพิธีการ มีการจัดการที่สวยหรู และที่เป็น “ผักชีโรยหน้า” อาทิเช่น สำนักข่าวเด็กและเยาวชนจังหวัดอุดรธานี ตะลอนไปเรื่อย ๆ ไม่ค่อยได้เรียนเท่าที่ควร ตอนนี้สนุกมากมาย คิดยังไม่ทันว่าต้องตั้งใจเรียน เจอดารา สนุก ! / สภาเด็กและเยาวชนจังหวัดอุดรธานี ได้ไปศาล เจอนักสังคมสงเคราะห์ เจอนักพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์บ่อย ๆ เล่าเรื่องราวในการว่าความให้ฟัง ทั้งสนุกทั้งสงสาร คนเรานี่ก็แปลก...ทำไปได้ เหอะ ๆ เป็นเยาวชนชาติไทยต้องรู้รักสามัคคีนะคะ ยุวชนประชาธิปไตย / สมัชชาอาสาสมัครพิทักษ์สิทธิเด็กและเยาวชน ( ๒ ทีมนี้แข่งกันดัง) / ชมรมเพศศึกษาของจังหวัดอุดรธานี (ชมรมไข่มดแดง) แจกถุงยางอนามัยทั่วเมืองอุดรธานี ใครที่ทำงานด้านโรคเอดส์และเพศศึกษาคงจะรู้จักนะคะ ไปเรื่อย ๆ ไม่หยุดไม่หย่อน แต่เป็นอะไรที่ประทับใจมากกว่าหน่วยงานอื่น เพราะเป็นหน่วยงานอิสระ สบาย ๆ เป็นตัวของตัวเอง สายอาชีวะกับสายสามัญมาเจอกันแล้วอะไรจะเกิดขึ้น ความสัมพันธ์ของเราแน่นมากคะ ไม่มีลืม / เป็นวิทยากรให้กับโรงพยาบาลอุดรธานี โครงการ “เพื่อพ่อเราทำได้” โครงการนี้ก็ชอบคะ ได้พาเด็ก ๆ ไปดูเรือนจำ การเข้าไปในเรือนจำครั้งแรกมันตื่นเต้นมากคะ ไม่ใช่ใครจะเข้าได้ง่าย ๆ นะคะเนี่ย อิอิ เหตุการณ์ตอนฝังลงในใจ ลืมไม่ลงแน่ / กับการเป็นเด็กวัด เกือบสองปีแห่งการพิสูทความบริสุทธิ์ของตนเอง พูดทั้งหมู่บ้าน กับการว่าเราชอบพระ มันเป็นเรื่องตลกมาก สำหรับเราแล้วเราไปเพื่อทำบุญ แต่กลับถูกมองอีกในแง่มุมหนึ่ง ต้องฝ่าฟันกับสิ่งเหล่านั้นมา ในที่สุดเราก็ทำได้
นี่เป็นบางส่วนของการใช้ชีวิตที่คุ้มค่าที่สุด เราช่างโชคดีได้เจออะไรหลาย ๆ อย่าง ได้ทำในสิ่งที่หลายคนไม่มีโอกาส ได้รู้ในสิ่งที่หลายคนไม่รู้ ได้ร่วมงานกับหลายหน่อยงาน ได้รู้ว่าคนเรา “รู้หน้า ไม่รู้ใจ” การได้เรียนรู้ด้วยตนเองอะไรมากมายมันจึงทำให้เรานั้นต้องเรียน “จิตวิทยา” แม้อาจถูกมองในหลาย ๆ มุมแล้วแต่บุคคล เราต้องผ่านมันไปได้แน่
“ อย่าหยุดฝัน ”
ความจริงแล้วที่รู้ ๆ กันว่าโลกเราหมุนอยู่ตลอดเวลา อนาคตของเราเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา อาจเพราะว่าเราไม่หยุดฝัน มีการคิดอยู่ตลอดเวลาว่าเวลาใดควรไม่ควร ประมวลผลออกมาเป็นการกระทำ แต่การคิดออกมาเป็นการกระทำบางครั้งไม่ทันไตร่ตรองให้ดีอาจทำให้คุณล้มลงภายในช่วงเวลากระพริบตาเดียวของคุณเท่านั้นเอง ดังนั้นเราควรคิด
เพราะจะจบออกไปแล้วต้องทำหน้าที่ตรงนี้ให้ดีที่สุด กีฬาสีครั้งนี้ก็ยอมรับว่า หนึ่งล่ะเราเป็นรุ่นพี่เราต้องทำเป็นตัวอย่างให้น้องๆ เพราะรุ่นปีต่อไปเขาจะได้ทำตามแนวทางที่เขาเห็นเราทำ ถ้าเขาคิดว่ารุ่นพี่ทำไม่ดี แต่รุ่นพี่ก็ได้บอกกับน้องอยู่ว่าถ้าพวกรุ่นพี่ทำไม่ดีปีที่น้องๆเป็นรุ่นพี่น้องก็เก็บเอาประสบการณ์จากที่เห็นรุ่นพี่ทำ นำ ไปปฏิบัติให้ดีกว่านี้
หลังจากที่แข่งกีฬาสีเสร็จพวกรุ่นพี่ก็จะเริ่มสอบกัน หลังจากนั้นกลุ่มของข้าพเจ้าและเพื่อนๆ 3 คน ก็เริ่มหันหน้าตั้งใจเรียนหนังสือเพราะต้องได้เอาความรู้ที่เรียนมาเอาไปสอบเข้ามหาวิทยาลัยต่างๆ พอเรียนผ่านไปได้สักพัก ก็จะเริ่มสอบพวกเราและเพื่อนๆ ก็เริ่มจะ ตริว ข้อสอบให้กัน อย่างเต็มที่ ไม่กลัวเลยว่าใครจะได้คะแนนมากกว่าน้อยกว่ากันแต่อันดับแรกเลยล่ะที่ฝันไว้คือเพื่อนในกลุ่มต้องจบทุกคน ในห้องเรียนของข้าพเจ้าก็มีหลายกลุ่ม เช่นกลุ่มของข้าพเจ้าก็จะสอบแข่งขันกันกับกลุ่มที่อยู่ในห้องเดียวกันว่ากลุ่มคนจะผ่านมาก กว่ากัน กลุ่มใครจะได้คะแนนมากกว่ากัน และบางกลุ่มเพื่อนออกกลางคันก็มีค่ะ แล้วกลุ่มที่เพื่อนออกไปแล้วไม่มาเรียนเขาชอบจะมองกลุ่มนั้นด้วยสายตาที่แปลกมาก ตัวของข้าพเจ้าก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร แต่ไม่ใช่กลุ่มของข้าพเจ้านะค่ะ กลุ่มของข้าพเจ้าผ่านมาด้วยดีทุกคน
หลังจากนั้นก็ถึงเวลาที่จะซื้อใบสมัครสอบเข้ามหาวิทยาลัย พวกเรากลุ่มเดียวกันก็ได้ไปซื้อใบสมัครด้วยกัน คือใบสมัครมหาวิทยาลัยมหาสารคามคิดว่าจะอยู่ด้วยกัน พักด้วยกัน เรียนด้วยกัน พอถึงเวลาประกาศรายชื่อ วันนั้นรู้สึกตื่นเต้นมากเลยค่ะ ผลออกมาปรากฏว่าเพื่อนมันไม่ติดสักคนเลยค่ะ หรือว่าเพื่อนมันเรียกคณะที่สูงเกินไปหรือ เปล่าก็ไม่รู้ แต่สุดท้ายเราต้องเริ่มต้นชีวิตใหม่ หาเพื่อนใหม่ แต่ก็ไม่ลืมเพื่อนเก่าเหมือนเดิมยังติดต่อสื่อสารกันอยู่เป็นระยะๆ เมื่อมีเวลาว่างตรงกันเพื่อนๆเก่าก็เข้ามาเล่นด้วย ถามไถ่ ทุกข์สุข กันเป็นประจำ เพราะคิดว่าความรู้สึกดีๆยังมีให้กันตลอดไป จะไม่ทอดทิ้งกันไม่ว่า จะไม่ได้เรียนด้วยกันก็แล้วแต่เพื่อน 4 คนนี้ยังยืนยันว่าจะเป็นเพื่อนที่ดี และจะเป็นคนที่ให้คำปรึกษาที่ดีๆแก่เพื่อนคนนี้ได้อย่างแน่นอน
พอได้เข้ามาศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ก็ได้เจอกับสิ่งแปลกใหม่ เจอกับเพื่อนใหม่ สถาบันใหม่ ที่ห่างจากบ้านมา ห่างจากพ่อ แม่มา มาใช้ชีวิตตัวคนเดียว และต้องเผชิญกับสิ่งต่างๆที่เราไม่เคยพบเจอมาก่อนแต่เราก็ต้องปรับสภาพ และปรับตัวของเราให้เข้ากับเพื่อนๆให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนที่อยู่ในห้องเรียน เพื่อนที่อยู่ร่วมหอพักเดียวกัน ตัวของข้าพเจ้าเองก็ได้เจอกับเพื่อนที่แสนดี ที่หอพัก ชวนชม ห้อง
103 เพื่อน 2 คนนี้ เป็นเพื่อนที่ดีมากที่สุดเลยค่ะที่ตัวของข้าพเจ้าได้เข้ามาเจอที่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม เขาเป็นคนที่มีน้ำใจ มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เป็นบุคคลที่ให้คำปรึกษาที่ดี แก่ตัวของข้าพเจ้าเอง และบุคคลอื่นอีกหลายคน ตอนนี้ตัวของข้าพเจ้าเองก็อยู่ร่วมกับเพื่อน 2 คนนี้ล่ะค่ะ ไปไหนมาไหนก็ต้องไปด้วยกัน ฟ้าคงลิขิตมาให้เราเจอกัน เจอกับสิ่งที่ดีๆ ที่เรามีให้ซึ่งกันและกัน เมื่อมีงานที่ค้างคาที่ยังทำไม่เสร็จพวกเราก็ช่วยกันทำเป็นอย่างดี ให้ความร่วมมือซึ่งกันและกัน จนงานที่ทำสำเร็จ ลุล่วงไปด้วยดี ปัจจุบันก็ยังคบกันแบบเพื่อนกันฉันท์ พี่น้อง และเพื่อนที่คบอยู่ปัจจุบันนี้ก็เคยมาเล่นที่บ้านด้วยแล้วหลายครั้ง ก็รู้สึกดีใจที่เพื่อนอยากมาเล่นบ้านของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็ยินดีที่จะต้อนรับเพื่อนที่ดีๆอย่างนี้ค่ะ หวังว่าคงจะคบกันจนถึงปี 4 นะจ๊ะเพื่อนรัก
อนาคต
5 ปีข้างหน้า 15 ปีข้างหน้า 30 ปีข้างหน้า
ในอีก 5 ปีข้างหน้า กำลังเห็นตัวเองศึกษาอยู่ ใน ปี 1 ปี 2 ปี 3 และ ปี 4 ได้รับปริญญาได้ถ่ายรูปร่วมกับครอบครัวอย่างมีความสุข ทานข้าวร่วมกับครอบครัวอย่างสนุกสนาน และอยากจะทำความฝันของตัวเองให้เป็นจริงในอีก 5 ปี ข้างหน้า อยากถ่ายรูปที่รับปริญญาไปให้กับครอบครัว และอยากจะเป็นเสาหลักให้กับครอบครัว อยากมีชื่อเสียงของวงศ์ตระกูล ในอีก 5 ปีข้างหน้า อยากทำให้ พ่อ และ แม่ มี ความสุข เมื่อเห็นลูกได้ทำความฝันของตัวเองให้เป็นจริง นี่คือสิ่งที่ครอบครัวคาดหวังในอีก 5 ปี ข้างหน้า และเป็นสิ่งที่ตนเองคาดหวังมากที่สุดคือการได้ใบปริญญาและการมีงานที่ดีๆทำ
ในอีก 15 ปี ข้างหน้า ต้องมีงานทำและได้เป็นครูแนะแนวอยู่สถานศึกษาที่ใกล้กับบ้านเป็นสิ่งที่ ตนเอง คาดหวังในชีวิตจะได้ดูแลครอบครัว พ่อ แม่ ที่เริ่มจะแก่ชรา ที่ไม่มีใครมาดูแลเราต้องกลับไปดูแลเพื่อตอบแทนบุญคุณท่าน
ในอีก 30 ปี ข้างหน้า อันดับแรกเลยนะค่ะ เมื่ออายุราว 50-60 ปี ก็ยังเห็นตัวเองกำลังสอนนักเรียนอยู่ แต่พออายุประมาณ 60-70 ปี ป่านนั้น ก็คงจะเกษียณอายุราชการแล้วนะค่ะ และอยู่บ้านรอรับเงิน บำนานอยู่ที่บ้าน เพราะแก้แล้วต้องการพักผ่อนให้มากๆ จะได้มีร่างกายที่แข็งแรง อายุที่ยืนยาว เพื่อที่จะเผชิญกับปัญหาที่จะมาในภายภาคหน้า
นางสาวอรวรรณ ละมอม คณะศึกษาศาสตร์ สาขาวิชาจิตวิทยา ชั้นปีที่1 52010517050
วิเคราะห์ให้ดีว่าอะไรควรไม่ควร ฝันให้ไกลไปให้ถึง ส่วนที่พึ่งนั้นมันเป็นเรื่องของความสัมพันธ์ การอยู่ร่วมกันในสังคมก็มีความสัมพันธ์หลากหลายรูปแบบแตกต่างกันไป มีทั้งหวานทั้งเปรี้ยวหลากหลายรสชาติซะ ! เหลือเกิน อยู่ที่ว่าเราจะรับมันไหวไหม ไม่ไหวก็ต้องไหว เหอะ ๆ ล่วงเลยมาไกลส่วนฝันของดิฉันนั้นมันก็ยาวไกลเหมือนกัน หลายคนอาจมองว่าเพ้อเจ้อ แต่มันก็เป็นฝันของฉัน อิอิ “อย่าหยุดฝัน” ดิฉันอยากเรียนจบเร็ว ๆ อยากทำงาน มันอาจเป็นสิ่งที่ขัดแย้งกันกับวัยทำงาน เพราะมีหลายคนบอกว่า “อยากทำงานเร็ว ๆ แล้วจะรู้สึก...คิดถึงสมัยเรียนจะตาย สบายก็สบาย คิดถึงเพื่อน ๆ” ผลาญเงินพ่อ-แม่สิไม่ว่า อิอิ อนาคตนะอยากประกอบอาชีพหลายอย่างมากมายเลยทีเดียว ดิฉันอยากทำงานอะไรก็ได้ “เพื่อสังคมไทย” อยากเป็นนักสังคมสงเคราะห์ รับราชการ ครู ทำงานในค่ายทหาร ตำรวจ ชุมชน ผู้พิทักษ์สิทธิเด็กและเยาวชน งานเกี่ยวกับจิตวิทยา และผู้ให้ความยุติธรรมในสังคม หลายอย่างมากมาย อะไรที่ได้ช่วยสังคมดิฉันอยากทำคะ หลายคนอ่านไปอ่านจะเหยียบฝันของดิฉันอยู่นะคะ ขอความกรุณายกเท้าออกด้วยนะคะ เหอะ ๆ ฝันของดิฉันอาจเป็นไปได้หรือไม่ได้ก็ตามแต่ฟ้าเห็นสมควรและตัวเองพยายาม แต่ดิฉันไม่หยุดไว้แค่ฝันหรอกคะ นั่นคือสิ่งที่หมาย ต้องทำให้ได้ ! เพื่อตัวเองเพื่อสังคมเพื่อทุกสิ่งทุกอย่างที่หลายคนปรารถนา สู้จนถึงที่สุด มีหวังดีกว่าไม่มีหวังนะคะ
“ ทำไม ? ต้อง จิตวิทยา ”
การมาเรียน “จิตวิทยา” ในรั้วมหาวิทยาลัยมหาสารคามแห่งนี้ ก่อนมาเรียนดิฉันต้องเผชิญกับคำพูดมากมาย อาจเป็นเพราะพวกเขาไม่ทราบว่าการเรียนจิตวิทยานั้นเรียนเกี่ยวกับอะไรก็เป็นได้ เหอะ ๆ คุณครูที่รักของดิฉันบอกกับดิฉันว่า “จะเรียนไปทำไม จิตวิทยา ! เพื่อนครูเรียนจบมาไม่มีงานทำ ต้องไปเรียนใหม่ เสียเวลา” “เรียนโรคจิตหรอ ? ” “(หัวเราะ)พวกโรคจิตหรอ”หลายอย่างต่าง ๆ นานา แต่มันเหมือนเป็นแรงในการกระทำแห่งการสวนกระแสในคำพูดของผู้คนเหล่านั้น ยังไม่หมด ยังมีโทรศัพท์มาอีก ฝากเพื่อนมาบอก “จะเรียนจริง ๆ หรอ ไปหาเรียนอันใหม่ไม่ดีกว่าหรอ” จนทำให้ดิฉันไม่กล้าที่จะเข้าไปโรงเรียน แต่คุณครูก็โทรถามตลอดเวลา เข้าใจในความหวังดีของทุก ๆ คน ขอบคุณมากนะคะ ไม่ลองไม่รู้หรอคะ รอวันแห่งความสำเร็จถึงจะกล้าเผชิญหน้าอย่างเต็มภาคภูมิ
103 เพื่อน 2 คนนี้ เป็นเพื่อนที่ดีมากที่สุดเลยค่ะที่ตัวของข้าพเจ้าได้เข้ามาเจอที่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม เขาเป็นคนที่มีน้ำใจ มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เป็นบุคคลที่ให้คำปรึกษาที่ดี แก่ตัวของข้าพเจ้าเอง และบุคคลอื่นอีกหลายคน ตอนนี้ตัวของข้าพเจ้าเองก็อยู่ร่วมกับเพื่อน 2 คนนี้ล่ะค่ะ ไปไหนมาไหนก็ต้องไปด้วยกัน ฟ้าคงลิขิตมาให้เราเจอกัน เจอกับสิ่งที่ดีๆ ที่เรามีให้ซึ่งกันและกัน เมื่อมีงานที่ค้างคาที่ยังทำไม่เสร็จพวกเราก็ช่วยกันทำเป็นอย่างดี ให้ความร่วมมือซึ่งกันและกัน จนงานที่ทำสำเร็จ ลุล่วงไปด้วยดี ปัจจุบันก็ยังคบกันแบบเพื่อนกันฉันท์ พี่น้อง และเพื่อนที่คบอยู่ปัจจุบันนี้ก็เคยมาเล่นที่บ้านด้วยแล้วหลายครั้ง ก็รู้สึกดีใจที่เพื่อนอยากมาเล่นบ้านของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็ยินดีที่จะต้อนรับเพื่อนที่ดีๆอย่างนี้ค่ะ หวังว่าคงจะคบกันจนถึงปี 4 นะจ๊ะเพื่อนรัก
อนาคต
5 ปีข้างหน้า 15 ปีข้างหน้า 30 ปีข้างหน้า
ในอีก 5 ปีข้างหน้า กำลังเห็นตัวเองศึกษาอยู่ ใน ปี 1 ปี 2 ปี 3 และ ปี 4 ได้รับปริญญาได้ถ่ายรูปร่วมกับครอบครัวอย่างมีความสุข ทานข้าวร่วมกับครอบครัวอย่างสนุกสนาน และอยากจะทำความฝันของตัวเองให้เป็นจริงในอีก 5 ปี ข้างหน้า อยากถ่ายรูปที่รับปริญญาไปให้กับครอบครัว และอยากจะเป็นเสาหลักให้กับครอบครัว อยากมีชื่อเสียงของวงศ์ตระกูล ในอีก 5 ปีข้างหน้า อยากทำให้ พ่อ และ แม่ มี ความสุข เมื่อเห็นลูกได้ทำความฝันของตัวเองให้เป็นจริง นี่คือสิ่งที่ครอบครัวคาดหวังในอีก 5 ปี ข้างหน้า และเป็นสิ่งที่ตนเองคาดหวังมากที่สุดคือการได้ใบปริญญาและการมีงานที่ดีๆทำ
ในอีก 15 ปี ข้างหน้า ต้องมีงานทำและได้เป็นครูแนะแนวอยู่สถานศึกษาที่ใกล้กับบ้านเป็นสิ่งที่ ตนเอง คาดหวังในชีวิตจะได้ดูแลครอบครัว พ่อ แม่ ที่เริ่มจะแก่ชรา ที่ไม่มีใครมาดูแลเราต้องกลับไปดูแลเพื่อตอบแทนบุญคุณท่าน
ในอีก 30 ปี ข้างหน้า อันดับแรกเลยนะค่ะ เมื่ออายุราว 50-60 ปี ก็ยังเห็นตัวเองกำลังสอนนักเรียนอยู่ แต่พออายุประมาณ 60-70 ปี ป่านนั้น ก็คงจะเกษียณอายุราชการแล้วนะค่ะ และอยู่บ้านรอรับเงิน บำนานอยู่ที่บ้าน เพราะแก้แล้วต้องการพักผ่อนให้มากๆ จะได้มีร่างกายที่แข็งแรง อายุที่ยืนยาว เพื่อที่จะเผชิญกับปัญหาที่จะมาในภายภาคหน้า
นางสาวอรวรรณ ละมอม คณะศึกษาศาสตร์ สาขาวิชาจิตวิทยา ชั้นปีที่1 52010517050
หลายคนมองจิตวิทยาในหลายรูปแบบ แต่สำหรับดิฉันแล้ว ใครจะมองว่าอย่างไรก็ตามที การเรียนจิตวิทยาของดิฉันเป็นการศึกษาที่มีคุณค่ามากกับการดำรงชีวิต ได้ช่วยเหลือสังคม ได้เรียนรู้ในสิ่งที่คนมากมายไม่อาจรู้ได้ในการแสดงพฤติกรรมของตนเอง การที่ได้ช่วยเหลือผู้อื่นนั่นเป็นสิ่งที่มีคุณค่าที่สุดในการได้เกิดมาบนโลกใบนี้
“ ห้องเรียน จิตวิทยา ”
ขณะนี้ล่วงเวลามาถึงสองยามแล้ว ดิฉันยังไม่หลับไม่นอนอีก ยิ่งเขียนยิ่งมันไปเรื่อย แค่เล่าเป็นบางส่วนเท่านั้นยังรู้สึกว่าตัวเองสนุกมากมาย เล่าทั้งหมดจะสนุกขนาดไหน
ห้องเรียนจิตวิทยา เป็นห้องเรียนที่เต็มไปด้วยผู้คนมากมาย เยอะจริง ๆ ดิฉันมีเพื่อนที่แสนดีมากมาย ได้ทำกิจกรรมที่สนุกสุขสันต์คละเคล้าเศร้าบ้างบางครั้งเราก็ไปพร้อมกัน การที่คนเราอยู่ร่วมกันเป็นสังคม คนเยอะแยะ เขาจะมองดิฉันอย่างไรก็ตามที แต่ดิฉันรักพวกเขา มากมาย การคิด การกระทำจึงต้องคิดก่อนทำอย่างรอบคอบ เพราะการอยู่ร่วมกันมาก ๆ คนเรามีความคิดที่แตกต่างกัน อาจมีความขัดแย้งเกิดขึ้นในสังคมห้องเรียนนี้ อาจมีบางเรื่องราวที่เราคิดไม่ตรงกัน ต้องการที่ปรึกษา ต้องการที่พึงทางใจ แต่พวกเราก็ผ่านมันมาได้ “ที่ใดมีความขัดแย้ง ที่นั้นมีการพัฒนา”
ในบางครั้งบางเวลาบางเรื่องราวมันอาจทำให้ดิฉันเจ็บปวด ข้างนอกอาจสดใส ข้างในอาจจะอ่อนโยน...อิอิ แล้วใครจะรู้บ้าง การที่ดิฉันได้เข้ามีอยู่ร่วมกันกับคนหมู่มาก มีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้นในช่วงระยะเวลาที่ได้อยู่ร่วมกันมา มันทำให้ดิฉันได้เรียนรู้ว่าคนเรานี่ก็แปลก แตกต่างกันไปมากเหลือเกิน บางครั้งการที่เราเชื่อใจ ไว้กันเขามากเกินไป ความหวังดีของเรามันอาจย้อนกลับมาทำร้ายตัวเราเอง เจ็บปวดมากคะ ไม่รู้ว่าดิฉันไปทำอะไรให้เขา แต่ก็ช่างเถอะคะ เราทำดีที่สุดแล้ว ให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่ให้ได้ คอยช่วยเหลือ ปลอบใจ พูดคุยด้วยความหวังดีและความจริงใจ ให้เขาหมดหัวใจ แต่ ... แนะนำการดำรงชีวิตสารพัด ให้กำลังใจ มันอาจเป็นสัจธรรมของโลกก็เป็นได้ เหอะ ๆ เรามันก็ทำได้แค่นี้ ดีที่สุดแล้ว เขามองเรายังไงก็มองไป แต่ขอให้มองในสิ่งที่ดิฉันเป็น เป็นคนยังไงมันก็แล้วแต่คนมอง ไม่ใช่ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นยังไงนะจ๊ะ แต่ดิฉันไม่สามารถตัดสินด้วยตนเองได้หรอกคะ มันก็แล้วแต่คนมองอยู่ดี ไม่ได้เป็นคนดีอะไรมากมาย แต่ก็ให้ความจริงใจกับทุกคนหมดหัวใจ โปรดอย่ามาทำให้เจ็บ ....ไม่เป็นไร---อภัยเสมอ....
“ มองแต่แง่ดีเถิด ”
เขามีส่วน เลวบ้าง ช่างหัวเขา
จงเลือกเอา ส่วนดี เขามีอยู่
เป็นประโยชน์ แก่โลกบ้าง ยังน่าดู
ส่วนที่ชั่ว อย่าไปรู้ ของเขาเลย
จงหาคน มีดี โดยส่วนเดียว
อย่ามัวเที่ยว เสาะหา สหายเอ๋ย
เหมือนเที่ยวหา หนวดเต่า ตายเปล่าเลย
ฝึกให้เคย มองแต่ดี มีคุณจริง
ไม่นานนัก จักมี ดีประดัง
จนกระทั่ง จักมี ดีอย่างยิ่ง
เมื่อพ้นดี จะถึงที่ นิพพานจริง
นับเป็นสิ่ง ควรฝึกแน่ “มองแต่ดี”
ท่านพุทธทาสภิกขุ
“ ขอให้ทุกคนโชคดีนะคะ ”
สวัสดี
ประวัติส่วนตัว
ดิฉันชื่อ น.ส.ปภารดา สิทธิอาภากุล นิสิตปีที่ 1 รหัสประจำตัวนิสิต 52010517022
คณะศึกษาศาสตร์ สาขาจิตวิทยา มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
อยู่หอพัก เฮือนเฮา หอใน (ม.เก่า) ชื่อเล่น กิ๊ฟจ๋า
เบอร์โทรศัพท์ 0872527142
อายุ 19 ปี
เกิดวันที่ 7 สิงหาคม 2553
ศาสนาพุทธ สัญชาติไทย เชื้อชาติไทย
ที่อยู่ 53-55 ถ.เทศบาล9 อ.บัวใหญ่ ต.บัวใหญ่ จ.นครราชสีมา 30120
ความสามารถพิเศษ ห่อของขวัญ, เต้น
ชอบสี ฟ้า ชมพู ขาว
นิสัยส่วนตัว ขี้อาย ไม่ค่อยพูด ใจดีและเป็นมิตรกับทุกคน
งานอดิเรก อ่านหนังสือ
สัตว์เลี้ยงที่ชอบ หมา,แมว
นางแบบที่ชอบ มิโดริ คุชุโอกะ , เอมะ ชิคุโมริ
นักร้องที่ชอบ หวังลีโฮม
ดาราที่ชอบ แพนเค้ก
อาหารที่ชอบ ข้าวผัด , ข้าวไข่เจียว
อาหารที่กินบ่อยที่สุด บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป
ผลไม้ที่ชอบส้ม, กล้วย
การ์ตูนที่ชอบ โคนัน, มิรูโมะ, ฮิคารุ เซียนโกะ, วันพีช
สบู่ที่ใช้ บีไนท์, นกแก้ว
แชมพูที่ใช้ แพนทีน
ครีมที่ใช้ บิโอเร SPF 50+
ผงซักฟอกที่ใช้ บรีสคัลเลอร์
ปรับผ้านุ่มที่ใช้ คอมฟอร์ท
คติประจำใจ ทำวันนี้ให้ดีที่สุด
ขนมที่ชอบ ปีโป้, คุกกี้, เค้กมะพร้าว, บลูเบอร์รี่ชีสเค้ก
ไอศกรีมที่ชอบ วานิลลา, ช็อกโกแลต
ละครที่ชอบ เงารักลวงใจ
ซี่รี่ห์เกาหลีที่ชอบ ดนตรีรักหัวใจปรารถนา, จามอง
ชุดที่ต้องใส่ให้ได้ ชุดฮันบก ประจำชาติเกาหลี
มีพี่น้องทั้งหมด 2 คน เป็นลูกคนที่ 1
บิดาชื่อ นายสมบัติ สิทธิอาภากุล อาชีพค้าขาย เบอร์โทรศัพท์ 0872385895
มารดาชื่อ นางพรประภา สิทธิอาภากุล อาชีพค้าขาย เบอร์โทรศัพท์ 0862365945
น้องสาวชื่อ มนวิภา สิทธิอาภากุล เบอร์โทรศัพท์ 0844179407
เรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนขอนแก่นวิทยายน ชื่อเล่น มะเหมี่ยว
สถานที่ท่องเที่ยวที่ชอบ หัวหิน
จบอนุบาล3 ที่โรงเรียนโพธิ์ชัยราชินูปถัมป์ อำเภอโพธิ์ชัย จังหวัดร้อยเอ็ด
จบประถมศึกษาที่โรงเรียนบัวใหญ่วิทยา อำเภอบัวใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา
จบมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่โรงเรียนบัวใหญ่วิทยา อำเภอบัวใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา
จบชั้นมะยมศึกษาปีที่ 6 ที่โรงเรียนบัวใหญ่วิทยา อำเภอบัวใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา
อนาคต ทำในสิ่งที่ตัวเองรัก
สิ่งที่จะต้องทำให้สำเร็จ ต้องไปเที่ยวญี่ปุ่นให้ได้
อีเมล์ kibja_little.com
ประวัติการเกิด
ดิฉันเกิดเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2533 ที่โรงพยาบาลโพนทอง อ.โพนทอง จ.ร้อยเอ็ด
พ่อเป็นคนตั้งชื่อให้ ชื่อว่า ปภารดา ซึ่งแปลว่า แสงสว่างที่ส่องสว่างแล้วสวยงาม ตอนแรกดิฉันไม่ได้ชื่อนี้หรอก ดิฉันชื่อ มนวิภา ซึ่งปัจจุบันเป็นชื่อของน้องดิฉันเอง พอแม่คลอดน้องดิฉันออกมาปุ๊บ พ่อก็เลยเอาชื่อมนวิภาให้น้อง แล้วก็ไปหาชื่อใหม่ให้ดิฉัน ฉันใช้นามสกุลของพ่อ คือ สิทธิอาภากุล ซึ่งแปลว่า สกุลที่หหน้าที่อันชอบะรรมและสูงส่ง ส่วนชื่อเล่น พ่อก็เป็นคนตั้งให้ว่า กิ๊ฟจ๋า ที่มีจ๋าด้วย เพราะอยากให้ทุกคนเรียกแนเพราะๆไง
ประวัติการศึกษา
พ่อแม่ของดิฉันได้ส่งฉันเรียนอนุบาล 1 ที่โรงเรียนโพธิ์ชัยราชินูปถัมป์ อำเภอโพธิ์ชัย จังหวัดร้อยเอ็ด
ตอนอนุบาล 1 พ่อฉันก็เริ่มให้ฉันหัดอ่านหนังสือแล้ว ทำให้ดิฉันอ่านหนังสือเรียนของพวกป.1 ได้ ตอนอนุบาลฉันเก่งมาก แต่ทำไมโตมาถึงโง่นะไม่เข้าใจ แต่พอฉันเข้าชั้นป.1พ่อกับแม่เริ่มทำงานหนัก เลยไม่ค่อยมีเวลาดูแลดิฉันกับน้อง ญาติรู้เลยให้ฉันกับน้องย้ายมาเรียนที่โรงเรียนบัวใหญ่วิทยา อ.บัวใหญ่ จ.นครราชสีมา แต่พอขึ้นม.ปลาย ฉันกับน้องก็แยกกันเรียน ฉันเรียนอยู่ที่เดิม ส่วนน้องเรียนอยู่ที่ขอนแก่น
น้องสาวของฉัน
ฉันกับน้องสาวสนิทกันมาก ถึงแม้เราจะห่างกันแต่ก็เข้าใจกันมากน้องของดิฉันชื่อมะเหมี่ยว ม่าเหมี่ยวเป็นยิ่งกว่าเพื่อนสนิท เป็นยิ่งกว่าพ่อแม่ เป็นยิ่งกว่าแฟน เพราะเราคุยกันได้ทุกเรื่อง วันข้างหน้าที่พ่อแม่ไม่ได้อยู่กับพวกเราแล้ว ดิฉันก็ยังมีม่าเหมี่ยว ม่าเหมี่ยวก็ยังมีดิฉันที่จะดูแลไว้ใจเติมเต็มความสุขให้กันได้ยิ่งกว่าใครๆในโลก เป็นมรดกเป็นของขวัญที่มีค่ายิ่งกว่าทรัพย์สินใดๆ ที่พ่อแม่จะพึงทิ้งไว้ให้เราสองคนได้ เป็นสิ่งที่ยิ่งใหย่มากที่จะมีคนอีกคนหนึ่งนอกจากพ่อแม่ ที่เรารู้สึกว่าจะไม่มีวันหักหลังเรา จะไม่มีวันไม่รักเรา จะไม่มีวันหยุดหาวิธีที่จะทำให้เรามีความสุข จะมีรอยยิ้มและสร้างรอยยิ้มให้เราทุกวัน วันละนับครั้งไม่ถ้วน (ซึ้ง)
img src="http://photos3.hi5.com/0113/730/190/m4HFaS730190-02.gif" >
น.ส.วิราภรณ์ ทิพสุวรรณ์
1psy 52010517037
ประวัติส่วนตัว
เขามีชื่อว่า นางสาววิราภรณ์ ทิพสุวรรณ์ เป็นผู้หญิง เขามีชื่อเล่นว่า หมิว ฉายาที่เพื่อนตั้งให้เขาคือ ลีจุน เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าความหมายของมันคืออะไร แต่เขารู้สึกดีเวลาที่มีคนเรียกเขาด้วยชื่อนี้ ชื่อและนามสกุลของเขามีความหมายโดยรวมว่า ทองที่เป็นทิพย์ (เขาเลยไม่อาจจับต้องมันได้ เพราะมันเป็นทิพย์) เขาเกิดเมื่อ 10 มกราคม 2534 ตรงกับวันพฤหัสบดี ราศีธนู ปีนักษัตร ม้า เขามีพระประจำวันเกิดด้วยคือ พระปางสมาธิ คาถาสวดบูชาประจำวันเกิดของเขามีอยู่ว่า
ปูเรนตัมโพธิสัมภาเร นิพพัตตัง โมระโยนิยัง เยนะ สังวิหิตารักขัง มหาสัตตัง
วเนจรา จิรัสสัง วายะมันตาปิ เนวะ สักขิงสุ คัณหิตุง ฯ สวด 19 จบ เขาเชื่อว่าจะมีความเจริญรุ่งเรือง และโชคดี แต่เขายังไม่เคยปฏิบัติเลยสักครั้ง ต้นไม้ประจำวันเกิดของเขาคือ ต้นโสน ต้นราชพฤกษ์ และต้นบานบุรี ความเชื่อมีอยู่ว่า หากมีต้นไม้เหล่านี้อยู่ในบ้านจะช่วยคุ้มครองดูแลให้ปลอดภัย (แต่ตอนนี้เขาอยู่มหาลัยนะ เขาจะปลอดภัยหรือเปล่า) ดอกไม้ประจำวันเกิดของเขาคือ ดอกกุหลาบสีเหลือง หมายถึงการเปลี่ยนแปลงในเรื่องความรัก และดอกไม้อีกชนิดหนึ่งคือดอกคาร์เนชั่นสีชมพู หมายถึงรักที่อ่อนโยนและอ่อนหวาน พระธาตุประจำวันเกิด คือ พระธาตุประสิทธิ์ อยู่จังหวัดนครพนม ภายในบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ
และพระอรหันตสารีริกธาตุรวม 7 องค์ เชื่อกันว่าผู้ไปนมัสการจะได้รับอานิสงส์
ให้สัมฤทธิ์ผลในการทำงาน เทพประจำวันเกิด คือพระหฤหัสบดี เทพองค์นี้เป็นเทพแห่งปัญหา เป็นอาจารย์ของเทวดาทุกองค์ จุดเด่นคือเวลาจะไปไหนต้องถือกระดานจดชวเลขติดมือไปด้วย เพื่อเอาไว้เลคเชอร์ลูกศิษย์ได้ตลอด พระหฤหัสบดี เป็นบุตรของ พระอังคิรสมนี กับ พระนางสมปฤดี ซึ่งตระกูลฤาษีโดยแท้ พระองศ์มีพระมเหสี 2 พระองค์นามว่า พระนางดารา และ พระนางมนตา เรืยกว่าฉลาดด้วยเจ้าชู้ด้วย เมียเดียวไม่พอ พี่ต้องขอสอง เขามีชื่อตามวันเกิดเป็นภาษาเกาหลีว่า คิม - ยอง - ฮุน เขาชอบสีน้ำเงินมาก แต่เขาก็ไม่เคยใส่เสื้อสีนี้เลย เขามีกรุ๊ปเลือด B จะเป็นคนใจร้อน งานอดิเรกของเขาคือ
การนอนหลับ เขาสามารถนอนได้เร็วและนานมาก ปลุกยากที่สุดด้วย เขามีที่อยู่ตามทะเบียนบ้านคือ 52 หมู่ 9 ตำบล นาตงวัฒนา อำเภอ โพนนาแก้ว จังหวัด สกลนคร 47230 แต่ปัจจุบันเขามาอาศัยอยู่ที่ หอพักเบญจมาศ ห้อง 107 อยู่เขตคณาสวัสดิ์ ม.เก่า เขาเชื่อว่ามันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นพรหมลิขิตที่เขามีกุญแจห้องนี้และได้อาศัยเป็นที่หลับนอน หลบแดดหลบฝน เพราะตอนที่เขามาจองห้องพักต้องอาศัยดวงล้วนๆ ลุ้นว่าจะได้อยู่ห้องไหน เพื่อนร่วมห้องจะหน้าตาเป็นอย่างไร จะอยู่ด้วยกันรอดมั๊ย แต่แล้วมันก็ผ่านไปได้ด้วยดี ทุกอย่างลงตัว เขามีคำพูดติดปากคือคำว่า ok เขาจะพูดทุกครั้งเวลาที่เขารู้สึกดี หรือเวลาที่อยู่กับเพื่อนแล้วไม่รู้จะพูดอะไรหรือเวลาที่เขาเศร้าเขาก็ยังพูด ของสะสมที่สำคัญของเขาคือเงิน รวมไปถึงบัตรส่วนลดต่างๆ แต่เขาก็ไม่เคยได้ใช้สักที เขาชื่นชอบดารานักร้องเกาหลีมากถึงมากที่สุด มีอยู่ครั้งหนึ่งเขานั่งดูซีรี่ห์เกาหลีตั้งแต่เก้าโมงเช้าจนถึงบ่ายสองโมงของวันถัดไปโดยไม่ต้องนอนเลย (มันจะอะไรขนาดนั้น) นักร้องที่เขาปลื้มสุดๆ คือ Rain แต่นั่นมันคืออดีต ตอนนี้เขามีที่หมายใหม่ มีชื่อว่า Kimhyunjoong เป็นนักร้องวง ss501 จะมาเปิดคอนเสิร์ตในเมืองไทยวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2553 ที่อิมแพล็ค อารีน่า เมืองทองธานี เขามีความตั้งใจอยากจะไปดูมาก แต่แล้วเขาก็เปลี่ยนใจ เมื่อเขารู้ราคาบัตรคอนเสิร์ต (มันจะแพงอะไรขนาดนั้น) 800 บาท คือขั้นต่ำ เขาก็เลยคิดว่า เก็บเงินไว้ซื้อข้าวดีกว่า ไปหาดูตาม youtube เอา จุใจกว่าเยอะ การดำเนินชีวิตในแต่ละวันของเขาเรียบง่าย ไม่หวือหวา ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น แต่เน้นที่ความสุข สนุกเฮอา เขาไม่ค่อยจะออกไปไหนเลย เช่นวันเสาร์ อาทิตย์ ส่วนมากถ้าสัปดาห์ว่างเขาก็จะกลับบ้าน เขาจะอยู่ในหอพัก อยู่กับตัวเอง อยู่กับเพื่อนในห้อง อยู่กับ Notebook เขาค่อนข้างจะพอใจในชีวิต ไม่เคยรู้สึกว่ามันจำเจ ซ้ำซาก อาจเป็นเพราะเขาชินกับชีวิตแบบนี้ แต่ถ้าเขาอยากดูหนัง อยากออกไปเที่ยวบ้างเขาก็ไป ไม่ยึดติดกับอะไรทั้งนั้น โดยนิสัยส่วนตัวของเขาเป็นคนร่าเริง มองโลกในแง่ดี เป็นคนสบายๆ แต่ก็ใช่ว่าจะอะไรก็ได้ในทุกเรื่อง มีหลายครั้งที่คนบางคนคิดจะเอาเปรียบเขา คงคิดว่าเขาโง่ แต่อยากจะบอกว่าเขาไม่ได้โง่แค่ไม่เคยเจอคนเลว เท่านั้นเอง เขามีความคิดเป็นของตัวเอง เพียงแต่ว่าถ้ามีความคิดที่ดีกว่าเขาก็ยอมรับฟัง แต่ไม่ค่อยจะปฏิบัติตาม สิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตของเขาคือครอบครัว เขาจะรู้สึกแย่ทุกครั้งเวลาที่เขาทำอะไรให้ครอบครัวรู้สึกผิดหวัง เช่น การสอบได้คะแนนน้อย ทั้งๆที่ครอบครัวไม่เคยตำหนิ ซ้ำเติม
อะไรเขาเลย แต่เขาก็ก้าวร้าวตัวเอง โทษตัวเองเป็นประจำ (เฮ้อ! ชีวิตหนอชีวิต) ชีวิตการศึกษาของเขา อนุบาล 1 – ประถมศึกษาปีที่ 6 เขาจบจากโรงเรียนบ้านนาตงสหราษฎร์อุทิศ โรงเรียนใกล้บ้าน ไปสายเป็นประจำ 9 โมงอย่างเร็วสุด มัธยมศึกษาปีที่ 1 – มัธยมศึกษาปีที่ 3 เขาจบจากโรงเรียนเซนต์โยเซฟ ท่าแร่ เป็นโรงเรียนที่คนทั่วไปมองว่ามันไฮโซ คุณหนู อะไรประมาณนั้น แต่ถ้าได้สัมผัสจะรู้ว่ามันโลโซมาก อบอุ่นมากถึงมากที่สุด เป็นโรงเรียนแรกที่สอนให้เขารู้จักความรู้สึกของการลาจาก และโรงเรียนนี้ทำให้เขาได้เขาห้องปกครองเป็นครั้งแรก สาเหตุที่ได้เข้าอาจจะแหวกแนวหน่อย คนอื่นก็จะมีเรื่องวิวาทชกต่อยกัน หรือไม่ก็ทำผิดกฎระเบียบ แต่โทษฐานของเขาคือ สั่งส้มตำจากร้านข้างนอกเข้ามากินในโรงเรียน วันที่เกิดเหตุตรงกับวันที่ 24 ธันวาคม 2548 เป็นวันคริสต์มาส อีฟ โรงเรียนจัดให้มีการเฉลิมฉลองต้อนรับวันคริสต์มาส จากนั้นก็หยุดยาวถึงปีใหม่ ประมาณ 11 โมง ของวันที่ 24 ธันวาคม 2548 รถมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งขับเข้ามาในโรงเรียนมีถุงห้อยมาด้วยเต็มไปหมด สักพักมีผู้หญิงคนหนึ่งหนึ่งหน้าตาน่ารัก (เพื่อนเขาเอง) วิ่งไปรับของ อ้า! มันคือถุงส้มตำนั่นเอง รับมาเสร็จก็จัดการคลุกเคล้าให้เข้ากัน เพราะสั่งแบบแยกน้ำแยกเนื้อ กินกัน 11 คน สักพักมีเสียงตามสายประกาศว่า ขอพบน.ส.วิราภรณ์ ทิพสุวรรณ์ พร้อมเพื่อนๆ ที่นั่งอยู่โต๊ะ 7 ที่ห้องปกครองด้วยด่วนที่สุด อยากบอกว่าตอนนั้นเขาเริ่มหน้าบางขึ้นมาแล้ว อายมากรู้กันทั้งโรงเรียน แรกๆก็งงเหมือนกันว่าทำอะไรผิด พอไปถึงอาจารย์ก็ให้ลงชื่อ แล้วก็ให้นั่งรอจนกว่าจะถึงบ่ายโมง เหมือนกับกักบริเวณเลย เป็นการลงโทษ ไม่เสียดายส้มตำหรอก เพราะกินหมดแล้ว ลงชื่อเสร็จอาจารย์ก็บอกว่าความจริงมันก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรเลย แต่มันเป็นหน้าที่ของครูเวรประจำวันอย่างครู ถ้าครูทำเป็นไม่เห็น แต่ถ้าคนอื่นเห็นเขาจะหาว่าครูละเลยหน้าที่พวกเธอก็จะเดือดร้อนด้วยอาจจะได้เข้าห้องเย็น หรือห้องครูใหญ่แน่นอน (เหตุผลดีน่าฟังให้อภัยก็ได้คะ) นี่คือชีวิตม.ต้น สนุก ท้าทาย ตื่นเต้น มีความสุข มัธยมศึกษาปีที่ 4 – มัธยมศึกษาปีที่ 6 เขาจบจากโรงเรียนสกลลราชวิทยานุกูลเป็นโรงเรียนประจำจังหวัด ใหญ่โตมากแต่ไม่ค่อยจะอบอุ่น เขารู้สึกว่ามันเป็นสังคมของการแข่งขัน แต่นั่นคือการเริ่มต้นให้เขามีวันนี้ เป็นโรงเรียนแรกที่เขาต้องเดินทางไกลห่างจากบ้านเขา 44 กิโล ทุกวันๆ แต่เขาไม่เคยรู้สึกเบื่อหน่ายกับการเดินทาง เพียงแต่เขาจะรู้สึกโดดเดี่ยวในการสอบทุกครั้ง อาจารย์คุมเข้มมากไม่เปิดโอกาสให้ส่งกระแสจิตหากัน
ได้เลย แต่เขาก็พอใจในคะแนนสอบเพราะอย่างน้อยเขาก็ได้ทำ เกรดออกเทอมแรกตอนม.4 เขาเหนื่อยใจมาก 2.8 คือตัวเลขที่ทำร้ายจิตใจเขา เพราะตอนอยู่ม.ต้นเขาไม่เคยได้น้อยขนาดนี้ เขาก็เลยไปถามเพื่อนสนิทว่าได้เท่าไหร่ 2.79 คือตัวเลขที่เพื่อนบอกทั้งน้ำตาเพื่อนยังเศร้าอยู่แต่เขาหายแล้ว เพราะคิดว่า เอ่อ! ยังมีคนได้น้อยกว่าเขาและมีเพื่อนร่วมชะตากรรมเดียวกันกับเขาทั้งเพื่อนและเขาก็ปลอบกันเกือบครึ่งวันแล้วก็พากันไปดูหนังต่อ(ซะงั้น)พอเทอมต่อมาเกรดของเขาและเพื่อนก็ขยับขึ้นมาถึง 3 กว่าๆ เกรดของเขาเป็นเหมือนขั้นบันไดมีขึ้นมีลง บางงเทอมได้น้อยกว่า 3 เขาก็รู้สึกเฉยๆ เพราะเขาเริ่มชินชาและปรับตัวได้แล้ว เขาเริ่มยอมรับความจริงได้ แม้ว่ามันจะเจ็บปวดก็ตาม ณ ปัจจุบันเขากำลังศึกษาอยู่คณะศึกษาศาสตร์ สาขาจิตวิทยา ปี1 เขามีความสุขในการได้เรียนในสิ่งที่เขาชอบ เขารู้สึกโชคดีอย่างมากที่พ่อแม่ไม่ขัดขวางความฝันของเขา เขามีความเชื่อเสมอว่าทุกเส้นทางเดินของชีวิตไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเสมอแต่ก็ใช่ว่าจะโรยด้วยขวางหนามเสมอไป ด้วยความคิดแบบนี้จึงทำให้เขาอยู่ได้ด้วยกำลังใจตัวเองตลอดมา ชีวิตความรักของเขาไม่มีอะไรมาก ไม่ใช่ว่าเขาปิดกั้นตัวเอง แค่เขายังไม่พร้อมที่จะลำบากเพื่อใครและยังไม่พร้อมจะเอาใจใส่ใคร ตอนนี้เขามีความสุขกับการอยู่กับตัวเอง การได้ดูแลตัวเอง คติประจำใจของเขามีอยู่ว่า ในความโชคร้ายย่อมมีความโชคดี เขามีที่อยู่หลายที่ไม่เว้นแม้แต่โลกไซเบอร์ kidhodey.hi5.com เขาจะเข้ามาอยู่ทุกวันไม่เว้นวันหยุดนักขัตฤกษ์ kidhodey@hotmail.com เขาจะเข้ามาอยู่เฉพาะวันจันทร์แค่ 10 นาที raincove.multiply.com เดือน 2 เดือนเขาก็ไม่ค่อยได้เข้ามา เพราะบ้านเขายังสร้างไม่เสร็จ ชีวิตในด้านครอบครัว เขามีพี่น้อง 2 คน เขาเป็นลูกคนโต มีน้องชายคนเดียว ตอนนี้อยู่ม.3 โรงเรียนสกลราชวิทยานุกูล ครอบครัวเขาค่อนข้างจะอบอุ่น พอเพียงแต่ไม่เคยเพียงพอ เขารักครอบครัวของเขามาก เขาดูแลพ่อและแม่เป็นอย่างดีเท่าที่ลูกคนหนึ่งทำได้ เขาไม่ใช่คนดีอะไรมากแต่พ่อกับแม่ก็ไม่เคยต้องเสียน้ำตาเพราะเขาเลยสักครั้งเขาไม่ใช่คนพูดมาก แต่เขาก็ดีใจที่คนแบบเขาก็มีคนคบด้วย เขาและเพื่อนค่อนข้างจะมีความแตกต่างกันมาก เขาชอบเปรี้ยวเพื่อนชอบหวาน เขาชอบเกาหลีเพื่อนชอบหมอลำ เขาพูดน้อยแต่เพื่อนพูดได้ทั้งวัน เพื่อนมีคนมาจีบเยอะแต่เขาไม่เคยสนใจใคร(ดูดีนะ) แต่เขาก็ยังคิดว่ามันเป็นความต่างที่ลงตัว เรื่องที่เขาภาคภูมิใจมีหลายเรื่อง แต่ที่ภูมิใจมากคือ เขาสวดอิติปิโสได้ครบ 108 จบ ที่วัดป่ากู่แก้ว วันที่ 7 มกราคม 2553
เขาเคยคิดว่าคนที่มีความอดทนน้อยอย่างเขาจะทำได้เหรอ แต่แล้วก็ทำได้ด้วยดี ความใฝ่ฝันของเขาเมื่อเรียนจบเขาอยากเป็นนักจิตวิทยา ในโรงพยาบาลจิตเวช ขอนแก่น เขาคิดว่าเขาจะมีความสุขมากถ้าได้ทำในสิ่งที่ชอบ เขาชอบฟังเพลงแบบ pop pop ฟังง่าย สบายๆ ไม่ต้องใช้ความรู้สึกอะไรมาก เหตุผลที่เขาชอบเพลงเกาหลี ฟังไม่รู้เรื่องแต่คนร้องหน้าตาดี ชอบแต่ไม่ได้คลั่งไคล้ เพลงไทยเขาก็ฟัง นักร้องไทยเขาก็ชอบ ความเป็นไทยอยู่ในสายเลือด ในวันที่10 มกราคม 2553 ที่ผ่านมาเขามีความสุขมาก มันเป็นวันคล้ายวันเกิดเขา มีคนกลุ่มหนึ่งกลุ่มเล็กๆแต่อยู่ด้วยแล้วสบายใจ อบอุ่น จัดวันเกิดให้เขา อดหลับอดนอนเพื่อรอให้ถึงเที่ยงคืน วางแผนต่างๆ แต่รู้สึกว่าวางแผนดังไปนิดจนเจ้าของวันเกิดเหมือนจะรู้ วันนั้นเค้กก็ไม่เป็นใจ ปักเทียนแต่เทียนก็ละลายหน้าเค้กก็เลยเละมาก จนไม่รู้ว่าเขียนคำว่าอะไร แต่ด้วยความตั้งใจของเพื่อนๆก็ทำให้เจ้าของวันเกิดอย่างเขาแอบซึ้งเหมือนกัน เขารักเพื่อนมากจริงๆ แต่อยากจะบอกว่าเพื่อนยังไม่เคยได้ยินคำว่ารักจากปากเขาเลย(มันน่าเศร้านะ ) และขอบคุณด้วยที่ทำให้เขารู้สึกไม่โดดเดี่ยว ไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว และก็เพื่อนหลายคนที่ส่งข้อความมาอวยพรวันเกิดให้เขา มันทำให้เขารู้สึกดีมากๆ ทั้งๆที่หลายคนเพิ่งจะสนิทกัน ทุกๆปีเขาจะไปทำบุญแต่ปีนี้เขาแค่สวดมนต์ให้ตัวเองเนื่องจากโอกาสไม่เอื้ออำนวย เขาชอบกินแหนมเนืองมากอร่อยดี นานๆกินทีกินบ่อยมากเดี๋ยวเป็นโรคทรัพย์จาง เขาชอบดูซีรี่ห์เกาหลีมาก แรกๆก็ดูตามกระแส ไปๆมาๆติดซะงั้น เรื่องแรกที่เขาดูและรู้สึกประทับใจคือ full house สะดุดรักที่พักใจ สนุกมาก ปลื้มนางเอก บ๊องๆได้ใจ ทุกครั้งที่กินไอศกรีมเขาชอบสั่งรสมะนาว หรือไม่ก็ส้ม เขาไม่ชอบเลยก็คือรสช็อกโกแลต และเผือก ความสามารถพิเศษของเขา เล่น hula-hoop (เรียกว่าความสามารถได้ใช่ไหม) ในอดีตเขาเล่นได้ค่อนข้างนาน แต่ตอนนี้ไม่รู้ว่าติดอะไร ไม่ได้อยากวิจารณ์เขาเลยนะ แต่อยากจะบอกว่าติดพุง ตอนนี้เขามีมวลสารในร่างกายมากเหลือเกิน เขาเริ่มท้อในการออกกำลังกายแล้วนะ เขาจึงกลับมากินและก็กินเหมือนเดิม เขาเชื่อเสมอว่าไม่มีอะไรได้มาโดยไม่พยายาม ทุกอย่างยากที่การเริ่มต้นมีคำคมหนึ่งเขาชอบมากและมันก็ทำให้เขามีกำลังใจ “หากล้มลง จงอย่ากลัวกับการลุกขึ้นใหม่” และเขาก็มีความเชื่อหนึ่งว่า จะมีกระแส psychology Fever เหมือนเกาหลีฟีเวอร์บ้าง แสงสว่างจะสว่างไสว ส่องนำทางให้ก้าวเดิน ไปสู่ประกายแห่งความหวัง ขอให้มุ่งมั่นและสู้ต่อไปนะ ขอให้ทุกคนโชค A
ผู้หญิง ตาโตๆ คิ้วหนา(แอบมีหนวดนิดๆ55+)
ตัวเล็กๆ (เตี้ย) ผอมๆ ตัวขาวๆ^^ นั่นแหละตัวฉัน
คนอื่นที่ไม่รู้จักฉันดีพอมักจะมองว่าฉันหยิ่ง แต่ที่จริง
ไม่เลย ฉันเป็นคนพูดน้อยกับคนที่ไม่สนิท
ที่จริงฉันเป็นคนเข้ากับคนง่าย
อยากรู้แล้วสิว่าใคร----------????
เอาล่ะขอแนะนำตัวหน่อย^^
บ้านฉันอยู่ที่บ้านสมสะอาด อ.เลิงนกทา จ.ยโสธร
ฉันเกิดวันที่ 20 มิถุนายน 2533
ตอนนี้อายุ 19 ปีแล้ว ววว ว
กรุปเลือด B
เวลาว่างๆ --- >> ชอบดู TV เล่นเน็ต อ่านนิยาย
การ์ตูน^^
ผลไม้ที่ชอบ --- >> ชอบทุกอย่างแหละ ^O^
อาหาร --- >> กินได้ทุกอย่างเล้ยย
ชอบกินศครีม^^
รายการโปรด --->> ดูได้ทุกอย่าง
E-mail--->> tualek_s_s@hotmail.com
สัตว์เลี้ยง --->> สุนัข
^^___3
ชื่อจริงนางสาวศุภรักษ์ แปลว่าความดีงาม
และนามสกุลที่มักจะมีคนอ่านผิดอยู่บ่อยๆ
สิริโสม อ่านว่า สิ-ริ-โสม มิใช่ สิริโฉม ^o^^
พ่อแม่และญาติๆที่สนิทเรียกจ่อย 55++ ตลกชมัด(มันเป็นฉายาจ้ะ)
แต่ชื่อเล่นจริงๆที่พ่อกับแม่ตั้งใจตั้งให้
ชื่อ--->>> “หลิน”<<<---- ^___^ Zz
รู้สึกภูมิใจในชื่อนี้มากเลย ฮ่าๆ (แบบว่าดังเป็นบ้า)
หลังจากที่มีเจ้าหมีแพนด้ามา ฉันก็ได้ฉายาเพิ่มอีกมามากมาย
ไม่ว่าจะเป็นหลินฮุ้ย หลินปิง ตัวเล็ก ^^
ฉันเป็นรู้สาวคนโตของบ้าน มีน้องสาว 1 คนตอนนี้เรียนม.1ที่รร.เลิงนกทา
O___oo
ตอนเด็กๆฉันมักจะตามพ่อไปโรงเรียน(ไม่รู้ว่าทำไม)
อ๋อๆลืมบอกพ่อฉันเป็นครูเดี๋ยวงง
นี่แหละคือเหตุผลที่พ่ออยากให้ฉันเป็นครู
ส่วนแม่ไม่ได้ทำอะไร (สบายจัง^^) อ้อๆ .... มีๆ
ที่บ้านชั้นๆ ทำนาด้วยแหละ^_^
และเมื่อฉันอายุได้ 5 ขวบ แม่ก็ให้ฉันเข้าเรียนโรงเรียน
ใกล้บ้าน ใกล้จริ๊ง จริง หน้าบ้านเลยแหละ
การที่โรงเรียนอยู่ใกล้บ้าน มันทำให้ฉันไม่เข้าห้องน้ำที่
โรงเรียน แอบๆ แว๊ปๆ มาเข้าที่บ้าน
มันเลยชิน ติดนิสัย มา ...ชอบกลั้นๆไว้มาเข้าที่บ้าน
หลังจากที่เรียนใกล้บ้านจนถึงป.4 พ่อก็ย้ายฉันไป
เรียนโรงเรียนในอำเภอ
ฉันจบป.6ที่นั่น และเรียนมัธยมที่โรงเรียนเลิงนกทา
ทั้งม.ต้นและม.ปลาย
ช่วงม.ต้นฉันยังเด็กมาก ฉันเดินทางไปโรงเรียน
โดยขึ้นรถรับส่ง หรือบางวันพ่อก็จะไปรับ
ช่วงที่อยู่ม.4 – ม.5–ม.6 เป็นช่วงที่ฉันติดนิยาย
มาก
มีบางครั้งที่ฉันต้องแอบแม่อ่าน(แบบว่าต้องมีมุมส่วนตัวที่เงียบๆ^^)
ไม่รู้ว่าทำไมฉันติดมันมากมาย แบบว่าอ่านทั้งวันก็ได้ (ถ้ามันสนุกนะ)
ที่ชอบที่สุดก็ May 112 ชอบบ บ มากกก ก ^^^ บ้าไปแล้วชั้ล!! เอิ๊กๆ
เล่ามาถึงช่วงนี้รู้สึกคิดถึงเพื่อน คิดถึงบรรยากาศตอนเรียนจัง
ทุกปิดเทอมช่วงซัมเมอร์ ฉันกับเพื่อนๆเราจะไปเรียนพิเศษกัน(เล่นมากกว่า)
ช่วงม.6 เป็นช่วงที่วุ่นวาย เพราะต้องการที่เรียนมาก^__3
และต้องเตรียมตัวสอบนั่น สอบนี่ แต่รู้สึกว่าฉันไม่ค่อยเต็มที่กับมันเลย
ฉันไม่ค่อยชอบอ่านเอง ถ้าให้ดีชอบแบบเรียนพิเศษมากกว่า
ชอบสูตรแบบลัดๆอ่ะนะ^^
ณ ปัจจุบัน ---->>> นางสาวศุภรักษ์ สิริโสม
นิสิตปี 1 มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
คณะศึกษาศาสตร์ สาขาจิตวิทยา
รหัส 52010521025 ^^___^^
ประวัติส่วนตัว
ชื่อนางสาว อริสรา พงษ์สระพัง ชื่อเล่น ถุงแป้ง แต่ส่วนมากจะเรียกว่าแป้งเฉยๆ เพราะขี้เกียจเรียกยาวๆ เกิดวันพฤหัสบดี ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2533 เวลาตี2 จึงนับว่าเป็นวันศุกร์เกิดบนรถแถมฝนตกอีกต่างหากอยู่บ้านเลขที่ 85 หมู่ 4 บ้านหนองไรไก่ ต.โคกสะอาด อ.ภูเขียว จ.ชัยภูมิ 36110 มีพี่น้องด้วยกัน 2 คน ดิฉันเป็นน้องสาวคนโต มีน้องชายอายุ 5 ขวบซึ่งซนเหมือนลิงมาก พ่อแม่มีอาชีพทำนาและรับจ้างทั่วไป ลักษณะนิสัย ถ้าไม่สนิทกับใครจะดูเงียบๆ ดูเหมือนคนเรียบร้อยมาก แต่ที่จริงแล้วไม่ใช่ จะเป็นคนที่คนข้างจะซุ่มซ่ามดื้อนิดหน่อย คุยเก่ง ถ้าสนิทกับใครจะคุยเก่งมากและสนิทกับคนง่ายมาก เป็นคนที่แคร์ความรู้สึกคนรอบข้างและเป็นคนใจร้อนทำอะไรต้องทำให้ทันใจรวดเร็ว เป็นคนที่ชอบกินเยอะ บางทีกินเยอะจนเพื่อนๆว่า กินแล้วเอาไปเก็บไว้ที่ไหน เพราะกินแล้วก็ไม่อ้วนถ้ารู้สึกว่าน้ำหนักขึ้นหน้าก็จะกลมนิดนึง ชอบกินอาหารรสจัดโดยเฉพาะส้มตำจะกินแบบเผ็ดมากๆ เป็นคนโกรธง่ายหายเร็วและก็มีเอาแต่ใจบ้างเพราะเป็นลูกสาวคนเดียวมาตั้ง 14 ปี และมีลูกพี่ลูกน้องเยอะมากส่วนมากจะเป็นผู้ชายมีเป็นผู้หญิงอยู่2 คน คือดิฉันและลูกพี่ลูกน้องอีกคนหนึ่งก็เลยถูกตามใจซะส่วนใหญ่ การอบรมเลี้ยงดู ทางบ้านจะเลี้ยงแบบเหมือนเดินตามทางที่ขีดไว้ให้ที่บ้านที่บ้านทำไร่ทำนาแต่ดิฉันจะทำไม่เป็นแต่ก็พอรู้จักวิธีแต่ไม่เคยได้ทำเพราะมีโรคประจำตัวมาตั้งแต่เด็กๆคือเป็นโรคภูมิแพ้จะแพ้ง่ายมากและก็เป็นโรคหอบจะทำงานหนักไม่ได้พ่อกับแม่จึงไม่ให้ทำเวลาที่พ่อกับแม่ไปทำงานก็จะต้องอยู่บ้านดูแลน้องชาย 5 ขวบและก็ทำงานบ้านจะเป็นคนที่ไม่ได้ไปเที่ยวไหนเพราะพ่อจะไม่ชอบให้ออกไปไหนถ้าออกไปก็จะต้องถูกจำกัดเวลาคือต้องกลับบ้านตามเวลานั้นหรือเร็วกว่านั้นและก็เรื่องการเลือกเรียนคือพ่ออยากให้เป็นครูก็เลยต้องเรียนครู ทีแรกตั้งใจจะเรียนมนุษย์ศาสตร์ภาษาเกาหลี เพราะเคยเรียนพื้นฐานทางด้านการเขียนภาษาเกาหลีมาก็เลยบอกพ่อว่าจะเรียนมนุษย์ศาสตร์ภาษาเกาหลีแต่พ่อบอกว่าไม่ให้เรียนอยากให้เป็นครูต้องเรียนครูก็เลยมาดูคณะศึกษาศาสตร์ว่ามีสาขาไหนน่าสนใจบ้างก็เลยเลือกสาขาจิตวิทยาเพราะเห็นครูแนะแนวที่โรงเรียนก็เลยสมัครเรียนจิตวิทยาเป็นอันดับแรกและก้อย่างเดียวและที่นี่ทีเดียว คือเพื่อนๆไปสอบขอนแก่นหรือมหาวิทยาลัยอื่นๆ เราก็ไม่ไปเราก็สมัครที่นี่ทีเดียวก็กลัวไม่ได้อยู่นะเพราะคนส่วนใหญ่เรียนสานวิทย์ส่วนดิฉันเรียนทางด้านสายศิลป์ภาษา แต่พอได้แล้วก็รู้สึกดีใจมากเลย พ่อจะตามตลอดไม่ว่ามาทำกิจกรรมก่อน
สอบสัมภาษณ์ สอบสัมภาษณ์ รายงานตัวก็จะมีพ่อตามมาด้วยเสมอ ถ้าถามว่าตอนนี้ถ้าให้เลือกเรียนมนุษย์ศาสตร์ภาษาเกาหลียังจะเรียนอยู่ไหม ขอตอบว่าอยากเรียนมากเพราะการเรียนพื้นฐานภาษาเกาหลีไม่ได้ไปเรียนที่โรงเรียนสอนภาษาแต่ด้วยความตั้งใจไปซื้อหนังสือเกาหลีมา 3 เล่มใหญ่และใช้เวลาว่างทำหลังเลิกเรียนและก่อนนอนอ่านและทำความเข้าใจและฝึกเขียนเองใช้เวลาปีกว่าๆ จึงเขียนได้ค่อนข้างคล่อง
ประวัติการเรียน
เรียนโรงเรียนเด็กก่อนเกณฑ์อยู่ 3 ปีที่โรงเรียน วัดโพธิ์ศรีและก็เรียนอนุบาลจนถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่โรงเรียนบ้านหนองไรไก่ซึ่งเป็นโรงเรียนในหมู่บ้าน กิจกรรมที่ทำขณะเรียนอยู่ชั้นอนุบาลจนถึงชั้นประถม6 คือเป็นนางรำตอน ป.4 และเข้าร่วมแข่งขันทักษะทางวิชาการหลายด้านและร่วมกิจกรรมต่างๆเช่นถือป้าย แต่งตัวเวลามีงานกีฬาต่างๆ หลังจากจบชั้นประถมประถมศึกษาปีที่ 6 ที่โรงเรียนบ้านหนองไรไก่ก็เรียนต่อชั้นมะยมศึกษาตอนต้นที่โรงเรียนโคกสะอาดวิทยาเกรดเฉลี่ยถือว่าพอใช้ได้เพราะไม่เคยต่ำกกว่า 3 กิจกรรมก็มีเป็นเชียร์ลีดเดอร์ตอนอยู่ ม.1 และเป็นนางนพมาศตอนอยู่ม.3 รางวัลที่ได้มีเข้าร่วมแข่งขันทักษะทางวิชาการด้านต่างๆและได้รับเกียรติบัตรมารยาทดีเด่นและการเรียนดี หลังจากจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 จากโรงเรียนโคกสะอาดวิทยาแล้วก็เข้าศึกษามัธยมศึกษาตอนปลายที่โรงเรียนชุมแพศึกษา กิจกรรมที่ทำคือเป็นสตาฟดูแลสแตนด์ ช่วยเพื่อนๆตอนม.6 และเป็นนางนพมาศตอนอยู่ม.5 เหตุการณ์ที่จำไม่เคยลืมตอนอยู่ม.6 คือวันแข่งขันกีฬาสีอาจารย์จะไม่ให้นักเรียนแอบหนีกลับบ้านและก็จะมีอาจารย์กะน้ายามมาคอยคุมอยู่ที่หน้าประตูโรงเรียนด้วยความที่อยากกลับบ้าน และเบื่อ ในกลุ่มมีประมาณ 6-7 คน ผู้หญิงล้วนจึงแอบพากันไปปีนรั้วโรงเรียนด้านหลังซึ่งสูงมากสูงมากๆเพื่อนๆโดดไปเกือบหมดแล้วเหลือดิฉันกะเพื่อนอีกคนดิฉันจึงให้เพื่อนโดดก่อนจึงโดดตามพอเท้าแตะพื้น เพื่อนคนที่โดดก่อนมันก็บอกว่าอาจารย์ขี่รถมอเตอร์ไซค์ตามมาเพื่อนอีกกลุ่มจึงวิ่งเข้าหลบข้างทางเหลือดิฉันกะเพื่อนอีกคนหนึ่งซึ่งกระโดดรั้วทีหลังเพื่อนตกใจมากจะหลบก็หลบไม่ทันก็เลยต้องวิ่ง โชคดีที่รถมอเตอร์ไซค์เก่ามากแล้วอาจารย์ก็ซ้อนกันมา 2 คน ทำให้รถวิ่งไปช้ามากทีเดียวนี่คือเหตุการณ์ที่คนในกลุ่มจำไม่เคยลืม เพราะมันเป็นครั้งแรกในชีวิต และดิฉันก็จบการศึกษาด้วยเกรดเฉลี่ย 3.46 ปัจจุบันศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม คณะศึกษาศาสตร์ สาขาจิตวิทยา ปี 1 ซึ่งเป็นอะไรที่เรียนยากมากเพราะตั้งแต่เรียนมาเกรดไม่
เคยต่ำกว่า 3 เลย แต่ปีนี้เกรดยังออกไม่หมดตั้ง2 ตัว แต่เกรดเหลือแค่ 2.9 กว่าๆซึ่งเป็นอะไรที่ทำให้คิดหนักมากๆเพราะคิดว่ายิ่งเรียนยิ่งยาก เพราะฉะนั้นการที่จะทำให้เกรดเพิ่มขึ้นเป็นอะไรยากมากแต่ยังไงดิฉันก็จะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อพ่อกะแม่ที่ท่านอุตส่าห์ส่งมาเรียนต่อทั้งๆที่ที่บ้านไม่มีตังก์
ประวัติด้านความรัก
ตั้งแต่เกิดมาเพิ่งเคยมีแฟนครั้งแรกเพราะที่ผ่านมาไม่ได้คิดเรื่องนี้เลย อาจารย์เคยบอกว่าถ้าคนที่มีแฟนแล้วจะไม่เกิดการเรียนรู้ จะไม่เกิดจินตนาการ เพราะถ้าเรายังไม่มีแฟนก็จะได้เกิดจินตนาการว่าคนที่มาชอบมาจีบเราเขาจะหน้าตาเป็นยังไง แต่ถ้ามีแฟนแล้วก็ไม่เกิดจินตนาการเพราะเราเจอหน้าเขาแล้ว แล้วเราเลือกคบเขาแล้ว สำหรับดิฉันถึงคบเป็นแฟนแล้วก็เกิดจินตนาการได้เพราะคบกันมาเกือบจะถึงปียังไม่เคยเห็นหน้าสักที เพราะฉะนั้นก็สามารถใช้จินตนาการได้ว่าเขาจะหน้าตาเป็นอย่างไร
นางสาวเพ็ชรรัตน์ ปิ่นทอง52010517029 คณะศึกศาศาตร์ เอกจิตวิทยา
ประวัติส่วนตัว
ฉันชื่อนางสาวเพ็ชรรัตน์ ปิ่นทอง ชื่อเล่นยุ้ยทีแรกว่าจะตั้งชื่อว่าเมย์ที่ตั้งชื่อว่ายุ้ยเพราะตอนนั้นยุ้ย ญาติเยอะกำลังดัง ตอนฉันเป็นทารกร้องบ่อยมากแม่เลยเอาฉันไปไห้พระโกนผมไห้ แล้วเอาไปลอยน้ำกำลังดัง ฉันเป็นลูกของนายนพ ปิ่นทองกับนางสายันต์ ปิ่นทอง ฉันเป็นลูกคนเดียวของครอบครัว แม่บอกว่าตอนแม่ท้องฉันแพ้ท้องบ่อยมากแม่ฉันไม่เหมือนคนมีท้องเลยแล้วก็กินยาบ่อยมาก ตอนคลอดหมอใช้ยาเร่งช่วยไห้แม่ออกฉันเพราะแม่ไม่มีแรง ฉันเกิดอยู่ที่โรงพยาบาลวชิรพยาบาล ที่กรุงเทพมหานครเกิดวันพุธ ที่25เมษายน2533 เวลาบ่าย2โมงตรง สัญชาติไทย เชื้อชาติไทย ศาสนาพุทธ ปัจจุบันนี้อยู่บ้านเลขที่72 หมู่2 บ้านแห่ใต้ ตำบลแห่ใต้ อำเอโกสุมพิสัย จังหวัดมหาสารคาม บ้านของฉันอยู่ใกล้กับศาลากลางบ้าน อยู่ติดกลับร้านเสริมสวยฉันเป็นลูกคนเดียวของครอบครัว ฉันจึงค่อนข้างเอาแต่ใจ พ่อแม่ตามใจแต่ว่าต้องโดนด่าก่อนถึงจะได้สิ่งที่ต้องการ พ่อฉันไม่ดุเลยแต่เวลาฉันต้องการอะไรพ่อมักจะลืม แต่แม่ของฉันบ่นดีมากจู้จี้จุกจิกแต่แม่กลับไม่ลืมสิ่งที่ฉันต้องการ คอยเตือนฉันหลายๆเรื่อง แต่ฉันก็รักท่านทั้งสอง ตอนแม่คลอดฉันแล้วแม่เอาฉันไปเลี้ยงอยู่นนทบุรี3ได้เดือนแม่ก็เอาฉันมาไห้ตากับยายเลี้ยงเพราะพ่อกับแม่ต้องทำงานอยู่กรุงเทพมหานครมีคนมาช่วยเลี้ยงหลายคน ยายบอกว่าตอนเด็กๆฉันผิวเนียนมากแล้ว ไม่เหมือนตอนนี้ผิวออกจะธรรมดา ตอนเด็กๆฉันชอบฉี่รดที่นอนถึงประถม6ฉันถึงเลิกฉี่รดที่นอน แต่โตมาชอบนอนละเมอบ่อยมาก ตอนเด็กๆชอบซื้อตุ๊กตาบาบี้มาเล่นกับเพือนๆชอบเอามาเก็บสะสม ฉันสูง153 เพื่อนๆสุงกว่าฉันทุกคนแต่ฉันเตี้ยมาก พ่อกับแม่ของฉัน เตี้ย ฉันก็เตี้ยกรุ๊ปเลือเอ ตาและน้าของฉันก็สูงอยู่ ทางอาก็สูง ก็ได้เข้าโรงเรียนที่บ้านแห่ใต้ อำเภอโกสุมพิสัย จังหวัดมหาสารคาม ตอนเด็กๆฉันด่าคนเก่งมากเลย ขี้แมลงวันอยู่ปากฉันมีเยอะมากตากลับยายใช้ไปไหนก็ไป ซึ่งต่างจากตอนนี้ใครใช้ก็ยากแล้วก็ไม่ค่อยพูด ตอนเด็กๆฉันชอบกินส้มตำมากเลยอยู่โรงเรียนขายถุงละบาทฉันซื้อมากินทุกวัน วันไหนไม่มีตังก็ไปเซ็นแม่ค้าไว้ฉันไม่อายเลย ถ้าไม่ได้กินใจจะขาด ปัจจุบันนี้ก็ยังชอบกินเหมือนเดิมได้เงินไปโรงเรียนวันละ10บาท ตอนนั้นได้10บาทก็ถือว่าเยอะตอนไปโรงเรียนฉันไม่ชอบรีดเสื้อผ้า ใส่รองเท้าแตะไปเรียน ไปโรงเรียนก็ไปสาย เสื้อผ้าก้ซักไม่สะอาด ครูประจำชั้นตอนประถมศึกศาปีที่1ดุมาก ตอนนั้นฉันโดนด่า และโดนบิดใส้ประจำ พูดแล้วก็เสียวใส้
ฉันกลัวบางวันก็ไม่อยากไปโรงเรียน พอฉันเรียนถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่5 ฉันก็ย้ายโรงเรียนไปเรียนที่กรุงเทพมหานคร โรงเรียนที่ฉันเรียนมี3ศาสนามีศาสนาพุทธ ศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลาม แต่ฉันนับถือศาสนาพุทธ เด็กที่นี่มีแต่คนตัวโตๆ ฉันตัวเล็กมากเลย เวลาไปโรงเรียนฉันเดินไปทุกวันเพราะโรงเรียนอยู่ไกล้ๆก่อนมาโรงเรียนฉันมักจะซื้อข้าวเหนียวกับเนื้อกินเสมออร่อยดี แต่ว่าที่โรงเรียนไม่มีอาหารทีทำจากหมูเพราะถิ่นนั้นมีพวกอิสลามเยอะ เลยไม่ค่อยได้กินหมู เวลาอิสลามถือศิลอดกลืนน้ำลายก็ไม่ได้ น่าสงสารครูในโรงเรียนที่ฉันชอบที่สุดคือครูนิธิมา สะมะแอเพราะครูคนนี้เรียบร้อยดี โรงเรียนของฉันติดกับโรงเรียนปอเนาะซึ่งมีแต่ผู้ชาย คนหล่อๆก็มีเยอะ เวลาฉันกับเพื่อนๆพักเที่ยงก็จะมานั่งอยู่ศาลาเพื่อดูหนุ่มๆ แต่ตอนนั้นฉันชอบคนเป็นอยู่ แต่ไม่กล้าคบ เพราะฉันกวาพ่อแม่จะว่าที่มีแฟน เวลาว่างของฉันและเพื่อนๆก็จะมาเล่นผีเหรียญ ซึ่งผีเหรียญคล้ายๆกับผีถ้วย แต่เปลี่ยนจากแก้วเป็นเหรียญ ตอนเล่นทีแรกก็น่ากลัว แต่เล่นไปเล่นมาก็ไม่น่ากลัว ฉันก็ได้สร้างวีรกรรมก่อเรื่องทะเลาะวิวาทกับเพื่อน ทะเลาะกันอยู่บ่อยๆเพราะพูดไม่ค่อยเข้าหูกันฉันเรียนถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่2ฉันก็ได้ย้ายกลับมาเรียนที่มหาสารคาม กลับมาอยู่กับตายาย
ฉันก็ได้ไปเรียนที่อำเภอโกสุมพิสัย จังหวัดมหาสารคาม ที่โรงเรียนนี้มีสามเณรมาเรียนด้วยมีรถรับส่งตามหมู่บ้านต่างๆ บางครั้งฉันก็ขึ้นรถโรงเรียน บางครั้งก็ไปมอเตอร์ไซค์กับเพื่อน ต้องตื่นไปโรงเรียนแต่เช้าทุกวันวันไหนไปสายก็โดนทำโทษหรือวันที่ให้ใส่ชุดนักเรียนแล้วไปใส่ชุดพละก็โดน โรงเรียนนี้อยู่ติดกลับวนอุทยานโกสัมพี หรือเรียกว่าบุ่งลิง มีลิงมากมายเลยลิงเข้ามาในโรงเรียนทุกวัน แล้วก้อยู่ไกล้พระมิ่งเมืองซึ่งเป็นสิ่งที่เคารพบูชาของคนในอำเภอโกสุมพิสัย และก้มีวัดกลางอยู่ติดกับโรงเรียน ฉันตั้งใจ
เรียนขยัน แต่เรียนไม่เก่งเลย มีครูคนหนึ่งดูดวงเป็นฉันก็ชอบไปครูดูดวงไห้จนครูรำคาญ
และแล้วฉันก็ได้สร้างวีรกรรมทะเลาะกับเพื่อนในห้องเรียน เพราะเพื่อนเข้าใจว่าฉันโยนลิขิตใส่หัวของเขาเลยมีเรื่องขึ้นห้องปกครองโดนบันทึกประวัติ ฉันว่าจะไม่ทะเลาะกับคนนี้แล้ว แต่เขาจะหาว่าฉันกวาเขา ฉันก็เลยตีกันกับเขา เขานักเลงมากเลยมีเพื่อนเยอะด้วย แล้วเขาก็มาคุยกับฉันเหมือนเดิม เขาพูดกัฉันก่อน ฉันก้ว่าจะไม่พูดกับเขาแต่ถ้าไม่พูดเขาจะว่าฉันหยิ่งเลยพูดด้วย ตอนฉันมีเรื่องกับเขาเพื่อนๆพากันเข้าข้างเขาไม่เข้าข้างฉันเลยทั้งๆที่เขามาหาเรื่องก่อน ฉันก้รู้สึกน้อยใจอยู่น้ำตาไหล เพื่อนๆไม่ค่อยมีคนจริงจัย
เลย เห็นแก่ตัวด้วย แล้วฉันก้ได้สร้างวีรกรรมอีก มีเรื่องกับเด็กมัธยมศึกษาปีที่3 ตอนนั้นฉันอยู่มัธยมศึกศาปีที่5เขามองหน้าฉันและแฟนของฉันก็บอกเลิกฉันไปคบกับคนนั้น ที่ฉันมีเรื่องตบตีกันไม่ใช่เพราะเรื่องแฟนเป็นเพราะเขามามองหน้าฉัน แล้วทำหน้ากวนๆฉันเลยทนไม่ไหว แล้วก็นัดกันไปตีกันอยุ่บึงบอน ซึ่งอยู่ไกล้ๆโรงเรียน คนนั้นเขาไปบอกครูไว้ก่อนที่จะมีเรื่อง ก็เลยได้ขึ้นห้องปกครองอีกครั้ง ครูบอกว่าไห้ไปเรียกพวกที่พาไปมาด้วย ไม่งั้นจะไม่ได้สอบ เพราะจะถึงวันไกล้สอบแล้ว กว่าจะตามตัวแต่ล่ะคนได้
เกือบจะไม่ได้สอบ หลังจากนั้นฉันก็ประพฤติตนเป็นคนดี ไม่ว่าจะมีใครมายุแย่ให้ฉันไปมีเรื่องกับใครฉันก็ไม่ทำ และแล้วคนที่ฉันรักมากที่สุดคือตาของฉันก็ได้เสียชีวิตลงด้วยวัย72ปี เนื่องจากเป็นโรคเบาหวานได้30ปี ตาของฉันรักฉันมาก แต่ฉันดุแลตาไม่ดี ตอนท่านป่วยฉันก็ไม่ไปเยี่ยมที่โรงพยาบาลเลย เพราะมีคนดูแลตาแล้ว ฉันแย่มาก ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ ฉันอยากจะดูแลท่านไห้ดีกว่านี้ ฉันเพิ่งจะมารู้สึกเสียใจเมื่อตอนที่ได้เสียท่านไป ตอนตาตายได้เอาศพกลับมาบ้านตอนที่ยังไม่ได้ใส่โรง ตาของฉันตายตาไม่หลับ ครอบครัวของฉัน พากันร้องไห้กับการจากไปของตาโดยไม่มีวันกลับ ตาเป็นผู้นำของครอบครัวเคยเป็นอดีตผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน เวลามีเรื่องอะไรชาวบ้านก็มักจะมามเรียกตาไปพูดเคลียร์เรื่องต่างๆให้ เมื่อไม่มีตาแล้วไม่ค่อยมีคนไห้ความเคารพ เดือดร้อนอย่างไรก็ไม่มีคนสนใจ ญาติพี่น้องก็พึ่งไม่ได้ ตอนมัธยมศึกศาปีที่6 เทอม1 ฉันก้ได้มีแฟนอีกครั้งหลังจากที่เคยมีแฟนตอนมัธยมศึกศาปีที่3ก้อกหักมาตลอด ทีนี้ก็ได้มาคบกับคนหนึ่ง ทีแรกเขาก็เอาอกเอาใจฉัน แคร์ฉัน ครั้งนี้คิดว่าใช่แล้วแต่กลับไม่เป็นอย่างนั้นฉันก็โดนหักอกอีก เขาไปมีคนใหม่ ตอนนั้นฉันแค้นมาก ฉันเจ็บใจที่ว่าคบกับใครก็ได้เลิกหมดทุกคน เขาก็ได้แต่งงานกับเด็กมัธยมศึกศาปีที่3ตอนนี้เขาก็มีลูกแล้ว ผู้ชายทีแรกก็เอาอกเอาใจ ทุ่มเท เทคแคร์ พอนานไปก็ตรงกันข้ามสันดานก็ออก ฉันเลยพักหัวใจไว้ก่อน เตรียมตัวสอบเข้ามหาลัย ฉันก็ลังเลใจ ไม่รู้จะเรียนคณะอะไร สาขาอะไร
ฉันเลือกที่เรียนไว้3ที่คือ มหาวิทยาลัย มหาสารคาม มหาวิทยาลัยราชพัฎมหาสารคาม
มหาวิทยาลัยประทุมธานี แล้วฉันก็เลยเลือกเรียนที่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม เพราะใกล้บ้านที่สุดเลือกคณะศึกษาศาตร์ เอกจจิตวิทยา เพราะฉันอยากจะเข้าใจการกระทำของมนุษย์แต่ละคนว่ามีความแตกต่างกันอย่างไร จะได้อยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุข ด้วยความเข้าใจ ก่อนวันจะสอบสำภาษณ์รุ่นพี่ก็พาน้องๆมาทำกิจกรรมทำไห้มีความสนุกสนานแล้วก็แนะนำน้องๆเกี่ยวกับการสอบสำภาษณ์ ฉันก็ได้รู้จักเพื่อนๆหลายคน
ชีวิตมีค่า เวลาที่มีอยู่ใช้ให้คุ้มกับคนที่เขาหวังดี รักเรา เถอะนะ...รักตัวเองให้มากขึ้น...มองโลกให้กว้างกว่านี้ แล้วก้จะเห็นอะไรดี ๆ มากมาย แล้วฉันชอบกลอนนี้มากเลยเอามาจากอินเตอร์เน็ตเพื่อไว้เตือนใจตัวเอง
คนอกหัก เชิญทางนี้ !
คนอกหัก เชิญทางนี้ มียาแก้
มีบาดแผล มาจากใคร ใช่ปัญหา
เคยร้าวราญ จากไหน เชิญเข้ามา
จะรักษา ใจให้ ไม่คิดตังค์
ก่อนกินยา ฟังทางนี้ ให้ดีก่อน
ไม่ใช่สอน แต่อยากให้ ได้สมหวัง
อยากหายขาด ต้องฉลาด และระวัง
จะลุกนั่ง ยามตื่นอยู่ ให้ดูใจ
ถามตัวเอง หน่อยเถิด เกิดชาตินี้
เกิดมาแล้ว ทั้งที จะไปไหน
ชีวิตตน จะแขวนไว้ กับสิ่งใด
หรือจะให้ เขากระชาก ลากไปตาย
ฉลาดคิด จงถอนจิต อย่างี่เง่า
ชีวิตเรา เริ่มใหม่ได้ ไม่มีสาย
ตัวของเรา ตัวของเขา ตัวของใคร
ต้องก้าวไป ข้างหน้า หาสิ่งดี
ขยายรัก ออกไป ให้กว้างกว้าง
ทั่วทุกทิศ ทุกทาง อย่าหน่ายหนี
จะถูกรัก รุมล้อม ตอมชีวี
ทำอย่างนี้ อกไม่หัก เพราะรักลวง.
ความอบอุ่น
ความอบอุ่น ใดใด ในโลกหล้า
หรือจะเท่า ศรัทธา ในตัวท่าน
ทำถูกต้อง แล้วพอใจ ไปนานนาน
จะเบิกบาน อบอุ่นใจ ไร้กังวล
อบอุ่นใจ เพราะมีใคร เป็นที่พึ่ง
ณ วันหนึ่ง อาจปวดใจ ได้สักหน
จงแกร่งกล้า ด้วยมั่นใจ ในจิตตน
จงอยู่ด้วย เหตุผล และ ปัจจุบัน.
ประวัติส่วนตัว
ชื่อ นางสาวนันธิยา มูลกวนบ้าน
รหัสประจำตัว 52010517106
คณะศึกษาศาสตร์ สาขาวิชาจิตวิทยา
ชื่อเล่น นิ่ม อายุ 18 ปี
เกิดวันอังคาร ที่ 19 กุมภาพันธ์ 2534 เวลา 03.45 น.
ตรงกับวันอังคารขึ้น 6ค่ำ เดือน 4ปีมะแม น้ำหนัก 2,800 กรัม
เชื้อชาติไทย สัญชาติไทย ศาสนาพุทธ
สถานภาพ โสด
สถานที่เกิด โรงพยาบาลบรบือ อำเภอบรบือ จังหวัดมหาสารคาม
ย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2534 ที่ปัจจุบัน บ้านเลขที่ 23/1 หมู่ 2 บ้านแดงน้อย ตำบลกำพี้ อำเภอบรบือ
จังหวัดมหาสารคาม รหัสไปรษณีย์ 44130
บิดาชื่อนายบุญจันทร์ มูลกวนบ้าน
มารดาชื่อนางบุญเล็ง บุดดี
เกิดวันที่ 10 มีนาคม 2507
บิดามารดา ประกอบอาชีพ รับจ้าง
มีพี่น้องร่วมบิดา-มารดาเดียวกัน 2คน รวมดิฉันด้วย
ดิฉันเป็นบุตรคนที่ 2
คนที่1 ชื่อ นางสาวจารุวรรณ มูลกวนบ้าน อายุ 24ปี
สีที่ชอบ สีชมพู สีฟ้า สีส้ม
อาหารที่ชอบ ข้าวผัดหมู
คติประจำใจ การเดินทางต้องมีเข็มทิศ การดำเนินชีวิตต้องมีเป้าหมาย
ประวัติการศึกษา
อายุ 5 ขวบ เข้าโรงเรียนอนุบาลที่โรงเรียนบ้านแดงน้อย ตำบลกำพี้ อำเภอบรบือ จังหวัดมหาสารคาม
ตอนที่เรียนอยู่อนุบาลดิฉันชอบมากเลยไปโรงเรียนก็มีเพื่อนเล่น พอถึงตอนเที่ยงกินข้าวเสร็จแล้วก็นอน ตื่นขึ้นคุณครูก็จะให้นมคนละถุง ส่วนมากก็จะเป็นนมรสจืดเพราะมีประโยชน์ต่อร่างกายมากแต่ตอนเด็กๆดิฉันจะไม่ชอบนมรสจืดเพราะรู้สึกว่ามันไม่อร่อย พอกลับบ้านก็ไปวิ่งเล่นกับเพื่อนอย่างสนุกสนานเป็นชีวิตที่มีความสุขมาก
อายุ 7 ขวบ ก็เข้าเรียนขั้นประถมศึกษาปีที่ 1 – 6 ที่โรงเรียนบ้านแดงน้อยเหมือนเดิม ตอนที่ดิฉันเรียนอยู่นั้นมีนักเรียนไม่ถึง 200คน ครูและบุคลากรก็ไม่ถึง 10คน นักเรียนและครูในโรงเรียนต่างก็รู้จักกันหมดทุกคน ตอนเช้าดิฉันก็จะรีบไปโรงเรียนแต่เช้า ไปรดน้ำต้นไม้ รดน้ำผักที่ครูให้ปลูกไว้เพื่อเอาคะแนน หลังจากนั้นก็มาเข้าแถวเคารพธงชาติตามลำดับชั้น และคนที่สูงก็จะได้เข้าแถวอยู่หัวแถว เรียงลำดับไปเรื่อยๆ ดิฉันก็จะได้เข้าแถวอยู่ใกล้ๆ ลำดับสุดท้ายเพราะว่าดิฉันเป็นคนตัวเล็ก พอถึงตอนเที่ยงก็รับประทานอาหารกลางวัน
พอทานข้าวเสร็จก็ขี่จักรยานกลับบ้านเอาจาน – ชาม ไปเก็บไว้ แล้วก็มาใหม่ มาเรียนตอนบ่ายดิฉันก็จะทำอย่างนี้เป็นประจำทุกวันจนดิฉันจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 6
หลังจากนั้นก็เข้าไปเรียนต่อชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 – 6ที่โรงเรียนเหล่ายาววิทยาคาร ตำบลกำพี้ อำเภอบรบือ จังหวัดมหาสารคาม เขตพื้นที่การศึกษามหาสารคามเขต 1
เป็นโรงเรียนประจำตำบล ทีมีขนาดเล็กมีนักเรียนไม่ถึง 1,000คน ครูและบุคลากรมีไม่ถึง 20 คน มี 3 อาคารเรียน โรงฝึกงาน 1 แห่ง โรงอาหาร 1 แห่ง
ตอนที่ดิฉันเข้าไปเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ใหม่ๆ ตอนนั้นเพื่อนก็มีไม่ค่อยมากส่วนมากก็จะรู้จักแต่เพื่อนที่มาจากโรงเรียนเดียวกัน
พอถึงตอนที่เรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6ตอนนั้นดิฉันได้เป็นคณะกรรมการนักเรียน ช่วงที่เรียนชั้น ม. 6 นั้น เป็นช่วงที่กำลังวุ่นกับการหาที่ศึกษาต่อ ครูแนะแนวที่โรงเรียนก็พาไปรับฟังการแนะแนวจากหลายๆสถาบันนอกโรงเรียน ตอนรอบโควตานั้นส่วนมากจะสมัครแต่ของคณะสาธารณสุข เกือบหมดทุกมหาวิทยาลัยเพราะตอนนั้นอยากเรียนมาก บางที่ก็ติด เช่น ที่มหาวิทยาลัยปทุนธานี แต่ดิฉันก็ไม่เอา หลังจากที่รอบโควตาไม่ได้แล้วก็เลยมาสอบรอบ Admission จนมาถึงวันที่ประกาศผลไปดูรายชื่อดิฉันติดอันดับที่ 2 คณะศึกษาศาสตร์ สาขาวิชา จิตวิทยา ตอนนั้นดิฉันรู้สึกภาคภูมิและดีใจมากที่สอบติดและมีที่เรียนเพื่อนๆสอบด้วยกันก็ติดหมดทุกคนและหลังจากนั้นดิฉันและเพื่อนๆต่างก็พากันไปฉลองทั้งดีใจที่สอบติดและเสียใจที่ไม่ได้เรียนต่อที่เดียวกันเพราะทุกคนต่างสอบติดคนละที่
หลังจากนั้นประมาณเดือนมิถุนายน 2552 ดิฉันก็ได้เข้ามาเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยมหาสารคามแห่งนี้มีเพื่อนอีกคนหนึ่งที่สอบติดรอบ Admissionด้วยกันและพักอยู่ห้องเดียวกันแต่เรียนอยู่คนละคณะซึ่งก็ถือว่าสนิทกันมากเลยทีเดียว
มีอะไรเราก็จะปรึกษากันเข้าปี 1 เขาจะเรียกว่า Freshyเพราะเป็นน้องใหม่และหลังจากนั้นทางมหาวิทยาลัยก็มีกิจกรรมเยอะแยะให้นิสิตปี 1 เข้าร่วม อาทิ เช่น เข้าคลาสเชียร์เพื่อสร้างความสามัคคีในหมู่คณะและให้เราพิสูจน์ให้รุ่นพี่เห็นว่าเรามีประสิทธิภาพและที่สำคัญทำให้เรารู้จักเพื่อนใหม่ทั้งเรียนอยู่คณะเดียวกันและต่างคณะซึ่งเป็นกิจกรรมที่ดีอีกอย่างหนึ่ง
★*.."บนถนนไม่ใช่ว่าจะพบแต่กลีบดอกไม้
อาจพบทั้งร้อนและหนาวเรื่องราวร้อยพัน
แต่จะดีหรือว่าร้ายอย่างไรก็มีฉัน
และไม่มีวันที่ฉันจะทิ้งเธอไป" *★.• •*.:。✿✲-•(¯`°.•°•.★* *★ .•°•
"โลกมันหมุนให้เธอได้พบได้มาเจอฉัน
และอาจหมุนให้เธอและฉันนั้นแยกไป
แต่ใจฉันนั้นไม่ได้หมุนไปกลับวันที่เปลี่ยนไป
จะนานแค่ไหนฉันก็คือ ฉันคนเดิม"
...♥♥♥..........♥♥♥......
ขอบคุณที่ทำให้เราได้รู้จักกัน
PSYCHOLOGY...(PSY)
ประวัติส่วนตัว
ข้าพเจ้าชื่อนางสาวชนากานต์ เข็มเพชร เกิดเมื่อวันที่ 12 เดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2533 ชื่อเล่นปิ๊กกี้ อายุ 19 ปี อาศัยอยู่บ้านเลขที่ 6 หมู่ที่ 15 บ้านหวาย ตำบลสามัคคี อำเภอเลิงนกทา จังหวัดยโสธร 35120 เบอร์โทรศัพท์ 0831014712 E-mail : picky_nanak3312@hotmail.com Hi5 : pukpik_bang00@hi5.com กรุ๊ปเลือด B ศาสนาพุทธ สัญชาติไทย
ข้าพเจ้าชอบสีชมพู สีเหลือง สีม่วง ในยามว่างชอบดูโทรทัศน์ ฟังเพลง เล่นเกมส์ HI5 MSN ส่วนใหญ่จะชอบอยู่กับโทรทัศน์มากกว่าอ่านหนังสือ สัตว์เลี้ยงที่แสนจะโปรดคือ ปลาทอง การ์ตูนที่ชอบ หมีพูห์ POOH ชอบเป็นชีวิตจิตใจ นิสัยเป็นคนรักสนุกแต่ไม่ผูกพัน ร่าเริง สดใส แอ๊บแบ๊ว น่ารัก 555 รักคนที่คิดดีต่อเรา เกลียดคนที่ประสงค์ร้ายต่อเรา ตั้งแต่ที่ข้าพเจ้าได้เข้ามาศึกษาเล่าเรียนข้าพเจ้าจะมีคติประจำตัวอยู่เสมอว่า “ ทำวันนี้ให้ดีที่สุด แล้ววันข้างหน้าก็จะดีเอง ” นี่เป็นสิ่งเตือนใจข้าพเจ้าเสมอมาและในยามที่ข้าพเจ้าท้อแท้ หรือสิ้นหวังขาดกำลังใจ ข้าพเจ้าก็จะมีพ่อแม่ และเพื่อน ที่คอยให้กำลังใจข้าพเจ้าอยู่เสมอมา และมีบทเพลงหนึ่งของคาราบาวที่ข้าพเจ้าใช้เป็นเครื่องเตือนใจ ให้มีกำลังใจลุกขึ้นสู้ คือบทเพลง ทะเลใจ ซึ่งมีเนื้อหาดังนี้
เหมือนชีวิตได้ผ่านเลยวัยแห่งความฝัน วันที่ผ่านมาไร้จุดหมาย ฉันเรียนรู้เพื่ออยู่เพียงตัวและจิตใจ
เป็นมิตรแท้ที่ดีต่อกัน เหมือนชีวิตผันผ่านคืนวันอันเปลี่ยวเหงา ตัวเป็นของเราใจของใคร
มีชีวิตเพื่อสู้คืนวันอันโหดร้าย คืนที่ตัวกับใจไม่ตรงกัน คืนนั้นคืนไหน ใจแพ้ตัว คืนและวันอันน่ากลัวตัวแพ้ใจ ท่ามกลางแสงสีศิวิไลซ์ อาจหลงทางไปไม่ยากเย็น คืนนั้นคืนไหน ใจเพ้อฝัน
คืนและวันฝันไปไกลลิบโลก ดั่งนกน้อยลิ่วล่องลอยแรงลมโบก พออับโชคตกลงกลางทะเลใจ
ทุกชีวิตดิ้นรนค้นหาแต่จุดหมาย ใจในร่างกายกลับไม่เจอ ทุกข์ที่เกิดซ้ำ เพราะใจนำพร่ำเพ้อ
หาหัวใจให้เจอก็เป็นสุข คืนนั้นคืนไหน ใจแพ้ตัว คืนและวันอันน่ากลัวตัวแพ้ใจ ท่ามกลางแสงสีศิวิไลซ์ อาจหลงทางไปไม่ยากเย็น คืนนั้นคืนไหน ใจเพ้อฝัน คืนและวันฝันไปไกลลิบโลก
ดั่งนกน้อยลิ่วล่องลอยแรงลมโบก พออับโชคตกลงกลางทะเลใจ ทุกชีวิตดิ้นรนค้นหาแต่จุดหมาย
ใจในร่างกายกลับไม่เจอ ทุกข์ที่เกิดซ้ำ เพราะใจนำพร่ำเพ้อ หาหัวใจให้เจอก็เป็นสุข
ทุกข์ที่เกิดซ้ำ เพราะใจนำพร่ำเพ้อ หาหัวใจให้เจอก็เป็นสุข
เมื่อยามที่สิ้นหวังได้ฟังเพลงนี้แล้วรู้สึกดี มีกำลังใจที่จะลุกขึ้นสู้ ต่อไปโดยเฉพาะ ช่วงนี้จะสอบเข้าศึกษาต่อในระดับปริญญาตรี เป็นช่วงที่กดดันมาก คิดหนัก ถึงขั้นกินไม่ได้นอนไม่หลับเลยทีเดียว ซึ่งข้าพเจ้าก็เป็นความหวังของพ่อแม่ ในช่วงที่กำลังศึกษาอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ข้าพเจ้าก็ทำตัวไม่น่ารัก กลับบ้านก็ค่ำ ไปเปรียวกับเพื่อนสาวที่สนิทกันมาก ทำให้พ่อแม่ต้องคิดหนัก เนื่องจากช่วงม.6 ต้องคิดหนักกับชีวิต เลยไปหาอะไรที่สบายใจทำ แต่สิ่งที่ทำไปกลับทำให้พ่อแม่ต้องเป็นห่วง เมื่อนึกถึงบทเพลงทะเลใจ ก็ทำให้ข้าพเจ้าต้องปรับปรุงตัวเองใหม่ เป็นคนใหม่ เริ่มกลับมาสู้ชีวิตอีกครั้ง ช่วงจะสอบ O-NET ก็พอมีเวลาอ่านหนังสือบ้าง แต่สอบ A-NET ซิหนังสืออ่านไม่เต็มที่เลย เพราะมีอะไรให้กังวลหลายอย่าง ไปสอบที่ไหนก็ไม่ติด ก็เลยรอรอบแอดมิชั่น
เป็นความหวังสุดท้ายที่ตื่นเต้นมากเลย กลัวจะสอบไม่ติด ตอนนั้นลง คณะสาธารณสุขศาสตร์ อันดับที่ 1 คณะวิทยาศาสตร์ อันดับ 2 ปฐมวัย อันดับ 3 จิตวิทยา อันดับ 4 แต่สุดท้ายผลออกมาติดอันดับ 4 สาขาจิตวิทยา มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ดีใจมากๆๆค่ะ
ประวัติการศึกษา
- เข้าศึกษา พ.ศ. 2539 – 2546 ชั้นอนุบาลจนถึงชั้นประถมศึกษาปีที่6 ที่โรงเรียนบ้านหวาย ตำบลสามัคคี อำเภอเลิงนกทา จังหวัดยโสธร
- เข้าศึกษา พ.ศ. 2546 – 2549 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1-3 ที่โรงเรียนเลิงนกทา อำเภอเลิงนกทา จังหวัดยโสธร ในวันที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2546 – 27 มีนาคม 2549 เป็นนักเรียนที่มีผลการเรียนดีเด่น ตลอดหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน ช่วงชั้นที่3 ลำดับที่34 ( 3.52 )
- พ.ศ. 2549 – 2552 ศึกษาต่อชั้นมัธยมศึกษาปี่ที่ 4-6 โรงเรียนเลิงนกทา อำเภอเลิงนกทา จังหวัดยโสธร ผลการเรียนตลอดหลักสูตร 3.28 สำเร็จการศึกษาตามหลักสูตรขั้นพื้นฐาน เมื่อวันที่ 26 เดือนมีนาคม พ.ศ. 2552
- ปัจจุบัณกำลังศึกษาในระดับปริญญาตรี ที่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม คณะศึกษาศาสตร์ สาขาจิตวิทยา
ในระหว่างที่ข้าพเจ้าได้ศึกษาในมหาวิทยาลัยมหาสารคาม ข้าพเจ้าก็ได้เริ่มการเปลี่ยนแปลงชีวิตใหม่ จากที่เคยอยู่กลับครอบครัว ต้องมาอาศัยอยู่กับเพื่อนๆ เป็นชีวิตที่อิสระอย่างทำอะไรก็ทำ แต่บางครั้งสิ่งที่อิสระสำหรับเรามันก็ทำให้เหงาต่างจากที่อยู่กับครอบครัวสนุกสนาน อยู่มหาวิทยาลัยก็ใช้ชีวิตอีกแบบอยู่บ้านก็อีกแบบ ข้าพเจ้าศึกษาในสาขาจิตวิทยาได้รู้จักกับเพื่อนๆมากหน้าหลายตา ที่มาจากหลายๆๆจังหวัด ต่างคนที่มาศึกษาก็ต้องจากบ้านมาอยู่ในโลกอีกแบบหนึ่ง แต่พวกเขาก็ตั้งใจที่จะศึกษา เล่าเรียนให้สำเร็จตามเป้าหมายที่ทุกคนวาดไว้ เหมือนกับข้าพเจ้าที่ตั้งใจจะศึกษาให้จบตามเป้าหมายของตัวเองและพ่อแม่ สิ่งแรกที่ได้เข้ามาศึกษาในสาขาจิตวิทยาคือการเข้าใจ เข้าใจตนเองและคนอื่น ข้าพเจ้าก็เริ่มเรียนรู้อะไรต่างๆมากมาย เพื่อนๆที่เรียนจิตวิทยาด้วยกัน ต่างก็เป็นคนน่ารัก ตั้งใจศึกษาเล่าเรียนกันทุกคนเลย เพื่อนที่รู้จักในสมัยเรียนม.ปลาย ก็ไม่ต่างจากเพื่อนที่เรียนจิตวิทยาด้วยกัน ทุกคนสนุกสนาน ร่าเริง สดใส
เขียนโดยชนากานต์ เข็มเพชร
52010517101
นาย กฤษณะ เริงสูงเนิน คณะศึกษาศาสตร์ สาขาจิตวิทยา รหัสนิสิต 52010521010
!!!!!!!!!!!! ประวัติปืนจิตวิทยา!!!!!!!!!!!!!
ประวัติปืนใครอ่านสนุกแน่!!!!!!!!!!!!!!!รับรองเจนี้**************Confirm*********
ประวัติ
ผมชื่อ นาย กฤษณะ เริงสูงเนิน คับ ครอบครัวของผมมีทั้งหมดสี่คนคับ พ่อของผมชื่อ จ.ส.อ ประสาน เริงสูงเนินคับ คุณพ่อของผมทำงานเป็นทหารที่ค่ายศรีพัชรินทร์ จังหวัดขอนแก่นคับ ส่วนคุณแม่ของผมทำงานที่โรงพยาบาลค่ายศรีพัชรินทร์คับ จังหวัดขอนแก่นคับ ส่วนน้องของกระผมชื่อ นาย นรากร เริงสูงเนิน คับ น้องผมเรียนอยู่ที่โรงเรียนขามแก่นนครคับ จังหวัดขอนแก่นคับ ตอนนี้น้องผมกำลังศึกษาอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปี่ที่5/2คับ ผมเกิดที่จังหวัดนครราชสีมาคับ เกิดที่โรงพยาบาลเซ็นเมรี่คับ จังหวัดนครราชสีมา เกิด วันที่10 กันยายน 2533 เวลาประมาณ 01.46 นาทีคับ
วันแรกที่ผมเกิดมานั้น จากที่พ่อและแม่ของผมเล่ามานั้น พ่อแม่ของผมบอกว่า ผมมีน้ำหนนักโครตหลายเลยตอนออกมานั้น และก็ผิวขาว พ่อของผมบอกว่าผมออกมาแล้วหน้าตาผมคล้ายแม่มากเลยคับ พ่อหลังจากคลอดเสร็จ พ่อของผมบอกว่าแม่ของผม พักฟื้นประมาณ สองวันได้คับและหลังจากออกโรงพยาบาลแม่ของผมก็ได้ลาหยุดพักงาน จากการเป็นพยาบาลประมาณ สองเดือนกว่าได้ จากที่แม่ผมเล่ามานะ แม่ของผมได้ดูแลผมเป็นอย่างดีเลยคับ หลังจากนั้นแม่ของผมก้อเล่าว่าแม่ของผมได้พาไปหาพระที่วัด วัดชื่อ วัดป่ารัตนมงคล จังหวัดขอนแก่น แม่ของผมได้พาไปวัดนั้นเพื่อที่จะตั้งชื่อของผม พระท่านเลยตั้งชื่อว่า กฤษณะ หลังจากดูดวงดูชะตาแล้ว เลยได้ชื่อนี้คับ มันแปลว่า กฤษณะนั้นเป็นชื่อเทพองค์หนึ่งในศาสนาพราหมณ์เทพองค์นั้นชื่อ พระกฤษณะคับ นี้ละคือที่มาของชื่อของผมที่คุณแม่เล่ามาคับ พอผมอายุได้สักปีกว่าๆนั้น แม่ของผมก้อตั้งท้องมาอีกครั้งคับ คราวนี้ก็เป็นผู้ชายอีก คนนี้ที่คลอดออกมาก้อคือน้องของผมคับ แม่ของคลอดที่โรงพยาบาลเซ็นเมรี่ จังหวัดนครราชสีมาอีกแล้วคับ แม่ของผมบอกว่าน้องของผมคลอดออกมานั้นตัวดำกว่าผมอีก นี้คือคำที่แม่เล่าออกมาจากปากของคุณแม่ของผมเอง และแม่ของผมก็ไปที่วัดเดิมอีกเพื่อให้พระท่านตั้งชื่อให้น้องของผมอีกครั้งคับ พระท่านเลยตั้งชื่อของน้องชื่อ นาย นรากร หมายความว่า นักรบที่กล้าแกร่ง นี้คือความหมายของชื่อน้องผม จากปากของคุณแม่ที่เล่ามาให้ฟัง ตอนนั้นผมอายุประมาณ1-2ขวบ แม่ของผมเล่าว่าผมเกือบถูกรถชนตายแล้ว เพราะว่าแม่ของผมกำลังทำกับข้าวอยู่ พ่อของผมก็ไปทำงาน เลยมีแค่แม่ของผมคนเดียวที่ดูแลผมและของเพียงลำพัง พอแม่กำลังทำกับข้าวอยู่นั้น ผมก็คานไปที่จะหาคุณแม่ แต่ทางที่คานไปนั้นผมกลับคานไปที่หน้าบ้าน แล้วคานไปที่ถนนพอดีมีคนแถวละแวกนั้นเห็นเลยวิ่งเข้ามาเอาผมทั้งพอดี ไม่งันผมตายแล้ว พอผมอายุได้ประมาณ 1 ขวบกว่าๆ ผมได้เข้าเรียนที่โรงเรียนอนุบาลปิ่นทิพย์ จังหวัดขอนแก่นตอนช่วงนั้นผมก็มีวีรกรรมนะคับ ผมได้เข้าไปเล่นสนามเด็กเล่น ผมก็เล่นเหมือนเด็กธรรมดาทั่วไปนั้นละคับ พอดีเพื่อนของผมตีกัน เป็นเด็กชายกับหญิงเพื่อนของผมนั้นแย่งกันกินขนมกันเลยตีกัน แล้วจากนั้นผมเป็นเพื่อนที่ดีผมก็เลยไปแยกเพื่อนออกจากกัน ผมเลยกลับถูกเพื่อนทั้งสองตีผมแทน ผมก็ไปสู้ผมวิ่งไปฟ้องคุณครู หลังจากนั้นเพื่อนทั้งสองคนนั้นเขาก็ไม่เล่นกับผมอีกเลย แต่ผมก็ไม่แคร์สื่อ พอประมาณปอสอง ผมเริ่มฉายแววความเป็นกระเทย พ่อและแม่ของผมเริ่มรับผมได้ตอนปอสอง และหลังจากนั้นแม่ของผมก็เริ่ม ซื้อพวกเครื่องแต่งตัว และ ให้ใส่เสื้อผ้าของผู้หญิง และแม่ของผมก็ให้ของผม ก็ให้ผมปักกิ๊ฟของผู้หญิงในตอนนั้นแม่ของผมสับสนุนในการเป็นสาวประเภทสองอย่างยิ่ง และในตอนสมัยประถมนั้น ผมมีชื่อเล่นที่แบบว่าไม่ซ้ำกันเลยคับ ตอนประถมหนึ่ง ชื่อน้องกวาง ประถมสองชื่อ ปุยฟ้าย ละอองดาว คว้าฝัน ประถมสามชื่อ มรกต จีน่า คำหล้า เป้ย ประถมสี่ชื่อ นุน องุ่น ทาทา นก แดงน้อย ประถมห้า ชื่อ ฟ้า ดาว ปลาปลายัง ประถมหกชื่อ อั้ม เป้ยอีกครั้ง ตามคำเรียกร้อง
ประถมหก ชื่อ เป้ยอีกแล้ว แล้วต่อมาก็เรียกว่า เพียว จนมาถึงมัธยมศึกษาปีที่หก และสุดท้ายก็มาใช่ชื่อที่แม่เรียกมาตลอดว่า อีปืน จนถึงณ ปัจจุบันคับ ในตอนสมัยประถมนั้น การแต่งตัวไปเรียนแต่ละครั้งต้องเสิคเสมอ ในสมัยสาวๆๆนั้น ปืนมั่นใจในตัวเองสูงมาก ขนาดฤดูหนาว เสื้อกันหนาวของ เจ๊ปืน จะมีแต่สีเสิค เช่น สีเขียวลายดอกเหมย สีชมพูลายดอก สีแสดขาวแทบน้ำเงิน และกิ๊ฟปักผมนั้นสีจะไม่ซ้ำกันเลยในแต่ละชั่วโมง พอพักแต่ละวิชานั้นจะรีบไปห้องน้ำเลยไปเพื่อ ที่จะแต่งหน้าให้สวยกว่าครูๆทุกคนภายในโลกเรียน และเพื่อนๆในห้องด้วย ตอนสมัยมัธยมศึกษาตอนนั้น จะมีการเข้าค่ายลูกเสื้อนั้นสนุกมากเลย เพราะในช่วงเวลานั้นกลุ่มกระเทยของพวกเรานั้น จะเป็นจุดเด่นมากในการฝึกแต่ละฐาน ในเวลาตอนกลางคืนนั้น ก็จะเป็นเหล่า กระเทยน้อยทั้งหลายแสดงรอบกองไฟนั้น ในการแสดงแต่ละชุดนั้นมีแต่เสิคแล้วก็แต่หญิงกันทั้งนั้น พอหลังจากประชุมกลองไฟเสร็จแล้ว พวกเราก็จะพากันไปห้องน้ำเพื่อที่จะเก็บข้าวของให้เข้าที่และพับชุดต่างๆๆ แต่แล้ว เพื่อนสาวของเรานั้นก็ไปวิ่งไม่กันในห้องน้ำแข่งกัน เสิคๆๆๆๆอย่างแรง และพอวิ่งไม่ที่ห้องน้ำเสร็จ พวกเราก็พากันไปที่พักของเรา เพื่อนๆๆๆของเรานั้นวิ่งไม่ที่ห้องยังไม่พออีก ยังพากันวิ่งไม้ที่เต้นที่พักอีก เหล่าบรรดาผู้ชายทั้งหลาย ที่ตาอดตายากมาจากไหนก็ไม่รู้ ก็มารุมเพื่อนสาวของปืน เหมือนกับว่ามารุมข่มขื่นผู้หญิงที่สวยคนหนึ่งของในวันนั้น ปืนถามเพื่อสาวว่าเป็นไงบ้างมึง รู้ไหมเพื่อนตอบว่าไร เพื่อนมันบอกว่า “ทีละคนสิจะรีบไปไหน ได้กันทุกคน” พอเพื่อนปืน พูดกับผู้ชายแบบนี้แล้ว ปืนก็ไม่ห่วงมันแล้วพวกเราก็เลยพากันกับไปที่เต้นของเรา พอพวกปืนถึงเต้นแล้ว ก็ยังมีผู้ชายตามมาหาปืนเพราะเราสวยมัง อิอิอิ เราก็จัดไปสักดอกหนึ่ง อิอิอิ พูดเล่น และหลังจากนั้นพอตื่นเช้ามาพวกครูฝึกจะให้ทุกคนวิ่งออกกำลังกายตอนเช้า พอถึงเวลาวิ่งนั้น เพื่อนสาวของปืนแต่ละคนนั้น ต่างคน ต่างไม่ได้นอนขุมตาเขียวกันทั้งนั้น เพราะต่างคนต่างไปวิ่งไม้จน ไม่มีแรงกันเลย ในสมัยมัธยมนั้นปืนเป็นเด็กกิจกรรมนะคับ โดยเข้าร่วมแข่งขันแกะสลักผมไม้ ในตอนนั้นอาจารย์ส่งผมประกวดคนเดี่ยว รู้ไหมได้รางวัลที่ไหนมา ได้รางวัลที่สาม ถึงจะได้ที่สามแต่ก็ภาคภูมิใจเพราะมันเป็นผีมือของเราเอง และเราได้ใช่ความสามารถของเราเอง และปืนก็ได้เข้าร่วมแข่งขันการทำขนมบัวลอย ไปแข่งขันที่โรวเรียนกัลยาณวัตร ตอนนั้นพวกปืนได้รางวัลที่สองมาครอง และนอกจากที่เราจะทำกิจกรรมทางโรงเรียนแล้ว ปืนยังเป็นนักกีฬาบอลเลย์บอลของโรงเรียนอีกด้วย ในตอนนั้นผมเป็นตำแหน่งมือเซต ในเวลาการแข่งขันวอลเลย์บอลนั้น หัวใจหักไม่ใช่มือตบ หัวใจหลักคือ มือเซต เพราะถ้ามือเซต เซตไม่ดีก็จะทำให้เกมส์ในการเล่นของทีมนั้นเน่าไปด้วยทั้งหมดเลย ตอนที่ปืนเป็นนักกีฬาบอลเลย์บอลนั้น ปืนซ้อมหนักมากเลยคับตอนนั้นสมัยตอนประถมไม่มีกล้ามเนื้อเลย แต่พอมาเล่นวอลเลย์บอลนั้นทำให้ทุกอย่างของปืนนั้น สันขึ้นมาในพริบตาเดียวเลย พอซ้อมกีฬาเสร็จพวกเราก็จะพากันไปกินข้าวที่ร้านประจำเพราะในการซ้อมแต่ละครั้งพวกเรานั้นซ้อมเสร็จดึกมากเลย และถ้าสมุติว่าในวันที่พวกเราซ้อมเสร็จแล้วแล้วในวันนั้นมีหมอลำ พวกเราก็จะนัดกันไปดูหมอลำกัน
ในการไปแต่ละครั้งนะ คนไหนที่ไม่เต้นหน้าห้านคนนั้นไม่ใช่เพื่อนกู ดูๆๆๆเพื่อนมันพูด พวกเราก็เลยเต้นหน้าห้านกัน ในการไปแต่ละครั้งพวกเราหมดตังเกือบคนละสองร้อยบาท กว่าๆๆเพราะพวกเราต้องเลี้ยงเหล่าผู้ชาย และเพื่อนบางคนที่ไม่สวยก็ต้องมอมเหล้าผู้ชาย ฮ่าๆๆๆตลกมากเลย และในการดูหมอลำแต่ละครั้งพวกเราจะดูจนสว่างเลย จนทุกคนง่วงนอนกัน และบางครั้งตอนขาไปเพื่อนทุกคนอยู่ครบ แต่ตอนขากลับอ้าว กลับไม่ครบ เพราะเพื่อนบางคนนั้นเขาไปขึ้นสวรรค์ไม่รู้ว่าเพื่อนคนนั้นไปขึ้นสวรรค์ที่ไหนก้อไม่รู้ ส่วนหนูก็เต้นอยู่หน้าฮ้านแล้วจากนั้นถึงไปหาผู้ชายที่มอมเหล้าไว้ แล้วก็ไปในที่ประจำของพวกเรา(ในป่าหลังวัด) วันรุ่งขึ้นต่อมาเราก็จะตอนปางตายที่บ้านเพราะเหนื่อยจากการที่ได้ออกกำลังกายหนักตลอดทั้งคืน เอาละค่ะมันไร้สาระมานานแล้วเราก็จะเข้าเนื้อหาใจความหลังของเราซะที สรุป หนูก็เป็นคนดีนะค่ะ ถึงแม้บางครั้งหนูจะเกเรไปบ้างแต่โดยรวมแล้วหนูสวยค่ะ แต่งานอดิเรกของหนูและชมรมกระเทยไทย ก็คือการเดินเที่ยวห้างหลังเลิกเรียน ขอย้ำนะคะว่าเดินเที่ยวห้าง ไม่ได้ไปซื้อของแต่ปัจจุบันนี้พอหนูได้เข้ามหาลัยก็ไม่ค้อยได้เจอกะชมรมกระเทยไทยที่อยู่แถวบ้าน ถ้าจะเจอกันก็เสาร์ อาทิตย์ ส่วนจันทร์ถึงศุกร์หนูก็จะชอบไปเดินตลาดนัด อันนี้ก็ไม่ต้องสงสัยนะค่ะ เพราะตลาดนัดอันนี้หนูก็ไปเดินอย่างเดียวค่ะและเหล่ผู้ชาย เวลาอยู่หอหนูก้จะต้องหากำลังใจในการเรียนและกำลังใจที่สำคัญที่สุดของหนูก็คือการที่ได้นั่งดูรูปพี่บี้เดอะสตาร์ (ผัวหนูเองค่ะ) ส่วนกิจวัตรประจำวันของหนูที่อยู่หอคือ หนูจะตื่นก่อนไปเรียน2ชั่วโมงสงสัยมั้ยค่ะว่าทำมัยหนูถึงตื่นแต่เช้า ไม่ต้องสงสัยหรอกค่ะเพราะไหนกว่าหนูจะอาบน้ำเสร็จ แล้วที่สำคัญหนูต้องใช่เวลาในการแต่งหน้าอย่างน้อย1ชั่วโมงแล้วฉะนั้นหนูจึงมีความจำเป็นที่จะต้องตื่นแต่เช้า สายมาหนูก็ต้องมาเติมหน้าตลอด เพราะถ้าวันไหนที่หนูไม่ได้แต่งหน้ามาเรียนวันนั้นหนูจะเรียนไม่รุ้เรื่อง เย็นมาก็ต้องรีบกลับมาอาบน้ำที่หอเพื่อที่จะรีบแต่งตัวสวยๆออกไปเที่ยวตอนกลางคืนกับเพื่อนถ้าใครแต่งตัวไม่สวยวันนั้นก็จะดับ! จะไม่มีผู้ชายมาสนใจ เวลามีงานหมอเลาที่ไหนงานนั้นจะต้องมีหนูกะกลุ่มเพื่อนๆกระเทยไปงานนั้นตลอด สามีของหนูมีเกือบทุกจังหวัดของประเทศไทยและทุกอาชีพ มะว่าจะขึ้นเหนือหรือว่าล้องใต้หนูก็จะดั้นด้นไปหาสามีของหนูจนได้ บทเพลงประจำกายหนูคือเพลง “ ถ้าพี่ไปดูให้หนูไปด้วย ถ้าพี่ไปดูให้หนูไปด้วย ไม่ได้กลัวด้วยละจะมีติดไว้ให้คอเคลีย์ ถ้าใครทำหล่นละเสร็จเราแน่ละ อยากมีติดไว้ซักคน เสร็จเจ๊แน่ๆ ”
จากบทเพลงข้างต้นนี้เป็นบทเพลงที่ค้อนข้างตรงกับชีวิตจริงของหนูเป็นอย่างมาก ฉะนั้นรู้กันแล้วนะค่ะ ใครก็ตามที่ทำหล่นไว้เสร็จหนูแน่ค่ะ ลูก2ลูก3 หนูก้ไม่ปล่อยนะค่ะเรื่องแบบนี้มันเป็นความสามารถเฉพาะตัวของหนูค่ะ นิสัยส่วนตัวของหนุนะค่ะ เป็นคน
สนุกสนาน ร่าเริง ยิ้มแย้มแจ่มใส บ้าผู้ชายเป็นชีวิตจิตใจ และอีกอย่างหนึ่งที่ผมชอบมากเลยคือการทำความดี เพราะการทำความดีนั้นมันทำให้ผมรู้สึกดีมากเลย ยังมีเหตุการหนึ่งที่ผมจำได้แม่นยำมากเลย วันนั้นผมจะไปต่างหวัด การเดินทางของผมนั้นเป็นการเดินทางโดยรถบัส ก่อนที่ผมจะไปถึงที่ บขส ผมก็เดินเอาพอไปถึง บขส ผมก้อเห็นผู้หญิงคนหนึ่งถือของมามากมาย อยู่ๆๆๆผู้หญิงคนนั้นก็ทำของหลุดมือ สิ่งที่หลุดมือนั้นก็คือส้มหนึ่งกิโลกรัม พอผู้หญิงคนนั้นทำส้มหลุดมือ ผลของส้มนั้นก็กลิ้งไปทั่วพื้น บขส เต็มมากมาย พอผมเห็นผมก็เลยรีบเข้าไปช่วยเก็บ นี้ละเป็นเหตุการณ์ที่ผมประทับใจอย่างมาก ถึงมันจะเป็นเหตุการณ์เล็กๆ แต่ผมประทับใจอย่างมาก ถึงมันจะเป็นสิ่งเล็กน้อย นั้นละเป็นเหตุการณ์ที่ผมอยากจะทำความดี เพราะบางคนอายที่จะทำความดีในการทำความดีนั้นเราไม่ควรอายที่จะทำความดี วัยรุ่นสมัยนี้มักจะไม่ค่อยชอบกับการเข้าวัดเพราะในการเข้าวัดนั้น พวกวัยรุ่นสมัยนี้บอกว่าการเข้าวัดนั้นมันล้าสมัยและภายในวัดนั้นไม่เห็นมีไรที่น่าสนุกเหมือนกับ การเดินห้างสรรพสินค้าเลย เมื่อผมได้ฟังแบบนั้นแล้วผมก็ยิ่งตกใจเลยที่วัยรุ่นไทยออกมาพูดแบบนี้ ภายในปัจจุบันนี้วัยรุ่นไทยยิ่งกลับมาเข้าวัดแล้ว เพราะวัยรุ่นไทยหาที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ ตัวอย่างเช่นเวลาจะสอบเอ็นทรานแต่ละครั้ง พ่อและแม่ของแต่ละคนก็พาลูกไปบนต่อศาลต่างๆ ที่เมืองชื่อเสียงโด่งดัง ผมก้ไม่ทราบว่าการทำแบบนี้ไม่รู้จะว่าน่าเชื่อถือ และได้ผลมากน้อยเพียงใด แต่ผมว่านะคับอย่างน้อยก็ทำให้บุคคลคนนั้นได้กำลังใจในการที่จะสอบขึ้นมาในระดับหนึ่งคับ นี้ละคับเป็นเหตุการณ์บางอย่างที่แสดงให้เห็นว่าวัดในสังคมไทยจะอยู่กับพวกเราไปอีกนานแสนนาน เอาละคับนอกประเด็นมานานแล้ว ผมว่าตอนที่ผมมาเรียนที่สารคามมีความสุขมากมายเลย เพราะผมได้เจอเพื่อนใหม่ๆและเพื่อนเที่ยว เลยทำให้ผมได้เจอประการณ์ต่างๆที่ผมไม่เคยเจอ นี้คือรสชาติของชีวิตผมอีกหนึ่งรสชาติคับ ตอนแรกผมว่าจะไม่เรียนที่สารคามแล้ว ผมว่าจะไปเรียนที่กรุงเทพ แต่ผมกลับมาคิดใหม่ว่าถ้าผมไปกรุงเทพผมคงใจแตกแน่ๆ แม่ของผมเลยไม่อยากให้ผมไปเรียนที่กรุงเทพ ตอนนี้ผมเปลี่ยนความคิดแล้วคับ เพราะผมเรียนที่สารคามนี้ก็ทำให้ผมมีความสุข และได้เจอเพื่อนแบบที่เราไม่เคยเจอ และได้ใช้ชีวิตแบบอยู่คนเดียวภายในหอโดยไม่มีพ่อแม่มาคอยดูแลด้วย ยิ่งต้องทำให้ผมต้องดูแลตัวเองให้มากกว่านี้อีกหลายเท่าเลยคับ สุดท้ายนี้ผมจะตั้งใจเรียนมหาวิทยาลัยมหาสารคามนี้ให้จบให้ได้และผมจะเอาปริญญาไปฝากพ่อแม่ของผมให้ได้ ตอนนี้มันทำให้ผมเป็นผู้ใหม่มากขึ้นและมีความรับผิดชอบมากกว่าเดิมเพราะตอนนี้เราอายุจะใกล้พ้นนิติภาวะแล้วนะคับ แล้วจะขอตั้งใจเรียนที่มหาวิทยาลัยมหาสารคามนี้ให้จบให้ได้คับผมสัญญานะคับคุณพ่อคุณแม่ จบ…..
เขียนโดย นาย กฤษณะ เริงสูงเนิน 52010521010
ชีวิตกว่าจะมาถึงจุดๆนี้ก็แทบแย่ แต่ก็พึ่งมาได้ครึ่งทางเอง หรืออาจมายังไม่ถึงครึ่งทางของชีวิตเลยก็ได้ และชั้นต้องไปให้ถึงปลายทางที่ชั้นรอคอยให้ได้ ชีวิตของชั้นเจอะเจออะไรมากมายมีทั้งเรื่องที่ดีและไม่ดีปะปนกันไป แต่ส่วนใหญ่จะมีแต่เรื่องที่ดีๆซะมากกว่า และโชคก้อนโตของชั้น... นั่นก็คือ ฉันได้มีพ่อ แม่ ที่ทั้งรักและเอาใจใส่ชั้นมาตลอด...ชั้นมาพี่ชายคนนึ่งชั้นเป็นลูกสาวหล้า พี่ชั้นก็บ้าๆบ้องๆ พี่เรียนที่อุบลราชธานี
ชีวิตตอนเด็กๆ เหรอ?
ก่อนอื่นชั้นต้องบอกชื่อของชั้นก่อนสิ ชื่อที่พ่อแม่สมทบทุนสร้าง ฟังนะ...ชื่อ “นู๋อิ๋ม” ^_^ !! แต่ชื่อนี้มันเป็นคำแสลง หรือว่าคำพ้องเสียง คำเชื่อมรึป่างน่าส์...? ไอ้พวกเพื่อนๆถึงชอบเรียกกันไม่ถูก บ้างก็เรียกอีอิ๋ม อีดำ แรสบ้าง เคียวบ้าง สารพัตร *_* ทำให้ชื่อที่พ่อแม่ให้มากลับอาบัต ซะงั้น!! มะ มารู้ชื่อจิงๆของชั้นละกัลน้อ (ไม่อยากรู้ก็จะบอก!) ฟังนะ.. ชั้นชื่อ ,,, นางสาวชนากานต์ นุริตานนท์ ไพเราะเพาะพริ้งใช่มั้นล้า เออ..พอหอมปากหอมคอแล้ว มาดูชีวิตตอนเด็กๆ ต่อๆ
ชั้นก็เป็นเด็กที่ซนเอามากๆ ชอบไปเล่นกับเพื่อนผู้ชายข้างบ้าง บ้างก็ชวนกันไปขโมยของชาวบ้านเค้าบ้าง ปีนต้นไม้บ้าง วิ่งเล่นบ้าง ชกต่อยกันบ้างตามประสาเด็กๆ และชอบไปโรงเรียนที่พ่อแม่สอนอยู่ จะมีเพื่อนเยอะมากๆ คอยเอาใจสารพัต เพราะว่าชั้นเป็นลูกครูมั้ง ลูกศิษย์พ่อแม่จึงคอยเอาใจ และตอนนั้นชั้นก็เล่นขายของ เล่นพ่อแม่ลูก ส่วนชั้นเหรอก็ต้องแน่นอนอยู่แล้ว ชั้นต้องได้เป็นลูก เป็นเจ้าหญิง ละก็ที่บริวารมากมาย สถานที่เล่นก็หน้าเสาธง มีดอกไม้เยอะแยะที่คนใช้จัดมาถวายทุกๆวัน และแม่ก็จะฝากพี่นักเรียนคนโตมาบอกชั้นว่า “น้องอิ๋มคุณแม่เรียก” มาหาแม่ แม่พูดประโยคแรก “จะกลับบ้านไหม มัวแต่เล่นอยู่นี่แหละ ดอกไม้จะหมดโรงเรียนแล้วววว” แต่ชั้นไม่แคร์ และชั้นมีเหตุการณ์ที่จำฝังใจชั้นนั่นคื่อ ชั้นแอบไปขโมยเงินน้าชั้น โดยแก็งนี้มีทั้งหมด 2 คน อีกตนเป็นเพื่อนของชั้นเอง มันชื่อ” ลี “เงินนั้นเป็นเงินที่อาชั้นเก็บไว้แต่งสาว แต่เรากลับเอามาเล่น ไม่น่าเล้ยเอามาซื้อกิ๊บติดผมแค่ 50 บาทอา
ชั้นคงไม่ว่าไรนะ..ก็แค่อยากสวย ชั้นเป็นคนที่พนมไพร ชั้นเกิดที่ร้อยเอ็ด พ่อเป็นคนสารคาม แม่ชั้นก็ร้อยเอ็ด แต่ไง๋ได้ชะตาพลิกผันกล้บได้มาอยู่กันทรลักษ์ จังหวัดเหรอพูดไปทุกคนต่างก็อ๋อ.. พูดประวัติคร่าวๆ เป็นจัดหวัดที่ดังที่สุดในพ.ศ.นี้ ดังเรื่องอะไรงั้นเหรอ..? ก็เรื่องการแย่งชิงเขาพระวิหารงัยล่ะ พอรู้หรือยัง นะ เฉลย..จังหวัดศรีสะเกษ เพราะพ่อกะแม่ชั้นสิ ได้ไปทำงานที่นั้นเฉยเลย ชั้นเรียนอยู่นั่นตั้งแต่เด็กๆเลย อนุบาล-ประถมเหรอเรืยนโรงเรียนประจำอำเภอ ชั้นมีเพื่อนเยอะเยยะนับไม่ถ้วน เพราะชั้นแรง แต่พอขึ้นมัธยมพวกเพื่อนๆมั้นก็ไม่หายไปไหน มันก็ยังตามมาเรียนโรงเรียนนี้ด้วย ชั้นก็สอบเข้าโรงเรียนนี้ได้ แบบว่าก็คนมันเก่งทำไงได้.. ได้อยู่ห้อง 5 มีทั้งหมด 10 ห้อง ก็ อยู่กลางๆ ไปเรียนครั้งแรกตื่นเต้นมากๆ แต่ก็ดีหน่อยที่มีเพื่อนโรงเรียนเดิมด้วย ก็มี ปลา หนิง ที่พอสนิทกัลป์บ้าง ชั้นเป็นคนที่อัธยาศัยดี หรือภาษาระดับกันเอง ก็แบบว่า..เสือก ปากหมา ชอบเสนอหน้า ชั้นเป็นคนที่ชอบพูดเสียงดัง ชอบเม้าท์กันกับเพื่อนตอนเรียน ชอบแอบนอนหลับ และสิ่งที่ชั้นรับไม่ได้ในตัวชั้น ที่สุดถึงที่สุดนั่นก็คือพอนอนแล้วน้ำลายจะไหล ไอ้พวกเพื่อนก็ชอบเอามาล้อกัน และก็ถ่ายรูปไว้เป็นหลักฐานสำคัญ ละก็บอกอีกว่า “ชั้นถือไผ่ใบเหนือกกว่าเธอนะ” วันๆชั้นไม่ทำอะไร นั่งๆนอนๆ เล่นเน็ต เล่นๆ คุยโทรศัพท์ ความใฝ่ฝันของชั้น...ชั้นอยากรับราชการ ชั้นอยากเป็นครูเหมือนพ่อแม่ชั้น และตอนนี้ก็กำลังเดิมตามความฝัน...
ชีวิตตอนมัธยมเป็นชีวิตที่ชั้นมีความสุขมากๆ เพราะชั้นมีเพื่อนที่เป็นกลุ่มอิทธิพลในห้องไปไหนก็มีคนรู้จัก แต่พอขึ้นมัธยมปลายต่างคนก็ต่างแยกย้ายกันไปตามห้องต่างๆ ชั้นได้อยู่ห้อง1 ก็มีเพื่อนห้องเก่าบ้าง ชั้นไม่แคร์ชั้นยังแรงเหมือนเดิม ชั้นไปมีเรื่องกับใครต่อใครเยอะจน…แต่ที่บ้านไม่เคยรู้ การเรียนเหรอเอาใจใส่ดี อาจารย์ชมตลอด กีฬาชั้นซ้อมทุกวัน พอขึ้นม.ปลายเริ่มเรียนหนักขึ้นเพระต้องเตรียมตัวอ่านหนังสือเอ็นทรานซ์ จากที่ไม่ขยัน ก็ต้องขยันอ่านหนังสือแล้วล่ะงานนี้ ชั้นอยากทำคะแนนให้ได้เยอะๆเพื่อที่จะสอบม.ขอนแก่นให้ได้ ชั้นอยากเรียนที่ม.ขอนแก่นมากๆ
ใจหายเหมือนกันนะ___ เมื่อรู้ว่าผลโควต้าม.ขอนแก่น ออกแร้ว รู้ไม๊ ตอนแรกที่รู้ว่า ผลประกาศออกแร้ว { แร้วยิ่งเพื่อนคนที่บอก เค้าก็ว่าเค้าติด } T-T เราเงี้ย ... ใจคอไม่ดีมากเรย
รู้สึกได้เลย ว่าหัวใจมันเต้นแรงมากกกก พอคลิก ใส่ลิ้งค์ตรง address แร้วรอมันโหลดด เราโคตรเครียดมากเรย กลัวเหลือเกินว่าผลออกมาจะเป็นยังไง ____ จิง ๆ ก็ทำใจไว้แร้ว!! แต่สุดท้ายทำไงได้ล่ะ ก็สอบไม่ติด เสียใจมากๆ แต่พลาดขอนแก่นรองลงมาก็เป็น ม. อุบล แต่ก็อีกตามเคย สอบไม่ติด แต่สุดท้ายโชคชะตาก็ได้พาชั้นเข้ามาเรียนที่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ชั้นลงโควตานักกีฬา ชั้นสอบได้คณะศึกษาศาสตร์เอกจิตวิทยา เป็นคณะที่ใฝ่ฝัน.. ผลโควต้ากีฬาประกาศตั้งแต่เทอมแรก ชั้นก็เล่นมาตลอด ชั้นไม่ชอบคณิตศาสตร์ วิชาคณิต ชั้นก็จะไปทานข้าวพร้อมสหายในห้อง เพื่อนคนอื่นก็ไปด้วย ชั้นชวนใครไป มันบอกว่าถ้ามึงไปกูก็ไป งั้นเราไปกันทั้งห้องเลย พออาจารย์มาสอนก็ไม่เจอนักเรียน อาจารย์ก็โกรธและจากนั้นมาทั้งเทอมอาจารย์ไม่มาสอนอีก คาบนั้นเลยเป็นคาบว่าไปโดยปริยาย ชั้นทะเลาะก็ครูสอนภาษาไทย แหมๆๆๆๆอาจารย์บังอาจมาหยิกเพื่อนชั้น ชั้นไม่ยอมนะ ชั้นและคณะแรงๆ มุ่งหน้าไปที่ห้องผู้อำนวยการ แจ้งเรื่องกับผู้อำนวยการ ผู้อำนวยการทำไรไม่ได้เลย ไม่เป็นไรชั้นยังพยายาม ไม่รอช้าชั้นโทรไป 1133 ขอทราบเบอร์โทรศัพท์กระทรวงศึกษาธิการค่ะ….พอได้แล้วชั้นก็โทร ชั้นก็ถามไป จะเอาผิดกับอาจารย์ได้ไหม ทางกระทรวงก็บอกว่าคุยกับที่โรงเรียนก็นะ แล้วถ้าเรื่องมาถึงกระทรวงจะเป็นเรื่องใหญ่ค่ะ นู๋ก็ค่ะๆจะปรึกษาอาจารย์ท่านอื่นดูก่อน อาจารย์รู้ว่าชั้นไปบอกผอ.พอถึงคาบภาษาไทย อาจารย์พูดขึ้น”ชั้นขอขอบใจกับนักเรียนกลุ่มนึ่งที่เตือนชั้นด้วยวิธีนี้ ชั้นจะไม่ยุ่งกับนักเรียนกลุ่มนั้นอีก” ต่อมาเรื่องตัดผมโรงเรียนมีนโยบายให้นักเรียนตัดผมสั้นทุกคนทั้งม.ต้น และม.ปลาย ยกเว้นนักเรียนที่เป็นนางรำ แต่ชั้นก็ไม่ตัดเพราะชั้นแรง อาจารย์คนเดิมนั่นแหละก็พูดใส่ชั้นว่า”ครูก็ขอขอบใจนักเรียนทุกคนที่ตัดผมตามระเบียบนะ แต่ที่ไม่ตัดก็ไม่เป็นไร้…..” ชนากานต์ไม่แคร์
ชั้นพาพี่ชายไปแอบชกมวยโดยคนที่บ้านไม่รู้ ชั้นไปเก็บตัวนักกีฬาที่จังหวัด พี่ชั้นก็ไปเก็บตัว แต่บอกคนที่บ้านว่า ไปเป็นเพื่อนไอ้อิ๋มมันที่จริง มันก็ไปชกมวยนั่นแหละ แล้วชั้นแข่งเสร็จก็กลับบ้านพี่ชั้นจำดป็นต้องกลับด้วยเพราะไม่มีข้ออ้างใดๆ พอถึงวันที่พี่ชายต้องแข่ง ก็พากันออกจากบ้านตั้งแต่เช้า บอกกับแม่ว่าไปดูเพื่อนแข่งกีฬา ก็ไปกับพี่พอแข่งเสร็จก็เย็นมากแล้ว สรุปพี่ก็ได้เหรียญเงิน ชั้นก็ได้เหรียญเงิน แต่ชั้นไม่ได้เป็นนักกีฬาเถื่อนเหมือนพี่นะ พอวันนึงขับรถกลับมาที่ร้อยเอ็ดด้วยกันทุกคนทั้งครอบครัว พี่ก็เลยเอาเหรียญมาให้ชั้นดู ละก็ถามว่า เราจะบอกแม่ดีไหม อิ๋มเลยบอกว่า อยากบอกก็บอกดิไหนๆก็แข่งเสร็จแล้ว แถมยังได้ถ้วยอะไรไม่รู้เกี่ยวกับการไหว้ครูนี่แหละ สงสัยไหว้ครูสวยมั้ง แล้วก็เลยบอกพ่อกับแม่ พ่อเลยบอกว่าถ้าจะไปแข่งก็ไม่ซ้อมดีๆละ ไอ้เรานึกว่าพ่อจะด่า เพราะพ่อกับแม่ไม่อยากให้พี่ชกมวย เพราะมันจะกระทบกระเทือนถึงสมอง เค้าก็ว่าไปงั้นแหละ
วันแห่งการจากลา.....ก็มาถึง
ชั้นไม่อยากให้มีวันนี้เลย วันที่ชั้นต้องจากลาจากเพื่อนๆที่รักของชั้น ต่างคนก็ต้องเดินตามความฝันของตัวเอง ในห้องเหรอมีชั้นกับเพื่อนไม่กี่คนที่มีที่เรียน ที่เหลือก็เร่ร่อนตามระเบียบ ไปทำงานบ้าง เรียนบ้าง มีครอบครัวบ้าง
ชีวิตมหาวิทยาลัยของชั้น
ชั้นมาโควตากีฬา ชั้นเล่นกีฬายูโดนะ มาตั้งแต่ก่อนชาวบ้าน ชั้นไม่รู้จะไปที่ไหนหลังจากที่แม่มาส่งชั้นอยากไปนอนที่บ้านแต่ก็อยู่ในเมือง ชั้นเลยโทรหาพี่ที่เคยอยู่โรงเรียนเดียวกัน พี่เค้าพาฉันไปทานข้าว แล้วก็เล่าประวัติหอชื่นชมให้ฟัง พี่ที่อยู่ด้วยก็ไม่รู้หายหัวไปไหน น้ำก็ยังไม่อาบ กลัวจะตาย ข้าวก็หิว ไมม่รู้จะทานที่ไหน ไม่รู้แม้กระทั่งม.เรามีตลาดน้อย
พอไปเรียนวันแรกก็ดี มีเพื่อนมาจากต่างที่ พูดต่างภาษา ตลก ขำๆ เรียนก็สบายเกรดก็ 3 นิดๆแต่ก่อนสอบแทบจะไม่ได้นอนค่ะ กลับเสียตังค์ลงทะเบียบใหม่ งกๆๆๆๆๆ
ชั้นก็เที่ยวไปวันๆ ชั้นไม่เคยดื่มเหล้า สูบบุหรี่ ชั้นไม่ดื่มน้ำอัดลมมาก็หลายปีแล้ว ชั้นว่า ชั้นเป็นคนดีระดับนึงนะ ว่าป่าว ตอนเรียนชั้นหลับอยู่บ่อยๆ แต่ไม่มีน้ำลายไหลแล้ว อาย….
ตังค์เหรอชั้นก็ประหยัดนะสัปดาห์ละพัน ชั้นจะพยายามกลับบ้านทุกสัปดาห์ แต่กลับร้อยเอ็ดนะ เป็นบ้านยาย ชั้นก็จะนัดเจอแม่ที่นั่น แล้วทุดคนก็มาเจอกันครึ่งทาง
อัตชีวประวัติ
นายนฤดม พิมพ์ศรี 52010521021 คณะศึกษาศาสตร์ สาขาวิชาจิตวิทยา มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
ประวัติโดยสังเขป
เกิดเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2532 ที่ โรงพยาบาลเลิดสิน กรุงเทพมหานคร ต่อมาเข้ารับการศึกษาที่โรงเรียนวัดไทร ในระดับชั้นอนุบาลถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 เข้ารับการศึกษาต่อในระดับชั้นมัธยมศึกษาที่ โรงเรียนแก่นนครวิทยาลัยในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1-2 และระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3- 6 ที่โรงเรียนมัธยมวานรนิวาส อำเภอวานรนิวาส จังหวัดสกลนคร มีพี่น้องทังหมด 3 คน รวมตัวเอง เป็นพี่คนโตมีน้องสาว 2 คน ปัจจุบันกำลังศึกษาอยู่ที่ คณะศึกษาศาสตร์ ภาควิชาจิตวิทยา มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ในช่วงที่เรียนในระดับมัธยมศึกษานั้นได้เข้าร่วมกิจกรรมของโรงเรียนหลายอย่าง เช่น เล่นกีฬา เคยเข้าร่วมคัดตัวเป็นนักกีฬาฟุตบอลของโรงเรียนในช่วงที่เรียนอยู่โรงเรียนแก่นนครวิทยาลัย แต่ได้ย้ายมาเรียนที่โรงเรียนมัธยมวานรนิวาสเสียก่อน เริ่มเล่นดนตรีในวงโยธวาธิตของโรงเรียนมัธยมวานรนิวาสและได้ก้าวเข้าไปเล่นในวงดนตรีลูกทุ่งของโรงเรียนโดยมีชื่อวงว่า “ประดับเกียรติ คอมโบ” ซึ่งได้เป็นมือกีตาร์ของวงประดับเกียรติ คอมโบ และได้ทิ้งกิจกรรมวงโยธวาธิตของโรงเรียนไปเพื่อทุ่มเทฝึกซ้อมให้กับวงดนตรีลูกทุ่ง เคยได้ไปประกวดวงดนตรีลูกทุ่งหลายรายการ เช่น รายการ”แชมป์เยาวชน” ช่องโมเดิร์นไนน์ทีวี ,เข้าประกวดวงดนตรีลูกทุ่ง ยามาฮ่าลูกทุ่งคอนเทสก์ สองครั้งที่ MCC Hall เดอะมอลล์นครราชสีมา นอกจากเป็นนักดนตรีของวงดนตรีลูกทุ่งแล้วได้เข้าวงขับร้องเพลงประสานเสียงของโรงเรียน แต่เป็นในช่วงที่เรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ซึ่งกำลังจะจบการศึกษาแล้วและพึ่งได้เริ่มก่อตั้งวงประสานเสียงขึ้นครั้งแรก และได้เข้าประกวดการขับร้องเพลงประสานเสียงในงาน ESAN EXCELLENCE FAIR ที่มหาวิทยาลัยขอนแก่น ปัจจุบันได้ศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ได้ขับร้องเพลงประสานเสียงในวง MSU Chorus และเล่นดนตรีในวงศึกษาศาสตร์ลำซิ่ง ของคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
ประวัติการศึกษา
เริ่มเข้าศึกษาระดับชั้นอนุบาลที่ โรงเรียนวัดไทร เขตบางคอแหลม กรุงเทพฯจนถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 เนื่องจากบิดาได้ย้ายเข้าไปทำงานที่อำเภอภูเวียง จังหวัดขอนแก่น ข้าพเจ้าก็เลยได้ย้ายตามบิดามารดาไปเรียนที่จังหวัดขอนแก่น และได้เข้าศึกษาต่อในระดับชั้นมัธยมปีที่ 1-2 และได้ย้ายตามบิดามารดาไปที่อำเภอวานรนิวาส จังหวัดสกลนครได้เข้าศึกษาต่อในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 เมื่อ
ข้าพเจ้าเรียนจบในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 และ ได้เข้ารับการศึกษาต่อในคณะวิทยาการสารสนเทศ ภาควิชาวิทยาการคอมพิวเตอร์ แต่เนื่องจากข้าพเจ้าปรับตัวไม่ได้หรือสาขาวิชาที่ข้าพเจ้าเรียนอยู่อาจจะหนักเกินไปสำหรับข้าพเจ้าเพราะวิชาที่ข้าพเจ้าเรียนได้ทำโปรเจ็ค อาจจะเรียกว่าหนักสำหรับข้าพเจ้าเลยทีเดียว ซึ่งได้ทำถึง 2 วัน ไม่ได้หลับได้นอน และสอบเดโมโปรเจ็ค ถึงเที่ยงคืน และในช่วงนั้นเกรดของข้าพเจ้าไม่ค่อยดีนักอาจเป็นเพราะข้าพเจ้าปรับตัวยังไม่ได้ จึงได้โทรไปปรึกษากับแม่ที่บ้านว่า ข้าพเจ้าเรียนไม่ไหวแล้ว เกรดก็ไม่ค่อยดี ตอนนั้นกำลังคิดหนักคิดไปเรื่อยเปื่อย ทั้งเป็นช่วงสอบปลายภาคในเทอมที่สอง มีปัญหาทั้งหลายมารุมเร้า แม่ของข้าพเจ้าก็เลยบอกว่าอยากเรียนต่อหรือไม่ หรือว่าจะย้ายไปเรียนคณะอื่น ให้ข้าพเจ้าตัดสินใจเอง ข้าพเจ้าก็เลยตัดสินใจไปเรียนในคณะอื่น และได้เข้าศึกษาต่อที่คณะศึกษาศาสตร์ สาขาวิชาจิตวิทยา ซึ่งเป็นสาขาวิชาที่ข้าพเจ้าอยากเรียนแต่ไม่รู้ว่าจบจากสาขาวิชานี้แล้วจะไปทำงานอะไร พอดีมีเพื่อนข้าพเจ้าได้เรียนในภาควิชานี้ก็เลยโทรศัพท์ไปปรึกษาเพื่อนของข้าพเจ้าที่เรียนในสาขาจิตวิทยา จึงได้ย้ายเข้ามาเรียนที่ภาควิชาจิตวิทยาในชั้นปีที่ 1 ใหม่ ตอนนี้ข้าพเจ้าพึงพอใจและมีความสุขกับภาควิชาที่ข้าพเจ้าเรียน ทั้งมีเพื่อนและรุ่นพี่ที่ข้าพเจ้ารู้สึกเหมือนกับพี่น้องของข้าพเจ้าจริง และมีอาจารย์ในภาควิชาที่เข้าใจนิสิตและดูแลนิสิตเป็นอย่างดี และข้าพเจ้าขอขอบคุณเพื่อนๆทุกคนที่ช่วยอุปการะให้คำปรึกษาข้าพเจ้าเป็นอย่างมาก
ประวัติการเล่นดนตรี
ในช่วงที่ข้าพเจ้าเข้าไปเรียนในโรงเรียนมัธยมวานรนิวาสครั้งแรกนั้น ที่โรงเรียนมีกิจกรรมการเรียนการสอนวิชาชุมนุม ในตอนนั้นข้าพเจ้าคิดไม่ออกว่าจะเลือกชุมนุมอะไร และตอนที่ข้าพเจ้าเข้าเรียนในโรงเรียนครั้งแรกนั้นข้าพเจ้ารู้จักเพื่อนคนหนึ่งที่อยู่ในวงโยธวาธิต เพื่อนก็เลยแนะนำให้ข้าพเจ้าเข้าวงด้วยและเลือกเรียนในวิชาชุมนุมดนตรีสากล โดยเริ่มเล่นในวงโยธวาธิตก่อนเล่นได้ไม่กี่เดือนก็เลิก และได้เข้าวงดนตรีลูกทุ่งของโรงเรียน ได้ไปประกวดวงดนตรีลูกทุ่งแล้วได้รับรางวัลหลายรายการ เช่น รางวัลระดับ พิณเงิน ของการประกวดวงดนตรีลูกทุ่ง ยามาฮ่า ลูกทุ่งคอนเทสก์ ที่MCC Hall เดอะ มอลล์นครราชสีมา ได้ลำดับที่สองของการประกวดวงดนตรีลูกทุ่งในรายการ แชมป์เยาวชน ของโมเดิร์นไนน์ทีวี โดยสมาคมนักเพลงลูกทุ่งแห่งประเทศไทย นอกจากวงดนตรีลูกทุ่งแล้ว ข้าพเจ้ายังได้เล่นวงสตริงและได้รับรางวัลหลายรายการ เช่นกัน ได้เข้าร่วมในวงขับร้องประสานเสียงของโรงเรียนเคยไปประกวดในงาน ESAN EXCELLENCE FAIR ที่มหาวิทยาลัยขอนแก่นและได้รางวัลระดับเหรียญทอง ปัจจุบันได้เล่นดนตรีในวง ศึกษาศาสตร์ลำซิ่ง ของคณะศึกษาศาสตร์มหาวิทยาลัยมหาสารคาม และวงขับร้องประสานเสียง MSU Chorus ของมหาวิทยาลัยมหาสารคาม
นางสาวอรวรรณ สุทธลักษณ์ รหัสนิสิต 52010517098 สาขาวิชาจิตวิทยา ชั้นปีที่ 1
ตั้งแต่ที่ฉันเกิดมาจนฉันจำความได้ ฉันก็ได้รู้แล้วว่าตัวเองชื่อ นางสาวอรวรรณ นามสกุล( สุดแสนจะไพเราะของพ่อฉัน ) สุทธลักษณ์ ส่วนชื่อเล่นนั้น ชื่อว่า หญิง ชื่อนี้มันมีที่มา ช่วงที่ฉันได้เกิดมานั้นญาติๆๆของฉันกำลังติดการดูละครเรื่องหนึ่งอยู่ ซึ่งนางเอกในเรื่องน่าสงสารมากโดนนางร้ายกลั่นแกล้งตลอด จนอาของฉันเนี่ยถึงขนาดเกลียดนางร้ายเข้าไส้เลยทีเดียว เคยเอาเท้าเหยียบน่าจอทีวีเกือบแตก เพราะอยากช่วยนางเอก นั่นล่ะค่ะนางเอกในละครชื่อหญิง ฉันจึงได้ชื่อนี้มา ฉันเกิดมาเมื่อวันอังคาร ที่10เดือน เมษายน พ.ศ 2533 แม่เล่าให้ฟังว่า ตอนที่แม่จะคลอดฉันแม่เจ็บท้องมากๆ แล้วก็นานมากๆๆด้วย แต่ฉันก็ไม่ยอมออกมาซักที แล้วแม่ยังบ่นอีกว่าปีนั้นแม่อดเล่นน้ำในเทศกาลงานสงกรานต์เลย อิอิ แต่ฉันก็เคยบอกแม่ไปนะว่าคนมีบุญมาเกิดก็แบบนี้ล่ะมันต้องลำบากหน่อย ครอบครัวของฉัน ฉันมีพี่น้องทั้งหมด 3 คน
ฉันเป็นลูกสาว คนที่ 2 มีพี่ชาย 1 คน ชื่อ นายอนันต์ สุทธลักษณ์ อายุ 21 ปี ปัจจุบัน ทำงานอยู่ที่ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
และมีน้องชายอีก 1 คน ชื่อ นายชนะภัย สุทธลักษณ์ ปัจจุบันกำลังศึกษาในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนผดุงนารี จังหวัดมหาสารคาม ส่วนแม่ของฉันชื่อ
นางมลิวัลย์ สิมมา สำหรับพ่อของฉัน ชื่อ นายวันเชาว์ สุทธลักษณ์ พ่อของฉันเสียชีวิตแล้วล่ะ ฉันจำได้ว่าตอนนั้นฉันเพิ่งเปิดเทอมขึ้นชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ได้แค่วันเดียวเองท่านเสียตั้งแต่ฉันอายุได้เพียง 10 ขวบเท่านั้นเอง แม่ของฉันเป็นคนจังหวัดมหาสารคาม
ส่วนพ่อของฉันเป็นคนจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ฉันเกิดและเติบโตที่จังหวัดมหาสารคาม ฉันเริ่มเรียนอนุบาลที่โรงเรียนเทศบาลโพธิ์ศรี ตอนนั้นฉันไม่อยากไปเรียนเลย จำได้ว่าแม่ไปส่ง แล้วฉันก้อร้องไห้ตลอดจะหนีกลับบ้านอย่างเดียว แต่ว่าครูโหดมากเลย จับฉันไปขังไว้ในห้องมืดๆ จากนั้นมาฉันก็เข็ดขยาดไม่กล้าหนีกลับบ้านเลย
เวลามาเรียนก็ไม่ร้องไห้ ตอนที่ฉันเรียนอนุบาลฉันได้ย้ายกลับไปกลับมาตั้งหลายครั้ง
บางทีก็เรียนที่มหาสารคาม บางทีก็ได้ไปเรียนที่อยุธยา แต่พอขึ้นชั้นประถมก็ไม่ได้ย้ายไปไหนอีกเลย
ฉันจบการศึกษาระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 จากโรงเรียนเทศบาลโพธิ์ศรี จังหวัดมหาสารคาม
จบการศึกษาระดับชั้นมัธยมศึกษาปี่ที่ 3 จากโรงเรียนผดุงนารี จังหวัดมหาสารคาม
จบการศึกษาระดับชั้นมัธยมศึกษาปี่ที่ 6 จากโรงเรียนผดุงนารี จังหวัดมหาสารคาม
ปัจจุบันกำลังศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม คณะศึกษาศาสตร์ สาขาวิชา จิตวิทยา ชั้นปีที่ 1
กว่าจะได้มาเรียนจิตวิทยา : ก็ต้องทนฟังคนแถวบ้านที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยมาหาว่าเราบ้า
แล้วก็ชอบพูดว่า กว่าจะจบเป็นบ้าก่อนเรียนจบกันพอดี ( อาจจะด้วยว่าที่ฉันเป็นคนฮาๆบ้าๆบอชอบทำตัวไม่เหมือนชาวบ้านเค้าด้วยล่ะมั้ง ) ก็ช่างฉันไม่แคร์สื่อใดๆ แล้วอีกอย่างกว่าแม่จะเข้าใจในสิ่งที่ฉันอยากเรียนก็เหนื่อยเหมือนกัน จำได้ว่าตอนที่สมัครนะแม่อยากให้ลงคณะสาธารณสุขอันดับ 1 แล้วค่อยลงจิตวิทยาอันดันดับ 2 แต่ฉันก็ได้แอบลงจิตวิทยาอันดับ 1 แทน แล้วพอวันประกาศผล ฉันจึงบอกแม่ว่าลงสาธารณสุขไปแล้วแต่มันไม่ติดอ่า มันมาติดจิตวิทยา จากการวางแผนครั้งนั้น จึงทำให้ฉันได้มาเรียนจิตวิทยาสมใจ
โดยนิสัยส่วนตัวแล้วนั้น อยากได้อะไรก็ต้องพยายามทำเพื่อเอามันมาให้ได้ ฉันเป็นคนที่สนุกสนาน ร่าเริง ฮาๆ บ้าๆ บอๆ พูดมาก แถมยังเสียงดังอีกด้วย เข้ากับคนอื่นได้ง่าย เป็นคนพูดตรงๆ บางครั้งตรงเกินไปจนบางคนที่ฟังเหม็นน่าไปมากแล้วก็มี ในตอนเรียนมัธยมฉันดูออกจะห้าวๆ แมนๆ กระโดกกระเดก ไม่เรียบร้อย ความเป็นกุลสตรีมีน้อยมาก มันจึงทำให้คนอื่นชอบคิดว่า ฉันเป็นทอม อยู่เรื่อยเลย แต่ตอนนี้ฉันมาเรียนมหาวิทยาลัยก็เริ่มมีความเป็นกุลสตรีที่เรียบร้อยเพิ่มมากขึ้นแล้วล่ะ ตัวการ์ตูนสุดโปรดของฉันต้องนี้เลยมิ๊กกิ้เมาส์ สีที่ชอบสีสวยๆๆ แต่ขอเน้น สีฟ้า นักร้องที่ชอบ น้าแอ๊ด คาราบาว แนวเพลงที่ชอบ เพื่อชีวิต ลูกทุ่ง อาหารที่ชอบกินเป็นประจำ ส้มตำ งานอดิเรกของฉัน อ่านนิยาย เขียนไดอารี่ ฟังเพลง ความใฝ่ฝันในอนาคตอยากจะเป็นนักจิตวิทยาแล้วก็นักเขียนควบคู่กันไปด้วย
ข้าพเจ้าชื่อนางสาวนภาเพ็ญ อุทปัตย์ ชื่อเล่น แอ๊ปเปิ้ล วันเกิดวันจันทร์ที่ 6 เดือนสิงหาคม พ.ศ. 2533 เนื่องจากวันที่ดิฉันเกิดเป็นวันเพ็ญจึงเป็นที่มาของชื่อ
นภาเพ็ญ หมายความว่าพระจันทร์วันเพ็ญที่ส่องแสงประกายอยู่บนท้องฟ้า นิสัยส่วนตัว สนุกสนาน แต่ก็เป็นคนชอบคิดมากกับทุกเรื่อง เป็นกันเอง เข้ากับคนอื่นได้ง่าย
สิ่งที่เกลียดที่สุดคือ การโกหก และการรอคอยเพราะ การรอคอยมันเป็นสิ่งที่นานยิ่งรอยิ่งทำให้เรารู้สึกว่ายิ่งนาน คติประจำใจ ดีชั่วอยู่ที่ตัวทำ สูงต่ำอยู่ที่ทำตัว
เวลาว่าง อ่านหนังสือ เล่นInternet อาหารที่ชอบ ข้าวผัดกุ้ง และที่ขาดไม่ได้เลยคือ ส้มตำ สีที่ชอบ สีชมพู
เรื่องเล่าน่ารักๆของคนน่ารัก อิ อิ อิ ตั้งแต่ตอนเด็กๆดิฉันเป็นคนขี้แยมากอะไรนิดอะไรหน่อยก็ร้องไห้ เพราะมีพี่มากและมีพ่อแม่คอยเอาใจอยู่ในครอบครัวที่อบอุ่น การที่มีพี่มากมันทำให้ฉันเป็นคนเอาแต่ใจ พี่ๆก็จะดูแลฉันช่วยพ่อแม่ ตอนนั้นครอบครัวดิฉันสนุกสนานเฮฮามากเพราะอยู่กันหลายคน อีกทั้งตอนนั้นก็ยังมีคุณยายอยู่ พี่ๆทุกคนก็จะแบ่งงานกันทำอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขถึงจะอยู่ด้วยกันหลายคนแต่พี่ๆและฉันก็ไม่เคยผิดใจกัน มีแต่เสียงหัวเราะหยอกล้อกัน
พอดิฉันอายุ 5-6 ขวบ คุณพ่อคุณแม่ส่งให้เรียนชั้นอนุบาลที่ 1 และอนุบาล 2 ที่โรงเรียนบ้านโนนหนองแฝกซึ่งพี่ๆก็เรียนที่นั่นแต่จบกันหมดแล้ว ทุกๆเช้าคุณพ่อก็จะไปส่งทุกวัน ขณะที่เพื่อนส่วนมากขี่จักรยานไปเรียนเอง ตอนเข้าเรียนชั้นอนุบาลใหม่ๆ ฉันก็ชอบนั่งร้องไห้คิดถึงพ่อกับแม่ จนคุณแม่ได้มานั่งเฝ้าที่หน้าห้องเรียน ได้สักประมาณอาทิตย์หนึ่งฉันก็เริ่มไม่ให้คุณแม่มานั่งเฝ้า เพราะที่โรงเรียนกำลังฝึกฟ้อนรำ เพื่อที่จะไปรำในงานบุญบั้งไฟ ซึ่งตอนเด็กๆดิฉันชอบการฟ้อนรำ การเต้น จึงสนุกสนานอยู่กับสิ่งนี้ ดิฉันเป็นเด็กที่เรียบร้อย ไม่ดื้อไม่ซน และกลัวครูดุด่ามาก แต่พูดเก่งช่างพูด หลังเลิกเรียนเกือบทุกวันจะมีเพื่อนมาทำการบ้านที่บ้านด้วย ดิฉันก็จะรีบทำการบ้านให้เสร็จด้วยความตั้งใจไม่มีวันไหนที่จะไม่มีการบ้านส่งครูเพราะมีพี่ๆคอยบอกสอนการบ้าน และไม่ชอบไปเที่ยวเล่นกับเพื่อนมีแต่เพื่อนมาเล่นด้วยที่บ้าน
พออายุประมาณ 7 ขวบดิฉันก็เรียนชั้นประถมศึกษาคุณพ่อคุณแม่ก็ให้เรียนที่โรงเรียนเดิม ตอนนั้นมีเพื่อนที่สนิทกัน 8 คน ก็จะเล่นสนุกด้วยกันตามประสาเด็กๆและตั้งใจเรียน เพราะตอนเด็กๆคุณพ่อบอกว่าต้องอ่านหนังสือ
ถ้าสองวันอ่านจบหนึ่งเล่มพ่อจะมีรางวัลให้ ดิฉันก็ทำได้ ดิฉันอยากได้อะไรคุณพ่อก็ซื้อให้ทุกอย่าง แต่ต่อมาดิฉันได้เข้าโรงพยาบาล ตั้ง 1 อาทิตย์เต็มๆ หมอบอกว่าดิฉันเป็นไข้เลือดออก คุณพ่อคุณแม่ก็คอยดูแลเป็นอย่างดี หลังจากออกจากโรงพยาบาลก็มาพักผ่อนต่อที่บ้านอีก 1 อาทิตย์ ตอนนั้นกลัวเรียนไม่ทันเพื่อนมาก พอไปเรียนดิฉันก็ขยันขึ้นเพราะต้องตามเพื่อนให้ทัน ช่วงเรียนชั้นประถมศึกษาจะกังวลเรื่องเกรดมากตั้งทำให้ได้เกรด 4 ทุกวิชา มีอยู่ 2 เทอมที่ไม่ได้เกรด 4 ทุกวิชาตอนนั้นได้ เกรด 3 แค่วิชาเดี่ยว นอกนั้นก็เกรด 4 หมด แต่ก็ยังไม่กล้าให้แม้ดูเพราะกลัวแม่ด่า เพื่อนๆทุกคนต่างแข่งขันกันมากเรื่องการเรียน แม้กระทั่งกิจกรรมเพราะที่โรงเรียนมีกิจกรรมการแข่งขันทักษะมากมายดิฉันก็จะเข้าร่วมเป็นประจำและได้รางวัลทุกครั้ง
พอดิฉันอายุได้ประมาณ 8 ขวบพี่คนโตของฉันก็ไปเรียนต่อที่มหาลัยมหิดล พี่อีก 2 คนก็ต่างแยกย้ายกันไปทำงานที่ต่างจังหวัด ส่วนพี่อีกคนก็แต่งงานมีครอบครัวแต่ก็อยู่ในหมู่บ้านเดียวกันแต่คนละหลัง ส่วนดิฉันก็เรียนอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ที่เดิมถึงพี่ๆจะไม่ได้อยู่กับดิฉันแล้วแต่ดิฉันก็ตั้งใจเรียนและทำการบ้านเสร็จเหมือนเดิมมีการบ้านส่งทุกวันเหมือนเดิม อีกทั้งยังต้องช่วยงานพ่อแม่ เพราะพี่ๆไม่อยู่แล้ว ถึงดิฉันจะยังเด็กอยู่แต่ก็ช่วยงานในสิ่งที่ดิฉันทำได้ เช่น การล้างจาน กวาดบ้านถูบ้าน พอแบ่งเบาภาระของพ่อกับแม่ลงได้บ้าง เพราะคุณพ่อต้องไปทำงานแต่เช้า กลับมาก็ต้องมาทำงานที่บ้านอีก ดิฉันสงสารพ่อกับแม่ดิฉันจึงช่วยงานในสิ่งที่ไม่เกินความสามารถ และค่อยๆฝึกหัดงานอย่างอื่นจากแม่เพิ่มขึ้น ถึงดิฉันจะทำงานบ้านช่วยพ่อแม่ แต่การเรียนดิฉันยังเหมือนเดิม ดิฉันก็ทำอย่างนี่ไปเรื่อยๆจนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 6
เกรดเทมอสุดท้ายก็ได้เกรด 4 ทุกวิชาเหมือนเดิมดิฉันดีใจมาก วันรับใบวุฒิที่โรงเรียนก็จัดงานให้วันนั้นภูมิใจและดีใจมาก แต่ก็เสียใจที่จะไม่ได้เจอ ได้เล่นซน กับเพื่อนๆเหมือนเคย เพราะทุกคนต้องไปเรียนต่อที่โรงเรียนมัธยม ตอนนั้นฉันตื่นเต้นมากที่จะได้ไปเรียนชั้นมัธยม พ่อแม่ให้ฉันไปเรียนที่โรงเรียนในอำเภอซึ่งเป็นโรงเรียนใกล้บ้านและมีชื่อเสียง วันนั้นเป็นวันที่ดิฉันต้องไปสอบเพื่อคัดเลือกห้องพ่อกับแม่มุ่งหวังอยากให้ดิฉันได้อยู่ห้องคิงมากเพราะเป็นห้องของเด็กที่เรียนเก่ง ดิฉันก็ตั้งใจทำข้อสอบทำเต็มความสามารถ วันประกาศผลฉันก็ได้อยู่ห้องนั้นจริงๆฉันดีใจมากที่ฉันไม่ทำให้พ่อแม่ฉันต้องผิดหวัง
วันเปิดเทอมวันแรกตื่นเต้นมากโรงเรียนใหม่ เพื่อนใหม่ ชุดใหม่ อะไรๆก็ใหม่
แต่ก็ยังดีมีเพื่อนที่อยู่โรงเรียนเดิมอยู่ห้องเดียวกันต้อง 2 คน ดิฉันก็ได้รู้จักกับเพื่อนใหม่หลายคนพออยู่ห้องเดี่ยวกันไปนานๆก็เกิดความสนิทกันกับเพื่อนมากขึ้นพูดคุยกัน ห้องที่ดิฉันอยู่เป็นห้องที่ทั้งเรียนดีและซน แซบ ซ่า ดีก็ห้องนี้ ไม่ดีก็อยู่ที่ห้องนี้อีก การเรียนในเทมอแรกก็ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดี แต่ก็มีบางอย่างที่ต้องปรับปรุงด้วยการไปเรียนพิเศษหลังเลิกเรียน ฉะนั้นดิฉันจึงเริ่มเรียนพิเศษมาตั้งแต่ ม.1 แต่ไม่คิดเลยว่าในสิ่งที่ดิฉันกำลังยินดีกับการเรียนในโรงเรียนใหม่ มันก็มีเรื่องที่ไม่น่าจะเกิดเกิดขึ้นคือ ในวันนั้นวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2546เป็นวันที่ฉันจำได้ขึ้นใจไม่เคยลืม ในตอนเช้าฉันอยู่บ้านกับคุณยายแค่สองคน คุณแม่ก็ไปทำบุญที่วัดส่วนคุณพ่อก็ไม่รู้ว่าไปไหน ช่วงนั้นก็เป็นฤดูหนาวคุณยายก็นั่งผิงแดดอยูที่ข้างประตูบ้านเหมือนทุกๆวัน ส่วนดิฉันก็ทำงานบ้าน กวาดบ้าน จัดบ้านตามที่ฉันทำเป็นประจำ โดยที่ไม่ได้สนใจอะไร พอแม่กลับมาจากวัดดิฉันก็ได้ยินเสียงแม่ร้องดังขึ้น ดิฉันจึงรีบออกไปหาแม่ พอออกไปเห็นคุณยายนอนอยู่แบบไม่มีเรี่ยวแรง แม่กับฉันจึงรีบอุ้มยายเข้าไปนอนในบ้าน แล้วใครจะรู้ละว่าในเย็นวันนั้นคุณยายก็ได้จากดิฉันไปอย่างเงียบๆ ครอบครัวของดิฉันเสียใจมาก เพราะคุณยายของดิฉันไม่ได้ป่วย แต่ก็อาจเป็นเพราะหมดอายุไขของคุณยาย คุณยายอายุได้ 82 ปี แต่ดิฉันรู้สึกว่ามันเป็นเพราะดิฉันไม่ออกมาดูคุณยายมัวแต่ทำงาน พอคิดขึ้นมาทีไรก็รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนผิดมาจนถึงวันนี้
เรื่องไม่ดีผ่านไปแต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีเรื่องที่ดี พอขึ้นมัธยมศึกษาปีที่สองไม่น่าเชื่อว่าดิฉันจะได้เกรดเฉลี่ย 3.82 ฉันดีใจมากเพราะไม่เคยได้ถึงเท่านี้เลย แต่ก็เป็นเพราะดิฉันเรียนรู้เรื่องนั่นแหละ ช่วงนี้เป็นช่วงของวัยที่กำลังสนุกสนานกับเพื่อนๆ ไปไหนก็ไปกับเพื่อนและรักการไปโรงเรียนมากไปเคยขี้เกลียดสักวัน การไปโรงเรียนของดิฉันก็จะมีรถนักเรียนมารับในหมู่บ้าน ถึงจะอยู่ใกล้โรงเรียนแต่รถรับส่งก็มารับตั้งแต่ 7 โมงเช้า แต่ฉันก็ทันรถทุกวัน เพราะการไปเรียนตอนนั้นเป็นสิ่งที่สนุกพอเลิกเรียนก็ไปเรียนพิเศษต่อถึง 17.30 น. แล้วคุณพ่อก็มารับ
มัธยมศึกษาปีที่ 3 ดิฉันก็รู้สึกว่าการเรียนเริ่มยากขึ้น โดยเฉพาะวิชาคณิตเป็นวิชาที่มีการบ้านทุกวันที่มีเรียนและต้องส่งในวันถัดไป วิชานี้เป็นวิชาที่แข่งกันลอกการบ้านดิฉันและเพื่อนๆเกือบทั้งห้องลอกการบ้านกันโดยให้คนที่เก่งที่สุดในห้องเป็นคนไปทำมาพอตอนเช้าก็พากันรีบลอก รีบทำจนเสร็จทันส่งทำอย่างนี้เกือบทุกครั้งเป็นเรื่องที่รู้ว่าไม่ดีแต่สนุกมาก เป็นการฝึกการเขียนเร็วไปในตัว แต่มัธยมศึกษาปีที่ 3 ก็เป็นอีกปีหนึ่ง
ที่จะจบการศึกษาขั้นพื้นฐานซึ่งดิฉันก็ไปได้คิดมากอะไร เพราะยังไงก็ยังไงก็ต้องเรียนต่อมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่โรงเรียนเดิม แต่ก็ต้องสอบชิงห้องเหมือนเดิม ตอนเรียนมัธยมศึกษาตอนตนดิฉันได้มีแม่ครูซึ่งเป็นครูที่ปรึกษาประจำชั้น ม.ต้น ท่านดีมากเหมือนเป็นแม่คนที่สองจริงๆอยู่ใกล้ท่านแล้วอบอุ่น พอช่วงปลายเทอมท่านก็ได้พาไปเที่ยว ไปทัศนศึกษาก่อนจบ ม.3 ที่นครราชศรีมา ไปเที่ยวที่สวนสัตว์ และอีกหลายๆที่สนุกมาก พอวันจบการศึกษาก็ใจหายเหมือนกันเพราะเพื่อนบางคนก็ไปเรียนต่อที่อื่น แต่เพื่อนอีกหลายคนก็เรียนที่เดิมกับดิฉัน
พอขึ้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ดิฉันก็สอบได้ห้องคิงเหมือนเดิม เพื่อนบางคนก็ได้อยู่ห้องเดียวกันกับดิฉัน แต่บางคนก็แยกกันไปอยู่ห้องอื่น และก็ได้เจอเพื่อนใหม่อีกหลายคน การเรียนก็ยากขึ้นกว่าเดิมเพราะมีวิชาที่ตอนม.ต้นไม่เคยมี ดิฉันจึงต้องตั้งใจเรียนขึ้นมาบ้าง และต้องพยายามทำคะแนนให้ดีเพราะจะต้องเอาไปใช้ในการสอบเรียนต่อมัธยมศึกษาตอนปลายเป้ฯช่วงที่สนุกมากเพราะเพื่อนๆทุกคนก็โตกันแล้วดิฉันเลิกเรียนแล้วก็เรียนพิเศษเหมือนเดิม พอกลับถึงบ้านทุกวันก็ต้องทำกับข้าวรับประทานกันกับคุณพ่อคุณแม่แม่ไม่ทำไว้รอ เพราะอยากให้ฉันได้หัดทำจะได้ทำกินเองเวลาพ่อกับแม่ไม่อยู่ นอกจากการทำกับข้าวแล้วฉันยังมีงานอื่นๆที่ต้องแบ่งเบาภาระจากพ่อแม่ก็คืองานบ้านทั่วๆเพราะดิฉันโตพอที่จะช่วยท่านได้แล้ว
มัธยมศึกษาปีที่ 5 ใกล้จะได้เป็นพี่ใหญ่แล้วก็มีกิจกรรมเข้ามาให้ทำมากมาย เช่น การจัดค่ายต่างๆ รวมทั้งกิจกรรมทัศนศึกษา และการจัดเชียรในการแข่งขันกีฬาภายในซึ่งเป็นเรื่องที่ห้องดิฉันให้ความสำคัญมากทุมเทสุดๆ ดิฉันก็ได้เป็นหนึ่งในเชียร์ลีดเดอร์เช่นกันเพราะทุกๆปีสีของดิฉันจะเป็นแชมป์มาโดยตลอด พอมาถึงปีฉันก็ต้องทำให้ได้เหมือนรุ่นพี่ แต่การเรียนก็เป็นเรื่องที่สำคัญไม่แพ้เรื่องไหนต้องขยันขึ้นมาอีกเพราะมีกิจกรรมมากมาย ทุกวันดิฉันก็จะกลับบ้านค่ำเหมือนเดิมแต่ไม่ได้กลับบ้านค่ำเพราะเรียนพิเศษ แต่เพราะการฝึกซ้อม และการทำกิจกรรมต่างๆ
มัธยมศึกษาปีที่ 6 ตอนนี้เป็นพี่ใหญ่แล้วเย้ใกล้จะจบแล้ว แต่หารู้ไหมว่ายิ่งใกล้จบยิ่งมีอะไรมากมายให้เราทำ รวมทั้งปัญหาต่างๆก็มีมาก เพราะเป็นช่วงการสอบโควตา ตอนนั้นรู้สึกกดดันมากเครียดมากเพราะเพื่อนส่วนมากก็สอบติดโควตากัน ตอนนั้นคิดมากนั่งร้องไห้เกือบทุกครั้งที่คิดเรื่องนี้ขึ้นมา แต่พอถึงช่วงแอดมิสชั่นดิฉันก็สอบติดดังใจหวัง ได้เรียนสาขาจิตวิทยาตามที่คิดไว้ พอมาถึงตอนนี้แล้วทำให้ดิฉัน
สบายใจขึ้นมาได้ว่ามีที่เรียนแล้ว รอคอยคือวันเปิดเรียน พอได้มาสัมผัสที่มหาวิทยาลัยมหาสารคามตื่นเต้นมากได้พบอะไรใหม่ๆหลายอย่างได้แนวคิด และประสบการณ์มากมายในกิจกรรมที่ทางมหาลัยมอบให้ ได้อยู่หอพักกับเพื่อนโดยที่ไม่มีพ่อแม่คอยดูแล ได้ตัดสินใจทำอะไรหลายอย่างด้วยตัวเอง ได้เรียนรู้เกี่ยวกับตัวเองและการอยู่ร่วมกับผู้อื่น ทำให้มีความเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น แต่คิดถึงบ้านคิดถึงพ่อกับแม่มาก แต่ดิฉันก็คิดอยู่เสมอว่าเรามาที่นี่เพื่อทำหน้าที่ของเราคือ การศึกษาหาความรู้ซึ่งในขณะที่พ่อแม่ของเราต้องทำงานเพื่อส่งเรามาเรียน ดังนั้นเราควรทำหน้าที่ๆเรามีอยู่ให้เต็มที่และสำเร็จให้จนได้ไม่ว่าสิ่งนั้นจะยากสักเพียงใดแต่ก็ไม่มีอะไรที่เกินความสามารถของมนุษย์อย่างเราทุกคน
นางสาวนภาเพ็ญ อุทปัตย์ 52010517104
ประวัติของข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าชื่อนางสาวสุภัตรา สีหาบุญลี ชื่อเล่น เต้
เกิดวันที่ 30 ตุลาคม 2533 อายุ 19 ปี
บิดาชื่อนายสุรัตน์ สีหาบุญลี อายุ 49 ปี อาชีพทำนา
มารดาชื่อนางสมจิตร์ สีหาบุญลี อายุ 44 ปี อาชีพทำนา
พี่ชายชื่อนายธีระวัฒน์ สีหาบุญลี อายุ 23 ปี กำลังศึกษาที่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม คณะศึกษาศาสตร์ สาขาวิชาสังคมศึกษา ชั้นปีที่ 4
ปัจจุบันอาศัยอยู่บ้านเลขที่ 117 หมู่ 2 บ้านหนองไฮ ตำบลหนองไฮ อำเภอวาปีปทุม
จังหวัดมหาสารคาม 44120
เบอร์โทรศัพท์ 083-1517406
E-mail pante.te@hotmail.com
สีที่ชอบ สีม่วง
อาหารจานโปรด กระเพราไก่ , ส้มตำ
คติประจำใจ ทำวันนี้ให้ดีที่สุด
ประวัติด้านการศึกษา
จบชั้นประถมศึกษาจากโรงเรียนบ้านหนองไฮ
จบชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นจากโรงเรียนบ้านหนองไฮ
จบชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายจากโรงเรียนวาปีปทุม
ปัจจุบันศึกษาที่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม คณะศึกษาศาสตร์
สาขาวิชาจิตวิทยา ชั้นปีที่ 1
ทุกวันนี้ครอบครัวของดิฉันอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข ซึ่งแต่ละคนต่างก็ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด ซึ่งฉันมีหน้าที่เรียนหนังสือฉันก็ตั้งใจเรียนทำน้าที่ของตัวเองอย่างเต็มความสามารถ
ถึงครอบครัวของดิฉันจะมีฐานะความเป็นอยู่ที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ซึ่งพ่อกับแม่มีอาชีพทำนา และพอเว้นจากหน้าทำนาพ่อกับแม่ก็ไปทำงานอยู่ต่างจังหวัดเพื่อที่จะหาเงินมาส่งให้ลูกทั้งสองคนได้เรียนหนังสือและพอที่จะใช้จ่ายในครอบครัว และถึงตอนปิดภาคเรียนฉันกับพี่ก็จะไปหางานทำเพื่อที่จะได้แบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายจากพ่อกับแม่ได้บ้างในตอนที่เปิดเทอม
เหตุการณ์ที่น่าจดจำ
มันเป็นเหตุการณ์ที่ตอนนั้นดิฉันกำลังไม่สบายต้องเข้ารักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลซึ่งตอนนั้นฉันนอนป่วยอยู่แล้วก็มีคนคนนึงที่คอยเป็นห่วงคอยป้อนข้าวป้อนน้ำคอดูแลคอยเอาใจใส่เราคอยเป็นกำกังใจให้เรา ดูแลเราตอนที่เราไม่สบาย คนคนนั้นไม่ใช่ใครแต่เป็นแม่ของฉันเอง เมื่อดิฉันเห็นแม่คอยดูแลคอยเอาใจใส่ฉัน ฉันก็คิดได้เลยว่าหมดทั้งชีวิตของฉันฉันจะไม่ทำให้แม่กับพ่อแม่ของฉันเสียใจและผิดหวังในตัวขอฉันเป็นอันขาด ฉันจะทำหน้าที่ของฉันให้เต็มความสามารถ ฉันจะตั้งใจเรียนหนังสือขยันอ่านหนังสือให้มากๆเพื่อที่จะทำให้ฉันประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน แลเมื่อฉันเรียนจบฉันก็จะหางานที่ดีดีทำเพื่อที่จะทำให้พ่อกับแม่มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และไม่ต้องลำบากอย่างเช่นทุกวันนี้ และฉันหวังเป็นอย่างยิ่งว่าสักวันหนึ่งมันต้องเป็นวันของฉันซึ่งวันนั้นจะต้องเป็นวันที่พ่อกับแม่ภาคภูมิใจในตัวของลูกคนนี้ และในอีกไม่นานวันนั้นมันต้องเป็นวันของฉันแน่
เหตุการณ์ที่ไม่ควรแก่การจดจำ
เหตุการณ์นี้เป็นเหตุการณ์ที่ดิฉันไปประสบมากับตนเองก็คือ วันหนึ่งฉันกำลังขับรถมอเตอร์ไซด์ของดิฉันกำลังจะกลับมาที่มหาวิทยาลัย แต่พอไปถึงกลางทางฉันก็ไปเห็นรถชนกันซึ่งคนที่อยู่ในเหตุการณ์นั้นต่างก็ชุนละมุนกันไปหมด ซึ่งในเหตุการณ์ในครั้งนี้ก็มีทั้งคนที่ได้รับบาดเจ็บ และก็มีคนตายด้วย ซึ่งสภาพของคนที่ตายนั้นก็ไม่น่ามองเอาซะเลยหนำซ้ำยังน่าเวทนาอีกด้วย ในวันเดียวกันในตอนเย็นวันนั้นดิฉันกับเพื่อนที่กำลังขับรถมอเตอร์ไซด์ เข้าไปในเมือง แล้วดิฉันก็เลยเลี้ยวรถเข้าไปในซอยซอยหนึ่งที่เป็นทางลัด ซึ่งมีรถกระบะคันหนึ่งเลี้ยวเข้าไปก่อนฉันก็เลยขับตามเข้าไป แต่อยู่ดีดีรถคันนั้นก็ถอยหลังกลับคืนมาแบบไม่มองข้าวหลังเลยดิฉันบีบแตรรถเท่าไหร่ก็ไม่ได้ยิน จนในที่สุดรถกระบะคันนั้นก็ชนรถมอเตอร์ไซด์ของฉัน ซึ่งในตอนนั้นดิฉันสั่นและกลัวมากๆเลย ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาดิฉันก็ไม่กล้าขับรถไปไหนมาไหนคนเดียวเลย
จากเหตุการณ์ต่างๆที่ได้เล่ามานั้นมันเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับตัวของดิฉันเองมีทั้งเหตุการณ์ที่ไม่น่าจำและเหตุการณ์ที่สุดแสนจะประทับใจนี่แหละนะที่เขาบอกว่าชีวิตมีทุกรสชาติ
รักอาจารย์ที่สูดๆๆ
ต่อจากหน้าแรก
อาติญา ไชยยศ 52010521007
เรื่องเล่า ... ของความรัก
ในอดีตกาลนามมาแล้ว เขาว่ากันว่า มนุษย์ทุกคนมีหัวใจด้วยกันจริงทั้งหมดสองดวง
แต่ยังมีเทวดาน้อยอยู่องค์นึง ซึ่งไม่รู้จักสิ่งที่เขาเรียกว่าหัวใจ ด้วยความที่สงสัยว่าหัวใจนั้นมันเป็นอย่างไร
เทวดาน้อยจึงได้ไปถามนางฟ้าผู้ที่ดูแลทางเข้าออกของประตูสวรรค์
"ท่านนางฟ้า โปรดบอกข้า หัวใจคืออะไร"
"หัวใจ ก็คือสิ่งบริสุทธิ์ สวยงามที่สุดของมนุษย์ยังไงเล่า"
"แล้วสิ่งที่เรียกมนุษย์อยู่แห่งใดล่ะ"
"อยู่เบื้องล่างอีกฟากของประตูสวรรค์"
"เปิดประตูให้ข้าไปชมหัวใจของมนุษย์ได้มั้ย ท่านนางฟ้า"
"มิได้หรอก มันผิดกฎของสวรรค์ เจ้ากลับไปซะเถอะ แค่เจ้ามาสนทนากับข้าก็ผิดมากเท่าใดแล้ว
เจ้ารู้ตัวมั้ย เจ้าเทวดาน้อย"
เทวดาน้อยทำทีว่าหันหลังกลับไป แต่ด้วยความที่อยากได้หัวใจมาครอบครองไว้เป็นของตน
จึงได้นำคันศรธนูมา แล้วยิงไปที่นางฟ้าผู้รักษาประตูสวรรค์
หวังจะให้นางฟ้านั้นสลบไปในชั่วข้ามคืนนั้นเอง หลังจากนั้น
เทวดาน้อยแอบเปิดประตูสวรรค์แล้วบินไปยังโลกมนุษย์
กลางดึกของคืนนี้เป็นคืนที่เงียบสงบ มนุษย์ทุกคนต่างหลับกันหมดแล้ว
เทวดาน้อยจึงแอบบินเข้าไปในบ้านของมนุษย์ทุกคน
แล้วไปเอาสิ่งที่เรียกว่าหัวใจของทุกคนบนโลกมนุษย์ มาคนละหนึ่งดวง
แล้วนำลอยขึ้นไปบนสวรรค์ หวังจะขโมยกลับไปเป็นของตน
แต่ระหว่างที่เทวดาน้อยกำลังกลับเข้าไปปากทางของประตูสวรรค์ได้มีนางฟ้าและเทวดาแห่งความรักยืนกั้นอยู่
เทวดาน้อยเห็นดังนั้นจึงบินหนี แต่นางฟ้าองค์นึงได้บินตามเพื่อมาแย่งหัวใจของมนุษย์ทั้งหมดไว้
แต่เหตุการณ์ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นเมื่อหัวใจทั้งหมดได้เกิดกระจายออกแล้วร่วงโปรยปรายไปยังบนโลกมนุษย์
ทำให้เกิดการสลับสับเปลี่ยนเจ้าของหัวใจกันในค่ำคืนนั้นเอง
เทวดาน้อยถูกลงโทษ ด้วยการให้เป็นเด็กตลอดกาล และเปลี่ยนชื่อเป็นกามเทพให้อยู่บนโลกมนุษย์
เพื่อตามหาหัวใจอีกดวงของมนุษย์ทั้งหมดที่ไปอยู่กับใครอีกดวงหนึ่งให้มาพบกัน
ตอนนี้หัวใจของคุณอีกดวงหนึ่งก็คงอาจจะอยู่กับใครบนโลกใบนี้ก็เป็นได้
อย่ารอให้กามเทพ เป็นคนหาหัวใจให้คุณ ถึงเวลาแล้วที่คุณจะต้องตามหาหัวใจของคุณคืนมา
และเมื่อคุณได้มันคืนมาแล้ว จงดูแลหัวใจคุณให้ดี อย่าได้ปล่อยให้หัวใจจากคุณไปอีก
เพราะคุณอาจจะไม่มีวันเจอหัวใจอีกดวงที่แท้จริงของคุณตลอดชีวิต หรือชั่วชีวิตก็เป็นได้
ประวัติส่วนตัว
ชื่อ นางสาวภาสุรีย์ อ่อนฉวี ชื่อเล่น เดียร์
รหัสประจำตัวนิสิต 52010517085
เกิด วันพฤหัสบดี ที่ 18 ตุลาคม พุทธศักราช 2533
สถานที่เกิด โรงพยาบาลร้อยเอ็ด เวลา 09.13 น.
ตอนนี้ อายุ 19 ปี 3 เดือน กรุ๊ปเลือด โอ
ที่อยู่ บ้านเลขที่ 6/1-6/5 ถนนเพลินจิต ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดร้อยเอ็ด 45000
ที่อยู่ปัจจุบัน ศูนย์หอพักตักสิลา ตึก A ห้อง 316 จังหวัดมหาสารคาม
E – mail DK_181033@hotmail.com
Hi5 http://dkseven.hi5.com
ความสามารถพิเศษ BASKETBALL , FOOTBALL
คติประจำใจ ไม่มีคำว่าทำไม่ได้
สีที่ชอบ สีเทา สีดำ สีขาว
อาหารที่ชอบ คะน้าหมูกรอบ
ผลไม้ที่ชอบ สละ,ส้ม,แตงโม,มะม่วง
นักแสดงที่ชื่นชอบ อั้ม พัชราภา , แพนเค้ก เขมนิจ , เมย์ พิชญ์นาฏ , เอมี่ มรกต , แอน ทองประสม
นักร้องที่ชื่นชอบ Da Endorphine , ฝ้าย Am Fine , แกรนด์ The Star 5 , ขนมจีน
นิสัยส่วนตัว เป็นคนตลก ขบขัน ชอบสร้างรอยยิ้มให้กับทุกคน ชอบร้องเพลง เป็นคนจริงจังกับงานทุก
อย่างแต่จะทำเหมือนเป็นคนทำอะไรเล่น ๆ ก็เลยไม่ค่อยมีคนให้ทำงานสักเท่าไหร่ แต่ก็เป็นคนอารมณ์ร้อน
เหมือนกัน ( แก้ไขนิสัยนี้ไม่ได้สักที )
ครอบครัวของฉัน มีทั้งหมด 4 คน
1.นายไพบูลย์ อ่อนฉวี ( ท่านคุณพ่อ ) อาชีพ รับราชการครู เป็นครูอยู่ โรงเรียนร้อยเอ็ดวิทยาลัย
2.นางวราวรรณ อ่อนฉวี ( ท่านคุณแม่ ) อาชีพ รับราชการครู เป็นครูอยู่ โรงเรียนสตรีศึกษา
3.นายชาญเชาวน์ อ่อนฉวี ( คุณพี่ชาย ) กำลังศึกษาอยู่ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ชั้นปีที่ 3
คณะการบัญชีและการจัดการ สาขา การตลาด
4.นางสาวภาสุรีย์ อ่อนฉวี ( ตัวฉันเองเป็นน้องเล็ก )
ประวัติการศึกษา
จบชั้นอนุบาล 1 – 3 จาก โรงเรียนอนุบาลไพโรจน์ ( โรงเรียนเอกชนในจังหวัดร้อยเอ็ด )
จบชั้นประถมศึกษา 1 – 6 จาก โรงเรียนอนุบาลไพโรจน์ ( โรงเรียนเอกชนในจังหวัดร้อยเอ็ด )
จบชั้นมัธยมตอนต้น 1 – 3 จาก โรงเรียนสตรีศึกษา ( โรงเรียนประจำจังหวัดร้อยเอ็ดเขต 1 )
จบชั้นมัธยมตอนปลาย 4 – 6 จาก โรงเรียนสตรีศึกษา (โรงเรียนประจำจังหวัดร้อยเอ็ดเขต 1)
ปัจจุบันกำลังศึกษาอยู่ที่ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม คณะศึกษาศาสตร์ สาขา จิตวิทยา ชั้นปีที่ 1
ตอนที่อยู่ชั้นประถมได้ไปสมัครเป็นวงโยธวาทิต ของโรงเรียน และมีการซ้อมทุก ๆ วัน ตอนเที่ยงและตอนเย็น ตอนที่เป็นวงโยธวาทิต ในตอนนั้น อยู่ในโรงเรียนเป็นอะไรที่เท่มาก เป็นโรงเรียนเดียวที่ใส่สูทออกงาน เพราะว่าในตอนนั้นโรงเรียนประถมที่อยู่ในเมืองต่างโรงเรียนก็แข่งขันกันในด้านวิชาการและก็แข่งกันในเรื่องวงโยธวาทิตว่าใครจะเด่นกว่ากัน แต่เวลาที่ออกงานในแต่ละครั้งโรงเรียนอนุบาลไพโรจน์ก็จะได้รับคำชมตอบกลับมาทุกครั้ง มีงานหนึ่งที่จำได้ดีแล้วก็ปลื้มสุด ๆ คือมีโรงเรียนประถมที่มาร่วมงานเดียวกัน 4 โรงเรียน และก็โรงเรียนมัธยม 2 โรงเรียน ซึ่งโรงเรียนมัธยม 2 โรงเรียนนี้ คือ โรงเรียนร้อยเอ็ดวิทยาลัย และโรงเรียนสตรีศึกษา เป็นอะไรที่ปลื้มมากที่ได้ออกงานร่วมกันและก็ยิ่งปลื้มไปกว่านั้นก็คือ ตอนที่จะบรรเลงเพลงเพื่อเปิดงานนั้นโรงเรียนอนุบาไพโรจน์ก็ได้ไปบรรเลงเพลงร่วมกับโรงเรียนมัธยมทั้ง 2 โรงเรียน อ่อ ลืมบอกไปว่าโรงเรียนอนุบาลไพโรจน์ตอนนั้นมีคู่แข่งที่สำคัญมาก ก็คือ โรงเรียนพระกุมารร้อยเอ็ด เป็นโรงเรียนเอกชนที่แข่งกันทุกด้านและงานนี้โรงเรียนพระกุมารก็มาร่วมด้วยแต่ก็ไม่ได้เข้ามารวมวงแบบโรงเรียนของฉัน ( เป็นอะไรที่สะใจมากในตอนนั้น ) ต่อมาเป็นงานกีฬาสีของโรงเรียน ซึ่งก็มีแค่ 4 สี แต่เวลาจัดแถวในแต่ละสี ยาวมากไม่รู้อะไรบ้างแล้ววงโยก็มีแค่วงเดียวในโรงเรียนแต่คนในวงก็เยอะเหมือนกันอาจารย์ที่คุมวงโยก็เลยตัดสินใจแบ่งออกเป็น 2 วง แล้วตัวฉันก็ได้ไปอยู่วงที่ 2 ตอนแรกก็เศร้าเพราะเพื่อนฉันอยู่วงที่ 1 หมดเลย แต่พออาจารย์บอกว่าให้ฉันไปเป็นหัวหน้าคุมวงที่ 2 เป็นอะไรที่ปลื้มมากเพราะตั้งแต่ที่เป็นมาก็เพิ่งจะได้เป็นหัวหน้ากับเขาเนี่ยแหละ ในตอนนั้นพี่ชายฉันก็ได้เข้าไปศึกษาต่อในชั้นมัธยมตอนต้นที่โรงเรียนร้อยเอ็ดวิทยาลัยและพี่ชายฉันก็ได้ไปสมัครเป็นนักกีฬาบาสของโรงเรียนแล้วก็ไปซ้อมทุกวัน ตอนนั้นฉันอยู่ป. 5 ทุกวันหยุดสุดสัปดาห์พี่ชายของฉันก็จะพาฉันไปฝึกเล่นบาส แต่ก่อนที่จะเล่นบาสตอนเด็กคุณพ่อทำทีมฟุตบอลเด็กจะไปส่งแข่งที่โรงพยาบาลกรุงเทพจุรีเวชและในตอนนั้นคุณพ่อก็ได้รวมเด็กในระแวกแถวบ้านมาจนครบเป็นทีมและก็ได้พาเด็กไปซ้อมและฉันก็ไปซ้อมฟุตบอลด้วยก็เลยเล่นฟุตบอลเป็นตั้งแต่ตอนนั้น ลืมบอกไปว่าคุณพ่อเคยเป็นนักฟุตบอลมาก่อน และตอนที่มีกีฬาสีภายในโรงเรียนอนุบาลไพโรจน์ นักกีฬาวอลเล่ย์เกิดไม่ครบซะงั้น ก็เลยต้องได้ไปเล่นวอลเล่ย์ และก็ชนะซะด้วยมันอยู่ในสายเลือด เพราะคุณแม่เคยเป็นนักกีฬาวอลเล่ย์และนักกรีฑามาก่อน มันก็เลยซึมซับเข้าสู่กระแสเลือด 555 + ต่อมาได้เข้ามาศึกษาต่อในชั้นมัธยมตอนต้นที่โรงเรียนสตรีศึกษาพี่สาวที่เป็นญาติฉันอยู่วงโยของโรงเรียนสตรีศึกษาตอนนั้นฉันได้บอกกับพี่สาวว่าอยากจะเข้าไปเป็นวงโยบ้างแต่พี่ก็ห้ามไว้เพราะพี่มันบอกว่าซ้อมหนักมากไม่อยากให้เข้ากลัวฉันไม่ไหว และพี่สาวก็ได้บอกอีกว่าในโรงเรียนนอกจากวงโยที่ทุกคนให้ความสนใจแล้วก็จะมีเป็นนักกีฬาของโรงเรียนนี่แหละ และฉันก็ได้ไปสมัครเป็นนักกีฬาบาสของโรงเรียนเหมือนพี่ชาย และเวลาแข่งสนามแข่งก็จะมาจัดที่โรงเรียนสตรีศึกษาทุกครั้งและทุกปี เวลาแข่งเป็นอะไรที่ตื่นเต้นมาก เพราะมีคนมาชมการแข่งขันเยอะมากชนิดแบบว่าโรงยิมไม่มีที่ยืนเลยล่ะ เวลายิงบอลลงทีไร เสียงกรี๊ดก็จะตามมาเยอะแยะมากมายโรงยิมแทบจะแตก และก็มีการแข่งขันกีฬาอย่างนี้ทุกปีจนกระทั่งฉันอยู่มัธยมศึกษาปีที่ 3 ก็ถึงเวลาที่จะเลือกว่าจะไปศึกษาต่อที่โรงเรียนอื่นหรือจะศึกษาต่อที่โรงเรียนเดิมเป็นอะไรที่ลังเลและสับสนมาก เพราะใจหนึ่งก็อยากไปเรียนต่อที่อื่นและอีกใจหนึ่งก็อยากจะเล่นบาสต่อที่โรงเรียนเดิม ตอนแรกก็ตัดสินใจที่จะไปเรียนต่อที่โรงเรียนอื่นแต่พอมาคิดดี ๆ แล้ว ยังรักในการเล่นบาสและยังอยากจะเล่นต่อไป ก็เลยตัดสินใจที่จะต่อโรงเรียนเดิม ในแต่ละครั้งที่แข่งบาสก็จะมีรายการแข่งบาสที่ใหญ่รายการหนึ่งซึ่งผู้ที่ชนะจากการแข่งที่อยู่ภายในจังหวัดแล้วก็จะได้ไปแข่งต่อในต่างจังหวัด ซึ่งบาสหญิงของโรงเรียนสตรีศึกษาก็ครองแชมป์การแข่งบาสภายในจังหวัดร้อยเอ็ดได้ทุกปีส่วนบาสชายก็จะเป็นของโรงเรียนร้อยเอ็ดวิทยาลัยซึ่งพี่ชายของฉันก็เล่นให้กับทีมโรงเรียนร้อยเอ็ดวิทยาลัยตอนที่ได้ไปแข่งอยู่ต่างจังหวัดได้ไปจังหวัด ชัยภูมิ ,สุรินทร์,อุบลราชธานี ได้ไปอยู่แค่ 3 จังหวัด ส่วนอีกหลายจังหวัดที่รุ่นพี่และเพื่อนไปแข่งนั้น ฉันไม่ได้ไปเนื่องจากช่วงนั้นมีปัญหาไม่เข้าใจกับคุณแม่เล็กน้อยแต่การเป็นนักกีฬาของโรงเรียนนั้นก็ไม่ได้ดีไปซะทุกอย่าง ต่อให้เราได้แชมป์และสร้างชื่อให้กับโรงเรียนแค่ไหน บ้างก็ชื่นชม แต่
ส่วนใหญ่แล้วก็มีคนที่ชอบดูถูก เพราะฉันก็โดนมาอย่างนั้น ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าอาจารย์แต่ละคนเป็นอะไรกับนักกีฬาโรงเรียนนักหนา แต่การเป็นนักกีฬาก็ได้ตอบแทนในสิ่งที่ดี ๆ ให้กับฉันเหมือนกัน ก็คือตอนที่อยู่ ม.4 อาจารย์เขาให้หาคนที่เป็นนักกีฬาของโรงเรียนแล้วส่งมาเป็นตัวแทนของแต่ละสีเพื่อไปวิ่งคบเพลิงและฉันก็ได้เป็นตัวแทนของสีเพื่อไปวิ่งคบเพลิง และตอนที่อยู่ ม.6 อาจารย์หมวดสุขศึกษาและพลศึกษา คัดเลือกไม่ได้ว่าใครจะเป็นตัวแทนวิ่งคบเพลิงส่วนใหญ่แล้วตามโรงเรียนทั่วไปก็จะมีคนวิ่งคบเพลิงแค่ 2 คน แต่โรงเรียนของฉันและในปีที่ฉันจบนั้นคัดเลือกไม่ได้ว่าใครจะวิ่งเพราะนักกีฬาของโรงเรียนที่เป็นรุ่นเดียวกันกับฉันนั้นมีประมาณ 12 คน อาจารย์ก็เลยตัดสินใจว่าให้วิ่งกันทุกคน เพื่อเป็นการตอบแทนที่เป็นนักกีฬาให้กับโรงเรียนมานาน และก็คว้าแชมป์ได้มากมายในแต่ละปีที่ผ่านมา อาจารย์ให้เขียนประวัติการแข่งส่งกันทุกคน เพราะวันจริงนั้นอาจารย์เขาจะอ่านให้ทุกคน และในตอนนั้นฉันก็สอบตรงติดที่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม คณะศึกษาศาสตร์ สาขาจิตวิทยา และก็ได้มาเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้
นางสาวนาตยา เสาแก้ว
คณะศึกษาศาสตร์ สาขาจิตวิทยา
รหัสนิสิต 52010517107
....ภูมิใจนำเสนอ.....
ข้าพเจ้าชื่อ นางสาวนตยา เสาแก้ว ชื่อเล่น มิ่ม
เกิดที่โรงพยาบาลราชวิถี กรุงเทพมหานคร น้ำหนัก 2800 กรัม
เกิด วันพฤหัสบดีที่ 13 ธันวาคม 2533
ปีมะเมีย
ปัจจุบัน ข้าพเจ้าก็ชื่อนาตยา เสาแก้ว
ส่วนชื่อเล่นก็ชื่อเดิม
ความภูมิใจอีกอย่างหนึ่งคือได้ศึกษาต่อที่
....มหาวิทยาลัยมหาสารคาม …
.....คณะศึกษาศาสตร์ สาขาจิตวิทยา ....
เอารหัสนิสิตด้วยกัน 52010517107
บางคนฟังงานสำเนียงการพูดของข้าพเจ้าก็พอจะเดาออกว่าข้าพเจ้ามาจากไหน
เฉลย จังหวัดศรีสะเกษ ที่มีชื่อเสียงเรื่องเขาพระวิหารไง
แต่ข้าพเจ้าเป็นคนในเมืองนะ ...12 หมู่ 5 ตำบลตะดอบ อำเภอเมือง จังหวัดศรีสะเกษ 33000
เห็นไหมว่าอยู่ในเมืองจริงๆๆ
เพื่อนคนไหนที่อยากให้ของขวัญข้าพเจ้าสามารถให้ได้ใน วันพฤหัสบดีที่ 13 ธันวาคม
ข้าพเจ้าเกิด ปีมะเมีย
--> อายุ 19ปีแล้ว แต่หน้าอาจจะน้อยกว่าอายุนะ
--> กรุ๊ปเลือด B
--> น้ำหนัก 46 กก. ส่วนสูง 158 ซม.
--> ผลไม้ที่ชอบ..ชอบทุกอย่างแหละ.โดยเฉพาะของฟรี
--> อาหารที่ชอบ....ก็เหมือนเดิมแหละ..กินได้ทุกอย่างโดยเฉพาะของฟรี
--> เวลาว่าง......ถ้าไม่นอนก็เล่นเน็ต (เน็ตฟรี)
--> สีที่ชอบ ชอบทุกสีที่สวย
ปัจจุบันข้าพเจ้าพักอาศัยอยู่ หอใน (ม.เก่า)
ห้อง 218 หอการเกด
E-mail mim_nattaya@windowslive.com
Ooo----ooo Ooo----ooo
นามของข้าพเจ้าหาแล้วไม่เห็นมีความหมาย
ข้าพเจ้าก็เลยเอามาแต่งเองว่า “ นาฏศิลป์ที่รักษาโรค”
ส่วนชื่อเล่น มิ่ม (ตา ยาย ตั้งให้ )
ข้าพเจ้าไม่มีพี่น้องรวมพ่อแม่เดียวกัน
แต่มีน้องรวมพ่อเดียวกัน 3 คน
..ตอนอนุบาล ข้าพเจ้าเรียนที่ กรุงเทพ
แต่พอขึ้นประถมศึกษาข้าพเจ้าคิดว่ากรุงเทพ
ไม่เหมาะกับข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าจึงพาแม่ อุย...ไม่ใช่
แม่จึงพาข้าพเจ้ากลับมาอยู่ที่
จังหวัดศรีสะเกษ (บ้านเกิดแม่)
มาอยู่กับครอบครัวทางแม่ ซึ่งเป็นครอบครัวใหญ่
ที่บ้านแม่ ทำนา เลี้ยงหมู เลี้ยงวัว เลี้ยงควาย (ไว้ส่ง......เรียน)
เลี้ยงเป็ด เลี้ยงไก่ ปลูกผัก เลี้ยงปลา
อยู่แบบเศรฐกิจพอเพียง (แต่ไม่เพียงพอ)
แม่ของข้าพเจ้าบอกข้าพเจ้าว่า
ตอนเด็กข้าพเจ้าชอบแต่ตัวมาก โตขึ้นเลยไม่ค่อยแต่ตัว
@@@.....@@@
ประถมศึกษาปีที่ 1-6
....โรงเรียนมารีวิทยา
**ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น**
มัธยมศึกษาปี่ 1-3
.....โรงเรียนไกรภักดีวิทยาคม
มีคนถามข้าพเจ้าว่าทำไมไม่เรียนโรงเรียนประจำจังหวัด
....ไม่ใช่ไม่อยากเรียนแต่สอบไม่ได้—ไม่ได้โง่นะ
—แต่โคตรโง่
มัธยมศึกษาปีที่ 4-6
...โรงเรียนไกรภักดีวิทยาคม(ก็ ร.ร.เดิมนั้นแหละ)
** มัธยมตอนปลายมีเรื่องน่าตื่นเต้นมากมาย **
โดยเฉพาะ หาที่เรียนต่อ เป็นอะไรที่ต่างคนต่างวิ่งวุ่น
เพื่อนคนไหนมีที่เรียนแล้วเค้าก็ไม่วุ่นเท่าไร
แต่พวกที่ไม่มีที่เรียนนะซิ
วุ่นจนทำงานไม่เป็นชิ้นเป็นอัน
หนึ่งในนั้นก็มีข้าพเจ้ารวมอยู่ด้วย
----ผลงานที่ภูมิใจ-----
* เป็นพนักงานธนาคารโรงเรียน ธนาคารออมสิน สาขาศรีสะเกษ
* เป็นตัวแทนโรงเรียนเข้าร่วมทำกิจกรรมและป็นเครือข่ายเยาวชนสิ่งแวดล้อม
ของจังหวัดศรีสะเกษ
* เป็นแกนนำโรงเรียนร่วมจัดกิจกรรมในโครงการ “ เดินสายฉายหนังม่านรูด ”
* เป็นตัวแทนเข้าอบรม “ ค่ายเยาวชนคนรักษ์ทะเลไทย ”
* เป็นตัวแทนเข้าร่วมแข่งขันโครงงานด้านวิชาการ
* เป็นตัวแทนหมู่บ้านเข้าประกวดนางนพมาศในงานรอบกระทง ประจำตำบล
.........................
ข้าพเจ้าได้ลงรอบ Admission
รอบรับตรงไม่ใช่ว่าไม่ได้แต่ไม่เอา (ฟังแล้วดูดีไหม)
เลือกลงที่มหาวิทยาลัยมหาสารคามไว้ในอันดับที่ 1 กับ 2
และมหาวิทยาลัยอุบลราชธานีอันดับที่ 3 กับ 4
...ในที่สุดข้าพเจ้าก็ได้เป็นนิสิตตาของ
**มหาวิทยาลัยมหาสารคาม **
...... คณะศึกษาสตร์ สาขาจิตวิทยา ....
โดยมีรหัสนิสิต 52010517107
ปัจจุบันข้าพเจ้ามีความสุขกับการเรียน
และ มีความสุขที่มีเพื่อนที่ดี
เพื่อนในกลุ่ม ดักแด้ ตุ้ม นิ่ม หลิน ปิกกี้ ก้อย เปิ้ล แอบเปิ้ล เดียร์
*****บทความดีๆ*****
...ไม่มีใครเกิดมาไร้ค่า
แม้แต่คนโง่ที่สุดยังฉลาดในบางเรื่อง
และคนฉลาดที่สุด ก็ยังโง่ในหลายเรื่อง ..
ไม่มีอะไรเสียเวลาไปมากกว่า…
การคิดที่จะย้อนกลับไปแก้ไขอดีต ..
ไม่เคยมีอะไรช้าเกินไป ที่จะทำให้สิ่งที่ตนฝัน .. ..
คนที่ไม่เคยหิว ย่อมไม่ซาบซึ้งรสของความอิ่ม.. ..
ความสำเร็จที่ผ่านความล้มเหลว
ย่อมหอมหวานกว่าเดิม ..
.. อันตรายที่สุดของชีวิตคนเราคือ การคาดหวัง..
*********************
.. อย่ายอมแพ้ ถ้ายังไม่ได้พยายามอย่างเต็มที่..
เหตุผลของคนๆ หนึ่ง
อาจไม่ใช่เหตุผลของคนอีกคนนึง
ถ้าคุณไม่ลองก้าว คุณจะไม่มีทางรู้เลยว่า
ทางข้างหน้าเป็นอย่างไร
ปัญหาทุกอย่างล้วนอยู่ที่ตัวเราทั้งสิ้น
ยินดีกับสิ่งที่ได้มา และยอมรับกับสิ่งที่เสียไป
หลังพายุผ่านไป ฟ้าย่อมสดใสเสมอ มีแต่วันนี้ที่มีค่า
ไม่มีวันหน้า วันหลัง .. .. คนเรา ไม่ต้องเก่งไปทุกอย่าง แต่จงสนุกกับงานทุกชิ้น ที่ได้ทำ
.. หัวใจของการเดินทางไม่ได้อยู่ที่จุดหมาย
หากอยู่ที่ประสบการณ์สองข้างทาง .. มากกว่า
.....ขอบคุณทุกท่านที่อดทนอ่านจนจบ......
ขอให้ทุกท่านได้ เอทุกวิชา รวมถึงข้าพเจ้าด้วย
@********************************@
ฉันชื่อวรรณลีลา จังหาร (ความหมายชื่อแปลว่า ผู้ที่มีผิวพรรณและท่วงท่าอันงดงาม)ชื่อเล่นชื่อ หยิ่ง แต่ฉันไม่ได้หยิ่งเหมือนชื่อเลยนะ(หลายคนก็บอกอย่างนี้) ฉันกำเนิดเกิดวันอังคารที่ 4 เดือนเมษายน พุทธศักราช 2532 ซึ่งตอนนั้นตรงกับวันเชงเม้งพอดี ฉันเกิดที่โรงพยาบาลมหาสารคามด้วยน้ำหนัก 4,000 กรัม หรือ 4 กิโลกรัมนั่นเอง ตัวใหญ่มากเลยทีเดียว ตอนที่แม่คลอดฉัน พ่อไม่ได้มาเฝ้า (แม่แอบน้อยใจเล็กน้อย) เหมือนครั้งที่แม่คลอดพี่ชาย เพราะพ่อติดงานที่โรงเรียน (ตอนนั้นพ่อติดสัมมนาที่โรงเรียนที่พ่อสอน) แม่ก็เลยมียายมาเฝ้าที่โรงพยาบาล
ฉันมีพี่ชายหนึ่งคน ชื่อมาร์ก ชื่อจริงชื่อมิ่งมนัสชน จังหาร เขาเกิดก่อนฉัน 4 ปี เขาขาวมากกกกกก คนแถวบ้านเรียกว่า บักด่อน เพราะพี่ชายมันขาวมากจริงๆ ฉันอยากได้ผิวมันที่สุด
ฉันมีเพื่อนบ้านที่เกิดรุ่นเดียวกันประมาณ 3 คน คือ อุ๊ นุกนิก และต้าร์
ตอนฉันเดินได้ใหม่ๆ เดินยังไม่เก่งเท่าไหร่ ฉันได้เล่นกับต้าร์ และเล่นอยู่ในบริเวณที่มีการทำอาหาร ต้าร์ได้ผลักฉันลงไปในกระทะ ทำให้ฉันมีแผลเป็นอยู่ที่ขาข้างขวาจนถึงทุกวันนี้ และเหตุการณ์ที่น่าหวาดเสียวอีกอย่าง แม่เล่าให้ฟังว่า ตอนประมาณ 2-3 ขวบ ฉันนั่งเล่นอยู่บนโต๊ะ แล้วพัดลมเพดานก็ตกลงมาข้างๆฉัน แต่ฉันไม่ร้องไห้กลับนั่งหมุนใบพัดของพัดลมอย่างสบายอกสบายใจ แต่แม่กลับใจหายวาบ ถ้าพัดลมตัดคอฉันวันนั้น ฉันคงไม่มีวันนี้แน่ นึกแล้วก็เสียวคอตัวเองจริงๆ
อนุบาล
ฉันเข้าโรงเรียนตั้งแต่อายุสามขวบ เพราะว่าพ่ออยากที่จะปูพื้นฐานความรู้ให้กับฉันอย่างแน่นหนา โรงเรียนแรกของฉันคือโรงเรียนงามจิตร อยู่ที่อำเภอเชียงยืน จังหวัดมหาสารคาม เหตุที่ได้เรียนที่นี่เพราะว่า ต้องย้ายบ้านไปอยู่ในสถานที่ที่ใกล้โรงเรียนที่พ่อสอน ตอนนั้นเช่าบ้านอยู่ซอยหน้าตลาดเชียงยืน แต่แล้วอยู่ได้ประมาณครึ่งปีเห็นจะได้ ก็เลยกลับมาอยู่ที่บ้านเหมือนเดิม เลยได้มาเข้าโรงเรียนกระโปรงแดง ชื่อเต็มโรงเรียนนี้ก็จำไม่ได้ แต่น่าจะเป็นอภิสิทธิ์ปัญญาที่อยู่ตรงเส้นกลาง ทางไปโรงเรียนอนุบาล แต่ก็เรียนได้แค่หนึ่งวัน เพราะไม่มีเพื่อน จำได้ว่าตอนนั้นตอนเที่ยงนั่งเล่นคนเดียวอยู่ที่สนามเด็กเล่น ยังจำได้เลยว่านั่งเล่นกับซานตาครอส พอไม่มีเพื่อน แม่ก็เลยจับย้ายโรงเรียนเอาเสียเลย บวกกับเหตุผลที่ค่าเทอมโรงเรียนนี้แพงด้วย เลยได้มาเข้าโรงเรียนใกล้บ้าน คือโรงเรียนเทศบาลศรีสวัสดิ์ มีคุณครูแหม่มปากแดงเป็นครูประจำชั้น ปัจจุบันนี้ครูแหม่มแกก็ยังสอนอยู่ที่เดิม เรียนได้หนึ่งปีการศึกษา พ่อกับแม่เลยให้ย้ายออกมาเข้าโรงเรียนอนุบาลมหาสารคามเพราะจะได้อยู่โรงเรียนเดียวกันกับพี่ชาย แต่ว่า...ก็ไม่ได้เข้า เนื่องจากตอนนั้นทางโรงเรียนมีหลักเกณฑ์การเข้าเรียนที่น่าตลก นั่นคือเขารับเด็กที่เกิดวันที่ 1 พฤษภาคม ถึงวันที่ 31 มีนาคม ซึ่งตัวฉันเกิดวันที่ 4 เดือนเมษายน ซึ่งไม่อยู่ในวันที่เขากำหนด ตัวฉันเองเลยไม่มีสิทธิ์ที่จะได้เรียนโรงเรียนนั้น หากพึงจะเรียนก็ต้องจ่ายค่าฝากเข้าหลายพันบาทเหมือนกัน พ่อก็เลยไม่ยอมจ่าย(เพราะไม่มีตังค์ด้วย ฮ่าๆๆ) ตัวฉันเลยได้ย้ายไปเรียนที่โรงเรียนหลักเมืองมหาสารคามจนถึงชั้น ป.6
ตอนอนุบาล 1 เคยได้เป็นหัวหน้าห้อง ตอนนั้นสอบได้ที่ 1 ด้วย และก็ที่ 1 ทั้งห้องนั่นแหละ ฉันมีเพื่อนสนิทชื่อผักกาด เหตุที่เราสนิทกันนั้น เพราะว่าเราตัวใหญ่เหมือนๆกัน แต่ผักกาดมันตัวใหญ่กว่าฉันนิดนึง ตอนนี้ผักกาดมันเรียนจบ ปวส.จากเทคนิคแต่ไม่เรียนต่อ หันมาเปิดร้านขายโทรศัพท์อยู่ชั้นใต้ดินของเสริมไทย พอขึ้นอนุบาล 2 จากที่เคยไว้ผมยาว โรงเรียนก็มีกฎให้นักเรียนทุกชั้นไว้ผมสั้น ทำให้ต้องตัดผม หลังจากตัดผมแล้ว หัวฟูอย่างมากคะ อนุบาล 2 นี้สอบได้ที่สอง เพราะว่าดันไปเขียนคำว่า “ควาย” เป็น “ดวาย” ชั้น ป.1 ได้อยู่ห้องกับผักกาดอีกแล้ว ทำให้เราสนิทกันมากขึ้น ตอนสอบเราก็ลอกกัน แต่ฉันสอบได้ที่ 8 ผักกาดสอบได้ที่เยอะกว่า น่าจะที่9 หรือ 10 นี่แหละ ก็น่าสงสารผักกาดอยู่เหมือนกันที่ให้ฉันลอกแต่กลับได้คะแนนน้อยกว่าฉัน ตอนปลายเทอม คุณครูเห็นท่าทางลายมือฉันคงเข้าท่า เลยหัดให้คัดตัวหนังสือทุกวัน อ้อออ!! ตอนนั้นฉันได้รับการติดป้ายหน้าห้องว่า เป็นบุคคลที่กวาดห้องได้เก่งที่สุด เยี่ยมไปเลยใช่มั้ยหล่ะ 555 ตอนป.2 ได้รับรางวัลคัดลายมือได้ที่ 2 ในวันสุนทรภู่ และได้ที่ 3 ในวันแม่หรือวันพ่อก็จำไม่ได้แล้ว พ่อกับแม่ก็ดีใจพอสมควร รางวัลที่ได้ตอนนั้น คือ สมุด ดินสอ และผ้าขนหนูสีฟ้าผืนเล็กๆผืนนึง จำได้ว่าตอนหลังมีเหา จึงนำผ้าที่ได้นั้นมาใช้งานในการเป็นผ้าหมักผมในการฆ่าเหา พอใช้เสร็จผ้าเหม็นมากกกกก จึงได้นำผ้านั้นทิ้งไป นึกแล้วก็เสียดาย น่าจะเก็บไว้เป็นอนุสรณ์แห่งความภาคภูมิใจ
จากนั้น ชั้น ป.3 ได้เข้าแข่งการคัดลายมือ แต่ก็ตกรอบ ตอนนั้นเสียใจอย่างมากมายมหาศาล ตอน ป.4 ได้อยู่ห้องคิงของโรงเรียน สอบได้ที่ 19 ของห้อง และติด 1 ใน 50 คนที่ได้คะแนนดีของสายชั้น(แต่ก็ดันติดอันดับหลังๆ ที่เกือบไม่ได้ 555) นักเรียนประมาณ 300 คนได้ ตอน ป.5 พ่อก็ป่วยเป็นโรคมะเร็งตับ เนื่องจากกินเหล้า เบียร์ และของสุกๆดิบๆ และพ่อก็ได้จากไปเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2543 เวลา 01.20 น.ที่บ้านย่าของฉัน ซึ่งตอนนั้นเป็นเวลาที่ฉันนอนหลับเนื่องจากเพลีย หลังจากที่ไปเฝ้าพ่อที่โรงพยาบาล ฉันไม่น่านอนหลับเลย ฉันน่าจะอยู่กับพ่อจนวินาทีสุดท้าย มันเป็นความผิดที่ฉันเองไม่สามารถลืมได้เลยจริงๆ ขณะนั้นฉันไม่เสียใจเท่าไหร่และไม่ได้ร้องไห้เลย ยังตลกตัวเองด้วยซ้ำที่ป้ามาปลุก บอกว่า “พ่อไปแล้ว” แล้วฉันยังถามต่อไปว่า “พ่อไปไหน” แต่พอเปิดประตูออกมาก็รับทราบถึงความเป็นไปของพ่อ
ป.6 หลังจากที่พ่อได้จากไป ผลการเรียนของฉันก็ตกต่ำอย่างสุดๆ ฉันสอบได้ที่ 21 ของห้องและห้องที่ฉันอยู่ก็ไม่ใช่ห้องคิงหรือควีน แต่เป็นห้องเด็กธรรมดามากๆ ฉันรู้สึกว่าตัวเองโง่เหลือเกิน
มัธยม
หลังจากจบชั้น ป.6 แล้วฉันได้จับฉลากเข้าโรงเรียนสารคามพิท และได้เรียนที่นี่จนถึงชั้น ม.6
ม.1 มีการสอบคัดเลือกห้อง ฉันได้อยู่ ม.1/7 ซึ่งเป็นห้องควีนของโรงเรียน แต่ก็เกือบไม่ได้ เขาเอา 100 คน ไว้ห้องคิง 50 ห้องควีน 50 ฉันสอบได้ที่ 97 (โรงเรียนของฉันเขาถือเอาห้องที่ทับสูงๆเป็นห้องที่เก่ง) และผลการเรียนของฉันก็ติด 1ใน5 อันดับท้ายสุดในห้อง ฉันได้เกรด 2.75 และมีเกรด D โผล่มา 1 ตัว นั่นคือวิชาคณิตศาสตร์เสริม แต่เพื่อนในกลุ่มฉันนั้น เขาได้เกรดรวม 3 UP กันทุกคน (ตอนที่อยู่มัธยมต้นนั้น ฉันได้เรียนหลักสูตรใหม่ ที่เขาตัดเกรดเป็นปีการศึกษา)
ม.2 หลังจากที่เกรดฉันไม่สวยงาม ฉันจึงตกอันดับได้มาอยู่ 2/6 และได้เจอกับเพื่อนกลุ่มใหม่ แต่ฉันก็ยังเล่นกับเพื่อนกลุ่มเดิมตอน ม.1อยู่ เพื่อนกลุ่มตอน ม.2 เป็นกลุ่มที่ค่อนข้างทันสมัย หัวสูงและมีแต่คนหน้าตาถือว่าใช้ได้ ฉันไม่อยากคบเท่าไหร่แต่ก็จำใจ เพราะว่าเพื่อนที่เราสนิทนั้นเขาอยู่ห้อง 2/7 ทั้งหมด มีแต่ฉันคนเดียวที่ได้อยู่ห้องนี้ และอีกเหตุผลที่ต้องเล่นกับพวกนี้คือ ตอนนั้นฉันมีพี่ผู้ชายเข้ามาจีบ และเราได้ตกลงคบกัน(แต่ไม่มีอะไรกันนะ แค่จับมือยังไม่เคยเลย) ผู้ชายคนนี้เขาเป็นเพื่อนกับพี่ชายของเพื่อนฉัน เขานักกีฬาบาสของโรงเรียน เขานิสัยดีเลยหละ แต่หน้าตาเขาธรรมดา เราไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยมาก เกือบทุกเย็นเราจะไปนั่งกินนมที่โต้รุ่งกันหลังจากที่พี่เขาซ้อมบาสเสร็จ (นึกแล้วมีความสุขดีจัง) เราคบกันได้เกือบปี แต่เวลาเกือบปีก็คบๆเลิกๆ แต่ไม่ใช่ฉันไม่ได้ชอบเขานะ แต่ฉันเป็นคนที่เบื่อง่าย ถ้าไม่มีอะไรที่น่าค้นหา ฉันก็จะไม่ใส่ใจ เลยได้บอกเลิกพี่เขาไป (ตอนนี้ก็รู้สึกเสียดายอยู่เหมือนกัน ฮ่าๆๆ) ถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้คบกันในขั้นที่มากกว่าพี่ชายน้องสาวแล้ว แต่ว่าเรายังยิ้มให้กัน ทักทายกัน ตามประสาคนรู้จัก
ม.3 มีการคัดเลือกห้องใหม่ ฉันได้อยู่ชั้น 3/4 เป็นห้องที่ฉันไม่คาดคิดว่าจะได้อยู่ห้องอย่างนี้ เพราะว่าเกรดฉันมันก็น่าจะห้อง 6 ได้อยู่ มารู้ทีหลังว่า “คละมั่ว” ฉันเสียใจ ร้องไห้เป็นวัน และก็โทรหาพี่คนที่เราได้เลิกกันแล้ว แกก็แสนดี ปลอบประโลมใจได้ดีทีเดียว ฉันโดนคนอื่นต่อว่า ว่าโง่ที่เลิกกับพี่เขา และฉันก็ยอมรับว่า “ฉันโง่จริงๆ”
ผลการเรียน ม.3 นี้เป็นผลการเรียนที่น้อยที่สุดที่ฉันเคยได้มา นั่นคือ 2.59 เป็นอะไรที่น่าเสียใจกับการกระทำของตัวเองมาก เพราะว่าไม่ตั้งใจเรียนเลยจริงๆ เนื่องจากคบเพื่อนที่ไม่ค่อยจะเข้าเรียน (กลุ่มเพื่อนที่ว่านี้เป็นเพื่อนกับเพื่อนที่ฉันคบตอน ม.2 อีกที)ไม่สิ เราจะไปโทษคนอื่นไม่ได้ ทุกอย่างเราตัดสินใจเองทั้งหมด วันวันนั่งเล่นโดมิโนอยู่ศาลาหน้าตึก ศาลานั้นกลายเป็นศาลาประจำกลุ่มเราไปเลย ม.3 นี้ ฉันเริ่มเที่ยวและออกบ้านบ่อยขึ้น ไปไหนมาไหนไม่ค่อยได้บอกแม่เท่าไหร่ เนื่องจากมีรถมอเตอร์ไซค์เป็นของตนเองด้วย พี่ชายก็ไปเรียนมหาวิทยาลัย ปี 1 เขาเลยให้เขาหอใน เลยยังไม่ได้เอารถไปใช้ รถนั้นเลยตกเป็นของฉันโดยปริยาย
ม.4 ฉันเลือกที่จะเรียนต่อสายวิทย์ – คณิต ซึ่งฉันไม่ได้เก่งทั้งสองวิชานี้เลย ความจริงแล้วฉันไม่เก่งซักวิชาเลยแหละ ในช่วงนี้คงเป็นช่วงที่ฮอร์โมนของฉันมันเปลี่ยนแปลง สิวขึ้นที่หน้าฉันเยอะมากกกกกกกก มากอย่างที่ไม่เคยเป็น ขึ้นมากมายจนเพื่อนงง ว่าฉันทำอะไรมา ม.4 นี้เป็นอะไรที่เคร่งเรื่องทรงผมมาก ทรงผมต้องตามระเบียบ สั้นเท่าติ่งหู ไม่ตัดไม่ได้ เพราะว่าได้เรียนกับอาจารย์ที่แกคุมเรื่องนี้ ตอนนั้นหน้าเอ๋อมากเลยทีเดียว เพื่อนที่สนิทตอน ม.4 ก็มีโบว์ จ๊ะโอ๋ แพท เอ็ม ซึ่งก็คบกันมาจนถึงปัจจุบัน ส่วนเพื่อนสมัย ม. 1นั้น เราไม่ได้เล่นด้วยกันแล้ว เนื่องจากหัวสมองเรามันต่างกัน เขาแยกเรียนในห้องเด็กเก่ง และเพื่อนเมื่อครั้ง ม.3ฉันได้ปลีกตัวออกมา เพราะฉันคิดว่า ฉันกับพวกเขามันคนละแนวกัน
ม.5 ฉันได้อยู่ห้อง 5/5 จาก 12 ห้อง แต่ตอนนี้ฉันไม่สนใจแล้วว่าจะได้อยู่ห้องไหน ขอแค่มีเพื่อนที่เราสนิทก็พอ นั่นคือฉันได้อยู่ห้องกับจ๊ะโอ๋และเอ็ม ตอนนั้นฉันสอบได้ที่ 1 ของห้อง แต่เทอม 2 เจอเสี่ยแบงค์มันเอาไปกิน ฮ่าๆๆๆ
ม.6 ฉันได้อยู่ห้องกับจ๊ะโอ๋ แอนนี่ อีฟ(รู้จักตอน ม.1)ปุ๊กกี้(ตอนนี้อยู่อเมริกา)และแบงค์ แบงค์มันเป็นเพื่อนผู้ชายที่ฉันสนิทที่สุดแล้ว ชีวิตตอน ม.6 เป็นอะไรที่สนุกมากกกกก แต่ก็เคลือบแฝงไปด้วยความทุกข์ที่จะเลือกเรียนอะไรในระดับมหาวิทยาลัย ที่บอกว่าสนุกนั้น ก็เพราะว่า วันๆ เราไปนั่งแซวเด็กน้อย แอบชอบเด็กน้อย โดยมีแอนนี่ที่เป็นกระเทยเป็นคนพาแซว นึกแล้วก็ขำตัวเองดี ฮ่าๆๆๆ พอคาบว่างหรือคาบที่ไม่ได้เรียนเราก็จะนั่งถ่ายรูปบันทึกความทรงจำ นั่งเล่นโดมิโน นั่งนินทาคนอื่น สถานที่ที่เราไปนั่งบ่อยที่สุดก็คือที่โรงอาหาร เพราะว่าที่นี่เป็นที่สงบ แต่จะพลุกพล่านเมื่อเวลาใกล้เที่ยง พวกเราชอบถ่ายรูปกัน ถ่ายได้ทุกที่ตั้งแต่ห้องน้ำยันสนามฟุตบอลของโรงเรียน ถ่ายได้ไม่แคร์ใครเลยจริงๆ มีเรื่องราวมากมายที่เกิดขึ้นแต่หากจะเล่าก็คงเล่าไม่หมด
แล้วก็ถึงเวลาเลือกอนาคตของคนเอง รอบโควตามาถึงแล้ว ฉันเลือกสอบที่ มมส. ที่เดียว เพราะว่าแม่ไม่ให้ไปเรียนที่อื่น รวมทั้งแกจะไม่มีเงินส่งด้วย และหากฉันไปเรียนไกลบ้าน แม่ก็ต้องอยู่บ้านคนเดียว ฉันลงจิตวิทยา อันดับ 1 และลงมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ สาขา ภาษาไทย เป็นอันดับที่ 2 และฉันก็ติด อันดับที่ 2 ฉันเสียใจเล็กน้อย แต่ฉันก็เข้าใจเพราะว่าเกรดฉันแค่ 2.97 เอง จึงได้ยอมรับชะตากรรม ฉันเข้าสอบสัมภาษณ์ในสาขาที่ฉันติด และฉันก็ผ่านสัมภาษณ์ ได้เรียนสิ่งนั้น แต่ฉันคิดอยู่เสมอว่าฉันจะย้ายคณะ ไม่รู้ว่าผีห่าซาตานตนไหนดลใจให้ฉันเลือกที่จะเรียนสาขาภาษาไทย ฉันน่าจะรอรอบ admission ฉันไม่น่าขี้เกียจที่จะอ่านหนังสือเพื่อสอบรอบ admission เลย นึกแล้วเสียใจ แต่มันก็ผ่านมาแล้ว ในความผิดพลาดของฉัน มันทำให้ฉันรู้ในสิ่งที่ฉันไม่รู้ ได้ทำในสิ่งที่ฉันไม่เคยทำ ได้ประสบการณ์ชีวิตอย่างดีทีเดียว ตอนปิดเทอมของ ม.6 เพื่อรอที่จะเข้ามหาวิทยาลัย ปิดเทอมนานกว่า 3 เดือน ทำให้ฉันว่างมากและมีความคิดที่อยากทำงาน ด้วยอยากช่วยที่บ้านหาเงิน เพราะว่าแม่ก็หาเงินคนเดียว หากมีฉันช่วยคงจะแบ่งเบาภาระได้บ้าง ฉันได้ลงไปทำงานกับพี่สาวลูกของป้าที่พัทยา แกได้ให้หัวหน้าหางานให้ฉัน นั่นคืองาน “รีเซบชั่น” ซึ่งไม่ได้เหมาะกับฉันเอง และฉันเองก็ทำไม่เป็นเสียด้วย แม้จะพยายามอย่างเท่าใดก็ตาม ฉันไปทำงานวันเดียว ฉันไม่ไปทำเลย และพี่สาวฉันก็พาไปสมัครงานที่ห้างต่างๆ อย่างพวกบิ๊กซี โลตัส พิซซ่า และเป็นพวกพนักงานหน้าร้านต่างๆภายในห้าง ฉันสมัครไปประมาณ 7 ที่แต่ก็ไม่ได้สักที่ มีแต่บอกว่าจะติดต่อกลับอีกที ฉันรอไปได้ 12 วัน ฉันเลยไปสมัครงานที่ S&P อีกครั้งหนึ่งแต่ฉันไม่ได้สมัครแบบParttime เหมือนอย่างที่เคยสมัครทุกๆที่ เพราะฉันคิดว่าเขาคงต้องการพนักงานประจำ และฉันก็สมัครเป็นพนักงานประจำ เมื่อส่งใบสมัครแล้วเขาบอกว่าเริ่มงานพรุ่งนี้เลย ฉันดีใจมาก แล้ววันต่อมาฉันก็ไปทำงาน ได้เป็นพนักงานหน้าร้านแต่อยู่แผนกเค้ก แต่ก็ได้ทำทุกอย่าง วันแรกที่ทำนั้น ฉันยืนสวัสดีอยู่หน้าร้าน ปวดขามาก ข้าวปลาฉันก็ไม่ได้กินเพราะว่ายังไม่สนิทกับพี่ที่ทำงานเลยไม่กล้าร่วมวงกับเขา แต่วันต่อๆมาก็โอเคดี เพราะว่าเราสนิทกันแล้ว ฉันก็เป็นตัวของฉันเต็มที่ ปิดเทอมนี้ฉันหาเงินได้ราวๆ 12,000 บาท ฉันภาคภูมิใจอย่างที่สุดเลย ณ ขณะนั้น ฉันสามารถหาเงินใช้เองได้ แต่ทว่ามันเหนื่อยแต่มันก็คุ้ม คุ้มกว่าการหายใจทิ้งไปวันๆ
มหาวิทยาลัย
เปิดเทอม ชีวิต Freshy ก็เริ่มต้นขึ้น ฉันเป็นคนที่ไม่ชอบทำกิจกรรม ฉันอยากมีหน้าที่เรียนอย่างเดียว แต่ฉันเชื่อว่าการทำกิจกรรมจะทำให้คนทำงานเป็น ฉันจึงเข้าร่วมกิจกรรมของทางมหาวิทยาลัย คณะ และสาขา กิจกรรมที่นิสิตชั้นปี 1 ของสาขาวิชาภาษาไทย นั่นคือ การร้องสรภัญญะในงานวันไหว้ครู และนั่นก็ส่งผลให้ต้องซ้อมทุกวัน วันละไม่ต่ำกว่า 3 ชั่วโมง และนั่งพับเพียบด้วย เป็นอะไรที่น่าเศร้ามากหากได้มาประสบ แต่แล้ววันไหว้ครูที่มาถึง ฉันกลับไม่ได้ร้องสรภัญญะ เพื่อนให้ไปถือพาน เพราะว่าพานมันอันใหญ่ คนตัวเล็กๆสวยๆมันถือไม่ไหว หน้าที่นี้จึงตกเป็นของฉันโดยไม่ได้เต็มใจ ฮ่าๆๆ (พานอันใหญ่มากคะ เป็นเสลี่ยง ต้องถือพานละ 4 คน ตอนที่เอาไปไหว้จริงๆนั้น ได้ไหว้เพียงพวงมาลัยจ้า...) เทอมที่ 2 ฉันไม่ลงทะเบียนวิชาเอกเลย เพราะฉันจะย้ายคณะ ถ้าย้ายไม่ได้ฉันก็คงจะเป็นเด็กซิ่ว ฉันไม่อยากซิ่ว ฉันเลยตั้งใจเรียน และผลมันก็ออกมาดีทั้งสองเทอม ทำให้ฉันย้ายคณะได้มาเรียนที่ศึกษาศาสตร์ จิตวิทยาแห่งนี้
เมื่อฉันย้ายคณะได้แล้ว ฉันกังวลต่อไปว่าฉันจะจบ 4 ปีมั้ย เป็นเรื่องที่ฉันคิดหนักมาจนถึงตอนนี้ ฉันมีปัญหากับตารางเรียนทุกเทอมตั้งแต่ย้ายมา เนื่องจากตารางเรียนซ้อนทับกันไปหมด ทำให้ฉันลงทะเบียนไม่ได้ แต่นั่น ฉันก็ไม่ได้โทษใคร โทษที่ฉันเอง
เทอม 2 ดีหน่อยที่ลงได้ทั้งวิชาของปี1 และปี 2 แต่ว่าก็ยังเหลือวิชาโทที่ยังตามเก็บอยู่
ปัจจุบันนี้ฉันก็มีความสุขดี ถึงแม้จะมีความทุกข์บ่อยๆ แต่ฉันก็ไม่ทุกข์ เพราะฉันเป็นคนที่ไม่ซีเรียสกับปัญหาที่เกิด ฉันชิวๆ สบายๆ กับมันมากกว่า ฉันคิดบวก มองโลกว่ายังมีคนที่ลำบากกว่าฉันอีกเยอะ ฉันจึงมีกำลังใจที่จะเดินต่อ
ต่อไปนี้ ฉันจะตั้งใจเรียนให้มากกว่าเดิม เพราะว่าที่ผ่านมา ฉันขี้เกียจมากไปหน่อย ตั้งใจ สู้ๆๆ
อัตชีวประวัติของข้าพเจ้า
ประวัติส่วนตัวของข้าพเจ้า นางสาวช่อเอื้อง โสหนองบัว
ข้อมูลของข้าพเจ้า
เกิดวันอาทิตย์ที่ 25 เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2533 ปัจจุบันอายุ 19 ปี ชื่อเล่น ช่อ ภูมิลำเนาอยู่บ้านเลขที่ 17 บ้านโนนทัน ตำบลโนนสง่า อำเภอปทุมรัตต์ จังหวัดร้อยเอ็ด อาศัยอยู่กับบิดา – มารดา ตั้งแต่เล็กจนโต
ครอบครัวของข้าพเจ้า
ครอบครัวของข้าพเจ้ามีด้วยกันทั้งหมด 6 คน มี คุณปู่ คุณพ่อ คุณแม่ และน้องๆอีกสองคน
คุณตา ชื่อ นายลี โสหนองบัว อายุ 75 ปี
บิดา ชื่อ นายสังวรณ์ โสหนองบัว อายุ 45 ปี
มารดา ชื่อ นางคำปุน สหนองบัว อายุ 41 ปี
น้องคนที่ 1. ชื่อ นางสาวอริสา โสหนองบัว อายุ 16 ปี
น้องคนที่ 2. ชื่อเด็กหญิงอัจฉราพร โสหนองบัว อายุ 9 ปี
คนในครอบครัวรักใคร่ปองดองกันดี ครอบครัวประกอบอาชีพค้าขายและทำนา
การศึกษาของข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าได้รับการศึกษาตั้งแต่เด็ก ได้เข้าเรียนโรงเรียนบ้านขนวนคุรุประชาสรรค์ ตั้งแต่อนุบาล 1 ถึง ประถมศึกษาปีที่ 6 และเข้าศึกษาต่อชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ถึง มัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนปทุมรัตต์พิทยาคม โปรแกรมวิทยาศาสตร์- คณิตศาสตร์ ปัจจุบันเรียนคณะศึกษาศาสตร์ สาขาจิตวิทยา ปัจจุบันเป็นนิสิตชั้นปีที่ 2 มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
เพื่อนของข้าพเจ้า
เพื่อนของข้าพเจ้ามีหลายประเภท มีทั้ง ชาย หญิง กระเทยและเกย์ มีเพื่อนสนิท 2 คนดังจะกล่าวต่อไปนี้ มีเพื่อนไม่กี่คนหรอกคะส่วนมากจะเป็นคนที่คุยถูกคอกันมากกว่าเพราะข้าพเจ้าเป็นคนที่ชอบคนที่มีความจริงใจต่อกันเป็นที่สุด
งานอดิเรกของข้าพเจ้า
สิ่งที่ทำในยามว่างก็จะเป็นการปลูกต้นไม้ เล่นกีฬา ออกกำลังกาย สัตว์ที่ชอบเลี้ยงคือ สุนัข ถ้าอยู่บ้านก็จะเป็นการเลี้ยงน้องช่วยน้า ชอบทำอาหาร เห็นคนกินอร่อย แล้วมีความสุขที่ได้ทำ
ความใฝ่ฝันในอนาคตของข้าพเจ้า
ความใฝ่ฝันหลักๆเลยก็คือ อยากทำงานรับราชการ เช่น ครู พยาบาล อยากมีอนาคตที่มั่นคง เป็นหลักเป็นฐานให้กับอนาคต เป็นที่พึ่งของ บิดา – มารดา และญาติพี่น้องได้ อยากจะสอนเด็กให้เป็นคนดีของประเทศชาติ อยากจะช่วยผู้ป่วยให้คลายจากความเจ็บป่วย เพื่อจะได้พัฒนาประเทศชาติของเราช่วยกัน ประเทศชาติของเราจะได้เจริญ
ถ้าสามารถขอได้ 3 ข้อ
ข้อที่ 1. ขอให้ครอบครัวของข้าพเจ้ามีสุขภาพที่ดี ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ
ข้อที่ 2. ขอให้คนในครอบครัวและคนรอบข้างมีความสุข
ข้อที่ 3. ขอให้คนรอบข้างมีความรักความปรารถนาที่ดีต่อกัน
ข้าเจ้าชื่อ นางสาวช่อเอื้อง โสหนองบัว เขียนเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2552 ขณะที่มีอายุ 19 ปี ช่อเอื้อง หรือ ช่อ เกิดเมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2533 ที่โรงพยาบาลปทุมรัตต์ จังหวัดร้อยเอ็ด ช่อเติบโตขึ้นในชนบท ในละแวกบ้านส่วนมากจะปลูกบ้านสองชั้น ปล่อยข้าล่างโล่ง ไม่ค่อยจะทำกำแพงกันเท่าไหร่ เหมือนกับทุกวันนี้ ซึ่งเอื้ออำนวยที่จะให้เด็กๆในระนั้นออกมาวิ่งเล่นกัน ส่วนใหญ่แล้วจะแบ่งเด็กออกเป็นทั้งหมด 2 พวก คือพวกผู้หญิงจะเล่นขายของ ตุ๊กตา แต่ส่วนใหญ่แล้วช่อจะเล่นแบบผู้ชายเพราะมีพี่ชายที่เป็นลูกของป้าเป็นเพื่อนเล่นซะส่วนใหญ่ ส่วนพวกเด็กผู้ชายเล่นกันตั้งแต่ดีดลูกแก้ว เตะฟุตบอล ซ่อนแอบ รวมไปถึงกีฬาบาสเกตบอล เล่นปิงปอง แบดมินตัน และอื่นๆ อีก รวมไปถึงการเล่นแผลงๆ ทั้งปากระเทียม เล่นประทัด และการเล่นอื่นๆที่ผู้ชายเค้าเล่นกัน
จากชีวิตวัยเด็กที่ส่วนมากจะเป็นการคลุกคลีกับเด็กผู้ชาย บุคลิกท่าทางจึงคล้ายเด็กผู้ชายมากกว่าเด็กผู้หญิง เป็นคนที่ไม่ชอบแต่งตัว รักสะอาด ไม่ชอบสำอาง แต่ในความเป็นจริงแล้วจิตใจและร่างกายเป็นผู้หญิงร้อยเปอร์เซ็นต์เลยค่ะ ตอนนี้ช่ออายุประมาณ 4 ขวบคุณแม่ก็ตั้งครรภ์และคลอดน้องออกมาเป็นผู้หญิง ตอนนั้นยอมรับว่าดีใจมากๆเลยแหละ ได้น้องผู้หญิงจะมีเพื่อนเล่นแล้ว ช่อเข้าเรียนอนุบาลของโรงเรียน
ประจำตำบล โรงเรียนบ้านขนวนคุรุประชาสรรค์ ไปเรียนแรกๆยอมรับว่างอแงมาก ร้องไห้อยากกลับบ้านทุกวัน แต่ก็อย่าหวังเลยว่าจะได้กลับ เพราะครูประจำชั้นเป็นป้าของช่อนั่นเอง ป้าเค้าเป็นคนเสียงดัง ฉะฉาน เจ้าระเบียบเป็นที่สุด ดูเหมือนจะดุนะแต่ไม่ดุ กลัวป้ามากเลยทำให้หยุดร้องไห้ไปเอง ตกบ้านมาหลังจากตื่นนอนล้างหน้าแปลงฟัง เข้าแถวรับนมกล่องแล้วเป็นอะไรที่ดีใจที่สุดเลย จะได้กลับบ้านไปเล่นกับไอ้ตัวเล็ก ไปเล่นกับน้อง ไม่รู้จะดีใจทำไมนะ กลับไปก็ได้แต่มองไอ้ตัวเล็กอยู่ไกลๆ แม่ไม่ให้เข้าใกล้น้องคะกลัวว่าจะทำเรื่อง บางทีแม่ก็สงสารอุ้มน้องมาให้หอมแก้ม แก้มแดงๆ หอมเบาๆ ตัวหอมด้วย เพื่อนในห้องเรียนทั้งหมด 17 คน เป็นผู้หญิง 6 คน ผู้ชาย 11 คน ที่จริงแล้วเพื่อนรุ่นเดียวกันเยอะกว่านี้นะ แต่เข้าไปเรียนโรงเรียนในอำเภอกันหมด นักเรียนน้อยๆอย่างนี้อย่าว่าจะสอนง่ายนะคะหัวกระทิกันทั้งนั้นเลย ลิงชัดๆ นักเรียนน้อยๆอย่างนี้ทำให้ช่อได้เรียนรู้อะไรหลายๆอย่างทั้งด้ายวิชาการและกีฬา ที่นี่ช่อทำทุกอย่างตั้งแต่เป็นตัวแทนเข้าร่วมการแข่งขันทางวิชาการ ตอบปัญหาวิทยาศาสตร์ ภาษาอังกฤษ สอบแข่งขันคณิตศาสตร์ เป็นนักกีฬาวอลเลย์บอล และมักจะมีเรืองชกต่อยกับเพื่อนผู้ชายอยู่บ่อยๆ เพราะชอบเล่นอะไรที่แผลงจึงทำให้มีเรื่องขัดใจกับบ้าง ตอนนี้ช่อมีน้องเพิ่มอีกหนึ่งคนคะ เป็นผู้หญิงเหมือนเดิม
ต่อมาได้เข้าเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนปทุมรัตต์พิทยาคม ไม่ได้สอบเข้าเรียนหรอกเพราะโรงเรียนบ้านขนวนคุรุประชาสรรค์ เป็นโรงเรียนในเครือข่ายของโรงเรียนปทุมรัตต์พิทยาคม สอบเลือกห้องคะแนนที่ออกมาก็ถือว่าเป็นที่น่าพอใจนะคะ ทั้งระดับมีทั้งหมด 9 ห้อง อยู่ห้อง 3 ห้องละประมาณห้าสิบกว่าคนคะ ถือว่าเป็นโรงเรียนขนาดใหญ่พอสมควร มีนักเรียนทั้งหมดประมาณองพันกว่าคน ครูประมาณ 120-130 คนเป็นโรงเรียนรางวัลพระราชทาน นักเรียนก็เลยเยอะ แล้วยังเป็นโรงเรียนพี่เลี้ยงให้กับโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการโรงเรียนในฝัน ที่จะก้าวเข้าเป็นโรงเรียนพระราชทาน เข้ามาเรียนโรงเรียนนี้ก็ได้อะไรที่ท้าทายมากมายที่ไม่เคยทำมาก่อนเลย เป็นดุริยางค์ของโรงเรียน (โยธวาทิต) เล่นตำแหน่งทรอมโบน (Thrombone) เครื่องเป่าลมประเภททองเหลือง ที่จริงแล้วอยากเล่นฟลุ๊ทแต่เสียดายเป่าไม่ออก แล้วก็ยังรวมไปถึงเป็นตัวแทนของโรงเรียนไปแข่งขันความถนัดและความเป็นเลิศด้านวิชาการของนักเรียนได้แข่งงานศิลปะประเภทประฏิมากรรมประเภทนูนสูงเทียนไขลายไทย ได้ยินแล้วจะบอกว่ายากใช่ไหมละคะเป็นทั้งพรสวรรค์และพรแสวงเลยแหละ นอกจากงานศิลปะแล้วยัง
ได้แข่งวงลูกทุ่ง-คอมโบ้ เข้าค่ายซ้อมดนตรีนอนโรงเรียนเป็นเดือนๆเลยแหละ ผลงานชิ้นโบว์แดงที่ภูมใจที่สุดเลยคือได้เป็นตัวแทนของโรงเรียนไปศึกษาดูงานที่โรงเรียนมหิดล จุดเปลี่ยนของชีวิตเลยก็คือตอนเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 6 ก็ได้สมัครเข้าเรียนมหาวิทยาลัยมหาสารคามรอบโควตา ผลสืบเนื่องมาจากเป็นเด็กกิจกรรม แฟ้มสะสมผลงานหนาอายนิสงค์เดิมเยอะหน่อย เรียนโปรแกรมวิทย์- คณิตศาสตร์ ด้วยก็เลยดีหน่อย ก็เลยสบายหน่อยไม่ต้องวิ่งหาสอบเหมือนเพื่อนคนอื่นๆ ที่ยังไม่มีที่เรียน ต้องขอขอบคุณไปยังคณะครูอาจารย์โรงเรียนปทุมรัตต์พิทยาคมเป้นอย่างสูงที่อาจารย์มีความสามารถพิเศษในการโน้มน้าวเด็กๆ ท่านทำให้เราขยันจนสามารถสอบเข้าเรียนยังมหาลัยและคณะที่คาดหวังได้
เมื่อชีวิตต้องถึงจุดเปลี่ยนย้ายเข้ามาเรียนที่จังหวัดมหาสารคามซึ่งเป็นเมืองตักสิลานคร ซึ่งหมายถึงเมืองแห่งการศึกษาจริงๆ ปีที่ 1 อยู่หอพักในจากการผลักดันของคุณแม่ ด้วยความอยากให้ลูกปลอดภัย มีที่หลับนอนเป็นที่เป็นทางเข้าหอเป็นเวลา รู้จักการใช้ชีวิตทำให้เป็นผู้ใหญ่ยิ่งขึ้น เป็นหอพักที่พักห้องละ 4 คน ถามว่าแออัดรึเปล่าแรกๆยอมรับว่าแออัดมากคะ เพราะเคยอยู่บ้านหลังใหญ่ๆเคยนอนคนเดียวต้องมาอยู่กับใครก็ไม่รู้ ซ้ำยังเป็นห้องน้ำรวม เรียนคณะการบัญชีและการจัดการคณะการบัญชีและการจัดการ สาขาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ มีเพื่อนที่จบโรงเรียนเดียวกันเรียนสาขาเดียวกันด้วย 2 คน ด้วยความที่ไม่รู้จักใครเลยก็มีเพื่อนสองคนนี่แหละที่ไปไหนมาไหนด้วยกัน อยู่หอพักเดียวกัน อยู่คนละห้อง มาเรียนที่สารคามนี่แหละคะทำให้เข้าใจคำว่าครอบครัวมากยิ่งขึ้นคิดถึงบ้านเป็นที่สุด เดือนแรกคิดถึงพ่อ-แม่ น้องๆ เป็นอย่างมาก เพื่อนๆเสาร์-อาทิตย์ก็กลับกันหลายคน แต่ช่อไม่กลับเพราะไม่ชอบนั่งเบียดเสียดกันบนรถเมล์ บางวันดวงดีได้นั่งนะแต่นับครั้งได้เลยแหล่ะว่าเคยได้นั่งกี่ครั้ง รถขอนแก่น-สุรินทร์เป็นอะไรที่แน่นมากเต็มทุกวันแต่ด้วยความที่ช่อเป็นคนที่สามารถปรับตัวได้เร็ว ทำให้ไม่ค่อยจะมีปัญหามากนักในการใช้ชีวิตอยู่มหาสามรคาม สักพักก็เริ่มรู้จักกับเพื่อนคนอื่นๆที่เรียนในคณะบ้าง ที่หอพักบ้าง ตอนรับน้องนะคะเป็นอะไรที่น่าเบื่อเอามากๆเลย เวลาโดนพี่ๆด่า แต่สนุกตอนร่วมกิจกรรมสันทนาการ เรียนคอมพิวเตอร์ธุรกิจเป็นอะไรที่ยอมรับว่ายากมาก ค่าหน่วยกิจหนักอีกต่างหาก ก่อนสอบอ่านหนังสือทั้งวันทั้งคืน ซึ่งแตกต่างจากตอนเรียนมัธยมราวฟ้ากับดินเลย ทั้งเขียนโปรแกรม การตลาด เทอมที่ 2 ไม่ลงเรียนวิชาเอกเลยคะเพราะเตรียมตัวจะย้ายคณะตามที่ได้ตั้งใจไว้ ขึ้นปีที่ 2 ย้ายไปเรียน
คณะศึกษาศาสตร์ สาขาจิตวิทยา ตอนแรกที่ลงโควตา เลือกลงคณะศึกษาศาสตร์ลำดับที่ 1 ก็เลยติดคณะบัญชีและการจัดการซึ่งเลือกเป็นลำดับที่ 2 คราวนี่คงได้เรียนตามความใฝ่ฝันจริงๆ ที่ย้ายมาไม่ไดย้ายมาคนเดียวนะคะยังมีเพื่อนที่สนิทกันย้ายมาด้วยอีกคน เรียนสาขาเดียวกันคะ ดันมาพักห้องเดียวกันอีก คราวนี้ไม่ได้อยู่หอพักในแล้วแล้ว จากชีวิตที่ผ่านมาช่อได้มีประสบการณ์หลายอย่างมาก ทั้งทางวิชาการ ดนตรี กีฬา รวมไปถึงเรื่องสังคม ช่อมีความสนใจในเรื่องที่แปลกใหม่ อยากจะใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ เช่นการหารายได้ระหว่างเรียนอย่างคนอื่นเขาบ้าง แต่ยังไม่มีโอกาสเลย เพราะตอนนี้ยังเรียนหนักอยู่เลย แต่อย่างไรก็ตามชีวิตต้องดำเนินต่อไป ให้คนเราค้นหาและสามารถเข้าใจชีวิต หวังว่าสักวันจะเป็นไปตามฝันที่วาดไว้ที่จะได้ในสิ่งที่ต้องการจริงๆ
นางสาวช่อเอื้อง โสหนองบัว 51010515040
สาขาจิตวิทยา คณะศึกษาศาสตร์
วิชา ปฎิบัติการทางจิตวิทยา
เสนอ
อ.ดร. รังสรรค์ โฉมยา
อัตชีวประวัติ
ข้าพเจ้าชื่อนายณัฐวุฒิ น้อยอินทร์ ชื่อเล่น บี เกิดเมื่อวันที่ 27 เดือน ธันวาคม 2532
ที่ รพ.จุฬา แม่บอกว่าตอนออกข้าพเจ้าออกยากมากตอนออกมาใหม่ ๆ หมอบอกว่าข้าพเจ้าเป็นเด็กหัวโต แล้วก็มีถุงเท้าดำ ติดตัวออกมาด้วย ก็คือปานดำ ที่เท้าช้างซ้าย แต่พอโตมาก็หายไปเอง ผมมีน้องชายคนนึงชื่อ นายณัฐพล น้อยอินทร์ ชื่อเล่น แบงค์ เกิดที่ รพ. ชลบุรี อายุห่างกัน 3 ปี น้องผมเป็นคนน่ารักครับใครเห็นใคร ๆ ก็รัก สาเหตุที่ต้องเกิดต่างที่กันก็เพราะตามพื้นเพของผมและครอบครับ พ่อแม่ทำงานอยู่ กรุงเทพ และหลายๆๆที่จากการสังเกตตอนนั้นพ่อทำงาน ปตท. ที่เกี่ยวกับน้ำมันตอนที่ยังไม่เข้าโรงเรียนก็ตามพ่อไปทำงานหลาย จังหวัด คือ ลำปาง,กรุงเทพ,สมุทรปราการ,สระบุรี แล้วแม่ก็พาลูก ๆ ทั้ง 2 ตามพ่อไปทำงาน ไปทำงานแต่ล่ะที่ก็อยู่นาน มาก ครอบครัวตอนนั้นถือว่าดีมากเลย มาพูดถึงเรื่องการศึกษาบ้าง ตามอายุเด็กที่จะเข้าอนุบาลต้อง 3ปี ตอนนั้นช่วงอยู่ตัว พ่อแม่หาบ้านอยู่ที่ สมุทรปราการ แถว เคหะเมืองใหม่ จำได้ว่าตอนนั้นอยู่ซอย 6 พอถึงช่วงเข้า โรงเรียน แม่พาไปสมัครที่ รร.อนุบาล ชื่อ รร.ว่า อนุลาบเคหะบางพลี ต่อมาน้องก็ได้เข้ามาด้วย ช่วงเรียนอนุบาลจำได้ว่าแม่มารับมาส่งทุกวันเลยเป็นเด็กอยากทำไรก็ได้สนุกไปหมดทุกเรื่อง พอจบรร.อนุบาล ก็มาต่อประถม ที่ รร.รัตนโกสิน๙
เรียนถึง ป.4 ก็มาถึงจุดเปลี่ยนของชีวิตพอผมอยู่ ป.4 มันจะอยู่ในช่วงเงินบาทลอยตัวถ้าจำไม่ผิด แล้วก็ฟองสบู่แตก พ่อก็ต้องออกจากงานต่อมาพ่อก็เลนยช่วนแม่กลับมาอยู่บ้านที่ จ.ขอนแก่น จำได้ดีเลยว่าพ่อแม่ต้องมาตั้งหลักใหม่ทั้งหมด มาสร้างบ้านใหม่ เออลืมบอกไปบ้านที่ขอนแก่นอยู่ อ.บ้านฝาง พอทุกอย่างเคลียหมดก็เหลือ การศึกษาของลูกทั้ง 2 คนพ่อพาผมกับน้องไปสมัครเรียนที่ รร.สนามบิน ผมเข้า ป.4 น้องผมยังเล็ก ๆๆอยู่เข้า ป. 1 พอทุกอย่างกำลังเข้าที่ครอบครัวกำลังตั้งหลักได้ดีก็มีคนมาบอกให้พ่อ ลงสมัคร สมาชิคเทศบาล ตำบล หลังเลือกตั้งเสร็จสรุปว่าพ่อผมได้ แล้วก็เข้าไปทำง่รอยู่ 2 ปี เทศบาลก็ได้มี “ ศูนย์พัฒนาเด้กเล็กก่อนประถมวัย” ประจำตำบลขึ้น ด้วยที่แม่เป็นครูประถมวัยอยู่แล้วพ่อจึงพาแม่ไปสมัครแล้วก็ได้ พ่อเป็นสมาชิค สท. อยู่ 2 สมัย สมันล่ะ 4 ปี พ่อเป้น สท. อยู 8 ปี พอสมัยที่ 3 พ่อได้ปรึกษาแม่ว่าอยากลง สมัคร นายกเทศมนตรีเทศบาล แล้วแม่ก็เลยตกลงจะช่วยกันหาเสียง แม่ก็เลยพาญาติพี่น้องช่วยกันหาเสียง สรุปว่าพ่อได้เป็นนายก พอแม่ได้รู้ข่าวว่าผลออกมาแล้วเราชนะการเลือกตั้งแม่ก้ร้องไห้ด้วยความดีใจ หลังจากที่ พ่อได้ ครอบครัวของผมซึ้งประกอบไปด้วย พ่อ แม่ ตัวผม น้อง
ก็ดีขึ้นเรื่อยๆ ต่อจากนั้นน้องผมก็จบ ป.6 แล้วไปเรียน ต่อ ม.1 ที่ รร.กัลยาณวัตร ผมก็จบ ปวช 3ที่ วิทยาลัยเทคนิคขอนแก่น เวลาผ่านไปสักพักน้องขึ้น ม. 5 พ่ออยากให้น้องไปสอบเรียน เป็นนักเรียน นาย100 ผมเลยพาน้องไปสอบปรากฏว่าน้องผมสอบติดเหล่า
ทหารอากาศ เป็นที่กล่าวขานของคนในหมู่บ้านมากเลยว่า ลูกนายก สอบติดนาย100 และเป้นความภาคภูมิใจแก่ครอบครัววงตระกูลมาก หลังจากเข้าไปเรียนได้ 3 เดือนก็ถึเวลาที่เค้าจะปล่อยนักเรียนกลับบ้าน พอน้องกลับมาถึงบ้านก็มีญาติพี่น้องมารอดูความเปลี่ยนแปลงของน้องซึ่งเป็นเด้กเกเรมาก คนนึง พอน้องลงจากรถพร้องด้วยใส่ชุด
นาย100ถือ กระเป๋าสีดำๆๆ ลงมาแล้วไปกราบเท้าญาติทุกคนที่มารอรับทุกคนดีใจแล้วผมมองไปเห็นพ่อผม พ่อผมร้องให้ด้วยความดีใจว่าลูกคนเล็กประสบผลสำเร็จไปแล้วคนนึก กด็เหลือแต่พี่ก็คือตัวผมเองที่ยังต้องหาอนาคตให้กับตนเอง ต่อไปน้องผมก็จะหมดห่วงแล้วดเพราะ จบมาก็มีลานทำ บันจุเป็นข้าราชการแน่ๆ
ประวัติข้าพเจ้า
ข้อมูลของข้าพเจ้า
ชื่อ นายณัฐวุฒิ น้อยอินทร์ เกิดเมื่อวันที่ 274 ธันวาคม 2532 ปัจจับันอายุ 2 ปี ชื่อเล่น บี
ภูมิลำเนา 241 ม.4 ต.ป่าหวายนั้ง อ. บ้านฝาง จ. ขอนแก่น อาศัยอยู่กับ บิดา-มารดา บิดาชื่อนายสุระพร น้อยอินทร์ มารดาชื่อ นางสีสุดา น้อยอินทร์
น้องชายชื่อ นายณัฐพล น้อยอินทร์
ครอบครัวข้าพเจ้า
ครอบครัวข้าพเจ้ามี 4 คน คือ พ่อ , แม่ , ตัวผมเอง , น้อง
ด้านการศึกษา
อนุบาล 1-3 อยู่ที่ รร.อนุบาลเคหะบางพลี ( สมุทรปราการ )
ประถม 1-4 อยู่ที่ รร. รัตนโกสินทร์ ๙ ( สมุทรปราการ )
ประถม 4-6 อยู่ที่ รร.สนามบิน ( ขอนแก่น )
มัทยม 1-3 อยู่ที่ รร.กัลยาณวัตร ( ขอนแก่น )
ป.ตรี ปี 1 อยู่ที่ มมส. คณะศึกษาศาสตร์ เอก เทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา
ป.ตรี ปี2 อยู่ที่ มมส. คณะศึกษาศาสตร์ เอก จิตวิทยา ( ปัจจุบัน )
นิสัยส่วนตัว
นิสัยส่วนตัว
เป้นคนมีโลกส่วนตัวสูง ชอบคิดการไกล ชอบวางอนาคตเป็นคนง่าย ๆ เพื่อนพาไปไหนก็ไปสนุกได้เต็มที่ ชอบไปเที้ยวต่าง จ.
ความใฝ่ฝันในอนาคต
ครอบครัวมีกันอยู่ 4 คน คือ พ่อ,แม่,ตัวผม,น้อง
พ่อเป็นนายกเทศมนตรีเทศบาล
แม่เป็นครูปฐมวัย
น้องเรียนนักเรียน นาย100 จบมาก็รับราชการแน่นอน
ความใฝ่ฝันของผมก้คือ อยากรับราชการ ตำรวจ , ทหาร อยากมีคำนำหน้าไม่ใช้แต่ “นาย” แล้วก๋อยากเรียนต่อ ป.โท มีคนรู้ใจสักคนที่รักเราจริงก็พอแล้วล่ะ
คติประจำจัยที่ใช้มาโดยตลอด
“ คิดให้ใหญ่ แล้วต้องไปให้ถึง ”
ชื่อเสียงเรียงนามของนางตุ้ม…....(!)
เรามีชื่อว่า... อะแน่อยากรู้จักละสิ เขานะมีชื่อว่า.............! นางสาวสุภาพร ศรีอาราม เกิดที่........! 555555555555555 เกิดอยากบอก เกิดวันจันทร์ที่ 3 เดือนธันวาคม พ.ศ. 2533 ชื่อเล่น ตุ้ม เพื่อนๆ ชอบเรียก เพื่อนตุ้ม ผลไม้ที่ชอบ ลำไย ลิ้นจี่ ทุเรียน ส่วนอาหารก็ชอบ คะน้าหมูกรอบ ปลาเผา ต้มยำกุ้ง ปัจจุบันพักอยู่ที่บ้านเลขที่ 99 หมู่ที่ 4 ตำบลหัวช้าง อำเภออุทุมพรพิสัย จังหวัดศรีสะเกษ 33120 มีพี่น้องสองคน เป็นลูกคนที่ 2 งานอดิเรกถามว่าเราชอบอะไร ชอบแข่งรถ ชอบดูรถแต่งเท่ๆๆๆๆ
คติ : ความฝันมันก็คือ ความฝัน แต่ถ้าไม่ลงมือทำมันก็คือความฝัน แต่ถ้าไม่ลงมือทำมันก็คือความฝัน
สิ่งที่สะสม ก็จะมีสร้อย (ทุกชนิด) แหวน นาฬิกา อุลตร้าแมน (ชอบสุดๆ นะจะบอกให้) มาเข้าเรื่องตำนานนางตุ้มกันดีกว่า
ตอนที่เรียนอยู่ประถมศึกษาปีที่ 1-6 ก็เรียนโรงเรียนแถวหมู่บ้าน แต่ตอนที่โตขึ้นมาอีกนิดนึงเข้ามัธยมศึกษาปีที่ 1-6 เรียนโรงเรียนประจำอำเภอ โตขึ้นอีกนิดหนึ่งก็ตอนนี้แหละ ปัจจุบันก็ศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม คณะศึกษาศาสตร์ สาขาจิตวิทยา ก็มีความสุขมาก ติ๊งต๋องไปวันๆ ก็คิดถึงบ้านมากเลยเน๊อะ เข้าเรื่องเลยก็แล้วกัน ก็ตั้งแต่เป็นเด็กเท่าที่จำความได้แม่เคยเล่าให้ฟังว่าหนูเป็นเด็กที่ไม่กินข้าว ไม่กินผัก กินแต่นมอย่างเดียว แต่พอโตขึ้นมาอีกก็กินข้าวเองโดยไม่มีใครป้อน ตอนที่ไปเรียนอนุบาล 1-3 ตอนเช้าคุณครูก็จะสอนพาหัดอ่านออกเสียง ตอนบ่ายก็จะให้นอน จนถึงบ่ายสามตื่นขึ้นมาก็ให้ดื่มนม เก็บของแล้วเตรียมรับการบ้านจากคุณครูคือ คัดตัว ก-ฮ ตามรอยเส้นประ พอรับการบ้านเสร็จแล้วก็รอผู้ปกครองมารับกลับบ้าน ในระหว่างรอผู้ปกครองมารับกลับบ้านก็จะไปเล่นที่สนามเด็กเล่น แต่ที่จำได้ตอนที่แม่ไปส่งก็จะร้องไห้ทุกวันว่าไม่อยากเรียน อยากกลับบ้าน คุณครูเขาก็จะมีวิธีที่ทำให้หนูอยู่โรงเรียนให้ได้ คือ เขาก็จะพูดว่าวันนี้นะถ้าหนูอยู่คุณครูจะเปิดเทปเล่านิทานให้ฟังก่อนนอน คุณครูก็จะบอกชื่อเรื่อง แล้วหนูก็เป็นคนชอบฟังนิทาน หนูก็จะเลิกร้องไห้ก็จะไปเล่นกับเพื่อนตามปกติ ตอนเข้าเรียนประถมศึกษาปีที่ 1 ก็จะเป็นคนไม่ค่อยทันคน โดนแต่เพื่อนขโมยดินสอสีไม้ สมุดภาพวาดภาพระบายสี เครื่องเรียน อุปกรณ์การเรียนต่างๆ เพื่อนขโมยทุกวัน ทุกวันก็จะเกิดอาการทุกครั้งคือ ร้องไห้ กลับบ้านทุกวัน และวันต่อมาทนไม่ได้ไม่รู้ว่าใครขโมยไป หนูก็ไปขโมยดินสอสีของเพื่อนทุกคนกลับมาบ้าน แต่พอแม่เปิดดูกระเป๋าพบว่าดินสอสีในกระเป๋าเยอะมาก แม่ถามว่าไปเอามาจากไหน หนูก็ตอบว่าขโมยของเพื่อนมา แม่จึงบอกว่าให้เอาไปคืนเพื่อนให้หมด ไม่ต้องอยากได้ของใคร หนูจึงร้องไห้เพราะดินสอสีและดินสอที่หายได้ก็ยังไม่ได้คืนจึงได้แต่ร้องไห้ แม่เขาบอกว่าจะพาไปซื้อใหม่ แต่ต้องสัญญาว่าจะไม่ขโมยของของใครอีก หนูจึงสัญญากับแม่จะไม่ขโมยของของใครอีก ด้วยอาการสะอึกสะอื้น ตอนที่อยู่ประถมศึกษาปีที่ 2 คุณครูให้การบ้านโดยการไปถามผู้ปกครองว่าใบโหระพาใช้สรรพคุณทางยาหมอพื้นบ้านอย่างไร หนูก็ตอบว่าใช้ทาแผล แต่ที่จริงไม่ใช่หรอกค่ะ เขาใช้เป็นยาระบายแก้ขับลมในกระเพาะอาหาร เป็นยาระบายอ่อน ๆ ซึ่งเพื่อน ๆ ในห้องต่างพากันหัวเราะ ๆ กันยกใหญ่ จึงได้ฉายาว่า นางโหระพายาทาแผล ไปโรงเรียนวันไหนเพื่อนก็เรียก นางโหระพายาทาแผล ซึ่งก็เลยกลายเป็นว่า นางโหระพายาทาแผล เราจะไม่ให้ลอกการบ้านเพื่อนจึงยอมตกลงก็เลยเป็นคนที่เพื่อนจากหัวเราะกลายเป็นไม่หัวเราะ ตอนอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 เต็มๆ เลย โอ้แม่เจ้ามาเจอะลุงคนที่อยู่บ้านด้วยกันกินข้าวด้วยกันไม่น่าเชื่อ ตอนที่อยู่บ้านเป็นคนใจดี แต่ตอนที่อยู่โรงเรียนโอ้แม่เจ้าไม่อยากจะ Speak เลยตรงกันข้ามทุกอย่างเลยจ้า ตอนที่เขาเดินมาหาหนูเขาพูดกับหนูว่า ถ้าอยู่โรงเรียนให้เรียกลุงครู แต่ถ้าอยู่บ้านให้เรียกลุงตามธรรมดาที่เคยเรียก เคยมีครั้งหนึ่งที่เคยโดนตีด้วยไม้ขนไก่เพราะว่าแอบขโมยออกข้างนอกโรงเรียนไปซื้อขนมทั้งๆ ที่ยังไม่หมดเวลาเรียน ยังไม่พักเที่ยงก็เลยโดนโป๊ะ เซ๊ะ (ตี) นั้นแหละ ทำเอาวันนั้นตูดบวมและแดงจนได้ทายาหม่องกันเลยทีเดียว ขึ้นชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ก็เริ่มหัดเขียนหนังสือด้วยปากกาแล้วเพราะ 1 – 3 เขาจะให้เขียนด้วยดินสอก็เลยต้องปรับตัวพอมาเขียนด้วยปากกาก็ต้องมีน้ำยาลบคำผิด ไอ้เพื่อนที่อยู่ในห้องดันชอบยืมแต่ลิคควิดเรายืมบ่อยครั้งเราเริ่มมีอาการพูดแล้ว ทำไมยืมบ่อยจังเลย ไม่มีตังค์ซื้อเหรอ เพื่อนบอกว่าไม่ เราเสนอตัวเข้าทันที ยืมเงินเราไหมมีดอกเบี้ยร้อยละ 10 บาท ต่อเดือน อัยย้า อยู่แค่ป . 4 แต่รู้จักคำว่าดอกเบี้ย ตอนนั้นมีเพื่อนยืมเงินไปทั้งหมด 600 บาท บางคนก็ยืม 2 เดือน บางคนก็ 3
เดือน ก็เก็บเงินดอกไปเรื่อย ๆ 555 อยากหัวเราะให้ฟันหลุดพอแม่ถามหาเงินที่ในกระปุกหายไปไหนหมดเลย บอกแม่ว่าให้เพื่อนยืมไปหมดแล้ว แม่จึงดุว่าเราสารพัดนานาคำพูด แต่ก็ไม่เป็นไรหรอกแค่ดุไม่ได้ตีซะหน่อย ถามว่าได้เงินคืนไหม ได้แต่นานมาก ๆ ๆ พอขึ้นชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ก็เริ่มชอบกีฬาฟุตบอล วอลเลย์บอล วิ่ง ทำให้หนูตั้งใจฝึกซ้อมทุกวันหลังเลิกโรงเรียน จนได้เป็นนักกีฬาสมใจของโรงเรียนก็จะแข่งในสายโรงเรียนก่อน พอชนะก็แข่งระดับอำเภอ ก็แข่งชนะแต่ไปตกรอบที่อำเภอนั้นแหละก็ยังดีที่ได้สู้ พอขึ้นชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ก็ลงสมัครเป็นประธานนักเรียน ซึ่งมีผู้ลงสมัคร 2 คน ก่อนวันลงคะแนนรับเลือกตั้งเป็นประธานนักเรียน ก็ต้องหาเสียงก่อน มีการแจกขนมทุกวันแบบลับ ๆ มีการแสดงนโยบายที่จะทำประโยชน์แก่โรงเรียน แก่เพื่อน ๆ ปรากฏว่าวันเลือกตั้งเป็นประธานปรากฏว่าได้รับคัดเลือกเข้าเป็นประธานดีใจมากเลย ที่ได้รับความไว้วางใจต่อเพื่อน ๆ ก็ได้ขึ้นไปพูดหน้าเสาธงไปขอบคุณเพื่อน ๆ ที่ให้ความไว้วางใจเรา เราจะทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายให้ดีที่สุดเต็มความสามารถและกำลังของเรา หลังจากนั้นชีวิตของเราก็เปลี่ยนจากเคยเป็นผู้ตามกลับกลายเป็นผู้นำต้องมาโรงเรียนแต่เช้า ต้องมานำเพื่อนเป็นต้นเสียงร้องเพลงชาติ ไหว้พระ กล่าวคำปฏิญาณตน อ่านภาษาไทย อ่านภาษาอังกฤษ วันละคำ ว่าสะกดยังไง มีความหมายว่าอย่างไร และมีงานอีกมากมายที่ต้องรับมอบหมายจากคุณครู พอถึงตอนเข้าค่ายลูกเสือก็ได้เดินทางไกลเข้าค่ายพักแรม 2 คืน3 วัน ไม่อยากจะพูด ม้วนอีหลีเด้อ ตอนไปเข้าฐานเล่นกิจกรรมก็จะมีสารพัด ชอบอยู่อย่างเดียว นันทนาการ เต้น สนุกมาก พอถึงตอนนอนกลางคืนก็จะมีเพื่อนเล่าเรื่องผีให้ฟังก็จะกลัวกันเอาผ้าห่มปิดหน้า ทำให้เราพลอยนอนกลัวและนอนหลับ ตื่นมาตอนเช้าก็ต้องเข้าฐานทำกิจกรรมต่อ เหนื่อยมาก สนุกมาก ๆ ๆ แต่ขอบอกถ้าไม่ไปก็ไม่รู้ว่าเป็นยังไง ในระยะเวลาต่อมาอีกไม่นานก็ต้องสอบหาที่เรียนใหม่ ก็สอบได้ที่โรงเรียนที่ใฝ่ฝันและตั้งใจอยากจะเรียน เพราะมีพี่ชายเรียนอยู่ที่นั้นสอบในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มีห้องเรียนอยู่ 10 ห้องสอบเข้าได้ห้องที่ 5 มีเพื่อนอยู่ประมาณ 56 คน แต่เวลาเรียนไปเพื่อนเริ่มหายไปเรื่อย ๆ จนเหลืออยู่ 52 คน เหตุผลของแต่ละคนก็แตกต่างกันออกไป บางคนพ่อแม่หย่าร้างแยกทางไปมีครอบครัวใหม่ บางคนหนีไปกับแฟน บางคนทะเลาะตบตีกัน แต่ในขณะนั้นที่เรียนอยู่ชั้น ม. 1 ยังไม่รู้จักกับเพื่อนเลย คุณครูก็ให้แนะนำตัวเอง เพื่อนแนะนำเสร็จ พอมาถึงหนู หนูก็แนะนำตัวเองละมีท่าทางเป็นเอกลักษณ์คือ
เคยเห็นคนน่าไม่มัน แต่ทำท่าแล้วมันตลกตรงไหม อย่างนั่นแหละ เพื่อนทุกคนก็หัวเราะจากอาการที่เคยสั่นกลับกลายเป็นไม่สั่นตลกอีกต่างหาก ทำให้เพื่อนทุกคนต่างรู้จักเรากันทั้งห้องทั้ง ๆ ที่เรายังจำชื่อเพื่อนบางคนยังไม่ได้เลย พอมาอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ก็มาผิดใจกันกับอาจารย์ที่ปรึกษาที่มาฝึกสอน เพราะว่าเขาเคร่งครัดมากเกินไป เรื่องทรงผม เขาเรียกหนูไปตรวจทรงผม แต่วันนั้นหนูไปโรงเรียนสาย หนูเลยไม่รู้ว่าเขาเรียกพบ อาจารย์เขาก็หาว่าหนูหลบหน้าเขา พอหนูเจอเขา เขาก็ดันจับหนูไปตัดผมตรงแบบชนิดครึ่งใบหูประเภทชนิด เอาทรงไหนกลับคืนมาไม่ได้หนูโกรธมาก พอกลับถึงบ้านแม่เห็น แม่รับไม่ได้แม่จึงพาไปหาผู้อำนวยการโรงเรียน ผู้อำนวยการโรงเรียนจึงได้แต่ว่ากล่าวอาจารย์ผู้มาฝึกสอน และทำทันบนไว้ แต่หนูได้ยินมาว่าเขาไม่ผ่านการฝึกสอน แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะหนูหรือเปล่า ถ้าหนูย้อนเวลาได้หนูอยากกลับไปขอโทษอาจารย์คนนั้น พอตอนขึ้นชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ด้วยวัยที่อยากรู้อยากเห็นอยากลองของหนูในขณะเวลาเรียนหนูอยากออกไปเที่ยวไม่อยากเรียน หนูขาดเรียน หนูหลบเรียน ไม่ถึง 3 วัน เท่านั้นแหละจดหมายถึงผู้ปกครองเชิญผู้ปกครองไปที่โรงเรียนรับฟังปัญหาที่เกิดกับลูกของตัวเอง พอแม่รู้เข้าเท่านั้นแหละบ้านแตกตีเรา จนขาลาย แขนลาย เหมือนตุ๊กแกเลย หลังจากนั้นจึงจดจำและไม่ได้ทำอีกจึงคิดได้ว่าเรามาเรียนนะไม่ได้มาเที่ยว เรามาเรียนเพื่ออนาคตของตัวเอง หลังจบ ม. 3 น้าจึงพาไปเสริฟอาหารที่ร้านของเขาเอง ซึ่งขายที่หน้ามหาวิทยาลัยมหิดล เขาเริ่มขายตั้งแต่เวลา 17.00 – 23.00 น. ก็ได้เห็นมหาวอทยาลัยมหิดลใหญ่มาก น่าเรียนอินเตอร์สุด ๆ เหมือนเป็นแรงจูงใจ ทำให้หนูอยากเรียนสุด ๆ ขายของช่วยน้า อยู่ได้ประมาณ 2 สัปดาห์มีดารามานั่งกินข้าวอยากรู้ไหมว่าใครก็ขวัญ อุษามณี ไง มากับเพื่อนเขาละมั่ง เพราะว่าเขานะเรียนที่นานาชาติ มหาวิทยาลัยมหิดล สวยมาก ๆ ๆ สวยกว่าใน TV อีก นี่ก็คือแรงบันดาลใจที่ทำให้หนูอยากเรียนมหาวิทยาลัย พอตอนสอบเข้าเรียนก็ได้เรียนที่เดิมนั่นแหละห้องเดิมแต่เพื่อนใหม่ฮา สุด ๆ พอขึ้นมาชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 – 6 ก็เริ่มคิดได้ว่าเราต้องขยันเรียนเพื่ออนาคตของเราเอง ปัจจุบันก็สอบเข้าเรียนได้ที่มหาวิยาลัยมหาสารคาม คณะศึกษาศาสตร์ สาขาจิตวิทยา ก็เป็นเรื่องที่ประทับใจที่สุด และภูมิใจมากที่สุดกับความสามารถของตนเอง หวังว่าเพื่อน ๆ อ่านคงเข้าใจกับชีวิตอันชื่นมื่นของเรา ขอบคุณสำหรับการอ่านประวัติของเรา ขอบคุณค่ะ
ดิฉันชื่อ นางสาวศศิวรรณ เลยหยุด ชื่อเล่น ตังเม ปัจจุบันศึกษาที่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม คณะศึกษาศาสตร์ สาขา จิตวิทยา พี่ฉันตอนนี้เรียนอยู่มหาวิทยาลัยราชภัฎอุบลราชธานี คณะมนุษยศาสตร์ สาขา อุตสาหกรรมท่องเที่ยวครอบครัวของฉันมี 4 คนมี พี่ พ่อ แม่ แล้วฉันเป็นน้องสุดท้อง ฉันกับพี่สาวเราเป็นฝาแฝดกัน ห่างกัน 2 นาที ฉันเกิดที่ขอนแก่น โรงพยาบาลบ้านไผ่ โดยพี่สาวฉันออกก่อน ส่วนฉันออกทีหลัง โดยโบราณแล้วเขาถือว่าคนออกก่อนเป็นน้อง คนออกหลังเป็นพี่ แต่พ่อกับแม่ฉันไม่ถือเรื่องนี้ พ่อกับแม่บอกว่า ถือเรื่องเวลามากกว่า ตั้งแต่เกิดพี่สาวฉันแข็งแรงกว่าฉันมากและอ้วนกว่าด้วย และยายก็ได้ตั้งชื่อให้พี่สาวฉันว่า โม ส่วนฉันชื่อเม แต่แม่บอกว่าชื่อมันสั้นไปเลยตั้งชื่อว่า แตงโม ตังเม และฉันตอนเด็กๆๆฉันกับพี่ดื้อมากๆๆ ตอนกินนมเนี้ยสิ แม่ต้องอุ้มเราทั้งสองไว้ตรงแขนคนละข้าง และเวลานอนแม่ต้องตื่นมาให้นมเราทั้งสองคน
ส่วนพ่อของฉันทำงานรับราชการตำรวจ โดยทำหน้าที่ด้านการเงิน แล้วตอนประถมก็ย้ายไปอยู่ที่ศรีสะเกษ ฉันเรียนอยู่ที่โรงเรียนมารีวิทยา โรงเรียนนี้เป็นโรงเรียนของคริตส์ ฉันเข้าเรียนชั้น ป. 1 กับพี่สาวและอยู่ห้องด้วยกันจนถึงป.3 แม่เห็นว่าอยู่ด้วยกันแล้วมันไม่ตั้งใจเรียน เลยให้พี่ฉันไปอยู่ห้อง5 จนถึงป.6 เลย เพราะเด็กทุกคนมีแต่กินกับนอนและตอนเด็กนั้นมียายและก็ตาที่คอยดูแลอยู่มาห่างเลย เวลาที่ฉันและพี่ต้องออกไปเล่นข้างนอก แม่ต้องตามไปตลอดเลย เพราะดื้อมาก
พอฉันโตขึ้นมาหน่อย พ่อก็ยังทำงานอยู่ อ.ชนบท และเวลาที่พ่อเข้าเวรอยู่นั้น เราทั้งคู่ได้ไปเล่นข้างหลังตรงที่พ่อทำงานอยู่ แถวนั้นก็จะมีต้นไม้อยู่เยอะ แต่เรื่องมันเกิดขึ้นเพราะมีต้นไม้ต้นหนึ่งที่มีรังแตนอยู่ แล้วความที่เป็นเด็กที่ซนมาก เราทั้งคู่ได้เอาไม้ไปตีรังแตน แล้วจะเกิดอะไรซะอีกล่ะ ก็โดนแตนต่อยเอาน่ะสิ แล้วเพื่อนพ่อที่อยู่แถวนั้นก็เรียกพ่อมาเพื่อมาเอาเราทั้งสองกลับบ้านแล้วก็ทายา แต่โชคดีที่เราทั้งคู่ไม่เป็นอะไรมาก
พอเราทั้งคู่ขึ้นประถมก็ได้เข้าโรงเรียนมารีวิทยาแต่เราแยกห้องเรียนกันเพราะจะได้มีเพื่อนเยอะๆๆไม่ต้องมานั่งเล่นกัน2คน ประวัติฉันกับพี่น่ะหรอ..ก็ดื้นตามประสาเด็กชอบแกล้งคนโน้นคนนี้ที..ค่อนข้างร่าเริงแจ่มใส..แต่จะเป็นคนพูดน้อยชอบฟังเพื่อนพูดเรื่องต่างๆฉันน่ะเป็นคนเส้นตื้นมากๆส่วนพี่ฉันน่ะได้เข้าร่วมงานคริตส์มาสด้วยเพราะที่ทางโรงเรียนบังคับเวลาพี่ฉันแต่งหน้าเสร็จพี่ฉันเหมือนกระเทยมากๆ
ดิฉันชื่อ นางสาวศศิวรรณ เลยหยุด ชื่อเล่น ตังเม ปัจจุบันศึกษาที่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม คณะศึกษาศาสตร์ สาขา จิตวิทยา พี่ฉันตอนนี้เรียนอยู่มหาวิทยาลัยราชภัฎอุบลราชธานี คณะมนุษยศาสตร์ สาขา อุตสาหกรรมท่องเที่ยวครอบครัวของฉันมี 4 คนมี พี่ พ่อ แม่ แล้วฉันเป็นน้องสุดท้อง ฉันกับพี่สาวเราเป็นฝาแฝดกัน ห่างกัน 2 นาที ฉันเกิดที่ขอนแก่น โรงพยาบาลบ้านไผ่ โดยพี่สาวฉันออกก่อน ส่วนฉันออกทีหลัง โดยโบราณแล้วเขาถือว่าคนออกก่อนเป็นน้อง คนออกหลังเป็นพี่ แต่พ่อกับแม่ฉันไม่ถือเรื่องนี้ พ่อกับแม่บอกว่า ถือเรื่องเวลามากกว่า ตั้งแต่เกิดพี่สาวฉันแข็งแรงกว่าฉันมากและอ้วนกว่าด้วย และยายก็ได้ตั้งชื่อให้พี่สาวฉันว่า โม ส่วนฉันชื่อเม แต่แม่บอกว่าชื่อมันสั้นไปเลยตั้งชื่อว่า แตงโม ตังเม และฉันตอนเด็กๆๆฉันกับพี่ดื้อมากๆๆ ตอนกินนมเนี้ยสิ แม่ต้องอุ้มเราทั้งสองไว้ตรงแขนคนละข้าง และเวลานอนแม่ต้องตื่นมาให้นมเราทั้งสองคน
ส่วนพ่อของฉันทำงานรับราชการตำรวจ โดยทำหน้าที่ด้านการเงิน แล้วตอนประถมก็ย้ายไปอยู่ที่ศรีสะเกษ ฉันเรียนอยู่ที่โรงเรียนมารีวิทยา โรงเรียนนี้เป็นโรงเรียนของคริตส์ ฉันเข้าเรียนชั้น ป. 1 กับพี่สาวและอยู่ห้องด้วยกันจนถึงป.3 แม่เห็นว่าอยู่ด้วยกันแล้วมันไม่ตั้งใจเรียน เลยให้พี่ฉันไปอยู่ห้อง5 จนถึงป.6 เลย เพราะเด็กทุกคนมีแต่กินกับนอนและตอนเด็กนั้นมียายและก็ตาที่คอยดูแลอยู่มาห่างเลย เวลาที่ฉันและพี่ต้องออกไปเล่นข้างนอก แม่ต้องตามไปตลอดเลย เพราะดื้อมาก
พอฉันโตขึ้นมาหน่อย พ่อก็ยังทำงานอยู่ อ.ชนบท และเวลาที่พ่อเข้าเวรอยู่นั้น เราทั้งคู่ได้ไปเล่นข้างหลังตรงที่พ่อทำงานอยู่ แถวนั้นก็จะมีต้นไม้อยู่เยอะ แต่เรื่องมันเกิดขึ้นเพราะมีต้นไม้ต้นหนึ่งที่มีรังแตนอยู่ แล้วความที่เป็นเด็กที่ซนมาก เราทั้งคู่ได้เอาไม้ไปตีรังแตน แล้วจะเกิดอะไรซะอีกล่ะ ก็โดนแตนต่อยเอาน่ะสิ แล้วเพื่อนพ่อที่อยู่แถวนั้นก็เรียกพ่อมาเพื่อมาเอาเราทั้งสองกลับบ้านแล้วก็ทายา แต่โชคดีที่เราทั้งคู่ไม่เป็นอะไรมาก
พอเราทั้งคู่ขึ้นประถมก็ได้เข้าโรงเรียนมารีวิทยาแต่เราแยกห้องเรียนกันเพราะจะได้มีเพื่อนเยอะๆๆไม่ต้องมานั่งเล่นกัน2คน ประวัติฉันกับพี่น่ะหรอ..ก็ดื้นตามประสาเด็กชอบแกล้งคนโน้นคนนี้ที..ค่อนข้างร่าเริงแจ่มใส..แต่จะเป็นคนพูดน้อยชอบฟังเพื่อนพูดเรื่องต่างๆฉันน่ะเป็นคนเส้นตื้นมากๆส่วนพี่ฉันน่ะได้เข้าร่วมงานคริตส์มาสด้วยเพราะที่ทางโรงเรียนบังคับเวลาพี่ฉันแต่งหน้าเสร็จพี่ฉันเหมือนกระเทยมากๆ
ตอนนั้นก็อยุ่ประมาณป.5 ส่วนฉันก็ได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกในวงดุริยางค์ฉันเป่าเมโลเดียน ตั้งแต่ ป.4 ถึง ป.6 เลย พอเรียนจบ ป.6 ก็แยกย้ายกันไปเรียนต่อ ฉันได้เรียนต่อที่โรงเรียนสตรีสิริเกศ จังหวัดศรีสะเกษ ฉันได้เรียนต่อที่โรงเรียนสตรีสิริเกศ จังหวัดศรีสะเกษ ฉันกับพี่ฉันใช้สิทธิโรงเรียนใกล้บ้าน ฉันเรียนที่โรงเรียนสตรีตั้งแต่ ม.1-6
เวลาเลิกเรียนพ่อก็จะมารับประจำเลย ฉันต้องปรับตัวเข้ากับเพื่อนๆ เพราะฉันเป็นคนไม่ค่อยพูด พูดไม่เก่ง ไม่กล้าแสดงออก ขี้อาย พอหลังๆ มาก็เริ่มปรับตัวได้แล้ว มีเพื่อนที่สนิทมาก ไปไหนไปด้วยกัน และไปเป็นกลุ่ม มีอะไรจะช่วยเหลือกันตลอด ช่วงแรกๆเกรดออดมาไม่ค่อยดีเลย ฉันต้องพยายามเรียนให้ได้เกรดดีกว่านี้ ฉันไม่ต้องการแข่งกับใครฉันต้องแข่งตัวเองสิ เอาให้มันได้ดีกว่านี้ พอเรียนจบ ม. 3 ก็ต่อที่เดิมนี้แหล่ะ ใกล้บ้านดี ฉันได้เลือก สายศิลป์ เพราะฉันไม่ชอบคำนวณเลย ก็เรียนไปทางภาษามากกว่า
มีภาษาจีน เวียดนาม ที่ฉันได้เรียนนะ ฉันว่าภาษาจีนฉันเรียนเข้าใจกว่าเวียดนามซะอีก
ช่วงนี้ล่ะที่ฉันสนุกสุดๆ ช่วงม.5 อ่ะ สนุกมาก และคิดว่าไม่อยากจากเพื่อนเลย พอใกล้จะจบก็มีการจัดวันอำลาอาลัยให้พี่ ม.6 เป็นวันที่มีความสุขมาก พอเรียนจบก็แยกย้ายกันไปเรียนคนละที่ในกลุ่มฉันมีฉันคนเดียวที่เรียนอยู่สารคาม เพื่อนที่สนิทก้อเรียนที่อุบลหมดเลย รวมถึงพี่ฉันด้วย ฉันอยากเรียนเอกจิตวิทายามาก เพระมันเป็นความตั้งใจ
จริง พ่อ แม่ ก็อยากให้เรียน ว่างๆ พ่อ กับ แม่ และพี่สาวก็มาหาบ้าง
ข้าพเจ้าชื่อนางสาวกฤษดาภรณ์ สวัสดิ์ผล ชื่อเล่น กิด คนส่วนใหญ่มักจะถามข้าพเจ้าว่าทำไมชื่อเหมือนผู้ชายจังเลยข้าพเจ้าก็ไม่รู้จะตอบว่ายังไง แต่ข้าพเจ้าก็ไม่เคยคิดที่จะเปลี่ยนชื่อเลยเพราะเป็นชื่อที่พ่อของข้าพเจ้าตั้งให้และข้าพเจ้าก็สงสัยอยู่ว่าทำไมจึงตั้งชื่อข้าพเจ้าว่ากฤษดาภรณ์ และชื่อเล่นว่า กิด และก็ได้คำตอบว่าที่ตั้งอย่างนี้เพราะตั้งตามชื่อลูกชายของพี่สาวของพ่อข้าพเจ้าเองที่ชื่อกฤษฎาแล้วพ่อของข้าพเจ้าก็เอาคำว่า (ภรณ์) เติมลงไปและชื่อเล่นก็เรียกตามชื่อจริงมาจนถึงทุกวันนี้ ข้าพเจ้าเกิดวันที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2533 (วันจันทร์) ข้าพเจ้าเกิดที่โรงพยาบาลมหาสารคามเพราะข้าพเจ้าเป็นคนมหาสารคาม แต่อยู่อำเภอแกดำ ครอบครัวของข้าพเจ้ามี 4 คนคือมีพ่อและแม่ข้าพเจ้าและมีน้องสาวหนึ่งคน ชื่อวิภาวรรณ สวัสดิ์ผลน้องของข้าพเจ้าอายุห่างจากข้าพเจ้า 5 ปีซึ่งตอนนี้ข้าพเจ้าอายุ 19 ปี นั่นก็แสดงว่าน้องของข้าพเจ้าอายุ 14 ปีส่วนแม่ของข้าพเจ้าชื่อนางบุญเฮียง สวัสดิ์ผล อายุ 44 ปี มีอาชีพทำนา และพ่อของข้าพเจ้าชื่อนายอุทัย สวัสดิ์ผล อายุ 43 ปี มีอาชีพทำนา
ถ้าจะพูดถึงประวัติของข้าพเจ้าตั้งแต่เล็กจนโตนั้นมันคงจะไม่จบเพราะฉะนั้นข้าพเจ้าก็จะขอเล่าพอคร่าวๆคือช่วงเวลามัธยมปลายที่เป็นช่วงเตรียมความพร้อมเข้ามหาวิทยาลัย ช่วงเวลานี้ในความคิดของข้าพเจ้าคือช่วงที่กดดันมากเพราะเราไม่รู้ว่าจะติดที่ใหนบ้างหรือเปล่าและในช่วงเวลานี้เองที่ทำให้ข้าพเจ้าได้เรียนรู้อะไรหลายๆอย่างไม่ว่าจะเป็นความสมหวังและความผิดหวัง การรอคอย และประสบการณ์ชีวิตต่างๆและอะไรอีกมากมาย และเรื่องที่ว่าความสมหวังหรือผิดหวังนั้นก็ได้สอนให้เราได้รู้จักชีวิตของคนเรามากขึ้นว่าถึงแม้ว่าเราจะไม่สมหวังในสิ่งที่เรามุ่งหวังไว้แต่ถ้าเราไม่คิดมากทำใจได้และเรามีความพยายามเราก็จะได้ในสิ่งที่หวังไว้ และการรอคอยก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้เรานั้นต้องลุ้น ตื่นเต้น และที่สำคัญคือฝึกให้เรามีความอดทนและที่สิ่งที่สำคัญมากๆที่ได้จากช่วงสอบเข้ามหาวิทยาลัยคือทำให้เรามีความรับผิดชอบมากๆก็ว่าได้เพราะถ้าหากใครไม่มีความรับผิดชอบก็เท่ากับทิ้งอนาคตตัวเองชัดๆ ที่ว่าทำให้เรารู้จักรับผิดชอบตัวเองมากขึ้นนั้นก็คือไม่ว่าจะเป็นเรื่องอ่านหนังสือ เวลาเข้าสอบ วันเวลารายงานตัว วันเวลาจ่ายตังค์ค่าสมัครหรืออะไรต่างๆเราต้องทราบและไปให้ทันตามที่กำหนด ถ้าหากเราไม่มีความรับผิดชอบไปไม่ทันเราก็จะต้องถูกตัดสิทธิ์เพราะฉะนั้น
เรื่องนี้จึงสำคัญมาก ถึงแม้ว่าช่วงนี้จะกดดันแต่ก็แฝงไปด้วยสิ่งดีๆมากมายและเมื่อผ่านช่วงนี้ไปก็ทำข้าพเจ้ารู้สึกว่าโตขึ้นมีความรับผิดชอบมากขึ้น
และอีกเรื่องหนึ่งที่ทำให้เราได้ประสบการณ์ในชีวิตมากก็คือรับน้องเพราะว่าเป็นอะไรที่สนุกและทำให้เรามีความผูกพันธ์กัน รู้จักกันมากขึ้นถ้าหากไม่มีการรับน้องพวกเราปี1ทุกๆคนคงจะไม่รู้จักเพื่อนๆคณะอื่น เอกอื่น และมีอะไรอีกมากมายที่ข้าพเจ้าประทับใจมากจากรั้วเหลืองเทาแห่งนี้แต่มิอาจจะบรรยายเป็นคำพูดได้และสุดท้ายนี้ข้าพเจ้าก็ขอมอบบทกลอนนี้แทนสิ่งที่ทำให้ข้าพเจ้ามีวันนี้วันที่มีที่เรียนได้เรียนตามที่ตนเองชอบ
“ชีวิตของคนเรานั้น…ไม่ยาวเลย
สู้ก้อนกรวดก้อนหินยังไม่ได้
เกิดมาทั้งที ตั้งเข็มทิศให้กับชีวิต
กำหนดทิศทางของตัวเองให้ชัดเจน
จะเดินไปสู่จุดไหน ค้นหาตังเองให้ชัดเจน
จะเดินไปสู่จุดไหน ค้นหาตัวเองให้เจอ
และพยายามดำเนินมุ่งไปสู่จุดนั้นให้ได้
และที่สำคัญอย่าประมาท…
อย่าหลงตัวเองและอย่าหยุดยั้งการศึกษาหาความรู้อยู่ตลอดเวลา”
และอีกบทกลอนหนึ่งที่ข้าพเจ้าอยากจะมอบให้แก่คุณครูทุกๆท่านที่เคยสอนข้าพเจ้ามา
* ผู้สร้างคน *
เป็นแสงธรรมนำทางสร้างชีวิต
เป็นผู้คิดสื่อสารงานศึกษา
เป็นผู้รู้ประสิทธิ์วิทยา
เป็นศาสตราคอยคุ้มครองผองเด็กไทย
เป็นแม่พิมพ์กำหนดบทบาทศิษย์
เป็นผู้ชี้แนวชีวิตที่ฝันใฝ่ เป็นผู้นำพาชาติปราศพิษภัย
ค่ายิ่งใหญ่เกินกล่าวขานคืองานครู
ประวัติของฉัน
ฉันชื่อ นางสาวชลธิดา นามสกุล มะลาคุ้ม ชื่อเล่นๆ ชื่อแต้วค่ะ ฉันเกิดเมื่อ วันพุธ ที่21 เดือนมีนาคม พุทธศักราช 2533 ปีมะเมีย ฉันเป็นคนราศีมีน กรุ๊ปเลือดของฉัน
กรุ๊ป A ฉันเกิดที่โรงพยาบาลข่อนแก่น แต่ฉันอาศัยอยู่บ้านหนองโก หมู่ที่ 10 ตำบลแพง
อำเภอโกสสุมพิสัย จังหวัดมหาสารคาม รหัสไปรษณีย์ 44140 บ้านของฉันอยู่ใกล้กับโรง
เรียนบ้านหนองโก หมู่ 10 จึงได้ชื่อว่า คุ้มโรงเรียน บ้านของฉันมีฐานะพอใช้ ไม่รวย ไม่จนถึงขั้นอดอยาก บ้านของฉันเป็นบ้านไม้ หน้าบ้านมีต้นมะข้าม 3 ต้น ตรงข้ามกับบ้านหลังสีชมพู ครอบครัวของฉันมี 5 คน มีพ่อ แม่ ตา และน้องสาว พ่อฉันชื่อ นายวิชัย
มะลาคุ้ม แม่ฉันชื่อ นางพิมล มะลาคุ้ม ทั้งสองมีอาชีพทำนา ถ้าว่างจากการทำนาก็รับจ้างทั่วไป ตอนนี้กำลังรับจ้างตัดอ้อย พ่อกับแม่ต้องลำบากเพื่อให้ฉันได้เรียนหนังสือ มีอนาคตที่ดี ส่วนน้องสาวชื่อนางสาวสุพัตรา มะลาคุ้ม ชื่อเล่น น้องตุ้ม ตอนนี้ไม่เรียนแล้ว ตาของฉันชื่อนายบุญลอด ทวยดี มีอาชีพเป็นช่างตัดผมชาย
ฉันเข้าเรียนที่โรงเรียนบ้านหนองโกตั้งแต่อนุบาล 1 จนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 และเข้าศึกษาต่อที่โรงเรียนมัธยมวัดกลางโกสุม ตอนฉันเรียนอยู่ที่โรงเรียนบ้านหนองโกฉันได้เงินไปโรงเรียนวันละ 10-15 บาท พอเค้าไปเรียนที่โกสุมได้วันละ 30-40 บาท บ้างวันฉันก็ห่อข้าวไปกินกับเพื่อนที่โรงเรียนด้วย ที่โรงเรียนมัธยมวัดกลางโกสุมอยู่ติดกับวนอุทยานโกสัมพี เวลากินต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ เด่วยลิงมันจะแย่งเอาไปกิน ที่โกสุมมีที่เที่ยวหลายที่เลย ก็ดังคำขวัญที่ว่า โกสุมพิสัยเมืองคนดี วนอุทยานโกสัมพีลือเลื่อง องค์พระมิ่งเมืองศักดิ์สิทธิ์งามจับจิตบึงกุย พอจบมัธยมศึษาปีที่ 6 แล้ว ฉันก็สอบเข้าเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม สาขาวิชาจิตวิทยา คณะศึกษาศาสตร์ แนดีใจและภูมิใจมากที่ได้เข้ามาในรั้มหาวิทยาลัยแห่งนี้ เพราะเป็นที่ที่ให้ความรู้ ความอบอุ่น เปรียนเหมือนบ้านหลังที่สองก็เป็นได้
กล่าวถึงเรื่องของความรัก ฉันมีแฟนตั้งแต่อยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ตอนนั้นไม่รู้เลยว่าความรักเป็นอย่างไร ตอนนั้นพี่เขาอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ถ้าจะพูดว่าแฟนก็คงไม่ใช่ พี่เขาก็เปรียบเหมือนพี่ชายที่แสนดีคนหนึ่ง จนพี่เขาเรียนจบแล้วไปเรียนต่อที่อื่นก็ไม่ได้ติดต่อกัน จนฉันก็มีคนใหม่เขามาตอนนั้นฉันอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 พี่เขาก็อยู่ชั้นมัธยมศึษาปีที่ 3 ตอนนั้นยังไม่มีโทรศัพท์ ก็จีบกันโดยการเขียนจดหมาย พี่
เขาเขียนหาฉันทุกวัน และทุกครั้งที่มีจดหมายมาก็จะมีลูกอมรูปหัวใจติดมาด้วย ถ้าวันไหนไม่มีจดหมาย อย่างน้อยก็ตรงมีลูกอม ไม่อย่างได้ก็อย่างหนึ่ง ถ้าไม่มีก็ถือว่าแปลกนะ จนกระทั่วันหนึ่งความหางเหินก็เริ่มเข้ามาแทรกระหว่างเรา เพราะพี่เขามีคนใหม่ที่สวยกว่าฉัน (มั้ง) แล้วเราก็เลิกกันจริงๆแต่ก็ไม่เคยมีคำว่าเลิกกันเลย พอฉันอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ก็มีอีกคนเข้ามาเขาทำให้ฉันรู้ว่า รัก มีค่าแค่ไหน เราเริ่มจากเพื่อนกันตั้งแต่อนุบาล เขาโทรหาฉันทุกวันขนานเรียนห้องเดียวกัน ก็ยังโทร คนมันรักทำไงได้ จนเรียนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เราก็แยกกันต่างคนก็ต่างไปเรียนต่อคนละที่ เขาเข้ามาเรียนที่เทคนิคมหาสารคาม ส่วนฉันก็เรียนที่โกสุมพิสัย แต่ระยะทางก็ไม่ใช่อุปสรรคเขาก็โทรหาทุกวัน วันเสาร์ อาทิตย์ ก็มาหาฉันที่บ้าน เราคบกันมา 5 ปีแล้ว แต่ใน 5 ปีนี้เขาก็มีคนอื่นอยู่ตลอด แต่ฉันก็ไม่คิดจะมีใหม่เลย ฉันรอรอจนในที่สุดเขาก็กลับมาหาฉัน จนใครๆก็หาว่าฉันนั้นเป็นคนงมงาย ชีวิตรักของฉันเข้ากับเพลง งมงาย ของบอดี้แสลม ที่ร้องว่า
เนิ่นนานเท่าไรไม่รู้ที่รอเธอ ฉันจำไม่ได้
ที่จำได้ดีคือฉันมีเพียงเธอ แม้นานสักแค่ไหน
เธออยู่ที่ใดยังรักกันไหม ฉันไม่รู้ แต่ที่รู้คือฉันนั้นยังไม่เปลี่ยนใจ
ยังอยู่ตรงนี้ถึงแม้จะเหงาและเดียวดาย
ไม่ผิดใช่ไหมที่ฉันจะยังรักเธอ ไม่ว่าเธอกับฉันวันนี้จะอยู่แสนไกล
ก็ยังจะรออย่างมีความหวัง ยังคงไม่เปลี่ยนไป
ไม่ว่าใครจะมองว่าฉันงมงาย ฉันก็ยังเหมือนเดิม
เมื่อเธอมีทางชีวิตไม่เหมือนฉัน ฉันห้ามไม่ได้
แต่ฉันจะมีชีวิตเพื่อรอเธอ แม้วันสุดท้าย
เกิดมาได้เจอคนที่ตามหามานานแสนนาน ทำให้รู้ว่าเธอมีค่ามากแค่ไหน
จะอยู่ตรงนี้ถึงแม้ว่าฉันจะไม่เหลือใคร
ไม่ผิดใช่ไหมที่ฉันจะยังรักเธอ ไม่ว่าเธอกับฉันวันนี้จะอยู่แสนไกล
ก็ยังจะรออย่างมีความหวัง ยังคงไม่เปลี่ยนไป
ไม่ว่าใครจะมองว่าฉันงมงาย ฉันก็ยังเหมือนเดิม
จะรอแค่เธอถึงแม้ใครหาว่างมงาย
ไม่ผิดใช่ไหมที่ฉันจะยังรักเธอ ไม่ว่าเธอกับฉันวันนี้จะอยู่แสนไกล
ก็ยังจะรออย่างมีความหวัง ยังคงไม่เปลี่ยนไป
ไม่ว่านานเท่าไรยังมีเพียงเธอ (ไม่ผิดใช่ไหมที่ฉันมีเธอคนเดียวในหัวใจ)
ไม่ว่ายังไง ฉันก็จะรักเธอ
ประวัติ
สวัสดีค่ะ ชื่อนางสาวธนภรณ์ นามสกุล พุทธรักษ์ ชื่อเล่น เร๊กๆ Mini<
เกิดวัน อาทิตย์ ที่ 25 เดือน พฤศจิกายน พ.ศ. 2533 อายุ 19 ปี
บ้านเลขที่ 41/6 ม.11 ต.หญ้าปล้อง อ. เมือง จ.ศรีสะเกษ 3300
มีพี่น้อง 3 คน เป็นบุตรคนที่ 3
บิดา ชื่อ นายอุดม นามสกุล พุทธรักษ์ ประกอบอาชีพ ทำนา
มารดา ชื่อ นางมาลัย นามสกุล วงศ์อนุ ประกอบอาชีพ รับราชการครู
ประวัติการศึกษา
เรียนอนุบาล1- ชั้นประถมศึกษาที่1 ที่ โรงเรียนบ้านแข้ อ.อุทุมพรพิสัย จ.ศรีสะเกษ
เรียนชันประถมศึกษา 2- 6 ที่ โรงเรียน อนุบาลวัดพระโต อ.เมือง จ.ศรีสะเกษ
จบมัธยมศึกษาที่ 1- 6 ที่ โรงเรียนสตรีสิริเกศ อ.เมือง จ.ศรีสะเกษ
เรียนสาย ภาษา,สังคม
ปัจจุบัน
ศึกษาที่ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม M.S.U.
คณะ ศึกษาศาสตร์ สาขา จิตวิทยา PSY.”
รหัสนิสิต 52010517067 ####
พักหอเบญจมาศ ห้อง117 นะคะ }
ชอบ – ก้านคะน้าทุกรูปแบบ,แจ่วกับผักลวก,ส้มตำเผ็ดๆ แซ่บหลายยย ]]
- *ควาย ย(กระบือ), ลิงน้อย ,กระต่าย ย<< รักสุด มั๊ก ค๊า 55+
- CHE GUEVARA, BOB MARLEY
- หมอลำ < หน้า ฮ้าน น เอิ๊ก ๆ ; )
- พงษ์สิทธิ์ คัมภีร์,มาลีฮวนน่า (ขาเพื่อมาโล้ด๑)
- PARADOX, PLAMME, SLOTMACHINE
- เพลง ที่ว่าง ของ โจ้ วง พอส T_T
- โดม ปกรณ์ ลัม, ยิปซี คีรติ, zee มัฑณาวี
- Free Dom อิสระ // ตามจัยคุณ ..*
เกลียด- ข้าวหมูแดง –$
- สีฟ้า :[
- DORAEMON .s.
- POLICT ยิ่งหนี ยิ่งเจอ wo.”
- แดด” ร้อน ‘เหงื่อ (ไม่ไหวค๊า)
คติ ~ เล็กน้อย ที่ ยิ่ง ใหญ่ ))))) เย้ ..
E-mail >>lekyza@hotmail.com
โทร 0 8 8 3 0 0 1 5 8 8
เรื่องราวเล็กๆน้อยๆ
ขอ แทน ตัวเอง เป็นชื่อเล่น นะค่ะ
เร๊ก เป็น คน จังหวัดศรีสะเกษ แต่ กำเนิด
เท่า ที่ จำความได้ ตอนนั้น อาศัย อยู่ที่ บ้านโนน บ้านเลขที่74 ม.2 ต.แข้ อ.เมือง จังหวัดศรีสะเกษ 33120 ช่วง เวลานั้นมี ความสุขมากค่ะ มีพ่อ แม่ และพี่สาวอีกสองคน
พี่สาวทั้งสองอายุห่างกัลป์ ประมานสองปี ส่วนน้องเร๊ก ห่าง จากพี่คนโต หกปี ห่างจาก พี่คนกลางสามปี เราแต่ละคน นิสัยแตกต่าง กัน และหน้า ตาก็ แตกต่างกันด้วย อิอิ
ตอนเด็กๆ ชอบเล่น ตุ๊กตา มากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ชอบ อยู่ในห้วง แห่งการแสดงละคร
ชอบ เล่น พูดคนเดียว เป็นๆได้ หลาย ตัวละคร ^^ เสาร์อาทิตย์ วันหยุด ว่างๆ ชีวิต เร๊ก ก็ไม่มีอารัย นอกจาก การที่ได้อยู่ กับตุ๊กตามากมาย แสนรัก ตุ๊กตาทุกๆ ตัว มีชื่อ
และเร๊กจำได้หมดทุ๊กๆๆ ตัว หากตัวใด หายไปละก็...อิอิ รู้เลยทันที!
วันๆ ไม่ค่อย มี สาระ และแม่ ชอบ บ่น ว่า เราไม่ชอบกินข้า ว เอาแต่ เล่นตุ๊กตา
แต่ เรื่อง ขนม เนี่ย มาก่อน เลย นะ ฮ่าๆ ชอบๆค่ะ ชอบ ๆชอบกินขนมเป็นชีวิตจิตใจ
หรือเรียกง่ายๆว่า โต มากับ ขนมเลยละคะ เอิ๊กๆ <<ช่วงเวลาที่อยู่ บ้าน โนน ก็ได้เรียนที่ โรงเรียนบ้านแข้ ขอบอกว่าสนุกมากๆค่ะ จริงๆเป็นความทรงจำ ที่ เยี่ยม ที่สุด เรื่องหนึ่ง เลยทีเดียว อิๆ ตอนที่เรียนที่นั่น เป็นเด็กน้อยๆที่มีแวว การ แสดง ค่ะ ชอบๆ ได้เป็น ตัวเด่นๆ เลย เอิ๊กๆ เพื่อนๆ ทุกคนก็ นิสัยดีมีความสุขมากมาย ค่ะ เวลามาโรงเรียน ก็จะมากับคุณแม่ แล้วเราก็ ไปเข้าแถวร้องเพลงชาติ สวดมนต์ไหว้พระ แบบ ว่า ตื่น แต่เช้า แบบสดใส อิอิแระ ก็เข้า เรียน คุณครู ก็มี กิจกรรมให้ ตลอด แระพักเที่ยงก็ พากัน กิน ข้าว ที่ ห่อ มาจากบ้าน แต่ ละคน ก็จะ มีกับข้าว แต่ละอย่าง มาแบ่งๆ กินด้วยกัน
เป็นความประทับใจอย่างนึง อิอิ และ ก็เล่นกันสักพัก พอจะบ่ายโมง ครุ ก็จะมา เคาะระฆัง<<สมัยนั้นยังเป็นระฆังอยู่เลย แฮ่ๆ เกิดทันคร๊าๆ ^^แล้ว ก็ รีบ วิ่งมา เข้าแถว เรียง กัน เป็นชั้น เพื่อ มาแปลงฟัน ตรวจ เล็บ ตรวจ ความเรียบร้อย ความสะอาด ครูเวร จะตรวจ แล้ว ก็ กลับมา นอน ที่ห้องนอน ของเด็ก อนุบาล อิอิตื่นมา บ่ายสาม ล้างหน้า ทาแป้ง รับ นม รอ ผู้ปกครองมารับ.” กลับบ้าน^^
ส่งยังไงหรอ..แล้วเปิดอ่านยังไง
เคยคิดอยู่เหมือนกัน...
ว่าทุกวันนี้ฉันต่อสู้เพื่อใคร
เพื่อตัวฉันเองใช่ไหม?
หรือเพื่อลมหายใจที่เฝ้ารอ..
สรุปแล้วก็คงเป็นทุกๆ อย่าง
ก็มีบ้างที่ฉันท้อ
กับอุปสรรค์มากมาย...ที่เฝ้ารอ
เพราะอะไรคงไม่สำคัญเท่า...
กับการที่เราต้องต่อสู้เพื่อความฝัน
เพื่อทำให้มันเป็นจริงให้ได้...
เพื่อเรา..
เพื่อใคร...บางคนข้างหลังที่คอยชื่นชม
ข้าพเจ้าชื่อนางสาวจุฬาลักษณ์ ศรีเฉลิม อายุ 18 ปี เกิดเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2534 เป็นคนจังหวัดร้อยเอ็ด อยู่บ้านเลขที่ 1 หมู่ 2 บ้านคำพระ ต.นานวล อ.พนมไพร จ.ร้อยเอ็ด ครอบครัวของข้าพเจ้ามีด้วยกันทั้งหมด 4 คน มีพ่อ แม่ พี่ชายและตัวข้าพเจ้า ตั้งแต่ที่ข้าพเจ้าจำความได้ครอบครัวของข้าพเจ้าไม่เคยอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันเลย แม่เล่าให้ฟังว่าตอนที่ข้าพเจ้ายังเป็นเด็กตั้งแต่คลานจนถึงอนุบาลแม่จะฝากข้าพเจ้ากับพี่ชายไว้ให้ยายเลี้ยงทุกครั้งที่พ่อกับแม่ไปทำงานแต่ตอนนี้ยายข้าพเจ้าได้เสียชีวิตไปแล้วเมื่อเดือนกันยายนในปีที่ผ่านมานี้เอง ตั้งแต่เด็กชีวิตของข้าพเจ้ามีความสุขมากที่ได้อยู่กับครอบครัวแต่ก็น่าเสียดายที่ข้าพเจ้าจำหน้าของพี่ชายแทบไม่ได้ ได้แต่มองดูรูปใบเก่าๆใบหนึ่งที่ข้าพเจ้ากับพี่ชายถ่ายคู่กันภาพในรูปนั้นข้าพเจ้าน่าจะอายุประมาณ 2 ขวบ ส่วนพี่ข้าพเจ้าน่าจะอายุประมาณ 7 ขวบ ข้าพเจ้าจำอะไรไม่ได้เลยเกี่ยวกับพี่รู้แต่ว่ามีพี่ชายแต่ไม่เคยเห็นหน้า แม่เล่าให้ฟังว่าเมื่อพี่อายุได้ 9 ปีก็ต้องย้ายไปเรียนอยู่กับป้าที่จังหวัดอุดร ตั้งแต่นั้นมาข้าพเจ้าก็โตมาโดยไม่มีพี่ชายมาตลอดนับตั้งแต่นั้นครอบครัวของเราก็ใช้ชีวิตอยู่แค่สามคนมาโดยตลอดนานๆครั้งที่พี่จะกลับมา ข้าพเจ้ากับพี่จะเขียนจดหมายติดต่อกันตลอดเวลาเพราะในช่วงนั้นครอบครัวของเราไม่มีโทรศัพท์ใช้และทุกครั้งที่ได้รับจดหมายข้าพเจ้าจะดีใจเหมือนได้รับรางวัลตอบแทนจากการเฝ้ารอ ขณะที่ข้าพเจ้าอยู่กับพ่อแม่นั้นตั้งแต่เด็กข้าพเจ้าก็จะทำงานบ้านช่วยแบ่งเบาภาระท่าน พ่อกับแม่ของข้าพเจ้ามีอาชีพเป็นชาวนา ว่างๆจากการทำนาแม่ก็จะทำขนมขายข้าพเจ้าก็จะช่วยแม่ทำและเดินไปขายตามบ้านแต่ละหลังส่วนพ่อก็จะทำงานเกี่ยวกับพวกก่อสร้างบ้างวันมีงานหนักพ่อก็ทำทั้งวันกว่าจะกลับบ้านมาก็มืด มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ข้าพเจ้าจำได้ขึ้นใจ ตอนนั้นข้าพเจ้าน่าจะอายุประมาณ 7-8 ขวบ ช่วงนั้นเด็กๆกำลังชอบเล่นถุงลมที่คล้ายๆลูกโป่งแต่มันจะเรียวยาวถ้าเป่าด้วยปากคงไม่ไหวแน่ วันนั้นข้าพเจ้าซื้อมาเล่นข้าพเจ้าจึงคิดเอาพัดลมมาเป่าให้ลมมันเข้าและตอนนั้นข้าพเจ้าอยู่คนเดียวแม่ทำขนมอยู่ข้างนอกบ้านข้าพเจ้าเลยเฉียบปลั๊กไฟแต่ปลั๊กมันหลวมข้าพเจ้าจึงใช้นิ้วกดเข้าไปลึกๆทำให้ไฟดูด ข้าพเจ้าถึงกับร้องไห้ขึ้นอย่างเสียงดังแม่รีบวิ่งมาหาข้าพเจ้าด้วยความรีบร้อนและตกใจทำให้แม่หกล้มต่อหน้าข้าพเจ้าอย่างแรงแต่แม่ก็ยังรีบลุกขึ้นมาด้วยความรีบเพื่อมาถอดปลั๊กไฟอีกตัวออกโดยไม่ห่วงว่าตัวเองเจ็บแค่ไหน ภาพในครั้งนั้นยังคงติดตาข้าพเจ้าอยู่เสมอคิดทีไรข้าพเจ้าถึงกับน้ำตาไหลคิดถึงแม่ทุกที นี้แหละที่เขาว่าความรักของแม่ยิ่งใหญ่เหนือสิ่งใดในโลก… พอข้าพเจ้าอายุได้ 11-12 ปี แม่ข้าพเจ้าก็ได้ขายของอยู่ที่ร้านค้ากองทุนของหมู่บ้านส่วนพ่อก็ได้เป็นผู้ใหญ่บ้านทำให้ข้าพเจ้าดีใจมากที่พ่อกับแม่ไม่ต้องทำงานหนักๆตากแดดอีกแล้ว ทุกครั้งที่ข้าพเจ้าเห็นพ่อกับแม่ทำงานหนักอยู่กลางแดดข้าพเจ้ายิ่งปวดใจและน้ำตาก็มักจะไหล
ออกมาทุกทีแต่ความดีใจก็อยู่ได้ไม่นานก็มีเรื่องทุกข์มาให้เพราะช่วงที่พ่อได้เป็นผู้ใหญ่บ้านพ่อจะติดเหล้ามากและทุกคืนพ่อก็จะเมากลับมาบ้านทุกวันบางครั้งข้าพเจ้ากับแม่ต้องไปตามกลับมาและทุกคืนพ่อกับแม่ก็จะทะเลาะกันหนักมากถึงขั้นจะตีกันข้าพเจ้าก็เหมือนกับกรรมการที่ต้องคอยวิ่งไปห้ามด้วยน้ำตาทุกครั้งจนกลายเป็นเรื่องปกติของชาวบ้านในระแวงนั้นแต่สำหรับข้าพเจ้าแล้วมันช่างโหดร้ายเหลือเกินและตั้งแต่นั้นมาข้าพเจ้าไม่ชอบเหล้าและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มาโดยตลอด บางครั้งข้าพเจ้าก็เห็นแม่แอบร้องไห้ข้าพเจ้าก็เข้าไปหาและได้แต่บอกแม่ว่าหยุดร้องเถอะแม่ตามประสาเด็กประถมศึกษาและทุกคืนข้าพเจ้าต้องนอนร้องไห้ทุกคืน ทุกๆเวลาตี 3 ข้าพเจ้าจะได้ยินเสียงอาบน้ำนั้นคือเสียงอาบน้ำของแม่ข้าพเจ้าเองเพราะแม่ต้องตื่นไปตลาดเพื่อซื้อของทั้งของสดและของชำเพื่อมาขายในตอนเช้าและเป็นอย่างนี้ทุกๆวันและในทุกเช้าของเด็กธรรมดาคนหนึ่งต้องคอยตื่นมาพร้อมพ่อตั้งแต่ตี 5 มานั่งนึ่งข้าวและทำกับข้าวจัดใส่ปิ่นโตเพื่อเตรียมไปโรงเรียนพอถึงตี 5 ครึ่งข้าพเจ้ากับพ่อจะข้ามถนนไปเปิดร้านจัดของรอแม่มา ร้านค้าจะอยู่ห่างจากบ้านประมาณ 4-5 เมตรและอยู่ฝั่งตรงข้ามบ้าน เมื่อแม่มาถึงข้าพเจ้าก็ช่วยแม่กับพ่อจัดของเพื่อเตรียมขาย พอถึงเวลา 6 โมงเช้าแม่ก็จะให้เงินไปโรงเรียนวันละ 2-5 บาทและที่เหลือข้าพเจ้าก็จะหยอดกระปุกจากนั้นข้าพเจ้าก็ไหว้พ่อแม่และรีบวิ่งข้ามถนนมาอาบน้ำแต่งตัวและกินข้าวเมื่อกินเสร็จก็เก็บถาดข้าวไว้ในตู้แล้วหยิบปิ่นโตคู่ใจไปเรียนพอเลิกเรียนมาก็ต้องมาทำงานบ้านให้เสร็จทุกครั้งก่อนที่จะไปเล่นเป็นอย่างนี้ทุกๆวัน ในช่วงชีวิตเด็กประถมศึกษาเป็นช่วงที่ข้าพเจ้าภูมิใจที่สุดเพราะว่าได้เป็นหัวหน้าห้องตั้งแต่ ป.3-ป.6และนอกจากนี้ยังได้เป็นตัวแทนในการเข้าประกวดแข่งขันต่างๆเช่น วาดภาพ เรียงความ ตอบปัญหา แต่ก็ไม่เคยได้รับรางวัลสักอย่างข้าพเจ้าก็อดยิ้มไม่ได้เมื่อนึกถึงสมัยนั้นแต่มีอยู่อย่างหนึ่งที่ข้าพเจ้าได้รางวัลและเป็นตัวแทนระดับตำบลเข้าไปแข่งในระดับอำเภอก็คือกีฬาวิ่งผลัดนั้นเอง ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ข้าพเจ้าภูมิใจและมีความสุขมากเพราะข้าพเจ้าสนุกกับมันสนุกกับการที่ได้ไปแข่งขันในที่ต่างๆ และมีอยู่ครั้งหนึ่งตอนนั้นข้าพเจ้าจำได้ว่าเป็นวันแม่พอเลิกเรียนเสร็จข้าพเจ้ารีบทำงานบ้านทันทีจากนั้นข้าพเจ้าจับจักรยานได้ก็รีบปั่นไปที่โรงเรียนเพื่อเก็บดอกเข็มมาร้อยเป็นพวงมาลัยให้แม่กับพ่อจากนั้นข้าพเจ้าก็กลับบ้านมานั่งร้อยพวงมาลัยอยู่บ้านจนดึกกว่าจะร้อยได้วันนั้นข้าพเจ้าจึงไม่ได้ไปเก็บของปิดร้านช่วยพ่อกับแม่พอพ่อกับแม่มาข้าพเจ้าก็บอกให้พ่อกับแม่นั่งลงจากนั้นข้าพเจ้าก็ก้มกราบที่ตักของแม่และพ่อพร้อมยื่นพวงมาลัยให้ความรู้สึกในช่วงนั้นข้าพเจ้ารู้สึกมีความสุขมาก
เวลาช่างผ่านไปเร็วเสียจริง เมื่อข้าพเจ้าจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 แม่ก็ให้ย้ายไปอยู่กับตายายที่จังหวัดศรีสะเกษเพื่อดูแลท่าน จากนั้นข้าพเจ้าก็ได้ย้ายไปอยู่กับตายายและเรียนต่อมัธยมศึกษาปีที่ 1 อยู่ที่นั้น วันแรกที่จากบ้านมาข้าพเจ้ารู้สึกใจหายและรู้สึกกลัวมากแต่พอได้อยู่สักพักข้าพเจ้าก็เริ่มหายกลัวเพราะตากับยายและญาติที่นั้นใจดีมากทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกอบอุ่นเหมือนกับบ้านตัวเองแต่ถึงอย่างไรข้าพเจ้าก็อดคิดถึงบ้านไม่ได้ทุกคืนข้าพเจ้าจะนอนร้องไห้ทุกครั้ง จนเวลาผ่านไปข้าพเจ้าก็เริ่มที่จะชินกับที่นั้นและปรับตัวได้เป็นอย่างดีทำให้ข้าพเจ้าไม่ค่อยร้องไห้บ่อยเหมือนแต่ก่อนและบ่อยครั้งที่พ่อกับแม่จะมาหาข้าพเจ้าทำไห้ข้าพเจ้ารู้สึกว่าท่านอยู่ใกล้ๆตลอดเวลาและทุกวันพ่อกับวันแม่ พ่อกับแม่จะลงมากราบตายายทุกปีจึงทำให้ข้าพเจ้ามีโอกาสได้กราบท่านด้วยวันนั้นข้าพเจ้าจำได้ขึ้นใจตอนนั้นข้าพเจ้าอยู่ ม.2 ข้าพเจ้าได้กราบที่เท้าแม่เป็นครั้งแรกข้าพเจ้ารู้สึกมีความสุขจนบอกไม่ถูกส่วนพ่อข้าพเจ้าก็ได้แต่ไหว้ไม่กล้าที่จะกราบเท้า ข้าพเจ้าคิดว่าในชีวิตนี้ข้าพเจ้าต้องกราบเท้าพ่อให้ได้ถึงจะกราบเท้าไม่ได้ก็ไม่สำคัญเพราะที่สำคัญคือการกระทำเราต่างหากที่จะไม่ทำให้ท่านต้องเสียใจและเป็นลูกที่ดีของท่านข้าพเจ้าคิดไว้เสมอ คิดแล้วข้าพเจ้าก็เกือบลืมช่วงที่ข้าพเจ้าเรียนอยู่ที่นั้นก็มีสิ่งที่ทำให้ข้าพเจ้าภูมิใจคือ ข้าพเจ้าได้รับรางวัลและเกียรติบัตรลูกกตัญญูดีเด่นโดยมีพระอาจารย์มามอบให้และไม่น่าภูมิใจที่สุดข้าพเจ้าก็เกือบตายอีกเช่นเคยชีวิตหนอชีวิตรอดมาเป็นคนได้จนถึงปัจจุบันนับเป็นบุญวาสนา…วันนั้นข้าพเจ้ามีเรียนวิชาพละอาจารย์สอนเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของร่างกาย จึงเป็นเหตุทำให้ข้าพเจ้าแขนหักเพราะลงผิดจังหวะ ข้าพเจ้าเห็นแขนตัวเองครั้งแรกนึกว่าไม่ใช่แขนยังกับไม้เสียบลูกชิ้นที่โดนหักไม่เป็นรูปเป็นร่างเอาเสียเลยข้าพเจ้าแทบจะเป็นลมได้แต่ยืนตกใจกับแขนตัวเองจากนั้นอาจารย์ก็พาไปโรงพยาบาลช่วงแรกมันไม่รู้สึกอะไรเลยแต่พอสักพักก็เริ่มรู้สึกปวดทันทีปวดจนหายใจไม่ออกทรมานสุดๆกว่าจะถึงโรงพยาบาล ข้าพเจ้าแทบกลั้นน้ำตาไม่อยู่แขนหักในครั้งนั้นทำให้ข้าพเจ้าเข้าเฝือกเกือบ 2 เดือนและมีอยู่ช่วงหนึ่งที่ทำให้ข้าพเจ้าเก็บไว้ในความทรงจำตลอดเพราะมันเป็นช่วงที่ข้าพเจ้าชอบก็คือการไปเข้าค่ายลูกเสือและทุกครั้งที่ข้าพเจ้ารู้ว่าจะได้เข้าค่ายข้าพเจ้าจะดีใจทุกครั้งเพราะข้าพเจ้าชอบการฝึกและการผจญภัยตอนนั้นได้ไปเข้าที่ค่ายทหารจังหวัดยโสธรยิ่งทำให้สนุกมากยิ่งขึ้นเพราะเป็นการฝึกของทหารข้าพเจ้านึกถึงตอนนั้นก็ทำให้อดคิดถึงไม่ได้… ในแต่ละครั้งเวลาก็มักจะล่วงเลยผ่านไป บางครั้งเราก็รู้สึกว่าเวลาทำไมช้าจัง บางก็ว่าเร็วจริงแล้วเวลามันก็เท่าเดิม วันหนึ่งมี 24 ชั่วโมงเท่าๆกันแต่ถึงอย่างไรข้าพเจ้าก็รู้สึกว่ามันเร็วต่อให้มันเป็นแค่ความรู้สึกก็ตาม…ขณะที่ข้าพเจ้าอยู่กับตายายก็มีความสุขแล้วและที่โรงเรียนข้าพเจ้าก็มีเพื่อนสนิทอยู่มากมายข้าพเจ้าสนุกกับที่
นั้นแต่แล้วความสุขก็อยู่ได้ไม่นานเมื่อข้าพเจ้าต้องย้ายไปอยู่ที่จังหวัดอุดรกับป้าและมาต่อมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่นั้นนับตั้งแต่นั้นมาข้าพเจ้าก็เรียนอยู่ที่จังหวัดอุดรจนจบมัธยมศึกษาปีที่ 6 ครั้งแรกที่ข้าพเจ้าย้ายไปอยู่ข้าพเจ้ารู้สึกตื่นเต้นมากไม่กลัวเหมือนแต่ก่อนนานๆครั้งที่ข้าพเจ้าจะร้องไห้คิดถึงพ่อแม่เพราะอยู่ที่นั้นมีที่เที่ยวเยอะมากทำให้ข้าพเจ้ารู้อะไรอีกมากมายส่วนพี่ชายของข้าพเจ้าก็จบจากอุดรแล้วก็ไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยมหิดลทำให้ป้าไม่มีเพื่อน วันแรกที่ข้าพเจ้าย้ายเข้าไปเรียนข้าพเจ้ารู้สึกตื่นเต้นมากเพราะเป็นเด็กใหม่ของห้องกลัวจะไม่มีเพื่อนที่ไหนได้เด็กในเมืองมีแต่คนใจดีและน่ารักทั้งนั้นทำให้วันแรกของการเข้าเรียนเป็นไปอย่างราบรื่น พอข้าพเจ้าเรียนได้สักพักข้าพเจ้าก็เริ่มปรับตัวเข้ากับเพื่อนๆได้เกือบทั้งห้องส่วนอยู่ที่บ้านข้าพเจ้าก็ยังกลัวๆอยู่เพราะป้าเป็นครูสอนภาษาไทย ป้าของข้าพเจ้าโหดมากๆเวลาข้าพเจ้าจะทำอะไรต้องระวังตลอดเวลาและทุกเลิกเรียนข้าพเจ้าก็ต้องมาทำงานบ้านให้เรียบร้อยก่อนออกไปไหนเพราะป้าข้าพเจ้าเป็นคนเจ้าระเบียบมากจนทำให้ข้าพเจ้าโดนดุว่าหลายชุดในช่วงแรกๆทำให้ช่วงนั้นข้าพเจ้ารู้สึกเก็บกดมากทุกครั้งที่ข้าพเจ้าโดนป้าดุข้าพเจ้าจะแอบไปร้องไห้ทุกทีและจะโทรหาพ่อกับแม่เสมอและเวลาก็ล่วงเลยผ่านไปทำให้ข้าพเจ้าปรับตัวเข้ากับที่บ้านได้และที่โรงเรียนส่วนทางบ้านนั้นนานๆครั้งที่ข้าพเจ้าจะได้กลับต้องรอกลับพร้อมป้าในช่วงเทศกาลหรือวันสำคัญและทุกๆวันพ่อวันแม่ข้าพเจ้าก็จะโทรไปบอกรักพวกท่าน มีหลายอย่างที่ทำให้ข้าพเจ้ามีความสุขเมื่อนึกถึงไม่ว่าจะการได้ไปเที่ยวในที่ต่างๆที่ป้าพาไปไม่ว่าจะเป็นภูฝอยลม หอนางอุษา วัดหลายๆที่ ฯลฯ ข้าพเจ้าชอบธรรมชาติชอบภูเขา น้ำตก ป่าไม้ ดอกไม้ แม่น้ำทุกอย่างที่เป็นธรรมชาติในที่เงียบๆมีแต่เสียงของนกถ้าจะให้เลือกไปไหนสักแห่งข้าพเจ้าขอเลือกไปที่ที่มีสิ่งเหล่านี้และสิ่งเหล่านี้ก็จะอยู่ในความทรงจำของข้าพเจ้าตลอดไปเมื่อข้าพเจ้าได้พบเห็นทุกครั้ง ในขณะที่โรงเรียนนั้นข้าพเจ้าก็มีเพื่อนมากมายไม่ว่าจะเป็นทั้งรุ่นพี่รุ่นน้อง ข้าพเจ้ามีเพื่อนที่สนิทจริงๆมีอยู่สามคนที่ไปไหนไปกันคิดแล้วก็คิดถึงสมัยตอนอยู่มัธยมศึกษาตอนปลายที่วันๆมีแต่เล่นๆเรียนๆยิ่งนับวันข้าพเจ้ายิ่งนับถอยหลังเมื่ออยู่ในช่วง ม.6 เป็นช่วงที่ข้าพเจ้าจะเก็บทุกเรื่องราวเก็บไว้เป็นความทรงจำไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวของเพื่อนๆเรื่องของอาจารย์ ห้องเรียน โรงอาหาร ทุกที่ที่เป็นโรงเรียนข้าพเจ้าจะจดจำไว้ตลอด ในที่สุดวันที่ข้าพเจ้าๆไม่อยากให้เกิดมันก็เกิดขึ้นเมื่อทุกคนจบจากโรงเรียนแล้วต่างคนก็ต่างจากไปทำหน้าที่ของตัวเองวันแห่งการอำลาเป็นวันที่ข้าพเจ้าจดจำไว้ตลอดเวลาภาพที่ทุกคนยิ้มด้วยความดีใจที่จบแล้วและภาพที่ทุกคนกอดคอกันร้องไห้…ส่วนตัวข้าพเจ้าปัจจุบันก็ได้ศึกษาต่อชั้นปีที่ 1 สาขาจิตวิทยา มหาวิทยาลัยมหาสารคามและนับจากนั้นข้าพเจ้าต้องปรับตัวให้ได้กับการใช้ชีวิตในรั้ว
มหาวิทยาลัยครั้งแรกที่ข้าพเจ้าอยู่ก็รู้สึกตื่นเต้นกับการได้ใช้ชีวิตและไม่ชินกับการได้อาศัยอยู่กับเพื่อนหลายๆคนจนในบางครั้งข้าพเจ้าอยากกลับบ้านแต่พอนานไปอะไรๆก็ดีขึ้นข้าพเจ้าเริ่มชินกับการอยู่กับเพื่อนส่วนที่มหาวิทยาลัยข้าพเจ้าก็ปรับตัวได้เช่นเดียวกันไม่ว่าจะเป็นเรื่องเพื่อน การเดินทางไปเรียน เวลาเรียนที่ไม่สม่ำเสมอเหมือนตอนเรียนมัธยมฯยิ่งเวลาผ่านไปก็ทำให้ข้าพเจ้าได้รู้อะไรหลายๆอย่างเกี่ยวกับชีวิต ในบางครั้งข้าพเจ้าก็เคยคิดว่ายิ่งเราไปอยู่ที่แห่งหนใดเราย่อมมีเพื่อนก็เหมือนกับทุกคนในโลกนี้เป็นเพื่อนกันอยู่แล้วแต่จะมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับโอกาสและปัจจัยในด้านต่างๆนั้นเองและบางครั้งข้าพเจ้าก็เคยคิดว่าเมื่อไหร่ที่ข้าพเจ้าจะได้อยู่ดูแลพ่อแม่เต็มที่เสียทีมีแต่ย้ายไปไหนต่อไหนแต่คิดในทางกลับกันการที่ข้าพเจ้าได้ย้ายไปไหนที่ต่างๆก็ทำให้ข้าพเจ้าได้รู้อะไรหลายๆอย่างเช่นเดียวกันแต่ถึงข้าพเจ้าจะไม่ได้ดูแลท่านได้เต็มที่แต่มีสิ่งหนึ่งที่ข้าพเจ้าจะทำให้ท่านได้คือตั้งใจเรียนและไม่ทำให้ท่านต้องเสียใจนี้คือสิ่งที่ข้าพเจ้าคิดตลอดเวลาที่ข้าพเจ้าจากพวกท่านมาและช่วงไหนว่างๆข้าพเจ้าก็จะกลับบ้านข้าพเจ้าเคยคิดว่าชีวิตคนเราก็เหมือนกับการผจญภัยที่ต้องผ่านเรื่องราวต่างๆทั้งร้ายและดีแต่ถึงอย่างไรเราก็ต้องมีชีวิตอยู่เพื่อคนที่เรารัก…และทุกเรื่องราวที่ผ่านมาต่อให้มันจะเหลือเพียงแค่ความทรงจำแต่ข้าพเจ้าก็จะเก็บไว้ในความทรงจำไว้ตลอดเวลาไม่เคยลืม…
สวัสดีค่ะ ฉันชื่อนางสาวอนุชิดา คำสวัสดิ์ เพื่อนๆเรียกฉันว่า อาย(อยู่หรอ) ซึ่งเป็นชื่อที่พ่อแม่ของฉันตั้งให้ ฉันเกิดวันที่ 28 เมษายน 2534 ตอนนี้อายุ18ปีกับอีก9เดือน ฉันเป็นลูกคนเดียว ที่พ่อกับแม่รักและเลี้ยงดีมาก...........ฉันไม่ค่อยเอาแต่ใจเหมือนลูกคนเดียวทั่วไปนะ แต่กับพ่อก็มีบ้างกับแม่ไม่กล้า บางทีการที่เป็นลูกคนเดียวมันก็ดีนะเราได้รับความรักเพียงคนเดียว แต่บางครั้ง็เหงาไม่มีเพื่อนไม่มีใครมาเล่นด้วยแต่มันก็ไม่ใช่ปัญหาของฉันหรอกเพราะถ้าเหงาฉันก้อจะไปอยู่บ้านป้าซึ่งมีเพื่อนเยอะแยะเลย(พี่สาว2คนน้องชายอีก1) การที่ฉันเป็นลูกคนเดียวมันมีนิสัยนึงที่ติดตัวฉันมาตลอดคือฉันจะไม่ชอบให้ของที่เป็นของฉันกับคนอื่น ไม่ว่าจะเป็นของเพียงชิ้นเล็กๆ เช่นพวก ปากกา ดินสอ ฉันก้อไม่อยากให้คนอื่นไป พูดง่ายๆคือฉันเป็นคนที่หวงของ(แต่ก็ไม่เสมอไปนะ) และไม่ชอบให้ใครมายุ่งกับของที่ฉันสะสมไว้ ถึงแม้ฉันจะไม่ได้ใช้มันแล้วก็ตาม แต่ฉันก็ไม่อยากให้ใครใช้ เห็นคนอื่นใช้แล้วมันเคืองๆ(นิสัยไม่ดีเน๊อะ) คงเป็นเพราะว่าตั้งแต่ตอนเป็นเด็กๆแล้วฉันไม่เคยที่จะต้องแบ่งของให้ใคร เพราะเป็นลูกคนเดียว ฉันชอบมีเพื่อนเยอะๆนะเพราะมันสนุกดี
การเรียนของฉันเหรอ...............ฉันเข้าเรียนอนุบาล1-ป.2 ที่โรงเรียนอนุบาลวันทา ที่กรุงเทพฯ ซึ่งต้องไปอยู่กับพ่อกับแม่ที่นั่นเลยได้เรียนที่นั่นชีวิตตอนนั้นจำได้ว่ามีความสุขมากๆเพราะยังเด็กอยู่ไม่มีอะไรให้คิด ได้ไปโรงเรียนเล่นกับเพื่อนๆตอนเช้า รถตู้ของโรงเรียนก็มารับ ตอนเย็นก้อมาส่ง และก็ไปเดินล่นกับแม่ซื้อของ มีครั้งนึงตอนอยู่อนุบาล3ฉันเคยโดนเพื่อนผู้ชายคนนึงแกล้ง วันนั้นเป็นวันที่ฝนตก รถก้อมาจอดถึงหน้าโรงเรียนคุณครูก็ให้นักเรียนเรียงแถวลงกันทีละคน พอตอนที่ฉันกำลังจะลงจากรถไอ้เด็กคนนั้นมันก็ผลักฉันจนตกรถลงไปกองกับพื้นที่มีน้ำขังอยู่เปื้อนไปหมดทั้งตัว ปากก็แตก เข่าก็ถลอก เจ็บมากๆเลยแต่ฉันไม่ร้องไห้ แต่แอบเจ็บใจนิดๆคุณครูก็พาไปเปลี่ยนชุดแล้วเอาชุดนักรียนไปซักให้ พอตอนเย็นกลลับไปเห็นหน้าแม่พอแม่ถามว่าทำไมถึงได้ใส่ชุดแบบนี้ฉันก็ร้องให้ใหญ่เพราะกลัวแม่จะด่าว่าโง่ที่ไปทำยังไงให้เขาผลัก เหตุการณ์นั้นฉันยังจำได้จนถึงทุกวันนี้เลย พอตอนจะขึ้นป.3ฉันก้อต้องย้ายกลับมาเรียนโรงเรียนที่บ้าน ตอนนั้นฉันถือว่าเป็นคนที่เรียนใช้ได้เลยที่เดียวล่ะแต่ขี้เกียจที่จะทำการบ้าน พอเริ่มชินกับสถานที่โตขึ้นมาหน่อย ก็ไปรงเรียนสาย ขี้เกียจเข้าเรียน บางครั้งก็หาข้ออ้างไม่เข้า
เรียน คือจะไปช่วยครูทำนู่นทำนี่อยู่ตลอดเลย แต่ฉันก้อสอบได้อันดับติดหนึ่งในสามตลอดเลยนะ พอมาถึงป.6ฉันก้อลงสมัครเป็นประธานนักเรียน มีขู่แข่งเป็นผู้ชายคนนึงซึ่งไม่ค่อยถูกกันอยู่แล้ว แต่เค้าก็ชนะฉันไปในที่สุด ด้วยการที่เขาขี้เกียจทำงานที่ครูสั่งหน้าที่ส่วนใหญ่จึงมาตกอยู่ที่ฉัน พอเรียนจบชั้นประถมศึกษา ฉันก็ต้องเตรียมตัวสอบเข้าม.1 ตื่นเต้นมาก เพราะต้องแข่งกับคนอีกตั้งมากมายและในที่สุดฉันก็สอบเข้าเรียนโรงเรียนประจำจังหวัดได้ นั่นคือ โรงเรียนกาฬสินธุ์พิทยาสรรพ์ ฉันสอบได้ที่113เขารับ120คนจากเด็กที่ตกจากการจับสลาก700คน พอมาสอบจัดห้องฉันไดอยู่ห้อง11มีทั้งหมด12ห้อง อิอิ............
ชีวิตตอนม.1ก็เรียบๆง่ายๆ ตื่นเช้ามาก็ไปเรียนพอเลิกเรียนก็กลับบ้านไม่ค่อยรู้จักใคร พอขึ้นม.2-ม.3 ก็ปีกกล้าขาแข็ง รู้จักคนนู้นคนนี้ รู้จั เพื่อนชวนไปไหนกไปเที่ยวกับเพื่อน ตอนอยู่ม.3 มารู้สึกว่าตัวเองติดเพื่อนมากๆกลับบ้านก็ไมตรงเวลาเพื่อนชวนไปไหนก็ไป โกหกแม่บ้างเป็นบางเวลา เพื่อนของฉันตอนมอต้น มีแต่คนที่แบบว่า แรง กันทั้งนั้นเลย
แต่พอขึ้นมอปลายมา ฉันเลือกเรียนในสายวิทย์-คณิต สอบจัดห้องได้อยู่ห้อง5 ซึ่งมีแต่คนที่เรียนเก่งกันทั้งนั้นต่างจากตอนมอต้นมากเลย ฉันได้เจอเพื่อนใหม่ที่ดีมากๆไม่ใช่เด็กที่เรียนมากเกินไป เรียนก็ดีและชอบทำกิจกรรมด้วย เพื่อนจะคอยช่วยดึงฉันในด้านการเรียนตลอดผลการเรียนของฉันจึงค่อนข้างใช้ได้ ตอนแรกๆฉันมีเพื่อนสนิทอยู่ไม่กี่คน แต่พออยู่ไปนานๆเริ่มได้คุยกันและไปใหนมาใหนด้วยกันบ่อยขึ้น จึงทำให้ฉันมีเพื่อนที่สนิทกันมากๆ สนิทจริงๆถึง11คนด้วยกัน มีเรื่องอะไรคุยกันได้ทุกเรื่องจนถึงตอนนี้เราก้อยังนัดเจอกันอยู่บ่อยๆ ตอนฉันอยาม.5 ฉันเข้ามาอยู่หอพักมันเป็นบ้านของอาจารย์ ที่เป็นทั้งหอและโรงเรียงกวดวิชา อยู่ด้วยกันห้องนึงประมาณ 20 คน พอถึงเวาลา2ทุ่ม ทุกคนก็ต้องออกมาอ่านหนังสือรวมกัน โดยมีอาจารย์มานั่งคุมจนถึงเที่ยงคืน และห้ามนอนเกินตี2 มันเหมือนโรงเรียนประจำ แต่ก็สนุกดี ได้รู้จักกับเพ่อนต่างโรงเรียนเยอะแยะเลย ช่วงม.6 เป็นอะไรที่เครียดมากเลย เพราะต้องเตรียมตัวสอบเข้ามหาลัย ซึ่งต้องอ่านหนังสือเยอะมากๆช่วงนั้นฉันไม่ได้ลงสอบโควตาของมหาลันใหนเลย นอกจากม.ขอนแก่น ฉันลงคณะสัตวแพทย์ แต่ก็ไม่ได้ ร้องไห้หนักมากเลยตอนนั้น เพราะอยากเรียนมาก ชอบมากเป็นคววามใฝ่ฝันตั้งต่เด็กๆ พอถึงช่วงคะแนนแอดมิทชั่นออก ฉันก็ต้องตัดใจจากคณะนี้เพราะคะแนนไม่ถึง จึงเลือกลงในสาขาอื่น ฉันติดอันดับที่4 สาขาจิตวิยา ฉันก็ชอบเหมือนกันนะน่าสนใจดี
ชีวิตในรั้วมหาลัยของฉันน่ะหรอ สนุกสุดๆไปเลย ฉันได้ทำกิจกรรมเยอะแยะมากมายได้เรียนในวิชาที่แปลกใหม่ ตอนนี้ฉันมีความสุขมากๆเล๊ย..............
นางสาวชนากานต์ ยานุวงษ์ รหัส 521521003 คณะศึกษาศาสตร์ สาขา จิตวิทยา
ประวัติส่วนตัว
ดิฉันชื่อ นางสาวชนากานต์ ยานุวงษ์ ชื่อเล่น ก้อย ประวัติการศึกษา อนุบาลหนึ่ง-สามศึกษาที่อนุบาลหลานย่าโม จังหวัดนครราชสีมา ชั้นประถมปีที่หนึ่ง -หก โรงเรียนเมืองนคราชสีมา จังหวัด นคราชสีมา ชั้นมัธยมศึกษาปีหนึ่ง -หก โรงเรียนเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระศรีนครินทร์ ร้อยเอ็ด ปัจจุบันอายุ สิบเก้าปี กำลังศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม คณะศึกษาศาสตร์ สาขา จิตวิทยา ที่อยู่ บ้านเลขที่ 110/20 ตำบล โพธิ์สัย อำเภอ ศรีสมเด็จ จังหวัด ร้อยเอ็ด บิดาชื่อ สิบเอกสิทธิพงษ์ ยานุวงษ์ อาชีพ รับราชการที่ค่ายสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช จังหวัดร้อยเอ็ด มารดาชื่อ นางรัชนีวรรณ ยานุวงษ์ อาชีพ แม่บ้าน ดิฉันเป็นคนร่าเริง สนุกสนาน สบายๆ ชอบ สีชมพูมากที่สุด ดิฉันเป็นลูกคนเดียว ด้วยความที่เป็นลูกคนเดียว ก็จะเอาแต่ใจบ้าง นิดหน่อย ในประวัติส่วนตัวนี้ ก็มีความรู้สึกเก่าๆที่เคยได้เจอ ได้ประสบมา ดิฉันชอบการไปเข้าค่ายในที่ต่างๆ เช่น การเข้าค่ายพักแรมของค่ายทหาร ที่มีทหารมาฝึกฝนให้เรามีความอดทน สามัคคีกัน มีกระโดดหอสูง แต่อันนี้ ตั้งแต่เข้ามาค่ายไม่เคยกระโดด มีเหตุผลเดียวก็ คือ กลัว แต่เห็นคนอื่นกระโดดก็สนุกแล้ว การเข้าค่ายธรรมะ ตามวัดๆต่าง การเข้าค่ายแบบนี้ ก็มีความสุขอีกอย่างหนึ่ง เงียบ สงบ ได้ฝึกให้เราทำจิตใจให้สงบ ฝึกธรรมะ ได้ความรู้เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา หลักธรรมคำสั่งสอนต่างๆ การนั่งสมาธิ การเดินจงกรม หรืออื่นๆ ช่วยให้เรามีจิตใจที่นิ่งขึ้น ก็สนุกไปอีกแบบหนึ่ง แต่การไปเข้าค่ายในที่ต่างๆ ก็จะมีประทับใจบ้าง หรือน่าเบื่อไป ที่ประทับที่สุด ก็คือ ตอนอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่หก โรงเรียนนครราชสีมา พาไปเข้าค่ายที่ค่ายยุวกาชาดและลูกเสือ ใกล้ๆ เขื่อนลำตะคอง เดินทางไปก็นั่งรถไฟที่ สถานีรถไฟจิระ สถานีรถไฟของนคราชสีมา เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เคยได้ขึ้นรถไฟ บรรยากาศของเขื่อนลำตะคองสุดๆๆสวยๆๆมากมาย โอบล้อมไปด้วยภูเขา เขียวๆๆ น้ำใสๆ พอถึงที่พัก มองไปรอบๆมีแต่ภูเขา ดิฉันก็จัดแจงหาที่นอน วางกระเป๋า แล้วครูฝึกก็เรียกรวม เพื่อนัดหมายกำหนดการในการเข้าค่าย บอกกฎระเบียบ ข้อบังคับต่างๆในการเข้าค่ายครั้งนี้ อาหารที่ค่ายนี้ ก็น่ากินสะเหลือเกิน นั่งรถมาเหนื่อย ก็เลยกินหมดจานเลยทีเดียว หลังจานกินข้าวเสร็จ ครูฝึกก็เรียกรวมกันอีกครั้ง เพื่อทำกิจกรรมในช่วงเช้า นั่นก็คือ การทดลองตาม ฐานฝึกต่างๆ เช่น กระโดดหอสูง การหาเข็มทิศ การตามหาสิ่งของต่างๆที่ครูได้ซ่อนไว้ ทำให้เราได้ฝึกความสามัคคีกับเพื่อน ตกเย็นมา ก็เป็นกิจกรรม วิ่งรอบกองไฟ กิจกรรมนี้ ดิฉันก็ได้มีส่วนตัวในการ เป็นตัวแสดง ในการแสดงละคร เราซ้อมกันมาแค่วันเดียว ก็มีผิดพลาดบ้าง แต่ผ่านพ้นไปด้วยดี และก็มีอีกหลายกิจกรรมการเข้าค่ายที่ประทับใจ ดิฉันก็จะเขียนบรรยายในที่ต่างๆที่เคยได้ไปมา
นางสาวชนากานต์ ยานุวงษ์ รหัส 521521003 คณะศึกษาศาสตร์ สาขา จิตวิทยา
ประวัติส่วนตัว
ดิฉันชื่อ นางสาวชนากานต์ ยานุวงษ์ ชื่อเล่น ก้อย ประวัติการศึกษา อนุบาลหนึ่ง-สามศึกษาที่อนุบาลหลานย่าโม จังหวัดนครราชสีมา ชั้นประถมปีที่หนึ่ง -หก โรงเรียนเมืองนคราชสีมา จังหวัด นคราชสีมา ชั้นมัธยมศึกษาปีหนึ่ง -หก โรงเรียนเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระศรีนครินทร์ ร้อยเอ็ด ปัจจุบันอายุ สิบเก้าปี กำลังศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม คณะศึกษาศาสตร์ สาขา จิตวิทยา ที่อยู่ บ้านเลขที่ 110/20 ตำบล โพธิ์สัย อำเภอ ศรีสมเด็จ จังหวัด ร้อยเอ็ด บิดาชื่อ สิบเอกสิทธิพงษ์ ยานุวงษ์ อาชีพ รับราชการที่ค่ายสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช จังหวัดร้อยเอ็ด มารดาชื่อ นางรัชนีวรรณ ยานุวงษ์ อาชีพ แม่บ้าน ดิฉันเป็นคนร่าเริง สนุกสนาน สบายๆ ชอบ สีชมพูมากที่สุด ดิฉันเป็นลูกคนเดียว ด้วยความที่เป็นลูกคนเดียว ก็จะเอาแต่ใจบ้าง นิดหน่อย ในประวัติส่วนตัวนี้ ก็มีความรู้สึกเก่าๆที่เคยได้เจอ ได้ประสบมา ดิฉันชอบการไปเข้าค่ายในที่ต่างๆ เช่น การเข้าค่ายพักแรมของค่ายทหาร ที่มีทหารมาฝึกฝนให้เรามีความอดทน สามัคคีกัน มีกระโดดหอสูง แต่อันนี้ ตั้งแต่เข้ามาค่ายไม่เคยกระโดด มีเหตุผลเดียวก็ คือ กลัว แต่เห็นคนอื่นกระโดดก็สนุกแล้ว การเข้าค่ายธรรมะ ตามวัดๆต่าง การเข้าค่ายแบบนี้ ก็มีความสุขอีกอย่างหนึ่ง เงียบ สงบ ได้ฝึกให้เราทำจิตใจให้สงบ ฝึกธรรมะ ได้ความรู้เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา หลักธรรมคำสั่งสอนต่างๆ การนั่งสมาธิ การเดินจงกรม หรืออื่นๆ ช่วยให้เรามีจิตใจที่นิ่งขึ้น ก็สนุกไปอีกแบบหนึ่ง แต่การไปเข้าค่ายในที่ต่างๆ ก็จะมีประทับใจบ้าง หรือน่าเบื่อไป ที่ประทับที่สุด ก็คือ ตอนอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่หก โรงเรียนนครราชสีมา พาไปเข้าค่ายที่ค่ายยุวกาชาดและลูกเสือ ใกล้ๆ เขื่อนลำตะคอง เดินทางไปก็นั่งรถไฟที่ สถานีรถไฟจิระ สถานีรถไฟของนคราชสีมา เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เคยได้ขึ้นรถไฟ บรรยากาศของเขื่อนลำตะคองสุดๆๆสวยๆๆมากมาย โอบล้อมไปด้วยภูเขา เขียวๆๆ น้ำใสๆ พอถึงที่พัก มองไปรอบๆมีแต่ภูเขา ดิฉันก็จัดแจงหาที่นอน วางกระเป๋า แล้วครูฝึกก็เรียกรวม เพื่อนัดหมายกำหนดการในการเข้าค่าย บอกกฎระเบียบ ข้อบังคับต่างๆในการเข้าค่ายครั้งนี้ อาหารที่ค่ายนี้ ก็น่ากินสะเหลือเกิน นั่งรถมาเหนื่อย ก็เลยกินหมดจานเลยทีเดียว หลังจานกินข้าวเสร็จ ครูฝึกก็เรียกรวมกันอีกครั้ง เพื่อทำกิจกรรมในช่วงเช้า นั่นก็คือ การทดลองตาม ฐานฝึกต่างๆ เช่น กระโดดหอสูง การหาเข็มทิศ การตามหาสิ่งของต่างๆที่ครูได้ซ่อนไว้ ทำให้เราได้ฝึกความสามัคคีกับเพื่อน ตกเย็นมา ก็เป็นกิจกรรม วิ่งรอบกองไฟ กิจกรรมนี้ ดิฉันก็ได้มีส่วนตัวในการ เป็นตัวแสดง ในการแสดงละคร เราซ้อมกันมาแค่วันเดียว ก็มีผิดพลาดบ้าง แต่ผ่านพ้นไปด้วยดี และก็มีอีกหลายกิจกรรมการเข้าค่ายที่ประทับใจ ดิฉันก็จะเขียนบรรยายในที่ต่างๆที่เคยได้ไปมา
ย้อนอดีตเล่าวันวาน เรื่องราวของฉันเอง
เข้าค่ายโครงการอบรมปลูกต้นตะกูเฉลิมพระเกียรติ
การได้ไปเข้าค่ายโครงการอบรมปลูกต้นตะกูเฉลิมพระเกียรติ ที่นิคมสร้างตนเองห้วยหลวง ตำบลกุดจับ จังหวัดอุดรธานี เป็นความประทับใจอย่างมาก พอไปถึงที่นิคมสร้างตนเองห้วยหลวง ฝนก็กำลังตกพร่ำ ๆ เราก็ไปอบรมการเพาะปลูกกับหน่วยงาน ผู้ดูแล เกษตรกรและประชาชนทั่วไป ให้มีความรู้ความชำนาญในการเพาะปลูก ดูแลและขยายพันธ์ ซึ่งในการอบรมนั้นทางมูลนิธิได้เชิญผู้เชี่ยวชาญด้านพืชสวนป่าจาก มหาวิทยาลัยขอนแก่น มาบรรยายให้ความรู้และคำแนะนำในการปลูก รวมทั้งจัดให้มีผู้เชี่ยวชาญให้คำปรึกษา แนะนำด้านการเพาะปลูกด้วยและร่วมทำกิจกรรมต่างๆ ที่ทางค่ายได้จัดไว้ให้เราร่วนสนุกกัน และหลังจากนั้น วิทยากรก็ได้พาเราไปดูพันธุ์ไม้ต่างๆ ที่อยู่ในบริเวณนั้น
วันรุ่งขึ้นเราก็ได้เข้าไปปลูกต้นมหาเศรษฐี (ต้นตะกู) ซึ่งเป็นไม้ยืนต้นโตเร็ว ที่กรมป่าไม้ได้จัดพื้นที่ให้เราไว้ปลูก เราต้องขนต้นตะกูเข้าไปในพื้นที่ ที่เราปลูกเอง พวกเราปลูกป่ากันสนุกมาก และโรงเรียนของเรายังเป็นโรงเรียนที่ปลูกต้นตะกูได้เยอะที่สุดอีกด้วย
การที่เราเข้าโครงการในครั้งนี้เพื่อเป็นการลดความรุนแรงของปัญหาภาวะโลกร้อน โดยได้ส่งเสริมให้มีการปลูกป่าทุกชนิดให้มีการพัฒนา และขยายพันธ์ไม้ให้มีความเหมาะสมในการปลูกในแต่ละพื้นที่ ส่งเสริมให้มีการอนุรักษ์ดิน น้ำ และสิ่งแวดล้อม และยังเป็นการเชื่อมโยงให้องค์กรทั้งภาครัฐ-เอกชนและประชาชน ให้ร่วมกันลดภาวะโลกร้อนด้วยการปลูกต้นไม้
อยากจะบอกให้เพื่อนได้รู้ว่า "ต้นไม้" นั้นมีความสำคัญต่อประเทศเรามากเพราะต้นไม้ผลิตดอกออกผลเป็นอาหารแก่สัตว์และมนุษย์ การปลูกต้นไม้เป็นการทดแทน แผ่นดินที่เราได้เกิด และได้อยู่อาศัย ถึงแม้มันจะไม่มากมายนัก แต่ก็ยังดีกว่าเราไม่ได้ทำอะไรเลย
โครงการอบรมธรรมที่ศูนย์ปฏิบัติธรรมสวนเวฬุวัน จังหวัดขอนแก่น
ทางโรงเรียนได้จัดโครงการอบรมธรรมที่ศูนย์ปฏิบัติธรรมสวนเวฬุวัน จังหวัดขอนแก่น (สาขาของวัดอัมพวัน จังหวัดสิงห์บุรี ) ขณะนั้นข้าพเจ้ากำลังศึกษาในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โดยมีพระอาจารย์ไก่เป็นวิทยากรหลัก อบรมสั่งสอน ให้คำแนะนำ และดูแลการปฏิบัติธรรมของนักเรียน
การไปเข้าค่ายโครงการบรมธรรมที่ศูนย์ปฏิบัติธรรมสวนเวฬุวัน จังหวัดขอนแก่น เป็นความประทับใจอย่างหนึ่งที่มิอาจลืมเลือน เพราะ บรรยากาศรอบๆ วัดในยามเช้าจะสดชื่น เงียบสงบ ปราศจากสิ่งรบกวน
กิจกรรมที่ทางโรงเรียนจัดไว้คือต้องนุ่งขาวห่มขาว รักษา ศีล 8 ทำวัตรเช้า-เย็นและปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานตามหลักสติปัฏฐาน 4 เช่น นั่งสมาธิ เดินจงกรม นอนสมาธิ ทำความสะอาดบริเวณต่างๆในศูนย์ฯตามเวรที่ได้รับมอบหมายด้วยความสำรวมและมีสติกำหนดจิตเป็นกรรมฐานไปด้วย
ตักบาตรและฟังธรรมะจากท่านพระอาจารย์ พุฒินาท อมรธมโม (หลวงพี่ไก่)
เราก็ได้อะไรหลายอย่างจากหลวงพี่ไก่ ท่านบอกว่า การทำบุญ ประกอบด้วย 3 อย่าง คือ ให้ทานโดยการใส่บาตรถือเป็นการทำบุญขั้นต้น หากจะได้อานิสงส์มากกว่า ควรจะ รักษาศีล เพราะการรักษาศีล คือเราทำความดีจากการไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลัก ขโมย ไม่ประพฤติผิดในกาม ไม่พูดปด ไม่พูดส่อเสียด ยกย่องคนทำดี และไม่ดื่มสุรา ยาเสพติด และติดการพนัน แต่หากจะได้อานิสงส์สูงสุด คือ การปฏิบัติ ภาวนา หรือปฏิบัติกรรมฐาน การรักษาจิใจของตนเอง ด้วยการเฝ้ามองดูตนเอง จึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เพราะในแต่ละวัน เรามักจะต้องพบกับอะไรต่างๆมากระทบใจเราเสมอ
และอีกทั้งยังฟังธรรมะจากพระวิทยากร ซึ่งทันสมัยมาก มีคลิปวีดีโอที่น่าสนใจ และสะเทือนขวัญ เช่น คลิปล้อเลียนโฆษณาชวนคิด คลิปเรื่องกฎแห่งกรรม คลิปเรื่องอุบัติเหตุ คลิปเรื่องความไม่เที่ยงของสังขาร คลิปเรื่องการเกิดของมนุษย์ มีการให้นั่งสมาธิหลับตาฟังเรื่องพระคุณพ่อแม่ ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกซาบซึ้งมากๆ และนึกไปถึงสิ่งที่เคยทำผิดพลาดไป อยากปรับปรุงตัวเอง ไม่อยากทำให้ท่านต้องลำบากต้องเสียใจอีก
ที่สำคัญคือเราได้เจอเพื่อนใหม่ๆและการมีน้ำใจให้กัน การที่เราอยู่ในสังคมได้จะต้องรู้จักเอื้อเฟื้อเพื่อแผ่ มีน้ำใจต่อสังคม
หลังกลับจากการปฏิบัติธรรม รู้สึกได้ว่าตนเองมีวินัยในตนเองมากขึ้น มีความอดทนสูงขึ้น ดูสงบ สุขุม ใจเย็นขึ้น รู้สึกละอายชั่วกลัวบาปมากขึ้น จะพูดจะทำอะไรก็จะคิดให้ดีขึ้น โดยเฉพาะการพูดหรือทำอะไรให้คุณพ่อคุณแม่ จะระมัดระวังตัวเองมาก เถียงน้อยลง ดูแลท่านมากขึ้น ท่านใช้อะไรก็ทำทันที และสวดมนต์ไหว้พระบ่อยขึ้น
บำเพ็ญประโยชน์ช่วยเหลือเด็กโรงเรียนบ้านไชยฟองที่ขาดแคลน
ในวันเด็กแห่งชาติ คุณครูสอนวิชาพระพุทธศาสนาได้จัดให้นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 บำเพ็ญประโยชน์ช่วยเหลือเด็กที่ขาดแคลนในด้านการเรียนการศึกษาและอุปกรณ์เครื่องใช้ในการประกอบการเรียนการสอน ที่โรงเรียนบ้านไชยฟอง อำเภอสร้างคอม จังหวัดอุดรธานี สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาจังหวัดอุดรธานี เขต 1
โรงเรียนบ้านไชยฟอง เป็นโรงเรียนขนาดเล็ก ห่างไกลและกันดาร ชุมชนและครอบครัวของนักเรียนมีฐานะยากจน มีนักเรียน 63 คน ครู 4 คน ไม่มีผู้บริหารสถานศึกษา ซึ่งทางโรงเรียนไม่มี
งบประมาณในการจัดหาสื่อการเรียน เพื่อให้เด็กและเยาวชนเหล่านั้นมีโอกาสทางการศึกษา มีความเป็นอยู่และมีมาตรฐานชีวิตที่ดีขึ้น รวมไปถึงกิจกรรมด้านกีฬา
คุณครูจึงให้นักเรียนที่มีจิตศรัทธาขอความอนุเคราะห์ บริจาคอุปกรณ์การเรียนหรือของเครื่องใช้ เช่น สุมด หนังสือ คอมพิวเตอร์ จักรยาน รองเท้า ฯลฯ ล้วนเป็นของที่นักเรียนไม่ใช้แล้วหรือไม่ต้องการ ให้แก่เด็กนักเรียนโรงเรียนบ้านไชยฟอง
คุณครูก็จัดกิจกรรมให้กับเด็กนักเรียนโรงเรียนบ้านไชยฟอง โดยการเล่นเกมส์ต่างๆ และมี
การส่งเสริมด้านกีฬา ให้เด็กกลุ่มนี้เติบโตขึ้นมามีน้ำใจเป็นนักกีฬา มีระเบียบวินัย มีความรับผิดชอบในการเรียน การทำงาน และเป็นคนที่มีคุณภาพในทุกๆ ด้าน เพราะการเล่นกีฬา สิ่งที่จะได้รับนอกเหนือจากด้านสุขภาพแล้ว ยังรวมไปถึงการเรียนรู้เรื่องกฎ กติกา มารยาท ความมีน้ำใจนักกีฬา ทั้งยังสอนให้เด็กรู้จักการทำงานเป็นทีม การแบ่งปันทั้งในและนอกสนาม เมื่อเด็กได้สัมผัสกับกติกากีฬาแล้วยังเกิดความสามัคคีในหมู่คณะ สามารถนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้ในอนาคตให้เติบโตเป็นพลังสำคัญในการพัฒนาโลกให้มีความเจริญรุ่งเรืองต่อไปในภายภาคหน้า เพราะกีฬาเป็นเหมือนโรงเรียนแรกในชีวิตของเด็กๆ ที่จะได้รับการเรียนรู้ด้านต่างๆ ทั้งการเสริมสร้างพัฒนาการ การเจริญเติบโต และวิถีชีวิต หากได้รับการส่งเสริมให้เล่นกีฬาตั้งแต่เด็ก พวกเขาจะเติบโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพได้อย่างแน่นอน สำหรับเราแล้วการได้เห็นคนอื่นมีความสุข เราก็มีความสุขตามไปด้วย
ค่ายวัฒนธรรมไทยสายใยชีวิต
ได้เข้าร่วมกิจกรรมค่ายวัฒนธรรมไทยสายใยชีวิตที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยมีพี่ยอดมาเล่าเรื่องเกี่ยวกับเรือนไทย และให้ความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์อยุธยา ซึ่งเป็นผู้รอบรู้ประวัติศาสตร์อยุธยาดีที่สุดคนหนึ่ง มาบรรยายถึงสภาพทั่วไปในอดีตของพระนครศรีอยุธยา เรื่องราวเกี่ยวกับพระราชวัง วัดต่างๆ โดยเฉพาะเรื่องราวความเป็นมาของคุ้มขุนแผนและลักษณะของเรือนไทยให้พวกเราได้รู้ว่าส่วนต่างๆ ของเรือนไทยมีความสำคัญอย่างไร ใช้เป็นที่สำหรับทำอะไร ยังมีเรื่องราวของการเสียกรุงศรีอยุธยาที่พี่ยอดได้เล่าให้ฟังอย่างน่าสนใจ ทุกคนได้ลองสานปลาตะเพียนใบลาน ซึ่งปลาตะเพียนใบลานนี้ถือเป็นอีกสัญลักษณ์หนึ่งของจังหวัดพระนครศรีอยุธยา
หลังจากอาหารกลางแล้วก็เป็นเวลาของกิจกรรมฐาน “เดินเล่นบนเส้นทางสายวัฒนธรรม” ทั้ง 5 ฐาน ที่สนุกสนานกันมาก เริ่มจากฐานกิจกรรมบนเรือนไทย ก็คือการสานปลาตะเพียน โดยมีพี่เลี้ยงคอยช่วยเหลือทุกขั้นตอน ข้างๆกันเป็นฐานกิจกรรมวาดรูป โดยพี่เลี้ยงจะให้วาดรูปในหัวข้อ พระนครศรีอยุธยาในฝัน โดยต้องใช้สามัคคีกันของคนในกลุ่ม เพื่อร่วมกันวาดภาพออกมา 1 ภาพ ซึ่งแต่ภาพก็มีจินตนาการที่หลากหลาย และสร้างสรรค์มากๆ
ออกจากเรือนข้ามสะพานไปที่ศาลากลางน้ำจะพบกับกิจกรรมการทำลูกชุบ งานนี้หลายคนจะได้ลองทำลูกชุบรับประทานกัน เริ่มจากต่างคนต่างปั้นถั่วเหลืองให้เป็นรูปร่างต่างๆ และจุ่มถั่วเหลืองที่ปั้นกันไว้ลงในสีผสมอาหาร และนำไปจุ่มในน้ำวุ่นเจลาตินที่ต้มในหม้อ เมื่อวุ้นเคลือบที่ถั่วเหลืองแล้วก็จะออกสีสันสวยงามตามสีที่จุ่มไว้ รอสักพักก็รับประทานได้เลย พวกเราพากันสนุกกันใหญ่ บางคนปั้นถั่วและจุ่มวุ้นทิ้งไว้ แต่พอถามว่าอันนี้ของใครกลับไม่มีใครยอมรับ
ข้ามสะพานกลับมา และตรงไปที่ใต้ต้นไม้ใหญ่จะพบกับฐานกิจกรรมลิ้นชิมรส ทุกคนถูกปิดตาด้วยผ้าสีดำ โดยจะให้แต่ละคนชิมน้ำสมุนไพรที่แตกต่างกันไป ย้ายมานิดหนึ่งก็มาถึงฐานกิจกรรมปั้นดินเหนียว กิจกรรมนี้มันมากๆเลอะเทอะที่สุด ทุกคนต่างก็ปั้นดินเหนียวที่พี่ๆเตรียมไว้กันคนละหนึ่งชิ้นในหัวข้อที่เกี่ยวกับอยุธยา ต่างคนต่างก็ปั้นแต่งไปตามความคิดตามจินตนาการ เมื่อจบสิ้นกิจกรรมทั้ง 5 ฐานแล้ว ก็มาล้างไม้ล้างมือ รับประทานอาหารว่าง ก่อนที่จะไปนั่งฟัง “คุณครูติ่ง” อุมาภรณ์ กล้าหาญ อธิบาย เกี่ยวกับเครื่องดนตรีของไทย ซึ่งสามารถเรียนรู้ได้อย่างใกล้ชิด ครูติ่งใจดี ได้อธิบายถึงเครื่องดนตรีระนาด เป็นอย่างแรก ระนาดที่นำมาให้ได้ชมนั้น มี 2 แบบ ระนาดเอกและระนาดทุ้ม ครูติ่งได้สาธิตให้เข้าใจลึกซึ้งอีกว่าระนาดเอกแตกต่างกับระนาดทุ้มอย่างไร โดยเล่นระนาดทั้ง 2 ชนิดพร้อมกัน สลับไป สลับมา ดูสนุกสนาน นอกจากนั้น ครูติ่งยังให้เปรียบเทียบการตีระนาดโดยการใช้ไม้แข็งและไม้นวม
ครูติ่งอธิบายเกี่ยวกับซออู้ ซอด้วง โดยเฉพาะซอสามสาย ที่นำมาสาธิตให้ชม เสียงของซอสามสายจะอ่อนหวาน เบาสบาย ในท้ายที่สุด ครูติ่งได้ให้นักดนตรีบรรเลงเพลงไพเราะเพลงหนึ่งและแล้วก็มาถึงช่วงเวลาที่น่าประทับใจอีกช่วงหนึ่ง เมื่อมาพบกับพี่ยอดอีกครั้งในยามเย็นเพื่อจะพาพวกเราขึ้นรถ ตระเวนชมโบราณสถานในเขตอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา คราวนี้มีพี่พัฑร์อีกคน มาร่วมอธิบายความเป็นมาในอดีตของสถานที่ต่างๆ รวมทั้งประวัติศาสตร์น่ารู้ในระหว่างทางที่รถเคลื่อนไป ขบวนรถแล่นผ่านวัดพระรามวิหารพระมงคลบพิตร พระราชานุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าอู่ทอง วัดพระศรีสรรเพชญและพระบรมมหาราชวัง เมื่อมาถึงวัดมหาธาตุและวัดราชบูรณะ พี่ยอดและพี่พัฑร์ ก็อธิบายเรื่องราวเกี่ยวกับทองคำแห่งกรุงศรีอยุธยา และพระบรมสารีริกธาตุ ที่เคยเก็บบรรจุเอาไว้ภายในกรุมหาสมบัติของวัดทั้งสอง รถวนมาจอดที่ด้านหน้าวิหารพระมงคลพิตร พี่ยอดพาพวกเรามาชมโบราณสถาน วัดพระศรีสรรเพชญ พระอารามหลวงในพระบรมมหาราชวังแห่งกรุงศรีอยุธยา พี่ยอดได้อธิบาย และพาพวกเราทั้งหลายเดินชมรอบๆวัด ก่อนที่พากลับมายังคุ้มขุนแผนเพื่อเตรียมรับประทานอาหารเย็น
การเข้าค่ายในครั้งนี้ปลูกฝังให้มีความรักและภูมิใจใน วัฒนธรรมไทยของเรา ที่นับวันจะเลือนหายไปพร้อมๆกับวัฒนธรรมสากลที่แพร่เข้ามามีอิทธิพลอย่างมากในสังคมไทย และถึงแม้ทัศนคติและแนวความคิดของเด็กไทยต่างไปจากเดิมตามกาลเวลาแล้วก็ตาม แต่สิ่งหนึ่งที่ควรจะได้รับรู้ และเข้าใจก็คือวัฒนธรรมอันดีงามของไทย และเพื่อสร้างเสริมจิตสำนึกที่ดีแก่เยาวชนไทย
อัตชีวประวัติ
ชื่อ นางสาวภัคภิญญา สีระบุตร Miss Pukpinya Seerabut
แปลว่า ความโชคดีและความเจริญยิ่งๆๆ ขึ้นไป
ชื่อเล่น จ๋า ปัจจุบันอายุ 19 ปี
เกิดตรงกับวันศุกร์ที่ 22 มิถุนายน 2533 แรม 15 ค่ำ เดือนเจ็ด ปีมะเมีย เวลา 8.36 นาที หมู่โลหิต บี น้ำหนักแรกเกิด 2,200 กรัม
สถานที่เกิด โรงพยาบาลเชียงยืน จังหวัดมหาสารคาม
ครอบครัว
บิดาชื่อ นายไพบูลย์ สีระบุตร
อายุ 47 ปี อาชีพ รับราชการครู
มารดาชื่อ นางสมร สีระบุตร
อายุ 41 ปี อาชีพ แม่บ้าน
มีพี่น้องร่วมบิดามารดาจำนวน 2 คน ดังนี้
1. นางสาวภัคภิญญา สีระบุตร ( ตัวดิฉันเอง ) กำลังศึกษาอยู่ระดับชั้นปริญญาตรี ชั้นปีที่ 1วิชาเอกจิตวิทยา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
2. นายธีระยุทธ สีระบุตร กำลังศึกษาอยู่ระดับชั้น ปวช. 2 สาขาวิชาอิเล็กทรอนิกส์ วิทยาลัยเทคนิคมหาสารคาม
ที่อยู่ปัจจุบัน
บ้านเลขที่ 166 หมู่ 15 ตำบลเชียงยืน อำเภอเชียงยืน จังหวัดมหาสารคาม
รหัสไปรษณีย์ 44160 โทร. 084-6007693
ประวัติการศึกษา
- ปี พ.ศ. 2539 สำเร็จการศึกษาระดับอนุบาลจาก โรงเรียนบ้านนาเลียง อำเภอนาแก จังหวัดนครพนม
- ปี พ.ศ. 2545 สำเร็จการศึกษาระดับประถมศึกษาจาก โรงเรียนบ้านวังหินโนนสว่าง อำนาเชือก จังหวัดมหาสารคาม
- ปี พ.ศ. 2548 สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนต้นจาก โรงเรียนเชียงยืนพิทยาคม อำเภอเชียงยืน จังหวัดมหาสารคาม
- ปี พ.ศ. 2551 สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลายจาก โรงเรียนเชียงยืนพิทยาคม อำเภอเชียงยืน จังหวัดมหาสารคาม
- ปัจจุบัน ปี พ.ศ. 2552 กำลังศึกษาอยู่ระดับชั้นปริญญาตรี ชั้นปีที่ 1 วิชาเอกจิตวิทยา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
ข้อมูลในด้านอื่นๆ
- บุคคลที่ถือเป็นแบบอย่าง คุณพ่อไพบูลย์ และคุณแม่สมร สีระบุตร
- คติประจำใจ มองข้างหน้าด้วยความหวัง อย่ามองข้างหลังด้วยความเสียดาย
- ความใฝ่ฝัน อยากเป็นคุณครู
- กีฬาที่ชอบ เปตอง, วอลเลย์บอล,
- ความสามารถพิเศษ ร้อยมาลัย ทำพานบายศรีสู่ขวัญ
- อาหารที่ชอบ ข้าวผัดสุกี้
- ดาราที่ชื่นชอบ แพนเค้ก เขมนิจ, เป้ อารักษ์
- สีที่ชอบ สีชมพู เพราะเป็นสีแห่งความรักและความสุขมองแล้วสบายตา
- งานอดิเรก อ่านหนังสือ, วาดรูปการ์ตูน, เล่นคอมพิวเตอร์ และฟังเพลง
- สถานที่ท่องเที่ยวที่อยากจะไป ทะเล ภูเขา น้ำตก
ชีวิตในวัยเด็ก - ปัจจุบัน
ชีวิตในวัยเด็กมีเรื่องราวต่างๆ ตั้งมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสนุกสนานหรือเรื่องเศร้าเสียใจ ต่างก็เป็นเรื่องที่น่าจดจำ โดยเฉพาะเรื่องย้ายโรงเรียนของดิฉันทำให้มีเพื่อนตั้งมากมาย เท่าที่ดิฉันจำความได้ ตอนนั้นมีอายุประมาณ 4 ขวบ คุณพ่อสอบบรรจุข้าราชการครูได้ที่โรงเรียนบ้านนาเลียง อำเภอนาแก จังหวัดนครพนม ดังนั้นดิฉันคุณแม่และน้องชายอายุเพียง 1 ขวบเศษ ต้องย้ายตามคุณพ่อไปอยู่ที่นั่น ช่วงนั้นเป็นช่วงที่เปิดภาคเรียนใหม่คุณพ่อท่านจึงมีความคิดเห็นว่าดิฉันสมควรที่จะได้รับการศึกษาในระดับชั้นอนุบาลได้แล้ว เช้าวันต่อมาคุณแม่ก็ได้พาดิฉันไปส่งที่ห้องเรียน แต่ด้วยความที่ไม่คุ้นกับสถานที่และภาษาของคนที่นั่น จึงทำให้เกิดอาการเพราะด้วยนิสัยแล้วจะเป็นคนขี้อายขี้กลัวไม่ค่อยชอบแสดงออกและได้แอบหนีกลับบ้านที่ครั้งที่ไปส่งที่ห้องเรียน พออายุครบ 5 ขวบ คุณแม่ก็ได้พาไปเข้าเรียนใหม่อีกครั้งพร้อมกับเพื่อนๆ ในวัยเดียวกัน คราวนี้ไม่กลัวแล้วเพราะมีเพื่อนสนิทตั้งมากมายและอยู่ในวัยที่กำลังซุกซน
ปี พ.ศ 2541 กำลังศึกษาอยู่ในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ภาคเรียนที่ 2 ช่วงนั้นเป็นช่วงที่กำลังจะใกล้สอบปลายภาค ดิฉันต้องได้ย้ายโรงเรียนเป็นครั้งแรกตามคุณพ่อกลับภูมิลำเนา โดยคุณพ่อได้ย้ายไปสอนอยู่ที่โรงเรียนบ้านวังหินโนนสว่าง อำเภอนาเชือก จังหวัดมหาสารคาม ส่วนดิฉันและน้องชายต้องอยู่กับคุณแม่ที่อำเภอเชียงยืน โดยได้เข้าศึกษาต่อในระดับประถมศึกษาที่โรงเรียนบ้านเชียงยืน พอดิฉันจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ดิฉันและน้องชายต้องได้ย้ายโรงเรียนอีกเป็นครั้งที่ 2 โดยย้ายไปเรียนกับคุณพ่อที่โรงเรียนบ้านวังหินโนนสว่าง อำเภอนาเชือก จังหวัดมหาสารคาม
ปี พ.ศ. 2545 สำเร็จการศึกษาระดับประถมศึกษาจาก โรงเรียนบ้านวังหินโนนสว่าง ดิฉันได้เข้าศึกษาต่อในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่โรงเรียนโนนแดงวิทยาคม อำเภอบรบือ จังหวัดมหาสารคาม ดิฉันเรียนอยู่ที่นั่นได้ 2 ปี พอจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ก็ได้ย้ายโรงเรียนอีกเป็นครั้งที่ 3 ตามคุณพ่อกลับมาอยู่ที่บ้าน ซึ่งคราวนี้คุณพ่อได้ย้ายไปสอนที่โรงเรียนชุมชนบ้านกุดปลาดุก อำเภอชื่นชม จังหวัดมหาสารคาม และดิฉันก็ได้เข้าศึกษาต่อในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่โรงเรียนเชียงยืนพิทยาคม อำเภอเชียงยืน จังหวัดมหาสารคาม จนจบมัธยมศึกษาตอนปลาย
ปัจจุบัน ปี พ.ศ. 2552 กำลังศึกษาอยู่ระดับชั้นปริญญาตรี ชั้นปีที่ 1 วิชาเอกจิตวิทยา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
“ 20 ปีที่แล้วพ่อแม่ให้เกิดมา”
เด็กชายคนหนึ่งรู้สึกตื่นเต้นมากเมื่อรู้ว่าวันที่จะได้ลืมตาดูโลกมาถึงแล้ว วันศุกร์ที่ 9 มิถุนายน พุทธศักราช 2532 ปีมะเส็ง เวลา 20.30 น. เสียงร้อง “อุ๊แว้ๆๆๆๆๆๆๆ”ดังขึ้นที่บ้านเลขที่ 43 หมู่ที่ 4 บ้านท่าเยี่ยม ตำบลธาตุ อำเภอวานรนิวาส จังหวัดสกลนคร เสียงทารกแรกเกิดนั้นคือเสียงของข้าพเจ้าเอง และคงเป็นสิ่งที่ใครหลายคนรอคอยวันนี้ด้วย
พ่อได้ตั้งชื่อให้ ชื่อว่า “อติวัฒน์”แต่ตอนไปแจ้ง ณ ที่ว่าการอำเภอ เจ้าหน้าที่บอกว่า ชื่อนี้ไม่มีความหมายเลยเปลี่ยนเป็น “อธิวัฒน์”เมื่อหาดูความหมายก็ไม่มีความหมายตรงๆเหมือนกัน พ่อเลยบอกว่าเอาชื่อนี้ก็แล้วกันเมื่อรวมกับนามสกุลของพ่อก็เลยกลายเป็น “เด็กชายอธิวัฒน์ สุนารักษ์” และมีชื่อเล่นที่ได้จากการที่แม่ชอบดูภาพยนตร์จีนได้เอาชื่อของตัวละครตัวเด่นเรื่องหนึ่งมาตั้งชื่อเล่นให้ลูกชื่อว่า “หยวนเปียว”พอนานเข้าชาวบ้านคงเรียกชื่อยากหลายพยางค์ก็เลยเรียกสั้นๆว่า “เปียว” วัยเด็กอาศัยอยู่กับยายเพราะพ่อกับแม่ต้องไปทำงานอยู่ต่างจังหวัด พออายุ 5 ขวบครอบครัวได้ให้เข้าเรียนที่โรงเรียนประจำหมู่บ้าน เรียนชั้นอนุบาล1 และอนุบาล2แล้วขึ้นชั้นป.1อายุ7ปี ในช่วงของการเรียนพ่อแม่จะเป็นผู้ที่คอยดูแลและช่วยให้คำปรึกษาในเรื่องการเรียน การทำการบ้าน และส่งเสริมการทำกิจกรรมอื่นๆที่สร้างชื่อเสียงให้กับโรงเรียน เช่น เป็นนักกีฬาฟุตบอลของโรงเรียนตั้งแต่อยู่ชั้นป.4 เป็นตัวแทนของโรงเรียนไปแข่งขันทักษะวิชาการโดยเป็นตัวแทนของวิชาคณิตศาสตร์ทั้งของระดับชั้นป.2 ป.4 และป.6และได้เป็นตัวแทนในระดับเขตการศึกษาด้วยในช่วงการเรียนระดับประถมศึกษาข้าพเจ้าสอบได้ที่ 1 ทุกชั้น และตอนอยู่ชั้นป.6ได้รับเลือกให้เป็นประธานโรงเรียนเพื่อประสานงานกับอาจารย์ในโรงเรียน
เมื่อเรียนจบระดับประถมศึกษาผู้ปกครองได้ให้เข้าเรียนต่อระดับมัธยมศึกษาที่โรงเรียนประจำอำเภอชื่อว่า “โรงเรียนมัธยมวานรนิวาส”ข้าพเจ้าเข้าเรียนที่นี่ 6 ปีตั้งแต่ชั้นม.1- ม.6 ซึ่งตอนเข้าเรียนที่นี่ข้าพเจ้าได้ทำกิจกรรมหลายอย่าง เช่น ระดับมัธยมศึกษาตอนต้นได้เป็นตัวแทนเข้าร่วมแข่งขันประกวดโครงงานวิทยาศาสตร์และได้รับรางวัลมาให้โรงเรียนและเป็นนักกีฬาฟุตบอลแข่งขันในระดับเขตการศึกษา ในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย
-ม.4 เป็นคณะกรรมการธนาคารโรงเรียน/คณะกรรมการนักเรียน/คณะกรรมการกิจกรรม5ส.ในโรงเรียน
-ม.5 เป็นประธานคณะกรรมการธนาคารโรงเรียน/รองประธานคณะกรรมการนักเรียน/คณะกรรมการกิจกรรม5ส.ในโรงเรียน/ประธานคณะสีทองกวาว/ตัวแทนโรงเรียนเข้าประกวดโครงงานระดับภาค
-ม.6 เป็นประธานคณะกรรมการธนาคารโรงเรียน/คณะกรรมการนักเรียน/คณะกรรมการกิจกรรม5ส.ในโรงเรียน/ประธานคณะสีราชาวดี/ตัวแทนโรงเรียนเข้าประกวดโครงงานระดับเขต
และได้เข้าร่วมกิจกรรมหลายๆกิจกรรมที่ทางโรงเรียนได้จัดขึ้น ในช่วงม.6 ได้ติดตามข่าวสารและการสมัครสอบเพื่อเข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษา ได้สมัครสอบโควต้าของหลายสถาบันหลายคณะและมหาวิทยาลัยมหาสารคามก็คืออีกที่หนึ่งที่ข้าพเจ้าเลือกสอบและได้ตัดสินใจเลือกเรียนที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้ ตลอดที่ได้ศึกษาในระดับอุดมศึกษาในสถาบันแห่งนี้ได้ทำให้ข้าพเจ้ารักในเกียรติของที่นี่ ได้พบเพื่อนที่ไม่เคยรู้จักกันได้พบเพื่อนใหม่ที่มาจากคนละจังหวัด ซึ่งแต่ละคนก็มาทำหน้าที่ของตนเองตามที่ได้เลือกเรียนตามคณะที่ตนเองต้องการจะเรียน
อัตชีวประวัติ
นางสางสุทธิลักษณ์ บัวสิงห์
คณะศึกษาศาสตร์ สาขาจิตวิทยา ปี1 รหัสนิสิต 52010521029 ระบบพิเศษ
สวัสดีค่ะ . . .
ดิฉันชื่อ นางสางสุทธิลักษณ์ บัวสิงห์ ชื่อเล่น แอม
เกิดวันจันทร์ ที่27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2532
(แต่ในบัตรประชาชนเกิดวันที่26มีนาคม พ.ศ.2532)... และสาเหตุที่ดิฉันมีวันเกิด2 วันเพราะ คุณตา แจ้งเกิดผิดวัน ค๊า !!! สรุป แล้ว ดิฉันก็เกิดวันที่27 กุมภาพันธ์ คร๊ะ อายุ 20 ปี ( จะย่างเข้า21 ปี แล้ว โครตแก่เลยแหละ กีสส !! ) กรุ๊ปเลือด O เกิดปี มะเส็ง จ๊ะ บ้านเลขที่ 12/1 ตำบล เกิ้ง อำเภอ เมือง จังหวัด มหาสารคาม 44000 จ๊ะ
ผู้ให้กำเนิด ดิฉันคือ คุณพ่อ ชื่อ ทักษิณ บัวสิงห์ และ คุณแม่ชื่อ สุวิมล อันปัญญา
ดิฉัน เป็นลูกคนเดียว ค่ะ เหง๊า เหงา แต่ก็ดี ฮ่า ฮ่า แม่กะพ่อ รักเราคนเดียว อิอิ (ดูเหมือนจะเห็นแก่ตัวเลยนาะ : P )
ปัจจุบันศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ สาขาจิตวิทยา ปี1 รหัสนิสิต 52010521029
พักหอ บ้านอยู่สบาย F2 ซอย อาลีบาร์บาร์
นิสัย และการใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ *
ดิฉัน ก็เป็นคน ร่าเริง แจ๋มใส สนุกสนาน ยิ้มเก่ง โกรธง่าย หายยาก( แล้วแต่อารมณ์) อิอิ : P
ดิฉัน ชอบฟังเพลง ชอบเสียงดนตรี ( สนุกดี เวลาไปท่องเที่ยว ฮ่า ฮ่า )
ดิฉันเป็นคนเอาแต่ใจ ไม่แค่ความรู้สึกของคนอื่น((ในบ้างครั้ง))
ดิฉันทำก่อนคิดไม่อยากคิดก่อนทำ
ดิฉันมันปากแข็ง((ขี้เกียจพูด))
ดิฉันชอบแก้แค้น((ใครทำดิฉันเจ็บต้องเจ็บกว่าดิฉัน))
ดิฉันเป็นเด็กศัลยกรรม((มีเงินคะ อิอิ))
ดิฉันชอบยิ้มทุกสถานการณ์
ดิฉันชอบเที่ยวเสียงเพลง((แล้วแต่อารมและทรัพย์สิน))
ดิฉันชอบนินทาต่อหน้า((เพราะบังเอิญ 55))
ดิฉันขี้น้อยใจ((แคร์ดิฉันบ้างหน่อยคะ))
ดิฉันชอบให้ง้อแม้ว่าดิฉันจะผิด อิอิ ((ง้อดิฉันบ้างหน่อยคะ))
ดิฉันในทุกๆครั้งที่อยากมีความรัก
ดิฉันไม่ชอบพวกที่ดูถูกคนอื่น ((หยาบคายสุดสุด))
ดิฉันในบ้างครั้งไม่หน้าคบหา
ดิฉัน ชอบ โลกอินเตอร์เน็ต ขาดไม่ได้ จริง จริง (ถ้าไม่ได้เล่น เหมือนโลกมันมืดมิด ) เว่อร์จัง
ติดต่อ ดิฉัน ได้ ทางโลกอินเตอร์เน็ต
MSN : amm-angel@hotmail.com
HI5 : http://geishaamii.hi5.com
Facebook :http://www.facebook.com/home.php?#/profile.php?ref=profile&id=1226163916
ดิฉัน เป็นคนที่ไม่มั่นใจในตัวเอง มาก ๆ โดยเฉพาะ การแต่งตัว กลัวจะไม่สวย ฮ่าฮ่า และจะเป็นคนที่แต่งตัวนานมากๆ เพราะจะวุ่นวายเรื่องเสื้อ ผ้า หน้าผม รองเท้า กระเป๋า ว่าจะแต่งเข้ากันรึเปล่า (การที่ไม่มั่นใจในตัวเองมันลำบากจริงจริง เนาะ ) เฮ้อ แต่งยังไงก็ยังไม่สวย ฮ่าฮ่า
ดิฉัน ชอบ ซื้อ รองเท้า ( มากๆ ) เพราะทั้งตัว มั่นใจอยู่เรื่องเดียว เรื่องการใส่รองเท้า คิดว่าตัวเองใส่รองเท้าสวยๆแล้วดูดี ฮ่า ฮ่า
ผลไม้ ที่ดิฉันชอบ ละมุด มังคุด สละ อร่อยดี
อาหารที่ดิฉันชอบ กระเพาไข่เยี่ยวม้า ผัดผงกระหรี่
สีที่ดิฉันชอบ สีม่วง (ชอบมากๆทุกอย่างที่เป็นสีม่วง สวยดี )
มาถึงเรื่องการศึกษา . . .
อนุบาล1 ดิฉัน ศึกษา อยู่ โรงเรียนเทศบาลศรีสวัสดิ์ แต่ก็ยังไม่นานก็ได้ย้ายมาเรียนที่ โรงเรียน หลักเมืองมหาสารคาม จนถึงชั้น ประถมศึกษาปีที่ 6 สำเร็จการศึกษา แล้ว ก็ได้ศึกษาต่อที่ โรงเรียนสารคามพิทยาคม ขณะที่เรียน อยู่ชั้น ม.1 ดิฉัน ได้อยู่ ห้อง 3 เรียนๆ ไป ม.2 ก็ได้อยู่ ห้อง 4 ต่อมา ม.3 อยู่ ห้อง 5 และ ม.3 เนี่ย ดิฉันได้เลือกเรียนสายวิทย์-คณิต และดิฉันคิดว่า เป็นการเรียนที่สนุกมาก ๆ เพราะ ดิฉันเริ่มมีเพื่อนๆเยอะแยะมากมาย และได้เจอเพื่อนที่สนิทๆหลายๆคน ไม่ว่าจะ เป็น ขิม (ปัจจุบันขิมอยู่ กทม. ) กิ๊ฟ (ปัจจุบันเรียนอยู่ มมส. ) แอ๋ม (ปัจจุบันเรียน มมส.) โบว์(ปัจจุบันไม่ได้เรียนแล้ว) ส่วนมากจะ ไปไหนมาไหนกับเพื่อนๆ4คนตลอด จนมาถึงม.4 อยู่ ห้อง 4 ก็เริ่มมีเพื่อน สนิทขึ้นอีก คือ ติ้ง เบียร์ เฟิส เปรียว (ปัจจุบันเรียน อยู่ กทม. ) แพร (ปัจจุบันเรียน ขอนแก่น) ฟ้า ปุริน บุ๋ม นุ้ย ต้อง อาร์ ซี (ปัจจุบันเรียน มมส ) ม.5 ก็ยังคบเพื่อน กลุ่มเดิม ม.6 ก็ยังเรียนอยู่ที่เดิม และก็คบเพื่อนกลุ่มเดิม และ พอจบการศึกษา ก็ได้เรียนต่อ ที่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม คณะแรกที่ดิฉันเรียน คือ คณะ วิทยาศาสตร์ เอกเคมี สาเหตุที่เลือกเรียน สาขานี้เพราะว่า ชอบ วิชาเคมี มากๆและพ่อกับแม่ และญาติๆสั่งให้เรียนด้วยแหละก็เลยต้องเรียน ฮ่าๆ ( ผู้สนับสนุนเยอะ) แต่ . . . มันเริ่มรู้ซึ้งถึงการเรียนเคมี มัน ยาก มากๆ เพราะมันไม่ได้เรียน แค่ เคมี แต่ได้เรียน ทุกวิชาเลย ไม่ว่าจะเป็นวิชา คณิตศาสตร์ ชีววิทยา ฟิสิกส์ สูตรเริ่มมาเยอะแยะมากมาย จนดิฉันเริ่มเรียนไม่ไหว เลยตัดสินใจ ย้ายคณะ มาเรียน คณะ ศึกษาศาสตร์ เอก จิตวิทยา ทำมัย ? ดิฉันถึงได้เลือกเรียน คณะศึกษาศาสตร์ เอกจิตวิทยา เพราะเพื่อนดิฉันแนะนำ และในช่วงที่จะย้ายคณะนั้น ดิฉันคิดมาก ไม่รู้จะ (และก็เริ่มเรียนปี1 ใหม่ด้วย เหอะๆ ) แต่เรียนไปเรียนมา ก็เริ่มชอบ และก็รู้สึกว่า เรียนไม่ง่ายและก็ไม่ยาก จนเกินไป แต่ยังไงแล้ว ก็จะพยายามเรียนให้จบปริญญาตีให้ได้ เพื่อ อนาคต ที่สดใส : )
แสดงความคิดเห็น